อายเค้าไหมลูก
-
- Verified User
- โพสต์: 1717
- ผู้ติดตาม: 0
อายเค้าไหมลูก
โพสต์ที่ 32
ปุย เขียน:เฮ้อ อธิบายกับลูกแล้ว ต้องคอย ทำความเข้าใจกับแม่อีก ไม้แก่ดัดยากซะด้วย
เหมือนกับแฟนผม เปี๊ยบบ.. เลย :shock:
การเลี้ยงดูลูก... จำเป็นต้องใช้จิตวิทยามาช่วยครับ..
แต่คนเป็นแม่.. ก็กลัวว่า.. สิ่งที่เราใช้นั้น... ไม่เหมาะ ไม่ควร...
ผมเองก็เคยต้องใช้จิตวิทยาเลี้ยงลูก...
เสร็จแล้ว.. ก็ต้องใช้จิตวิทยาในการอธิบายให้แฟนค่อยๆเข้าใจอีก...
ส่วนแฟนก็ไม่ยอมเข้าใจ.. (เถียง) เพราะเราไม่ใช่นักจิตวิทยา...
จนผมต้องหลบแอบไปซึ๊ดบุหรี่.. (เครียดจัด)
สุดท้ายก็ขอ Compromise ว่า ถ้าไม่สำเร็จในระยะเวลานึง..
ยินดีใช้วิธีของแฟนบ้าง.. ถึงได้อ่อนลงและยอม...
ไม้แก่ดัดยากอย่างที่คุณปุยว่าจริงๆ.. ครับ..

ขออนุญาต.. แนะนำให้คุณปุย.. แสดงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งไว้ครับ..ผมพอทำใจได้ แต่แฟนสิ ผมก็เข้าใจว่าเค้ารักลูกมาก แต่เค้าก็ฟูมฟายเหมือนกัน อยากให้ลูกมีความสุขเหมือนเด็กคนอื่น ที่ไม่ร้องไห้
ผมก็โทษตัวเองด้วยนะ ที่เตรียมตัวลูกไม่ดีพอ ..
อย่าแสดงความอ่อนแอ.. ให้ครอบครัวเห็น.. เป็นอันขาด..
ถึงแม้ว่า จะกลัวจนฉี่จะราด ขี้จะไหล.. ขาจะสั่น.. ก็ห้ามแสดงอาการเด็ดขาด
และผมเชื่อว่า... ทุกครอบครัว.. ก็ต้องการ " หัวหน้าครอบครัวที่เข้มแข็ง " ครับ..
- drchatri
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
อายเค้าไหมลูก
โพสต์ที่ 34
แหม..ได้อ่านประสบการณ์ของคุณพ่อคุณแม่ผู้เปรียบเสมือนครูคนแรกมาจนจุใจ ขอบคุณทุกๆท่านมากครับ ได้ความรู้ขึ้นมากเลย ถึงแม้ผมเป็นหมอ และภรรยาจะเป็นหมอเด็ก แต่ลูกผมคนเดียว และก็อายุแค่ 2ขวบกว่า ยังอ่อนด้อยประสบการณ์มาก จะได้นำไปปรับใช้ได้ดีขึ้น ทฤษฎีย่อมสู้ประสบการณ์จริงไม่ได้
สำหรับเรื่องบังคับลูกผมก็เป็นเหมือนกันครับ แต่เป็นบางอย่าง ผมว่ามันต้องมีบ้างครับ เพราะการกระทำบางอย่างมันอาจเป็นอันตรายต่อเด็กก็ต้องห้ามหรือบังคับครับ แต่ก็จะมีปลอบช่วยด้วย แต่อันไหนปล่อยได้ก็ปล่อย หรือใช้วิธีชม เบี่ยงเบนความสนใจ ชักจูงให้เห็นสนุกตามด้วยได้ก้ทำครับ ผมใช้ปนๆกันไป ผิดบ้างถูกบ้างก็ให้อภัยตัวเองและลูกครับ ส่วนใหญ๋แล้วผมจะเข้มงวดมากกว่าภรรยา ถ้าผมดุลูกก็จะเกรงผมมากกว่าภรรยา แต่ลูกก็ไม่เคยกลัวผมเลย ตรงข้ามเวลาลูกอยู่กับแม่จะเรียก ป๊ะป๋า ชัดแจ๋วกว่า แม่ เสียอีก จนภรรยาผมบางทีน้อยใจ แกมอิจฉา :lol:
เรื่อง Child's school refusal เท่าที่ผมเคนเรียนตอนอยู่จิตเวช เขาว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางจิตเวชอย่างนึง อย่าให้ค้างอยู่นานครับ ผมกับภรรยาก็กำลังจะประสบปัญหาแบบนี้อยู่ เพราะตอนนี้ลูกผมอยู่เนิสเซอรี่เด็กเล็ก กำลังจะพาเข้าโรงเรียนสองภาษา พย.นี้ อายุแค่ 2ขวบ5เดือน ยังพูดภาษาไทยได้แค่เป็นบางคำเท่านั้น ยังตื่นเต้นอยู่เหมือนกันครับ แต่ผมยังโชคดีที่เป็นหมอกันทั้งคู่ ภาคบังคับครับ ลางานไม่ได้ทั้งคู่ อีกอย่าง..ก็ ใจแข็งด้วยกันทั้งคู่(เป็นหมอ ผมว่าจะใจแข็งกว่าคนทั่วไป และพอรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาอยู่บ้าง รู้ว่านี่เป็นขั้นตอนปกติที่ต้องพบแน่นอน) ตอนผมเอาลูกไปท้งไว้เนสเซอรี่ก็แค่ 1ขวบครึ่งเองครับ ตอนนั้นก็ร้องให้เหมือนกัน แต่ก็ใจแข็งทั้งคู่ครับ แวะพักเที่ยงไปดูลูกแค่ครึ่ง ชม.ก็กลับ เป็นอย่างนี้อยู่แค่ 3-4วันก็หาย และอีกอย่างตั้งแต่เกิดเลยครับที่ผมต้องทิ้งลูกไว้กับคนเลี้ยงทั้งวัน มีเวลามาเยี่ยมได้แค่พักเที่ยง จนมาเข้าเนสเซอรี่อย่างที่ว่าซึ่งผมกลับเป็นห่วงน้อยกว่า น้องปุยต้องใจแข็งครับ อย่างที่คีนูบอกถูกต้องแล้วครับ เรายอมทุกข์แค่เห็นลูกร้องวันนี้(ซึ่งมันก็เป็นขั้นตอนปกติของจิตวิทยากเด็กที่มีภาวะที่เรียกว่า Separation anxeity ซึ่งพบได้ในเด็กวัยนี้อยู่แล้ว) เพื่อให้ลูกได้มีการศึกษาที่ดีขึ้น และสำหรับผม ถือว่ามันเป็น "โอกาส" ในการให้ลูกได้มีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดครับ ไม่ใช่เป็น พัฒนาการแบบ Step by Step เหมือนอย่าง การเรียนแพทย์ครับ ตอนเป็น นักศึกษาแพทย์ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบเท่าไหร่แค่เรื่องทำรายงาน ทำแล็ปขึ้นเวรตามที่รุ่นพี่สั่ง พอเป็น นศพ.ปีสุดท้ายที่เรียกว่า Extern ก็ต้องเริ่มดูแลคนไข้สั่งการรักษาตรวจคนไข้เพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอย่างมาก พอมาเป็นหมอทั่วไป ก็ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นไปอีก แต่พอกลับมาเทรนเป็นแพทย์เฉพาะทางและจบมาแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างมากของความสามารถความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด ถึงแม้ว่าแต่ละคั่นตอนที่ต้องผ่านไปจะต้องลำบากและทุกข์ทรมาณไม่น้อย แต่ผมว่าคุ้มค่ามากครับ ขอเป็นกำลังใจให้น้องปุยอีกคนครับ 8) :D ปล.ผมกับภรรยาก็เป็นอีกคนครับที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยเลี้ยงให้ แต่ยังดีกว่าน้องปุยหน่อย ตรงถ้าเขาป่วยพ่อแม่ยายเขายังยอมเลี้ยงให้ แต่ต้องขับรถเอาไปฝากเพราะอยู่คนละจังหวัดใกล้เคียง(อุทัย) ไม่ถึงกับอยู่ ต่างประเทศแบบน้องปุย
สำหรับเรื่องบังคับลูกผมก็เป็นเหมือนกันครับ แต่เป็นบางอย่าง ผมว่ามันต้องมีบ้างครับ เพราะการกระทำบางอย่างมันอาจเป็นอันตรายต่อเด็กก็ต้องห้ามหรือบังคับครับ แต่ก็จะมีปลอบช่วยด้วย แต่อันไหนปล่อยได้ก็ปล่อย หรือใช้วิธีชม เบี่ยงเบนความสนใจ ชักจูงให้เห็นสนุกตามด้วยได้ก้ทำครับ ผมใช้ปนๆกันไป ผิดบ้างถูกบ้างก็ให้อภัยตัวเองและลูกครับ ส่วนใหญ๋แล้วผมจะเข้มงวดมากกว่าภรรยา ถ้าผมดุลูกก็จะเกรงผมมากกว่าภรรยา แต่ลูกก็ไม่เคยกลัวผมเลย ตรงข้ามเวลาลูกอยู่กับแม่จะเรียก ป๊ะป๋า ชัดแจ๋วกว่า แม่ เสียอีก จนภรรยาผมบางทีน้อยใจ แกมอิจฉา :lol:
เรื่อง Child's school refusal เท่าที่ผมเคนเรียนตอนอยู่จิตเวช เขาว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางจิตเวชอย่างนึง อย่าให้ค้างอยู่นานครับ ผมกับภรรยาก็กำลังจะประสบปัญหาแบบนี้อยู่ เพราะตอนนี้ลูกผมอยู่เนิสเซอรี่เด็กเล็ก กำลังจะพาเข้าโรงเรียนสองภาษา พย.นี้ อายุแค่ 2ขวบ5เดือน ยังพูดภาษาไทยได้แค่เป็นบางคำเท่านั้น ยังตื่นเต้นอยู่เหมือนกันครับ แต่ผมยังโชคดีที่เป็นหมอกันทั้งคู่ ภาคบังคับครับ ลางานไม่ได้ทั้งคู่ อีกอย่าง..ก็ ใจแข็งด้วยกันทั้งคู่(เป็นหมอ ผมว่าจะใจแข็งกว่าคนทั่วไป และพอรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาอยู่บ้าง รู้ว่านี่เป็นขั้นตอนปกติที่ต้องพบแน่นอน) ตอนผมเอาลูกไปท้งไว้เนสเซอรี่ก็แค่ 1ขวบครึ่งเองครับ ตอนนั้นก็ร้องให้เหมือนกัน แต่ก็ใจแข็งทั้งคู่ครับ แวะพักเที่ยงไปดูลูกแค่ครึ่ง ชม.ก็กลับ เป็นอย่างนี้อยู่แค่ 3-4วันก็หาย และอีกอย่างตั้งแต่เกิดเลยครับที่ผมต้องทิ้งลูกไว้กับคนเลี้ยงทั้งวัน มีเวลามาเยี่ยมได้แค่พักเที่ยง จนมาเข้าเนสเซอรี่อย่างที่ว่าซึ่งผมกลับเป็นห่วงน้อยกว่า น้องปุยต้องใจแข็งครับ อย่างที่คีนูบอกถูกต้องแล้วครับ เรายอมทุกข์แค่เห็นลูกร้องวันนี้(ซึ่งมันก็เป็นขั้นตอนปกติของจิตวิทยากเด็กที่มีภาวะที่เรียกว่า Separation anxeity ซึ่งพบได้ในเด็กวัยนี้อยู่แล้ว) เพื่อให้ลูกได้มีการศึกษาที่ดีขึ้น และสำหรับผม ถือว่ามันเป็น "โอกาส" ในการให้ลูกได้มีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดครับ ไม่ใช่เป็น พัฒนาการแบบ Step by Step เหมือนอย่าง การเรียนแพทย์ครับ ตอนเป็น นักศึกษาแพทย์ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบเท่าไหร่แค่เรื่องทำรายงาน ทำแล็ปขึ้นเวรตามที่รุ่นพี่สั่ง พอเป็น นศพ.ปีสุดท้ายที่เรียกว่า Extern ก็ต้องเริ่มดูแลคนไข้สั่งการรักษาตรวจคนไข้เพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอย่างมาก พอมาเป็นหมอทั่วไป ก็ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นไปอีก แต่พอกลับมาเทรนเป็นแพทย์เฉพาะทางและจบมาแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างมากของความสามารถความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด ถึงแม้ว่าแต่ละคั่นตอนที่ต้องผ่านไปจะต้องลำบากและทุกข์ทรมาณไม่น้อย แต่ผมว่าคุ้มค่ามากครับ ขอเป็นกำลังใจให้น้องปุยอีกคนครับ 8) :D ปล.ผมกับภรรยาก็เป็นอีกคนครับที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยเลี้ยงให้ แต่ยังดีกว่าน้องปุยหน่อย ตรงถ้าเขาป่วยพ่อแม่ยายเขายังยอมเลี้ยงให้ แต่ต้องขับรถเอาไปฝากเพราะอยู่คนละจังหวัดใกล้เคียง(อุทัย) ไม่ถึงกับอยู่ ต่างประเทศแบบน้องปุย

-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
อายเค้าไหมลูก
โพสต์ที่ 35
คุณๆ และคณปุย ขอแจมนิดหน่อย
การไปโรงเรียนในวัยนี้ ไม่ได้เรียนอะไร และไม่ได้หมายถึงความสามารถในการศึกษาตามรูปแบบอะไรมากเลย
ลูกคุณปกติแน่ๆ เหมือนเด็กทั่วไป ไม่ร้องไห้สิน่าห่วง
ลูกอยู่กับเรา 365X3วัน(๓ขวบ) เพิ่งต้องแยก 2-3 วันเอง ปกติเหลือเกินที่ต้องอาลัย
บางครั้งเด็กบางคน ร้องหรือไม่ร้อง ไม่ได้หมายความว่า สุข หรือ ทุกข์ เก่งหรือไม่เก่ง แค่ยังไม่คุ้นกับการจากเท่านั้น
เด็กบางคนอายุมากกว่าแค่ 3-4เดือน แต่หมายถึงแก่กว่า ตั้งสิบกว่า%เชียว ดังนั้นไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก
เด็กเล็กไม่รู้อันตรายของน้ำ เคยอยู่ในท้องจึงไม่กลัวน้ำ
เด็กโตฉลาด รู้อันตรายของน้ำ จึงกลัวน้ำเป็นธรรมดา ผู้ใหญ่ยิ่งกลัวใหญ่
การไปโรงเรียนในวัยนี้ ไม่ได้เรียนอะไร และไม่ได้หมายถึงความสามารถในการศึกษาตามรูปแบบอะไรมากเลย
ลูกคุณปกติแน่ๆ เหมือนเด็กทั่วไป ไม่ร้องไห้สิน่าห่วง
ลูกอยู่กับเรา 365X3วัน(๓ขวบ) เพิ่งต้องแยก 2-3 วันเอง ปกติเหลือเกินที่ต้องอาลัย
บางครั้งเด็กบางคน ร้องหรือไม่ร้อง ไม่ได้หมายความว่า สุข หรือ ทุกข์ เก่งหรือไม่เก่ง แค่ยังไม่คุ้นกับการจากเท่านั้น
เด็กบางคนอายุมากกว่าแค่ 3-4เดือน แต่หมายถึงแก่กว่า ตั้งสิบกว่า%เชียว ดังนั้นไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก
เด็กเล็กไม่รู้อันตรายของน้ำ เคยอยู่ในท้องจึงไม่กลัวน้ำ
เด็กโตฉลาด รู้อันตรายของน้ำ จึงกลัวน้ำเป็นธรรมดา ผู้ใหญ่ยิ่งกลัวใหญ่
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 1150
- ผู้ติดตาม: 0
อายเค้าไหมลูก
โพสต์ที่ 36
คุณปุยไม่ต้องห่วงหรอกครับ ส่งแล้วก็กลับเลย สักพักนึงก็ OK แต่เด็กก็คือเด็กนะครับ ลูกผมพอแม่แกคลอดลูกคนที่ 2 แล้วไม่ได้ไปส่งที่โรงเรียน ขึ้นอนุบาล 2 แล้วนะ ก็กลับมาร้องไห้ใหม่ บอกว่าคิดถึงน้อง จากเดิมมาโรงเรียนสนุกมากไม่เคยร้องไห้ กลับมาร้องไห้ เล่นเอาพ่อเครียดไปประมาณ 2 อาทิตย์ก็ต้องตัดใจ จนในที่สุดก็ OK
ส่วนที่พี่พอใจบอกว่าเด็กทุกคนชอบเล่นน้ำ คงไม่จริงครับ เพราะว่าลูกผมมันกลัวน้ำทะเลมาก ขนาดเดินริมทะเลยยังไม่ยอมเลย จนให้ไปว่ายน้ำกับครูนะแหละถึงดีขึ้น
ส่วนที่พี่พอใจบอกว่าเด็กทุกคนชอบเล่นน้ำ คงไม่จริงครับ เพราะว่าลูกผมมันกลัวน้ำทะเลมาก ขนาดเดินริมทะเลยยังไม่ยอมเลย จนให้ไปว่ายน้ำกับครูนะแหละถึงดีขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 2032
- ผู้ติดตาม: 0
อายเค้าไหมลูก
โพสต์ที่ 37
สรุป เมื่อวานวันที่ 3 ตอนไปรับ เค้าก็ดู Happy ครับ ถามว่ามาอีกมั้ย เค้าตอบว่า "มาซิ"
แต่ตอนกลางคืน เค้าหลับแล้วอาการออกครับ ผมว่าน่าจะฝันร้าย นอนร้องไห้แทบตลอดคืน ละเมอว่า "กลับบ้านๆ"
โชคดี วันนี้หยุด 2 วันครับ เปิดอีกที วันอาทิตย์
ตั้งแต่เค้าเกิด ด่านนี้ ยากที่สุดแล้วครับ
พาไปหาหมอฟัน ตรวจฟัน ก็ผ่านได้ด้วยดี ขูดคราบหินปูน เค้าชอบ แถมแอบหลับด้วยซ้ำ
พาไปว่ายน้ำ เค้ากระโดดลงสระเลย อย่างที่บอก
ฝึกฉี่ตอนกลางคืน หลังจากถอด pampers ก็ใช้เวลาไม่นาน ก็ทำได้
ฝึกถ่ายแบบนั่งชักโครก ก็สบายๆ
แต่ตอนกลางคืน เค้าหลับแล้วอาการออกครับ ผมว่าน่าจะฝันร้าย นอนร้องไห้แทบตลอดคืน ละเมอว่า "กลับบ้านๆ"
โชคดี วันนี้หยุด 2 วันครับ เปิดอีกที วันอาทิตย์
ตั้งแต่เค้าเกิด ด่านนี้ ยากที่สุดแล้วครับ
พาไปหาหมอฟัน ตรวจฟัน ก็ผ่านได้ด้วยดี ขูดคราบหินปูน เค้าชอบ แถมแอบหลับด้วยซ้ำ
พาไปว่ายน้ำ เค้ากระโดดลงสระเลย อย่างที่บอก
ฝึกฉี่ตอนกลางคืน หลังจากถอด pampers ก็ใช้เวลาไม่นาน ก็ทำได้
ฝึกถ่ายแบบนั่งชักโครก ก็สบายๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
อายเค้าไหมลูก
โพสต์ที่ 40
คุณปุย ครับ
รายการตื่นแล้ว งัวเงีย ไม่สดใส เป็นประเด็นสำคัญอยู่
และความสามารถในการตื่นของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน
ต้องหาทางทำความเข้าใจ และทำให้เหมาะกับลูก
ลูกผมต้องเกาสะดือเล่านิทานให้ฟังตอนตื่นนอนอยู่หลายปี กว่าจะเข้าที่เข้าทาง
รายการตื่นแล้ว งัวเงีย ไม่สดใส เป็นประเด็นสำคัญอยู่
และความสามารถในการตื่นของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน
ต้องหาทางทำความเข้าใจ และทำให้เหมาะกับลูก
ลูกผมต้องเกาสะดือเล่านิทานให้ฟังตอนตื่นนอนอยู่หลายปี กว่าจะเข้าที่เข้าทาง
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 1150
- ผู้ติดตาม: 0
อายเค้าไหมลูก
โพสต์ที่ 41
คุณปุยครับ ลูกนี่ฝึกมาอย่างไรก็ได้อย่างนั้นนะครับ ยอมให้เขาไม่ไปโรงเรียนอีกหน่อย เค้าก็หาเรื่องปวดหัวตัวร้อนหยุดตลอด เหมือนทำการบ้านบางคนอนุบาล1 ลูกไม่อยากทำ หรือ ใช้เวลาทำนาน ก็สงสารลูก บอกปล่อยๆมันไปเถอะจะเอาอะไรนักหนาแต่อนุบาล1 สุดท้าย พอขึ้นอนุบาล3 เค้าก็จะไม่ยอมทำการบ้านแล้ว พ่อแม่ก็ต้องให้ลูกเรียนพิเศษที่โรงเรียนเพื่อทำการบ้าน เพราะบังคับให้ลูกทำไม่ได้ สำคัญมากนะครับ คุณปุยลองหาหนังสือ "กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว"มาอ่านดู (ไม่รู้ยังมีขายหรือปล่าว)
-
- Verified User
- โพสต์: 2032
- ผู้ติดตาม: 0
อายเค้าไหมลูก
โพสต์ที่ 42
พี่ Mr.Boo ผมก็คิดคล้ายๆ กับพี่ คือ อารมณ์ของวัน สำคัญตอนตื่น และ นอนหลับได้เพียงพอหรือไม่ ตอนนี้ถึงพยายาม นอนเร็ว จะได้ตื่นเช้าๆ ไม่ต้องเร่งรีบมาก โชคดี รร.เข้า 8 โมง เดินจากบ้าน 10 นาทีถึง ออกจากบ้าน สบายๆ 7 โมงครึ่งครับMr. Boo เขียน:คุณปุย ครับ
รายการตื่นแล้ว งัวเงีย ไม่สดใส เป็นประเด็นสำคัญอยู่
และความสามารถในการตื่นของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน
ต้องหาทางทำความเข้าใจ และทำให้เหมาะกับลูก
ลูกผมต้องเกาสะดือเล่านิทานให้ฟังตอนตื่นนอนอยู่หลายปี กว่าจะเข้าที่เข้าทาง
tt เขียน:คุณปุยครับ ลูกนี่ฝึกมาอย่างไรก็ได้อย่างนั้นนะครับ ยอมให้เขาไม่ไปโรงเรียนอีกหน่อย เค้าก็หาเรื่องปวดหัวตัวร้อนหยุดตลอด เหมือนทำการบ้านบางคนอนุบาล1 ลูกไม่อยากทำ หรือ ใช้เวลาทำนาน ก็สงสารลูก บอกปล่อยๆมันไปเถอะจะเอาอะไรนักหนาแต่อนุบาล1 สุดท้าย พอขึ้นอนุบาล3 เค้าก็จะไม่ยอมทำการบ้านแล้ว พ่อแม่ก็ต้องให้ลูกเรียนพิเศษที่โรงเรียนเพื่อทำการบ้าน เพราะบังคับให้ลูกทำไม่ได้ สำคัญมากนะครับ คุณปุยลองหาหนังสือ "กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว"มาอ่านดู (ไม่รู้ยังมีขายหรือปล่าว)
ตกลง อาทิตย์นี้ ผมยังไม่ได้ให้ลุกไป รร.ใหม่ครับ เพราะเค้าไอมาก ตอนนอนก็ไอ หลับไม่เต็มที่ ไปหาหมอ ก็ให้ยามากิน ขนาดกินข้าว ยังไม่สะดวก เป็นจริงๆ เลยให้หยุดก่อนครับ กลัวไปแล้วจะเป็นหนักกว่านี้
ส่วนเรื่องหนังสือ ผมคิดว่ามีแล้ว ไว้จะลองไปอ่านใหม่ครับ