หน้า 2 จากทั้งหมด 2
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 20, 2008 11:22 pm
โดย อินทรีย์ทองแดง
ชอบกระทู้นี้จิงๆครับ
ชอบที่พี่be my guest ถาม
ชอบที่พี่chatchai ตอบ
มันคือแก่นอย่างนึงของการลงทุนแนวนี้เลยนะผมว่า
ช่วยเข้ามาถาม
แล้วก็ช่วยเข้ามาตอบ
ผู้น้อยจะได้เปิดหูเปิดตา
ชอบที่จะฟังข้อเสียของหลายๆกิจการน่ะครับ
อยากupกระทู้นี้ไว้ส่วนบนของบอร์ดเรื่อยๆจัง
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 20, 2008 11:44 pm
โดย สวนหย่อม
เพิ่งเคยอ่านกระทู้นี้ ขอบคุณมากครับที่ดัน
พี่ฉัตรกับพี่เจ๋งนี่ควรค่าแก่การคารวะจริงๆ
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 26, 2009 7:33 pm
โดย uncleBE
ขอเก็บผลึกความรู้ด้วยคนครับ
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 26, 2009 10:28 pm
โดย Boyadvance
กำลัง คิดอยู่เลยว่า จะทำไง กับ หุ้น ที่ขึ้นมา เยอะ
ลงทุนปีแรก หาเงินเอง(ยังไม่ได้ทำงาน) ยังไม่ได้เยอะ แบบนี้เลย
สับสน ไปหมด พอเห็นกำไรแล้ว มันรู้สึกอยากขายเอาเงินมาใช้
แบบนี้ มีใครเป็นบ้างครับ ความรู้สึก แบบนี้ กลยุทธ์ไหน จะแก้ได้บ้างครับ
ขอชื่นชม เว็บไซด์ VI
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 16, 2010 4:13 pm
โดย kumchai
ผมเป็นนักลงทุน vi คนหนึ่ง ชื่นชอบแนวทางการลงทุนแบบนี้มาก เพราะจะทำให้ได้ผลตอบแทนระยะยางที่สูง เว็บไซด์ VI ดีมาก ได้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการลงทุนมาก ๆ คิดว่าดีกว่าเว็บอื่นๆ ทั้งหมด ผมขอเข้าร่วมเป็นสมาชิก เว็บ VI ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป และขอมีส่วนร่วมข้อมูลการลงทุนกับทุก ๆท่าน
นักลงทุน VI
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2010 7:36 pm
โดย jo7393
[quote="chatchai"]นักเล่นหุ้นถ้ายังทำใจไม่ได้มักจะเกิดเหตุการณ์ให้เสียดายเป็นประจำครับ
เช่น
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 03, 2010 5:08 pm
โดย Paul VI
[quote="chatchai"]นักเล่นหุ้นถ้ายังทำใจไม่ได้มักจะเกิดเหตุการณ์ให้เสียดายเป็นประจำครับ
เช่น
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 03, 2010 8:25 pm
โดย thalucoz
โดนใจมาก ๆๆๆๆๆ เลยครับพี่ฉัตรชัย
เกิดมาหลายรอบเลยครับอาการ อยากขายแต่กลัวซื้อคืนไม่ได้ และแล้วก็เป็นไปตามที่คาด ขายไปละ ราคาก็ขึ้นต่อ ตอนนี้ก็ไปไกลกว่าที่ผมจะซื้อคืนล่ะ นั่นคือ SE-ED ครับ
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 03, 2010 11:52 pm
โดย หมีบึงกุ่ม
กระทู้นี้เป็นประเด็นที่ให้คิดอยู่เสมอๆ ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาเลยครับ
โดยเฉพาะตอนนี้ที่ผมคิดอยู่บ่อยๆ ว่า "ขึ้นมาเร็วขนาดนี้ ขายซะรอบหนึ่งก่อนดีไหมนะ?"
บ้านผมก็บอกว่าออกตัวเอากำไรมาซะก่อน บวกในพอร์ตไม่ใช่เงินจริง
ผมก็ยังลังเลอยู่ตลอดระหว่างหลายแนวคิดที่ได้อ่านมา
1. ดูช่วงห่างระหว่างราคาปัจจุบันกับราคาเป้าหมายถ้าเริ่มห่างน้อยหรือเกินเป้าไปแล้วก็ให้ขายไปซื้อตัวที่ยังมีช่วงห่างมาก อันนี้ใช้ได้ทั้งหุ้นขึ้นและลง จะใช้ได้ดีต้องคอยหาโอกาสอยู่เสมอๆ ติดตามหุ้นเยอะหลายตัวเพื่อเพิ่มโอกาส มีการปรับพอร์ตบ่อยครั้งกว่า ถือหุ้นไม่นานมากเพราะราคาเป้าหมายอย่างมากเพียง 1-2 ปีข้างหน้าเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นต้องคอยหาข่าว ทำความเข้าใจการทำเงินของธุรกิจเพื่อประมาณการกำไรในอนาคตในช่วงระยะเวลาดังกล่าว และประเมินราคาเป้าหมายของกิจการในลักษณะนี้ในสภาวะตลาดหุ้นนั้นๆ โดยดูว่าควรจะมี P/E เท่าไร
ข้อดี
หากคิดถูกมีการหมุนเวียนเร็ว เติบโตจากการทบต้นได้เร็วกว่าถือหุ้นนานผ่านการนั่งรถไฟเหาะ
สิ่งที่กังวล
ราคาเป้าหมายผิดพลาด เปลี่ยนตัวแล้วไม่ได้บวกแต่อย่างเดียวมีลบด้วย ทำให้ถอยหลังบ้าง อาจจะเกี่ยงราคามากกว่าเนื่องจากมีผลต่อ MOS ค่อนข้างมากกว่า
2. ดูกิจการเป็นหลักยังดีอยู่ไปได้ดีก็ถือต่อยาวๆ ไปตราบเท่าที่กิจการยังดีอยู่ จะราคาเกินเป้าหมายไปบ้างก็ช่าง แค่เกินราคาเป้าใน 1 หรือ 2 ปีข้างหน้าจะเป็นไรไป (โอกาสจะเกินเป้าพรวดพราดเป็น 10 ปีคงยาก) หากว่ายังดีก็ถือไปเรื่อยๆ เข้าใจว่าเหมือนตัวอย่างที่ซื้อกิจการ Pin Ball ของบัฟเฟตที่วางในร้านตัดผมว่าต้องดูว่ากิจการนี้น่าจะสร้างกระแสเงินสดในอนาคตได้เท่าไรและคิดลดมาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน
ข้อดี
เลือกใส่ใจเฉพาะหุ้นที่มีความเข้าใจไม่กี่ตัว ติดตามง่าย ถ้าทำใจได้ก็ทิ้งยาวๆ ไปได้เลย ตลาดปิดไปก็ไม่เป็นไร การเกี่ยงราคาซื้ออาจน้อยกว่าเนื่องจาก MOS เยอะเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายอีกไกล
สิ่งที่กังวล
เติบโตช้า หากผิดตัว เสียเวลาไม่มีโอกาสย้อนเวลามาคิดใหม่
พิมพ์เองงงเองเหมือนกันผมยังไม่ค่อยเข้าใจในประเด็นเหล่านี้ชัดเจนเลยเอาอันไหนดี 1 หรือ 2 หรือผสมกันแล้วแต่สถานการณ์และประสบการณ์ หรือไม่ใช่ทั้งสองเพราะมีแบบอื่นอีก หรือไม่ใช่ทั้งสองเพราะไม่เข้าใจอะไรถูกเลยซักอย่าง
หวังว่าสักวันได้อ่านอะไรที่ทำให้ตัวเองเข้าใจ
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 09, 2010 8:18 pm
โดย GP-02
สมมุติจาก 10 บาทไป 20 บาทจริง เรามี 10000 หุ้น ถ้าหุ้นยังดีอยู่แต่เราคันมือทำแบบนี้ได้ไหมครับ ตั้งขายไป 20.20 20.30 20.40 ไปเรื่อยๆ ทีละ 1000 หุ้น แล้วก็ตั้งซื้อ 19.80 19.70 19.60 ไล่ไปเรื่อยทีละ 1000 หุ้น อิอิ มันจะแก้อาการคันได้ไหมครับ วิธีนี้จะเป็นยังไงครับ
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 25, 2010 7:39 pm
โดย ซุนเซ็ก
อ่านกระทู้นี้แล้ว...เหมือนแหวกเมฆให้ผมเห็นแสงสว่าง
กำลังอึดอัดใจกับหุ้นตัวนึง รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ต้องรอผลประกอบการ
แต่มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะวุ่นวายใจ
พออาจกระทู้นี้แล้วก็รู้สึกดีขึ้น โล่งขึ้นเยอะ
โดยเฉพาะพี่ฉัตรชัย กับ พี่เจ๋ง อ่านแล้วตกผลึกเลยครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 25, 2010 8:07 pm
โดย CHOOKY
ขอบคุณ คุณ chatchai มากครับ :)
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 07, 2010 8:43 pm
โดย yoko
คุณฉัตรชัยตอบได้ดีจริงครับ ผมก็ค่อยศึกษาแนวนี้แบบค่อยเป๊นค่อยไป
เช่น
WG ผมก็ถือและรับปันผล เป๊นหุ้นที่ฝึกความอดทน
KIAT เคยมี 5บาท ขายไปหมดที่16บาทเพราะคิดว่าโตเร็วเกินไป หล ัง
จากนั้นเขาวิ่งไป21บาท ไม่เสียดายเลย
CPF มีหลายราคาต่ำสุด3.58บาท ทยอยขายไปตั้งแต่8บาท
ยังเหลืออีกเยอะพอควร เพราะกำไรบริษัทเติบโตจริง
Re: ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่าง
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 07, 2010 8:59 pm
โดย softman
CEO เขียน:
ผมขอตั้งข้อสังเกตตรงนี้ครับว่าการไล่ราคามันเป็นพฤติกรรมการเก็งกำไร
ถ้ามีการเข้าเก็งกำไรมันย่อมไม่ผิดถ้าจะใช้วิธีเดียวกันในเวลานั้น
เพราะถ้าเราอยู่เฉยกลับกลายเป็นว่าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ถ้าไม่มีการไล่ราคาหรือมีการเก็งกำไรขึ้นเราก็ไม่ควรจะไปทำอะไรเพราะราคามันจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงในที่สุด
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้มีการเก็งกำไร ราคามันก็จะเข้าสู่สมดลในที่สุดโดยจะวิ่งเข้าหามูลค่าแท้จริง แต่ถ้าการไล่ราคากระทำในจุดที่เต็มมูลค่าแล้วและทำให้มันวิ่งเกินมูลค่าไปมากๆจะทำให้มีการเทขายอย่างรุนแรงจนเกือบจะกลายเป็นของไร้มูลค่าไปและกลายเป็นของที่ไม่มีคนสนใจไปนานเช่นหุ้น VNG
ขอบคุณทั้งคำถามและคำตอบมากๆ เลยครับ ชอบมากๆ ครับ
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 08, 2010 4:27 pm
โดย Value005
อยากถามต่อครับ
ว่าเราจะมีวิธีกำหนดราคาเป้าหมายอย่างไร ที่คิดว่าเหมาะสม
ไม่สูงเกินไปจนหุ้นไปไม่ถึง หรือต่ำเกินไปจนขายหมูครับ
Re: ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่าง
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 28, 2014 12:40 pm
โดย Plant
สวัสดีครับ ผมไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านใน "คลังกระทู้คุณค่า" สักเท่าไร
แต่พอดีวันนี้นึกถึงวิธี "คลายเครียดเรโช" ของเฮียคลายเครียดขึ้นมา
จึงลองเข้ามาหาในนี้ ปรากฎว่าเจอเรื่องอื่นที่น่าสนใจและเป็นคุณค่า
เยอะจริงๆครับ (แต่เรื่องเฮียคลายเครียดยังหาไม่เจอ...T-T)
ช่วงนี้ผมคงต้องมาสิงสถิตในคลังนี้สักพักครับ....^^)
ดังนั้น ขอประเดิมกับกระทู้นี้ก่อนครับ
จากที่ลงทุนผ่านมา ผมยังไม่เจอตัวที่ผมขายไปแล้วราคาวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆนะครับ
(ประสบการณ์ยังน้อยนิด) แต่หลักการที่ผมจะขาย ผมค่อยๆพัฒนามาเรื่อยๆ
จนได้หลักมาดังนี้ครับ
1) ต้องรู้ว่าขายแล้วจะเอาเงินที่ได้ไปทำอะไรต่อ??
คือ ต้องมีเหตุผลก่อนครับว่าจะเอาเงินไปทำอะไรต่อ ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร
ก็ไม่รู้ว่าจะขายไปทำไม??? ครับ
2) เอาเงินไปทำอะไรต่อ ก็มี 2 แบบ ครับ ลงทุนในหุ้น หรือไปลงทุนอย่างอื่นที่
ได้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้น (หายากนะนี่)
ถ้าจะลงในหุ้น ก็มีทางเลือกอีกว่า จะซื้อหุ้นตัวเดิม(คือคิดว่ามันจะลงเพราะ
ราคาที่ขึ้นมามันสูงไป) กับ ไปซื้อหุ้นตัวใหม่ที่ดีกว่า หรือราคายังไม่มา(อันนี้
แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน)
3) ผมจะมองในการซื้อหุ้นตัวเดิมซะมากกว่า (เพราะหุ้นที่เราถือคือหุ้นที่เราวิเคราะห์
มาว่าดีแล้วจริงๆเราถึงกล้าถือและหุ้นที่ดีๆในแบบที่เราชอบหาไม่ได้ง่ายๆในตลาด
หุ้นซะด้วยสิ)
ตรงนี้ผมขอชี้แจงการซื้อหุ้นของผมก่อนที่จะขายนะครับ ตัวที่ผมซื้อ
ผมมองทั้งการได้เงินปันผลที่ % ที่ผมยอมรับได้(3.5% อย่างต่ำ) และต้องซื้อที่
ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เราประเมินไว้(เผื่อ MOS ไว้ 10-30% ตามความมั่นใจจาก
การประเมินราคาและคุณภาพของบริษัท) ผมถึงจะซื้อ และเมื่อมีเหตุการณ์ที่
ราคาขึ้นมามากๆ เกินกว่าที่เราได้ประเมินมูลค่าไว้ในตอนแรก ในประเด็นนี้คือเรา
คิดว่าราคาขึ้นมามากเกินไปเดี๋ยวก็ต้องลง ผมก็จะใช้วิธีคลายเครียดเรโช(ซึ่งผมยัง
หาบทความวิธีของเฮียแกไม่เจอ...T-T) คือขายไปส่วนนึงดึงเงินทุนกลับมาแล้ว
ปล่อยส่วนที่เหลือไว้ติดตามต่อไป(นั่นคือไม่ได้ขายหมดทั้งพอร์ท) แล้วประเด็นก็
จะมาอยู่ที่ว่า แล้วราคาสูงแค่ไหนหละที่เราจะขาย
ในแบบของผมผมจะนำมาคิดเปรียบเทียบกับการคำนวน PE ครับ คือมองที่กำไร
ของบริษัทว่าราคาเท่านี้ กับกำไรที่บริษัททำได้เท่านี้ PE มันจะไปที่เท่าไร
ซึ่งมันก็มีอีก 2 ตัวแปร คือ 1)กำไรที่เราประเมินต้องมองถึงอนาคตด้วยว่ามัน
สามารถวิ่งตามราคาที่สูงในปัจจุบันได้หรือเปล่า ถ้าได้ก็ไม่ขาย 2)คือ PE ที่เรา
ยอมรับ PE 10,15,20 แต่ละคนให้การยอมรับได้ไม่เหมือนกัน ของผมให้ที่ PE=15
ถ้ากำไรวิ่งตามราคาไม่ได้ PE มันก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามากถึง 25-30 สำหรับผม
ผมเทขวาทุกราคาครับ หุหุ...^^)
อีกจุดนึงที่ผมมอง คือ หากขายไปแล้ว เงินปันผลที่ผมได้รับต่อปีจะลดลง(เงินสด)
ผมก็จะมาชั่งดูว่าปันผลลดลงแค่ไหนที่พอรับได้ ถ้าลดมากไปก็รอให้ราคาวิ่งมากกว่า
นี้แล้วค่อยขายที่จำนวนน้อยลง(ทุนก็ยังได้คืนมาเท่าเดิม) ปันผลก็ได้ตามที่ต้องการ
และยังได้หุ้นติดพอร์ทเหลือมากขึ้นด้วยครับ WIN-WIN!!!
ประมาณนี้ครับ...^^)