พุธ ก.ย. 20, 2006 3:11 pm | 0 คอมเมนต์
ไม่ได้เข้ามาอ่านนานแล้วขอแจมด้วยคนครับ ผมประเภทพื้นฐาน+เทคนิคคอลครับ(ดูพื้นฐานหุ้นที่ลงทุนก่อน แล้วอาศัยจิตวิทยามวลชนเข้าซื้ออีกที)
รายใหญ่(หุ้นปั่นไร้พื้นฐาน+พวกInsider) กองทุนต่างประเทศ(ฝรั่งหัวทอง/หัวดำ/nominee) กองทุนในประเทศ สมมุตินะครับว่าถ้าหุ้นเกิด Panic จริง จะขาดทุน(ทางบัญชี)กันซักขนาดไหน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในมือในตลาดมากถึงมากที่สุดนะครับ ไม่ใช่รายย่อยหรือ VI ,VS :lol:
ข้อสังเกตการดูจิตวิทยามวลชน
กรณีที่ 1 ถ้ามีผลกระทบต่อความคิดกลุ่มทุนนอกจริงๆ แรงขายจะเทมาแบบไม่ยั้งมือ คือจะเทขายมันทุกราคาจนฟลอร์ และเป็นแรงขายไม้ใหญ่ระดับหุ้นพลังงาน หุ้นแบงค์ ไม้ละเป็นแสนหุ้นหรือล้านหุ้นขึ้นไป จะเป็นลักษณะหนังละม้วนกับตอนปีใหม่ซึ่งช่วงนั้นฝรั่งไล่ซื้อหุ้นแหลก รายย่อยขายหุ้นแหลกเละ โดยจะกลายเป็นฝรั่งขายแหลกแทน ซึ่งผมมองว่าโอกาสเกิดน้อย
กรณีที่ 2 แต่ถ้าไม่ใช่เป็นรายย่อยกับกองทุนในประเทศกลายเป็นผู้ขายหมูซึ่งหุ้นจะลงแบบตกใจชั่วครู่แล้วค่อยๆชะลอการลง คือความชันในการลงของราคาจะลดลงแบบเห็นได้ชัด(อันนี้ให้ดูรายชั่วโมง) แล้วแกว่างตัวด้านข้างซํกพักแล้วขึ้นไปคืน หุ้นจะลงและขึ้นแบบ V-Shape ไม่ก็ตัว U ขึ้นกับว่ามีจำนวนรายย่อย รายใหญ่ และกองทุนที่ตื่นตระหนกและคิดไปทางเดียวกันมากน้อยขนาดไหน แต่ในที่สุดแล้วพอหมดแรงขายหุ้นก็ขึ้นอยู่ดี
จังหวะที่น่าซื้อก็คือ ช่วงที่หุ้นแกว่งตัวด้านข้างเป็นระยะเวลานานกว่าช่วงที่เกิดการตกใจมากๆ
คติของผม
หุ้นหยุดลงก็ต่อเมื่อผู้ขายหยุดขาย หุ้นหยุดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ซื้อหยุดซื้อเท่านั้น :idea:
แนวโน้มขาขึ้น ซื้อหุ้นราคาไหนก็ไม่ถือว่าแพงเพราะมีราคาแพงกว่าให้ขาย แต่ถ้าในช่วงแนวโน้มขาลง ไม่ว่าซื้อหุ้นราคาไหนก็ถือว่าแพงเพราะยังมีราคาถูกกว่าให้ซื้อร่ำไป
สรุป ผมมีเงินสดในมือพอช้อนแค่ 20% เอง เฮ้อกรรม