Thai VI

(แปลสรุป)
10 กุมภาพันธ์ 2549

ถึง คุณ ยงยุทธ บวรวนิชยกูร

บริษัท Insurance Australia Group (IAG)
ได้มีกิจกรรมร่วมกับบริษัท ประกันคุ้มภัยจำกัด (มหาชน) SAFE ผ่านบริษัท NHCT จำกัด (NCHT) มากว่า 8 ปี

จากการที่ IAG มีความมั่นใจใน SAFE ในวันนี้ทาง NHCT ได้ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น 16.7% ของ SAFE ในราคา 77 บาทต่อหุ้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 38.3%

NHCT มีความต้องการที่จะถือหุ้นเพิ่มขึ้นโดยผ่านกระบวนการ tender offer ในราคา 77 บาทต่อหุ้น คำเสนอจะเริ่มต้นในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นเวลา 25 วันทำการ  โดย NHCT จะยื่นไฟลิ่งต่อตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์  เนื่องจาก SAFE เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น เราจึงแนะนำให้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางด้านการเงินอิสระในกระบวนการ tender offer ด้วยตามกฎของตลาดหลักทรัพย์
การถือหุ้น SAFE เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะทำงานร่วมกันกับทีมผู้บริหารปัจจุบันอย่างใกล้ชิดต่อไป
เพื่อให้บริษัทประสบความสำเร็จ


ขอแสดงความนับถือ



Duncan Brain
Head of South East Asia
Insurance Australia Group

สรุปสาระสำคัญของสัญญา/ ข้อตกลง/ บันทึกความเข้าใจ ที่ผู้ประกาศเจตนากระทำขึ้นก่อนมีการประกาศเจตนาในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ของกิจการอย่างมีนัยสำคัญ   ทั้งนี้ ไม่ว่าการทำสัญญา/ ข้อตกลง/ บันทึกความเข้าใจดังกล่าว จะเป็นการทำเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์

    ในคำเสนอซื้อหรือไม่ก็ตาม ผู้ทำคำเสนอซื้อทำการซื้อหุ้นของ บมจ. ประกันคุ้มภัย จำนวน 5,570,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 15.68 ของทุนจดทะเบียน ผ่านการซื้อด้วยวิธี Big Lot จากนายนิติ โอสถานุเคราะห์, นายเชี่ยวชาญ เคียงศิริ, Clariden Bank Zurich และห้างหุ้นส่วนจำกัด ณพกฤษณ์ และผลจากซื้อหุ้นดังกล่าวทำให้ผู้ทำคำเสนอซื้อมีหุ้นของ บมจ. ประกันคุ้มภัย
ทั้งหมดจำนวน 12,751,080 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 35.89 ของทุนจดทะเบียนของบริษัท

ยอดเยี่ยมครับ

NHCT คาดจะยื่นเสนอซื้อ SAFE อย่างเป็นทางการได้ภายใน 21 ก.พ.นี้

บริษัท เอ็นเอชซีที จำกัด (NHCT) ได้ประกาศเจตนา นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการบริษัท ประกันคุ้มภัย  จำกัด (มหาชน) หรือ SAFE โดยจะเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ (ไม่รวมหุ้นที่บริษัทซื้อคืน (Treasury Stock) ราคาเสนอซื้อหุ้นละ  77 บาท

ผู้แสดงเจตนาขาย  จะต้องรับภาระค่าธรรมเนียมในการขายหุ้นร้อยละ 0.25 ของราคาเสนอซื้อ  และภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7 ของค่าธรรมเนียมในการขายหุ้นดังกล่าว  ดังนั้นราคาเสนอซื้อสุทธิที่ผู้แสดงเจตนาขายจะได้รับจึงเท่ากับ  76.794025 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการประกาศจ่ายเงินปันผลในช่วงของการทำเสนอซื้อนี้ ราคาเสนอซื้อหุ้นจะถูกปรับลดด้วยจำนวนเงินปันผลที่จ่ายต่อหุ้น

ผู้จัดเตรียมคำเสนอซื้อ คือบริษัท หลักทรัพย์กิมอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)และวันที่คาดว่าจะสามารถยื่นคำเสนอซื้ออย่างเป็นทางการ5  ภายในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549

 :P  :P  :P  :P  :P  :P  :P

ใครจะเชื่อว่ากรณีนี้  ไม่มี Insider Trading

ไม่จำเป็นต้องรู้อินไซด์
ก็พอจะเดาได้แล้วครับ
ต้องตามดู การตั้งราคาซื้อขายให้นานๆ
ผมตามดู มามากกว่าครึ่งปีแล้วครับ
   
และถ้าผมเป็นออสซี่ ผมก็ต้องเข้ามาเก็บถูกๆตุนไว้ก่อน
เพื่อเฉลี่ยกับ ตอนที่ต้องซื้อแพงๆ
เมื่อทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์
อย่างน้อยๆ
เขาก็ได้หุ้นถูกๆไปเกือบห้าเปอร์เซนต์
ซึ่งเป็นหุ้นที่บริษัทซื้อคืนเข้าพอร์ต

ที่ผมก็เดาผิดจริงๆก็คือ  
นึกว่าธนชาติจะเป็นคนเทคโอเวอร์ซะอีก

 :roll:  :roll:  :roll:  :roll:  :roll:  :roll:  :roll:  :roll:

I CAN THINK  
I CAN WAIT
I CAN FAST

       

ไม่มีใครอธิบายสาเหตุที่หุ้นขึ้นในแง่ปัจจัยพื้นฐานบ้างเหรอครับ  ก็เวปนี้เน้นแนววีไอมิใช่รึ..... ฮึฮึฮึ......

หรือจริงๆแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน

เห็นพูดถึงแต่แนวเทคนิค  อำนาจซื้อนำ อำนาจขายตาม นำๆตามๆ จริงๆเท็จๆ

คุณคลายเครียดบอกว่า

ซื้อตู้เซฟแบบ vsop  
คือ
ดูว่าใครเคยถือหุ้นใหญ่  เคยมีใครปั่นหรือไม่
คำตอบคือ แลนด์แอนด์เฮ้าส์เคยถือหุ้นใหญ่
และเป็นหุ้นประกันเพียงไม่กี่ตัว
ที่เคยมีการปั่นแบบดุเดือดมาก่อน
พอดูว่า ผลประกอบการเริ่มขยับจาก ๔ B ไปเป็น ๓ A
ยีลด์ดี พีบีวีต่ำ พีอีไม่สูง  
ก็เลยซื้อเอาไว้เหมือนเอาเงินฝากธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ย
ถ้าหุ้นขึ้น ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้อย่างมหาศาล
(ยอมรับว่า ผมไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแบบเจาะลึกแม้แต่นิดเดียว ก็เลยเอามันง่ายๆแบบนั้น)

อ้าว......ท่านคลายเครียดออกตัวไปก่อนแล้ว

ท่านอื่นพอจะชี้แนะได้ไหมครับ

ตอนนี้กำลังสนใจหุ้นกลุ่มประกันครับ โดยเฉพาะ scnyl ที่น้องวรพงศ์กับลูกอิสานแนะนำ

เหตุผล

1. มีสินทรัพย์มากถึง 13,000 ลบ.ที่จะนำไปลงทุนในพันธบัตรซึ่งมีความแน่นอนสูงมากแม้ผลตอบแทนจะต่ำ แต่ว่าอาศัยว่ามีวงเงินลงทุนสูงมากเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นซึ่งมีแค่สี่ร้อยกว่าล้านบาท

2. แม้หนี้สินจะสูงถึง 12,000 + ลบ. แต่เป็นเบี้ยประกันซึ่งยังไม่ต้องจ่ายในเร็ววันนี้ และระยะเวลาที่จะจ่ายก็ยังอยู่อีกนานมาก  รวมทั้งค่าเคลมประกันก็อยู่ในช่วงปกติของธุรกิจไม่ได้มากมายอะไร

3. บริษัทรับทำประกันชีวิต ซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องของการจ่ายเบี้ยประกันสูงมาก ต่างจากการรับทำประกันอื่นๆซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องที่สั้นกว่า เช่น การรับประกันรถยนต์อาจจะได้มากในปีนี้แต่ปีหน้าอาจจะลดลงเพราะลูกค้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งทุกปี  แต่ประกันชีวิตมักจะไม่เป็นอย่างนั้น

4.การประมาณการรายรับในเรื่องการลงทุนทำได้ง่ายกว่าเพราะบริษัทลงทุนในพันธบัตร ต่างจากการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง

5. บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้สูงมากจากเบี้ยประกัน  บัฟเฟตต์เองชอบหุ้นประกันก็ด้วยเหตุผลเรื่องเงินสดเป็นสำคัญ(เหมือนกัน)

6. บริษัทสามารถขยายกิจการได้มาก ขยายสาขาได้มาก เพราะใช้สาขาเดียวกันและพนักงานเดียวกันกับธนาคารไทยพานิชย์ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศอยู่แล้ว

7. การประกันชีวิตน่าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการดำเนินชีวิตที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน

คิดออกแค่นี้ครับ

ถ้าเป็นอย่างกรณีอย่าง DVS  ผมถึงจะเชื่อว่าไม่มี Insider Trading

[quote="chatchai"]ถ้าเป็นอย่างกรณีอย่าง DVS

ผมว่า DVS ก็น่าจะมี inside เพียงแต่ว่า คนที่รู้ inside ก็พอจะรู้ดีเหมือนกันว่าไม่ควรใช้ นะครับ