หน้า 2 จากทั้งหมด 2

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 30, 2006 8:26 pm
โดย สามัญชน
ผมว่าเวลาบัฟเฟตต์จะซื้อหุ้น เขาคงตั้งโจทย์แบบนี้แหละครับ หรือถ้าไม่ใช่เป๊ะๆก็คงใกล้เคียง

หุ้นที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นหุ้นเติบโตเท่านั้นนะในความเห็นผม

หุ้นวัฏจักรทำไม่ได้
หุ้นแข็งแกร่งทำไม่ได้(ตัวนี้ต่างจากหุ้นเติบโตตรงที่โตเต็มที่แล้ว  โตเพิ่มอีกยาก)
หุ้นก้นบุหรี่ทำไม่ได้
หุ้นทรัพย์สินมากทำไม่ได้
หุ้นฟื้นตัวทำไม่ได้ (เพราะไม่รู้ว่าจะกลับไปโคม่าอีกเมื่อไหร่)

และหุ้นเติบโตที่ว่าก็จะต้องอยู่ในเงื่อนไขต่อไปนี้

1. ตลาดโดยรวมโตมากกว่า 12 % และบริษัทนี้ต้องยึดครองส่วนแบ่งของตนเองได้อย่างมั่นคง ไม่เสียส่วนแบ่งง่ายๆ  

2. ถ้าตลาดโดยรวมโตน้อยกว่า 12 % ตัวนี้จะต้องเก่งกว่ารายอื่นในแง่ต้นทุนถูกกว่า  หรือมียี่ห้อที่แข็งแกร่ง  และจะต้องแย่งส่วนแบ่งตลาดจากเจ้าอื่นได้เรื่อยๆ

3.ถ้าตลาดโดยรวมโตต่ำกว่า 12 %มากๆ ตัวนี้นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติข้อ2.แล้ว จะต้องอยู่ในสภาพที่ mk.   share. ยังต่ำอยู่เยอะ และไม่มีเจ้าใหญ่อื่นๆครองอยู่ก่อน ถ้า mk   share.อยู่ในสัดส่วนที่สูงแล้ว การเติบโต 12 % จะยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา  และถ้ามีเจ้าใหญ่ครองอยู่การเข็นภูเขาขึ้นครกยังจะง่ายกว่าเสียอีก

ดังนั้นถ้าเป็นบริษัทที่มี DCA ซึ่งยังครองส่วนแบ่งตลาดน้อยอยู่ เป็นที่หนึ่งของคู่แข่งทั้งหมดและอยู่ในตลาดที่เติบโตสูงๆละก็  ใครเจอช่วยบอกผมด้วยเด้อ........

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 30, 2006 8:54 pm
โดย สามัญชน
มาถึงเหตุผลที่ผมส่งไอทีเข้าประกวดเพราะว่า

1. ตลาดไอทีโดยรวมเติบโตเกิน 12% มาหลายปี  และโดยที่สินค้าไอทีจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต (เพราะตอบสนองต่อความบันเทิงความสะดวกสบาย ความมีประสิทธิภาพซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ) ทั้งทดแทนของเก่าหรือล้าสมัย หรือซื้อใหม่จากที่ไม่เคยมี  

โอกาสที่ตลาดจะโตต่อไปเรื่อยๆปีละ 12% ก็มีอยู่สูง

2. ไอทีซิตี้ครองส่วนแบ่งตลาด 5 %เท่านั้นเอง  ถ้ายังสามารถรักษาสัดส่วนนี้ไว้ได้เท่าเดิมก็จะโตอัตโนมัติ 12% เพราะตลาดโดยรวมโต 12% อยู่แล้ว

3.แต่เนื่องจากไอที่ซิตี้ครองความเป็นที่หนึ่งอยู่ก่อน (แม้จะไม่มี DCA) ก็จะเกิดความได้เปรียบคู่แข่งไม่มากก็น้อย  ย่อมจะสามารถยึดครองสัดส่วนได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ยาก การเติบโตมากกว่า 12 % ก็ไม่น่าจะยากอะไร

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 30, 2006 10:09 pm
โดย สุมาอี้
สามัญชน เขียน: หุ้นที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นหุ้นเติบโตเท่านั้นนะในความเห็นผม
ครับ เลือกหุ้นที่มี "ความเป็นไปได้" ที่จะเป็น 10 baggers ไว้ 3-4 ตัว ถือไว้ให้นานที่สุด ถ้าเข้าเป้าได้หนึ่งตัว ก็น่าจะได้ผลตอบแทนรวมที่ไม่เลวทีเดียว

น่าสนใจครับวิธีนี้

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 01, 2006 12:25 am
โดย วัวแดง
หุ้นที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นหุ้นเติบโตเท่านั้นนะในความเห็นผม
ผมชอบหุ้นเติบโตเหมือนกัน แต่ทำไมไม่รู้เห็นหุ้นที่รอฟื้นตัวทีไร เสร็จทุกที
หุ้นเติบโตขอเสนอ
tipco  cawow และ tpa ครับน่าจะเติบโตได้มากกว่า12% นะครับ :D

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 01, 2006 11:48 am
โดย สามัญชน
เรื่องปัจจัยที่จะทำให้หุ้นสามารถเติบโตได้อย่างยาวนานนั้น  คุณ Invisivle Hand  เขียนไว้น่าสนใจมากครับ
จะทราบได้อย่างไรว่าหุ้นแต่ละตัวจะมีการเติบโตกี่ % ต่อปีในอีก 5-10 ปีข้างหน้า คงจะต้องดู 3 ประการครับ

1 market growth
2 market share growth
3 net profit margin


1 market growth คือจะต้องศึกษาว่าธุรกิจ อุตสาหกรรมดังกล่าวมีการเติบโตแค่ไหน ซึ่งการวิเคราะห์ตรงนี้ก็ค่อนข้างยากและเป็นศิลปะพอสมควร และเราจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในตัวอุตสาหกรรมอย่างมากครับ วิธีที่ง่ายที่จะเริ่มต้น ก็คือ การคิดว่า อนาคต หากผู้บริโภคมีรายได้ 100 บาทต่อปี ถ้าปัจจุบัน ผู้บริโภคจ่ายเงินในการซื้อสินค้าและบริการในธุรกิจนี้ 5 บาทต่อปี อนาคตเราคิดว่าคนจะจ่ายเงินในสัดส่วนของรายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง หรือคงที่ครับ หากสรุปได้ว่าคงที่ ก็เท่ากับว่า market จะโตได้พอๆ กับการเติบโตของรายได้ของผู้บริโภค คือ เท่าๆ กับ GDP ครับ ถ้าคิดว่าสัดส่วนการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภคจะสูงขึ้น แสดงว่าธุรกิจดังกล่าวจะโตต่ำกว่า gdp ครับ

2 mkt share growth ให้ประเมินสถานภาพ mkt share ของบริษัท ว่ามี mkt share ประมาณกี่ % ถ้าหุ้นตัวนั้นๆ มี mkt share สูงมากอยู่แล้ว เช่น 70% หุ้นตัวนั้นคงจะลำบากในการเพิ่ม share สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้คือการรักษา mkt share และโตตามตลาด ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องดูเพิ่มเติมก็คือ เราจะคิดว่าหุ้นตัวดังกล่าวจะรักษา mkt share ได้หรือไม่ครับ คงจะต้องไปศึกษา barrier to entry ของธุรกิจ ศึกษาคู่แข่งด้วยครับ สำหรับหุ้นที่ mkt share ต่ำ ก็มีข้อดีคือ มีโอกาสเพิ่ม mkt share ได้อีก แต่ข้อเสียคือ มีโอกาสล้มหายตายจาก เพราะการมี mkt share ต่ำแสดงถึงการเสียเปรียบหลายๆ อย่างกับผู้มี mkt share สูง และอาจจะแสดงถึงความสามารถในการบริหารที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการเลือกหุ้น mkt share ต่ำ แม้ว่าจะมี upside สูง แต่ก็มี downside สูงเช่นกัน ดังนั้นเราจะต้องวิเคราะห์ให้ได้ถึงสาเหตุของการมี mkt share ต่ำว่าอะไร เพราะอาจจะมีเหตุผลที่ดีก็ได้เช่น เป็นบริษัทใหม่ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่ตั้งมาหลายสิบปีแล้วแต่ยังมี mkt share ต่ำอยู่ผมคิดว่าอาจจะยากเกินเยียวยาครับเว้นเสียว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารอย่างมีนัยสำคัญ

3 net margin ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดูครับ เพราะบางครั้ง net margin ในบางปีของแต่ละบริษัทอาจจะต่ำกว่าปกติ ซึ่งอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง หรืออาจจะสูงกว่าปกติในบางปี
สำหรับหุ้นที่ net margin ต่ำ ก็คงต้องระวังว่าหากต่ำกว่านี้อีกหน่อย ก็เท่ากับว่าขาดทุนทันที แม้จะมียอดขายเพิ่มก็ตาม แต่ก็มีข้อดีคือมี room ที่ margin ที่เพิ่มขึ้นหากมีการปรับปรุงหรือมียอดขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งน่าจะนำพาให้ economy of scale มากขึ้น
สำหรับหุ้นที่ net margin สูง ก็มีข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือ บริษัทนั้นๆ จะมีแนวโน้ม roa roe ที่สูง และบริษัทนั้นๆ จะทนกับการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง หรือปัจจัยด้านต้นทุนได้ดี ก็คือยังสามารถสร้างกำไรอยู่ได้ แต่ข้อเสียคือ การมี margin สูงมากๆ ประเภท too good to be true จะนำมาซึ่งการแข่งขันที่รุนแรงในอนาคตหาก barrier to entry ไม่สูงพอ และข้อเสียกับนักลงทุนคือหากเราให้ net margin ดังกล่าวในการทำนายในอนาคต อาจจะได้ผลที่คาดเคลื่อนได้ครับ

ดังนั้น เราจะต้องพิจารณา 3 ปัจจัยดังกล่าว ในการประเมินคร่าวๆ ว่าหุ้นตัวนั้นๆ จะมี growth มากน้อยเพียงใดในอนาคตครับ เราอาจจะแบ่งหุ้นได้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ครับ

1 market growth สูง และ mkt share สูง
หากธุรกิจดังกล่าวมี barrier to entry สูงด้วย หุ้นนั้นๆ จะเป็น super stocks ครับ เพราะการที่หุ้นนั้นๆ มี mkt share สูงจะทำให้มีความได้เปรียบคู่แข่งมากในด้านทรัพยาการต่างๆ ที่จะมาใช้ในการสร้างยอดขายเพื่อรองรับการเติบโตต่างๆ เช่น ทรัพยากรเงินทุน บุคลากร แต่หาก barrier to entry ต่ำ ก็อาจจะทำให้ความน่าสนใจลดลง แต่ด้วยความที่เค้กก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้หุ้นตัวนั้นๆ พอจะมีความน่าสนใจอยู่บ้างครับ

2 market growth สูง mkt share ต่ำ
หุ้นประเภทนี้ให้ดูปัจจัยเดียวเป็นหลักครับ คือ ความสามารถของผู้บริหาร ถ้าเราคิดว่าผู้บริหารมีความสามารถสูงและจะสามารถเพิ่ม mkt share ได้ หุ้นประเภท 2 นี้จะมี upside มากกว่าประเภท 1 อีกครับเพราะจะโตจากทั้งตลาดรวมที่โตและ mkt share ที่เพิ่ม ยกตัวอย่าง เช่น หุ้น LH ตอนปี 43 มี mkt share เพียง 7% ของตลาด แต่หลังจากได้สร้างบ้านก่อนขายและมี concept บ้านสบาย ทำให้ mkt share เพิ่มเป็นประมาณ 25-30% ในปี 46 ในขณะที่ตลาดรวมก็เติบโตสูง ผลก็คือ Lh มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 10 เท่าครับ

3 mkt growth ต่ำ mkt share สูง
หุ้นประเภทนี้น่ากลัวครับ เพราะการเติบโตของตลาดรวมที่ต่ำ ทำให้ผู้เล่นรายใหม่จะต้องมาแย่งเค้กจากรายเดิม และบริษัทที่มี mkt share สูงจะต้องอยู่ในสภาวะที่ตั้งรับ คือ ต้องรักษา mkt share อย่างเดียว และโอกาสเติบโตก็มีค่อนข้างน้อย ยกตัวอย่างคือ หุ้น BEC ในปี 43-44 มี mkt share ในตลาดโฆษณา TV 40% แต่ธุรกิจโฆษณา TV เริ่มโตช้าลง ในขณะที่ bec ได้เสีย mkt share ให้กับช่อง 7 ITV และ ช่อง 9 ทำให้ราคาหุ้นของ BEC ลดลงจาก 25 บาทมาเหลือ 15 บาทในปัจจุบัน

4 mkt growth ต่ำ mkt share ต่ำ
หุ้นประเภทนี้มองยากครับ ถ้าเป็นบริษัทที่ผู้บริหารมีความสามารถและสามารถเพิ่ม mkt share ได้ก็จะทำให้กำไรเติบโตได้มาก แต่ต้องดูว่าเป็นการเพิ่ม mkt share ที่ยั่งยืนหรือไม่ด้วยเพราะการที่บริษัทขนาดเล็กได้ mkt share เพิ่มก็มักจะถูกรุกกลับจากผู้เล่นรายใหญ่ที่มีความได้เปรียบในด้านทรัพยากร โดยเฉพาะการเพิ่ม mkt share ด้วยการตัดราคาในขณะที่ต้นทุนยังลดไม่ได้คงไม่ใช่วิธีที่ดีแน่นอนครับ นอกจากนี้ยิ่งหากเป็นบริษัทที่ผู้บริหารไม่เก่งแล้ว บริษัทเหล่านี้ก็มีโอกาสล้มหายตายจากครับ เพราะการที่ mkt growth ต่ำทำให้ผู้เล่นรายใหญ่จะต้องมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดกันเอง คนที่กระทบหนักสุดคือรายเล็กครับ เข้าข่าย ช้างชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกราญครับ

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 01, 2006 12:12 pm
โดย สามัญชน
3 net margin ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดูครับ เพราะบางครั้ง net margin ในบางปีของแต่ละบริษัทอาจจะต่ำกว่าปกติ ซึ่งอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง หรืออาจจะสูงกว่าปกติในบางปี
สำหรับหุ้นที่ net margin ต่ำ ก็คงต้องระวังว่าหากต่ำกว่านี้อีกหน่อย ก็เท่ากับว่าขาดทุนทันที แม้จะมียอดขายเพิ่มก็ตาม แต่ก็มีข้อดีคือมี room ที่ margin ที่เพิ่มขึ้นหากมีการปรับปรุงหรือมียอดขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งน่าจะนำพาให้ economy of scale มากขึ้น
สำหรับหุ้นที่ net margin สูง ก็มีข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือ บริษัทนั้นๆ จะมีแนวโน้ม roa roe ที่สูง และบริษัทนั้นๆ จะทนกับการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง หรือปัจจัยด้านต้นทุนได้ดี ก็คือยังสามารถสร้างกำไรอยู่ได้ แต่ข้อเสียคือ การมี margin สูงมากๆ ประเภท too good to be true จะนำมาซึ่งการแข่งขันที่รุนแรงในอนาคตหาก barrier to entry ไม่สูงพอ และข้อเสียกับนักลงทุนคือหากเราให้ net margin ดังกล่าวในการทำนายในอนาคต อาจจะได้ผลที่คาดเคลื่อนได้ครับ
ถ้าใช้แนวคิดในเรื่องนี้ของคุณ IH มาวิเคราะห์กับไอทีซิตี้ ก็จะได้ว่าไอทีซิตี้มี  net margin ค่อนข้างต่ำ แม้จากเดิมที่อยู่ที่ระดับ 2% จะค่อยๆไต่ขึ้นมาที่ 3-4% ก็ตาม

margin ต่ำๆมีข้อเสียก็คือ

1.ถ้ามีการตัดราคาแข่งกัน  จะกลายเป็นขาดทุนได้ง่ายๆ  เพราะราคาขายอยู่เหนือต้นทุนแบบปริ่มๆน้ำนั่นเอง  มีโอกาสจมน้ำได้สูง

2.ถึงไม่ตัดราคากันแต่ยอดขายลดลง ก็ขาดทุนได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน เพราะมีค่าใช้จ่ายที่เป็น fixed cost ที่ต้องจ่ายแน่ๆไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ได้  (แม้ fixed cost ของธุรกิจซื้อมาขายไปของไอทีซิตี้จะไม่มากก็ตาม  แต่การที่ fixed cost อยู่ในระดับต่ำๆก็ทำให้มีความทนทานต่อการขาดทุนได้มากกว่าเช่นเดียวกัน)

ข้อดีก็คือ

1.เมื่อ margin ต่ำแล้ว โอกาสในการตัดราคากันก็จะไม่รุนแรงเหมือนธุรกิจที่มี marginสูง  เพราะตัดราคาเมื่อไหร่คนที่อ่อนแอกว่าก็ต้องตายก่อน  ในขณะที่ไอทีซิตี้ถือว่าแข็งแรงทีสุดย่อมจะได้เปรียบที่สุด

2.margin ต่ำย่อมไม่ดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่  มิหนำซ้ำยังอาจทำให้หน้าเก่าๆล้มหายตายจากได้ง่ายๆเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้คู่แข่งลดลง

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 01, 2006 12:14 pm
โดย สามัญชน
ส่วนราคาที่น่าลงทุนเพื่อนๆต้องวิเคราะห์เอง  ผมเคยว่าน่าสนใจตอนราคาแถวๆ 4 บาท ในร้อยคนร้อยหุ้น

แต่ปัจจุบัน 8+ บาทก็ต้องประเมินกันใหม่ครับว่ายังน่าลงทุนอยู่หรือไม่

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 01, 2006 1:56 pm
โดย booklover
[quote="david"][quote="Viewtiful Investor"]ผมอ่าน 2 กระทู้นี้แล้ว บวก CAWOW เข้าไปด้วยเลย ดีไหมคุณ david

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 01, 2006 2:17 pm
โดย naris
ขอบคุณทั้งพี่หมอสุดหล่อ และ คุณinvisible hand ที่นำสิ่งดีๆมาให้ได้อ่านครับ :D  
ไม่รู้พี่หมอหาบทความข้อคุณ invisible hand มาจากไหนเหรอครับ

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 01, 2006 11:42 pm
โดย david
[quote="hansome"][quote="david"][quote="Viewtiful Investor"]ผมอ่าน 2 กระทู้นี้แล้ว บวก CAWOW เข้าไปด้วยเลย ดีไหมคุณ david

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 02, 2006 1:06 am
โดย booklover
ขอบคุณพี่ david ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมครับ ผมจะลอง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ :D

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 02, 2006 3:01 am
โดย BHT
เรื่องการบริการดูแลของฟิตเนสนี่ ผมคงนึงอ่ะที่เจอกับตัวเองแบบไม่ดี

ผมก็งงว่าคนกลุ่มที่ใช้บริการอยู่ตลอดนั้นเป็นประเภทไหนกันนะ

และผมก็คิดว่าการกระทำแบบที่เล่ามานี่ ทำให้มีการบอกต่อไปเยอะนะครับ

แต่ตัวเลขผลประกอบการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าคนที่เจอด้านลบนี่เป็นคนละกลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า

ผมเคยเจอแบบนี้กับโรงแรมแถวราชประสงค์ด้วย มาขอกรอกแบบสอบถามสุดท้ายถามว่ามีบัตรเครดิตมั้ย ถ้ามีจะได้รางวัล ถ้าไม่มีเอาชื่อคนอื่นมาแทนก็ได้

ผมฟังแล้วไม่น่าจะดีเลย ก็ปฏิเสธไปเต็มที่ทุกรูปแบบ

เฮ้อ.. เมืองไทย ทำธุรกิจให้ก้าวหน้า ทำมัยต้องหาช่องทางที่ไม่ดีด้วยนะ เมื่อไหร่ประเทศชาติจะพัฒนาสักที

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 02, 2006 1:42 pm
โดย 007-s
ขอบคุณ ข้อมูล ดีดี ของทุกท่าน เป็นกระทู้ที่ดีเหลือเกินค่ะ

:bow:


สรุปก็คือ ประมาณว่า...

"ผลิตง่าย-ขายคล่อง-กำไรสูง-หนี้น้อย-ต้นทุนต่ำ"

...แต่สิ่งที่เสียวคือ...สินค้าหรือบริการ ที่ทำได้เช่นนั้น ...คู่แข่งหน้าใหม่จะแห่กันเข้ามาแจม...

ดังนั้น ต้องพิจารณาแก้ด้วย

"ติดแบรนด์-มีความแข็งแกร่ง-เป็นเจ้าตลาด"

...แต่อันนี้แหละ ที่ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ และต้องใช้เวลาพิสูจน์กันยาวพอควร จึงจะพอทำให้มั่นใจได้ ว่าเก๋าจริงไหม ...และปัญหาของคนที่ใหญ่โตพอที่จะแกร่ง มักเป็นเรื่อง น้ำหนักตัวที่อาจทำให้เกิดอาการอุ้ยอ้ายได้ ...ดังนั้นก็ต้องดูดีๆ ว่าคนใหญ่โตนั้น เป็นผู้ที่รักษาสุขภาพร่างกายให้ เพรียวลมจี๊ดจ๊าด สดใสสม่ำเสมอ

ถ้านักเตะ คมพอๆกัน มันก็คงมาวัดกันที่ โค๊ช ที่คุมทีม...

"ผู้บริหาร เก่ง+เฮง+ดี"

...โค๊ชที่ว่า ก็ต้องนำพา ให้สินค้า หรือบริการ ไปสู่จุดที่อยู่ใน สภาวะ ที่สามารถ ขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนั้นจึงทำให้ เป็นสินค้าดี+มีระบบการจัดจำหน่ายที่ดี ได้ด้วย

สินค้าดีเลิศเพียงอย่างเดียงคงไม่พอ (แต่เป็นปัจจัยที่ควรให้น้ำหนักมากในการพิจารณา)

วอเรน บัฟเฟต เป้นที่รู้กันอยู่ว่า นิยมชมชอบ ธุรกิจที่มีอนาคตระยะยาวที่มีแฟรนไชส์
แต่ไม่ได้แปลว่าต้องจำกัดมุมมองไว้เพียงแค่ ธุรกิจแนวร้านค้าเครือข่ายเท่านั้น
บิล มิเลอร์ ได้นำแนวคิดของวอเรนมา ประยุกต์ใช้ โดยชี้ให้เห็นถึง ภาพกลไกการพัฒนา ของแต่ละระดับของกำไร ได้อย่างชัดเจน สินค้า หรือ บริการใด ของบริษัทใด มีการพัฒนาขั้นตอนดังว่านี้นั้น จึงนับว่าดูแล้วมีเสน่ห์ มาก

สร้างเครือข่าย .....(ไม่ง่ายนัก ทุนต้องหนา ฝีมือบริหารต้องไม่ธรรมดา)
ผลย้อนกลับที่เป็นบวก.....(ตัวสินค้า มีส่วนมาก)
ล๊อคให้อยู่ในระบบ.....(เหมือนเสพติด ทำนองนั้น)
ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ....(นอนตีพุงล่ะ)


ไม่ง่ายเรยวุ้ย  :shock:  :lol:

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 02, 2006 7:47 pm
โดย PaZZaHut
:D

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 03, 2006 7:48 am
โดย Viewtiful Investor
ท่าทางคุณ david จะเข้าใจผมผิดนะ

ก่อนหน้านี้ผมเคย comment บริการของ CAWOW แต่นั่นเป็นมุมมองของลูกค้าธรรมดานะครับ

ต้องบอกก่อนว่าอย่าดูถูกพลังชาวสีม่วงเด็ดขาด ถ้า CAWOW เปลี่ยนแนวใหม่ เน้นกลุ่มลูกค้า homo ซะเลย อาจจะรุ่นกว่านี้ก็ได้ ไหนๆก็มากันเพียบอยู่แล้ว เพราะกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มน้อยของสังคมทำให้หาคู่ยากกว่าปกติ แต่มีเงินเยอะเพราะไม่มีภาระเลี้ยงดูบุตร ถ้ามีที่ๆได้เจอคนแบบเดียวกันได้คงพร้อมจะจ่ายเงินเพื่อเข้ามา

ถ้าจำไม่ผิด homosexual มีอยู่ราวๆ 1% ของประชากร CAWOW จะมีลูกค้าเป้าหมายอยู่ 300,000+ (นี่นับแค่ผู้ชายนะ) ถ้าดึงมาได้แค่ 1/3 ก็ 100000 คน แล้วครับ ลองเอา จำนวนสมาชิกปัจจุบันไปหารก็จะได้ว่าหุ้นจะขึ้นไปกี่เท่า สงสัยเกิน 10 เท่านะ :O

เอาเป็นว่าเมื่อไหร่ที่ CAWOW เปลี่ยน presenter จากลูกเกดเป็นคนหน้าตาคล้ายๆกันแค่โครโมโซมเป็น XY เมื่อไหร่ ผมของร่วมวงด้วยละกัน :D

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 03, 2006 9:07 am
โดย suwits
Viewtiful Investor เขียน:ขอส่ง BAT-3K ก่อนเลย

ปัจจุบันปริมาณรถประมาณ 9 M คัน คราวนี้ลองประเมินว่าอนาคตเมืองไทยจะมีรถเท่าไหร่ ผมขอใช้ตัวเลขจาก Germany ซึ่งมีประชากรประมาณ 85 M แต่มีรถ 50 M เทียบอัตราส่วนจะได้ ว่า ในอนาคต ประเทศไทยจะมีรถยนต์ 65*50/85 = ~38.2 M คัน ก็ราวๆ 4.25 เท่า

แง้ว ไม่ถึง 10 อ่ะ แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ PE = 5.33 (29/06/06) ถ้าให้ PE = 12.6 จะได้ 10 เท่าพอดีเรยยย 555

เจอของดีแบบนี้ View ไม่ซัดได้ไง งาบไป 10,000 @ 59 บาท ตอนนี้เหลือ 55.50 แย้ว :vm:
คิดได้ไงเนี่ย  :)

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 03, 2006 9:24 am
โดย david
Viewtiful Investor เขียน:ท่าทางคุณ david จะเข้าใจผมผิดนะ

ต้องบอกก่อนว่าอย่าดูถูกพลังชาวสีม่วงเด็ดขาด ถ้า CAWOW เปลี่ยนแนวใหม่ เน้นกลุ่มลูกค้า homo ซะเลย อาจจะรุ่นกว่านี้ก็ได้ ไหนๆก็มากันเพียบอยู่แล้ว เพราะกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มน้อยของสังคมทำให้หาคู่ยากกว่าปกติ แต่มีเงินเยอะเพราะไม่มีภาระเลี้ยงดูบุตร ถ้ามีที่ๆได้เจอคนแบบเดียวกันได้คงพร้อมจะจ่ายเงินเพื่อเข้ามา

ถ้าจำไม่ผิด homosexual มีอยู่ราวๆ 1% ของประชากร CAWOW จะมีลูกค้าเป้าหมายอยู่ 300,000+ (นี่นับแค่ผู้ชายนะ) ถ้าดึงมาได้แค่ 1/3 ก็ 100000 คน แล้วครับ ลองเอา จำนวนสมาชิกปัจจุบันไปหารก็จะได้ว่าหุ้นจะขึ้นไปกี่เท่า สงสัยเกิน 10 เท่านะ :O

เอาเป็นว่าเมื่อไหร่ที่ CAWOW เปลี่ยน presenter จากลูกเกดเป็นคนหน้าตาคล้ายๆกันแค่โครโมโซมเป็น XY เมื่อไหร่ ผมของร่วมวงด้วยละกัน :D
No need 2 concentrate in the group,coz,I've noticed that there r a lot in the clubs already,I think this is  the plus,coz,กลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มน้อยของสังคมทำให้หาคู่ยากกว่าปกติ แต่มีเงินเยอะเพราะไม่มีภาระเลี้ยงดูบุตร ถ้ามีที่ๆได้เจอคนแบบเดียวกันได้คงพร้อมจะจ่ายเงินเพื่อเข้ามา.
Dear Khun Hansome,u r always welcome.
Dear Khun BHT,Coz,most of the members, including with me,realize that comparing 2 the other clubs(facility,location)   r far more competitive than its peers,that's y they ignore the etiquette of the sales staffs of the club.After they bcome the members,they no longer  contact with the sales staffs.Though,I think this is the weakest point of CAWOW,but it still outperform its peers,can u imagine if CAWOW develop the etiquette of its staffs?

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 7:15 am
โดย Green
ขอขุดกระทู้ขึ้นมาใหม่
ตอนนี้กำลังหากระทู้เกี่ยวกับ DCA อ่านอยู่ครับ  

เวลาผ่านไปกว่า 3 ปี หุ้นหลายๆตัวที่เคยถูกโพสในนี้ อาจไม่ได้เป็นอย่างที่หวังกันไว้ การเลือกหุ้นนี้เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ จริงๆ

ถึงบริษัทมันจะมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม แต่หลักการในการคัดเลือกบริษัทที่มี DCA นั้นยังเหมือนเดิม เพียงแต่เราสามารถมองธุรกิจต่างๆ ได้ขาดเพียงไหน

เอาเป็นว่า ลองมา Sharpen our thoughts กันใหม่

ตอนนี้ผมเพิ่งมาเน้นการวิเคาะห์ บริษัทในรูปแบบของ ความได้เปรียบในการแข่งขัน ความสามารถผู้บริหาร Vision และกลยุทธ์ของบริษัทมากขึ้น หลังจากที่มัวให้ความสำคัญกับการมองกระจกหลัง เช่นงบการเงิน MOS และ Ratio ต่างๆมานาน โดยให้ความสำคัญกับ หัวใจหลักของการทำธุรกิจน้อยไปหน่อย

ดังนั้นของเพิ่มคุณสมบัติของบริษัทที่สามารถทำ10 เด้งให้เราได้ เพิ่มเติมจากที่พี่ๆ ช่วยกันเขียนมา ดังนี้ครับ

-บริษัทควรจะมีผู้บริหารที่มีความสามารถ  มีวิสัยทัศน์ ทั้งในเรื่อง การมองธุรกิจ การขยายงาน และวางอนาคตให้บริษัท และให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นรายย่อย

- Road Map ว่าทำอย่างไรให้บริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย10 ปี การมีทีมงานที่ดีอาจทำให้เรา ชนะใน Battle fields ได้ แต่การมี กลยุทธ์ที่ดีจะทำให้เราสามารถชนะ War ได้


เดี๋ยวกลับมาพิมพ์ต่อครับ

-

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 10:01 am
โดย Warantact
ผมสงสัยว่าทำไมมีคนรวมหุ้นเน่าอย่างCAWOWเข้าไปด้วยครับ

ฮั่นแน่.... กำไว้เองตอนมันสูงกว่านี้รึเปล่า

ที่ผมดูว่าเป็นหุ้นเน่าเพราะ มันขาดทุนมาเรื่อยๆ, ผู้บริหารไม่มีจริยะธรรมเท่าที่ควร แต่งตัวเพื่อเอามาสูบเงินจากราคาหุ้น , ลดต้นทุนทางไหนไม่ลด ดันไปลดต้นทุนค่าน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ แมงหวี่เปนล้านแล้วเนี่ย ลดผ้า ลดคลาส

และลดราคาแข่งกับตัวเอง

เจ้าใหญ่อื่นๆคิดกันเป็นรายเดือน ดูแพง แต่มีเหตุผล ที่CAWOWนี่เล่นเก็บก้อนยักษ์ก้อนแรก แล้วบอกเป็นตลอดชีพ แสดงว่ต้องกรอัดยอดช่วงสั้นๆเพื่อปั่นยอด ตอนเข้ามาใหม่ๆ พอแรงปั่นหมดคนเริ่มซา ก็หลอกเตาะอัพเกรดเอา

เมื่อคนรู้ทันแล้วก็ถล่มราคา

สมัยแรก สมัคร70000 ตอนนี้เหลือ9000 แถมรีนิวปีละร้อย

แค่ผมไปอาบน้ำที่นั่นทุกวันมันก็ขาดทุนค่าน้ำแล้วครับ


ธุรกิจมันจะฟื้นสิบเท่าตรงไหน? แต่ถ้าราคหุ้นโดนลากไปสิบเท่าเพื่อคายของเก่าก็ไม่แน่

ผู้ใดรู้ลึกกว่านี้ช่วยมาบอกให้กระจ่างหน่อยครับ งง กับตัวนี้จริงๆ

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 11:51 am
โดย wasan_yu
ขอบคุณ คุณGreen มากครับ  ที่ขุดกระทู้นี้มาให้อ่าน  พอผมอ่านข้อความของคุณสุมาอี้,คุณหมอสามัญชน,คุณinvisible hand  ที่ไรก็เปิดสมองผมทุกทีครับ

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 12:01 pm
โดย holidaytours
[quote="yoyo"][quote="yoyo"]ยากจังตั้ง 10 เท่า ...
นึกไม่ออกเลยซักกะตัว

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 1:32 pm
โดย yoyo
^^

นับวันยิ่งชักจะห่างไกลกับฝันนัก...
ผมนี่ฝันเฟื่องจริงๆนะตอนนั้น

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 3:25 pm
โดย AuI_a VI
Warantact เขียน:ผมสงสัยว่าทำไมมีคนรวมหุ้นเน่าอย่างCAWOWเข้าไปด้วยครับ

ฮั่นแน่.... กำไว้เองตอนมันสูงกว่านี้รึเปล่า
น่าจะใช่ครับ...ราคาแถวตอนนั้น 6-7บาท ใครกำไว้เองตอนนั้นถึงตอนนี้ก็จุกทุกคนแหละครับ


ที่ผมดูว่าเป็นหุ้นเน่าเพราะ มันขาดทุนมาเรื่อยๆ,
 ก็จริงครับ แต่ ณ วันที่โพสมันยังกำไรอยู่ต่อเนื่องหลาายปีนะครับ ไม่เชื่อก็ลองอ่านงบย้อนหลังปีที่โพสดูได้ การมองอดีตมันง่าย แต่มองอนาคตยากอยู่

แค่ผมไปอาบน้ำที่นั่นทุกวันมันก็ขาดทุนค่าน้ำแล้วครับ
 อันนี้ชอบ ถูกใจให้กิฟเลย  :rofl:


ธุรกิจมันจะฟื้นสิบเท่าตรงไหน? แต่ถ้าราคหุ้นโดนลากไปสิบเท่าเพื่อคายของเก่าก็ไม่แน่

ผู้ใดรู้ลึกกว่านี้ช่วยมาบอกให้กระจ่างหน่อยครับ งง กับตัวนี้จริงๆ




อ่านแล้วผมรู้เลยว่าต้องระมัดระวังในการเลือกลงทุนมากๆๆๆๆ เพราะหุ้นหลายตัวแม้แต่เซียนๆมองว่าดี ยังไปไม่ถึงดวงดาวเลย นับประสาไรกะแมงเม่ามือใหม่อย่างพ้ม

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 5:25 pm
โดย holidaytours
yoyo เขียน:^^
นับวันยิ่งชักจะห่างไกลกับฝันนัก...
ผมนี่ฝันเฟื่องจริงๆนะตอนนั้น
คนที่มีฝันคือคนที่มีชีวิตครับ
ส่วนเรื่องสมหวังผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดาคับ

ไม่ว่าความฝันจะเป็นอย่างไร
อย่างน้อยคนเราก็ควรจะต้องมีความฝันของตัวเอง
นะคับ ในความเชื่อของผม

เหมือนการยิงธนู
ที่เราต้องมีเป้าหมาย
ส่วนการยิงไปแล้วเกิดผิดพลาดในจุดใด
เป็นส่วนที่เราคงต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต

ไม่ว่าเราจะทำได้หรือไม่
แต่ชีวิตคนเราต้องมีฝัน
เป็นหลักในการดำเนินชีวิตผมนะครับ
แหะ ๆ ชักเพ้อเจ้อใหญ่แฮะ  :lol:

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 5:37 pm
โดย Green
ต่อนะครับ


ผมว่าบทความเกี่ยวกับ Market Share and Market Growth ของคุณ Invisible Hand นั้นสำคัญมากๆ เลยทีเดียว อย่างน้อยจะต้องรู้ว่าบริษัทที่เราสนใจนั้นอยู่ใน Position ไหนและมีจุดแข็งอะไรที่จะไปชนะและกิน Market Share คนอื่นๆ ได้

เช่น ในธุรกิจธนาคาร  เคยถามพนักงานแบงค์แห่งหนึ่งว่าทำไมแบงค์นี้ ถึงได้ขยายสาขามาเยอะจัง คนเราก็มีเงินอยู่แค่เท่านี้ ประมาณนี้  พนังงานเค้าก็ตอบมาว่า ผู้บริหารเค้าไม่ได้มองแค่แบบนี้ เค้ามองว่า Market Share เค้ายังไม่เยอะเท่าไหร่ และยังสามารถขยายเพิ่มได้อีกเยอะมาก เพราะฉะนั้นจึงมี
Action ต่างๆ นานา เพิ่มยึดส่วนแบ่งการตลาดนี้

หรือ บริษัทที่อาจมาส่วนแบ่งการตลาดน้อยๆ และค่อยๆ กินส่วนแบ่งการตลาด ในตลาดที่มีการขยายตัวตาม GDP ตามปกติ โดยมีกลยุทธ์ที่ตรงใจลูกค้าสะดวกสบาย จนสร้างแบรนด์ได้ติดตลาด ขยายสาขาจนเต็มไปหมด จนเป็น DCA ที่กันคู่แข่งออกไป และ สามารถมีอำนาจต่อรองกับ supplier ได้อย่างล้นเหลือ


อีกเรื่องที่สำคัญหากบริษัทขยายตัวจน ได้ Market Share มากขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะเป็นผู้นำตลาดแล้ว  เป็นหน้าที่สำคัญของผู้บริษัทที่จะต้องคิดเช่น ขยายงานโดยออกโปรดักซ์ใหม่ๆ ที่สามารถทำกำไรได้ใกล้เคียงกับของเดิม
หรือ ใช้จุดแข็งของตนเองนั้นไปเจาะตลาดใหม่ๆ เช่นตลาดในต่างประเทศเป็นต้น

ในเรื่องผู้บริหาร

อันนี้ผมเชื่อว่าสำคัญมากครับ กูรูบางท่านอาจจะบอกว่า ไม่สำคัญเท่าไหร่ เราควรดูที่ความแข็งแกร่งของธุรกิจมากกว่า เพราะว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะมี คนที่ไม่ฉลาดมา บริหารบริษัทเราก็ได้ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก เนื่องจากเชื่อว่า ผู้บริหารสามารถกำหนดทิศทางบริษัทได้อย่างชัดเจน เพราะ DCA ที่เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะผู้บริหารบริษัทเหล่านี้

ในช่วงแรกๆ ที่ลงทุนนั้นผมอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับ Buffet แล้วก็ถึงกับ งง เต็ก ว่าแล้วเราจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริหารบริษัทต่างๆ ได้อย่างไร จะรู้ได้ไงว่ามีธรรมาภิบาลที่ดี และมีการมองธุรกิจอย่างไร

แต่ในตอนนี้ ข้อมูลข่าวสารของเรามีให้เข้าถึงเยอะมาก เช่น การประชุมผู้ถือหุ้น Opportunities Day ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีการโหลดดูคลิปเก่าๆ ได้ หรือ กระทู้ ร้อยคนร้อยหุ้น ที่มีการตัดบทสัมภาษณ์ผู้บริหาร ตัดข่าว ในช่วงเวลาในอดีต ทำให้เรารู้ว่า เค้าบอกธุรกิจอย่างไร ในสถานการณ์ในอดีต และเวลามีวิกฤติ เกิดขึ้น เค้าทำอย่างไรในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และระยะยาว และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นอย่างไร เราก็จะรู้และเข้าใจความสามารถของทีมผู้บริหารมากขึ้นด้วย

ซึ่งอันนี้ต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ช่วยกันสร้าง Community เผยแพร่และรวบรวมข่าวสาร ความเห็นใน Thaivi แห่ง นี้ขึ้นมาด้วยครับ

Peter Lynch 10 Baggers

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 22, 2009 1:12 pm
โดย tooyen
แอร์มิตซู เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมาก ครองตลาดในไทยเพิ่มได้ตลอดจาก25%เป็น26%เป็น27%และเป็น29%ในปัจจุบันสำหรับตลาดโลกก็อยู่ในอันดับต้นๆแม้ว่าปีที่ผ่านมาเศรฐกิจโลกจะไม่ดีก็ยังทำกำไรได้ไม่ตกมากนักและเป็นเหตุให้kyeพุ่งเป็นจรวดขึ้นมา