ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
- nott
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 32
เนื่องจากด้อยความรู้ ขอถามพี่ๆ หลายข้อครับ
1. จุดมุ่งหมายของการศึกษา BIZ Model สำหรับนักลงทุนแบบ VI คืออะไรครับ
2. ขอบเขตของ BIZ Model สำหรับนักลงทุนมีอะไรบ้าง
3. BIZ Model มีประโยชน์อย่างไรต่อนักลงทุน
4. เราจะศึกษา BIZ Model จากแหล่งใดได้บ้าง
1. จุดมุ่งหมายของการศึกษา BIZ Model สำหรับนักลงทุนแบบ VI คืออะไรครับ
2. ขอบเขตของ BIZ Model สำหรับนักลงทุนมีอะไรบ้าง
3. BIZ Model มีประโยชน์อย่างไรต่อนักลงทุน
4. เราจะศึกษา BIZ Model จากแหล่งใดได้บ้าง
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4244
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 33
เห็นแต่ละคนตีความ Biz model ซะยืดยาว
ทำไมผมมอง Biz model แต่ละบริษัทนี่ สั้นๆนิดเดียวเอง
อย่างเช่น
SNC ใช้การประหยัดจากขนาดด้วยการนำ Order ลูกค้าหลายๆเจ้ามาทำเองให้หมด
PRIN เน้นทำโครงการปิดเร็วๆ Turnover สูงๆนั่นเอง
CP7-11 ความสะดวก
LPN ปรับตัวได้ตามสถานการณ์ต่างๆ หาตลาดใหม่ๆเสมอ
MK บริการที่รวดเร็ว
ทำไมผมมอง Biz model แต่ละบริษัทนี่ สั้นๆนิดเดียวเอง
อย่างเช่น
SNC ใช้การประหยัดจากขนาดด้วยการนำ Order ลูกค้าหลายๆเจ้ามาทำเองให้หมด
PRIN เน้นทำโครงการปิดเร็วๆ Turnover สูงๆนั่นเอง
CP7-11 ความสะดวก
LPN ปรับตัวได้ตามสถานการณ์ต่างๆ หาตลาดใหม่ๆเสมอ
MK บริการที่รวดเร็ว
_________
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 34
ความยากของการหา Business model ที่ดีนั้น อยู่ที่ธูรกิจดังกล่าวต้องสามารถทานกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดี ด้วยวิธีการบริหารจัดการภายในองค์กรที่จะตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้
ตัวอย่างนะครับ
การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอก เช่น ในขณะนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ภัยก่อการร้าย ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มการแข็งค่า การบริโภคภายในประเทศที่ลดลง การลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัว การขึ้นลงของราคาพลังงานเช่นน้ำมัน เป็นต้น วัตถุดิบที่นำมาผลิตสินค้ามีเพียงพอกับการขยายงานของธุรกิจหรือไม่ เทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงที่มากระทบกับธุรกิจของเรา ภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่รุนแรงเพียงใด ซึ่งปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในหลาย ๆ เรื่อง เป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้
มีแต่ปัจจัยภายในองค์กรของเราเท่านั้น ที่จะกำหนดรูปแบบของธุรกิจที่ตอบสนองกับปัจจัยดังกล่าว ด้วยการอาศัย การบริหารปัจจัยภายในองค์กรของเราได้แก่ สถานที่ในการประกอบการ เงินทุน Capital การบริหารแรงงาน และการกำหนดวิธีการบริหารจัดการของผุ้ประกอบการในการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน และได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม
ในการวิเคราะห์ว่า Business Model ของเรานั้น แข็งแกร่งพอที่จะผ่านปัจจัยการเปลี่ยนแปลงภายนอกที่มากระทบกับการบริหารงานของเราได้หรือไม่ มีหลาย Model เราสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์ Swot Analysis เพื่อให้เรารู้ตัวของเราเอง และสามารถใช้จุดแข็งของธุรกิจไปเก็บเกี่ยวกับโอกาสของธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ดีเพียงใด และการปรับปรุงจุดอ่อนของธุรกิจ โดยพยายามเลื่อกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของธุรกิจของเราให้ได้ ใครบริหารตรงนี้ได้ดีกว่ากัน ก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจได้ยั่งยืน ยาวนาน และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ดีและต่อเนื่องครับ
หรือจะใช้ Model ของ ไมเคิล อี พอร์ตเตอร์ มาใช้การวิเคราะห์หากลยุทธ์การแข่งขันที่สร้างความได้เปรียบให้ได้ เช่น Model five force เป็นต้น
ดังนั้น การเลือกธุรกิจที่ลงทุน เราต้องพยายามคัดเลือกธุรกิจที่มีภูมิต้านทานที่ดี และตอบสนองต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงได้ดี
ผมคิดว่า บัฟเฟทน่าจะมองเรื่องนี้ออก จึงพยายามเลือกลงทุนในธุรกิจที่แข็งแกร่งในการสร้างการเจริญเติบโตของธุรกิจในระยะยาวได้ดี โดยการตอบคำถามความเสี่ยงของปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบ และธุรกิจที่ลงทุนสามารถฝ่ามาได้ในระยะเวลาที่ยาวนานครับ หลาย ๆ ธุรกิจจึงเป็นธุรกิจที่ง่าย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคตได้ดีครับ สำหรับธุรกิจที่ยังไม่สามารถพิสูจน์การเติบโตระยะยาวได้ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ทำให้บัฟเฟทลังเลที่จะลงทุน เพราะไม่รู้ว่า แนวโน้มของธุรกิจจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้หรือไม่ เพราะบัฟเฟทต้องการลงทุนเพื่อเก็บเกี่ยวผลตอบแทนระยะยาว ไม่ใช่เก็บเกี่ยวระยะสั้น ๆ ตามเหตุปัจจัยระยะสั้นที่ส่งผลประกอบการกับบริษัททำให้ดีขึ้นในระยะสั้นเท่านั้นครับ
ตัวอย่างนะครับ
การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอก เช่น ในขณะนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ภัยก่อการร้าย ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มการแข็งค่า การบริโภคภายในประเทศที่ลดลง การลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัว การขึ้นลงของราคาพลังงานเช่นน้ำมัน เป็นต้น วัตถุดิบที่นำมาผลิตสินค้ามีเพียงพอกับการขยายงานของธุรกิจหรือไม่ เทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงที่มากระทบกับธุรกิจของเรา ภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่รุนแรงเพียงใด ซึ่งปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในหลาย ๆ เรื่อง เป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้
มีแต่ปัจจัยภายในองค์กรของเราเท่านั้น ที่จะกำหนดรูปแบบของธุรกิจที่ตอบสนองกับปัจจัยดังกล่าว ด้วยการอาศัย การบริหารปัจจัยภายในองค์กรของเราได้แก่ สถานที่ในการประกอบการ เงินทุน Capital การบริหารแรงงาน และการกำหนดวิธีการบริหารจัดการของผุ้ประกอบการในการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน และได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม
ในการวิเคราะห์ว่า Business Model ของเรานั้น แข็งแกร่งพอที่จะผ่านปัจจัยการเปลี่ยนแปลงภายนอกที่มากระทบกับการบริหารงานของเราได้หรือไม่ มีหลาย Model เราสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์ Swot Analysis เพื่อให้เรารู้ตัวของเราเอง และสามารถใช้จุดแข็งของธุรกิจไปเก็บเกี่ยวกับโอกาสของธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ดีเพียงใด และการปรับปรุงจุดอ่อนของธุรกิจ โดยพยายามเลื่อกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของธุรกิจของเราให้ได้ ใครบริหารตรงนี้ได้ดีกว่ากัน ก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจได้ยั่งยืน ยาวนาน และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ดีและต่อเนื่องครับ
หรือจะใช้ Model ของ ไมเคิล อี พอร์ตเตอร์ มาใช้การวิเคราะห์หากลยุทธ์การแข่งขันที่สร้างความได้เปรียบให้ได้ เช่น Model five force เป็นต้น
ดังนั้น การเลือกธุรกิจที่ลงทุน เราต้องพยายามคัดเลือกธุรกิจที่มีภูมิต้านทานที่ดี และตอบสนองต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงได้ดี
ผมคิดว่า บัฟเฟทน่าจะมองเรื่องนี้ออก จึงพยายามเลือกลงทุนในธุรกิจที่แข็งแกร่งในการสร้างการเจริญเติบโตของธุรกิจในระยะยาวได้ดี โดยการตอบคำถามความเสี่ยงของปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบ และธุรกิจที่ลงทุนสามารถฝ่ามาได้ในระยะเวลาที่ยาวนานครับ หลาย ๆ ธุรกิจจึงเป็นธุรกิจที่ง่าย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคตได้ดีครับ สำหรับธุรกิจที่ยังไม่สามารถพิสูจน์การเติบโตระยะยาวได้ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ทำให้บัฟเฟทลังเลที่จะลงทุน เพราะไม่รู้ว่า แนวโน้มของธุรกิจจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้หรือไม่ เพราะบัฟเฟทต้องการลงทุนเพื่อเก็บเกี่ยวผลตอบแทนระยะยาว ไม่ใช่เก็บเกี่ยวระยะสั้น ๆ ตามเหตุปัจจัยระยะสั้นที่ส่งผลประกอบการกับบริษัททำให้ดีขึ้นในระยะสั้นเท่านั้นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 35
ความแตกต่างของนักลงทุนระยะยาวแบบบัฟเฟท และนักลงทุนทั่วไป คงอยู่ที่ การมองภาพธุรกิจในอนาคตข้างหน้าได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง และสามารถนำคุณค่าในอนาคตมาเทียบกับปัจจุบัน เพื่อให้เห็นความแตกต่าง Gap ของคุณค่าดังกล่าว ยิ่งมากยิ่งดี หรือที่เราเรียกว่า Margin of Safety ที่เกิดจากคุณค่าในอนาคตที่สูงกว่าคุณค่าปัจจุบันอย่างมาก และการมองคุณค่าของหุ้นที่ลงทุน จะไม่ใช่การเปรียบเทียบเพียงคุณค่าระยะสั้นเท่านั้น แต่ใช้มุมมองการเปรียบเทียบคุณค่าระยะยาวของบริษัทที่ซื้อ หรือหมายถึงทรัพย์สินที่ซื้อ (ธุรกิจที่ดีและผู้บริหารที่เก่งและมีธรรมาภิบาลที่ดี) ซึ่งสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ยิ่งสามารถจินตการณ์ภาพของธุรกิจระยะยาวได้มากเพียงใด และมองเห็นจุดเด่นและประเมินมูลค่าหรือคุณค่าของหุ้นในระยะยาวได้แม่นยำเพียงใด การลงทุนระยะยาวเพื่อเก็บเกี่ยวผลตอบแทนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และคุ้มค่ากับการจ่ายเงินปัจจุบัน
เมื่อคัดเลือกธุรกิจและลงทุนไปแล้ว ในแต่ละปีก็เพียงแต่ทำการประเมินคุณค่าใหม่ที่เกิดขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าคุณค่าที่ได้รับกับที่คาดหวังไว้ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง
ถ้าใกล้เคียงหรือดีกว่าที่คาด แสดงให้เห็นว่าปัจจัยในการวิเคราะห์พิจารณานั้นถูกต้อง ก็เลือกที่จะลงทุนต่อไปในระยะยาว ตราบเท่าที่ธุรกิจดังกล่าวยังมีปัจจัยพื้นฐานและคุณค่าที่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
แต่หากพิจารณาแล้วเห็นว่าแตกต่างกับที่คาดหวังไว้มากคือต่ำกว่าที่คาดหวัง หรือพบว่าปัจจัยที่เคยวิเคราะห์ไว้ว่าเป็นจุดเด่นของธุรกิจ ปรากฏว่าปัจจัยดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระทบอย่างถาวร และรูปแบบของธุรกิจดังกล่าวอาจจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนหรือมีคุณค่าที่เพียงพอกับการลงทุนได้ จุดนี้จึงจะขายหุ้นดังกล่าวออกไป
ทุกธุรกิจจึงเป็นไปตามหลักของไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เพียงแต่ธุรกิจใดที่สามารถเกิดขึ้นและตั้งอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ตราบเท่าที่สามารถดำเนินการได้ยาวและมีมูลค่าเพิ่มในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน เราก็ยังคงถือหุ้นนั้นไว้ให้นานแสนนาน
แต่ถ้าธูรกิจเริ่มที่จะเสียคุณภาพในเชิงการแข่งขัน หรือมีมูลค่าที่ได้รับด้อยลงไปอันเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานมีการเปลี่ยนแปลง แบบนี้เราก็ต้องทบทวนการถือหุ้นของเรา ซึ่งอาจจะต้องขายหุ้นเพื่อไปลงทุนในหุ้นที่มีคุณค่าที่สูงกว่าเป็นต้น
เราจึงไม่สามารถยึดมั่นถือมั่น รูปแบบของธุรกิจไปโดยตลอด จึงต้องหมั่นทำการตรวจสอบและประเมินผล เพื่อให้แน่ใจว่า Business Model ที่เราเลือกอยู่นั้น มีคุณค่าที่สูงพออยู่เสมอ หรือมี Margin of Safety ที่ดีและเหมาะสมกับการลงทุนระยะยาวครับ
ประเด็นที่เราน่าจะถกกันก็คือ มุมมองระยะยาวที่บัฟเฟทสามารถคัดเลือกหุ้นที่มี Business Model และมีคุณค่าระยะยาว และถือหุ้นในระยะยาวนั้น บัฟเฟทมีแนวทางการเลือกอย่างไร มีวิธีการกลั่นกรองอย่างไร และการประเมินมูลค่าหุ้นระยะยาวเพื่อหา Margin of Safety ระยะยาว การประเมินคุณค่าในแต่ละปีเพื่อยืนยันการถือครองหุ้นนั้นต่อไปโดยไม่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น
ยิ่งสามารถจินตการณ์ภาพของธุรกิจระยะยาวได้มากเพียงใด และมองเห็นจุดเด่นและประเมินมูลค่าหรือคุณค่าของหุ้นในระยะยาวได้แม่นยำเพียงใด การลงทุนระยะยาวเพื่อเก็บเกี่ยวผลตอบแทนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และคุ้มค่ากับการจ่ายเงินปัจจุบัน
เมื่อคัดเลือกธุรกิจและลงทุนไปแล้ว ในแต่ละปีก็เพียงแต่ทำการประเมินคุณค่าใหม่ที่เกิดขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าคุณค่าที่ได้รับกับที่คาดหวังไว้ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง
ถ้าใกล้เคียงหรือดีกว่าที่คาด แสดงให้เห็นว่าปัจจัยในการวิเคราะห์พิจารณานั้นถูกต้อง ก็เลือกที่จะลงทุนต่อไปในระยะยาว ตราบเท่าที่ธุรกิจดังกล่าวยังมีปัจจัยพื้นฐานและคุณค่าที่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
แต่หากพิจารณาแล้วเห็นว่าแตกต่างกับที่คาดหวังไว้มากคือต่ำกว่าที่คาดหวัง หรือพบว่าปัจจัยที่เคยวิเคราะห์ไว้ว่าเป็นจุดเด่นของธุรกิจ ปรากฏว่าปัจจัยดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระทบอย่างถาวร และรูปแบบของธุรกิจดังกล่าวอาจจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนหรือมีคุณค่าที่เพียงพอกับการลงทุนได้ จุดนี้จึงจะขายหุ้นดังกล่าวออกไป
ทุกธุรกิจจึงเป็นไปตามหลักของไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เพียงแต่ธุรกิจใดที่สามารถเกิดขึ้นและตั้งอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ตราบเท่าที่สามารถดำเนินการได้ยาวและมีมูลค่าเพิ่มในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน เราก็ยังคงถือหุ้นนั้นไว้ให้นานแสนนาน
แต่ถ้าธูรกิจเริ่มที่จะเสียคุณภาพในเชิงการแข่งขัน หรือมีมูลค่าที่ได้รับด้อยลงไปอันเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานมีการเปลี่ยนแปลง แบบนี้เราก็ต้องทบทวนการถือหุ้นของเรา ซึ่งอาจจะต้องขายหุ้นเพื่อไปลงทุนในหุ้นที่มีคุณค่าที่สูงกว่าเป็นต้น
เราจึงไม่สามารถยึดมั่นถือมั่น รูปแบบของธุรกิจไปโดยตลอด จึงต้องหมั่นทำการตรวจสอบและประเมินผล เพื่อให้แน่ใจว่า Business Model ที่เราเลือกอยู่นั้น มีคุณค่าที่สูงพออยู่เสมอ หรือมี Margin of Safety ที่ดีและเหมาะสมกับการลงทุนระยะยาวครับ
ประเด็นที่เราน่าจะถกกันก็คือ มุมมองระยะยาวที่บัฟเฟทสามารถคัดเลือกหุ้นที่มี Business Model และมีคุณค่าระยะยาว และถือหุ้นในระยะยาวนั้น บัฟเฟทมีแนวทางการเลือกอย่างไร มีวิธีการกลั่นกรองอย่างไร และการประเมินมูลค่าหุ้นระยะยาวเพื่อหา Margin of Safety ระยะยาว การประเมินคุณค่าในแต่ละปีเพื่อยืนยันการถือครองหุ้นนั้นต่อไปโดยไม่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 36
ตัวอย่างของ Business model ที่ บัฟเฟทเลือกที่จะลงทุนในระยะยาว มาลองดูกันนะครับ
1. American Express คือ ธุรกิจบัตรเครดิต
2. the Coca-Cola คือ ธุรกิจเครื่องดื่มน้ำดำ
3. Wal-mart คือ Modern Trade ค้าปลีกขนาดใหญ่
4. Washington Post หนังสือพิมพ์
และหลัง ๆ มาก็เลือกลงทุนในธุรกิจ เช่น
1. Tesco ธุรกิจค้าปลีก
2. Petro China ธุรกิจน้ำมันและปิโตรเลียม
3. Posco ถ้าจำไม่ผิดตามที่ท่านแม่ทัพเคยพูดถึง คือ ธุรกิจเหล็ก ครับ
นอกเหนือจากนี้ ผมไม่แน่ใจนะครับว่ากลุ่มนี้ลงมานานหรือยัง เช่น
1. Procter & gamble และ Johnson & Johnson ธุรกิจขายของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แชมพู สบู่ เป็นต้น
2. Moody บริษัทสถาบันจัดอันดับเครดิต
3. M&T Bank coporation คิดว่าเป็นสถาบันการเงินนะครับเพราะมีคำว่า Bank อยู่ด้วยครับ
หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่มีหุ้นอีกจำพวกหนึ่ง ที่ไม่ได้จดทะเบียนอีกจำนวนมากครับ เช่น Geico Insurance ซึ่งมีผู้บริหารที่เป็นกำลังหลักให้กับบัฟเฟทด้วยคือ โทนี่ ไนซ์ลี่ ลู ซิมป์สัน และ ฤระ Jain มีหุ้นเกี่ยวกับบริษัทเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้นครับ
นี่คงเป็นตัวอย่างนะครับว่า มีธุรกิจเก่าและใหม่จำนวนมากมายทั้งในอเมริกา และนอกประเทศอเมริกา จำนวนมากมาย แต่ทำไม บัฟเฟท เลือกที่จะถือหุ้นหรือซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนในระยะยาวกับหุ้นใน Business Model เหล่านี้ หลาย ๆ ตัวในกลุ่มนี้ เขามองเห็นลักษณะพิเศษของธุรกิจเหล่านี้อย่างไรครับ เหมือนที่คุณสุมาอี้เคยตั้งคำถามกับหุ้นในธุรกิจตัวหนึ่งนะครับว่า
มีอะไรหนอ ที่ธูรกิจนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างเหนือกว่าธูรกิจอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ความหมายทำนองนี้นะครับ ซึ่งถ้าเราสามารถขุดหามาได้ ตรงนี้จะทำให้เรามีมุมมองที่แตกต่างจากนักลงทุนทั่วไป
แล้วอะไรหนอที่แตกต่างที่ทำให้ บัฟเฟทเห็นคุณค่าระยะยาวของหุ้นที่เขาลงทุนเหล่านั้นครับ มีใครลองตามลอยกันหรือไม่ครับ อิ อิ :lol:
1. American Express คือ ธุรกิจบัตรเครดิต
2. the Coca-Cola คือ ธุรกิจเครื่องดื่มน้ำดำ
3. Wal-mart คือ Modern Trade ค้าปลีกขนาดใหญ่
4. Washington Post หนังสือพิมพ์
และหลัง ๆ มาก็เลือกลงทุนในธุรกิจ เช่น
1. Tesco ธุรกิจค้าปลีก
2. Petro China ธุรกิจน้ำมันและปิโตรเลียม
3. Posco ถ้าจำไม่ผิดตามที่ท่านแม่ทัพเคยพูดถึง คือ ธุรกิจเหล็ก ครับ
นอกเหนือจากนี้ ผมไม่แน่ใจนะครับว่ากลุ่มนี้ลงมานานหรือยัง เช่น
1. Procter & gamble และ Johnson & Johnson ธุรกิจขายของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แชมพู สบู่ เป็นต้น
2. Moody บริษัทสถาบันจัดอันดับเครดิต
3. M&T Bank coporation คิดว่าเป็นสถาบันการเงินนะครับเพราะมีคำว่า Bank อยู่ด้วยครับ
หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่มีหุ้นอีกจำพวกหนึ่ง ที่ไม่ได้จดทะเบียนอีกจำนวนมากครับ เช่น Geico Insurance ซึ่งมีผู้บริหารที่เป็นกำลังหลักให้กับบัฟเฟทด้วยคือ โทนี่ ไนซ์ลี่ ลู ซิมป์สัน และ ฤระ Jain มีหุ้นเกี่ยวกับบริษัทเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้นครับ
นี่คงเป็นตัวอย่างนะครับว่า มีธุรกิจเก่าและใหม่จำนวนมากมายทั้งในอเมริกา และนอกประเทศอเมริกา จำนวนมากมาย แต่ทำไม บัฟเฟท เลือกที่จะถือหุ้นหรือซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนในระยะยาวกับหุ้นใน Business Model เหล่านี้ หลาย ๆ ตัวในกลุ่มนี้ เขามองเห็นลักษณะพิเศษของธุรกิจเหล่านี้อย่างไรครับ เหมือนที่คุณสุมาอี้เคยตั้งคำถามกับหุ้นในธุรกิจตัวหนึ่งนะครับว่า
มีอะไรหนอ ที่ธูรกิจนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างเหนือกว่าธูรกิจอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ความหมายทำนองนี้นะครับ ซึ่งถ้าเราสามารถขุดหามาได้ ตรงนี้จะทำให้เรามีมุมมองที่แตกต่างจากนักลงทุนทั่วไป
แล้วอะไรหนอที่แตกต่างที่ทำให้ บัฟเฟทเห็นคุณค่าระยะยาวของหุ้นที่เขาลงทุนเหล่านั้นครับ มีใครลองตามลอยกันหรือไม่ครับ อิ อิ :lol:
- path2544
- Verified User
- โพสต์: 543
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่อยากให้กระทู้ดีๆๆ ตกไป..
โพสต์ที่ 37
ไม่อยากให้กระทู้ดีๆๆ ตกไป ขอตั้งคำถามให้พี่มน กับพี่ๆๆ ช่วยตอบอีกครั้งครับ (ในฐานะเด็กๆๆ ที่ไม่ค่อยรู้อะไร)
1. ธุรกิจทุกๆ ธุรกิจ มี Business Life cycle ของมันเอง ดังนั้นอยากถามว่าหากBusiness model ดี แต่ธุรกิจอยู่ในจุดที่ Business Life cycle เข้าสู่ภาวะถอดถอย เราควรให้ความสนใจกับธุรกิจนั้นหรือไม่ :?: :?: :?:
จากความเห็นของพี่ thawattt
เป็นไปได้ไหมหากเมื่อ Business Life cycle ของธุรกิจหมุนกลับมา เข้าสูภาวะรุ่งเรื่อง(อาจไม่รุ่งโรจน์เท่าเก่า) อีกครั้ง แต่เมื่อ นำคุณค่าในอนาคตมาเทียบกับปัจจุบัน ก็จะเห็นความแตกต่างของ Gap ของคุณค่าดังกล่าว ยิ่งมากยิ่งดี หรือที่เราเรียกว่า Margin of Safety ที่เกิดจากคุณค่าในอนาคตที่สูงกว่าคุณค่าปัจจุบันอย่างมาก ใช่หรือไม่ครับ :?: :?: :?:
1. ธุรกิจทุกๆ ธุรกิจ มี Business Life cycle ของมันเอง ดังนั้นอยากถามว่าหากBusiness model ดี แต่ธุรกิจอยู่ในจุดที่ Business Life cycle เข้าสู่ภาวะถอดถอย เราควรให้ความสนใจกับธุรกิจนั้นหรือไม่ :?: :?: :?:
จากความเห็นของพี่ thawattt
หากธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงของภาวะถดถอย และเราเข้าไปลงทุน นั้นคือความแตกต่างของนักลงทุนระยะยาวแบบบัฟเฟท และนักลงทุนทั่วไป คงอยู่ที่ การมองภาพธุรกิจในอนาคตข้างหน้าได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง และสามารถนำคุณค่าในอนาคตมาเทียบกับปัจจุบัน เพื่อให้เห็นความแตกต่าง Gap ของคุณค่าดังกล่าว ยิ่งมากยิ่งดี หรือที่เราเรียกว่า Margin of Safety ที่เกิดจากคุณค่าในอนาคตที่สูงกว่าคุณค่าปัจจุบันอย่างมาก และการมองคุณค่าของหุ้นที่ลงทุน จะไม่ใช่การเปรียบเทียบเพียงคุณค่าระยะสั้นเท่านั้น แต่ใช้มุมมองการเปรียบเทียบคุณค่าระยะยาวของบริษัทที่ซื้อ หรือหมายถึงทรัพย์สินที่ซื้อ (ธุรกิจที่ดีและผู้บริหารที่เก่งและมีธรรมาภิบาลที่ดี) ซึ่งสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
เป็นไปได้ไหมหากเมื่อ Business Life cycle ของธุรกิจหมุนกลับมา เข้าสูภาวะรุ่งเรื่อง(อาจไม่รุ่งโรจน์เท่าเก่า) อีกครั้ง แต่เมื่อ นำคุณค่าในอนาคตมาเทียบกับปัจจุบัน ก็จะเห็นความแตกต่างของ Gap ของคุณค่าดังกล่าว ยิ่งมากยิ่งดี หรือที่เราเรียกว่า Margin of Safety ที่เกิดจากคุณค่าในอนาคตที่สูงกว่าคุณค่าปัจจุบันอย่างมาก ใช่หรือไม่ครับ :?: :?: :?:
ไม่เก่งทั้งวิเคราะห์เทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน แต่เราก็ยังรั้นที่จะรวยเพราะหุ้น
- ply33
- Verified User
- โพสต์: 592
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 38
ขอแจมเป็น ยกตัวอย่างให้เห็นล่ะกันนะคับ
เช่น
Dell Computer ที่สัก 3-4 ปีก่อนย้อนไปขึ้นมาแซงยักใหญ่ในอุตสาหกรรม PC ได้อย่าง IBM, HP เพราะมี Biz Model ที่ต่างกันคือใช้ Direct Sell ในการเข้าถึงลูกค้า และใช้ระบบสั่งก่อน ประกอบทีหลังทำให้มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งมาก save cost ไปเยอะ
หรือ Apple Computer ที่ตามหลัง Microsoft มานาน แต่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น iPod, Apple Computer รุ่นใหม่ที่เป็นสีๆ เอาใจวัยรุ่น :lol:
ในบ้านเราก็มีเช่น RS ที่ Rebranding ตัวเองใหม่จากธุรกิจ ค่ายเพลงเป็น Digital Entertainment & Content Providor โดยตัดรูปแบบการทำงานเดิมๆที่ทำเพลง นักร้อง ศิลปิน แล้วจำหน่ายโดย เทป และ ซีดี มาเป็นการทำ Content แทน โดยตัดขายสายงานที่ขาดทุนเช่น การทำซีดี เป็นต้น
เทียบกับ GMM ที่เพิ่งกลับตัวกลับใจมาทำตาม
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้บริหารกล้าตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทั้งนั้นครับ ผู้บริหารนั้นสำคัญไชน 8)
แต่ก็มีหลายๆอย่างที่เปลี่ยน Biz Model แล้วร่วงก็มีนา
ปล เป็นความเห็นส่วนตัวคับ แชร์กันเฉยๆฮะ ไม่ได้เชียร์หุ้นนา ไม่ได้ถือด้วยคับ
เช่น
Dell Computer ที่สัก 3-4 ปีก่อนย้อนไปขึ้นมาแซงยักใหญ่ในอุตสาหกรรม PC ได้อย่าง IBM, HP เพราะมี Biz Model ที่ต่างกันคือใช้ Direct Sell ในการเข้าถึงลูกค้า และใช้ระบบสั่งก่อน ประกอบทีหลังทำให้มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งมาก save cost ไปเยอะ
หรือ Apple Computer ที่ตามหลัง Microsoft มานาน แต่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น iPod, Apple Computer รุ่นใหม่ที่เป็นสีๆ เอาใจวัยรุ่น :lol:
ในบ้านเราก็มีเช่น RS ที่ Rebranding ตัวเองใหม่จากธุรกิจ ค่ายเพลงเป็น Digital Entertainment & Content Providor โดยตัดรูปแบบการทำงานเดิมๆที่ทำเพลง นักร้อง ศิลปิน แล้วจำหน่ายโดย เทป และ ซีดี มาเป็นการทำ Content แทน โดยตัดขายสายงานที่ขาดทุนเช่น การทำซีดี เป็นต้น
เทียบกับ GMM ที่เพิ่งกลับตัวกลับใจมาทำตาม
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้บริหารกล้าตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทั้งนั้นครับ ผู้บริหารนั้นสำคัญไชน 8)
แต่ก็มีหลายๆอย่างที่เปลี่ยน Biz Model แล้วร่วงก็มีนา
ปล เป็นความเห็นส่วนตัวคับ แชร์กันเฉยๆฮะ ไม่ได้เชียร์หุ้นนา ไม่ได้ถือด้วยคับ
0--- ฉลามเสือดาว ล่องลอยไปในทะเลกว้างใหญ่ ---0
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 40
คุณPath2544
Business life cycle ที่ดีนั้น ควรมีการเติบโตไปได้เรื่อย ๆ อย่างมั่นคง โดยธุรกิจจะมีการต่อ S-curve ไปอย่างต่อเนื่อง หรือเราเรียกว่า หุ้น Superstock
ดังนั้น เวลา บัฟเฟทเลือกหุ้นที่จะลงทุน จึงมอง life cycle ที่มีการเติบโตที่ค่อนข้างยาวนานครับ และมองการเติบโตที่ค่อนข้างยั่งยืนและต่อเนื่องอีกด้วย โดยสะท้อนจากผลงานในอดีตที่ผ่านมาเป็นตัวยืนยันผลงานด้วยครับ ทำให้เขาสามารถมองเห็นคาดการณ์มูลค่าที่ได้มาจากการเติบโตของกิจการ Growth ในอนาคตของกิจการนั้น ๆ เทียบกับราคาที่ซื้อในปัจจุบันที่เป็นราคาที่เหมาะสม ไม่แพงเกินไป หรือมี Margin of Safety ที่คุ้มกับการลงทุน ยิ่งการเติบโตนั้นทำได้ใกล้เคียงกับที่เขาคาดการณ์ได้ หรือมีความเสี่ยงที่ต่ำยิ่งดี เพราะทำให้สามารถคาดการณ์มูลค่าได้ใกล้เคียงความเป็นจริง
แต่ถ้าเป็นการลงทุนแบบปีเตอร์ลินซ์ ซึ่งได้แยกกลุ่มหุ้นออกมาหลายประเภท และมีจำนวนหนึ่งซึ่งเราเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็นหุ้นวัฏจักรที่เป็น Cyclical เช่น กลุ่มรถยนต์ไคร์สเลอร์ ฟอร์ด เป็นต้น การลงทุนในกลุ่มเหล่านี้ เราต้องมีความเข้าใจธรรมชาติธุรกิจของเขาว่า ช่วงตกต่ำ ช่วงฟื้นตัว ช่วงเติบโต ช่วงอิ่มตัว และช่วงตกต่ำอยู่ตรงไหน
ปีเตอร์ลินซ์ ได้ใช้แนวคิดนี้ในการจับคุณค่าของธุรกิจวัฏจักรเหล่านี้ โดยเข้าไปลงทุนในช่วงที่ธุรกิจดังกล่าวใกล้เวลาฟื้นตัว หรืออยู่ในช่วง Turnaround ซึ่งเขามองออกว่า คุณค่าอนาคตของหุ้นพวกนี้กำลังกลับมารุ่งโรจน์ในระยะยาว ซึ่งหากเราไปดูพื้นฐานหุ้นที่เป็นข้อมูลในอดีตและปัจจุบันในขณะที่ลงทุน เราอาจรู้สึกผิดหวังกับผลงานเป็นอย่างมากเพราะเป็นหุ้นที่มี PE ค่อนข้างสูง เนื่องจากธุรกิจอาจประสบกับกำไรที่ลดน้อยถอยลงมากเป็นเวลาหลายปี หรือบางธุรกิจอาจประสบกับภาวะการขาดทุน เป็นต้น แต่ฐานะการเงินอาจยังมั่นคงอยู่ มีหนี้สินน้อย มีกำไรสะสมที่สูงพอ มีกระแสเงินสดค่อนข้างดี มีมูลค่าหุ้นทางบัญชีค่อนข้างสูง เป็นต้น ทำให้เขามองว่ามีโอกาสฟื้นตัวได้เมื่อวัฏจักรธุรกิจกลับขึ้นมาเป็นขาขึ้นใหม่ครับ
ถ้าในเมืองไทยผมขอยกตัวอย่างหุ้นวัฏจักร เช่น ถ้าเราลองไปดูข้อมูลของหุ้น ATC ในอดีตก็จะเห็นได้ชัดว่า เคยเป็นธุรกิจที่ขาดทุนมากและราคาก็ตกต่ำลงไป เข้าใจว่าต่ำกว่า 5 บาท แต่พอธุรกิจเริ่มฟื้น กำไรก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาก็ค่อย ๆ ขยับขึ้นจนเข้าใจว่า เกือบ 60 กว่าบาท และปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 40 กว่าบาทครับ
หุ้นที่เป็นวัฏจักรจึงไม่ใช่เป็นหุ้นที่เราควรถือระยะยาว และการประเมินมูลค่าจะทำได้ไม่ง่ายนัก ถ้าเราไม่เข้าใจวงจรของธุรกิจครับ และหุ้นกลุ่มนี้เราต้องขายไปก่อนที่วัฏจักรจะตกต่ำลง ซึ่งจะไม่เหมือนกับหุ้น super Stock ที่การเติบโตของกำไรจะเติบโตแบบเต่า แต่เติบโตไปเรื่อยๆ และมีอายุการเติบโตของธุรกิจที่ยาวนานกว่าครับ
เข้าใจว่าเราเคยมีกระทู้เกี่ยวกับหุ้นวัฏจักรนะครับ ลองไปหาอ่านดูนะครับ
ขอ Share และเดา ๆ ความเห็นนะครับ อิ อิหากธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงของภาวะถดถอย และเราเข้าไปลงทุน นั้นคือ
เป็นไปได้ไหมหากเมื่อ Business Life cycle ของธุรกิจหมุนกลับมา เข้าสูภาวะรุ่งเรื่อง(อาจไม่รุ่งโรจน์เท่าเก่า) อีกครั้ง แต่เมื่อ นำคุณค่าในอนาคตมาเทียบกับปัจจุบัน ก็จะเห็นความแตกต่างของ Gap ของคุณค่าดังกล่าว ยิ่งมากยิ่งดี หรือที่เราเรียกว่า Margin of Safety ที่เกิดจากคุณค่าในอนาคตที่สูงกว่าคุณค่าปัจจุบันอย่างมาก ใช่หรือไม่ครับ
Business life cycle ที่ดีนั้น ควรมีการเติบโตไปได้เรื่อย ๆ อย่างมั่นคง โดยธุรกิจจะมีการต่อ S-curve ไปอย่างต่อเนื่อง หรือเราเรียกว่า หุ้น Superstock
ดังนั้น เวลา บัฟเฟทเลือกหุ้นที่จะลงทุน จึงมอง life cycle ที่มีการเติบโตที่ค่อนข้างยาวนานครับ และมองการเติบโตที่ค่อนข้างยั่งยืนและต่อเนื่องอีกด้วย โดยสะท้อนจากผลงานในอดีตที่ผ่านมาเป็นตัวยืนยันผลงานด้วยครับ ทำให้เขาสามารถมองเห็นคาดการณ์มูลค่าที่ได้มาจากการเติบโตของกิจการ Growth ในอนาคตของกิจการนั้น ๆ เทียบกับราคาที่ซื้อในปัจจุบันที่เป็นราคาที่เหมาะสม ไม่แพงเกินไป หรือมี Margin of Safety ที่คุ้มกับการลงทุน ยิ่งการเติบโตนั้นทำได้ใกล้เคียงกับที่เขาคาดการณ์ได้ หรือมีความเสี่ยงที่ต่ำยิ่งดี เพราะทำให้สามารถคาดการณ์มูลค่าได้ใกล้เคียงความเป็นจริง
แต่ถ้าเป็นการลงทุนแบบปีเตอร์ลินซ์ ซึ่งได้แยกกลุ่มหุ้นออกมาหลายประเภท และมีจำนวนหนึ่งซึ่งเราเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็นหุ้นวัฏจักรที่เป็น Cyclical เช่น กลุ่มรถยนต์ไคร์สเลอร์ ฟอร์ด เป็นต้น การลงทุนในกลุ่มเหล่านี้ เราต้องมีความเข้าใจธรรมชาติธุรกิจของเขาว่า ช่วงตกต่ำ ช่วงฟื้นตัว ช่วงเติบโต ช่วงอิ่มตัว และช่วงตกต่ำอยู่ตรงไหน
ปีเตอร์ลินซ์ ได้ใช้แนวคิดนี้ในการจับคุณค่าของธุรกิจวัฏจักรเหล่านี้ โดยเข้าไปลงทุนในช่วงที่ธุรกิจดังกล่าวใกล้เวลาฟื้นตัว หรืออยู่ในช่วง Turnaround ซึ่งเขามองออกว่า คุณค่าอนาคตของหุ้นพวกนี้กำลังกลับมารุ่งโรจน์ในระยะยาว ซึ่งหากเราไปดูพื้นฐานหุ้นที่เป็นข้อมูลในอดีตและปัจจุบันในขณะที่ลงทุน เราอาจรู้สึกผิดหวังกับผลงานเป็นอย่างมากเพราะเป็นหุ้นที่มี PE ค่อนข้างสูง เนื่องจากธุรกิจอาจประสบกับกำไรที่ลดน้อยถอยลงมากเป็นเวลาหลายปี หรือบางธุรกิจอาจประสบกับภาวะการขาดทุน เป็นต้น แต่ฐานะการเงินอาจยังมั่นคงอยู่ มีหนี้สินน้อย มีกำไรสะสมที่สูงพอ มีกระแสเงินสดค่อนข้างดี มีมูลค่าหุ้นทางบัญชีค่อนข้างสูง เป็นต้น ทำให้เขามองว่ามีโอกาสฟื้นตัวได้เมื่อวัฏจักรธุรกิจกลับขึ้นมาเป็นขาขึ้นใหม่ครับ
ถ้าในเมืองไทยผมขอยกตัวอย่างหุ้นวัฏจักร เช่น ถ้าเราลองไปดูข้อมูลของหุ้น ATC ในอดีตก็จะเห็นได้ชัดว่า เคยเป็นธุรกิจที่ขาดทุนมากและราคาก็ตกต่ำลงไป เข้าใจว่าต่ำกว่า 5 บาท แต่พอธุรกิจเริ่มฟื้น กำไรก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาก็ค่อย ๆ ขยับขึ้นจนเข้าใจว่า เกือบ 60 กว่าบาท และปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 40 กว่าบาทครับ
หุ้นที่เป็นวัฏจักรจึงไม่ใช่เป็นหุ้นที่เราควรถือระยะยาว และการประเมินมูลค่าจะทำได้ไม่ง่ายนัก ถ้าเราไม่เข้าใจวงจรของธุรกิจครับ และหุ้นกลุ่มนี้เราต้องขายไปก่อนที่วัฏจักรจะตกต่ำลง ซึ่งจะไม่เหมือนกับหุ้น super Stock ที่การเติบโตของกำไรจะเติบโตแบบเต่า แต่เติบโตไปเรื่อยๆ และมีอายุการเติบโตของธุรกิจที่ยาวนานกว่าครับ
เข้าใจว่าเราเคยมีกระทู้เกี่ยวกับหุ้นวัฏจักรนะครับ ลองไปหาอ่านดูนะครับ
- Muffin
- Verified User
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 0
Business Model อย่างนั้นเหรอ
โพสต์ที่ 41
กระทู้ดีมากครับ เพิ่งเห็น
เพิ่งอ่านไปได้ครึ่งเดียวขอแสดงความคิดเห็นก่อน
อยากยกตัวอย่าง Business Model ที่น่าสนใจ เดี๋ยวมาเสวนาต่อครับ มันส์มากๆ
- Barnes N' Noble และ Borders เคยเป็นธุรกิจการขายหนังสือ แต่แล้วก็เกิด Amazon....เอาแค่ตัวขายหนังสือนะครับ การทำธุรกิจขายหนังสือของ Amazon มี Business Model ต่างจาก ผู้นำเก่าทั้งสองรายอย่างไร... ความได้เปรียบของเขา... มาจากอะไร อะไรถึงทำให้เป็นผู้นำได้...
- Dell Computer มี Business Model อย่างไรหนอ ถึงมีวันนี้
- กาลครั้งหนึ่งมี yahoo.com เป็นผู้นำใครๆก้ต้องรู้จัก Website เขามีโฆษณามากมาย แต่แล้ววันหนึ่ง Google.com หน้าโล้นๆเลี่ยนๆ... ก็มาแซงไปซะงั้น Business Model ของ Google คืออะไรหนอ...
- บางทีธุรกิจเดียวกัน... แค่เปลี่ยน Business Model ก็ทำให้ Cash Coversion Cycle เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไอ้เงินสดที่พี่มนจุดประเด็นนี่มันน่าสนใจมากทีเดียวครับ บางทีแค่ Business Model ที่เปลี่ยนการบริหารกระแสเงินสดเพียงอย่างเดียว ก็สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้ และหลายครั้ง แม้แต่เจ้าตลาดเดิม ...
สนุกจังครับ เดี๋ยวมานั่งอ่านต่อครับ
เพิ่งอ่านไปได้ครึ่งเดียวขอแสดงความคิดเห็นก่อน
อยากยกตัวอย่าง Business Model ที่น่าสนใจ เดี๋ยวมาเสวนาต่อครับ มันส์มากๆ
- Barnes N' Noble และ Borders เคยเป็นธุรกิจการขายหนังสือ แต่แล้วก็เกิด Amazon....เอาแค่ตัวขายหนังสือนะครับ การทำธุรกิจขายหนังสือของ Amazon มี Business Model ต่างจาก ผู้นำเก่าทั้งสองรายอย่างไร... ความได้เปรียบของเขา... มาจากอะไร อะไรถึงทำให้เป็นผู้นำได้...
- Dell Computer มี Business Model อย่างไรหนอ ถึงมีวันนี้
- กาลครั้งหนึ่งมี yahoo.com เป็นผู้นำใครๆก้ต้องรู้จัก Website เขามีโฆษณามากมาย แต่แล้ววันหนึ่ง Google.com หน้าโล้นๆเลี่ยนๆ... ก็มาแซงไปซะงั้น Business Model ของ Google คืออะไรหนอ...
- บางทีธุรกิจเดียวกัน... แค่เปลี่ยน Business Model ก็ทำให้ Cash Coversion Cycle เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไอ้เงินสดที่พี่มนจุดประเด็นนี่มันน่าสนใจมากทีเดียวครับ บางทีแค่ Business Model ที่เปลี่ยนการบริหารกระแสเงินสดเพียงอย่างเดียว ก็สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้ และหลายครั้ง แม้แต่เจ้าตลาดเดิม ...
สนุกจังครับ เดี๋ยวมานั่งอ่านต่อครับ
- Muffin
- Verified User
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 42
พูดถึงการปรับตัวทางธุรกิจ...
อันนี้สำคัญมากๆครับ
IBM บริษัทนี้ เก่าแก่มากนะครับ
ทำไม ช้างสีฟ้า แต่ netscape, lycos ใหม่กว่าตั้งเยอะ..หายไปไหนแล้วเอ่ย... ถึงยังเต้นได้ถึงทุกวันนี้ครับ
ผมว่าการปรับตัวสำคัญมากๆครับ
บางครั้ง ถ้าปรับตัวได้ช้า พอสถานการณ์เปลี่ยน จากความได้เปรียบเดิม ก็อาจจะกลายเป็นเสียเปรียบได้ ในสถานการณ์ใหม่
ดังนั้น บริษัทที่ปรับตัวตลอดเวลา และทีมบริหารที่เก่ง ตรงนี้สำคัญมากครับ
ทีมบริหารที่เก่ง <--- อันนี้ไม่มีในงบการเงิน แต่ วิสัยทัศน์และการรับรู้ถึงความเสี่ยง อันนี้หาอ่านได้
อันนี้สำคัญมากๆครับ
IBM บริษัทนี้ เก่าแก่มากนะครับ
ทำไม ช้างสีฟ้า แต่ netscape, lycos ใหม่กว่าตั้งเยอะ..หายไปไหนแล้วเอ่ย... ถึงยังเต้นได้ถึงทุกวันนี้ครับ
ผมว่าการปรับตัวสำคัญมากๆครับ
บางครั้ง ถ้าปรับตัวได้ช้า พอสถานการณ์เปลี่ยน จากความได้เปรียบเดิม ก็อาจจะกลายเป็นเสียเปรียบได้ ในสถานการณ์ใหม่
ดังนั้น บริษัทที่ปรับตัวตลอดเวลา และทีมบริหารที่เก่ง ตรงนี้สำคัญมากครับ
ทีมบริหารที่เก่ง <--- อันนี้ไม่มีในงบการเงิน แต่ วิสัยทัศน์และการรับรู้ถึงความเสี่ยง อันนี้หาอ่านได้
- Muffin
- Verified User
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 0
ขอยกตัวอย่างต่อ
โพสต์ที่ 43
ขอยกตัวอย่างต่อ...
สมมติบริษัท A กับ B ซื้อสินค้ามาผลิตเพื่อขายให้กับลูกค้า ขายของเหมือนกันเป๊ะ แล้วก็ตั้งราคาเท่ากันซะด้วย
บริษัท A ซื้อของจาก Supplier ได้ Credit 30 วัน ใช้เวลาผลิต 90 วัน ให้เครดิตลูกค้า 30 วัน
บริษัท B ซื้อของจาก Supplier ได้ Credit 60 วัน แต่มีเทคนิคเจ๋งผลิตสินค้าขายได้ในเวลา 45 วัน และรับเงินสดจากลูกค้า
โอ้ว....บริษัท B ได้เปรียบบริษัท A มหาศาล
ถ้าดู Gross Margin อาจจะเห็นไม่ชัด แต่จริงๆ 2 บริษัทต่างกันมหาศาลเลยแค่เงินทุนหมุนเวียนต่างกัน ก็เป็นตัวอย่างความได้เปรียบ ทีเกิดจาก Business model เหมือนกันครับ
สมมติบริษัท A กับ B ซื้อสินค้ามาผลิตเพื่อขายให้กับลูกค้า ขายของเหมือนกันเป๊ะ แล้วก็ตั้งราคาเท่ากันซะด้วย
บริษัท A ซื้อของจาก Supplier ได้ Credit 30 วัน ใช้เวลาผลิต 90 วัน ให้เครดิตลูกค้า 30 วัน
บริษัท B ซื้อของจาก Supplier ได้ Credit 60 วัน แต่มีเทคนิคเจ๋งผลิตสินค้าขายได้ในเวลา 45 วัน และรับเงินสดจากลูกค้า
โอ้ว....บริษัท B ได้เปรียบบริษัท A มหาศาล
ถ้าดู Gross Margin อาจจะเห็นไม่ชัด แต่จริงๆ 2 บริษัทต่างกันมหาศาลเลยแค่เงินทุนหมุนเวียนต่างกัน ก็เป็นตัวอย่างความได้เปรียบ ทีเกิดจาก Business model เหมือนกันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 44
คุณMuffin เปิดประเด็นได้น่าสนใจทีเดียว ทำให้ผมนึกถึงธุรกิจในเมืองไทยบ้างครับ
โทรศัพท์พื้นฐาน TA เดิม ตอนนี้ TRUE และ TT&T พอเจอธุรกิจมือถือ ปรากฏว่า มือถือไปรอด แถมจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นมาก
ตอนนี้พอพื้นฐานเริ่มขยายบริการเป็น Boardband Internet มากขึ้น ปรากฏว่า มือถือก็เริ่มเปลี่ยนจาก voice เป็น Non voice บ้างเหมือนกัน และพ่วงด้วยการเชื่อมต่อระบบ Internet wireless ผ่านมือถือ มากขึ้น ตรงนี้ต้องดูกันต่อไปว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เพียงแต่เท่าที่ทราบก็คือ การผ่านมือถือยังไม่ค่อยเสถียรเท่ากับผ่านสายโทรศัพท์ แต่ถ้าในอนาคตเทคโนโลยีดีขึ้น ราคาผ่านมือถือถูกลงมากขึ้น ตรงนี้ก็จะทำให้พื้นฐานเหนื่อยขึ้นอีกหรือไม่ครับ
Singer ทำ Model เช่าซื้อมาเป็นเวลากว่า 100 ปีในเมืองไทยโดยเน้นเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ปรากฏว่า พลาดไปทำ Model เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ จากที่เคยทำกำไรได้มาก พอเศรษฐกิจตกต่ำลง หนี้เสียมากขึ้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการพลิกฟื้นอยู่
ธุรกิจไปรษณ๊ย์ซึ่งธุรกิจหลักจากที่ให้บริการส่งจดหมายซึ่งเคยได้รับความนิยมในอดีตในการติดต่อสื่อสารกัน เดี๋ยวนี้ก็หันมาใช้ Email มากขึ้น ทำให้ปริมาณลดลง จึงต้องหันไปให้บริการด้านอื่น แทน เช่น การส่งเอกสารทางธุรกิจ ไปรษณีย์ชิงโชค การส่งพัสดุต่าง ๆ เป็นต้น
ความเก่าแก่ หรือความใหม่ขององค์กร ไม่ได้รับประกันความยั่งยืนของ Model ธุรกิจนั้นได้ครับ
Model ธุรกิจที่ดีจึงต้องควบคู่ไปกับการได้ผู้บริหารที่เก่งด้วย เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของลูกค้าได้ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยน หรือปรับเปลี่ยนแล้วแต่ปรับไปในทิศทางที่แย่ลง ตรงนี้คือจุดตายของธุรกิจได้เหมือนกัน
จึงต้องดูที่ความเก่งของผุ้บริหารในการวางวิสัยทัศน์ที่ดี และการปรับเปลี่ยนกระบวนการที่นำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติที่ดี โดยการสร้าง Model ธุรกิจที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการลูกค้าได้ดีอีกด้วยครับ
โทรศัพท์พื้นฐาน TA เดิม ตอนนี้ TRUE และ TT&T พอเจอธุรกิจมือถือ ปรากฏว่า มือถือไปรอด แถมจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นมาก
ตอนนี้พอพื้นฐานเริ่มขยายบริการเป็น Boardband Internet มากขึ้น ปรากฏว่า มือถือก็เริ่มเปลี่ยนจาก voice เป็น Non voice บ้างเหมือนกัน และพ่วงด้วยการเชื่อมต่อระบบ Internet wireless ผ่านมือถือ มากขึ้น ตรงนี้ต้องดูกันต่อไปว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เพียงแต่เท่าที่ทราบก็คือ การผ่านมือถือยังไม่ค่อยเสถียรเท่ากับผ่านสายโทรศัพท์ แต่ถ้าในอนาคตเทคโนโลยีดีขึ้น ราคาผ่านมือถือถูกลงมากขึ้น ตรงนี้ก็จะทำให้พื้นฐานเหนื่อยขึ้นอีกหรือไม่ครับ
Singer ทำ Model เช่าซื้อมาเป็นเวลากว่า 100 ปีในเมืองไทยโดยเน้นเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ปรากฏว่า พลาดไปทำ Model เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ จากที่เคยทำกำไรได้มาก พอเศรษฐกิจตกต่ำลง หนี้เสียมากขึ้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการพลิกฟื้นอยู่
ธุรกิจไปรษณ๊ย์ซึ่งธุรกิจหลักจากที่ให้บริการส่งจดหมายซึ่งเคยได้รับความนิยมในอดีตในการติดต่อสื่อสารกัน เดี๋ยวนี้ก็หันมาใช้ Email มากขึ้น ทำให้ปริมาณลดลง จึงต้องหันไปให้บริการด้านอื่น แทน เช่น การส่งเอกสารทางธุรกิจ ไปรษณีย์ชิงโชค การส่งพัสดุต่าง ๆ เป็นต้น
ความเก่าแก่ หรือความใหม่ขององค์กร ไม่ได้รับประกันความยั่งยืนของ Model ธุรกิจนั้นได้ครับ
Model ธุรกิจที่ดีจึงต้องควบคู่ไปกับการได้ผู้บริหารที่เก่งด้วย เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของลูกค้าได้ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยน หรือปรับเปลี่ยนแล้วแต่ปรับไปในทิศทางที่แย่ลง ตรงนี้คือจุดตายของธุรกิจได้เหมือนกัน
จึงต้องดูที่ความเก่งของผุ้บริหารในการวางวิสัยทัศน์ที่ดี และการปรับเปลี่ยนกระบวนการที่นำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติที่ดี โดยการสร้าง Model ธุรกิจที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการลูกค้าได้ดีอีกด้วยครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 45
เข้ามาดู 8)Muffin เขียน: ดังนั้น บริษัทที่ปรับตัวตลอดเวลา และทีมบริหารที่เก่ง ตรงนี้สำคัญมากครับ
ทีมบริหารที่เก่ง <--- อันนี้ไม่มีในงบการเงิน แต่ วิสัยทัศน์และการรับรู้ถึงความเสี่ยง อันนี้หาอ่านได้
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 366
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Business Model อย่างนั้นเหรอ
โพสต์ที่ 47
เข้ามารอฟังต่อ ครับMuffin เขียน:
- Barnes N' Noble และ Borders เคยเป็นธุรกิจการขายหนังสือ แต่แล้วก็เกิด Amazon....เอาแค่ตัวขายหนังสือนะครับ การทำธุรกิจขายหนังสือของ Amazon มี Business Model ต่างจาก ผู้นำเก่าทั้งสองรายอย่างไร... ความได้เปรียบของเขา... มาจากอะไร อะไรถึงทำให้เป็นผู้นำได้...
ขอบคุณล่วงหน้า
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Business Model อย่างนั้นเหรอ
โพสต์ที่ 48
อันนี้พอรู้ แต่มารอฟังเจ้า dell ว่ามีอะไรดีกว่า IBM นะครับPenguins เขียน: เข้ามารอฟังต่อ ครับ
ขอบคุณล่วงหน้า
นอกจากว่า IBM คอมมันหาความสวยไม่เจอเลย
แค่นั้นหรือเปล่าที่ทำให้ชนะไป?
bid please!!
- Muffin
- Verified User
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 49
อ้าว นึกว่าจะมาช่วยกันคิด ทำไมกลายเป็นมาช่วยกันฟังล่ะครับเนี่ย
ผมเอาจากที่ผมและเพื่อนๆเป็นลูกค้าของ Dell และชอบธุรกิจเขานะครับ ก็เล่าให้ฟังจากที่เห็นนะครับ อยากเอาละเอียดๆสงสัยต้องถามนักเรียน หรือ ผู้จบ MBA แถวนี้
Dell มีความได้เปรียบหลักๆ เพราะ Dell ไม่มีหน้าร้านครับ Dell มี Business Model ที่เป็นธุรกิจ online คำสั่งซื้อลูกค้าในบาง item ยิงถึง supplier โดยตรง เช่น จอ Monitor (เป็น Sony แปะยี่ฮ้อ Dell) จัดส่งแยก แล้วยิงไปบ้านลูกค้าเลย...การทำธุรกิจแบบ online โดยมี Value Chain ที่ได้เปรียบนี้ ทำให้ Dell มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุน
นอกจากนั้น Dell เป็นรายแรก (ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง) ที่ทำ Mass Customization คือ ขายสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าที่ตรงความต้องการตัวเองจริงๆได้ ตรงนี้ทำให้ Dell ยุคเติบโต สามารถสร้างความได้เปรียบในเชิง Differentiation ได้
จริงๆแล้ว Dell ยังมี สิ่งที่เป็นจุดขายอื่นอีก โดยเฉพาะในยุคแรก ซึ่งอาจจะเป็นที่แปลกใจสำหรับบางคน นั่นคือ Customer Service แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ที่ชื่อเสียงทางด้านนี้หายไปหลังจาก Michael Dell ลง แล้วให้ CEO คนใหม่ทำซึ่งภาพหลังโดนไล่ออก นั่นคือเรื่อง Customer Service และ CRM นั่นเอง
สำหรับ BN และ Borders กับ Amazon อ่านหนังสือ หรือ บทความเรื่อง New Game Strategy ถ้าจำไม่ผิดของ Gary Hamel (ผู้เขียน Competiing for the future คู่กับ CK. Prahalad) จะได้ idea ครับ
ผมเอาจากที่ผมและเพื่อนๆเป็นลูกค้าของ Dell และชอบธุรกิจเขานะครับ ก็เล่าให้ฟังจากที่เห็นนะครับ อยากเอาละเอียดๆสงสัยต้องถามนักเรียน หรือ ผู้จบ MBA แถวนี้
Dell มีความได้เปรียบหลักๆ เพราะ Dell ไม่มีหน้าร้านครับ Dell มี Business Model ที่เป็นธุรกิจ online คำสั่งซื้อลูกค้าในบาง item ยิงถึง supplier โดยตรง เช่น จอ Monitor (เป็น Sony แปะยี่ฮ้อ Dell) จัดส่งแยก แล้วยิงไปบ้านลูกค้าเลย...การทำธุรกิจแบบ online โดยมี Value Chain ที่ได้เปรียบนี้ ทำให้ Dell มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุน
นอกจากนั้น Dell เป็นรายแรก (ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง) ที่ทำ Mass Customization คือ ขายสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าที่ตรงความต้องการตัวเองจริงๆได้ ตรงนี้ทำให้ Dell ยุคเติบโต สามารถสร้างความได้เปรียบในเชิง Differentiation ได้
จริงๆแล้ว Dell ยังมี สิ่งที่เป็นจุดขายอื่นอีก โดยเฉพาะในยุคแรก ซึ่งอาจจะเป็นที่แปลกใจสำหรับบางคน นั่นคือ Customer Service แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ที่ชื่อเสียงทางด้านนี้หายไปหลังจาก Michael Dell ลง แล้วให้ CEO คนใหม่ทำซึ่งภาพหลังโดนไล่ออก นั่นคือเรื่อง Customer Service และ CRM นั่นเอง
สำหรับ BN และ Borders กับ Amazon อ่านหนังสือ หรือ บทความเรื่อง New Game Strategy ถ้าจำไม่ผิดของ Gary Hamel (ผู้เขียน Competiing for the future คู่กับ CK. Prahalad) จะได้ idea ครับ
- NinjaTurtle
- Verified User
- โพสต์: 506
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 50
ช้างสีฟ้าไม่ใช่ช้างตัวเดิมแล้วนะครับ อย่างที่เราทราบกันดีว่าตอนนี้ IBM ไม่ใช่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์แล้วนะครับ เขาขายส่วนของการผลิตคอมพิวเตอร์ให้กับ OEM ของเขาไปก็คือ Lenovo ซึ่งก็ผลิตให้ IBM มาตั้งนานแล้วMuffin เขียน:พูดถึงการปรับตัวทางธุรกิจ...
อันนี้สำคัญมากๆครับ
IBM บริษัทนี้ เก่าแก่มากนะครับ
ทำไม ช้างสีฟ้า แต่ netscape, lycos ใหม่กว่าตั้งเยอะ..หายไปไหนแล้วเอ่ย... ถึงยังเต้นได้ถึงทุกวันนี้ครับ
ผมว่าการปรับตัวสำคัญมากๆครับ
งานของIBM ปัจจุบันนี้คือพัฒนาsoftware เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทใหญ่ๆ รวมทั้งเป็น outsource บริการด้าน IT ด้วย ในเมืองไทยธนาคารกสิกรก็ outsource งาน IT ให้ IBM ทำครับ
ถึงได้ว่ามันไม่ใช่ช้างงานตัวเดิมแต่มันเป็นช้างโชว์ไปแล้ว งานพัฒนาsoftware และ OUtsource มันมีมาร์จิ้นดีกว่าขายคอมเยอะนะครับ ขายคอมก็ต้องไปสู้กันด้วยการลดต้นทุนกินมาร์จิ้นต่ำเพิ่มขนาด และก็อย่างที่คุณมัฟบอกวิศัยทัศน์ของผู้บริหารสำคัญครับ
การที่จะมองว่าอนาคตของตลาดจะไปทางไหน มองอนาคตบริษัทว่าจะต้องปรับตัวอย่างไร และจำเป็นต้องปรับตัวได้ทันเวลาครับ
- ply33
- Verified User
- โพสต์: 592
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 51
สุดยอดเลยครับ คุณ Muffin ตรงใจมากๆคับ ขอขยายความเพิ่มนะครับ Dell มาบุกตลาดตอนหลังจากที่ตลาด PC มีเจ้าตลาดอย่างยักษ์ฟ้า (IBM ที่ตอนนี้เป็น Lenovo ไปแล้ว) และเจ้าอื่นๆอีกมาก ทำให้ Dell ต้องคิดหา Biz Model ใหม่เพื่อรุกตลาด ช่องทางที่ Dell ทำก็คืออย่างที่ คุณ Muffin บอก Mass Customization & Direct Sell ลองนึกดูว่า มีเจ้าตลาดอยู่แล้วไปห้างไหนเดินที่ไหนก็มีแต่หน้าร้าน IBMMuffin เขียน:Dell มีความได้เปรียบหลักๆ เพราะ Dell ไม่มีหน้าร้านครับ Dell มี Business Model ที่เป็นธุรกิจ online คำสั่งซื้อลูกค้าในบาง item ยิงถึง supplier โดยตรง เช่น จอ Monitor (เป็น Sony แปะยี่ฮ้อ Dell) จัดส่งแยก แล้วยิงไปบ้านลูกค้าเลย...การทำธุรกิจแบบ online โดยมี Value Chain ที่ได้เปรียบนี้ ทำให้ Dell มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุน
นอกจากนั้น Dell เป็นรายแรก (ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง) ที่ทำ Mass Customization คือ ขายสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าที่ตรงความต้องการตัวเองจริงๆได้ ตรงนี้ทำให้ Dell ยุคเติบโต สามารถสร้างความได้เปรียบในเชิง Differentiation ได้
จริงๆแล้ว Dell ยังมี สิ่งที่เป็นจุดขายอื่นอีก โดยเฉพาะในยุคแรก ซึ่งอาจจะเป็นที่แปลกใจสำหรับบางคน นั่นคือ Customer Service แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ที่ชื่อเสียงทางด้านนี้หายไปหลังจาก Michael Dell ลง แล้วให้ CEO คนใหม่ทำซึ่งภาพหลังโดนไล่ออก นั่นคือเรื่อง Customer Service และ CRM นั่นเอง
Dell ก็เลยทำเป็น Online Store ขึ้นมาลูกค้าเข้าไปเลือกได้เลยว่า จะเอารุ่นไหนแยกเป็นส่วนๆ เม็มโมรี่เท่าไร ความแรง CPU เท่าไร แล้วจะบอกเลยว่าลูกค้าต้องจ่ายเท่าไร ประกอบกับการการันตีส่งถึงหน้าบ้าน ภายใน2-3วัน(ไม่แน่ใจ) ลองดูโฆษนาของ Dell จะโดนใจมาก สั่งเสร็จมาส่งทันที
การทำตลาดแบบนี้ทำให้ Dell ไม่มีต้นทุนในการทำ Inventory หรือการ Stock สินค้า และไม่มีต้นทุนในการเปิดหน้าร้าน ส่วนถ้าลูกค้ามีปัญหาก็จะใช้ช่าง Local เข้าไปให้บริการแทน นอกจากนี้ยังทำให้ต้นทุนต่อเครื่องของ Com ถูกกว่าคู่แข่งด้วย
ดังนั้นเห็นตั้งแต่แรกเลยว่าชนะใสๆๆ เหอๆๆ
ปัจจุบันเป็นยุคเปลี่ยนผ่านครับ เพราะ ไมเคิล เดลล์ที่ขึ้นไปเป็นประธานบริหารกลับลงมาเป็น CEO อีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาที่คุณ Muffin บอกไว้คับ
0--- ฉลามเสือดาว ล่องลอยไปในทะเลกว้างใหญ่ ---0
- ply33
- Verified User
- โพสต์: 592
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 52
เรื่อง Amazon นั้น ผมชอบมากๆครับเพราะเป็นหนึ่งในไม่กี่รายที่เป็นสัญญลักษณ์ของ Dot Com BOOM !!! แล้วยังยิ่งใหญ่อยู่ได้ เช่น EBAY ครับMuffin เขียน: สำหรับ BN และ Borders กับ Amazon อ่านหนังสือ หรือ บทความเรื่อง New Game Strategy ถ้าจำไม่ผิดของ Gary Hamel (ผู้เขียน Competiing for the future คู่กับ CK. Prahalad) จะได้ idea ครับ
น่าสนใจมากๆ รอคนอื่นมาต่อ ฮะ หรือคุณ Muffin ช่วยต่อทีฮะ :D
0--- ฉลามเสือดาว ล่องลอยไปในทะเลกว้างใหญ่ ---0
- path2544
- Verified User
- โพสต์: 543
- ผู้ติดตาม: 0
ต่อๆๆอีก..
โพสต์ที่ 54
เรื่อง Amazon หากมองมุมที่ไม่คำนึงถึงการจินตนาการในอนาคต
โดยปัจจุบันผมไม่ทราบว่า Amazon มีกำไรแล้วหรือยัง (จำได้ว่าตอนดูครั้งสุดท้ายมันยังขาดทุนอยู่)
ไม่ทราบใครพอรู้มั่งครับ ว่าตอนนี้ยังขาดทุนอยู่หรือเปล่า
โดยปัจจุบันผมไม่ทราบว่า Amazon มีกำไรแล้วหรือยัง (จำได้ว่าตอนดูครั้งสุดท้ายมันยังขาดทุนอยู่)
ไม่ทราบใครพอรู้มั่งครับ ว่าตอนนี้ยังขาดทุนอยู่หรือเปล่า
ไม่เก่งทั้งวิเคราะห์เทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน แต่เราก็ยังรั้นที่จะรวยเพราะหุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 55
มาต่อให้ครับเรื่อง Barnes&Noble ทำไมถึงโดนเจ้า Amazon ตีเสียอยู่หมัด
ด้วย story ที่คล้ายๆกันกับ Dell
Amazon เป็นเจ้าใหญ่ร้านจีฉ่อย online ขายมันสารพัดไปทั่ว
รวมไปถึงหนังสือด้วย ที่สารมารถเลือกได้สารพัดไม่ว่าจะหนังสือประเภทไหน
เป็นหน้าร้านที่สามารถนำเสนอถึงห้องนอนของเหล่าหนอนหนังสือ
ทั้งยังมี cost การstockสินค้าและค่าสถานที่
ที่ต่ำกว่า Barnes&noble มากมาย รวมไปถึงจุดตายที่อยู่หมัด
ด้วย cost ที่ต่ำกว่า Amazon ขายในราคาต่ำกว่าปกถึง 20-40%
ในหนังสือยอดฮิต best sellerทั้งหลาย
บางเล่มที่กำลังจะมี Edition ใหม่ออก ของเก่าโละทิ้ง
ราคาปก20$เหลือ 0.99$!!
ขายแบบไม่ปราณี
ราคานี้ยังไง ร้านหนังสือทั่วไปไม่มีทางขายได้
รวมไปถึงปรากฏการณ์ที่ คนไปเดินชมหนังสือที่ Barnes&Noble
เพื่อกินบรรยากาศเฉยๆ เลือกหนังสือได้แล้ว สุดท้ายก็ค่อยมาสั่งซื้อ online
ทำเอาBN ชีช้ำถึงขั้นต้องมาเปิดหน้า web online สู้บ้าง
แต่ดูเหมือนจะช้าไป คนติดAmazon ไปซะแล้ว
รวมไปถึงระบบการขายหนังสือมือสองผ่านweb ที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน
แล้วกินค่า Fee จากคนสั่งซื้อและผู้ขาย
Amazon แทบไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไร
นอกจากการset upระบบ interface หน้า webและอีกนิดหน่อยเท่านั้น
ทำเอาร้านขายหนังสือทั่วไปหาทางกลับบ้านไม่ถูก
ยอดขายหนังสือมือหนึ่งหลายเล่มลดลงอย่างมีนัยยะ
เมื่อการหาหนังสือมือสองที่สภาพใหม่เอี่ยมไม่ใช่เรื่องยากอีก
ผมเองก็ได้ Beating the street- Peter Lynch ปกแข็ง
สภาพเหมือนไม่เคยมีคนเปิด มาในราคา 0.50$+3.49 ค่าส่ง
เทียบราคาปกจริงลดไปเกือบ 80%
Lord of the ring serie 3เล่ม 2.97$+ค่าส่ง
เป็นตลาดที่เคยเสมือนหนึ่งว่า กำไรเยอะ ราคาปก*4 ได้ราคาขาย
เจอเจ้า Amazon มันทำเหลือ *2.5 ที่เหลือเอาเข้ากระเป๋า
เกิด price war ย่อยๆแบบที่คนซื้อดีใจ คนขายกระอัก
ด้วย story ที่คล้ายๆกันกับ Dell
Amazon เป็นเจ้าใหญ่ร้านจีฉ่อย online ขายมันสารพัดไปทั่ว
รวมไปถึงหนังสือด้วย ที่สารมารถเลือกได้สารพัดไม่ว่าจะหนังสือประเภทไหน
เป็นหน้าร้านที่สามารถนำเสนอถึงห้องนอนของเหล่าหนอนหนังสือ
ทั้งยังมี cost การstockสินค้าและค่าสถานที่
ที่ต่ำกว่า Barnes&noble มากมาย รวมไปถึงจุดตายที่อยู่หมัด
ด้วย cost ที่ต่ำกว่า Amazon ขายในราคาต่ำกว่าปกถึง 20-40%
ในหนังสือยอดฮิต best sellerทั้งหลาย
บางเล่มที่กำลังจะมี Edition ใหม่ออก ของเก่าโละทิ้ง
ราคาปก20$เหลือ 0.99$!!
ขายแบบไม่ปราณี
ราคานี้ยังไง ร้านหนังสือทั่วไปไม่มีทางขายได้
รวมไปถึงปรากฏการณ์ที่ คนไปเดินชมหนังสือที่ Barnes&Noble
เพื่อกินบรรยากาศเฉยๆ เลือกหนังสือได้แล้ว สุดท้ายก็ค่อยมาสั่งซื้อ online
ทำเอาBN ชีช้ำถึงขั้นต้องมาเปิดหน้า web online สู้บ้าง
แต่ดูเหมือนจะช้าไป คนติดAmazon ไปซะแล้ว
รวมไปถึงระบบการขายหนังสือมือสองผ่านweb ที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน
แล้วกินค่า Fee จากคนสั่งซื้อและผู้ขาย
Amazon แทบไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไร
นอกจากการset upระบบ interface หน้า webและอีกนิดหน่อยเท่านั้น
ทำเอาร้านขายหนังสือทั่วไปหาทางกลับบ้านไม่ถูก
ยอดขายหนังสือมือหนึ่งหลายเล่มลดลงอย่างมีนัยยะ
เมื่อการหาหนังสือมือสองที่สภาพใหม่เอี่ยมไม่ใช่เรื่องยากอีก
ผมเองก็ได้ Beating the street- Peter Lynch ปกแข็ง
สภาพเหมือนไม่เคยมีคนเปิด มาในราคา 0.50$+3.49 ค่าส่ง
เทียบราคาปกจริงลดไปเกือบ 80%
Lord of the ring serie 3เล่ม 2.97$+ค่าส่ง
เป็นตลาดที่เคยเสมือนหนึ่งว่า กำไรเยอะ ราคาปก*4 ได้ราคาขาย
เจอเจ้า Amazon มันทำเหลือ *2.5 ที่เหลือเอาเข้ากระเป๋า
เกิด price war ย่อยๆแบบที่คนซื้อดีใจ คนขายกระอัก
bid please!!
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 58
ค่าเช่าโกดังเก็บสินค้าแถบชานเมือง1โกดัง
เทียบกับค่าเช่าตึก Flag store กลางเมืองประมาณ15สาขา+ชานๆเมือง
อีกเป็นสิบสาขา
ค่าใช้จ่ายน่าจะต่างกันเดือนละร่วมเป็นล้านเหรียญ
มีแบบนี้ไปทั่วอเมริกาหลายร้อยสาขา
เทียบบรรญัติไตรยางศ์แล้วก็ประหยัดกว่ากันเยอะนะครับ
อย่างที่ทุกท่านทราบกันว่า ราคาหนังสือจากโรงพิมพ์ต้องมาบวกอีกเยอะ
ถึงจะได้ราคาปกที่ขายตามร้าน ถ้าเจ้าไหนประหยัดค่าเช่าร้านได้แล้ว
ก็ย่อมขายได้ถูกกว่า
ถ้าพูดถึงคู่แข่งเจ้า amazon ผมคงยกให้ half.com(ebay)
ที่อยู่ในมวยชั้นเดียวกัน สูสีมาก
เทียบกับค่าเช่าตึก Flag store กลางเมืองประมาณ15สาขา+ชานๆเมือง
อีกเป็นสิบสาขา
ค่าใช้จ่ายน่าจะต่างกันเดือนละร่วมเป็นล้านเหรียญ
มีแบบนี้ไปทั่วอเมริกาหลายร้อยสาขา
เทียบบรรญัติไตรยางศ์แล้วก็ประหยัดกว่ากันเยอะนะครับ
อย่างที่ทุกท่านทราบกันว่า ราคาหนังสือจากโรงพิมพ์ต้องมาบวกอีกเยอะ
ถึงจะได้ราคาปกที่ขายตามร้าน ถ้าเจ้าไหนประหยัดค่าเช่าร้านได้แล้ว
ก็ย่อมขายได้ถูกกว่า
ถ้าพูดถึงคู่แข่งเจ้า amazon ผมคงยกให้ half.com(ebay)
ที่อยู่ในมวยชั้นเดียวกัน สูสีมาก
bid please!!
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 59
หุ้นปั่น สวนนรก N-PARK นี่ตอนเปิดตัวมาโมเดลสุดเจ๋งครับ ขนาดคุณดนัย ยังเอาไปเขียนต่อท้ายในหนังสือ Rebuiling The Corpoarate Genome ที่แกแปล
แล้วสุดท้าย ก็เป็นหุ้นเน่าคาตลาดครับ ทำเอานักลงทุนเจ๊งไปกับหุ้นนี้น่าจะราวๆ ห้าหมื่นล้านบาท
50,000,000,000 บาท
แล้วสุดท้าย ก็เป็นหุ้นเน่าคาตลาดครับ ทำเอานักลงทุนเจ๊งไปกับหุ้นนี้น่าจะราวๆ ห้าหมื่นล้านบาท
50,000,000,000 บาท
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
โพสต์ที่ 60
1. ผมอยากเสนอต่อเป็นแบบนี้ เป็น Metrix X-Y ที่เขียนออกมาแล้วก็เข้าใจได้ง่ายดี และเป็นการแยกตัวสินค้าออกจาก BIZ MODEL เพื่อไม่ให้ปนกันด้วยครับ
BIZ MODEL
PRODUCT
(INDUSTRY) XX
ต.ย. BIZ Model : การผลิต แบ่งย่อยออกมาเป็นการผลิตแบบต่าง ๆ, การบริการ แบ่งย่อยออกมาเป็น Logistic, Delivery, Retail etc. (หัวข้อตรงนี้ยิ่งจัดหมวดหมู่ก็ยิ่งสนุก ยิ่งแตกความคิดออกมา -> ผมใช้วิธี Reverse engineer นะครับ โดยหยิบบริษัทขึ้นมาก่อน แล้วค่อยสร้าง field ใหม่ ๆ)
ต.ย. Product : Food, Industrial products, Household, Service, etc.
2. ผมได้ลอง Map สินค้าในตลาดหุ้นบ้านเราเทียบกับอเมริกา แล้วก็เห็นว่า BIZ MODEL เรายังล้าหลังกว่ามาก (ทั้งแกน X และ Y) แต่บางบริษัทที่ล้ำหน้ากว่าเมื่อเทียบกันเองในบ้านเรากันเอง ก็เห็นได้ชัดว่าเติบโตได้ 1) เร็ว 2) ยั่งยืนกว่า นั่งใส่ ๆ ค่าบริษัทลงไปเรื่อย ๆ ในตารางสนุกมากครับ
3. เพราะในธุรกิจนั้นบางครั้งบริษัทก็ปรับที่ BIZ MODEL บางครั้งก็ปรับที่ตัวสินค้า ใครที่ปรับสองส่วนนี้ได้ส่วนประสมที่กลมกลืนและเข้ากับ Lifestyle สมัยใหม่ที่สุด ก็เห็นได้ชัดว่ามีชัยชนะครับ
BIZ MODEL
PRODUCT
(INDUSTRY) XX
ต.ย. BIZ Model : การผลิต แบ่งย่อยออกมาเป็นการผลิตแบบต่าง ๆ, การบริการ แบ่งย่อยออกมาเป็น Logistic, Delivery, Retail etc. (หัวข้อตรงนี้ยิ่งจัดหมวดหมู่ก็ยิ่งสนุก ยิ่งแตกความคิดออกมา -> ผมใช้วิธี Reverse engineer นะครับ โดยหยิบบริษัทขึ้นมาก่อน แล้วค่อยสร้าง field ใหม่ ๆ)
ต.ย. Product : Food, Industrial products, Household, Service, etc.
2. ผมได้ลอง Map สินค้าในตลาดหุ้นบ้านเราเทียบกับอเมริกา แล้วก็เห็นว่า BIZ MODEL เรายังล้าหลังกว่ามาก (ทั้งแกน X และ Y) แต่บางบริษัทที่ล้ำหน้ากว่าเมื่อเทียบกันเองในบ้านเรากันเอง ก็เห็นได้ชัดว่าเติบโตได้ 1) เร็ว 2) ยั่งยืนกว่า นั่งใส่ ๆ ค่าบริษัทลงไปเรื่อย ๆ ในตารางสนุกมากครับ
3. เพราะในธุรกิจนั้นบางครั้งบริษัทก็ปรับที่ BIZ MODEL บางครั้งก็ปรับที่ตัวสินค้า ใครที่ปรับสองส่วนนี้ได้ส่วนประสมที่กลมกลืนและเข้ากับ Lifestyle สมัยใหม่ที่สุด ก็เห็นได้ชัดว่ามีชัยชนะครับ