Thai VI

ลองไปทำการบ้านเพิ่มเติม ในประเด็นขาดดุลแล้วทำไมเงินมักจะอ่อน
ได้คำตอบมาในลักษณะนี้ ซึ่งคล้ายๆกับของคุณ nanakorn

ยามที่เกิดภาวะขาดดุล  จะทำให้ความต้องการเงินสกุลหลัก ( US$ ) จะสูงกว่าปริมาณเงินสกุลหลักในประเทศ เพราะเกิดจากการนำเข้ามาก แต่การส่งออกน้อย  การนำเข้าจากต่างประเทศ  จะต้องเอาเงินบาทไปซื้อเงินดอลล่าร์ เพื่อไปชำระสินค้าต่างประเทศ  ดังนั้น  ความต้องการเงินสกุลหลักจะสูงมาก ขณะที่ปริมาณเงินสกุลหลักจะมีน้อย เพราะการส่งออกต่ำ  ส่งผลให้ ค่าเงินสกุลหลักแข็งค่าขึ้น ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง  จึงส่งผลให้

1 การนำเข้าลดลง  ราคาสินค้าต่างประเทศจะแพงขึ้น
2 การส่งออกจะเพิ่มขึ้น ในสายตาต่างชาติ สินค้าไทยจะถูกลง
3 เงินทุนไหลเข้า ราคาสินทรัพย์ของประเทศมีราคาถูกลง

กรณีนี้จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อ  ค่าเงินบาทจะต้องเคลื่อนไหวเสรี    เพราะถ้าค่าเงินบาทไม่อ่อนลง หรือมีการ Fixed ค่าเงินก็จะไม่สามารถทำให้เกิดการลดลงของการขาดดุล  ดังนั้น  สำนัก  Classic จึงเชื่อว่า ถ้าปล่อยให้ค่าเงินบาทอ่อนลง โอกาสที่จะขาดดุลก็จะลดลง

ถามต่อนะครับ ผมไม่แน่ใจข้อ 3 สรุปแบบนี้ได้มั้ยครับ
เนื่องจากเงินสกุลหลักแข็งค่าขึ้นดังนั้นจึงสามารถซื้อสินทรัพย์ของประเทศที่ค่าเงินอ่อนได้มากขึ้น โดยใช้จำนวนเงินเท่าเดิม
(สินทรัพย์ของประเทศที่ค่าเงินอ่อนมีราคาถูกลง ในสายตาเจ้าของสกุลเงินหลัก)
ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้า และการขาดดุลจะเริ่มลดลง

ลองมาดูว่าปีที่แล้ว ทั่วโลกมีดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance) เป็นอย่างไร

1 Japan  $ 165,600,000,000  2005 est.  
2 China  $ 160,800,000,000  2005 est.  
3 Germany  $ 115,500,000,000  2005 est.  
4 Saudi Arabia  $ 90,730,000,000  2005 est.  
5 Russia  $ 84,250,000,000  2005 est.  
6 Switzerland  $ 58,240,000,000  2005 est.  
7 Norway  $ 49,490,000,000  2005 est.  
8 Netherlands  $ 39,950,000,000  2005 est.  
9 Singapore  $ 32,740,000,000  2005 est.  
10 Kuwait  $ 26,920,000,000  2005 est.  

พี่ยุ่นมาที่ 1 คงเป็นเพราะส่งออกรถยนตร์กับเครื่องใช้ไฟฟ้าไปทั่วโลก
จีนมาที่ 2 ซาอุเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันได้มากที่สุดในโลกมาเป็นอันดับ 4 จากอานิสงค์ภาวะน้ำมันแพง

แล้วไทยล่ะ เจอแล้วอยู่อันดับ 130 ...  :oops:

130 Thailand  $ -3,689,000,000  2005 est.  

แล้วพี่กันล่ะ เจอแล้วอยู่อันดับบ๊วยเลย ...  :lovl:

150 United States  $ -829,100,000,000  2005 est.

 

ที่มา : CIA - The world factbook

ปล. เป็นข้อมูลปีที่แล้ว est. หมายถึงประมาณการ ซึ่งคงไม่ต่างจากของจริงมากนัก

ไปหาข้อมูลมาเสริมคุณหมอศรราม

Exchange Rate:

British pounds per US dollar - 0.5500 (2005), 0.5462 (2004), 0.6125 (2003), 0.6672 (2002), 0.6947 (2001);

USD มีแนวโน้มอ่อนค่าลงลงเรื่อยๆเมื่อเทียบกับสกุลปอนด์

Canadian dollars per US dollar - 1.2118 (2005), 1.3010 (2004), 1.4011 (2003), 1.5693 (2002), 1.5488 (2001);

Canadian dollars ก็เช่นเดียวกัน แต่มีแกว่งบ้าง

Japanese yen per US dollar - 110.22 (2005), 108.19 (2004), 115.93 (2003), 125.39 (2002), 121.53 (2001);

เยนก็เหมือนกัน ถึงจะมีแกว่งบ้าง

euros per US dollar - 0.8041 (2005), 0.8054 (2004), 0.8866 (2003), 1.0626 (2002), 1.1175 (2001);

เทียบกับยูโรก็เช่นเดียวกัน อ่อนค่าลงเรื่อยๆ

Chinese yuan per US dollar - 8.1943 (2005), 8.2768 (2004), 8.2770 (2003), 8.2770 (2002), 8.2271 (2001)

เทียบกับหยวน ไม่ค่อยอ่อนค่าเท่าไหร่
เท่าที่ทราบเนื่องจาก จีน Peg ค่าเงินกับ USD และเพิ่งมาลอยตัวเมื่อปีที่แล้ว
ทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น แต่ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะจากอเมริกาว่ายังต่ำกว่าความเป็นจริง (Undervaluation)

หาก USA สามารถกำหนดนโยบายทางการเงินของประเทศตัวเองได้แล้ว
การทำให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่าลง มีผลดีต่ออเมริกาอย่างไรครับ
ในเมื่ออเมริกาเป็นประเทศบริโภค และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมหาศาล

ตัวเลขอย่างนี้ถ้าเป็นประเทศอื่นก็ล้มละลายไปแล้วใช่ไหมครับ ดังนั้นสหรัฐจึงอยู่ได้ด้วยความน่าเชื่อถือเพียงอย่างเดียว เหมือนเศรษฐีบ้านเราบางคนที่ net worth ติดลบแท้ๆ เลย แต่ขี่เบ๊นซ์ ไปไหนก็มีแต่คนกราบไหว้

สหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาตลอดแต่ก็ไม่เป็นไร แต่มาช่วงหลังๆ นี้ขาดดุลมากเสียจน (ราวๆ 7% ของ GDP ละมั้ง) ทำให้ความน่าเชื่อถือเริ่มสั่นคลอนแล้ว ก็เท่านั้นแหละครับ ที่ผ่านมาอเมริกาใช้วิธีดึงเงินทุนเอาไว้ไม่ให้ไหลออกด้วยการทำขาดดุลงบประมาณให้มากๆ ผลตอบแทนพันธบัตรจะได้สูง แต่ทำแบบนี้ติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆ ปีก็คงไม่ไหวครับ ที่สุดแล้วจะต้องแก้ปัญหาเรื่องขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเกินขนาดให้ได้ถึงจะขี่เบ็นซ์ต่อไปได้ วิธีแก้ที่ง่ายที่สุดคือทำให้ดอลล่าร์อ่อนซะ

ที่ผ่านมาดอลล่าร์อ่อนเทียบกับสกุลของประเทศพัฒนาแล้ว เพราะประเทศพวกนี้ค่อนข้างปล่อย ซึ่งเป็นผลดีต่อการแก้ปัญหาขาดดุลของสหรัฐ แต่ประเทศที่เป็น export-led economies ทั้งหลายในแถบเอเซียไม่ปล่อยต่างรีบเข้าไปอุ้มดอลล่าร์เพราะกลัวตนเองจะส่งออกได้น้อย ก็เลยทำให้อเมริกาต้องออกมาเย้วๆ ให้ประเทศเหล่านี้หยุดอุ้มดอลล่าร์

ผมคิดว่าสุดท้ายถ้าสหรัฐแก้ปัญหาขาดดุลไม่สำเร็จเพราะประเทศเอเชียไม่ยอมปล่อย ผลตอบแทนตลาดพันธบัตรสหรัฐจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกดดันเศรษฐกิจภายในสหรัฐให้ตกต่ำ แล้วกำลังซื้อของสหรัฐก็จะอ่อนยวบลงเอง ทำให้การขาดดุลลดลงในที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้วผมว่าดีกว่าการให้จีนลอยตัวหยวนอย่างเฉียบพลันเสียอีก เพราะจะเป็น soft landing มากกว่า

[quote="สามัญชน"]ขอบคุณครับท่านฉัตรชัย

ผมไม่แน่ใจว่าผมเป็นพี่ไหม

สุมาอี้ เขียน: ผมคิดว่าสุดท้ายถ้าสหรัฐแก้ปัญหาขาดดุลไม่สำเร็จเพราะประเทศเอเชียไม่ยอมปล่อย ผลตอบแทนตลาดพันธบัตรสหรัฐจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกดดันเศรษฐกิจภายในสหรัฐให้ตกต่ำ แล้วกำลังซื้อของสหรัฐก็จะอ่อนยวบลงเอง ทำให้การขาดดุลลดลงในที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้วผมว่าดีกว่าการให้จีนลอยตัวหยวนอย่างเฉียบพลันเสียอีก เพราะจะเป็น soft landing มากกว่า

สงสัยครับ ... ขอถามเป็นความรู้หน่อยครับ

ทำไมการที่ผลตอบแทน พันธบัตร สูงขึ้น ทำให้ เศรษฐกิจตกต่ำ ได้ครับ ... ใช่เพราะ มีแต่การลงทุนใน พันธบัตร จนไม่มีการลงทุนใน ภาคเศรษฐกิจจริง หรือเปล่าครับ

ShexShy เขียน:
ทำไมการที่ผลตอบแทน พันธบัตร สูงขึ้น ทำให้ เศรษฐกิจตกต่ำ ได้ครับ ...  

ดอกเบี้ยสูงทำให้กิจกรรมการลงทุนทางเศรษฐกิจลดลง

ขอบคุณขอรับ พอดีแวะมาอ่าน งุงิ
 :o

ขาดดุล คือการที่เงินไหลออกนอกประเทศ ซึ่งเเสดงว่า ความต้องการเงินดอลลาร์มากขึ้น บาทเลยอ่อน ดอลเเข็งครับ

ค่าเงินขึ้นกับ  Balance of Payment  ครับ
ไม่ใช่ขึ้นกับการขาดดุลการค้าเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น  แม้ว่า ขาดดุล แต่ยังมีเงินไหลเข้าเพื่อลงทุน...ค่าเงินก็ยืนได้ครับ

[quote="matrix"]ประเทศอเมริกาก็เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง