VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 241

โพสต์

เรื่องอุปกรณ์ก่อสร้่าง เด๋วรอท่่านit กะท่านsyj มาให้ข้อมูลเพิ่มนะฮะ

เพราะอ.บางท่าน ถนัดกลุ่มนี้ เคยแว่วๆว่า ดูๆรายใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาด ขยายสาขาเพิ่มมากในอิสาน
มีลูกพี่ใหญ่ถือหุ้น แต่ก็คล้ายๆว่าช่วงหลังssg ห้อยลงหน่อย กะมาร์เก็ตแคป ขึ้นมาใหญ่เกือบครึ่งของเจ้าเก่า
พีอีสูงปรี๊ด ไม่รู้ว่าเข้ากันได้กะgrowth มหึมาที่วางแผนไว้ได้ป่าว

ท่าsyjก็เคยโพสต์ไว้ว่า" เจ้าใหญ่สุด"(มะรุหมายถึงเจ้าที่มีทั้งกระดาษ ปูน พลาสติก เจ้านั้นมั้ยเอ่ย)

ส่วนอ.บางท่านก็ เห็นหุ้นรับเหมาแล้ว(ไม่รุยัง)เหนื่อยใจ อีกมั้ย

แล้วท่านromee มีไอเดียไง รึเริ่มเห็นสัญญานอะไร เล่าให้ฟังกันมั่ง
(แบบที่เพิ่นบอกว่ากองทุนต่างชาติขายแหลกเหมือนสับพรามน่ะ)
ช่วยๆกันมายั่วให้เพื่อนๆเข้ามาโพสต์นะฮะ (กระทู้ล่อเป้า อิอิ)
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 242

โพสต์

หุ้นนี่เป็นอะไรที่แปลก ยิ่งดูยิ่งขึ้น ยิ่งดูยิ่งดี ยิ่งวิเคราะห์ยิ่งขึ้น ยิ่งวิเคราะห์นานยิ่งวิ่งเร็วขึ้นเร็ว พอซื้อปั๊ป มันลงเลย
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 243

โพสต์

ไม่น่าคุยดังเลย ทั้งรับเหมา ทั้งอสังหา วิ่งกระจาย เรยยยย

ชะแง้ ต่อไป
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 244

โพสต์

มาร์ค ฟาเบอร์มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทย รอดจากวิกฤติการเมือง แต่ไม่โต ชี้ประชานิยมทำบิดเบือน

มาร์ค ฟาเบอร์ กูรูการลงทุนชื่อดังระดับโลก ร่วมรายการ Business Talk ทางกรุงเทพธุรกิจทีวี โดยเปิดมุมมองที่น่าสนใจทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ทิศทางการลงทุนของไทย และทั่วโลก

ฟาเบอร์ มองว่าสถานการณ์การเมืองของไทยที่เกิดในเวลานี้ค่อนข้างรุนแรง แม้จะมีการเลือกตั้งเมื่อ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ก็ยังเกิดภาวะสุญญากาศ อย่างไรก็ตามเห็นว่าหากการเลือกตั้งสำเร็จ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อาจจะกลับเข้าบริหารประเทศอีกครั้ง โดยมีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเพราะที่ผ่านมาเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่ได้บริหารงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากนัก แต่สร้างประโยชน์ให้พวกพ้องอย่างมาก

นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็คือ นโยบายประชานิยมของรัฐบาล ทำให้เกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าว โครงการรถคันแรก ทั้งนี้การใช้นโยบายประชานิยม มักจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีในที่สุด เช่น ในสหรัฐ การที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นวาระ 2 ก็เพราะนโยบายประชานิยม แต่เมื่อเวลาผ่านไป พบว่าคนรวย 1% รวยขึ้น แต่คนจน 95% จนลงกว่าเดิม

“ผมชอบเห็นรัฐบาลเล็กๆ ทำอะไรเล็กๆ ไม่เข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจ แต่ถ้ารัฐบาลใหญ่ มักมีโครงการใหญ่ๆ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาตามมา ผมชอบคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ แต่ว่าคนรอบข้างคุณอภิสิทธิ์เป็นอย่างไรผมไม่รู้ รวมถึงตำรวจ ทหาร แต่ก็มีประชาชนส่วนหนึ่งไม่ชอบ เพราะไม่มีนโยบายประชานิยม”

แนวทางธปท.แตกต่างรัฐบาล

ฟาเบอร์ กล่าวว่า การที่หลายคนเป็นห่วงเมื่อไทยเกิดปัญหาการเมืองทำให้ประเทศเกิดความเสี่ยงนั้น ส่วนตัวไม่รู้สึกห่วงความเสี่ยงประเทศไทย แต่ห่วงความเสี่ยงของชาวนาในขณะนี้มากกว่า

อย่างไรก็ตามหากมองในภาพรวม แม้ไทยจะเกิดปัญหาหลายอย่าง แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจยังคงเดินหน้าไปได้ แต่จะไม่แข็งแกร่งเหมือนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว การเชื่อว่ายังไทยยังเดินหน้าได้ เนื่องจากเงินทุนสำรองยังดี การค้าการลงทุนยังไปได้ และค่าเงินบาทบาทมีเสถียรภาพ โดยอัตราแลกเปลี่ยน 33 บาท/ดอลลาร์ เป็นระดับที่รับได้ แต่ก็มีปัจจัยลบที่สำคัญสิ่งหนึ่งคือ หนี้ครัวเรือนที่สูงมาก 80% ของจีดีพี

ทั้งนี้ แม้จะเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าได้ แต่จะไม่มีการเติบโตของจีดีพี

เศรษฐกิจของไทย ยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีน ที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งเชื่อว่าปีนี้การเติบโตน่าจะอยู่ในระดับ 4% เท่านั้น ซึ่งการชะลอตัวทำให้รัฐบาลจีนต้องเร่งปล่อยเครดิตให้เงินเข้าสู่ระบบมหาศาล และการที่เศรษฐกิจไทยผูกกับเศรษฐกิจจีนค่อนข้างสูง จะทำให้ได้รับผลกระทบตามไปด้วย

ฟาเบอร์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา พบว่าหน่วยงานหนึ่งของไทยที่ทำหน้าที่ได้ดี แม้จะไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพทางการเงินได้ดี โดยไม่มีการแทรกแซง ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจากรัฐบาล ที่แทรกแซงทั้งตลาดรถยนต์ และข้าว

“แต่ก็เห็นว่าที่ผ่านมา ธปท.น่าจะผลักดันให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นอีกสักนิด โดยเฉพาะช่วงตลาดหุ้นบูม”

เชื่อไทยยังน่าลงทุน

ส่วนภาพรวมการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย ยังน่าลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาว ที่จะให้ผลตอบแทน 6-7% ดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล อีกทั้งเห็นว่าหุ้นหลายตัวมีความแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตามไทยและประเทศเกิดใหม่อีกหลายๆ ตลาด มีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นอาจจะลดต่ำลงกว่าปัจจุบัน ดังนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องรีบซื้อในเวลานี้

ส่วนการลงทุนที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งก็คือ ทองคำ ซึ่งอยู่ในช่วงขาลงมาระยะหนึ่งทั้งราคาทองคำในตลาด หรือหุ้นของบริษัทผู้ผลิตทองคำที่บางแห่งลดลงไป 80%

ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ เห็นว่าเวียดนามน่าสนใจกว่าไทย เพราะอยู่ในช่วงการขยายตัว และราคาไม่สูงมากนัก ขณะที่ในไทย หลายพื้นที่ราคาสูงเกินไป แต่สาเหตุที่ยังคงมีผู้ซื้อคาดว่าเป็นเพราะต้องการเก็งกำไร เห็นได้จากหลายๆ โครงการมียอดขายมากแต่ผู้อยู่อาศัยน้อย

อสังหาริมทรัพย์ที่แพงขึ้น ยังเกิดขึ้นในภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ ที่เกิดโครงการใหม่ๆขึ้นจำนวนมาก รวมถึงศูนย์การค้าที่เข้าไปเปิดกิจการหลายแห่ง แต่ปัญหาที่ตามมาในอนาคตก็คือ คนจะออกไปอยู่อาศัยนอกเมืองมากขึ้น เพราะมีราคาที่ต่ำกว่า และก็ไม่เข้ามาจับจ่ายสินค้าในเมือง ส่งผลกระทบต่อโครงการที่เข้าไปลงทุนเหล่านี้

“โครงการเกิดขึ้นเยอะมาก ดังนั้นในอนาคตบางพื้นที่มีโอกาสที่จะราคาตกถึง 30%” ฟาเบอร์ กล่าว

ที่มา : www.bangkokbiznews.com

ส่วนด้านบนคือส่วนที่แกให้สัมภาษณ์

.........................

ข่าวเมื่อเช้าฟังจากรายการวิทยุ แจ้งว่า แกเริ่มสนใจหุ้นอสังหา ไทย เนื่องจากราคาลดลงมามาก

เอ๊ะ ยังไง
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 245

โพสต์

วันก่อนไม่มีอะไรทำเลยลองกดเข้ามาดูในกระทู้นี้เล่น ๆ เพราะเข้าไปดูกระทู้ข้าง ๆ ไม่นึกว่า

ณ มุมหนึ่งในเว็บแห่งนี้ กลับมีที่ ๆ รวบรวมเหล่าจอมยุทธไว้ ถ้ามิได้เป็นการเสียมารยาท เนื่องจากอันตัวข้าน้อยมิได้เป็นคนภาคใต้ ข้าพเจ้าอยากจะขอเข้ามาจิบน้ำชา ฟังเหล่าจอมยุทธพูดคุยเพื่อประดับความรู้อันน้อยนิดกับเค้าบ้าง :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 246

โพสต์

leky เขียน:วันก่อนไม่มีอะไรทำเลยลองกดเข้ามาดูในกระทู้นี้เล่น ๆ เพราะเข้าไปดูกระทู้ข้าง ๆ ไม่นึกว่า

ณ มุมหนึ่งในเว็บแห่งนี้ กลับมีที่ ๆ รวบรวมเหล่าจอมยุทธไว้ ถ้ามิได้เป็นการเสียมารยาท เนื่องจากอันตัวข้าน้อยมิได้เป็นคนภาคใต้ ข้าพเจ้าอยากจะขอเข้ามาจิบน้ำชา ฟังเหล่าจอมยุทธพูดคุยเพื่อประดับความรู้อันน้อยนิดกับเค้าบ้าง :D
สวัสดีครับ จารย์หมอเล็ก
จารย์หมอสนใจรับเหมาซ่อมปูนจริงจังหรือแค่จีบ ๆ ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 247

โพสต์

dr1 เขียน:เรื่องอุปกรณ์ก่อสร้่าง เด๋วรอท่่านit กะท่านsyj มาให้ข้อมูลเพิ่มนะฮะ

เพราะอ.บางท่าน ถนัดกลุ่มนี้ เคยแว่วๆว่า ดูๆรายใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาด ขยายสาขาเพิ่มมากในอิสาน
มีลูกพี่ใหญ่ถือหุ้น แต่ก็คล้ายๆว่าช่วงหลังssg ห้อยลงหน่อย กะมาร์เก็ตแคป ขึ้นมาใหญ่เกือบครึ่งของเจ้าเก่า
พีอีสูงปรี๊ด ไม่รู้ว่าเข้ากันได้กะgrowth มหึมาที่วางแผนไว้ได้ป่าว

ท่าsyjก็เคยโพสต์ไว้ว่า" เจ้าใหญ่สุด"(มะรุหมายถึงเจ้าที่มีทั้งกระดาษ ปูน พลาสติก เจ้านั้นมั้ยเอ่ย)
เคยได้ยินคนรู้จักที่ทำงานใน "เจ้าใหญ่สุด" แต่เค้าอยู่สายปิโตร เล่าให้ฟังว่าเจ้านี้มีแผนจะทำร้าน ครบวงจร ขยายมากขึ้นจากเดิม แต่รายละเอียดไม่ได้บอกอะไรมาก

แต่ผมว่าหุ้นกลุ่มนี้น่าสนใจในเรื่องที่ว่า รายใหญ่ เจ้าเดิมที่ชอบแจกหุ้นปันผลจะครองได้นานแค่ไหน ราว ๆ สองปีก่อนผมเคยตามหุ้นบัลลาสต์ที่เค้าขยายตามรายใหญ่นอกตลาด "ไทวัสดุ" เดิมทีผมเห็นชื่อผมคิดว่ามันก็น่าจะเป็นแค่เจ้าเล็ก ๆ บ้าน ๆ ธรรมดา แต่ที่ไหนได้ มันไม่ธรรมดา เพราะกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของคือกลุ่มเซ็นทรัล homework เก่า ตอนนั้นเข้าไปดูในเว็บเค้า แผนการเปิดสาขาใหม่จัดว่า aggressive มาก ขยายปีละเป็นสิบแห่งน่าจะได้ เพียงแต่เน้นที่ต่างจังหวัด ทีนี้พอมันเป็นบ.นอกตลาด ผมก็คิดว่าคนเลยไม่รู้ว่าเจ้าเดิมในตลาดสองแห่ง กำลังโดนรายใหญ่มีมีกำลังเงินสูงเข้ามาแย่งลูกค้า ยังไม่นับคู่แข่งจากเจ้าใหญ่สุด เพียงแต่รายที่อยู่ในตลาดฐานลูกเค้าเค้าอาจจะเป็นกลุ่มบนกว่า ประเภทคนที่ไปซื้อของไม่กี่ชิ้น อันนี้ไม่นับเจ้าในตลาดที่เน้นลูกค้าภูธรนะครับ

ทีนี้ในความเห็นผม หุ้นอะไรก็ตามที่ PE มันสูงลิ่ว นั่นแปลว่านายตลาดคงจะรอให้ E วิ่งเข้ามา P จน PE มันต่ำลง ตรงนี้มันก็เสี่ยงไม่น้อย เพราะถ้าแผนเกิดสะดุด มันจะกลายเป็นเรื่องตรงกันข้ามคือ P วิ่งลงมาหา E เสียก่อน :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 248

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:
leky เขียน:วันก่อนไม่มีอะไรทำเลยลองกดเข้ามาดูในกระทู้นี้เล่น ๆ เพราะเข้าไปดูกระทู้ข้าง ๆ ไม่นึกว่า

ณ มุมหนึ่งในเว็บแห่งนี้ กลับมีที่ ๆ รวบรวมเหล่าจอมยุทธไว้ ถ้ามิได้เป็นการเสียมารยาท เนื่องจากอันตัวข้าน้อยมิได้เป็นคนภาคใต้ ข้าพเจ้าอยากจะขอเข้ามาจิบน้ำชา ฟังเหล่าจอมยุทธพูดคุยเพื่อประดับความรู้อันน้อยนิดกับเค้าบ้าง :D
สวัสดีครับ จารย์หมอเล็ก
จารย์หมอสนใจรับเหมาซ่อมปูนจริงจังหรือแค่จีบ ๆ ครับ
ใช่ที่บอกว่าเพิ่งเข้าตลาดมาสองปีหรือเปล่าครับ ผมยังนึกไม่ออกว่าตัวไหนครับ เลยยังไม่กล้าออกความเห็น แต่เดี๋ยวจะไปดูอีกทีครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 249

โพสต์

dr1 เขียน: 1.หุ้นคอมโมพีอีเจ็ดตัวเก่า ที่ท่านitอยู่วงใน ที่ผม กะอ.เคยไปโดนกันมาน่ะครับ
เหตุผลตอนนี้คือคาดการโตราวอีกครึ่งนึงในสองปี พีอีต่ำสิบ ปันผลราวสาม% เป็นกิจการที่หนึ่งของโลก
ราคาคอมโมน่าจะถึงต่ำสุดแล้ว เงินบาทยิ่งอ่อนยิ่งดี
ซื้อตอนนี้รุสึกต่ำบุ๊ค ราคาเหมือนได้สวนยางฟรี อะไรราวๆนั้น
ผมว่าหุ้นพวกนี้ มองแบบเผิน ๆ ราคามันถูกจริงนะครับ แต่ว่าเราจะต้องรอนานแค่ไหนเท่านั้นน่ะครับ ซึ่งถ้ามีเงินมากมาย พอร์ต 9-10 หลัก จะเจียดเงินมาซื้อแล้วทิ้ง ๆ ไว้แบบดูบ้างไม่ดูบ้างก็คงไม่เป็นไรครับ ผมพูดเผื่อไว้กลัวว่ามันจะถูกแบบเรื้อรังไปเรื่อย ๆ น่ะครับ

ผมเคยอ่านเจอเค้าบอกว่าอีกไม่นานยางพาราที่โหมปลูกกันในภาคอิสาน เหนือ เพื่อนบ้านมันจะเริ่มทยอยออกมาน่ะครับ ตรงนี้เมื่อหลายปีก่อนที่ราคายางพีค ๆ เจ้าหน้าที่ในที่ทำงานผมที่อยู่เลยเค้าก็เพิ่งลงยางไปเหมือนกัน

ผมว่าหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งก็พวกเรือน่ะครับ อาการแบบเดียวกัน บางตัวราคาต่ำบุ๊ค อย่างเรือตู้นี่เห็น ๆ พอ BDI ทำท่าจะกระชากขึ้น หุ้นทั้งกลุ่มก็บึ้น ๆ ๆ ๆ เหมือนรถทำท่าจะวิ่งออกจากสนามแข่ง แต่พอ BDI หัวปักเท่านั้น ก็ดับเครื่องไม่แข่งซะงั้น :D เห็นแล้วนึกถึงตอนเด็กที่ขึ้นรถสองแถว คนขับก็กวน.... เร่งเครื่องขยับรถทำท่าจะออก ขยับเข้าออกเป็นสิบ ๆ รอบ แล้วมันก็ไม่ออกซักที หลอกผู้โดยสารว่ารถจะออก สุดท้ายก็จอดยาว

ในความเห็นผม ถ้ามองไปที่กลุ่มหุ้น ตอนนี้ผมชักจะสนใจพวกธุรกิจกุ้งครับ กับโรค EMS ตายด่วนนะครับ ไม่ใช่ไปรษณีย์ด่วน ผมว่ามันน่าจะเลยจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว แต่จะกลับมาเป็นปกติจริง ๆ ตอนไหนเท่านั้น นั่นแปลว่า ถ้าราคากุ้งยังสูงลิ่ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ถ้าชัวร์ว่ามันหยุดระบาด ถึงตอนนั้นคงแย่งกันเลี้ยง แต่ช่วงที่ราคากุ้งยังไม่ลงมาเป็นปกติแต่ผลผลิตเริ่มจะปกตินี่สิครับ น่าสนใจ ส่วนหุ้นกลุ่มนี้มีมากมายหลายตัว ตั้งแต่ส่งออกระดับโลก อาหารแช่แข็ง แปรรูปอาหาร ยันอาหารกุ้ง หลับตาจิ้มเอาได้เลยครับ แต่ละตัวก็มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไป รอบก่อนขนาดแค่ข่าวว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ก็เล่นวิ่งสวนตลาดที่ลงหนัก ๆ กันขึ้นไป ก่อนจะลงกลับมา :D พูดมากกลัวจะล่อเป้าครับ เดี๋ยวกระทู้โดนอุ้ม :D

ผมว่าพวกท่านจอมยุทธอยู่ในพื้นที่ น่าจะหาข่าวธุรกิจพวกนี้ได้ง่ายกว่าผมครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 250

โพสต์

dr1 เขียน:สวัสดีวันมาฆะ และราคะ(วาเลนไทน์)ทุกท่านนะครับ
ขอให้สมหวังในสิ่งประสงค์ ทั้งท่านที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และพ้นไปแล้ว

เอาบทย่อของ the most important thing illuminated ที่อ.webแปลว่า
"แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า"มาเรียกน้ำย่อยนะครับ เล่มจริงควรไปซื้อหากันตามคำแนะนำของท่านนายก
(อ.tyบอกว่า "ผมอ่านแล้วนึกถึงโจเลย" น่าสนใจแล้วใช่มั้ยครับ)
แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่่าคือ...
1. การคิดสองชั้น(คิดต่างถึงผลที่ตามมา ถ้าเราคิดไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ )
2. เข้าใจตลาดมีประสิทธิภาพและข้อจำกัดของมัน (การปฎิบัติสำคัญกว่าทฤษฎี)
3. แก่นของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคือ "คุณค่า"(และการประเมินราคาที่เหมาะสม)
4. ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและคุณค่า(ซื้อของ"ได้ดี"สำคัญกว่าซื้อ"ของดี")
5. การเข้าใจความเสี่ยง(เหตุการณ์หลายอย่างอาจเกิดขึ้นได้)
6. การตระหนักถึงความเสี่ยง (เพื่อจะได้ควบคุมและลดความเสียหาย)
7. การควบคุมความเสี่ยง (เซียนจะเข้ารับความเสี่ยงเพือหากำไรอย่างชาญฉลาด)
8. การให้ความสนใจกับวัฎจักร (ไม่มีอะไรร้ายกว่าความคิดว่าอนาคตจะเหมือนปัจจุบัน)
9. การตระหนักถึงการแกว่งตัว (รีบซื้อตอนขึ้นสูง รีบขายตอนต่ำ "นักลงทุน"จะเป็นงั้นตลอดไป)
10. การสู้กับอิทธิพลทางลบ(อยากกำไรมากกว่า กลัวตกรถ การเปรียบเทียบกับคนอื่น เพ้อฝัน นำสู่ความผิดพลาด)
11. การสวนกระแส (ซื้อตอนคนอื่นแย่งขาย ขายตอนคนอื่นแย่งซื้อ ต้องกล้าหาญที่สุด และได้กำไรสูงสุด)
12. การหาของถูก (โอกาสที่ดีที่สุดจะเป็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม)
13. การเฝ้ารอโอกาสอย่างอดทน (ตลาดไม่ได้ให้กำไรสูงๆตามใจอยากได้ของคุณ)
14. การรู้ว่าคุณไม่รู้อะไรบ้าง (คนขาดทุนมีสองพวก ไม่รู้อะไรเลย กับรู้ทุกอย่าง)
15. การพอรู้ว่าเรายืนอยู่จุดไหน (เราอาจไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่ควรรู้ว่ากำลังอยู่ที่ใด)
16. การตระหนักถึงบทบาทของโชค (คนที่เดิมพันเสี่ยงๆกับผลที่ไม่แน่นอนแล้วถูกมองว่าอัจฉริยะ เฮงมากกว่าเก่ง)
17. การลงทุนแบบตั้งรับ (มีนักลงทุนที่ลงทุนจนแก่กับ นักลงทุนใจกล้า แต่ไม่มีนักลงทุนรุ่นแก่ที่ใจกล้า)
18. การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด (ไม่ต้องทำถูกอะไรมาก แค่หลีกเลี่ยงความผิดพลาดใหญ่ๆได้ก็พอ)
19. การสร้างมูลค่า (ได้กำไรตอนดี มากกว่าขาดทุนตอนแย่)

วีไอไทย ลงทุนโดยสงบ ปราศจากความรู้ แบบหลบๆซ่อนๆ
ท่ามกลางการขอคืนดัชนี(แต่ก่อนเรียกขมิบ เอ๊ย..กระชับพื้นที่)
รายงาน
ขอบคุณครับ ตามอ่านมาตลอด อย่างฮา +สาระสุดๆ :D
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 251

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:หุ้นนี่เป็นอะไรที่แปลก ยิ่งดูยิ่งขึ้น ยิ่งดูยิ่งดี ยิ่งวิเคราะห์ยิ่งขึ้น ยิ่งวิเคราะห์นานยิ่งวิ่งเร็วขึ้นเร็ว พอซื้อปั๊ป มันลงเลย
ผมว่าส่วนหนึ่งเพราะเราอาจจะติดกับจุดอ้างอิงเก่า ๆ น่ะครับ หุ้นตัวหนึ่งอยู่แถว 10 บาท พอมันขึ้นมา 11 บาท บางครั้งเราก็เสียดายราคาที่ 10 บาท ก็พยายามจะซื้อที่ราคานั้น พอมันขยับไป 12-13 เราก็ขยับราคาซื้อตามเป็น 11 บาท คนที่เห็นเราตั้งเข้ามาเค้าก็เคาะขวาต่อเนื่อง :D คราวนี้มันไป 14-15 บาท เราก็ตายแล้วเดี๋ยวตกรถ เลยเคาะขวาตามไปบ้าง สุดท้ายมันลงตามระเบียบ :D

ยิ่งเป็นหุ้นขาดสภาพคล่องนี่ไปกันใหญ่ ถ้าอยากได้ของต้องเคาะขวา แต่ถ้าเราเคาะมันจะกลายเป็นคนดันให้ราคามันขึ้นไปเสียเอง ตรงนี้ยิ่งทำใจยาก ทีนี้ถ้าดันมีรายใหญ่ใจป้ำเข้ามาซื้อเหมือนกัน เค้าเคาะทีมันลากขึ้นไปหลายช่อง เจอแบบนี้เรากลายเป็นเสียหายหนัก สถานการณ์แบบนี้ทำใจลำบากครับ เพราะถ้าวิเคราะห์ถูกหุ้นก็ไปแรง แต่ถ้าวิเคราะห์ผิดกลายเป็นออกของไม่ได้
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 252

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:ไม่น่าคุยดังเลย ทั้งรับเหมา ทั้งอสังหา วิ่งกระจาย เรยยยย

ชะแง้ ต่อไป
ผมว่าช่วงนี้งบจะออกครับ หุ้นเลยไม่ค่อยลง แต่ถ้างบออกถ้าดีกว่าคาดมากๆๆๆๆๆ หุ้นก็ดีดแรง ยิ่งเหนือความคาดหมายยิ่งแรง แบบ METCO แต่ถ้าดีเท่าที่คิดไว้ก็ sale on fact ในทางตรงข้ามถ้าแย่ผิดคาดก็ตัวใครตัวมันครับ :D

ผมว่าหุ้นรับเหมายังอาจจะต้องเจอมรสุม เงินกู้ 2 ล้านล้านที่อาจจะเป็นหมันนะครับ หุ้นหลายตัวลงหนักเพราะเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่กระทบไม่มาก

แต่หุ้นที่บอกว่าซ่อมปูนผมยังคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าตัวไหนครับ

วันนี้เซียนวีไอและไม่วีไอมาฟันธงในกรุงเทพธุรกิจให้หลีกเลี่ยงหุ้นอสังหาฯ ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 253

โพสต์

LVT ครับ จารย์หมอเล็ก เห็นจารย์หมอ comment อยู่ห้องนั้น
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 254

โพสต์

leky เขียน:
Nevercry.boy เขียน:ไม่น่าคุยดังเลย ทั้งรับเหมา ทั้งอสังหา วิ่งกระจาย เรยยยย

ชะแง้ ต่อไป
ผมว่าช่วงนี้งบจะออกครับ หุ้นเลยไม่ค่อยลง แต่ถ้างบออกถ้าดีกว่าคาดมากๆๆๆๆๆ หุ้นก็ดีดแรง ยิ่งเหนือความคาดหมายยิ่งแรง แบบ METCO แต่ถ้าดีเท่าที่คิดไว้ก็ sale on fact ในทางตรงข้ามถ้าแย่ผิดคาดก็ตัวใครตัวมันครับ :D

ผมว่าหุ้นรับเหมายังอาจจะต้องเจอมรสุม เงินกู้ 2 ล้านล้านที่อาจจะเป็นหมันนะครับ หุ้นหลายตัวลงหนักเพราะเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่กระทบไม่มาก

แต่หุ้นที่บอกว่าซ่อมปูนผมยังคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าตัวไหนครับ

วันนี้เซียนวีไอและไม่วีไอมาฟันธงในกรุงเทพธุรกิจให้หลีกเลี่ยงหุ้นอสังหาฯ ครับ

METCO แรงจริงครับ
ขายของให้ Muramoto USA ลูกหนี้บาน แถมให้เงินกู้อีกต่างหาก
ไม่รู้ขาย อะไรให้ USA
แถมมี VI บิ๊กเนม ถือ 2 ท่านซะด้วย (อ.ดร. นี่ ถือมานานละ)
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 255

โพสต์

Back หลอก

CK 110,000 ล้านบาท มีตัวช่วยบริษัทกระจายไปลงทุนในโครงการที่ตัวเองก่อสร้าง diversification ไปพลังงานทางเลือก

STEC 56,000 ล้านบาท

TTCL 900 ล้านเหรียญ เฉพาะทางและได้ยกระดับงานไปทำงานที่ยากขึ้น

ITD 250,000 ล้านบาท มีความไม่แน่นอนสูง

STPI ยังไม่ได้ทำการบ้าน ใครเกาะอยู่ช่วยดูที
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 256

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:LVT ครับ จารย์หมอเล็ก เห็นจารย์หมอ comment อยู่ห้องนั้น
พระเจ้า พูดจริงหรือพูดเล่นครับ ผมเพิ่งหนีออกจากโรงหนังที่กำลังไฟไหม้ เอาตัวเกือบไม่รอด ยังดีที่รอดมาได้ มีรอยถลอกตามตัวเล็กน้อย

ผมหมายถึงตัวล่างนี่ครับ แต่คิดว่าน่าจะเป็นตัวที่ชื่อคล้ายซอสพริก
dr1 เขียน: 2.หุ้นรับเหมาเพิ่งเข้ามาสองปี เงินสดเยอะ รับงานเล็กเหมือนถ้าเป็นบ้านก็แค่ซ่อมห้องน้ำ ต่อเติมครัว
ไม่ได้สร้างทั้งหลังอะไรงี้ ซึ่งไม่ต้องดูแบ็คล็อกเพราะงานมาเรื่อยๆจุกๆจิกๆ หากินไปได้เรื่อย
ราคาตอนนี้ก็ลดมาเกือบครึ่ง ปันผลเกิน5%
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 257

โพสต์

555 ขนาดจารย์หมอเล็กเนี่ยนะ

ส่วนตัวที่เข้ามาสองปี น่าจะหมายถึง BKD เดี๋ยวไปส่องก่อนแล้วเอาข้อมูลมาแชร์ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 258

โพสต์

ผมว่าโพสต์อะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฏ
MOD คงไม่มาอุ้มหรอกครับ

ไม่ได้ทำผิด อย่าเพิ่งโวยวายสิ :D :D

ตามอ่านเซียน ๆ คุยกันต่อไป :P
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 259

โพสต์

oatty เขียน:ผมว่าโพสต์อะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฏ
MOD คงไม่มาอุ้มหรอกครับ

ไม่ได้ทำผิด อย่าเพิ่งโวยวายสิ :D :D

ตามอ่านเซียน ๆ คุยกันต่อไป :P
มันอาจจะไม่ผิดกฎครับ แต่มันอาจจะเป็นความรู้สึกตะขิดตะขวงใจครับ

เพราะถ้าเรามีหุ้น ซื้อไว้เรียบร้อย มาโพสต์แต่เรื่องดี ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจตนาจะเชียร์หรืออาจจะเจตนา ตรงนี้ไม่มีตัววัดว่ามันจริงหรือไม่จริง คนโพสต์เท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจครับ ทีนี้ถ้ามันเป็นวงแคบ ๆ มันก็คงไม่ไปกระทบใครมาก เพราะผมก็คิดว่าการ discuss มันก็เป็นการลับสมอง และผมก็เชื่อว่ามันก็เหมือนการคุยกันสนุก ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะให้ใครไปซื้อหุ้นช่วยดันหุ้น แต่ในกรณีเรื่องราวเก่า ๆ ที่เคยเป็นมาม่านั้น ผมว่ามันลุกลาม สุดท้ายเว็บก็เสียหาย คนควบคุมก็เสียหาย คนโดนกล่าวหาก็เสียหาย มันเสียหายไปหมดครับ

ผมยกตัวอย่างนะครับ สมมติมีนศ.สาวสวยนุ่งกระโปรงสั้นมากกำลังเดินขึ้นสะพานลอย ตรงตำแหน่งที่นศ.คนนั้นกำลังเดินขึ้นไป มีนกเกาะอยู่ สมมติว่าเราเงยหน้าขึ้นไปทำมุม 90 องศาแบบมองค้าง เราบอกว่าจริง ๆ เราดูนก ไม่ได้มองไปที่นศ.นุ่งกระโปรงสั้นที่กำลังเดินขึ้นไปพอดี แต่ตรงนั้นเป็นป้ายรถเมล์ เราคิดว่าคนที่ป้ายรถเมล์จะคิดว่าเรามองอะไรครับ :D

คือผมว่าการระมัดระวังมันย่อมดีกว่าครับ เพราะถ้ามันมีปัญหาเรื่องแบบนี้มันแก้ตัวยากครับ คนอื่นที่เค้าเกี่ยวข้องก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วย

จริง ๆ ทุกวันนี้ ในความเห็นผมข้อมูลทุกอย่างเราเสพเราก็ต้องระวังอยู่แล้วครับ ผมจะเล่าให้ฟังครับ ผมรู้จักเว็บนี้เพราะเพื่อนส่งลิงค์มาให้ครับ ให้ผมดูหุ้นตัวหนึ่ง ประมาณว่าเค้าบอกกันว่าหุ้นตัวนั้นดี น่าซื้อตาม

ทีนี้ข้อมูลในห้องร้อยคน ก็ต้องเข้าใจนิดหนึ่งว่า ถ้าเป็นการวิจัยประชากรที่เข้าไปโพสต์ ส่วนใหญ่ก็น่าจะสนใจหรือชอบหุ้นตัวนั้นหรือมีมีหุ้นตัวนั้นอยู่ ตรงนี้ลองคิดดูครับ นั่นแปลว่ามันมีความ bias เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราเห็นจึงมักจะมีเรื่องเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง คนที่ไม่สนใจหุ้นตัวนั้นมันมีมากกว่า ส่วนหนึ่งก็อาจจะเห็นเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น แต่เค้าก็อาจจะไม่อยากเข้าไปโพสต์ เพราะเค้าก็ไม่อยากจะมาเสียเวลา หรือบางคนถึงไม่เห็นเรื่องไม่ดีแต่เค้าก็คิดว่าหุ้นตัวนั้นไม่น่าสนใจ จะจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ทีนี้ถ้าไม่มีคนเห็นต่าง ผมว่ามันก็น่ากลัวไม่น้อยครับ

หลัง ๆ หุ้นที่ผมสนใจกลับเป็นในทางตรงกันข้ามครับ มักจะเป็นห้องที่ไม่มีข้อมูลอะไร เงียบ ข้อมูลที่โพสต์ครั้งสุดท้าย บางครั้งทิ้งช่วงเป็นเดือน ๆ ถึงเราเข้าไปดูแล้วไม่ได้โพสต์อะไร มันก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะมันไม่มีอะไรมาก่อนอยู่แล้ว ที่สำคัญนั่นแสดงว่าถ้าหุ้นตัวนั้นดีจริง มันก็เหมือนบ่อร้างที่มีปลาชุกชุม เพียงแต่เราก็ต้องกล้า ๆ หน่อยครับ เดินเข้าไปตรงบ่อร้างมันก็ต้องระวังงูหรือสัตว์มีพิษหน่อย เพรานั่นแปลว่าเรากำลังคิดอยู่คนเดียว ผิดถูกไม่มีคนทักท้วง ยังไม่นับว่าต้องกล้า ๆ เข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้นแบบไม่มีแนวร่วม :D

แต่ขอบอกว่าบ่อปลาร้างพวกนั้น ทำผลตอบแทนให้ดีมากนะครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 260

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:555 ขนาดจารย์หมอเล็กเนี่ยนะ

ส่วนตัวที่เข้ามาสองปี น่าจะหมายถึง BKD เดี๋ยวไปส่องก่อนแล้วเอาข้อมูลมาแชร์ครับ
ตอนแรกคิดถึงตัวนี้เหมือนกันครับ แต่มันเพิ่งเข้ามาน่าจะราว ๆ 6 เดือนครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
it
Verified User
โพสต์: 123
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 261

โพสต์

ต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง ปีนี้ช่วงครึ่งปีแรกการใช้จ่ายในประเทศน่าจะน้อยลงจากปัญหาต่างๆ หาดใหญ่ตอนนี้นักท่องเที่ยวน้อยมากถึงมากที่สุด ขับรถตุ๊กๆไม่มีคนเลย ร้านขายของตามตลาดบอกว่าขายของไม่ดี ห้างร้านก็คนน้อย นอกจากช่วงเทศกาล ราคายางซึ่งเป็นรายได้หลักของคนในพื้นที่ลดลงอย่างน่าตกใจบวกกับใกล้ฤดูผลัดใบ รายได้จากอาชีพเลี้ยงกุ้งก็น่าจะแบบเดิม เพราะมีเฉพาะรายใหญ่เท่านั้นที่มีเงินเยอะ เนื่องจากการลงทุนเลี้ยงใช้ทุนเยอะมากคนธรรมดาสามัญมิอาจจะทำได้ ส่วน EMS ปัญหาก็ยังแก้ไม่ได้แบบ 100% คนเลี้ยงน่าจะมีต้นทุนในการเลี้ยงเพิ่มขึ้น โทรคุยกับพี่ที่เคยเลี้ยงแต่เลิกไปแล้วเค้าก็เล่าให้ฟังถึงปัญหาเรื่องโรคว่ามาจากลูกกุ้ง รุ่นก่อนหน้านี้แล้วก็ตกทอดมาแสดงอาการในรุ่นนี้ จำไม่ค่อยได้ อีกอย่างราคากุ้งที่เราเห็นตามราคาตลาดคนเลี้ยงกุ้งใช่ว่าจะได้ตามนั้นเพราะกุ้งที่เลี้ยงในแต่ละบ่อมีมากกว่า 3 เบอร์ ถ้าเลี้ยงแล้วกุ้งโตไม่อยู่ในช่วงเบอร์ 1-3 มากๆก็จะขาดทุน ส่วนบริษัทใหญ่ๆที่รับกุ้งไปแล้วไปส่งออก พอไม่มีกุ้งแต่ต้องมีค่าใช้จ่ายให้พนักงาน ค่าเสื่อมราคา ค่าโน่นนี้นั้น ก็อาจจะทำให้บริษัทขาดทุนได้ ติดตามกันต่อไปว่า EMS ไปรษณีย์ไทยจะบริการได้เร็วทันใจและบริการดี กว่า EMS กุ้งมัยเพราะ EMS บริการเร็วทันใจกุ้งตายภายใน 24 ชั่วโมง คนเลี้ยงเจ๊งข้ามคืน ภาคอื่นๆหรือจังหวัดอื่นที่ประชากรมีรายได้ต่างจาก หาดใหญ่ มีอะไรบ้างครับ จะดีหรือไม่ดีแบบหาดใหญ่มัย
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 262

โพสต์

[*] :D ที่โพสต์ไปข้างบนไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่อยากให้ระวังกันไว้บ้างก็ดีครับ

จริง ๆ มันจะสนุกกว่ามากถ้าเราพูดถึงหุ้นตัวไหนแล้วเขียนข้อดีซักห้าข้อ ข้อเสียซักห้าข้อ :D ตัวเร่งราคาเน้น ๆ แค่ 1-2 ข้อ :D ผมว่าเราดูข้อมูลมากมายจริง ๆ แล้วมันอาจจะต้องการการสรุปเพียงแค่ไม่กี่บรรทัดเท่านั้นเองครับ

เรื่องกำลังซื้อ สิ่งที่ผมเห็นคือโมเดิร์นเทรดที่ผมไปเดินประจำ ปีก่อนเค้าแจกคูปองประเภทซื้อครบเท่าไหร่ก็แจกคูปองส่วนลด สมัยแรก ๆ เวลามีแจกคูปองก็คนแน่น แต่ช่วงหลัง ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยไม่แน่ใจว่าเพราะกำลังซื้อมันหดหรือเพราะเค้าแจกบ่อยจนคนรู้สึกเฉย ๆ

แต่ยังไงก็ตามผมยังมองที่หุ้นรายตัวครับ เน้นที่ MOS มาก ๆ ราคาอาจจะไม่ต้องลงมามาก ๆ ก็ได้ครับ เพราะบางครั้งผมก็ดูอ้อม ๆ จากข้อมูลอื่น ๆ เช่น ราคา bid offer หุ้นบางตัวอาจจะไม่ใช่ราคา new low แต่ bid offer น้อย ห่างกันหลายช่อง ไม่ค่อยมีการซื้อขาย ตรงนั้นมันก็พอจะบอกได้อ้อม ๆ ว่าแรงขายมันเบาบางแล้ว หุ้นบางตัวมีอาการแบบนี้ บางครั้งตลาดลงหนักก็อาจจะเห็นได้ว่ามันไม่ค่อยลง หรืออาจจะมีลงแบบคนตกใจทิ้งลงไปไม่กี่ร้อยหุ้นแบบนั้นครับ

เพียงแต่พอเราซื้ออะไรที่ไม่แพงแล้ว ในความเห็นผมก็คือมันต้องมี "ตัวเร่ง" ขึ้น เพราะถ้าไม่มีตัวเร่งมันก็จะอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหนครับ ตัวเร่งบางเรื่องตลาดก็รู้ เพียงแต่ช่วงที่อารมณ์ตลาดไม่ดีเค้าก็มองข้ามกันไปหมด บางครั้งเราก็ต้องกลับมา review ดู

ส่วนตัวเร่งผมเองก็จะมองเป็นหลาย ๆ มิติ ตัวเร่งแบบใช้เวลาสั้นพวกแตกพาร์ แจก W ต้นทุนวัตถุดิบลดจากสินค้าพวกคอมโมฯ ล้างขาดทุนสะสมเตรียมจ่ายปันผล ฯลฯ หรือตัวเร่งแบบใช้ระยะเวลายาว เช่นเปลี่ยนทีมผู้บริหาร มองอีกมิติก็ตัวเร่งที่ไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน เช่นแตกพาร์ กับตัวเร่งที่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน เช่น เพิ่มกำลังการผลิต มีลูกค้ารายใหญ่รายใหม่
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 263

โพสต์

leky เขียน:[*] :D ที่โพสต์ไปข้างบนไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่อยากให้ระวังกันไว้บ้างก็ดีครับ

จริง ๆ มันจะสนุกกว่ามากถ้าเราพูดถึงหุ้นตัวไหนแล้วเขียนข้อดีซักห้าข้อ ข้อเสียซักห้าข้อ :D ตัวเร่งราคาเน้น ๆ แค่ 1-2 ข้อ :D ผมว่าเราดูข้อมูลมากมายจริง ๆ แล้วมันอาจจะต้องการการสรุปเพียงแค่ไม่กี่บรรทัดเท่านั้นเองครับ
ผมก็เห็นด้วยกับส่วนนี้นะครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด เมื่อก่อนในเวบจะถกกันได้ละเอียดกว่านี้ แต่คนข้างนอกที่ภูมิคุ้มกันไม่พอ ซื้อไปแล้วติดดอย ก็ออกไปบอกว่า เจอฤทธิ์ไวตามินๆ(VI tamin) นะสิครับ

เอาเรื่องดีๆมาบ้างละกันครับ แม้ในวิกฤติ แต่ก็ยังมีกำลังซื้อที่พร้อมจะจ่ายเงินให้กับสินค้าที่ต้องใช้

อย่างผมทำธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ ในกลุ่มการเกษตรที่ดูเหมือนมีปัญหา แต่ก็มีคนที่ยังพร้อมจะจ่ายตังค์ ขอให้ของมันใช้ได้จริง แล้วคุ้มค่า ยิ่งเอามาใช้ในการทำงาน หาเงินของเขา ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์

ท้ายสุด ขอบคุณพี่ leky กับมุมมองการหาตัวเร่ง ครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 264

โพสต์

พูดถึงเรื่องตัวเร่งหน่อยครับ ไหน ๆ ก็คุยไปบ้างแล้ว

จริง ๆ คำว่าตัวเร่งมันอยู่ที่ใจเราจะตีความครับ ในความเห็นผมถ้าเป็นแนวหุ้น growth ส่วนใหญ่ตัวเร่งของเค้ามันจะเป็นตัวเร่งที่สัมพันธ์กับพื้นฐานของกิจการและเป็นตัวเร่งที่ต้องใช้เวลา เช่นหุ้น CPALL ถ้าเราดูย้อนหลังมันมีตัวเร่งชัด ๆ อยู่สองช่วง

ช่วงแรก ตอนที่บ.ตัดขายกิจการที่จีน ตัดตัวถ่วงทิ้ง ตอนนั้นหุ้นรับข่าววิ่งขึ้นค่อนข้างแรง อันนี้เป็นตัวเร่งที่สัมพันธ์กับพื้นฐานโดยตรงและมี effect โดยใช้เวลาไม่นานนัก ข่าวออกหุ้นวิ่ง ระยะสั้นบัญชีดีขึ้น

ส่วนตัวเร่งในช่วงที่สองก็เป็นช่วงที่ขยายสาขา ตรงนี้คงต้องมองยาวเพราะกว่าจะเห็นผลมาก ๆ ก็กินเวลาเป็นปี ๆ ตัวเร่งตรงนี้บางคนอาจจะรอไม่ไหว

ส่วนพวกตัวเร่งที่อาจจะไม่สัมพันธ์กับพื้นฐานโดยตรง เช่น พวกแตกพาร์ อะไรพวกนี้ ถ้าเป็นนลท.แนวบัฟเฟตแท้ ๆ หรือแนว Growth ก็อาจจะไม่ชอบมองว่าเป็นการเก็งกำไร ตรงนี้ก็แล้วแต่มุมมองครับ

ตัวอย่างอื่น ๆ ที่พอจะจำได้ เช่น SITHAI กับลูกค้าน้ำดำ, METCO กับลูกค้ารายใหม่, KAMART กับการเปลี่ยนธุรกิจเป็นเครื่องสำอาง, NMG กับการล้างขาดทุนสะสม ปรับโครงสร้างบ.และแนวทางการทำธุรกิจ, SIMAT กับธุรกิจอินเตอร์เน็ต, ธุรกิจยานยนต์กับโครงการรถคันแรก, ERW กับการปรับแนวทางธุรกิจมาเน้นรร.แบบประหยัด, L&E กับเทรดของหลอด LED ฯลฯ :D

บางทีสัญญาณบางอย่างก็ทำให้หุ้นน่าสนใจที่จะเข้าไปดูครับ เช่นการล้างขาดทุนสะสม เพราะมันเหมือนการบอกเป็นนัยว่า บ.อยากจะหลุดพ้นจากวงจรอันเลวร้ายครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 265

โพสต์

leky เขียน:
Nevercry.boy เขียน:LVT ครับ จารย์หมอเล็ก เห็นจารย์หมอ comment อยู่ห้องนั้น
พระเจ้า พูดจริงหรือพูดเล่นครับ ผมเพิ่งหนีออกจากโรงหนังที่กำลังไฟไหม้ เอาตัวเกือบไม่รอด ยังดีที่รอดมาได้ มีรอยถลอกตามตัวเล็กน้อย
จารย์หมอเล็กครับ ขอถามเพิ่มความรู้หน่อยครับ ปัจจัยที่ LVT จะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจไปมีส่วนได้ส่วนเสียในโรงปูนที่ตัวเองก่อสร้างด้วยไม่เป็น "ตัวเร่ง" หรือครับ

หรือมีอะไรที่เป็นปัจจัยลบจนถึงขั้นโรงหนังไฟไหม้ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 266

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:
leky เขียน:
Nevercry.boy เขียน:LVT ครับ จารย์หมอเล็ก เห็นจารย์หมอ comment อยู่ห้องนั้น
พระเจ้า พูดจริงหรือพูดเล่นครับ ผมเพิ่งหนีออกจากโรงหนังที่กำลังไฟไหม้ เอาตัวเกือบไม่รอด ยังดีที่รอดมาได้ มีรอยถลอกตามตัวเล็กน้อย
จารย์หมอเล็กครับ ขอถามเพิ่มความรู้หน่อยครับ ปัจจัยที่ LVT จะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจไปมีส่วนได้ส่วนเสียในโรงปูนที่ตัวเองก่อสร้างด้วยไม่เป็น "ตัวเร่ง" หรือครับ

หรือมีอะไรที่เป็นปัจจัยลบจนถึงขั้นโรงหนังไฟไหม้ครับ
ได้รับความรู้จากจารย์หมอเล็กทางหลังไมค์แล้วครับ ขอบคุณมากครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 267

โพสต์

ต่ออีกหน่อยครับ :D จริง ๆ ผมว่ามันเหมือนจะง่ายนะครับ เรื่องหาตัวเร่ง แต่มันก็ไม่ง่าย ผมยกตัวอย่างเช่น บางเรื่องเช่นพวกแจก W มักไม่มีใครรู้ พอข่าวออก หุ้นวิ่งขึ้น อันนี้มันชัดครับ

แต่บางเรื่องมันก็อยู่ที่เราด้วยว่าจะให้น้ำหนักมากน้อยแค่ไหน เช่น ถ้าเป็นเรื่องเพิ่มกำลังการผลิตมาก ๆ เพิ่มแล้วจะขายของได้มากตามหรือไม่ ถ้าขายไม่ได้มากตามก็อาจจะไม่ใช่ตัวเร่งที่แรง หรือเรื่องขยายสาขา เค้าจะทำได้ตามเป้าจริงหรือไม่ ทำแล้วจะคุ้มหรือไม่คุ้ม ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะครับ

จริง ๆ มันมีกรอบของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะครับ timing นี่ก็สำคัญ ถ้าตัวเร่งกว่าจะเห็นผลใช้เวลา 3-5 ปี เราก็อาจจะต้อง take risk ในช่วงเวลานั้น ความเสี่ยงเรื่องอื่น ๆ ภาวะตลาด เศรษฐกิจ ยังไม่นับว่าพอถึงเวลานั้นแล้ว ตัวเร่งที่เรามองไว้มันทำงานได้จริงหรือไม่ ตัวเร่งที่ต้องใช้เวลานานเกินไปก็ต้องระวังให้ดีครับ ยิ่งถ้าเป็นตัวเร่งประเภท asset play ก็ต้องวางกรอบเวลาให้ดีว่าจะให้ถึงเท่าไหร่ 1 ปี 3 ปี 5 ปี ถ้าไม่ชัวร์ว่าเค้าจะยอมปลดปล่อยก็อาจจะไม่คุ้ม

สุดท้ายถ้าพิจารณาแล้ว

1) MOS ผ่าน
2) มีตัวเร่งที่ชัดเจน โอกาสผิดยาก
3) กรอบเวลาที่จะให้ตัวเร่งทำงานไม่นานจนเสี่ยงเกินไป

ขั้นตอนสุดท้ายผมก็จะ "ให้น้ำหนัก" ว่าจะซื้อหุ้นตัวนั้นเท่าไหร่ 5%, 10%, 15%, 20% ตรงนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อในข้อมูลทั้งหมดว่าตัวเร่งแรงแค่ไหน ความเป็นไปได้แค่ไหน MOS แค่ไหน

หลังจากซื้อไปแล้วก็คอยตรวจสอบ โดยต้องมีกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าจะให้เวลากับหุ้นตัวนั้นแค่ไหน ถ้าถึงจุดหนึ่ง ตัวเร่งไม่ทำงานหรือไม่มีประสิทธิภาพ ก็คงต้องโบกมือลาหุ้นตัวนั้นครับ

อันนี้แชร์ความเห็นส่วนตัวครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 268

โพสต์

เหตุการณ์ที่สร้างราคาหุ้น : วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
Posted by admin in Investment on ก.ค. 24th, 2011

นักลงทุนทุกคนต่างต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ (Abnormal Returns) จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหมั่นศึกษาถึงงบการเงิน งบกระแสเงินสด ภาวะอุตสาหกรรม ความคิดของนักลงทุนสถาบันของหุ้นตัวนั้น เพื่อหาปัจจัยบวก (Drivers) ในการผลักดันราคาหุ้นว่าจะปรับตัวขึ้นเมื่อไรและอย่างไร

Drivers ต่างๆเหล่านี้ จะมาพร้อมกับการปรับมุมมองของการลงทุนให้ดีขึ้น (Upgrade) นำไปสู่การเปลี่ยนคำแนะนำในที่สุด เช่น จากคำแนะนำเดิมจาก “ถือ” (Hold) เป็น “ซื้อ” (Buy) หรือจาก “ซื้อ” เป็น “ซื้ออย่างเต็มที่” (Strong Buy) แต่ Drivers ต่างๆเหล่านี้ จะต้องเป็นสิ่งที่ตลาดไม่ได้คาดหมาย

ถ้านักลงทุนสามารถคาดการณ์เหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ นักลงทุนท่านนั้นก็สามารถมีผลตอบแทนสูงกว่าปกติได้ (Buy before market expectations) เนื่องจากในตอนที่หุ้นตัวนั้นราคาถูกๆ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่มีหุ้นนั้นในพอร์ต จะเป็นสภาพ Under-owned Stocks เมื่อมีข่าวดีแบบไม่ได้คาดหมาย (Unexpected Good News) นักลงทุนจะรุมซื้อ และทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นในที่สุด

ในทางกลับกัน ถ้านักลงทุนได้คาดการณ์เหตุการณ์นั้นแล้ว ซื้อหุ้นเข้าพอร์ตแล้ว หุ้นตัวนั้นจะกลายเป็น สภาพ “Over-owned” คือสภาพที่ทุกคนมีหุ้นตัวนั้นอยู่ในพอร์ต เมื่อข่าวดีออกมา จะถูกเทขายทำกำไรทันที กลายเป็นสภาพ Buy on expectations and sell on facts

ผมได้รวบรวมเหตุการณ์ 13 เหตุการณ์ (จริงๆมีมากกว่านี้มาก) ที่จะเป็นตัวผลักดัน หรือทำให้หุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นในขณะที่ราคายังต่ำอยู่

กรณีที่ 1 : ผลการดำเนินงาน “มากกว่า” คาดหมาย (Results beat market expectations) เช่น หุ้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีตัวหนึ่ง นักวิเคราะห์และนักลงทุนได้คาดการณ์ว่า ผลกำไรในไตรมาส 1 ของปี 2548 ได้กำไรกว่า 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 250 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกันกับไตรมาสเดียวกันนี้แล้ว ซึ่งเป็นผลการเติบโตของกำไรอย่างมหาศาล แต่เมื่อบริษัทได้ประกาศผลการดำเนินงานแล้ว ก็เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาด

แต่ราคาหุ้นตัวนั้นกลับถูกแรงเทขายทำกำไร แสดงว่าการคาดการณ์ผลการประกอบการที่ดีนั้นได้ถูกคาดการณ์และนักลงทุนได้ซื้อหุ้น (Build Position) ไว้แล้ว นักลงทุนกลับมุ่งความสนใจไปในผลการดำเนินงานในไตรมาสถัดไปทันที (Forward Expectation) แต่ในทางกลับกัน ถ้าผลกำไรของบริษัทได้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้มาก หุ้นบริษัทปิโตรเคมีตัวนั้นจะตอบสนองในทางบวกทันที เนื่องจากบรรดานักวิเคราะห์ จะพากันพาเหรดกันปรับผลกำไรขึ้นทันที (Upgrade and Re-rate)

กรณีที่ 2 : งบกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักงบลงทุน (Free Cash Flow) เป็นบวกในไตรมาสแรกหลังจากติดลบมานาน ผมได้ศึกษาเรื่องนี้มา 15 บริษัท พบสิ่งที่น่าสนใจว่า บริษัทใดก็ตามที่มี Free Cash Flow หรืองบกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักงบลงทุนเป็นบวกในไตรมาสแรก หลังจากติดลบมาหลายๆ ปี ราคาหุ้นตัวนั้นจะมีการตอบสนองเป็นบวก และบวกมากๆด้วย

การที่ Free Cash Flow เป็นบวก สะท้อนให้เห็นถึงธุรกิจกำลังฟื้นตัว (Turn Around) เนื่องจากบริษัทได้ผ่านขั้นตอนการลงทุนไปแล้ว และพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุนนั้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เหลือจากการลงทุน สามารถคืนหนี้ได้เร็วขึ้น และจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเร็วขึ้น แต่ถ้า Free Cash Flow ยังคง “ติดลบ” หมายความว่า บริษัทต้องกู้เงินเพิ่ม หรืออาจต้องรบกวนกระเป๋าเงินผู้ถือหุ้นเพิ่มโดยการเพิ่มทุน

เช่นในปี 2546 Free Cash Flow ของ บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น (SAMART) เป็นบวกครั้งแรกในไตรมาส 3 ในรอบหลายปี ประกอบกับบริษัทได้ประสบความสำเร็จ ในการปรับโครงสร้างหนี้ด้วย หนี้ได้ลดลงอย่างมหาศาลในปีนั้น ทำให้ราคาหุ้นของ SAMART ได้ทะยานขึ้นราว 4-5 เท่า ในระยะ เวลา 1 ปี

กรณีที่ 3 : การเปลี่ยนแปลงภาวะอุตสาหกรรม หุ้นจะเป็นไปตามวัฏจักรของอุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply) ซึ่งจะมีผลต่ออำนาจการต่อรอง (Pricing Power) ของผู้ซื้อและผู้ขาย และกระทบต่อกำไร (Margins) ของผู้ขาย

เช่นเมื่อปี 2539 ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ในประเทศไทย มีจำนวนผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Property Development) จำนวนมากกว่า 2,000 ราย แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ จำนวนผู้ประกอบการกลับลดลงเหลือแค่ 100-200 ราย ในขณะที่ความต้องการบ้านถึงแม้จะลดลงแต่การลดลงยังน้อยกว่าจำนวนผู้ประกอบการ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เหลืออยู่ ซึ่งแน่นอนต้องเป็นผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด สามารถกำหนดราคาขายได้

ในช่วงปี 2542-2547 เป็นยุคทองของผู้แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เช่น บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ในกรณีที่ผู้ขายรายอื่นล้มหายตายไป หรืออยู่ในระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ LH กลับสามารถทำกำไรขั้นต้น (Gross Margins) โตถึง 40-45 เปอร์เซ็นต์ แทบจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของวงการสังหาริมทรัพย์

ลักษณะวัฏจักรอุตสาหกรรมแบบนี้เรียกว่า “Oligopoly Business” (อุตสาหกรรมที่มีผู้ประกอบการน้อยราย แต่ผู้ประกอบการสามารถตั้งราคาขายที่มีกำไรสูงได้) ซึ่งอำนาจในการกำหนดราคา (Pricing Power) จะอยู่ที่ผู้ขาย หุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมจะปรับตัวขึ้นอย่างมาก เช่น ราคาหุ้น LH ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 20 บาท (Par 10 บาท) มาเป็น 14 บาท (Par 1 บาท) เนื่องจากกำไรจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เมื่อไรก็ตามที่กำไรมากก็ต้องดึงดูดจำนวนผู้ประกอบการเข้ามามากขึ้น รวมทั้งผู้ประกอบการรายเก่าที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้สินมา มีการลดเงินต้นและลดดอกเบี้ยมากมาย ทำให้ต้นทุนของบริษัทเหล่านี้ถูกลง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีผู้ประกอบการหน้าใหม่และหน้าเก่าเกิดขึ้นแทบจะทุกวันในปี 2546 ถึง 2547 วัฏจักรอุตสาหกรรมเปลี่ยนทันทีจาก Oligopoly เป็นการแข่งขันกันอย่างค่อนข้างดุเดือด (Perfect Competition) ราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มนี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมัน โรงกลั่นโรงสุดท้ายที่สร้างขึ้นในประเทศไทย ซึ่งสร้างเมื่อปี 2538-2539 จากนั้นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ โรงกลั่นไม่ว่าจะดีอย่างไรก็ขาดทุนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ไทยออยล์ (THAI OIL), บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (STAR Refinery) เนื่องจากหนี้เพิ่มขึ้นและความต้องการลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นอุตสาหกรรมที่นักลงทุนหลบเลี่ยงในช่วงนั้น ราคาหนี้ของโรงกลั่นเหล่านี้ถูกเทขายในราคา 25 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าตลาด (ราคาได้ตกต่ำกว่าราคาหนี้มาก) จากนั้นใช้เวลาประมาณเกือบ 8-9 ปี ทำให้กลุ่มโรงกลั่นถึงมีกำไรมากๆถึงปีละกว่า 1 หมื่นล้านบาท ธนาคารที่ซื้อหนี้ของไทยออยล์ ที่ราคา 25-30 เปอร์เซ็นต์ ของราคาหน้าตั๋ว แล้วแปลงหนี้เป็นทุนสามารถทำกำไรมหาศาล

กรณีที่ 4 : การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์หรือแก้ไขสัญญาสัมปทาน เช่น ในกรณี บมจ.ไอทีวี (ITV) เมื่อปี 2547 ที่ได้รับการลดค่าสัมปทานจากที่ต้องจ่ายปีละกว่า 1,000 ล้านบาท มาเป็นจ่ายปีละ 200-300 ล้านบาท หรือการที่บริษัทยูบีซี (UBC) สามารถมีโฆษณาในเคเบิลทีวีได้ ตลอดจนการแก้ไขส่วนแบ่งรายได้ของบริษัท โทรคมนาคมต่างๆ ซึ่งการแก้ไขเหล่านี้ ค่าต้นทุนและการแบ่งรายได้กับภาครัฐลดลง ผลกำไรของบริษัทนั้นเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามีการกลับคืนของสัญญาสัมปทาน ราคาหุ้นก็พร้อมจะปรับตัวลงทันที

กรณีที่ 5 : การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใหม่หรือเป็นมืออาชีพ (Strategic Partner) เช่น ในกรณีที่ บมจ.แมกเนคคอมพ์ พรีซิชั่น (Magnecomp) เข้าซื้อกิจการ บมจ.เค อาร์ พรีซิชั่น (KRP) เมื่อปลายปี 2547 ในอดีต KRP ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์แขนจับหัวอ่าน ในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ขาดทุนมาตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา และต้องมีการเพิ่มทุนอยู่เสมอ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ KRP ไม่สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้

เมื่อแมกเนคคอมพ์ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้เข้าซื้อกิจการของ KRP โดยการออกหุ้น ทำการแลกหุ้น (swap) และเอาโรงงานของแมกเนคคอมพ์ในสิงคโปร์มา ภายในไตรมาสแรกหลังเข้าซื้อกิจการ บริษัท KRP และแมกเนคคอมพ์มีผลการประกอบการที่ดีขึ้น นอกจากนี้ราคาที่แลกหุ้นกัน ทำให้เกิดค่าความนิยม (Good Will) น้อยมาก ทำให้บริษัทแมกเนคคอมพ์ไม่ต้องมีการคิดค่าใช้จ่ายทางด้านความนิยมด้วย หรือในกรณี บมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย (TPI) ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ซึ่งบมจ. ปตท. (PTT) และ “พันธมิตร” ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคาหุ้นละ 3.30 บาท นักลงทุนก็มีความเชื่อว่า หลังจากที่ บมจ.ปตท เข้ามาบริหารงานใน IRPC อาจจะทำให้มูลค่าหุ้นของ IRPC เพิ่มขึ้นกว่ามูลค่าทางบัญชีได้

กรณีที่ 6 : หุ้นที่ได้รับความสนใจภายใต้สภาพเศรษฐกิจภาวะใดภาวะหนึ่ง ในปกติสภาวะเศรษฐกิจจะมีทั้งเงินเฟ้อและเงินฝืด ในสภาวะใดสภาวะหนึ่งของเศรษฐกิจ อาจก่อให้เกิดกระแสเกี่ยวกับการลงทุน (Investment Theme) เกิดขึ้น

เช่น ในภาวะเงินฝืด (Deflation) ซึ่งเป็นสภาวะที่ปริมาณสินค้ามีมากกว่าความต้องการ (Over Capacity) ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจขยายตัวลดลง กำลังซื้อหดอย่างฉับพลัน ผู้บริโภคชะลอการซื้อ ทำให้สินค้าหลายอย่างขายไม่ได้ กระแสการลงทุนในช่วงนี้จะเน้นไปสู่หุ้นกลุ่มที่มีอำนาจผูกขาด (Monopoly) หรือมีอำนาจเหนือผู้บริโภค เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้พลังงาน ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่บางบริษัทมีอำนาจในการผูกขาดหรือเกือบผูกขาดเป็นระยะเวลานาน อำนาจกึ่งผูกขาดนี้อาจมาจากสิทธิมอบให้จากภาครัฐ หรือความที่บริษัทนั้นมีส่วนแบ่งตลาดมหาศาลจนสามารถกำหนดราคาได้ หรือเป็นบริษัทที่กระแสเงินสดแข็งแกร่ง จนกระทั่งการขยายตลาดในอนาคตนำไปสู่การผูกขาดในระยะยาว (Life-long Monopoly) เงินจะไหลไปสู่การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้และจะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ

กรณีที่ 7 : การเป็นบริษัทหายาก (Scarcity) โดยลักษณะผลิตภัณฑ์หรือรายได้ของบริษัทเหล่านี้ต้องไม่เหมือนใครในท้องตลาด (มี Unique and Scarcity) จะมีอุปสงค์ (Demand) สูงทำให้นักลงทุนยินดีที่จะจ่ายราคาแพง (Premiums) เพื่อซื้อหุ้นกลุ่มนี้

P/E Ratio ของหุ้นกลุ่มนี้จะไม่ต่ำ และจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตราบเท่าที่นักลงทุนให้ Premium กับหุ้นกลุ่มนี้ เช่น หุ้นในกลุ่มพลังงานตัวหนึ่ง ทำพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถซื้อขายที่ PE สูงถึง 20-30 เท่าได้ ตราบเท่าที่บริษัทจะมีผลกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ถ้าผลกำไรเติบโตลดลง หุ้นก็มีโอกาสปรับตัวลงได้อย่างมาก

กรณีที่ 8 : หุ้นที่ได้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้และธุรกิจ จนสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์จากการล้มละลาย (Bankruptcy and Distress) จะสังเกตได้ว่าก่อนวิกฤติทางการเงินปี 2540 บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งได้ลงทุนในธุรกิจต่างๆ นอกเหนือจากธุรกิจที่ตัวเองทำและถนัดอยู่ โดยมีความคิดว่าการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ (Diversified) ถือว่าเป็นบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ไกล (High Vision) และสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้ โดยที่ตัวเองไม่มีความชำนาญ

การลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเป็นผู้ถือร่วมในลักษณะการร่วมทุน (Joint Ventures) ในอัตราส่วน 20-25 เปอร์เซ็นต์ โดยหวังจะได้ผลกำไร (Equity Accounting) มาช่วยผลกำไรบริษัทแม่ โดยมิได้สนใจว่าบริษัทร่วมทุนนั้นจะมีเงินปันผลหรือไม่ เพื่อต้องการให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทแม่ดูดี เพื่อจะได้ P/E ที่ต่ำ หรืออาจจะจัดตั้งในรูปแบบบริษัท Holding Company ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งในขณะนี้ใช้โครงสร้างแบบนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยงของรายได้

บริษัทก่อสร้างใหญ่ๆ ก็มักทำโครงสร้างแบบร่วมทุนโครงการต่างๆเพื่อการประมูลงาน หรือเข้าไปถือในบริษัทซัพพลายเออร์ โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่มักเป็นเงินกู้ เมื่อเศรษฐกิจถดถอย กระแสเงินสดในบริษัทร่วมทุนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะชำระดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทแม่ที่ยืมมาร่วมทุนได้ ทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ มีการลดเงินต้นและลดดอกเบี้ย (Hair cut) ทำให้มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้น และมีการขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลัก (Non-core Assets) เช่น บริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดของไทย ซึ่งแน่นอนว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นจะทรุดหนัก แต่นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงเป็นพิเศษ ต้องหาจังหวะลงทุนในช่วง “ราคาที่ถูกทุบลงมา” (Distress) โดยที่เราต้องศึกษาและมั่นใจว่า บริษัทนั้นต้องไม่ถูก “ลดทุน” หรือถูก Written off ในส่วนของทุนจดทะเบียนจนหมด ผมเคยแนะนำให้ “เฮดจ์ฟันด์” ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ผลตอบแทน 14 เท่า ในรอบ 2 ปี

กรณีที่ 9 : การนำบริษัทลูก (Subsidiary) หรือบริษัทร่วม (Associates) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าให้บริษัทแม่ เพราะบริษัทแม่สามารถมี “กำไรที่ยังไม่รับรู้” (Unrealized Gains) เนื่องจากเป็นมูลค่าซ่อนเร้น ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทแม่เพิ่มขึ้น ถ้ามูลค่าของบริษัทลูกหรือบริษัทร่วมอยู่ในงบดุลของบริษัทแม่ มูลค่าเหล่านั้นจะถูกบันทึกเป็นมูลค่าทางบัญชีเท่านั้น แต่ถ้าบริษัทลูกและบริษัทร่วมนั้นถูกจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่านั้นจะเป็น “มูลค่าตลาดทันที” (Market value) ซึ่งโดยเฉลี่ยจะมีมูลค่าประมาณ 2-3 เท่าของมูลค่าทางบัญชี

บริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทที่ได้ใช้กลยุทธ์ดังกล่าว เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถค้นหาได้ว่า บริษัทไหนมีมูลค่าซ่อนเร้นอยู่โดยการเปลี่ยนจากมูลค่าทางบัญชีเป็นมูลค่าตลาด เราก็ลงทุนหุ้นตัวนั้นล่วงหน้าก่อน ก่อนที่คนทั่วไปจะค้นพบ

กรณีที่ 10 : บริษัทที่มีโครงสร้างทางการเงินหรือธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อการควบรวมกิจการ (Merger and Acquisitions) การควบรวมกิจการจะเกิดขึ้นได้ ถ้าบริษัทที่ต้องการซื้อ (Acquirers) เห็นประโยชน์ที่ “ซ่อนเร้น” (Hidden) หรือไม่ซ่อนเร้นในกิจการที่บริษัทกำลังถูกซื้อหรือ “ควบรวมกิจการ” (Takeover Target) ทำให้เกิดการเก็งกำไรได้ บริษัทที่มีโอกาสถูกควบรวมกิจการ มักมีลักษณะ

ก.เป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์ (Assets) , ที่ดิน (Land Bank) หรือใบอนุญาต (Licenses) ที่ซ่อนอยู่มหาศาล จนกระทั่งมูลค่าของสินทรัพย์เหล่านั้น มีมูลค่ามากกว่ามูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัท (Market Capitalization) หรือมากกว่ามูลค่ากิจการทั้งหมดของบริษัท (Enterprise Value) อย่าลืมว่า Enterprise Value จะมีค่าเท่ากับมูลค่า หนี้สินสุทธิ + มูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัท ซึ่งโดยปกติมูลค่า Enterprise value จะมีค่ามากกว่ามาร์เก็ตแคปเสมอ ยกเว้นในกรณีที่บริษัทนั้นเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้หรือมีเงินสดในมือ

ข.บริษัทที่ขาดทุนสะสมมากจนสามารถนำ “ขาดทุนสะสม” (Loss Carried Foreword) มาใช้ในการหักภาษีได้

ค.มีเงินสดในมือมากกว่ามาร์เก็ตแคป จะเห็นว่า บางช่วงขณะ ราคาหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์บางบริษัทได้ตกลงมามาก จนกระทั่งมูลค่าเงินสดในงบดุลมากกว่ามาร์เก็ตแคปเสียอีก ทำให้เป็นโอกาสในการถูกซื้อกิจการเพื่อเอาเงินสดในบริษัทได้

ง.การควบรวมกิจการในลักษณะแนวดิ่ง (Vertical Integration) ซึ่งสามารถทำได้ทั้งทางขึ้นหรือต้นน้ำ (Upward) และทางลงหรือปลายน้ำ (Downward) เช่น บมจ.ปิโตรเคมีแห่งชาติ หรือ NPC มีความพยายามที่จะ ขยายกิจการไปทางปลายน้ำ เพื่อลดความผันผวนของกำไรและราคาผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิตอยู่ หรือกรณีกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดโอกาสให้ทำธนาคารเต็มรูปแบบ (Universal Banking) ทำให้ธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้ต้องการต่อยอดธุรกิจสินเชื่อประเภทเช่าซื้อ หรือ Leasing ที่ตัวเองยังไม่มีความถนัด กลุ่มบริษัท Leasing หรือสถาบันการเงินที่จะเป็นเป้าหมายในการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ บริษัทที่ถูกเข้าซื้อจะมีลักษณะทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงในอัตราส่วนที่สูงหรือกองทุนขั้น 1 เช่น ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ โดยปกติ สถาบันการเงินถ้ามีทุน 10 บาท สามารถขยายสินเชื่อได้ 10-12 เท่า หรือ 100 บาท หรือ 120 บาท ถ้ามี “อัตราส่วนกองทุนขั้นที่หนึ่งสูง” หมายความว่า สถาบันการเงินนั้นสามารถขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มทุน

นอกจากนี้การควบรวมอาจจะควบรวมกิจการทางแนวราบ (Horizontal Integration) เพื่อลดจำนวนคู่แข่งหรือสกัดดาวรุ่งก็ได้ เช่น การควบรวมกิจการระหว่างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) กับ อีจีวี (EGV) แต่การควบรวมกิจการแบบนี้อาจก่อให้เกิดค่า “กู๊ดวิลล์” (Good will หรือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อขายกับ มูลค่าทางบัญชี) และจะทำให้บริษัทที่เป็นบริษัทแม่ (Acquirers) มีกำไรที่ลดลงจากการตัดค่าใช้จ่ายทางกู๊ดวิลล์ ได้ แต่ถ้าการควบรวมกิจการเป็นไปในลักษณะการเกิดบริษัทใหม่ หรือ Amalgamation เช่นกรณี บมจ.ปิโตรเคมี แห่งชาติ (NP) กับ บมจ.ไทยโอเลฟินส์ (TOC) การรวมลักษณะนี้ทำให้ บมจ.การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สามารถมีสิทธิในการออกเสียงได้ ตลอดจนนำไปสู่การลดสัดส่วนการถือหุ้นของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น บมจ.ไทยโอเลฟินส์ ได้

เหมือนสมัยหนึ่งนานมาแล้ว บริษัทเคเบิลทีวี 2 แห่งในประเทศไทย เช่น ยูทีวี กับ ไอบีซี รวมกันเกิดบริษัท ใหม่เป็น “ยูบีซี” แต่ถ้าการควบรวมแบบซื้อกิจการเลยเหมือนในกรณีเมเจอร์ ผู้ถือรายใหญ่จะไม่มีสิทธิในการออก เสียง

กรณีที่ 11 : การเพิ่มทุนแต่กลับทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นและทำให้หุ้นปรับตัวขึ้น เช่น กรณีบมจ.อาปิโก ไฮเทค (AH) ที่มีการเพิ่มทุนในปี 2546 และการเพิ่มทุนนี้ทำให้ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Assets) หลังเพิ่มทุนสูงขึ้น

กรณีที่ 12 : การที่บริษัทสามารถเริ่มจ่ายเงินปันผลให้เป็นครั้งแรก (Dividend Signaling) ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ราคาหุ้นจะตอบสนองในทางบวกทันที เช่น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น (SHIN) เริ่มจ่ายปันผลในปี 2546 หลังจากเป็น Holding company ที่ไม่จ่ายปันผลเสียนาน ราคาหุ้น SHIN ก็เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อมา

กรณีที่ 13 : การที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าสร้างใหม่ (Replacement Cost) มาก ซึ่งจะทำให้หุ้นของบริษัทนั้นมีการปรับตัวขึ้นมาก เช่น HMPRO (เมื่อกลางปี 2547) TPI (เมื่อกลางปี 2547 เช่นกัน) รายละเอียดในเรื่องนี้ ผมจะขยายความต่อไป เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะเราสามารถหาหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นสูงเป็น ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ราคายังต่ำอยู่

ส่วนหนึ่งจากหนังสือ Money Game โดย วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
"Become a risk taker, not a risk maker"
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 269

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:
Nevercry.boy เขียน:
leky เขียน:
Nevercry.boy เขียน:LVT ครับ จารย์หมอเล็ก เห็นจารย์หมอ comment อยู่ห้องนั้น
พระเจ้า พูดจริงหรือพูดเล่นครับ ผมเพิ่งหนีออกจากโรงหนังที่กำลังไฟไหม้ เอาตัวเกือบไม่รอด ยังดีที่รอดมาได้ มีรอยถลอกตามตัวเล็กน้อย
จารย์หมอเล็กครับ ขอถามเพิ่มความรู้หน่อยครับ ปัจจัยที่ LVT จะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจไปมีส่วนได้ส่วนเสียในโรงปูนที่ตัวเองก่อสร้างด้วยไม่เป็น "ตัวเร่ง" หรือครับ

หรือมีอะไรที่เป็นปัจจัยลบจนถึงขั้นโรงหนังไฟไหม้ครับ
ได้รับความรู้จากจารย์หมอเล็กทางหลังไมค์แล้วครับ ขอบคุณมากครับ

พี่nb พี่ leky บอกผมบ้างสิครับ ผมก็สนใจตัวนี้อยู่เหมือนกัน :B
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
maymekung
Verified User
โพสต์: 217
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 270

โพสต์

หาดใหญ่เรามี วีไอมากมายจริงๆครับ นับถือๆ :bow:
Freedom