news10/09/07
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 7:56 pm
เปิดโพยหุ้นเด่น ก่อนวันเลือกตั้ง
โพสต์ทูเดย์ บล.เอเซีย พลัส เปิดโอกาสทองซื้อ-โพยหุ้นก่อนเลือกตั้ง ฟันธงหุ้นหลังเลือกตั้งไม่เลิศหรู รอพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลใหม่
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจตลาดหุ้นหลังเลือกตั้ง ว่า ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงไม่ต่างจากปีนี้ เนื่องจากจะมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความกังวลจากปัจจัยภายนอกประเทศ
หลังเลือกตั้งหุ้นจะขึ้นได้ ถ้ารัฐบาลทำให้การบริโภคของประชาชนและการลงทุนภาคเอกชนกระโดดขึ้นมาได้ภายใน 3 เดือน แต่หาก 3 เดือนแล้วยังไม่ดีขึ้น ตลาดหุ้นก็คงเหนื่อย นายก้องเกียรติ กล่าว และว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลผสม มีอายุอยู่ได้เพียงปีกว่าเท่านั้น
ประธาน บล.เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2551 ว่าควรเลือกหุ้นใน 3 กลุ่มหลักคือ
1.กลุ่มที่มีการปรับโครงสร้างกิจการ มีผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ เปลี่ยนฐานการผลิตไปต่างประเทศ หรือเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ
2.กลุ่มพลังงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และ
3.กลุ่มโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น การสร้างโรงไฟฟ้า
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส แนะนำหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงก่อนเลือกตั้งจนถึงหลังการเลือกตั้งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ลงทุนก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก บริษัท ปตท. (PTT), ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), ปตท.เคมิคอล (PTTCH) และไทยออยล์ (TOP) ซึ่งราคาผันผวนสูงกว่ากลุ่ม 2 ได้แก่ บ้านปู (BANPU), ผลิตไฟฟ้า (EGCO) และผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH)
กลุ่มที่ 2 การลงทุนเพื่อเก็งกำไรในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ช่วงนี้คือ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) และ เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEN) และ
กลุ่มที่ 3 ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นเช่นกัน แต่ต้องรอให้มีปริมาณซื้อขายมากขึ้นก่อนจึงจะเริ่มต้นลงทุนได้ คือ อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) และ อีสเทิร์นไวร์ (EWC)
กลุ่มที่ 4 สำหรับการลงทุนใกล้การเลือกตั้ง ได้แก่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน (TPIPL), ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL), จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS), ดราก้อน วัน (D1), เอสวีโอเอ (SVOA) และ (TWP) ไทยไวร์โพรดัคท์
กลุ่มที่ 5 การลงทุนหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่ บริษัท ซีฟโก้ (SEAFCO), ช.การช่าง (CK), ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) และ อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD)
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยไทย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การลงทุนหลังเลือกตั้งเป็นเรื่องยาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ยังวางใจไม่ได้
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่าช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ก่อนเลือกตั้ง เป็นจังหวะซื้อหุ้น ดูจากสถิติการเลือกตั้ง 8 ครั้งใน 9 ครั้งที่ผ่านมา พบว่า 3 เดือนก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% นอกจากนี้ช่วงเดือน ก.ย. เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นลงมากที่สุด จากนั้นจึงขายทำกำไรในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงหลังการเลือกตั้งที่มีรัฐบาลใหม่
นายวัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่กล่าวว่า ปี 2551 จะเป็นปีทองของตลาดหุ้นไทย และครึ่งหลังเดือน ก.ย.นี้ ตลาดหุ้นน่าจะตกหนัก เป็นจังหวะทยอยซื้อ แต่ทุกครั้งที่เลือกตั้งเสร็จหุ้นจะลงทุกครั้ง และหลังจากประกาศนโยบายรัฐบาลจะค่อยๆ ฟื้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=190472
โพสต์ทูเดย์ บล.เอเซีย พลัส เปิดโอกาสทองซื้อ-โพยหุ้นก่อนเลือกตั้ง ฟันธงหุ้นหลังเลือกตั้งไม่เลิศหรู รอพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลใหม่
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจตลาดหุ้นหลังเลือกตั้ง ว่า ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงไม่ต่างจากปีนี้ เนื่องจากจะมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความกังวลจากปัจจัยภายนอกประเทศ
หลังเลือกตั้งหุ้นจะขึ้นได้ ถ้ารัฐบาลทำให้การบริโภคของประชาชนและการลงทุนภาคเอกชนกระโดดขึ้นมาได้ภายใน 3 เดือน แต่หาก 3 เดือนแล้วยังไม่ดีขึ้น ตลาดหุ้นก็คงเหนื่อย นายก้องเกียรติ กล่าว และว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลผสม มีอายุอยู่ได้เพียงปีกว่าเท่านั้น
ประธาน บล.เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2551 ว่าควรเลือกหุ้นใน 3 กลุ่มหลักคือ
1.กลุ่มที่มีการปรับโครงสร้างกิจการ มีผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ เปลี่ยนฐานการผลิตไปต่างประเทศ หรือเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ
2.กลุ่มพลังงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และ
3.กลุ่มโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น การสร้างโรงไฟฟ้า
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส แนะนำหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงก่อนเลือกตั้งจนถึงหลังการเลือกตั้งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ลงทุนก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก บริษัท ปตท. (PTT), ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), ปตท.เคมิคอล (PTTCH) และไทยออยล์ (TOP) ซึ่งราคาผันผวนสูงกว่ากลุ่ม 2 ได้แก่ บ้านปู (BANPU), ผลิตไฟฟ้า (EGCO) และผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH)
กลุ่มที่ 2 การลงทุนเพื่อเก็งกำไรในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ช่วงนี้คือ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) และ เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEN) และ
กลุ่มที่ 3 ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นเช่นกัน แต่ต้องรอให้มีปริมาณซื้อขายมากขึ้นก่อนจึงจะเริ่มต้นลงทุนได้ คือ อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) และ อีสเทิร์นไวร์ (EWC)
กลุ่มที่ 4 สำหรับการลงทุนใกล้การเลือกตั้ง ได้แก่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน (TPIPL), ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL), จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS), ดราก้อน วัน (D1), เอสวีโอเอ (SVOA) และ (TWP) ไทยไวร์โพรดัคท์
กลุ่มที่ 5 การลงทุนหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่ บริษัท ซีฟโก้ (SEAFCO), ช.การช่าง (CK), ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) และ อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD)
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยไทย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การลงทุนหลังเลือกตั้งเป็นเรื่องยาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ยังวางใจไม่ได้
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่าช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ก่อนเลือกตั้ง เป็นจังหวะซื้อหุ้น ดูจากสถิติการเลือกตั้ง 8 ครั้งใน 9 ครั้งที่ผ่านมา พบว่า 3 เดือนก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% นอกจากนี้ช่วงเดือน ก.ย. เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นลงมากที่สุด จากนั้นจึงขายทำกำไรในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงหลังการเลือกตั้งที่มีรัฐบาลใหม่
นายวัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่กล่าวว่า ปี 2551 จะเป็นปีทองของตลาดหุ้นไทย และครึ่งหลังเดือน ก.ย.นี้ ตลาดหุ้นน่าจะตกหนัก เป็นจังหวะทยอยซื้อ แต่ทุกครั้งที่เลือกตั้งเสร็จหุ้นจะลงทุกครั้ง และหลังจากประกาศนโยบายรัฐบาลจะค่อยๆ ฟื้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=190472