หน้า 2 จากทั้งหมด 3

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 18, 2006 8:08 am
โดย Mr. Boo
ขออนุญาต quote ของคุณ ต.หยวนเปียว หน่อยที่ เขียน:==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
อันนี้ไม่มีทางมี capital gainเลย  รอปันผลลูกเดียว
แต่ยังเป็นการลงทุนแบบVI ได้มั๊ย

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 18, 2006 9:22 am
โดย สุมาอี้
หุ้นที่ปันผล 6-7% เราอาจมองว่าสูง แต่ถ้ากำไรไม่โตขึ้นเลย การได้เงินปันผล 6-7% ทุกปีจะทำให้นักลงทุนขาดทุน เพราะการลงทุนในหุ้นควรมีผลตอบแทนอย่างน้อย 10% ต่อปี ถ้าได้แค่ 6-7% ซื้อพันธบัตรจะได้พอๆ กัน แต่มีความปลอดภัยของเงินต้นสูงกว่า

การเติบโตของกำไรยังไงก็สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้นครับ มันเป็นเหตุผลเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้หุ้นดูน่าสนใจกว่า fixed-income securities

ผมจึงคิดว่าแม้แต่คนที่สนใจหุ้นปันผลก็ยังต้องสนใจโอกาสเติบโตของเงินปันผลอยู่ดี จะเว้นเสียมิได้ ยกเว้นหุ้นนั้นจะปันผลปีละ 10% โดยที่กำไรจะไม่ลดลงในอนาคต

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 18, 2006 10:09 am
โดย สามัญชน
สุมาอี้ บอกว่า
การเติบโตของกำไรยังไงก็สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้นครับ
เห็นด้วยเต็มๆครับ ส่วนรายละเอียดว่า เติบโตแบบไหน เติบโตได้อย่างไร โตแล้วได้เงินสดมากขึ้นเรื่อยๆหรือไม่ โตอย่างยั่งยืนได้แค่ไหน  ก็เป็นรายละเอียดที่แต่ละคนอาจจะชอบไม่เหมือนกันเลือกไม่เหมือนกัน  และก็มีประสบการณ์ความแม่นยำในการคาดเดาอนาคตที่แตกต่างกัน

ส่วนเงินปันผลน่าจะมีความสำคัญอยู่แถวๆอันดับสี่หรือห้ามั้งครับ.....ตามความคิดผม

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 18, 2006 11:22 am
โดย MarginofSafety
เรียนถามคุณหมอ

สมมติว่าไม่นับผู้บริหาร
เพราะแน่นอนว่า ฝ่ายที่มองปันผลมากหน่อย
หรือฝ่ายที่มองว่าขอโตเร็วๆหน่อยดีกว่า ก็ต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่ผู้บริหารไว้ใจได้
และมีความสามารถ ยกเว้นว่าจะเลือกลงทุนจากมุมมองทางเทคนิค

อยากทราบว่าปัจจัยที่คุณหมอให้ความสำคัญอันดับต้นๆ
ก่อนที่จะดูเงินปันผลมีอะไรบ้างครับ ขอบคุณครับ
ขอเรียนรู้ด้วยคนครับ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 18, 2006 12:28 pm
โดย สามัญชน
ถ้าไม่นับผู้บริหาร  ในมุมมองผมๆจัดลำดับไว้ดังนี้ครับ

อันดับ1. เป็นหุ้นที่จะมีกำไรเติบโตแน่ๆโดยคาดเดาจากวัฏจักรของธุรกิจ ยิ่งถ้ามีประวัติศาสตร์เป็นพื้น  มีงานresearchจากทั่วโลกต่อยอดยืนยันถึงรอบของวัฏจักรแล้วก็จะตัดสินใจได้ง่าย กลุ่มนี้เรียกว่า หุ้นวัฏจักร

อันดับ2. เป็นหุ้นที่จะมีกำไรเติบโตแน่ๆโดยคาดเดาจากลักษณะธุรกิจ  เป็นธุรกิจที่ใครๆก็มักจะทำสำเร็จโดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งมากๆ มีกระแสเงินสดดีๆ มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน เป็นจ้าวตลาด สอดรับกับพฤติกรรมมนุษย์ที่มีแนวโน้มจะสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้ค่อนข้างแน่  กลุ่มนี้เรียกว่า หุ้นเติบโต

กลุ่มนี้จะวิเคราะห์ได้ค่อนข้างยาก เพราะว่าถ้าพลาดจุดใดจุดหนึ่งก็อาจจะขาดทุนยับเยินไปเลยเพราะราคาซื้อมักจะแพงหน่อยๆแต่ถ้าทำได้ถูกต้องแล้วก็สามารถถือได้นานๆปล่อยให้หุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่เหมือนกลุ่มแรกที่ถือได้สั้นๆแต่ดีตรงที่ว่าสามารถรองรับความผิดพลาดจากการวิเคราะห์ได้มากกว่า  บางทีสะเพร่านั่นนิดนี่หน่อยก็ยังไม่เป็นไร หุ้นกลุ่มอันดับ1และ2จะทำกำไรให้สูงมากๆเลยครับแต่ต้องไม่ใช่วัฏจักรขาลงนะครับ อันนั้นก็จะขาดทุนได้มากเหมือนกัน(ที่จริงขาดทุนยับเยิน.... :lol: )

อันดับ3. เป็นหุ้นที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับคุณค่าที่มีอยู่ อาจจะเนื่องจากมีทรัพย์สินมากหรือมีไม่มากแต่ซื้อขายที่ราคาต่ำมากๆ เนื่องจากบริษัทอาจจะอยู่ในช่วงกลางๆไม่เก่งมาก แต่ก็มักจะปลอดภัยเรียกว่ามี margin of safety กลุ่มนี้เรียกว่า หุ้นก้นบุหรี่

อันดับ4. เป็นหุ้นที่แข็งแกร่งที่ไม่โดนภาวะเศรษฐกิจเล่นงานง่ายๆ  ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่กลุ่มนี้ก็ยังทำกำไรได้สม่ำเสมอและมักจะให้เงินปันผลดีๆ  มักจะเป็นกลุ่มสาธารณูปโภคเพราะยังไงๆคนก็ยังต้องบริโภค ผมเรียกกลุ่มนี้ว่า หุ้นปันผลครับ  

ส่วนกลุ่มที่เคยให้ปันผลดีๆในอดีต  แต่ในอนาคตไม่แน่นอนอาจจะทำได้หรือไม่ได้ก็ได้  ผมเรียกว่า หุ้นเคยปันผลครับ ซึ่งถ้าไม่ได้ดูตัวธุรกิจจนมั่นใจแล้วผมไม่กล้าเข้าไปเสี่ยงอย่างยิ่ง

ก็เป็นการเรียงลำดับตามประสบการณ์การลงทุนที่เพิ่งจะหัดเล่นหุ้นอ่ะครับ  ถ้าผมเก่งแล้วในภายภาคหน้าอาจจะปรับเปลี่ยนก็ได้ครับ......... :shock:

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 19, 2006 11:00 am
โดย MarginofSafety
ขอบคุณมากครับ
อธิบายได้เป็นฉากๆแบบนี้
ยังเรียกตัวเองว่าเพิ่งหัดเล่นหุ้นเหรอครับ ... นับถือๆ

พูดถึงหุ้นวัฏจักร มันก็ยากตรงที่เราต้องทราบ Cycle ของมัน
ยกตัวอย่าง ATC ...
ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงปิโตรเคมีขาลง
จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินงานบริษัทก็ยังดูดีอยู่
แต่หุ้นร่วงเอาๆ
มือใหม่ก็ไม่เข้าใจว่า บริษัทก็ยังกำไรดีอยู่ แต่ทำไมหุ้นร่วงเอาๆ
คำตอบก็คือวัฎจักรปิโตรเคมีมันขึ้นมาถึง peak แล้ว แล้วมันกำลังจะลง
แต่ตลาดปรับตัวไปเรียบร้อยแล้ว เพราะตลาดมักจะปรับตัวสะท้อนอนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน

ผู้ที่เข้าไปในหุ้นกลุ่มนี้ต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในวัฎจักรนั้นๆเป็นอย่างดี
สำหรับผม... ตอนนี้
อยู่นอกขอบเขตแห่งความสามารถ (Circle of Competence) ครับ
ไว้ขอเรียนรู้ในรายละเอียดด้วยคนนะครับ คุณหมอศรรามแห่งผาแดง...  :lol:

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 10, 2010 8:14 pm
โดย pornchai_w
ผมอยากลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสด เพื่อที่จะได้ออกจากงานประจำที่ได้เงินเยอะๆ มาทำงานที่ได้เงินไม่เยอะแต่อยากทำมากกว่า
ที่ผ่านมาผมอ่านหนังสือของ Peter Lynch, Warrent Buffett, ดร นิเวศน์ คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์
ผมขอสรุปเอาเองส่วนตัวดังนี้นะครับ
Peter Lynch = หุ้นที่โต 10 เด้ง (100 ตัวจากหุ้น1พันกว่าตัว)
Buffertt & ดร นิเวศน์ = Value stock (ซื้อแล้วถือไม่ขาย ไม่ปันผล ได้เงินมาก็เอาไปลงทุนต่อ รวยสมถะ บ้านรถใช้ชีวิตทุกอย่างคุ้มค่าคุ้มราคา อย่างมีความสุข ถ้าvalue investorคนนั้นมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนี้นะ)
คุณเทพ = Dividend (คิดว่าจะใช้เงินเดือนละเท่าไร ดูว่าต้องได้ปันผลเท่าไรให้พอใช้ เลือกหุ้นปันผลให้ได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการ หมั่นตรวจสอบสุขภาพหุ้นเพื่อพิจารณาว่าควรถือหรือไม่ หากราคาหุ้นขึ้นแรงตามตลาดให้ขายออกบางส่วนเพื่อถือเงินสด หากราคาหุ้นตกแรงตามตลาดให้ซื้อเพื่อลดต้นทุน)

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 10, 2010 8:34 pm
โดย [v]
การลงทุนมีหลายแนว ของท่านนี้ก็ดีอย่างนึงตอนหุ้นตกก็ได้ปันผล แต่คนที่มุ่งหวังการเจริญเติบโตของกำไรอย่างเดียว ถ้าตลาดยังไม่เห็นด้วยกับคุณ ในระหว่างนั้นก็จะมีปันผล ไว้คอยหล่อเลี้ยงพอร์ต นะครับ  :twisted:

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 11:57 am
โดย Anti-Aircraft
ผมชอบแบบพื้นฐานดี กำไรสูง ปันผลน้อยมากกว่านะครับ คิดว่าน่าจะทำให้สร้างผลตอบแทนทบต้นได้สูงกว่า

ปันผลสูงๆ เราสามารถนำผลกำไรไปลงทุนต่อได้ก็จริง แต่ก็ทำให้ต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมเพิ่มด้วย อีกอย่างการซื้อหุ้นตัวเดิมเมื่อราคาลงเนี่ย ใจผมยังไม่นิ่งขนาดนั้นอะ ขนาดศึกษามาดี แค่ปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ขายก็เต็มที่แล้ว สู้ให้บริษัทที่เราลงทุนนำเงินเราไปลงทุนต่อเลยโดยไม่ต้องปันผลน่าจะดีกว่า

แต่ทางปฏิบัติแล้วเลือกไปเลือกมา ได้ห่านทองคำมาเต็มพอร์ทคับ พื้นฐาน(น่าจะ)ดี ปันผลสูง

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 12:56 pm
โดย tn143
ผมเคยอ่านหนังสือ หุ้นห่านทองคำ
มีอีก ประเด็นหนึ่้งที่น่าสนใจ คือ

ถ้าหุ้น ขึ้นไป 100% เขาจะขาย แค่ครึ่งเดียว
เพื่อทำให้ ต้นทุนหุ้นที่เหลืออยู่เป็น 0
เรียกว่าได้ห่านมาฟรีๆ จากนั้น
จะถืออย่างสบายใจ เพราะต้นทุนเป็น 0

แต่ผมยังไม่เคยมีหุ้นที่ขึ้นไปถึง 100% นี่สิ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 2:09 pm
โดย loki
ผมอ่านเรื่องห่านทองคำทั้งสามเล่มผมว่ามันก็หลักการเดียวกับVIนะครับแต่เน้นที่มีปันผลด้วยแล้วก็ยังมีการปรับพอร์ตเหมือนกันเมื่อราคาของหุ้นสูงเกินไปก็ขายเพื่อลดต้นทุน(คุณเทพเรียกว่าการตกแต่งสวนแห่งอิสรภาพ)และเมื่อราคาต่ำจนทำไห้ได้ผลตอบแทนคุ้มก็เข้าซื้อส่วนหุ้นที่ปันผลน้อย(ที่ใช้เงินไปขยายงาน)ผมว่าบางครั้งก็ต้องยอมบางครั้งอาจได้ไข่ทองคำใบเล็กในช่วงแรกแต่เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้นไปจนเกินมูลค่าเราก็ขายลดต้นทุนพอราคาต่ำกว่ามูลค่าก็ซื้อพอเป็นอย่างนี้เราก็จะมีทุนต่ำก็จะได้ไข่ทองคำใบใหญ่ขึ้น(ก็จะต้องใช้เวลาซักพักในการที่จะให้ราคาของหุ้นมีทั้งเกนมูลค่าแลต่ำกว่ามูลค่า)

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 7:22 pm
โดย hmunoi
[quote="สามัญชน"]

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 8:32 pm
โดย nanchan
Mr. Boo เขียน: ฟังดูแปลกๆนะ
ผ่านมาสามปีกว่าแล้วนิ
ต้องขอโทษด้วย ที่ชอบเขียนอะไรสั้นๆห้วนๆ แต่จะผ่านมานานเท่าไหร่ ผมว่าแนวความคิดเรื่องเงินปันผล สำหรับผม ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่

จริงๆแล้วจะว่าไปแนวใครก็แนวมันก็ได้นะครับ
แต่แนวความคิดผมก็คือ
การพุ่งเป้าไปที่ปันผลก่อน เป็นอะไรที่พลาดได้ง่ายมากที่สุดในการลงทุนหุ้น

ส่วนผมยังไงก็มองที่ตัวธุรกิจและแนวโน้มก่อน
ตัวเลขการเงิน ผู้บริหาร(ถ้าพอจะดูได้) (กราฟก็ดู)
ให้ปันผลเป็นอันดับท้ายๆ แต่ก็มีบ้างที่จะเทียบอัตราส่วนปันผลกับราคาเหมาะสม
แน่นอนมีดีกว่าไม่มี
ผมก็รู้สึกดีใจเวลาได้ปันผลและอุ่นใจที่ถือหุ้นเหมือนกัน และจะกล้าเอาเงินมาใช้มากกว่ากำไรจากcapital gainด้วย

ผมว่าเล่นหุ้นเมืองไทยนี่ดีอย่าง เราจะเห็นว่าหุ้นหลายตัวบางทีที่มีแนวโน้มที่ดี และปันผลก็ดีด้วย

อีก5ปีแนวคิดผมอาจเปลี่ยนไปก็ได้
ผมว่าไม่มีอะไรผิดถูกหรอก ก่อนอื่นมองตัวเองก่อนด้วย
สำคัญคือเป้าหมายเรา และแนวทางที่มีกำไรก็คงเพียงพอ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 8:38 pm
โดย เหยี่ยวเดือน9
tn143 เขียน:ผมเคยอ่านหนังสือ หุ้นห่านทองคำ
มีอีก ประเด็นหนึ่้งที่น่าสนใจ คือ

ถ้าหุ้น ขึ้นไป 100% เขาจะขาย แค่ครึ่งเดียว
เพื่อทำให้ ต้นทุนหุ้นที่เหลืออยู่เป็น 0
เรียกว่าได้ห่านมาฟรีๆ จากนั้น
จะถืออย่างสบายใจ เพราะต้นทุนเป็น 0

แต่ผมยังไม่เคยมีหุ้นที่ขึ้นไปถึง 100% นี่สิ
ผมก็เคยอ่านหนังสือของคุณเทพ
ประเด็นนี้แหละที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 9:10 pm
โดย Belffet
เหยี่ยวเดือน9 เขียน: ผมก็เคยอ่านหนังสือของคุณเทพ
ประเด็นนี้แหละที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด
ทำไมครับ?

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 9:39 pm
โดย เหยี่ยวเดือน9
Belffet เขียน: ทำไมครับ?
ขายหุ้นเพราะกำไรมาเยอะแล้ว เป็นหนึ่งในเหตุผลที่แย่มากในการขาย

ต้นทุนเดิมคือ sunk cost ไม่ควรมีผลในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น

แต่ผมก็เข้าใจประเด็นในหนังสือที่ต้องการจะสื่อนะครับ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2010 9:47 pm
โดย โว้กว้าก
ขอบคุณสำหรับบทความดีดีครับ พี่โจ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 14, 2010 2:43 pm
โดย picklife
เทพ รุ่งธนาภิรมย์ นี่เป็นใครครับ555+

อยากรู้การเติบโตของขนาดพอร์ทของแกครับ

ค่าของคนอยู๋ที่ผลของงาน ผมต้อนก่อนว่าเน้นปันผลสามารถทำกำได้ขนาดไหน.....ถ้าดีจริง ถึงจะเชื่อครับ....

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 14, 2010 5:58 pm
โดย หมักเตา
เหยี่ยวเดือน9 เขียน: ขายหุ้นเพราะกำไรมาเยอะแล้ว เป็นหนึ่งในเหตุผลที่แย่มากในการขาย

ต้นทุนเดิมคือ sunk cost ไม่ควรมีผลในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น

แต่ผมก็เข้าใจประเด็นในหนังสือที่ต้องการจะสื่อนะครับ
ผมก็คิดแบบเดียวกันครับ กำไร 100% แล้วให้ขายฟังแปร่งๆ เหมือนกัน
ถ้าบอกว่ากำไร 100% และเป็นกรณีที่ราคาหุ้นเกินพื้นฐานแล้ว ค่อยขายคงจะฟังเข้าท่ากว่าหน่อย

แง่ของการตัดต้นทุนให้เป็นศูนย์ เงินสดที่ได้มาก็ต้องไปหาที่ลงใหม่อยู่ดี
ถ้าไม่ตัดต้นทุนบางทีห่านอาจจะยิ่งเติบโตขึ้น และออกไข่ฟองใหญ่ขึ้น ถึงตอนนั้นก็เหมือนมีห่านคู่ ซื้อเองหนึงตัว ฟรีอีกหนึ่งตัว ก็ได้ใข่คู่ใบโตๆ (พิมพ์มาถึงตรงนี้แล้วก็เริ่มคิดมากเล็กน้อย ขออภัยครับ :oops: )

ห่านฟรีที่ถือแล้วสบายใจ ยังไงก็ได้ ผมว่าไม่ใช่สำหรับผมนะ ผมถือว่าห่านฟรีก็เป็นต้นทุน ณ ปัจจุบัน ที่ผมควรดูแลให้เกิดผลตอบแทนสูงสุดเช่นกัน ไม่งั้นก็จะมีต้นทุนเสียโอกาสครับ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 15, 2010 10:31 pm
โดย เหยี่ยวเดือน9
picklife เขียน:เทพ รุ่งธนาภิรมย์ นี่เป็นใครครับ555+

อยากรู้การเติบโตของขนาดพอร์ทของแกครับ

ค่าของคนอยู๋ที่ผลของงาน ผมต้อนก่อนว่าเน้นปันผลสามารถทำกำได้ขนาดไหน.....ถ้าดีจริง ถึงจะเชื่อครับ....
คุณเทพเป็นนักลงทุนระดับคุณภาพท่านนึงครับ
งานเขียนของคุณเทพผมก็คิดว่าดีเข้าขั้น


คิดเหมือน เห็นต่างอย่างไรก็โพสต์แสดงในส่วนของความคิดเห็นดีกว่า

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 16, 2010 8:07 am
โดย sai
เหยี่ยวเดือน9 เขียน: คุณเทพเป็นนักลงทุนระดับคุณภาพท่านนึงครับ
งานเขียนของคุณเทพผมก็คิดว่าดีเข้าขั้น


คิดเหมือน เห็นต่างอย่างไรก็โพสต์แสดงในส่วนของความคิดเห็นดีกว่า
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ หนังสือของอ.เทพเป็นหนังสือที่อ่านง่ายและได้ประโยชน์ มากจริงจริง  ส่วนที่เราจะคิดเหมือนบ้าง ต่างบ้าง ก็ปกตินะครับ บางทีผมอ่านหนังสือของปีเตอร์ ลินซ์(สุดยอดของสุดยอดเซียนหุ้นในมุมมองผม ) ก็ยังมีบางมุมที่เราคิดต่างด้วยเลย

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 16, 2010 9:55 am
โดย [v]
picklife เขียน:เทพ รุ่งธนาภิรมย์ นี่เป็นใครครับ555+

อยากรู้การเติบโตของขนาดพอร์ทของแกครับ

ค่าของคนอยู๋ที่ผลของงาน ผมต้อนก่อนว่าเน้นปันผลสามารถทำกำได้ขนาดไหน.....ถ้าดีจริง ถึงจะเชื่อครับ....

งานเขียนของท่านผมก็เคยอ่าน เป็นงานเขียนที่ดีครับ  ถ้ายังไม่เคยอ่านผลงานเขียนของทานก็ไม่สมควรไปหัวเราะเขานะครับ  มันไม่มีมารยาท ส่วนจะเชื่อหรือไม่ มันเป็นเรื่องของเราครับ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 16, 2010 10:18 am
โดย [v]
การที่ต้องดึงเงินต้นให้ทุนเหลือน้อยที่สุดเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงครับ

จากที่เคยได้อ่านบทสัมภาษณ์ของนักลงทุนท่านอื่น เช่น วันดีคืนดีบริษัทจะออกจากตลาดหลักทรัพย์  เลยทำ tender offer จากผู้ถือหุ้น แต่บีบให้ขายหุ้นออกมาในราคารับซื้อที่ต่ำกว่าในกระดาน   ถ้าผู้ถือหุ้นรายใหญ่กับบริษัทตกลงกันได้แล้วไปรับผลประโยชน์อย่างอื่นกันในภายหลัง

ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะเสียเปรียบอย่างมาก  การที่หุ้นที่เราถืออยู่ไม่มีต้นทุนก็แปลว่า เราได้แค่กำไรมากหรือน้อยลง แต่เงินต้นที่ลงทุนไปไม่มีเสีย

แบบกรณีอื่นๆก็เช่น
ฟอร์ดมอเตอร์  เกิดวิกฤติ ราคาหุ้นลดลงฮวบฮาบ ถ้าหุ้นเราไม่มีต้นทุนอยู่แล้วเราก็ถือต่อได้อย่างสบายใจ กว่าเดิมเพราะต้นทุนเราไม่มีแล้ว เป็นต้น

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 16, 2010 10:40 am
โดย simpleBE
[quote="[v]"]การที่ต้องดึงเงินต้นให้ทุนเหลือน้อยที่สุดเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงครับ

จากที่เคยได้อ่านบทสัมภาษณ์ของนักลงทุนท่านอื่น เช่น วันดีคืนดีบริษัทจะออกจากตลาดหลักทรัพย์

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 16, 2010 2:02 pm
โดย Undertaker
การที่จะลงทุนในหุ้นปันผลนั้น เราจะต้องคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทในแต่ละปีนั้น สามารถที่จะจ่ายปันผลใด้ขนาดนี้ในทุก ๆ หรือไม่  ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นหลุมพรางของหุ้นปันผล
สมมติ หุ้นแพนเอเชียฟุทแวร์ จ่ายปันผลหุ้นละ 0.50 บาท หากเราต้องการผลตอบแทนจากเงินปันผล 10%
นี่ก็เป็นตัวอย่างของหุ้นเคยปันผล หุ้นตัวนี้จ่ายปันผลครั้งหลังสุดคือปี 2005 (เป็นของผลประกอบการปี 2004)  หลังจากนั้นก็  :(

แล้วยังมีบางบริษัท กู้ยืมเงินมาจ่ายปันผลด้วย อีกต่างหาก  
ดังนั้นถ้าใครจะลงทุนในหุ้นปันผล ควรจะดูอนาคตของกิจการ มากกว่า ดูเงินปันผลที่ได้รับ เป็นสำคัญ

แต่ผมก็ชอบถือหุ้นปันผลนะ

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 16, 2010 6:22 pm
โดย เหยี่ยวเดือน9
พอพูดถึงคุณเทพ  คำว่าหุ้นปันผลก็จะลอยมาเลย

แต่จริงๆนอกจากดูปันผล  คุณเทพยังให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านอื่นๆประกอบด้วย

มองว่าแนวทางคุณเทพเน้นปันผลอย่างเดียว เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ถูกต้อง



แต่เรื่องที่มัวแต่พะวงกับต้นทุนเดิม กับการเอากำไรมาเล่นแล้วสบายใจ

2 เรื่องนี้เป็นส่วนที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างมาก

มัวแต่คิดต้นทุนเดิม จะทำให้ติดกับดักทางจิตวิทยาและตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย
ส่วนการเอากำไรมาเล่นแล้วสบายใจจะทำให้ effort และความแหลมคมของการลงทุนลดทอนลงไป

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 16, 2010 8:59 pm
โดย ลูกพ่อขุนเม็งราย
โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเราสนใจในหุ้นปันผลนะครับ
ต้องเป็นหุ้นที่มีปันผลสม่ำเสมอด้วยนะครับ
ผมสังเกตุดูย้อนหลังหลายปีหน่อยจะเห็นว่าการเคลื่อนไหวของราคา
ก่อนและหลัง XD มักจะไปเคลื่อนไหวในรูปแบบไกล้เคียงกันมาก
ด้วยการสังเกตุนี้ก็จะทำให้เราเข้าใจและสามารถทำกำไรได้พอเหมาะ
ภายในเวลาที่เหมาะสม และไม่ต้องโดนหักภาษีเงินปันผลด้วย

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 16, 2010 9:13 pm
โดย SunShine@Night
คุณเทพเป็นอาจารย์คนแรกๆของผมในแง่ของแนวคิดในการลงทุน

ยังคงนับถือคุณเทพอยู่เสมอครับ แม้ว่าแนวคิดในการลงทุนในตอนนี้จะเปลี่ยนไปแล้ว :)

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 2:41 am
โดย witweew
ผมเองถือว่า อ.เทพ เป็นอาจารย์คนแรกของผมเลยครับ บทความอ่านเข้าใจง่ายมากๆ เหมาะเป็นหนังสือเริ่มลงทุนเล่มแรกๆ แต่ผมมักจะเห็นคนตีความการลงทุนของแกใน 2 เรื่องที่แตกต่างกันคือ
1. การคำนวณเงินปันผล - ส่วนใหญ่จะเอาค่าเงินปันผลในอดีตมาคำนวณหรือไม่ก็เอาค่าเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับมาคำนวณ แต่มักจะไม่ได้ตรวจสอบว่าทำไมบริษัทจึงจ่ายเงินปันผลเท่านั้น จริงๆแล้ว อ.เทพ ให้หลักการลงทุนแบบเข้มข้นมากๆ โดยเราจะต้องดูตัวธุรกิจ อนาคตของธุรกิจ และคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของกำไร แล้วค่อยมาดูว่าจะจ่ายปันผลได้เท่าไหร่ ซึ่งหากลองคิดดูแล้วจะเห็นว่า เป็นหลักการลงทุนแบบ VI นั่นแหละครับ แต่เน้นเพิ่มตรงที่ต้องมีการจ่ายเงินปันผลออกมาในอัตราที่เราพอใจด้วย
2. เรื่องของการตกแต่งสวนแห่งเสรีภาพ - อ.เทพว่า ให้ขายหุ้นออกไปบ้างเพื่อลดต้นทุน (ผมว่าคล้ายๆกับคลายเครียดเรโช)  ซึ่งอันนี้ ก็เหมือนหลักการลงทุนแบบ VI เหมือนกันครับ คือถ้าราคาหุ้นเกินมูลค่าหรือพื้นฐานกิจการเปลี่ยน (หรือเห็นราคาหุ้นมันวิ่งสูงมาก สำหรับนักลงทุนใหม่ๆ ใจมันสั่นเหมือนกันนะครับ :oops: ) ก็ให้ขายหุ้นออกไปบ้าง (แต่ถ้าแบบ อ.Buffett จะไม่ขายเลย) ซึ่งผมเข้าใจว่า อ.เทพต้องการยกตัวอย่างให้ดูง่ายไว้เท่านั้นครับ (แต่ผมจำไม่ได้นะว่าอ.บอกว่าได้ 100% แล้วให้ขาย หรือน่าจะเป็นการยกตัวอย่างเท่านั้นครับ)

ทุกวันนี้ ผมเองก็ยังใช้วิธีการลงทุนแบบห่านทองคำอยู่ในบางบริษัท ซึ่งในความรู้สึกของผม เป็นการลงทุนที่เข้มข้นกว่าแบบ VI ด้วยซ้ำเพราะนอกจากจะต้องตรวจสอบคุณภาพบริษัทแล้ว ยังต้องดูเงินปันผลเพิ่มด้วย และเท่าที่ผ่านมา ผมกล้าบอกเลยครับว่า ผมยังไม่เคยขาดทุนจากการใช้วิธีนี้เลยครับ ตัวอย่างเช่น SE-ED, S&P  :wink:

เทพ รุ่งธนาภิรมย์

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 2:07 pm
โดย Outliers
ส่วนตัวผมชอบความคิดหลายๆอย่างจากหนังสือของคุณเทพนะครับ

แต่ติดตรงเรื่องการขายและถือหุ้นนี่แหละครับ
คือไม่เห็นด้วยเลยที่ให้ขายเพื่อลดต้นทุน
คือผมว่าการขายน่าจะดูว่าราคามาถึงเป้าหมายที่คิดไว้หรือยังมากกว่า
เช่นถ้าดูต้นทุนปีที่แล้วผมคงขายหุ้นที่ขึ้นไปเกินสองเท่าหลายๆตัวเร็วเกินไป

ส่วนการที่คุณเทพบอกให้ถือหุ้นไปเรื่อยๆเพราะว่าบางตัวก็ตัดขายไปจนไม่เหลือต้นทุนแล้ว ผมก็ว่าไม่เหมาะ คือผมคิดว่าราคาแพงไปมากๆแล้วก็ไม่ควรถือหุ้นต่อไปนะครับ แม้ว่าจะไม่มีต้นทุน
เพราะอย่างไรก็มีค่าเสียโอกาสอยู่ดี

สมมุตินะครับถ้าหุ้น SCC, PTTEP, TF พรุ่งนี้ขึ้นไปเป็น 1000 บาท เราก็ต้องถือมันต่อไปหรือครับ ผมว่าเราควรตัดใจขายไปซื้อตัวอื่นแทนดีกว่า