เอ ... ทำไมดอกลดปุ๊บ เงินแข็งปั๊บ เลยละครับ ????
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 18, 2007 10:02 pm
[quote="คัดท้าย"][quote="ด๊กดิงด่าง"]คนไทยไม่ว่ารวยว่าจนช่วยๆกัน ไปเที่ยวต่างประเทศ
เว็บบอร์ดเพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
https://thaiviv3.mdsoft.co.th/./
เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละครับCEO เขียน:มีใครคิดแบบว่า
ก่อนนี้แค่พักตัวไหมครับ แล้วไปต่อ ถ้าเป็นหุ้นก็ แบบว่า เจ้ามือทุบเก็บของ
เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 17 มกราคม 2550
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดชี้ว่าอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลง การบริโภคและลงทุนใน 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 3แม้การส่งออกยังขยายตัวได้ดี แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลงจากปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในระยะ 2 ปีข้างหน้าจะสูงเกินเป้าหมายมีน้อยลงชัดเจน
คณะกรรมการฯ ประเมินว่าขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีน้อยลงแต่ความเสี่ยงด้านการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น นโยบายการเงินจึงสามารถผ่อนคลายลงเพื่อเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป จึงมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1วันลงจากอัตราปิดในวันก่อนหน้าที่ร้อยละ 4.9375 ต่อปี เป็นร้อยละ 4.75 ต่อปี และกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน พันธบัตรระยะ 1 วันเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแทนอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ธนาคารแห่งประเทศไทย
17 มกราคม 2550
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละครับ
ผมคิดง่ายๆนะ ถ้าจะแก้ปัญหา มันต้องรู้ก่อนว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร
แต่เคสนี้ ผมเห็นคนพูดกันไปเรื่อย พูดโน่นพูดนี่ แต่พอถามจริงๆ เงินบาทแข็งเพราะอะไร ไม่เห็นมีใครตอบแบบเป็นรูปธรรมได้เลย
ถ้าไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร มันจะแก้ปัญหาได้ยังไงครับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ประเมินมาตรการควบคุมเงินทุนของแบงก์ชาติ
ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์
[email protected]
มาตรการควบคุมเงินทุนจากต่างประเทศของแบงก์ชาติ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบและต้นทุนอย่างมาก ซึ่งผมเชื่อว่า มาตรการนี้คงเป็นมาตรการชั่วคราว ไม่เกิน 13 อาทิตย์ก็คงยกเลิก (หากไม่คิดว่าเสียหน้า) เพราะมีผลเสียมากกว่าได้ ทั้งก่อให้เกิดความเสียหายชัดเจนและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคาดว่าแบงก์ชาติคงกำลังรอประเมินผลและศึกษาหามาตรการทางเลือกอื่นๆ
มาตรการควบคุมเงินทุนดังกล่าว ทำไปเพราะต้องการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไปจนกระทบกับความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออก โดยที่ไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมถึงมีการเก็งกำไรค่าเงินบาท ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียไม่ได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเท่ากับประเทศไทย สาเหตุอันหนึ่งน่าจะมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับที่สูงมาเป็นเวลาพอสมควร แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด สาเหตุอีกประการหนึ่งน่าจะมาจาก นักเก็งกำไรเคยได้รับผลกำไรอย่างมหาศาลจากการต่อสู้ค่าเงินในช่วงวิกฤตการเงินปี 2539-2540 โดยแบงก์ชาติมีประวัติชอบต่อสู้ค่าเงินและอุปนิสัยที่ชอบเอาชนะ ซึ่งเข้าทางของนักเก็งกำไรในการวางกับดักเก็งกำไร (Speculation Trap) ทำให้ท้ายที่สุดถูกสถานการณ์จำนนให้ต้องออกมาตรการควบคุมเงินทุน ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า ทำเพื่อลดการขาดทุนจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศและปรับปรุงฐานะทางการเงิน ณ สิ้นปีให้ดีขึ้น
เราสามารถเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจากมาตรการของแบงก์ชาติ (Action Consequence) กับหลักไวยากรณ์ของภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ ที่มีกฎว่า ประธาน+กริยา+กรรม โดยเฉพาะภาษาเยอรมันจะมีหลักไวยากรณ์ที่แน่นอนตายตัว นั่นคือ Dative และ Akkusative ที่ตามด้วยกรรมตรงและกรรมรอง (ทำให้ต้องผันคำคุณศัพท์ บุพบทและคำนำหน้านาม) เปรียบเทียบกับการกระทำของแบงก์ชาติ ทำให้เกิดกรรมตรงและกรรมรอง กรรมตรงก็คือ ต้นทุนที่เกิดขึ้นกับแบงก์ชาติ ในขณะที่กรรมรองคือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ตลอดจนนักลงทุน ผู้กู้เงิน ผู้นำเข้า และผู้ที่ต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศ
อาจเปรียบเทียบผลได้ผลเสียของมาตรการการแทรกแซงค่าเงินและควบคุมเงินทุน ได้ดังนี้
ผลได้ ผู้ส่งออกได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่ไม่แข็งค่าไปกว่าเดิมและอ่อนค่าลงจาก 35 บาทเป็น 36 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาของผู้ส่งออกไทยที่ส่งออกสินค้าที่มีความอ่อนไหวต่อราคา (Price-Sensitive) แต่จากการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า ค่าเงินหรืออัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากนัก กล่าวคือเงินบาทแข็งขึ้น 1% มีผลต่อ GDP เพียง 0.01% ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการส่งออกมากที่สุดคือ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า โดยพบว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 1% ของประเทศคู่ค้าของไทย 11 ประเทศ มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยถึง 1% เช่นกัน
ผลเสียที่ 1 (กรรมตรงและผลจากกรรมเก่า) ต้นทุนที่เกิดขึ้นกับแบงก์ชาติ ประการแรก แบงก์ชาติขาดทุนจากการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน (ซื้อดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 ไปแล้ว 7.5 หมื่นล้านบาท และยังมีผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายเงินต่างประเทศที่มีสัญญาจะขายคืนเป็นยอดคงค้าง ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2549 อีก 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในส่วนนี้ไม่แน่ชัดว่าขาดทุนเท่าไหร่ แล้วแต่อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ต้องมีการส่งมอบ แต่หากคิดง่ายๆ ว่าเงินบาทแข็งค่าจาก 41 บาท เมื่อตอนต้นปี มาถึงในขณะนี้ที่ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แบงก์ชาติน่าจะขาดทุนดอลลาร์ละ 5 บาท ทำให้ขาดทุนเพิ่มในส่วนนี้อีก 4.35 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับการขาดทุนที่แบงก์ชาติเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทด้วยการซื้อดอลลาร์สหรัฐในตลาด Spot ที่มีการส่งมอบทันที ในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2549 อีก 2 หมื่นล้านบาท ทำให้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติมีผลขาดทุนเกิดขึ้นแล้วเกือบ 140,000 ล้านบาท ประการที่สอง เนื่องจากแบงก์ชาติต้องออกพันธบัตร เพื่อมาดูดซับสภาพคล่องเงินบาท เป็นจำนวนเกือบ 1 ล้านล้านบาท ถ้าคิดถัวเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยที่เพียงแค่ 5% ต่อปี แบงก์ชาติจะเกิดต้นทุนเป็นภาระดอกเบี้ยจ่ายปีละ 5 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดต้นทุนที่เกิดกับแบงก์ชาติใน 2 ส่วนนี้เกือบ 2 แสนล้านบาท (140,000+50,000) เพื่อทำให้โปร่งใส งบกำไรขาดทุนและงบดุลของแบงก์ชาติ (ณ สิ้นปีวันที่ 31 ธันวาคม 2549) ควรจะแสดงให้เห็นถึงผลขาดทุนอันเกิดจากการแทรกแซงค่าเงินและต้นทุนจากการออกพันธบัตร อย่าเพียงสะท้อนคร่าวๆ ในงบย่อยหรือในธุรกรรมนอกงบดุล (Off-Balance Sheet Items)
ผลเสียที่ 2 (กรรมรอง) มาจากผลของมาตรการควบคุมเงินทุน ทำให้มูลค่าของตลาดหลักทรัพย์ลดลง คิดเป็นความเสียหายกว่า 4 แสนล้านบาท นอกจากนั้นตลาดพันธบัตรก็ได้รับผลกระทบด้วย ทำให้มูลค่าพันธบัตรทั้งหมดลดลงกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้รวมถึงความเสียหายที่ไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขได้แน่นอน อันเนื่องมาจากการขายของนักลงทุนและการถูกบังคับขาย (Forced Sale) ในราคาที่ต่ำกว่าเดิมมาก อีกทั้งภาวะซบเซาในตลาดหุ้น ตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตร อันเกิดจากการถอนการลงทุน และขาดเงินทุนใหม่เข้ามา ผลกระทบในทางลบต่อผู้นำเข้าและผู้ที่มีหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขความเสียหายได้ชัดเจน
ผลเสียที่ 3 (กรรมรอง) มาจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากในปีหน้าทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนต้องกู้เงินด้วยการออกขายพันธบัตร โดยในส่วนของรัฐบาลคิดเป็นตัวเลขไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและ Re-Finance หนี้เดิม แต่ผลจากมาตรการควบคุมเงินทุน ทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นถึงกว่า 1% ถ้าคิดง่ายๆ ว่าเป็นพันธบัตรอายุ 10 ปี ก็จะทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 3 หมื่นล้านบาท
ที่น่าเป็นห่วงและไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็คือ ภาวะเงินทุนไหลออก จนทำให้เกิดวิกฤต ทางเลือกที่น่าจะพิจารณาแทนที่การควบคุมเงินทุน ก็คือ
ทางเลือกที่ 1) ช่วยผู้ส่งออกโดยตรง โดยสนับสนุนทางการเงินกับผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจริงๆ จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น
ทางเลือกที่ 2) เปลี่ยนเป็นการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ เพื่อตรึงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงิน US ดอลลาร์ ในระดับที่เห็นว่าเหมาะสม ซึ่งเป็นมาตรการชั่วคราว ดังเช่น ประเทศจีนและฮ่องกง หรือหากไม่ต้องการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ทั้งหมด ก็กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Two-Tier Exchange Rate System โดยให้อัตราแลกเปลี่ยนสำหรับชาวต่างชาติที่นำเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุนเป็นอัตราคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงในตอนนำเงินเข้าและตอนนำเงินออก
ทางเลือกที่ 3) เก็บภาษีจากกำไรของนักลงทุนต่างประเทศ มาตรการนี้จะต่างจากมาตรการควบคุมเงินทุนที่ต้องวางเงินสำรอง เพราะจะเก็บภาษีจากกำไรที่เกิดขึ้นของนักลงทุนเท่านั้น ซึ่งจะมีผลให้ลดการเก็งกำไรค่าเงินลง โดยที่มีผลกระทบและผลข้างเคียงน้อยกว่าการต้องให้เงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศต้องตั้งสำรอง 30% ซึ่งผมจะได้กล่าวในรายละเอียดในตอนต่อไป
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละครับ
ผมคิดง่ายๆนะ ถ้าจะแก้ปัญหา มันต้องรู้ก่อนว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร
แต่เคสนี้ ผมเห็นคนพูดกันไปเรื่อย พูดโน่นพูดนี่ แต่พอถามจริงๆ เงินบาทแข็งเพราะอะไร ไม่เห็นมีใครตอบแบบเป็นรูปธรรมได้เลย
ถ้าไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร มันจะแก้ปัญหาได้ยังไงครับ
เอ ถ้าเป็นแบบที่คุณมนว่า มันก็ไม่ใช่ปัญหาสิครับ รึเปล่า :roll:Mon money เขียน:ตราบใดที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังเป็นบวกอยู่ก็คิดว่ายังคงมีเงินไหลเข้ามาอยู่ดี เอาเงินมาเก็บในรูปเงินบาทไม่ด้อยค่าตามเงินเฟ้อ
เป็นผม ผมก็ทำ
นี่คือ ปัญหาที่แท้จริง หรือเปล่าครับ?นักเก็งกำไรเคยได้รับผลกำไรอย่างมหาศาลจากการต่อสู้ค่าเงินในช่วงวิกฤตการเงินปี 2539-2540 โดยแบงก์ชาติมีประวัติชอบต่อสู้ค่าเงินและอุปนิสัยที่ชอบเอาชนะ
ท่านแม่ทัพซื้อไว้แล้วมากระซิบบอกกันมั่งซิ เพราะว่าบนสุมาอี้ เขียน:ในแง่ Valuation ตอนนี้หลายตัวมันถูกจริงๆ นั่นแหละ ถ้าถือไว้นานๆ น่าจะดีหลายตัวทีเดียว เพียงแต่ว่าในช่วงสั้นมันมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่อาจทำให้ลงไปได้อีกเลยทำให้น่ากลัว
ผมซื้อกลับไปเยอะแล้ว แต่ยังไงก็ยังขอเหลือเอาไว้ก้อนนึ่งนิดหน่อยเป็นก๊อกสุดท้าย เขาชนช้างกันเมื่อไร รอให้สะเด็ดน้ำ คงได้เอาออกมาใช้ เผื่อจะทำให้รวยแบบพี่ฉัตรชัยได้บ้าง แต่ถ้าไม่มีการชนข้างก็ไม่เป็นไร ค่อยซื้อตามน้ำยังทัน ยังไงหุ้นไทยก็ยังไม่แพง ยังไม่แพง ยังไม่แพง ..... :lovl:
คิดเหมือนกันเลยครับสุมาอี้ เขียน:ในแง่ Valuation ตอนนี้หลายตัวมันถูกจริงๆ นั่นแหละ ถ้าถือไว้นานๆ น่าจะดีหลายตัวทีเดียว เพียงแต่ว่าในช่วงสั้นมันมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่อาจทำให้ลงไปได้อีกเลยทำให้น่ากลัว
ผมซื้อกลับไปเยอะแล้ว แต่ยังไงก็ยังขอเหลือเอาไว้ก้อนนึ่งนิดหน่อยเป็นก๊อกสุดท้าย เขาชนช้างกันเมื่อไร รอให้สะเด็ดน้ำ คงได้เอาออกมาใช้ เผื่อจะทำให้รวยแบบพี่ฉัตรชัยได้บ้าง แต่ถ้าไม่มีการชนข้างก็ไม่เป็นไร ค่อยซื้อตามน้ำยังทัน ยังไงหุ้นไทยก็ยังไม่แพง ยังไม่แพง ยังไม่แพง ..... :lovl:
CEO เขียน:มีใครคิดแบบว่า
ก่อนนี้แค่พักตัวไหมครับ แล้วไปต่อ ถ้าเป็นหุ้นก็ แบบว่า เจ้ามือทุบเก็บของ