หน้า 2 จากทั้งหมด 5

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 22, 2006 12:05 am
โดย Jeng
หวัดดี หมอ kotaro ถ้าคิดว่าธุรกิจเหล่านั้นดี ทำไมไม่ลอง เปิดบริษัท จัดมาตรฐานอะไรบางอย่าง

อืม มาตรฐาน คำแนะนำโบรกเกอร์ โดยมีการทำวิจัยเรืองผลงาน ของคำแนะนำโบรกเกอร์ดีปะ

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 23, 2006 10:29 pm
โดย สุมาอี้
นั่งมองรายชื่อหุ้นในตารางหุ้น ธุรกิจบริการหมวดแรกที่เจอก็คือหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์...

เท่าที่ทราบ ธปท.บอกว่าถ้า NPL ของระบบธนาคารลดเหลือ 2% เมื่อไร จะเปิดเสรีอย่างเต็มที่ ซึ่งผลกระทบของการเปิดเสรีจะเป็นยังไงนั้นยังไม่มีใครทราบ เชื่อว่าการเข้ามาของต่างชาติจะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นซึ่งธนาคารไทยที่ถูกปกป้องมานานอาจไม่สามารถปรับตัวให้แข่งขันกับต่างชาติได้ แต่ถ้าต่างชาติเลือกที่จะเข้ามาด้วยวิธี acquisition คนที่ถือหุ้นธนาคารไทยไว้ก็คงได้เฮกัน ดังนั้นการเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้เป็นการเดิมพันที่มีโอกาสออกได้ทั้งหัวและก้อย ถ้าสนใจจริงๆ ผมว่าควรจะเลือกธนาคารที่มี retail business ที่เข้มแข็ง เพราะน่าจะเป็นที่หมายปองของต่างชาติ เนื่องจากการเริ่มต้นธุรกิจด้วยการขยายสาขาทีละสาขานั้นไม่ใช่เรื่องสนุก

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 1:34 am
โดย ลุงทีม
ผมอยากให้ the mall group เข้าตลาดหุ้นบ้าง...ชอบideaในการดำเนินธุรกิจและการจัดการปัญหาของผู้บริหารเค้าอะ...ทั้ง ดิ เอ็มโพเรียม ทั้ง สยาม พารากอน โครงการพวกนี้ถ้าไม่แน่จริง คงเกิดยากนะครับ...หรือวิธีการที่ประสบความสำเร็จต่างๆในอดีต ทั้งการรวมโรงหนัง สวนน้ำ concert hall เข้าไว้บนห้าง ที่เค้าเป็นผู้ริเริ่ม... :roll:   :roll:  :roll:


ในระยะสองสามปีถัดจากนี้...ใครครอบครองที่ดินไว้มากๆน่าจะได้เปรียบผมว่านะ... :shock:  :shock:  :shock:

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 7:21 am
โดย สุมาอี้
ธุรกิจบริการกลุ่มถัดไปคือ ธุรกิจหลักทรัพย์..

ผมว่าถ้าใครจะหาหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวน่าจะมองข้ามหุ้นในกลุ่มนี้ไปได้เลย แม้รัฐจะพยายามส่งเสริมให้คนไทยเล่นหุ้นกันมากขึ้น แต่ดูเหมือนอุตสาหกรรมนี้จะเข้ามาแข่งขันได้ง่ายเกินไป market fragmentation สูงมาก หลายแห่งมี share ไม่ถึง 2% การเติบโตของผู้บริโภคเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ทุกโบรกมีเป้าหมายที่จะโตให้เร็วเพราะต้องการให้ตนมี share ในระดับที่อยู่ได้  ธนาคารทุกแห่งที่อยากเป็น universal bank ก็เข้ามาเปิดโบรกใหม่กันเพียงเพื่อให้ครบสายธุรกิจ สุดท้ายแล้วถ้าคนเล่นหุ้นเติบโตสูงได้จริงจนโบรกพอหายใจหายคอกันได้คล่องขึ้นมาหน่อย ตลท.ก็คงจะถือโอกาสให้ลอยตัวค่าโบรกอยู่ดีอีกเพราะรอมานานแล้ว เหนื่อยทั้งขึ้นทั้งล่องครับ

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 12:25 pm
โดย สามัญชน
ผมก็เล็งไฟแนนซ์ครับ  เป็นหุ้นวัฏจักรที่ทำกำไรให้สามสี่เด้งได้สบายๆและแบบค่อนข้างแน่นอนด้วย  เพราะว่าตาดหมีต้องตามมาด้วยตลาดกระทิงแหง ๆ  กระทิงเสร็จก็ต้องหมี หมีเสร็จก็กระทิง วนเวียนไม่รู้จบ  และหากินได้ไม่รู้จบเช่นกัน :lol:

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 12:53 pm
โดย สุมาอี้
ถ้าเป็นการเล่นแบบ buy low sell high หุ้นไฟแนนซ์ก็น่าเล่นอยู่แล้วครับ ขึ้นแรงลงแรง

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 1:14 pm
โดย สุมาอี้
กลุ่มต่อไปคือหุ้นกลุ่มประกันภัย

ผมคิดว่าหุ้นกลุ่มประกันภัยนั้นจะได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทั้งหลายที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้น้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ดังนั้นจึงถือได้ว่าปลอดภัยพอสมควรถ้าคิดจะมองหาหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว

ที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยนั้นให้ผลตอบแทนพอประมาณคือไม่โดดเด่นแต่ไปได้เรื่อยๆ และผมก็คิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้อีกต่อไปในอนาคตครับ ถ้ามองในแง่ของธุรกิจแล้วอาจไม่โดดเด่นนัก แต่ถ้ามองราคาหุ้นประกอบด้วย ผมคิดว่าน่าสนใจเพราะราคาหุ้นตอนนี้โดยรวมถือว่าไม่แพง

P/BV เป็น benchmark ที่ดีของการวัดมูลค่าหุ้นประกันภัย เพราะสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของบริษัทประกันเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องสูงมีราคาตลาดอยู่ และการบันทึกบัญชีส่วนใหญ่เป็นการบันทึกบัญชีที่ราคาตลาดด้วย ดังนั้น BV จึงน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง

แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องไม่ลืมก็คือว่า เงินกองทุนของบริษัทประกันไม่ใช่เป็นของบริษัทประกันทั้ง 100% เงินกองทุนมีไว้เพื่อสำรองจ่ายค่าสินไหมในอนาคต ซึ่งสินไหมในอนาคตเป็นหนี้สินมองไม่เห็นจึงที่ไม่อยู่ในงบดุล ถ้าบริษัทประกันภัยระมัดระวังไม่ underwrite แบบเสี่ยงๆ ในขณะเดียวกันก็สามารถบริหารเงินกองทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระในอนาคตที่มองไม่เห็นนี้ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยควรซื้อหุ้นประกันภัยที่มี P/BV ไม่เกินหนึ่งเท่าไว้ก่อนจะดีกว่า

ถ้าจะซื้อหุ้นประกันภัยที่มี P/BV เกินหนึ่งเท่าจริงๆ จะต้องแน่ใจว่าบริษัทนั้นมีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน (มี intangible asset) ซึ่งผมว่าธุรกิจประกันภัยนั้นสร้างความแตกต่างยาก สุดท้ายแล้วลูกค้าก็ดูราคาเป็นหลัก บริษัทที่อยู่ในใจผู้บริโภคจริงๆ ขนาดที่ผู้บริโภคยอมจ่ายแพงได้ ก็จะเห็นจะมีแต่ วิริยะประกันภัย เท่านั้นซึ่งไม่อยู่ในตลาด บริษัทประกันภัยที่อยู่ในตลาดส่วนใหญ่ผมว่าพอๆ กันไม่มีใครโดดเด่น ยกเว้นบางตัวที่อาจจะได้เปรียบเรื่องมีฐานลูกค้าที่เป็นผู้ถือหุ้นอยู่แล้วส่วนหนึ่ง

อีกเรื่องหนึ่งคือควรตรวจดูขนาดของกองทุนเทียบกับขนาดของธุรกิจ ถ้ากองทุนมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับรายได้ค่าเบี้ยประกันโดยเฉลี่ยต่อปี แสดงว่ากองทุนมีเงินมากพออยู่แล้ว ความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนในอนาคตจะน้อยครับ

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 2:18 pm
โดย kab256
ธุรกิจประกันภัยผมไม่แน่ใจ แต่ประกันชีวิตเงินลงทุน กรมประกันไม่ได้กำหนดให้ต้อง Mark to Market นะครับ ดังนั้นมูลค่าเงินลงทุนในตราสารหนี้จะบันทึกในราคาทุน ส่วนเงินลงทุนในตราสารทุน Mark to Market ครับ

พอร์ตปกติของประกันชีวิตมีหุ้นกันราว 10% สูงสุดไม่เกิน 20% ผลจากที่พอร์ตส่วนใหญ่เป็น Fixed Income ซึ่งไม่ถูก MtM ดังนั้นเราจะเห็นพอร์ตลงทุนของบริษัทประกันชีวิตไม่ค่อยผันผวนเท่าไหร่ (ไม่งั้นช่วงที่ดอกเบี้ยขึ้นๆ ประกันชีวิตร้องจ๊ากเลยครับ)

แต่ก็ต้องระวัง ถ้าบ.ประกันต้องลดพอร์ตลงทุน เพื่อนำเงินสดไปใช้ ก็อาจเจ็บตัวจากการขาดทุนได้ครับ ยิ่งพวกที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลยาวๆ สมัยก่อนได้ดอกกันต่ำๆ (พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ดอก 4% นิดๆอย่างนี้) ถ้าต้องขายเพื่อเอาเงินมาจ่ายคืนผู้เอาประกัน รับรองจุกกันถ้วนหน้า

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 2:58 pm
โดย สามัญชน
หุ้น scnyl น่าสนใจเพราะว่า


1. มีสินทรัพย์มากถึง 13,000 ลบ.ที่จะนำไปลงทุนในพันธบัตรซึ่งมีความแน่นอนสูงมากแม้ผลตอบแทนจะต่ำ แต่ว่าอาศัยว่ามีวงเงินลงทุนสูงมากเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นซึ่งมีแค่สี่ร้อยกว่าล้านบาท

2. แม้หนี้สินจะสูงถึง 12,000 + ลบ. แต่เป็นเบี้ยประกันซึ่งยังไม่ต้องจ่ายในเร็ววันนี้ และระยะเวลาที่จะจ่ายก็ยังอยู่อีกนานมาก  รวมทั้งค่าเคลมประกันก็อยู่ในช่วงปกติของธุรกิจไม่ได้มากมายอะไร

3. บริษัทรับทำประกันชีวิต ซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องของการจ่ายเบี้ยประกันสูงมาก ต่างจากการรับทำประกันอื่นๆซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องที่สั้นกว่า เช่น การรับประกันรถยนต์อาจจะได้มากในปีนี้แต่ปีหน้าอาจจะลดลงเพราะลูกค้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งทุกปี  แต่ประกันชีวิตมักจะไม่เป็นอย่างนั้น

4.การประมาณการรายรับในเรื่องการลงทุนทำได้ง่ายกว่าเพราะบริษัทลงทุนในพันธบัตร ต่างจากการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง

5. บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้สูงมากจากเบี้ยประกัน  บัฟเฟตต์เองชอบหุ้นประกันก็ด้วยเหตุผลเรื่องเงินสดเป็นสำคัญ(เหมือนกัน)

6. บริษัทสามารถขยายกิจการได้มาก ขยายสาขาได้มาก เพราะใช้สาขาเดียวกันและพนักงานเดียวกันกับธนาคารไทยพานิชย์ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศอยู่แล้ว

7. การประกันชีวิตน่าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการดำเนินชีวิตที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ pb สุงถึง 5.5 เท่าทำให้ความปลอดภัยลดลงเยอะ  และยิ่งดอกเบี้ยอยู่ในแนวโน้มเป็นขาขึ้นก็ยิ่งลดความน่าสนใจลง  แต่ถ้าเป็นตรงกันข้ามก็จะน่าสนใจไม่น้อย

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 3:01 pm
โดย สุมาอี้
ผมไม่แน่ใจว่ามูลค่าหลักทรัพย์ที่กรมการประกันภัยกำหนดกับมูลค่าหลักทรัพย์ที่ปรากฎในรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์จะเหมือนกันหรือเปล่า

ถ้าเป็นงบการเงินที่แจ้งตลาด พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่มีราคาตลาดอ้างอิงจะต้องบันทึกมูลค่าในงบดุลที่ราคาตลาด (mark-to-market) ครับ แต่ผลต่างจากราคาทุนจะ hit งบกำไรขาดทุนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะจัดประเภทพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้นว่าเป็น trading, available-for-sales หรือ hold-to-marturity ครับ ดังนั้นถ้ามอง BV ซึ่งอยู่เป็นตัวเลขที่อยู่ในงบดุลจะมั่นใจได้เพราะ mark-to-market แล้วเสมอ

ยกเว้นเงินลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด พวกนี้ไม่สามารถเชื่อถือมูลค่าในงบดุลได้เนื่องจากไม่ได้ mark-to-market แต่ส่วนใหญ่มักมีอยู่ไม่มาก ถ้าบริษัทไหนมีพวกนี้มากๆ ควรระวังไว้ก่อนครับ

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 3:04 pm
โดย สามัญชน
อย่างไรก็ตามธุรกิจประกันในอนาคต น่าจะเติบโตได้อีกมากเพราะตอบสนองต่อพความต้องการมนุษย์ในอนาคต  แต่ก็จะมีคู่แข่งมาแย่งส่วนแบ่งอีกมากมาย

ลำพังธุรกิจประกันในเมืองไทยเองก็มีมากมาย เมื่อบวกกับบริษัทประกันจากต่างประเทศเข้าไปอีกการแข่งขันก็ยิ่งสูงขึ้น

ที่สำคัญต้นทุนทางการเงินในเมืองไทยก็ถือว่าอยู่ในอัตราที่สูงกว่าต่างประเทศมาก เมื่อบวกกับความรุนแรงของการแข่งขันความน่าสนใจจึงลดลงมาก

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 3:25 pm
โดย ลุงทีม
ปัจจัยเดียวที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจประกันในขณะนี้ก็คือ นโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน (ที่มีท่านสมคิดนั่งเป็นรองนายกคุมเศรษฐกิจ) นั้นไม่ค่อยเอื้อประโยชน์ต่อ บริษัทประกันเท่าที่ควร เนื่องจากเล็งเห็นว่า บริษัทมีนโยบายในการนำเงินมาลงทุนมาใช้แบบค่อนข้าง conservative คือไม่ aggressive เท่าที่รัฐบาลต้องการ ดังนั้นรัดบาลจึงไม่ค่อยสนับสนุนให้ประชาชน นำเงินมาทำประกันหรือมาออมกับพวกบริษัทประกันพวกนี้สักเท่าไหร่...
ดูเอาง่ายๆ แม้แต่ตัวท่านดร.สมคิดเองยังไม่ทำประกันเร้ยส์...อันนี้ได้ยินมานะ... :shock:  :shock:  :shock:

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 3:46 pm
โดย สามัญชน
ผมก็ไม่ทำประกันครับเพราะว่ามีเงินเพียงพอแล้ว  ถึงเกิดอะไรขึ้นก็ตามเงินที่ได้จากการทำประกันก็ไม่ได้มากมายอะไร  

แล้วท่านสมคิดมีเงินมากขนาดนั้นแล้วจะเอาเงินจากประกันมาทำอะไรหละครับ  มันเล็กน้อยมากเลยทีเดียว

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 7:12 pm
โดย สุมาอี้
กลุ่มถัดไปถ้าไม่นับค้าปลีกที่พูดถึงไปบ้างแล้วได้แก่ กลุ่มการแพทย์..

ผมว่าประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านนี้ในตลาดโลกสูงมาก เพราะคนเก่งๆ นิยมเรียนหมอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในขณะที่ต้นทุนของไทยก็ต่ำมาก เพราะหมอไทยยังมีรายได้น้อยเมื่อเทียบกับหมอในประเทศร่ำรวย เนื่องจากหมอในประเทศร่ำรวยมีโอกาสถูกฟ้องสูง จึงต้องมีรายได้สูงเพื่อชดเชยความเสี่ยงนี้

ผมจึงคิดว่ารพ.เอกชนที่รับคนไข้ต่างชาติได้น่ามีการเติบโตเฉลี่ยระยะยาวต่อจากนี้ไปที่ดีมาก ถ้าราคาหุ้นไม่แพง น่าลงทุนมากครับ

แต่ก็ไม่ใช่ทุกรพ.เอกชนที่จะมีศักยภาพที่จะรับคนไข้ต่างประเทศได้ การจะทำให้รพ.รับคนไข้ต่างชาติได้ต้องมีการลงทุนสูงมาก ดังนั้นจึงตั้งอยู่ใกล้ชุมชนของคนที่มีฐานะดีเพื่อที่จะได้มีฐานลูกค้าขาประจำส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้การลงทุนในเครื่องมือราคาแพงสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ ตอนนี้ที่เห็นก็มี BH, BGH, SVH, BNH

หลุมพรางอย่างหนึ่งของธุรกิจนี้คือ เมื่อเศรษฐกิจดี รพ.กำไรมากก็จะขยายด้วยการเปิดสาขาไปยังต่างจังหวัด แต่กำลังซื้อของคนต่างจังหวัดโดยเฉลี่ยนั้นผมว่ายังไม่สูงพอที่จะเปิดรพ.เอกชนแล้วคุ้มทุนได้ อย่าว่าแต่ต่างจังหวัดเลย แค่ฝั่งธนผมว่าก็เสี่ยงแล้ว ทำเลกลายเป้น critical success factor ของธุรกิจนี้อย่างไม่น่าเชื่อ

ดังนั้นผมจึงไม่ศรัทธา รพ.เอกชนที่ใช้กลยุทธ์เครือข่าย ผมเชื่อว่าประโยชน์ที่จะได้รับจาก economy of scales ของธุรกิจนี้จะไม่มีนัยสำคัญมากพอ เมื่อเทียบกับโอกาสที่ รพ.ที่อยู่ไกลออกไปในต่างจังหวัดจะต้องขาดทุน กลายเป็นภาระมากกว่าจะเป็นตัวช่วยครับ ผมเลยไม่ค่อยเชื่อมั่นใน strategy ของ BGH เท่าไร ต้องดูว่าในระยะยาวจะเป็นอย่างไร

รพ.เอกชนกลุ่มที่ดีรองลงมา คือ โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพแต่ไม่ใช่กรุงเทพชั้นใน กลุ่มนี้แม้จะไม่สามารถส่งออกการแพทย์ได้อย่างกลุ่มแรก แต่ประชาชนรอบๆ รพ.ก็มีกำลังซื้อสูงพอที่จะทำให้ รพ.มีกำไรได้ ในกลุ่มนี้ก็เช่น ตาหูคอจมูก VIBHA เจ้าพระยา AHC และอื่นๆ อีกหลายตัวที่อยู่ในตลาดฯ

ที่ไม่ค่อยโดนใจก็พวกที่อยู่ต่างจังหวัด เช่น NEW, LNH, M-CHAI กับพวกที่มีสาขามากๆ เช่น KDH พญาไท แต่ก็ไม่ได้ถึงกับคิดว่าจะแย่มาก น่าจะไปได้ในระดับหนึ่ง (อาจดีกว่าเศรษฐกิจโดยเฉลี่ย)

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 8:06 pm
โดย สามัญชน
เห็นด้วยครับ  จุดเด่นของกลุ่มโรงพยาบาลสำหรับชาวต่างชาติ คือ

1. แพทย์ไทยเราเก่งเพราะคัดเลือกจากหัวกะทิของประเทศในขณะที่ต่างประเทศจะไม่ใช่

2.หลังวิกฤติเศรษฐกิจมีโรงพยาบาลเกิดใหม่น้อยมาก
3.คนไทยเห่อต่างชาติและมักจะให้บริการได้ดีกว่า บวกกับการเป็นสยามเมืองยิ้มจึงมักจะถูกใจต่างชาติ

4.ค่าแรงในเมืองไทยถูกมาก ทำให้ค่าบริการทั้งหมดไม่แพงแต่ได้คุณภาพในระดับเฟิร์สคลาส

แต่ก็ต้องเป็นโรงพยาบาลระดับบน ในส่วนโรงพยาบาลระดับกลางถึงล่างก็ไม่น่าสนใจนัก

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 8:08 pm
โดย สามัญชน
ผมมองธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชนในต่างจังหวัดว่ายังสู้ในกรุงเทพไม่ได้เนื่องจากโครงสร้างลักษณะของประชากรที่ต่างกันในแง่ฐานะทางเศรษฐกิจ
ลองดูเป็นรายตัว

โรงพยาบาลเอกชล ( AHC ) มีคู่แข่งที่น่ากลัวคือ รพ. ศูนย์ชลบุรี ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นโรงเรียนแพทย์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีนิสิตแพทย์ ปี 4 6 จากจุฬาบางส่วนมาเรียนที่นี่

   
ดังนั้นที่นี่จึงพรั่งพร้อมไปด้วยอาจารย์แพทย์ที่เก่ง ๆ และเครื่องมือที่ทันสมัยครบชุด ชาวบ้านทั้งจนทั้งรวยนิยมมารักษาที่นี่ อาจจะมีประชาชนบางกลุ่มที่ป่วยเป็นโรคไม่หนักนัก และขี้เกียจรอนานถึงจะไป รพ.เอกชล นอกจากนี้ด้วยทำเลที่อยู่ใกล้กันจึงทำให้รพ.เอกชลเสียเปรียบ เพราะการไป รพ.ศูนย์ไม่ได้ลำบากกว่าแต่อย่างใด ถ้าไปยืนอยู่บนตึกผู้ป่วยในของ รพ.เอกชล จะสามารถมองเห็น รพ.ศูนย์ได้สบาย ๆ

   
รพ.ศูนย์ชลบุรี ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ รพ.ที่รักษาโรคยาก ๆ ได้ มีอาจารย์แพทย์เก่ง ๆ ผู้ป่วยก็ไม่แน่นมากนัก เนื่องจากมีสถานที่กว้างขวางใหญ่โต และคนเมืองชล ( ที่อยู่ในตัวเมือง และอำเภอใกล้เคียง ) ก็ไม่ได้มีมากนัก

นั่นเป็นเรื่องของผู้ป่วยใน ในเรื่องของผู้ป่วยนอก รพ.เอกชลก็เจอคู่แข่งที่น่ากลัวและมีโอกาสจะชนะได้น้อยมาก ก็คือ อาจารย์แพทย์เกือบทั้งหมด ( มีอาจารย์บางท่าน มีหุ้นอยูในรพ.เอกชลด้วย ) ทุกท่านนิยมที่จะเปิดคลินิคส่วนตัวกันมาก เรียกได้ว่าแทบจะทำคลินิคส่วนตัวกันทั้งหมด และก็เป็นที่นิยมของผู้ป่วยมาก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำทั้งนั้นเลย จนกระทั่งรายการตามไปดู เคยไปถ่ายทำรายการออกทีวี และตั้งสมญานามถนนเส้นในของจังหวัดชลบุรี ว่าเป็นถนนคลินิคแพทย์ เนื่องจากมีคลินิคแพทย์ตั้งเรียงรายกันมากที่สุดในประเทศไทย


ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชลเองกลับมีเพียงแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ( ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางและเปิดคลินิคสู้เขาไม่ได้ ) มานั่งตรวจผู้ป่วยนอก นอกเวลาราชการ จึงไม่มีโอกาสที่จะสู้ได้เลย

ในขณะที่อาจารย์แพทย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นด้วยก็ไม่ชอบที่จะมานั่งตรวจใน รพ. เพราะทำคลินิคของตัวเองได้กำไรมากกว่า

อย่างไรก็ตามด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ก็ทำไห้ผลประกอบการของ รพ.เอกชลดีขึ้นเรื่อย ๆ โดย ROE ในช่วงสองสามปีนี้สามารถทำได้ที่ระดับ 16 20 % มาตลอด แต่จะทำได้ถึง 30 40 % ผมว่าเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจะรักษาระดับ 20 % ผมว่าไม่ยากเลย และก็ถือว่าที่ระดับนี้เป็นระดับที่สูงน่าพอใจพอสมควร ถ้าเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 8:10 pm
โดย สามัญชน
โรงพยาบาลลานนา ( LNH )

เมืองเชียงใหม่มีประชากรมากกว่าเมืองชลมาก แต่คู่แข่งก็มากตามไปด้วย มีตั้งแต่

1. รพ.สวนดอก ( หรือ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ หรือ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ) ที่มีศักยภาพขนาดโรงเรียนแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ผ่านการประเมินและรับรอง HA ทำไห้ระบบต่างๆ ดีขึ้นกว่าเดิมมาก มีผู้ป่วยเยอะ แต่ข้อเสียก็คือ ยังต้องเสียเวลารอนานมาก
2. รพ.แม็คคอมิคส์ ที่เปิดมานานแล้วมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดในเชียงใหม่
3. รพ.เชียงใหม่ราม 1 คนไข้ไม่เยอะ
4. รพ.เชียงใหม่ราม 2 คนไข้น้อย
5. รพ.หมอวงศ์ พอมีคนไข้
6. รพ.นครพิงค์
7. รพ.ขนาดเล็กอีกเป็นสิบแห่ง

รพ.ลานนาตั้งอยู่ในทำเลที่ดี อยู่ติดถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ไปมาสะดวก ที่จอดรถกว้างขวาง ตัว รพ. ใหญ่โต สะอาดสะอ้าน น่าอยู่มาก แต่ปริมาณผู้ป่วยค่อนข้างน้อย เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่ ( และเป็นผู้ถือหุ้นด้วย ) ล้วนแต่เป็นอาจารย์แพทย์ใน รพ.สวนดอกทั้งนั้น อาจไม่มีเวลามานั่งประจำรอตรวจได้ตลอดเวลา ผู้ป่วยในส่วนใหญ่ได้มาจากการส่งต่อมาจาก รพ.สวนดอกเนื่องจากเตียงเต็ม ที่มาเองโดยตรงก็มีมากเหมือนกัน

ในส่วนผู้ป่วยนอกนั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะมีผู้ป่วยที่ตรวจรักษาที่ รพ.สวนดอก แต่ขี้เกียจรอรับยานาน ๆ ก็จะถือโอกาสเบี้ยว หนีมารับยา ( ถือใบสั่งยามา ) ที่ รพ.ลานนาเลย ไม่ต้องจ่ายค่าตรวจโรค ค่าเอ็กซ์เรย์ ค่าตรวจเลือด ( ก่อนจะมีโครงการ 30 บาท ) ซึ่งสร้างรายได้ให้ รพ.ลานนา เป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันมีพ่อค้าหัวใส ไปเปิดร้านขายยาหน้า รพ.สวนดอกเลย รายได้จากจุดนี้ก็เลยลดลงไป

   
รพ.ลานนานก็เป็นเช่นเดียวกับ รพ.เอกชล ที่สามารถทำกำไรได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจดี ๆ ROE อยู่ในช่วง 20 % แต่จะมากถึง 40 % เป็นเรื่องยาก ไม่เหมือน รพ.เอกชนในกรุงเทพ ที่มีประชากรที่หลากหลายทั้งที่รวยมาก รวยมาก ๆ และอภิมหารวย ซึ่งพร้อมจะจ่ายได้ไม่อั้น ขอให้ได้เจอหมอเก่ง ๆ บริการดี ๆ

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 8:14 pm
โดย สามัญชน
kh ในแง่ five force

1. พลังที่หนึ่ง ( การคุกคามจากบริษัทหน้าใหม่ ที่เข้ามาขายสินค้า หรือบริการแข่งกับผู้เล่นเดิมในอุตสาหกรรม )

ในแง่ที่จะมีคู่แข่งมาตั้งโรงพยาบาลเอกชนแห่งใหม่น่าจะมีโอกาสน้อย นับจากวิกฤติเศรษฐกิจมีการเปิด รพ.ใหม่น้อยมาก แต่ในแง่การเปิดคลินิกแห่งใหม่ๆ น่าจะมีเยอะพอสมควร เนื่องจากใช้เงินลงทุนน้อย ซึ่งจะเป็นการแย่งลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ป่วยนอก

2. พลังที่สอง ( ภาวะการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม ) มีการแข่งขันไม่รุนแรงนัก และกลุ่มลูกค้าเป็นคนละกลุ่มเป้าหมาย

เกษมราษฎร์เน้นลูกค้ากลุ่มล่าง ได้แก่ กลุ่มประกันสังคม แลโครงการ 30 บาท ซึ่งถ้านับเฉพาะกลุ่มนี้ ก็ถือว่าเกษมราษฎร์หรูกว่าใครๆ

กลุ่มประกันสังคมได้งบเหมาจ่ายสูงขึ้นแต่ผมไม่มีตัวเลขแน่นอนว่าเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มากนัก แต่จะได้เพิ่มขึ้นจากส่วนผู้ป่วยที่มาคลอดบุตรแบบเหมาจ่ายพอสมควร

กลุ่ม 30 บาท ได้เพิ่มขึ้นเยอะ จาก แถวๆ 1400 เป็น 1600 กว่าๆ และที่สำคัญเกษมราษฏร์ได้ยกเลิกในส่วนผู้ป่วยในซึ่งเป็นตัวทำให้ขาดทุน เหลือเฉพาะผู้ป่วยนอกอย่างเดียวซึ่งเป็นตัวที่ได้กำไร  ยังไม่ทราบว่าอนาคตจะทำให้กำไรมากขึ้นมากแค่ไหน และอาจจะกระทบต่อยอดขายได้ เพราะบางทีผู้ป่วยเองก็บอกไม่ได้ว่าตนเองอาการหนักหรือเบาและสมควรจะนอนรักษาเป็นผู้ป่วยในหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ยอดผู้ป่วยนอกลดลง

3. พลังที่สาม ( สินค้าทดแทน ) ได้แก่ระบบแพทย์ทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น แพทย์แผนไทย การฝังเข็ม การอบ ประคบ และอื่นๆ อีกมาก ในแง่แพทย์แผนไทยยังไม่น่าจะแข่งได้มากนัก เพราะบุคคลที่สำคัญที่สุดที่จะพัฒนาแพทย์แผนไทยได้ดีก็คือ แพทย์แผนปัจจุบัน แต่แพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีความรู้ในเรื่องสมุนไพรค่อนข้างน้อยและไม่นิยมนำมาใช้กับผู้ป่วย เนื่องจากไม่มีหลักฐานงานวิจัยที่สนับสนุนถึงประสิทธิภาพที่แน่นอน หรือถ้าใช้ก็มักจะใช้เพื่อบรรเทาอาการหรือรักษาโรคที่ไม่ร้ายแรง ส่วนผู้ที่ไม่ใช่แพทย์แผนปัจจุบัน ก็มักไม่ได้รับความเชื่อถือ  

ในส่วนการฝังเข็มนั้น เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการนวดแผนโบราณ หรือธุรกิจ spa ที่กำลังอยู่ในกระแสทุกวันนี้

4.พลังที่สี่ ( อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ ) อำนาจต่อรองผู้ซื้อในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนนั้นเริ่มสูงขึ้น เนื่องจาก
- จำนวนผู้ป่วยใช้บริการเอกชนค่อนข้างมาก
- การเปลี่ยนการรักษาไปโรงพยาบาลเอกชนอื่นทำได้ง่าย และต้นทุนไม่สูงแต่อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ป่วยเคยมารักษาที่ ram ก็ย่อมจะมีประวัติการเจ็บป่วย การรักษา ผล x- ray ผล ultrasound ต่างๆ ในอดีต ซึ่งมีประโยชน์เมื่อนำมาเทียบกับการเจ็บป่วยในปัจจุบัน การเปลี่ยนโรงพยาบาลก็อาจทำให้ การวินิจฉัยโรคเป็นไปได้ยากขึ้น- สื่อสารมวลชนและองค์การต่างๆ ของรัฐบาลและเอกชน พยายามเพิ่มอำนาจการต่อของผู้ป่วยโดยการออกกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อเพิ่มสิทธิของผู้ป่วย

5. พลังที่ห้า ( อำนาจต่อรองของผู้ป้อนวัตถุดิบหรือผู้ขายผลิตภัณฑ์ให้แก่บริษัท ) อำนาจการต่อรองของผู้ขายในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลค่อนข้างต่ำ เนื่องจาก

- มียาและเวชภัณฑ์เลียนแบบมากมายทั้งในและนอกประเทศ
- โลกาภิวัตน์ (Globalization) ทำให้การสรรหายาและเวชภัณฑ์ที่มีราคาถูกจากในประเทศง่ายขึ้น

- มีการแข่งขันอย่างรุนแรงในกลุ่มผู้ขาย
- เป็นการยากที่ผู้ขายจะขยายตัวเข้าสู่โรงพยาบาลเอกชน
โดยรวมกลุ่มบริษัทยาเป็นเบี้ยล่างของกลุ่ม รพ.

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 8:17 pm
โดย สามัญชน
ส่วน RAM ลองอ่านในนี้ดูครับ

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=3276

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 8:19 pm
โดย สามัญชน

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 8:21 pm
โดย สามัญชน
ส่วน BH ของแม่ทัพสุมาอี้ก็นี่เลย.....

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=6233

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 24, 2006 8:52 pm
โดย สุมาอี้
กลุ่มการแพทย์นี่ ผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนแท้ๆ เลย ได้ความรู้ใหม่จากคุณหมอเพียบ  :D

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 25, 2006 12:14 am
โดย Rocker
As the future catch you  

บอกใว้ ว่า ธุรกิจ โนนิ จะมาแรงครับ 10000000%

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 25, 2006 8:52 pm
โดย yoyo
[quote="Rocker"]As the future catch you

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 25, 2006 9:01 pm
โดย chansaiw
:bow:  :bow:  :bow:

ขอบคุณครับพี่ศรราม

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 26, 2006 12:04 am
โดย kab256
ไม่แน่ใจเรื่อง mark to market แฮะ

ถ้าฝั่ง asset มีการ mtm ฝั่ง liability ก็ต้องมีการ mtm ด้วยซิครับ

ไม่งั้นมันก็ไม่ match และถ้าดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลง ผลประกอบการบริษัทประกันก็สวิงกันระเบิดเทิดเถิง

ปัญหาคือว่า หนี้สินของบริษัทประกันเนี่ย มัน mtm กันยังไง?

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 26, 2006 12:11 am
โดย shanghai
เเรงเยอร์

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 26, 2006 12:57 am
โดย Rocker
NONI ครับ

คาดว่าน่าจะมาแรงมากๆๆครับ

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 26, 2006 1:05 am
โดย MarginofSafety
[quote="yoyo"][quote="Rocker"]As the future catch you

ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 26, 2006 1:30 am
โดย Rocker
[quote="yoyo"][quote="Rocker"]As the future catch you