หน้า 2 จากทั้งหมด 2

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 20, 2006 7:51 pm
โดย chatchai
เหตุการณ์ครั้งนี้  หลายคนพยายามสรุปโดยใช้อดีตมาคาดการณ์

ผมคิดว่า  สุดท้ายราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง  ก็คงขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของแต่ละบริษัท  ซึ่งก็มีส่วนได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศ  การบริหารงานของรัฐบาล

แต่ปัจจุบันนี้  ผมยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี  ใครเป็นรัฐมนตรีคลัง  ใครเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์  เหตุการณ์ภายหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

แล้วผมจะรู้ได้ไงครับว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะยาว

สำหรับผมแล้ว  การลงทุนในบริษัทที่ดีก็คงเพียงพอแล้วในสถานการณ์ปัจจุบัน

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 20, 2006 8:08 pm
โดย naris
[quote="chatchai"]เหตุการณ์ครั้งนี้

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 20, 2006 8:17 pm
โดย tanate
ถ้าพรุ่งนี้หุ้นลงจริงๆ โดยเฉพาะตัวที่ตั้งตาคอยไว้ จะขอขอบพระคุณเหตุการณ์นี้มากๆ
ตามหนังสือที่อ่านมา หุ้นอาจจะลงระยะสั้นเพราะฝรั่งไม่มั่นใจจึงขายก่อนดีกว่าหุ้นจึงตกอย่างแรง จากนั้นรายย่อยก็จะขายตามหลังจากที่ฝรั่งขายไปแล้ว  เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายหรือเริ่มรับได้ว่าไม่มีอะไรอีกแล้ว
ฝรั่งก็จะเริ่มกลับมาซื้อ หุ้นจะเด้งขึ้น นั้นคือวงจรที่เกิดขึ้นทุกครั้งไป

ลุ้นจังเลยวันพรุ่งนี้

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 20, 2006 8:34 pm
โดย big15096
ไม่รุ้ว่าตลาดจะ panic ขนาดไหนนะครับ
พรุ่งนี้เเล้ว จะได้เห็นกัน

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 21, 2006 6:20 pm
โดย ลุงทีม
คัดมาให้อ่านครับ...
เพื่อนๆ หลายท่านอาจจะมีคำถามว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เราควรทำอย่างไร หลายท่านอาจจะเคยผ่านสถานการณ์เลวร้ายมาแล้ว เช่น ช่วงไข้หวัดนก 911 วิกฤติเศรษฐกิจ หรือย้อนหลังไปถึงพฤษภาทมิฬ อิรักบุกคูเวต หรือกระทั่ง Black Monday แต่สำหรับบางท่านอาจจะเป็นครั้งแรกๆ ที่เจอสถานการณ์เช่นนี้

ผมคงจะงดการให้ความเห็นเกี่ยวกับการเมืองในช่วงนี้นะครับ จึงขอให้ความเห็นเฉพาะเกี่ยวกับการลงทุนเท่านั้นครับ

โดยทั่วไปเมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้น shock หรือตกใจ ตลาดหุ้นมักจะลงแรง แต่เมื่อสถานการณ์ค่อยๆ คลี่คลาย ดัชนีตลาดหุ้นจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นกลับมาที่จุดเดิมหรือบางครั้งอาจจะสูงกว่าเดิมครับ แต่หลายเหตุการณ์การปรับตัวลงของตลาดหุ้นอาจจะสูงถึง 30%-40% เช่น ตอน 911 หรืออิรักบุกคูเวต และกินเวลาเป็นเดือน หลายเหตุการณ์ก็อาจจะปรับลง 10-20% และฟื้นตัวกลับในระยะเวลาอันสั้น เช่น พฤษภาทมิฬ

ก่อนอื่นคงจะต้องถามตัวเองก่อนว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้มีผลลบต่อปัจจัยพื้นฐานของประเทศในระยะยาวหรือไม่ครับ

แต่หากมองว่าประเทศไทยแม้ว่าจะมีการรัฐประหารค่อนข้างบ่อยนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 แต่ก็ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่ทำให้เกิดการนองเลือด ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็มีความน่าจะเป็นสูงที่จะดำเนินไปอย่างสันติและปราศจากความรุนแรงครับ ซึ่งไม่ควรมีผลกระทบต่อพื้นฐานของประเทศในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ก็มีโอกาสสูงที่นักลงทุนต่างชาติจะเป็นผู้ขายสุทธิหลังจากนี้ไป และไม่แน่ใจว่ากองทุนในประเทศจะถูกลูกค้าไถ่ถอนแค่ไหนซึ่งถ้ามากก็จะทำให้กองทุนก็จะเป็นผู้ขายเช่นกัน แต่ผมเองก็คาดเดาไม่ถูกว่าปริมาณการขายจะมีมากน้อยแค่ไหน แต่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็คงมีโอกาสสูงมากที่จะปรับตัวลดลง สำหรับกลยุทธ์ในระยะนี้ก็คงต้องแบ่งเป็น 2 วิธีคือ สำหรับผู้ที่หุ้นเต็มพอร์ต และผู้ที่ยังไม่เต็มพอร์ต

1 สำหรับผู้ที่มีหุ้นเต็มพอร์ต ก็ไม่ต้องตกใจมากเกินไปครับ ก็คงต้องทำใจว่ามูลค่าพอร์ตก็คงจะต้องลดลงไปบ้าง แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้มานั่งพิจารณาหุ้นในพอร์ตของตัวเองครับ เมื่อรู้สึกว่าหุ้นเริ่มลงและแรงขายได้สะเด็ดน้ำแล้ว และสถานการณ์ต่างๆ เริ่มนิ่ง ให้ขายหุ้น low beta ( หุ้นที่ลงน้อย ) ออกมาบางส่วน และเข้าซื้อหุ้น high beta ( หุ้นที่ลงหนัก ) แต่หุ้นที่เป็น high beta ที่จะซื้อนั้นก็คงต้องเป็นหุ้นที่น่าจะฟื้นตัวได้เมื่อตลาดพลิกกลับครับ ผมคงบอกไม่ได้ ณ ปัจจุบันว่าหุ้น high beta ที่น่าซื้อมีตัวไหนบ้างเพราะคงต้องดูราคาแต่ละตัวหลังจากที่ลงมาก่อน หากจะให้ยกตัวอย่าง เช่น ตอนที่เกิด 911 หุ้นลงจาก 350 จุดเหลือ 250 จุด คิดเป็น 30% ใบสำคัญแสดงสิทธิ tisco-c1 ลงจาก 5 บาทเหลือ 1 บาท ตอนนั้นราคาใช้สิทธิของ tisco-c1 คือ 12 บาท และราคา tisco แม่ถ้าจำไม่ผิดจะลงมาเหลือประมาณ 10 บาท และมีอายุคงเหลือประมาณ 6-8 เดือน แต่เมื่อตลาดหุ้นฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ 300 กว่าจุดอีกครั้ง หุ้น tisco-c1 ขึ้นมาที่ 11-12 บาท และหุ้นแม่ขึ้นไปประมาณ 20 กว่าบาท ดังนั้นหากตอนนั้นเรามีหุ้น finance หรือ bank อื่นๆ เช่น เราอาจจะมี BBL NFS CNS หรือกระทั่ง Tisco หุ้นแม่ เราก็ควรจะขายหุ้นเหล่านี้บางส่วนมาซื้อหุ้นที่มี beta สูงกว่าอย่างเช่น Tisco-c1 ครับ อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งไม่ได้หมายความว่าครั้งนี้เราจะต้องซื้อ warrant เสมอไปนะครับ

หรือหลายท่านอาจจะมีหุ้น high beta อยู่ในพอร์ตบ้างอยู่แล้ว ก็อาจจะขายหุ้น high beta ที่เป็นหุ้นเก็งกำไร และมาซื้อหุ้น high beta ที่มีพื้นฐานพอใช้ได้ ซึ่งหุ้นกลุ่มหลังนี้หากดัชนีฟื้นตัวน่าจะฟื้นได้เร็วกว่าครับ

หุ้นที่มีโอกาสสูงที่จะเป็นหุ้น high beta ที่น่าซื้อหากลงมามากๆ น่าจะเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้นที่พัฒนาที่อยู่อาศัยครับ เพราะประชาชนในกรุงเทพฯ น่าจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันเริ่มลดลงมาแล้ว ดังนั้นยอดขายอสังหาฯ น่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวได้บ้างครับ ในขณะที่ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ในช่วงนี้คงมีไม่มาก แต่หุ้นอสังหาฯ ที่น่าสนใจก็ควรจะเป็นผู้ประกอบการที่เน้นกลุ่ม real demand นะครับ เช่น ผู้ขายบ้านเดี่ยวหรือทาวเฮาส์ เพราะผมยังห่วงๆ ว่าตลาดคอนโดฯ ที่ขายดีปัจจุบันจะมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุนอยู่บ้างพอสมควรครับ


2 สำหรับคนที่มีเงินสดเหลืออยู่ ผมคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะค่อยๆ สะสมหุ้นครับ โดยเฉพาะหุ้นที่แนวโน้มในอีก 5-10 ปีข้างหน้ายังดี และราคาปรับลดลงมา 5-15% หุ้นกลุ่มที่ผมคิดว่าน่าสนใจก็จะมี กลุ่มโรงพยาบาล โรงแรม ( หุ้นโรงแรมคงต้องต่อราคาเยอะๆ หน่อยครับเพราะได้รับผลกระทบระยะสั้นมากกว่ากลุ่ม รพ. )

และอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจหากราคาลงมามากคือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาที่อยู่อาศัย ( ควรจะซื้อเมื่อหุ้นที่มี brand ที่ดีและผู้บริหารพอใช้ได้ที่ลดลงต่ำกว่าราคาปัจจุบันอย่างน้อย 15-20% ครับ )

หากให้มองว่าในภาวะการณ์ปัจจุบัน หุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจที่สุด ผมคิดว่าใน 1 ปีจากนี้ไป หุ้นโรงพยาบาลน่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และยังน่าจะมีการเติบโตที่ดี โอกาสที่ตลาดปรับตัวลงครั้งนี้จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการพิจารณาหุ้น รพ. ครับ โดยเฉพาะ รพ. ที่มีต่างชาติถือหุ้นมากและอาจจะถูกขายออกมาอย่าง BH ครับ แม้ว่า BH อาจจะได้รับผลกระทบบ้างในแง่คนไข้ต่างชาติ แต่ผมคิดว่าคงเป็นผลกระทบระยะสั้นครับ ส่วน KH ไม่น่าจะได้รับผลกระทบในแง่ผลประกอบการครับ

นอกจากนี้ ผมคิดว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติอาจจะมีการโยกพอร์ตจากหุ้นบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรือหุ้นกลุ่มที่เริ่มมีแนวโน้มแย่ลง เช่น กลุ่มพลังงาน ไปยังกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น กลุ่ม รพ. ได้ครับ

หลังจากนี้สิ่งที่เราทำได้ก็คือเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดครับ ก่อนหน้านี้ในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยก็ไม่ถึงกับดีนักเพราะภาวะน้ำมันแพงและความเชื่อมั่นที่ลดลงจากความไม่เชื่อมั่นทางการเมือง ตอนนี้ประเทศที่เป็นทางเลือกของนักลงทุนทั้งการลงทุนทางตรงและการลงทุนในตลาดหุ้นมีมากขึ้นกว่าช่วงทศวรรษ 2530 เยอะเพราะตอนนั้นหลายประเทศเช่น จีน เวียดนาม ยุโรปตะวันออก ยังเป็นสังคมนิยม ดังนั้นประเทศไทยต้องฟื้นตัวกลับมาให้เร็วที่สุดก่อนที่จะสูญเสียความน่าสนใจในการลงทุนไปครับ

http://www.bbznet.com/scripts3/view.php ... r=numtopic

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 22, 2006 2:27 pm
โดย VIB007
[quote="poppo"]ผมคงถือหุ้นต่อเป็นเพื่อนคุณ saran เพราะไม่รู้และไม่มีประสบการณ์ในการบริหารพอร์ทในภาวะแบบนี้ครับ อาเฮีย สุมาอี้ เฮียฉัตรชัย เฮียวิบูลย์ เฮียมนช่วยอ้วยก๊าบ :lol:

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 22, 2006 2:36 pm
โดย สุมาอี้
[quote="VIB007"][quote="poppo"]ผมคงถือหุ้นต่อเป็นเพื่อนคุณ saran เพราะไม่รู้และไม่มีประสบการณ์ในการบริหารพอร์ทในภาวะแบบนี้ครับ อาเฮีย สุมาอี้ เฮียฉัตรชัย เฮียวิบูลย์ เฮียมนช่วยอ้วยก๊าบ :lol:

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 22, 2006 3:34 pm
โดย tunggolf
พวกถือยาวๆนี่เขาไม่บริหารพอร์ตกันหรอครับ อาศัยอึดอย่างเดียวหรอ
ผมไม่รู้ครับ

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 22, 2006 4:08 pm
โดย MarginofSafety
tunggolf เขียน:พวกถือยาวๆนี่เขาไม่บริหารพอร์ตกันหรอครับ อาศัยอึดอย่างเดียวหรอ
ผมไม่รู้ครับ
ไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็บริหารเหมือนกันครับ

ปัจจัยพื้นฐาน : ปรับ Port เมื่อพื้นฐานเปลี่ยน หรือเมื่อราคาปรับตัวขึ้นมาเกินมูลค่าที่แท้จริง หรือมองเห็นบริษัทที่ดีกว่า

เทคนิค : เชื่อว่าตลาดมีแนวโน้ม นำราคาและปริมาณการซื้อขายมาวิเคราะห์กลยุทธ์เพื่อทำการปรับ Port

การเคลื่อนย้ายของเงินทุน : วิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยมหภาคเพื่อคาดการณ์ทิศทางการไหลของเงินทุน ซึ่งเชื่อว่าเมื่อทุนไหลเข้าหุ้นจะขึ้น เงินทุนไหลออกหุ้นจะลง

ทุกแนวคิดมีเหตุผลของมันเอง ขึ้นอยู่กับว่าแบบไหนมันสมเหตุสมผลสำหรับเรามากกว่ากัน แต่แนวปัจจัยพื้นฐานจะได้เปรียบแนวอื่นที่ ต้นทุนการลงทุนจะต่ำ เนื่องจากซื้อขายน้อยครั้ง และความสุขในการลงทุนเนื่องจากไม่ต้อง panic ตามตลาด

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 22, 2006 4:23 pm
โดย สุมาอี้
อึม ถ้าเหตุผลของการขายคือราคาในกระดานปรับตัวลงมาก ก็ไม่เรียกว่านักลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

มองยาวเข้าไว้ ดูว่าราคาระดับนี้มีค่าพอกับการเติบโตของกระแสเงินสดอิสระในระยะยาวหรือเปล่า

Sir Templeton กล่าวไว้ ตอนนี้เมื่อต้นศตวรรษ 19 Dow Jones ประมาณ 100 จุด พอต้นศตวรรษที่ 20 กลายเป็น 10000 จุด ถ้าไปถึงต้นศตวรรษที่ 21 รับรองว่าจะเป็น 1000000 จุดอย่างแน่นอน ขอย้ำว่า อย่างแน่นอน เพราะในระยะยาวขนาดนั้น หุ้นจะให้ผลตอบแทนที่แน่นอน ครับ

เขาบอกว่าที่จริงแล้วถ้าเรารู้แบบนี้ เราควรลงทุนในหุ้นตลอดเวลา เพื่อ maximize opportunity ครับ

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 22, 2006 4:37 pm
โดย bennn
ผมคิดว่าต้องดูธุรกิจเป็นรายตัวไปครับ
มีหลายธุรกิจในบ้านเราอาศัยต่างชาติพอสมควร

เหตุการณ์ครั้งนี้ (หรือครั้งก่อนๆ) ทำให้ธุรกิจบางอย่างมีผลกระทบครับ(ทั้งแง่บวกและแง่ลบ) หรือบางตัวแทบไม่มีผลกระทบครับ

VI ควรบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 23, 2006 5:28 pm
โดย ตาหมูอ้วน.
ผ่านมา 1 เดือน

เหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายนัก

พี่ๆ VI ส่วนใหญ่คาดการณ์ได้ถูก

นับถือๆครับ :)