หน้า 9 จากทั้งหมด 14
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 02, 2009 10:53 pm
โดย miracle
คปภ.เข้มสั่งทำแผนประกันภัยต่อ
วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
คปภ.คุมเข้มงานประกันต่อ ให้บริษัทวินาศภัย-ชีวิตต้องทำแผนกลยุทธ์เสนอ
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้คปภ. ได้จัดทำร่างประกาศคปภ. เรื่องการประกันต่อของบริษัทประกันชีวิตและของบริษัทประกันวินาศภัยเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคาดว่ามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2553 เพื่อให้การใช้การประกันต่อเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง
สำหรับร่างประกาศดังกล่าวกำหนดให้บริษัทประกันต้องจัดทำกลยุทธ์การบริหารการประกันต่อเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารการประกันต่อ โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัท และเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการบริหารความเสี่ยงของบริษัท ตามประกาศคปภ.
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า บริษัทยังต้องมีกรอบการบริหารการประกันต่อ เพื่อบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการทำประกันต่อ โดยมีการบริหารงานที่รอบคอบและพิจารณาถึงขนาดของภัย ประเภทธุรกิจ ความซับซ้อนในการดำเนินงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ทั้งนี้ กลยุทธ์บริหารการประกันต่อ บริษัทต้องกำหนดวัตถุประสงค์และกลยุทธ์สำหรับการบริหารและควบคุมการประกันต่อ โดยสะท้อนถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมทั้งระบุถึงส่วนประกอบที่สำคัญของนโยบายและขั้นตอนการดำเนินงาน กระบวนการและการควบคุม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการบริหารการประกันต่อของบริษัท โดยกำหนดให้บริษัทส่งแผนกลยุทธ์ครั้งแรกภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2553 และให้ส่งทุกๆ 3 ปี นับแต่วันที่ส่งแผนกลยุทธ์ครั้งแรก
นอกจากนี้ ร่างดังกล่าวยังห้ามไม่ให้บริษัทประกันทำสัญญาประกันต่อที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง คือไม่ว่าจะเรียกชื่อการประกันต่อแบบจำกัด การประกันต่อทางการเงิน การโอนความเสี่ยงที่จำกัดหรือเรียกชื่ออื่นใด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคปภ. ส่วนบทลงโทษนั้น หากคปภ.เห็นว่าการกระทำประกันต่อที่บริษัททำขึ้นไม่เป็นไปตามหลักการประกันภัยที่ดีหรือไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการบิดเบือนฐานะการเงินที่แท้จริงของบริษัท ส่งผลให้การแสดงฐานะการเงินของบริษัทต่อคปภ. ผู้เอาประกันและผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ไม่ถูกต้อง ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันหรือประชาชน ให้คณะกรรมการคปภ. มีอำนาจสั่งให้บริษัทนั้นแก้ไขหรือดำเนินการอื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด
http://www.posttoday.com/finance.php?id=74312
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 03, 2009 7:41 pm
โดย miracle
วิกฤตโลกดันประกันบำนาญรุ่ง
วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ประกันโลกมองวิกฤตการเงินทำประกันบำนาญ-ยูนิตลิงก์มาแรง ลูกค้าหันมาออมเงินระยะยาว
นายจอห์น ลี ผู้อำนวยการ Pacific Insurance Conference (PIC) เปิดเผยว่า แม้วิกฤตการเงินทั่วโลกจะเกิดมาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว แต่แนวโน้มโดยทั่วไปก็ยังไม่พ้นวิกฤต โดยในยุโรปมองว่าจะเป็นการฟื้นตัวแบบตัวแอล ขณะที่ในสหรัฐจะฟื้นตัวแบบตัวยู ส่วนในเอเชียจะฟื้นตัวเร็วที่สุดแบบตัววี จึงส่งผลกับพฤติกรรมของผู้บริโภคให้เปลี่ยนไปในทางที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น และคงหันมามองเรื่องการวางแผนออมเงินเพื่อรองรับวัยเกษียณแทน ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตก็จะเข้าไปรองรับในส่วนนี้ได้
นายโรเบิร์ต สตีล หุ้นส่วนบริษัท Earl & Young ในฐานะผู้นำทางด้านบริการคณิตศาสตร์ประกันภัย กล่าวว่า การเติบโตตลาดประกันยุโรปและสหรัฐในช่วงนี้การขยายตัวจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่ตลาดประกันเอเชียจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า ถึงแม้ว่าแบบประกันบางชนิด เช่น ยูนิตลิงก์ ที่พ่วงติดกับดัชนีตลาดหุ้น จะนำไปสู่ภาวการณ์ที่บริษัทประกันต้องปรับรูปแบบและราคาสินค้าที่มีอยู่ในขณะนี้ รวมถึงยุทธศาสตร์ทางด้านการตลาดด้วย อีกทั้งหลายประเทศในเอเชียยังมีข้อจำกัดหลายด้านในการทำธุรกิจค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็น ข้อจำกัดของทางเลือกทางด้านการลงทุน นอกจากนั้นภาระด้านหนี้สินของรัฐและปริมาณเงินฝากในธนาคารก็ไม่สามารถสนับสนุนผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตระยะยาวได้
นายวิคเตอร์ แอ๊ปส์ ผู้อำนวยการอาวุโส Pacific Insurance Conference (PIC) กล่าวว่า ผลจากวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นทำให้แต่ละบริษัทประกันชีวิตต้องมีการประเมินและกำหนดทิศทางในการทำธุรกิจใหม่ เพราะสินทรัพย์ที่แต่ละบริษัท ถืออยู่อาจมีมูลค่าลดลง ที่สำคัญ ด้านหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการรับประกันผลประโยชน์ให้กับผู้เอาประกันไม่สามารถทำได้ตามที่สัญญาไว้
นายเมล ก๊อตเลียบ ประธานบริหาร Pacific Insurance Conference (PIC) กล่าวว่า ตลาดที่สำคัญต่อไปจะเป็นตลาดประกันชีวิตสำหรับรากหญ้า โดยเฉพาะในไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
นายสตีเฟ่น บินเดอร์ กรรมการบริษัท MaKinsey & Company สำนักงานใหญ่ เซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดประกันภัยในเอเชีย จากปัจจัยความเจริญทางเศรษฐกิจขยายสู่เมืองใหญ่ระดับ 2 ระดับ 3 มากขึ้น และอัตราการขยายตัวของประชากรเอเชียจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 354 ล้านคนจากปี 25512563 ส่งผลให้ธุรกิจประกันภัยในเอเชียจะเติบโตและแข็งแกร่งมากกว่าในยุโรปและสหรัฐ
ทั้งนี้ โดยเฉพาะในช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านธนาคารหรือแบงก์แอสชัวรันส์ที่เติบโตในทุกตลาด โดยเฉพาะในจีน มีสัดส่วนประมาณ 45-50% ของรายได้เบี้ยรวมในปี 2551 และช่องทางเทเลมาร์เก็ตติงมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากประกันชีวิตจะกลายเป็นช่องทางการออมเงินและการลงทุนที่คนนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนชาวเอเชีย
http://www.posttoday.com/finance.php?id=74442
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 03, 2009 7:42 pm
โดย miracle
เพิ่มลดหย่อนภาษี หนุนประกันชีวิต
วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
กระทรวงการคลังเดินหน้าหนุนคนไทยทำประกันชีวิต 50%ของประชากรทั้งหมด
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายผลักดันให้คนไทยหันมาทำประกันชีวิตมากขึ้นในสัดส่วนประมาณ 50% หรือประมาณ 30 ล้านคน จากจำนวนประชากรที่มี อยู่ทั้งหมดประมาณ 60 ล้านคน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายส่งเสริมการออมเงินของกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมธุรกิจประกันชีวิตที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สมาคมประกันชีวิตและสมาคมประกันวินาศภัยเสนอเรื่องมานั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมสรรพากรว่าหากมีการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมให้ จะส่งผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาไม่นาน
ปัจจุบันลูกค้าสามารถนำเบี้ยประกันด้านการออมไม่เกิน 1 แสนบาท หักลดหย่อนภาษี ขณะที่ประกันด้านสุขภาพหักค่าลดหย่อนไม่เกิน 5 หมื่นบาท
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีคนไทยที่ทำประกันชีวิตเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 22.5% แต่คาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 25% และประเมินว่าสิ้นปีหน้าจะเพิ่มเป็น 30% ซึ่งสาเหตุหลักก็เนื่องมาจากคนไทยมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น และการเข้าถึงประกันชีวิตผ่านช่อง ทางขายต่างๆ ก็มีเพิ่มขึ้น และ หากในอนาคตผู้ทำประกันชีวิต ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เพิ่มขึ้น ก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นภาคการออมของคนไทยผ่านประกันชีวิตได้อีก
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญเรื่องความมั่นคงของธุรกิจประกันชีวิตนั้น ขณะนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร และภายในปี 2554 ก็จะมีการนำเรื่องเกณฑ์ดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงหรืออาร์บีซีมาใช้ ซึ่งการทดสอบเบื้องต้นสำหรับทุกบริษัทประกันชีวิตโดยแบ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ก็ผ่านเกณฑ์อาร์บีซีหมด
อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมประกันชีวิตได้เสนอเรื่องให้คปภ.พิจารณาเพิ่มเติมว่า การใช้เกณฑ์คิดคำนวณอาร์บีซีนั้น ทางคปภ.ควรมีการพิจารณาในแง่ของความเป็นไปได้ในการแข่งขันทางธุรกิจด้วย ซึ่งการเริ่มบังคับใช้นั้นก็อาจเป็นลักษณะแบบขั้นบันไดหรือค่อยเป็นค่อยไปก็ได้
http://www.posttoday.com/finance.php?id=74443
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2009 1:11 pm
โดย miracle
สศค.หนุนลดภาษีธุรกิจประกัน
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สศค.ไฟเขียวประกันเพิ่มสิทธิหย่อนลดภาษี กระตุ้นการออมเพิ่ม รับสังคมผู้สูงอายุในอีก 20 ปีข้างหน้า
แหล่งข่าวจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สศค.กำลังอยู่ระหว่างหารือร่วมกับกรมสรรพากรถึงเรื่องการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ให้กับธุรกิจประกันชีวิตตามที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสมาคมประกันชีวิตไทยเสนอเรื่องมาเพื่อ ให้ได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ก่อนที่ จะเสนอเรื่องให้รมว.คลังเป็นผู้พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนของกรมสรรพากรคงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพราะเกี่ยวกับโครงสร้างภาษีและรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ต้องหายไปส่วนหนึ่งด้วย หากอนุมัติให้ตามที่คปภ.เสนอเรื่องมา
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสศค.คงต้องพิจารณาถึงปัญหาทางสังคมที่จะเกิดขึ้นกับคนไทยในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้าด้วย เพราะแนวโน้มครอบครัวคนไทยจะเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น และส่งผลให้เกิดสังคม ผู้สูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียวมากขึ้น
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นให้เกิดการออมมากขึ้นกว่านี้ เพื่อรองรับวัยเกษียณตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันหากรัฐบาลไม่ทำอะไรเลย หรือมีมาตรการอะไรออกมารองรับ ในอนาคตก็จะเป็นภาระกับรัฐบาลอย่างมากในการที่ต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมาก เพื่อมาดูแลผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งหากสนับสนุนให้เกิดการออมตั้งแต่ยังอยู่ในวัยทำงาน แม้รัฐบาลอาจเสียรายได้จากภาษีไปส่วนหนึ่งในปัจจุบัน แต่ก็อาจเป็นการลดภาระเรื่องงบประมาณที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมากในอนาคตเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
นายแกรี เวนย์ เด็นสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ซิกน่า ประกันภัย กล่าวว่า จากการหารือกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ก็ได้เสนอแนวคิดว่า ควรให้ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) และประกันสุขภาพในสิทธิลดหย่อนภาษีด้วย เพราะเป็นแบบประกันที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายกว่า และสามารถดูแลตัวเองได้ เนื่องจากมีเบี้ยต่อปีไม่แพงมากนัก
http://www.posttoday.com/finance.php?id=74791
-----------------------------------------------------------------
by the way
พี่ chaitorn ไปงานจิบเบียร์ไหมครับ
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 08, 2009 11:13 pm
โดย miracle
ขายประกันวันละ27สต.
วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
โพสต์ทูเดย์ อาคเนย์จับมือเอไอเอสขายประกันพีเอวันละ 27 สตางค์ ผ่านโทรศัพท์มือถือ ตั้งเป้าปีแรกกวาด 7 แสนราย
นายโชติพัฒน์ พีชานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาคเนย์ประกันภัย เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส เพื่อขายประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือพีเอ อาคเนย์ PA 99 ผ่านทางโทรศัพท์มือถือก่อน โดยลูกค้าจะเสียเบี้ยแค่วันละ 0.27 บาท
นายโชติพัฒน์ กล่าวว่า กรมธรรม์นี้ดำเนินการภายใต้รายการส่งเสริมการขาย ปลดห่วงง่ายๆ ได้สองเท่า โดยลูกค้าจะเสียค่าเบี้ยเพียงปีละ 99 บาท หรือวันละ 0.27 บาทเท่านั้น แต่ได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 2 แสนบาท แต่ต้องขึ้นกับระยะเวลาที่ลูกค้าใช้บริการโทรศัพท์มือถือด้วย โดยตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2553 บริษัทได้จัดแคมเปญฟรีให้กับลูกค้าเอไอเอสได้รับกรมธรรม์ฟรีวันละ 1,000 ราย รวมเป็น 1 แสนราย
ผู้บริหารบริษัท อาคเนย์ประกันภัย กล่าวว่า จะทำให้บริษัทมีช่องทางสามารถต่อยอดธุรกิจได้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านประกันวินาศภัย ประกันชีวิต บริษัทเช่าใช้รถ หรือแม้แต่กลุ่มทีซีซี กรุ๊ปด้วย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของอาคเนย์ฯ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่
บริษัท อาคเนย์ฯ คาดว่าหลังจากนี้อีก 1 ปีจะได้ลูกค้าเพิ่มอีก 78 แสนราย และเมื่อจับลูกค้ากลุ่มนี้ได้ก็สามารถต่อยอดขายประกันประเภทอื่นได้อีก เช่น ประกัน พ.ร.บ. และประกันชีวิต โดยจะเริ่มต้นจากกลุ่มลูกค้าที่เสียค่าบริการรายเดือน 2.8 ล้านเลขหมาย ก่อนที่จะขยายไปยังฐานลูกค้าของเอไอเอส 27 ล้านเลขหมาย
http://www.posttoday.com/finance.php?id=75009
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 09, 2009 1:18 pm
โดย นักดูดาว
ถึงแม้ว่าแบบประกันบางชนิด เช่น ยูนิตลิงก์ ที่พ่วงติดกับดัชนีตลาดหุ้น
วันก่อนว่าจะมาคุยเรื่อง Unit Linked แล้วลืมไปนาน
ผมได้ไปฟังอบรมเรื่องนี้มา ขอเอามาแนะนำตรงนี้ก็แล้วกันครับ
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ประกันชีวิตออมทรัพย์แบบดั้งเดิม ที่เราทำๆกันอยู่เนี่ย มีข้อจำกัดอยู่อย่างหนึ่ง คือผลตอบแทนต่ำ เพียง 2-3% และเป็นที่แน่นอนว่าระดับนี้แพ้เงินเฟ้อ ทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงของประกันชีวิตออมทรัพย์บางแบบนั้นต่ำเกินไป ...การโฆษณาว่าเป็นการออมเพื่อการศึกษาบุตร หรือเพือการเกษียณในระยะยาวๆนั้น ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ครบถ้วน... นี่คือเหตุที่หลายคนไม่ทำประกันชีวิต แต่เก็บเงินไว้ในธนาคารหรือลงทุน
อีกประเด็นก็เป็นเรื่องสภาพคล่องของเงินทุน ซึ่งเราไม่สามารถถอนมูลค่าเงินสดออกมาใช้ได้อย่างที่ต้องการ แต่เราต้องกู้หรือเวนคืน(ปิด)กรมธรรม์เพื่อดึงเงินออกมายามฉุกเฉิน
หากเรามาเน้นที่การออมและการลงทุนนั้นไม่มีความคุ้มครองชีวิตให้ ในเวลาที่มีเงินทุนน้อยๆ แต่เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นในชีวิต ก็ทำให้ครอบครัวที่ไว้วางใจเราให้เป็นผู้ลงทุนเกิดความยากลำบากในการเงินทันที ส่วนเรืองการจัดการทรัพย์และมรดกนั้นต้องใช้เวลานานครับ
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 09, 2009 8:07 pm
โดย นักดูดาว
นอกจากนั้น ผู้ลงทุนในกองทุนคงจะทราบดีกว่า บลจ.ที่บริหารจัดการกองทุนนั้น ไม่มีการดูแลผู้ลงทุนในแง่ของการบริหารเงินเท่าที่ควร จะซื้อกองทุนไหน จะขายเมื่อไหร่ก็ไม่มีระบบ เพราะกองทุนนั้นต้องการรักษาค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับต่ำ
unit linked ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่กล่าวไปข้างต้น ก็คือผลตอบแทนต่ำๆของประกันออมทรัพย์ และการปล่อยปะละเลยให้ลงทุนตามมีตามเกิดของกองทุนโดยไม่มีหลักประกัน จึงสร้าง unit linked เป็นระบบการลงทุนขึ้นมา โดยแบ่งเงินจำนวนเล็กน้อยไปเป็นค่าประกันชีวิต และเงินส่วนที่เหลือเข้าสู่การลงทุนในกองทุนรวม โดยตัวแทนที่ทำหน้าที่ดูแลลูกค้าจะต้องมีความรู้ทั้งประกันชีวิต การจัดสรรเงิน และการลงทุน บางบริษัทจะเรียกว่าเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน หรือบ้างก็เรียก Wealth management ครับ
อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันชีวิตและบลจ. ที่ยังไม่มีความพร้อมในเรื่อง Unit linked ก็อาจจะมี Package แนะนำให้คุณอย่างเช่น ประกันชีวิตพร้อมกองทุนรวม แต่สิ่งที่ได้ต่างกับ unit linked เยอะครับ เพราะเงินที่ลงทุนของ Package แบบนี้ แยกกันเด็ดขาด ความคล่องตัวและผลตอบแทนสู้แบบ unit linked ไม่ได้ครับ
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 09, 2009 10:39 pm
โดย miracle
ผมมีคำถามข้องใจเรื่องเดียวว่า
แล้วในเมื่อ เราเลือกสารตราแห่งทุนที่เราถือไม่ได้
แบบนี้ให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญถือ แบบนั้นมันเหมือนเหตุการณ์เมื่อต้นปีที่เหล่าข้าราชการออกมาโวยวายหรือเข้าเรียกร้องให้พิจารณาการดำเนินการกองทุนและผู้จัดการกองทุนหรือไม่
มีแต่ขายแต่ไม่ได้บอกว่า ป้องกันอย่างไง
มันเป็นของใหม่ตลาดก็เน้นแต่บอกไม่ครบว่า
ค่าบริหาร unit link คิดอย่างไง แยกออกจากเงินที่ส่งเอาอย่างไง
ถ้าคิดรวมแล้ว ผลตอบแทนจริงๆ มันเท่าไรเมื่อ หักพวก ค่าบริหารและค่าจิปาถะแล้ว
ผมไม่ได้โจมตรี แต่ผมมองเป็นกลางว่า มันเกิดได้แต่ต้องให้ความรู้และสิ่งที่เกิดมาอดีต มาเป็นบทเรียน
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 09, 2009 10:47 pm
โดย miracle
ลืมขอบคุณพี่นักดูดาว
ผมเสนอว่า
link unit จริงควรทำตัวเหมือน กองทุนผสม
โดยที่ให้เราเจ้าของกรมธรรม์สามารถเลือกได้ว่า ตอนนี้
unit ที่เราซื้อนั้นเป็นพวกตราสารแห่งหนี้หรือตราสารแห่งทุน
เพื่อผลประโยชน์สูงที่สุด
แทนที่ กระจุกตัวในด้านใดด้านหนึ่ง คือ ด้านตราสารแห่งทุน ด้านเดียวหรือตราสารแห่งหนี้อย่างเดียว
ทุกอย่างนั้นเป็นไปได้แต่ต้องใช้เวลานานมากๆๆ
unit link เกิดมาหลายสิบปีแล้ว แต่ตอนนี้มันเริ่มเป็นกระแสที่พูดกันมา
เพราะประชาชนเริ่มมีความรู้เรื่องตราสารแห่งทุนเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 09, 2009 11:47 pm
โดย นักดูดาว
ใช่แล้วครับ เหมือนกองทุนผสม มีกองทุนหุ้น กองทุนยืดหยุ่น กองทุนตราสารหนี้ และตลาดเงินให้เลือกเพื่อใช้บริหารเงินครับ ถ้าหุ้นตก ก็ย้ายเงินมาหลบที่ตราสารหนี้หรือตลาดเงินได้ ถ้ากำไรพอใจแล้วใช้เทคนิคคลายเครียดเรโช ถอนเงินต้นทุนออกไปก็สบายใจดี
ขอให้มีเงินพอให้กรมธรรม์ทำงานต่อไปก็พอครับ
เหตุที่เกิด unit linked ในเวลานี้ก็น่าจะถูกที่ถูกเวลา ธุรกิจกองทุนรวมในบ้านเราเพิ่งจะมาพัฒนาอย่างมีคุณภาพก็ในยุคหลังๆนี่เองนะครับ กองทุนในยุคก่อนๆ นั่นดูไม่จืดเลยครับ กองทุนเก่าๆที่ขาดทุนกัน 70%-80% หากมี unit linked ไปต่อเชื่อมกองทุนพวกนั้น ป่านนี้ธุรกิจประกันชีวิตคงจะแย่ไปด้วย แต่กองทุนยุคใหม่ๆมีการลงทุนที่ดีขึ้น บางกองใช้หลัก value investing ในการบริหารได้อย่างดีครับ
ขอเว้นเรื่องค่าใช้จ่าย ผลตอบแทน และรายละเอียดไว้ก่อนนะครับ เพราะจะต้องเข้าสู่รายละเอียดของตัวสินค้าเฉพาะของบริษัทที่ผมทำอยู่ (ย้ายจากบริษัทเดิมแล้วครับ) ในกระทู้นี้ถือว่าแลกเปลี่ยนเป็นความรู้่ความคิดเห็นทั่วไปก็แล้วกันครับ ไว้มีโอกาสที่สะดวกกว่านี้จะคุยในรายละเอียดให้ฟังครับ
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 10, 2009 1:02 am
โดย miracle
ขอบคุณพี่นักดูดาวเพิ่มเติมครับ
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 10, 2009 11:45 am
โดย miracle
http://www.posttoday.com/finance.php?id=75512
เบี้ยประกันชีวิตพุ่ง1.87แสนล.
วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ประกันชีวิตแรงไม่หยุด 9 เดือนเบี้ยรับรวมทั้งระบบโตเกินเป้ายืนที่ 18% เม็ดเงินสะพัด 1.87 แสนล้านบาท
นางบุษรา อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตงวด 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 2552 มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก โดยเบี้ยประกันชีวิตรับรวม มีทั้งสิ้น 1.87 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.83 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18%
ทั้งนี้ แยกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับปีแรก หรือเบี้ยลูกค้ารายใหม่ 4.13 หมื่นล้านบาท มีอัตราการเติบโต 26% เบี้ยประกันชีวิตรับจ่ายครั้งเดียว 2.29 หมื่นล้านบาท เติบโต 36% และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไป หรือเบี้ยต่ออายุของลูกค้าเก่า 1.23 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% โดยมีอัตราความคงอยู่ของลูกค้าเก่าอยู่ที่ 87% เป็นการเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี)
สำหรับบริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมสูงสุด 5 อันดับแรก คือ อันดับที่ 1 บริษัท อเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนลแอสชัวร์รันส์ หรือเอไอเอ สาขาประเทศไทย จำนวน 6.1 หมื่นล้านบาท มีสัดส่วนการตลาด 33% อันดับที่ 2 บริษัท ไทยประกันชีวิต 2.62 หมื่นล้านบาท มีสัดส่วนการตลาด 14% อันดับ ที่ 3 บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต 1.58 หมื่นล้านบาท มีสัดส่วนการตลาด 8% อันดับที่ 4 บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต 1.46 หมื่นล้านบาท มีสัดส่วนการตลาด 7.83% และอันดับที่ 5 บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต 1.45 หมื่นล้านบาท มีสัดส่วนการตลาด 7.74%
นางบุษรา กล่าวว่า จากอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมเมื่อสิ้นไตรมาส 3 ของปี 2552 ที่สูงถึง 18% นั้น สมาคมประกันชีวิตไทยมีความมั่นใจว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2552 ธุรกิจประกันชีวิตจะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์ เอาไว้เมื่อต้นปีอย่างแน่นอน
เดิมสมาคมฯ ได้ประมาณการว่าสิ้นปี 2552 เบี้ยประกันชีวิตจะมีอัตราการเติบโต 15% ซึ่งจะมีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมจำนวน 2.54 แสนล้านบาท นางบุษรา กล่าว
นางบุษรา เปิดเผยว่า สาเหตุที่ธุรกิจประกันชีวิตไทยยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากศักยภาพในการพัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานใหม่ๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับประชาชนในประเทศทั้งด้านความคุ้มครองตลอดช่วงชีวิต การออม และการลงทุน การเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากที่เคยให้สิทธิลดหย่อนได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท และที่สำคัญยิ่งคือ การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายต่างๆ ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาทัพนักขาย คือ การขายผ่านธนาคาร (Bancassurance) ซึ่งมีการขายขยายตัวสูงมากในปี 2552 นี้
เป้าหมายในอนาคตของภาคธุรกิจประกันชีวิตนั้น คาดหวังไว้ว่าจะมีโอกาสช่วยภาครัฐดูแลสังคมคนชราโดยออกผลิตภัณฑ์บำเหน็จบำนาญส่งเสริมให้คนไทยมีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณอายุต่อไปอีกด้วย นางบุษรา กล่าว
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 12, 2009 12:43 am
โดย นักดูดาว
เป็นไงกันบ้าง BLA ออกมาแล้ว น่าผิดหวังกันไหมครับ
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 12, 2009 9:40 pm
โดย miracle
[quote="นักดูดาว"]เป็นไงกันบ้าง BLA ออกมาแล้ว น่าผิดหวังกันไหมครับ
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 13, 2009 11:01 pm
โดย miracle
ตัวแทนปรับตัวก่อนเดี้ยง
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
โพสต์ทูเดย์ สมาคมประกันชีวิต จี้ตัวแทนเร่งปรับตัวเพิ่มศักยภาพตัวเองก่อนสูญพันธุ์ หลังถูกแบงก์แอสชัวรันส์แซงหน้ากินส่วนแบ่ง
นางบุษรา อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ช่องทางขายประกันชีวิตผ่านธนาคาร หรือแบงก์แอสชัวรันส์ ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยังคงมีสัดส่วนยอดขายเบี้ยใหม่ที่สูงกว่าช่องทางอื่นติดต่อกันแล้วถึง 3 ไตรมาส โดยไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีเบี้ยใหม่สูงถึง 3.23 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 50.4% เพิ่มขึ้นมาจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาซึ่งมีเบี้ยใหม่เพิ่ม 47.3%
สำหรับเบี้ยใหม่ที่เกิดจากช่องทางขายผ่านตัวแทนนั้นมีเพียง 2.64 หมื่นล้านบาท คิดสัดส่วน 41.1% ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาซึ่งขายได้ 43.5%
ขณะที่เบี้ยใหม่จากช่องทางขายผ่านทางโทรศัพท์หรือไปรษณีย์ได้ 2,678 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.2% ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่ได้ 4.7% ส่วนเบี้ยใหม่ที่ขายผ่านช่องทางอื่นๆ อีก 2,796 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.4% ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่ได้ 4.5%
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในภาพรวมของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยใหม่หรือเบี้ยต่ออายุ จะพบว่าช่องทางการขายผ่านตัวแทนยังคงครองสัดส่วนการตลาดมากที่สุดที่ 65.4% แม้จะลดลงจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่ได้ 66.9% ก็ตาม
ทั้งนี้ สาเหตุที่ช่องทางขายผ่านแบงก์แอสชัวรันส์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเนื่องมาจากกิจกรรมส่งเสริมการขายที่สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ซื้อประกันชีวิตผ่านแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก รวมถึงความเชื่อมั่นของคนไทยที่มีต่อภาคธนาคารพาณิชย์มาอย่างยาวนานอีกด้วย
ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกที่ช่องทางการขายประกันชีวิตรวมผ่านแบงก์แอสชัวรันส์ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า จะยังครองอันดับ 1 แทนช่องทางขายผ่านตัวแทน เพราะในประเทศอื่นๆ ก็มีตัวอย่างให้เห็น อย่างในปี 2551 ช่องทางแบงก์แอสชัวรันส ์ของเกาหลีใต้มีสัดส่วน 51.6% และมาเลเซียมีสัดส่วนมากกว่า 50% นางบุษรา กล่าว
นางบุษรา กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของตัวแทนที่เคยครองแชมป์ยอดขายมาตลอด ต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเองและอุดช่องโหว่ต่างๆ ให้ได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เอาประกัน ต้องพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง ซึ่งขณะนี้ตัวแทนจำนวนมากได้พัฒนาตัวเอง นอกจากทำหน้าที่แนะนำและให้ลูกค้าทำการประกันชีวิตแล้ว ต้องมีความสามารถเป็นที่ปรึกษาทางการเงินได้ด้วย
http://www.posttoday.com/finance.php?id=76043
------------------------------------------------------------
หูฟังข่าวนี้แล้วเป็นอย่างไงบ้าง
สำหรับคนที่เป็นตัวแทน ออกมาให้ข่าวกันหน่อย
ว่าเห็นด้วยกับข่าวนี้หรือเปล่า
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 13, 2009 11:06 pm
โดย miracle
กสิกรฮุบหุ้นเมืองไทยโฮลดิ้งลุยประกันชีวิต
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ธนาคารกสิกรไทยฮุบบริษัทแม่เมืองไทยประกันชีวิต ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 สัดส่วน 51%
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น และสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง รวม 3 ฉบับ โดยลงนามซื้อหุ้นจากบริษัท โฟรทิส อินชัวรันส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็น.วี. 13.24 ล้านหุ้น เป็นเงิน 5,196.63 ล้านบาท ลงนามซื้อ หุ้นจากบริษัท สวิส รีอินชัวรันส์ 2.07 ล้านหุ้น เป็นเงิน 815.58 ล้านบาท และลงนามสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนกับบริษัท เมืองไทย กรุ๊ป 3.86 ล้านหุ้น เป็นเงิน 1,516.60 บาท รวมราคาซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมของธนาคารในบริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำนวน 19.19 ล้านหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 7,528.82 ล้านบาท ทำให้ธนาคารถือหุ้นในบริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมเป็น 51% โดยธนาคารคาดว่าธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มเติมในครั้งนี้จะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในปี 2552
ทั้งนี้ บริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง ถือหุ้นในบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต สัดส่วน 75% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทยมีสัดส่วนการถือหุ้นเพียง 10% เท่านั้น โดยการซื้อหุ้นเพิ่มในครั้งนี้เป็นไปตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคารเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2552 ที่ต้องการให้ธนาคารถือหุ้นในบริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง สัดส่วน 51% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อขยายการลงทุนในบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าและธนาคารในการทำธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ หรือขายประกันผ่านธนาคารอย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับผลการดำเนินงานบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต งวด 9 เดือนปี 2552 มีเบี้ยรับรวม 1.58 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.19% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2551 แยกเป็นเบี้ยประกันลูกค้ารายใหม่ 6,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.81% เบี้ยประกันลูกค้าเก่าต่ออายุ 9,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.50% มีกำไรจากการดำเนินงาน 1,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.41% สินทรัพย์รวม 6.87 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.77% มีเงินกองทุน 8,860 ล้านบาท คิดเป็น 778% ของเกณฑ์ขั้นต่ำที่ทางการกำหนดไว้ 150%
------------------------------------------------------
แล้วเมื่อไรเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยล่ะ
เจ้าเมืองไทยประกันชีวิต
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 13, 2009 11:06 pm
โดย miracle
เอไอเอติดใจ ยืดเวลาขาย ยูนิเวอร์แซล
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
เอไอเอ สบช่องลูกค้าฮิตซื้อยูนิเวอร์แซลไลฟ์ ขยายเวลาเพิ่มให้ผลตอบแทนดีถึงสิ้นปี
นายสัตยา เทพบรรเทิง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ (ประเทศไทย) หรือเอไอเอ เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายระยะเวลาให้สิทธิพิเศษกับลูกค้าที่ซื้อแบบประกันยูนิเวอร์แซลไลฟ์ฉบับใหม่ และต้องได้รับอนุมัติภายในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ด้วยการให้ผลตอบแทนปีแรกรวม 7% หลังจากหักค่าธรรมเนียมกรมธรรม์ต่างๆ และได้รับอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยยอดการลงทุนตามประกาศของบริษัท ซึ่งปัจจุบันกำหนดที่ 3.45% จากเดิมอยู่ที่ 3.4% และที่ได้หมดเขตไปเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา
ในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา เรามีผู้ถือครองกรมธรรม์นี้กว่า 4 หมื่นฉบับ เป็นเบี้ยรับปีแรกมากกว่า 1,100 ล้านบาท โดยมีจุดเด่นกรมธรรม์ที่นอกจากจะให้ความคุ้มครองชีวิตแล้ว ยังไม่พลาดโอกาสในการรับผลตอบแทนที่เพิ่มมากขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนอัตราลอยตัวที่สอดคล้องกับภาวะการลงทุนของตลาดเงิน ตลาดทุน และผลการดำเนินงานของบริษัท แต่รับรองผลตอบแทนขั้นต่ำที่ 2% ในปีแรก และมีผลตอบแทนเฉลี่ยพอร์ตการลงทุนที่ 1% ด้วย นายสัตยา กล่าว
นอกจากนี้ กรมธรรม์ยังมีความยืดหยุ่นสูง โดยลูกค้าสามารถกำหนดวงเงินชำระเบี้ยประกันภัยในแต่ละปีเองได้ และกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็สามารถไถ่ถอนมูลค่ากรมธรรม์มาใช้ หรืออาจหยุดพักชำระเบี้ยชั่วคราวได้ โดยที่กรมธรรม์ยังมีผลคุ้มครองอยู่
http://www.posttoday.com/finance.php?id=75675
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 13, 2009 11:07 pm
โดย miracle
กรุงเทพประกันฯกำไรพุ่งแจกปันผลทันที
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
กรุงเทพประกันชีวิตเผยไตรมาส 3 กำไรพุ่ง 21.98% ประกาศแจกปันผลหุ้นละ 0.15 บาท
นายชาญ วรรธนะกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต เปิดเผยว่า ไตรมาส 3 ปี 2552 บริษัทมีกำไรสุทธิ 214.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.98% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์ 57.80 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ขาดทุน 60.18 ล้านบาท รวมทั้งมีเงินสำรองประกันชีวิต 3,132.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 741.47 ล้านบาท ขณะเดียวกันภาษีนิติบุคคลยังลดลง 61.68 ล้านบาท โดยจ่ายเพียง 22.14 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่เสียภาษี 83.83 ล้านบาท ผลจากการปรับปรุงค่าใช้จ่ายจากการขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป
สำหรับงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 1,003.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 327.14 ล้านบาท มีเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ 1.42 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.61%
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท แก่ผู้ที่มีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นถึงวันที่ 26 พ.ย. 2552
น.ส.มาลินี เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกสหประกันภัย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับ งวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นสุทธิ ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 51%
นายสุกิจ จรัญวาศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จรัญประกันภัย เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 7 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 34% ส่วนงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 17 ล้านบาท ลดลง 14 ล้านบาท
นายชูศักดิ์ สาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย กล่าวว่า ส่วนบริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา 100 ล้านบาท ลดลง 6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่หากเป็นช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท ลดลง 51 ล้านบาท
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 18, 2009 11:10 pm
โดย miracle
ลีสซิงร้องประกันวางเกณฑ์รับรถยนต์เกิน7ปี
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สมาคมเช่าซื้อไทย นัดถกบริษัทประกัน วางเกณฑ์รับประกันรถอายุเกิน 7 ปี
แหล่งข่าวจากสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผยว่า สมาคมได้เสนอเรื่องไปยังสมาคมประกันวินาศภัยเพื่อหารือเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติของบริษัทประกันในการรับทำประกันภัยสำหรับรถที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปีขึ้นไป
เนื่องจากขณะนี้สมาชิกสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยหลายรายมีปัญหาเกี่ยวกับการให้บริการลูกค้าเรื่องการทำประกันภัยรถยนต์ เนื่องจากเงื่อนไขในการรับทำประกันภัยแตกต่างกัน หรือบางบริษัทประกันก็ไม่รับทำประกันรถยนต์ชั้น 1 สำหรับรถที่มีอายุเกิน 7 ปี
เหตุผลสำคัญเนื่องจากในปัจจุบันทางบริษัทที่ทำธุรกิจเช่าซื้อไทยยังคงให้ปล่อยกู้แก่รถที่มีอายุเกิน 7 ปีขึ้นไปอยู่ในปริมาณที่ค่อนข้างสูงและมีนัยสำคัญ ซึ่งหากบริษัทประกันมีแนวปฏิบัติที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพ ธุรกิจในปัจจุบันที่ดีแล้ว นอกจากเป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และธุรกิจประกันภัยเติบโตแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีหลักประกันที่มีคุณภาพอีกด้วย
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัย เปิดเผยว่า ทางสมาคมได้หารือและทำความเข้าใจกับสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยแล้วว่า การที่บริษัทประกันนั้นจะรับทำประกันรถอายุเกิน 7 ปีหรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาด้านความเสี่ยงภัยของแต่ละบริษัทว่ารับได้มากน้อยแค่ไหน ทางสมาคมประกันวินาศภัยคงไม่สามารถออกเป็นมาตรฐานกลางให้ทุกบริษัทรับประกันได้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจากโครงสร้างพิกัดอัตราเบี้ยประกันรถยนต์ในปัจจุบันได้รองรับความต้องการของลูกค้าได้ระดับหนึ่งและมีการกำหนดเรื่องอายุรถไว้อยู่แล้ว ดังนั้นเรื่อง ของอายุรถเกิน 7 ปี จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคในการรับประกันภัย แต่เป็นเรื่องของความเสี่ยงมากกว่า ซึ่งยังมีประกันชั้น 2 หรือ 3 ให้เลือก
เหตุที่บริษัทประกันบางแห่งไม่รับรถเกิน 7 ปี คงกังวลในเรื่องการให้บริการ โดยเฉพาะรถบางรุ่น บางยี่ห้อ ที่ไม่ใช่รถตลาด ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ขึ้น ก็อาจใช้เวลาหาหรือรออะไหล่นานเกินไป และเกรงว่าจะมีปัญหากับลูกค้าได้ จึงเลือกที่จะไม่รับเลยดีกว่าหรือไม่ก็ขอคิดเบี้ยสูง ซึ่งลูกค้าก็รับไม่ได้อยู่ดี แหล่งข่าวเปิดเผย
http://www.posttoday.com/finance.php?id=76748
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 18, 2009 11:11 pm
โดย miracle
http://www.posttoday.com/finance.php?id=76563
สหวัฒนาปิดฉากขาย260ล้าน
วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สหวัฒนาประกันภัยเปลี่ยนมือ กลุ่มอยู่เจริญ บิ๊กด้านอสังหาริมทรัพย์ ทุ่ม 260 ล้าน โดดเทกโอเวอร์
นายศราวุธ ภาสุวณิชยพงศ์ หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สหวัฒนาประกันภัย เปิดเผยว่า ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมได้ตัดสินใจขายหุ้นสัดส่วน 70% ให้กับนายวีระเดช รุ่งโรจนกุล ทายาทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อยู่เจริญ กรุ๊ป เป็นเงิน 260 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริหารเดิมมีอายุมากแล้วและไม่มีผู้ที่จะสานกิจการต่อ จึงตัดสินใจขาย
โดยทางกลุ่มของนายวีระเดชจะซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีสัดส่วนเหลืออีก 30% ในราคาที่เหมาะสมต่อไป เพื่อถือหุ้นเต็ม 100% ในเร็วๆ นี้
นายศราวุธ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรทุกปีเฉลี่ยปีละ 20% แม้จะเป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่มีคุณภาพไม่เคยมีชื่อเสียงเสียหาย โดยทำธุรกิจมาตลอด 58 ปี ได้รับความน่าเชื่อถือจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด บริษัทมีสัดส่วนของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 70-80% เน้นรถบ้าน ไม่รับรถแท็กซี่ รถทัวร์
ด้านนายวีระเดช กล่าวว่า สนใจทำธุรกิจประกันภัยเพราะมองว่ามีศักยภาพ โดยนายธีระศักดิ์ แสนวรางกุล อดีตผู้ถือหุ้นใหญ่และ ผู้บริหารระดับสูงบริษัท ฟีนิกซ์ ประกันภัย ได้แนะนำให้เข้าซื้อบริษัท สหวัฒนาประกันภัย เพราะเป็นธุรกิจที่น่าเชื่อถือ
นายวีระเดช ยืนยันว่า นาย ธีระศักดิ์เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้ ไม่ได้ถือหุ้นในบริษัท สหวัฒนาประกันภัย และถือเป็นผู้บริหารมีประสบการณ์ในธุรกิจประกันภัยมาก่อน
ทั้งนี้ บริษัทได้เข้ามาอยู่ในอาคารของฟินิกซ์ประกันภัยหลังจากที่นายธีระศักดิ์ขายบริษัท ฟินิกซ์ แล้ว ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น อาคารจึง ว่างลง ขณะที่ระบบคอมพิวเตอร์ มีการวางไว้ดีเหมาะสำหรับธุรกิจประกันภัย
สำหรับแนวทางธุรกิจหลังจากนี้ จะเน้นการรับประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ เนื่องจากมีตัวแทนเชี่ยวชาญด้านประกันอิสรภาพ อุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันทรัพย์สินซึ่งความเสี่ยงต่ำ ส่วนประกันภัยรถยนต์จะเน้นประกันรถบ้านเป็นหลัก เพราะความเสี่ยงต่ำ ส่วนยอดขายนั้นคงต้องรอดูหลังจากปรับโครงสร้างเรียบร้อยแล้ว อีกระยะหนึ่ง
หลังจากนี้จะมีกรรมการที่มาจากส่วนของบริษัท สหวัฒนาประกันภัย 2 คน โดยนายศราวุธจะยังมีหุ้นในบริษัทอยู่แต่น้อยลง ส่วนนายวีระเดชจะมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหาร
นอกจากนั้น จะเปลี่ยนชื่อเป็น วิกตอรี่ ประกันภัย (ประเทศไทย) และมีแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ตามแผน 5 ปีของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งจะทำให้มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล
รายงานข่าวแจ้งว่า ฐานะการเงินของบริษัท สหวัฒนาประกันภัย เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2552 มีสินทรัพย์รวม 136 ล้านบาท มีเงินกองทุน 98.1 ล้านบาท ขณะที่รายได้ ในไตรมาส 3 รวม 29.8 ล้านบาท คิดเป็นผลดำเนินงานกำไร 3 ล้านบาท
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 10:31 pm
โดย miracle
เมืองไทยฯปั๊มตัวแทนการเงินรับมือกสิกรถือหุ้น
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
โพสต์ทูเดย์ เมืองไทยฯ รับได้ผลดีกสิกรไทยถือหุ้นใหญ่ หนุนได้เต็มที่ พร้อมรับมือปั้นตัวแทนรุ่นใหม่หลังแบงก์แอสชัวรันส์มาแรง
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า การที่บริษัทได้ ธนาคารกสิกรไทยเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 51% ถือเป็นเรื่องที่ดีและจะทำให้เห็นภาพการสนับสนุนจากธนาคารกสิกรไทยมากขึ้น แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะขายประกันผ่าน สาขาธนาคารกสิกรไทยหรือแบงก์แอสชัวรันส์มาเป็นเวลา 5-6 ปีแล้วก็ตาม ซึ่งในแต่ละปีแบงก์แอสชัว รันส์ก็เติบโตถึงปีละ 24-25% มาโดยตลอด และคาดว่าจากการใช้กลยุทธ์ช่องทางขายที่หลากหลายจะทำให้ในปีนี้บริษัทมีเบี้ยรับรวมที่ 21,580 ล้านบาทหรือเติบโต 25% ได้ตามเป้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญต้องเตรียมพร้อมไว้สำหรับอนาคตคงเป็นเรื่องการพัฒนาช่องทางตัวแทนให้มีความรู้ความสามารถมากขึ้น โดยเฉพาะการขายสินค้าประเภทเกี่ยวกับการลงทุนอย่าง ยูนิเวอร์แซลไลฟ์ หรือยูนิตลิงค์ เพราะในช่วงที่ผ่านมาช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์เริ่มมียอดขายแซงหน้าตัวแทนแล้ว
แม้ว่าปัจจุบันแบงก์แอสชัว รันส์จะจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางขึ้นบน และตัวแทนจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางลงล่าง แต่สุดท้ายทั้งแบงก์แอสชัวรันส์และตัวแทนก็ต้องจับกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่ม ขายแบบประกันได้ทุกประเภท เพียงแต่ขณะนี้ยัง พอมีเวลาที่ให้ตัวแทนได้ปรับตัวรองรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น อย่างในปีนี้บริษัทก็ตั้งเป้าสร้างตัวแทนที่สามารถขายประกันชีวิตได้ทุกแบบให้ได้ประมาณ 300 คนก่อนจากที่มีอยู่ประมาณ 2 หมื่นคน นายสาระ กล่าว
http://www.posttoday.com/finance.php?id=77098
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 10:33 pm
โดย miracle
ธุรกิจประกันแจ่มโต20%
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
โพสต์ทูเดย์ คปภ.มั่นใจปิดหีบเบี้ยประกันชีวิตปี 2552 โต 20% แน่ เหตุยอดขายผ่านธนาคาร ตัวแทน สวนกระแสเศรษฐกิจ
นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยต่อที่ประชุมผู้บริหารบริษัทประกันชีวิตทั้งระบบว่า จากการติดตามตัวเลขเบี้ยประกันชีวิตมาตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน คาดว่าสิ้นปี 2552 นี้ เบี้ยประกันชีวิตทั้งระบบจะเติบโตเพิ่มขึ้น 18-20% หรือเป็นเบี้ยประกันประมาณ2.63- 2.68 แสนล้านบาทคิดเป็นเบี้ยประกันต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือจีดีพี ประมาณ 4.1-4.2%
ทั้งนี้ เป็นการปรับตัวเลขการเติบโตเพิ่มขึ้นครั้งที่ 4 ในปีนี้ เนื่องจากตัวเลขยอดขายประกันชีวิตผ่านช่องทางธนาคารเพิ่มขึ้นอย่างมาก และตัวแทนยังทำผลงานดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเบี้ยประกันประเภทชำระครั้งเดียวในกลุ่มประกันสินเชื่อซื้อบ้านและประกันเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สำหรับเบี้ยประกันวินาศภัยในปีนี้ คาดว่าเติบโตเพิ่มขึ้น 5-6% จากช่วงต้นปีที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 2% เนื่องจากสัญญาณทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์เติบโตเป็นบวกเป็นครั้งแรกในปีนี้ จึงคาดว่ายอดขายประกันภัยรถยนต์เพิ่มขึ้น และทำให้เบี้ยประกันภัยรับรวมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยบริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ (ไทยรี) คาดว่าปี 2552 เบี้ยประกันวินาศภัยทั้งระบบจะอยู่ที่ 1.08 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่รถยนต์และประกันอัคคีภัย โดยทั้งสองประเภทการรับประกันภัยจะมีรายรับโดยตรงเป็นมูลค่า 7,709 ล้านบาท และ 3.42 หมื่นล้านบาท
ด้านธุรกิจการประกันภัยทางทะเลและการขนส่ง จะชะลอตัวลงเหลือ 3,650 ล้านบาท การประกันภัยรถยนต์คาดว่าจะสร้างรายได้ลดลงโดยเฉลี่ย 1.39% หรือ 6.32 หมื่นล้านบาท
สำหรับในปี 2553 นั้น เบี้ยประกันวินาศภัยโดยรวมจะมีมูลค่าประมาณ 1.15 แสนล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับมูลค่าของปี 2552 อันเป็นผลมาจากการเจริญเติบโตของธุรกิจในทุกประเภทการประกันภัย เช่น มูลค่าของเบี้ยอัคคีภัยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.1% มูลค่าของเบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่งจะปรับสูงขึ้น 4.8% มูลค่าเบี้ยของการประกันภัยรถยนต์จะขยายตัวในอัตรา 4% และมูลค่าของเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ดจะเพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อสิ้นสุดปี
http://www.posttoday.com/finance.php?id=77094
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 23, 2009 10:42 pm
โดย miracle
แอลเอ็มจีปั้นตัวแทนคนรุ่นใหม่
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
แอลเอ็มจี เปิดทางตัวแทนรุ่นใหม่ร่วมธุรกิจสานต่อแผนบริษัทปีหน้าเร่งเพิ่มจุดขาย 1,000 จุด
นายบุญส่ง เสริมศรีสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท แอลเอ็มจีประกันภัย เปิดเผยว่า ภายในปีหน้าบริษัทจะเดินหน้าเปิดจุดขายใหม่ให้ได้ถึง 1,000 จุด ครอบคลุมทั่วประเทศจากปัจจุบันที่มีจุดขาย 500 จุด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายบริษัทแม่ที่ต้องการขยายธุรกิจให้มากขึ้น
ทั้งนี้ จุดขายจะอยู่ในรูปของสำนักงานตัวแทนที่ทำงานบนระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด สามารถออกกรมธรรม์ให้ลูกค้า ณ จุดขายได้ทันที ซึ่งขณะนี้ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่ร่วมเป็นคู่ค้ากับบริษัทแล้ว โดยเน้นคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจเทคโนโลยีและอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจการเป็นตัวแทนประกันภัย มีฐานลูกค้าที่เก็บเบี้ยขั้นต่ำ 1 แสนบาทขึ้นไป ทางบริษัทจะขึ้นป้ายสำนักงานตัวแทนให้ และให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้าที่สาขาของบริษัทเข้าไปไม่ถึง ซึ่งการเปิดจุดขายผ่านสำนักงานตัวแทน แทนการเปิดสาขาจะมีข้อดีที่ต้นทุนต่ำกว่าการเปิดสาขาเต็มรูปแบบ
เราเน้นคนกลุ่มนี้ เพราะสอดคล้องกับวัฒนธรรมการทำงานของเรา ที่ทำงานทุกอย่างบนระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบันเรามีระบบการเรียกร้องค่าสินไหมผ่านอินเทอร์เน็ตแบบครบวงจร จ่ายค่าซ่อมอู่ในเครือ 500 แห่งทั่วประเทศทางบัญชีธนาคารผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้ภายใน 10 วัน และปัจจุบันตัวแทนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลส่งงานผ่านระบบเช่นเดียวกัน ซึ่งเห็นว่ามีความพร้อมแล้วที่จะขยายออกไปต่างจังหวัด นายบุญส่ง กล่าว
นายบุญส่ง กล่าวว่า กลุ่มคู่ค้าที่มีเบี้ยประกันภัยขั้นต่ำ 1 แสนบาท ถือเป็นตัวแทนที่ยังมีขนาดเล็ก การได้ร่วมงานกันตั้งแต่ต้นจะทำให้สามารถเติบโตไปด้วยกันได้ และจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว ในขณะที่คู่แข่งขันจะเริ่มทำธุรกิจกับคู่ค้ารายใหญ่ที่สามารถส่งเบี้ยประกันให้ขั้นต่ำ 3 แสนบาทขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีคู่ค้าระดับนี้จำนวนมากที่จะต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไปในระยะยาว ขณะเดียวกันก็สร้างคู่ค้ารุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อการเติบโตที่มั่นคง
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถรักษายอดขายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2551 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจปีนี้ชะลอตัวยอดขายรถยนต์ใหม่ลดลง 30% ทำให้งานผ่านไฟแนนซ์ ลีสซิง ลดลงประมาณ 5% นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการเปลี่ยนวิธีเก็บเบี้ยประกันภัยรถยนต์ใหม่ เก็บเบี้ยก่อนคุ้มครอง หรือแคชบีฟอร์โคเวอร์อีกด้วย
http://www.posttoday.com/finance.php?id=77451
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 24, 2009 10:30 pm
โดย miracle
คปภ.เล็งประกันสินบำนาญปี53
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
คปภ.ตั้งเป้าคลอดแบบประกันสินบำนาญปี 2553 หากสรรพากรยอมแก้ไขการตั้งสำรองเบี้ย
นายสรศักดิ์ ทันตสุวรรณ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้หารือด้านภาษีกับกรมสรรพากรสำหรับประกันแบบสินบำนาญ ซึ่งได้ข้อสรุปบางอย่างแล้วแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยเตรียมเสนอเป็นกฎหมายใหม่เพื่อพิจารณาต่อไป โดยมีข้อติดขัดที่การตั้งสำรองตามกฎหมายของทั้งสองหน่วยงาน ระหว่างคปภ.กับเกณฑ์ของกรมสรรพากรที่แตกต่างกัน
หากได้ข้อสรุปเรื่องการตั้งสำรองฯ จะสามารถออกประกันแบบสินบำนาญออกมาได้ จะทำให้ประชาชนไทยหันมาทำประกันแบบบำนาญ เพื่อเตรียมเงินไว้ใช้หลังเกษียณมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันแม้จะมีกรมธรรม์บำนาญขาย แต่เกณฑ์การตั้งสำรองเบี้ยประกันที่แตกต่าง ทำให้ขาดการพัฒนาผลประโยชน์ที่จูงใจ นายสรศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ตามแผนการพัฒนาธุรกิจประกันชีวิตปี 2553 ของคปภ. มีแผนที่จะออกกรมธรรม์สินบำนาญให้ได้ภายในปี 2553 ซึ่งเป็นแบบประกันที่มีการจ่ายผลประโยชน์ที่พอเพียงกับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ
ขณะที่อุปสรรคในปัจจุบันคือ เกณฑ์การหักค่าใช้จ่ายจากการตั้งสำรองเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญยังไม่มี ต้องใช้เกณฑ์เดียวกับแบบประกันออมทรัพย์ทั่วไป ที่ให้หักค่าใช้จ่ายได้ 65% ส่วนที่เกินต้องเสียภาษี ทำให้บริษัทประกันชีวิตต้องเสียภาษีมากกว่ารายได้ที่เป็นจริง เพราะมีการตั้งสำรองเบี้ยประกันแบบบำนาญเกือบ 100%
http://www.posttoday.com/finance.php?id=77602
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 24, 2009 10:31 pm
โดย miracle
ขรก.ได้สิทธิประกันสุขภาพ
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
กรมบัญชีกลางปลดล็อกข้าราชการเพิ่มสิทธิเบิกค่ารักษาจากประกันสุขภาพส่วนตัว
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างการเร่งแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการประกันสุขภาพใหม่ โดยจะให้สิทธิข้าราชการเบิกค่ารักษาพยาบาลจากรัฐ และรับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนได้ สามารถใช้สิทธิจากสวัสดิการราชการ และจากประกันสุขภาพส่วนตัว ซึ่งรวมกันต้องไม่เกินค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายจริง จากปัจจุบันที่ให้ใช้สิทธิข้าราชการ และต้องรับการรักษาจากโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น
ทั้งนี้ คาดว่ากฎหมายจะออกมาได้ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า จะทำให้ข้าราชการหันไปทำประกันสุขภาพส่วนตัวเพิ่มขึ้น เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของรัฐหลังจากพบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการเพิ่มขึ้นปีละ 25% รวมทั้งการเพิ่มสิทธิการรักษาพยาบาลให้กับครอบครัวข้าราชการ
หมายความว่ากฎหมายใหม่ที่ออกมา ข้าราชการและบุคคลในครอบครัวที่ทำประกันสุขภาพ สามารถเบิกได้ทั้งจากบริษัทประกัน และกรมบัญชีกลาง นายพงษ์ภาณุ กล่าว
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า ปัจจุบันกรมบัญชีกลางรับภาระข้าราชการและครอบครัวข้าราชการอยู่ 4.3 ล้านคน สำนักงานประกันสังคมรับผิดชอบ 10.4 ล้านคน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 47.1 ล้านคน หน่วยงานอื่น (รัฐวิสาหกิจ ท้องถิ่น องค์กรอิสระ) 2.5 ล้านคน ซึ่งจากตัวเลขประมาณการค่ารักษาพยาบาล คาดว่าปี 2552 จะมีค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล สูงถึง 6.1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ ปี 2553 คาดว่าค่ารักษาพยาบาลจะเพิ่มเป็น 7.05 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเป็น 1.05 แสนล้านบาทในปี 2558 และปี 2563 จะเพิ่มเป็น 1.56 แสนล้านบาท ถือว่าสูงมากและเป็นภาระที่น่าเป็นห่วง จึงจูงใจให้ข้าราชการหันไปทำประกันสุขภาพมากขึ้น
รวมทั้งจะขอความร่วมมือให้ข้าราชการหันมาใช้บัญชียาหลักแห่งชาติ และในอนาคตจะกำหนดเกณฑ์เงื่อนไขการเบิกยา เพื่อแก้ปัญหาการเบิกยาเกินความเป็นจริง
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ทางสมาคมประกันชีวิตได้ยื่นขอลดหย่อนภาษีประกันสุขภาพ 5 หมื่นบาท เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาทำประกันสุขภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลของรัฐบาลลงได้ในอนาคต
นางสุกัญญา ทองชื่นจิตต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยาอลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต กล่าวว่า หากได้ลดหย่อนภาษีสุขภาพ 5 หมื่นบาทต่อปี จะจูงใจข้าราชการและประชาชนทั่วไปหันมาทำประกันสุขภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดหย่อนภาระของรัฐ และช่วยประชาชนได้ ซึ่งการรักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิจากบริษัทประกันชีวิต ไม่มีตารางการใช้ยา จะสั่งจ่ายตามที่หมอสั่งเต็มจำนวน ขณะที่ราชการมีตารางยาที่แน่นอน หากเกินจากตารางเบิกไม่ได้
http://www.posttoday.com/finance.php?id=77603
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 25, 2009 1:10 pm
โดย holidaytours
ผมสนหุ้นประกันภัยมานานแล้วนะ
แต่ว่าราคาซิมันยังไม่ต่ำพอสำหรับตัวที่สนใจ
เมื่อเทียบกับตัวอื่น ในธุรกิจอื่น แหะ ๆ
เป็นความเห็นส่วนตัวนะคับ
คิดว่าอาจจะผิดซะมากกว่า :lol: :lol:
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 25, 2009 9:54 pm
โดย miracle
[quote="holidaytours"]ผมสนหุ้นประกันภัยมานานแล้วนะ
แต่ว่าราคาซิมันยังไม่ต่ำพอสำหรับตัวที่สนใจ
เมื่อเทียบกับตัวอื่น ในธุรกิจอื่น แหะ ๆ
เป็นความเห็นส่วนตัวนะคับ
คิดว่าอาจจะผิดซะมากกว่า
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 25, 2009 10:06 pm
โดย miracle
เศรษฐกิจฟื้น-หั่นภาษีหนุนเบี้ยปีหน้าโต24%
วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
คปภ.ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมปีหน้าโต 24% ผลเศรษฐกิจฟื้น-คลังช่วยหนุนประกันสุขภาพ
นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า คปภ. ได้ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมเบี้ยประกันภัยทั้งระบบในปี 2553 จำนวน 4.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จะส่งผลให้เบี้ยประกันภัยต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น 5% ภายในปี 2554 จากปี 2552 จะอยู่ที่ 4.1% ถึง 4.2%
ทั้งนี้ มีปัจจัยหลายอย่างเอื้ออำนวย โดยเฉพาะมาตรการด้านภาษี ที่คาดว่าจะได้รับการพิจารณาจากกระทรวงการคลัง เพื่อกระตุ้นการออมในภาคประชาชนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวอัตราการเติบโตเป็นบวกประมาณ 3% ทำให้การปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น จะกระตุ้นให้เบี้ยประกันสินเชื่อ หรือมอร์เกจโลนซึ่งเป็นเบี้ยประเภทชำระครั้งเดียวเพิ่มมากขึ้น และประกันอัคคีภัยเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันสำนักวิจัยหลายแห่งยังมีการประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดออกมาในแนวทางเดียวกันว่าจะยังทรงตัวอยู่ในช่วง 6 เดือนแรก ซึ่งจะทำให้ประชาชนหันมาออมผ่านประกันชีวิตมากขึ้น เพราะได้ผลตอบแทนที่จูงใจกว่า
นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัย กล่าวว่า คปภ.ได้ให้นโยบาย แผนงาน และแนวทางในการขยายให้ประชาชนมีหลักประกันให้มากขึ้นในเชิงรุก เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับแบบประกันต่างๆ สร้างความรับรู้ถึงสิทธิประโยชน์ ที่สำคัญได้ขอความอนุเคราะห์ด้านภาษีจากกระทรวงการคลัง การประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง และประกันชดเชยรายได้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการระดมเงินออมของประเทศ ในการนำไปส่งเสริมเศรษฐกิจ เช่น เบี้ยประกันที่ได้มาจะนำไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และภาครัฐยังเก็บภาษีจากบริษัทประกันภัยได้เพิ่มขึ้นด้วย
ต้องใช้มาตรการด้านภาษีเข้ามากระตุ้นให้เกิดการออมควบคู่กับการให้ความรู้แก่ประชาชน เหมือนกับภาคการเกษตรที่เรายังมีการประกันราคาสินค้าเกษตร นาย จีรพันธ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/finance.php?id=77790
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 25, 2009 10:07 pm
โดย miracle
จะรวยทั้งทีต้องมีแผน
รายงานโดย :ณัฐพล ลือพร้อมชัย: วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้เกิดการออมโดยมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินเกิดขึ้นมากมาย ไม่จำกัดอยู่เพียงเฉพาะเงินฝากธนาคาร แต่ยังมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต กองทุนรวมประเภทต่างๆ
โดยเฉพาะกองทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล อาทิ LTF และ RMF ที่ลงทุนแล้วสามารถได้ลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 37% นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์มากมายนับไม่ถ้วนจากสถาบันการเงินต่างๆ แล้ว ทุกค่ายก็ต่างนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาลด แลก แจก แถม ประหนึ่งว่าเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปที่เราจับจ่ายอยู่เป็นประจำ ส่งผลให้เกิดบรรยากาศการช็อปผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างเมามัน เสริมบรรยากาศเทศการช็อปปิ้งได้อีกทาง แทนที่จะช็อปแล้วเสียสตางค์ แต่หากช็อปหน่วยลงทุนอาจได้กำไรเป็นผลตอบแทน การที่สถาบันการเงินและภาครัฐต่างออกมาส่งเสริมการออมและการลงทุนนั้นนับว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ดี การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรพิจารณารายละเอียดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน มิเช่นนั้นอาจน้ำตาตกได้ในท้ายที่สุด ไปๆ มาๆ การช็อปผลิตภัณฑ์ทางการเงินอาจสร้างผลเสีย (เสียสตางค์) ไม่ต่างจากที่เราจับจ่ายสินค้าทั่วไปก็เป็นได้
เมื่อเป็นเช่นนี้การจะลงทุนก็ควรจะต้องมีสติให้มากอย่าหลงไปกับคำโฆษณา โปรโมชัน ทั้งนี้เพราะโปรโมชันมักจะเป็นผลตอบแทนระยะสั้น ส่วนการลงทุนนั้นต้องดูผลระยะยาว แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันนะครับ ว่าถ้าเราไม่อยู่ในแวดวงเงินๆ ทองๆ นั้น จะให้มานั่งศึกษาทำความเข้าใจก็คงยาก ลำพังแค่ทำมาหากินก็ใช้สมองมากพออยู่แล้ว หากจะต้องมานั่งศึกษาเรียนรู้เรื่องการลงทุนอีกก็คงจะหัวฟูไปกันใหญ่ แม้จะคิดเช่นนี้ ผมก็ต้องขอให้เราบังคับตัวเองให้ศึกษากันหน่อยครับ เพราะหากเราไม่วางแผนให้รอบคอบก่อนจะเริ่มลงทุน เงินที่หามาด้วยความยากลำบากอาจจะต้องมลายหายไปกับตา หรือลงทุนไปได้เงินไม่พอใช้ก็ได้นะครับ
ด้วยเหตุนี้เอง การวางแผนทางการเงิน จึงเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่น่ายากจนเกินไป เพียงเล็งเห็นประโยชน์ ความสำคัญ และตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง เริ่มง่ายๆ เพียงนึกอยู่เสมอว่า ควรจะจัดสรรเงินที่มีอยู่ให้ตรงกับความต้องการของการใช้เงินที่วางแผนไว้ โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนง่ายๆ เพียง 7 ข้อที่ผมลองลิสต์มาให้ลองทำกันดูนะครับ
1) กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางการเงิน อาจเริ่มจากการตั้งเป้าหมายคร่าวๆ ว่าเราอยากบรรลุเป้าหมายทางการเงินในเรื่องอะไร และต้องใช้เวลาเท่าไร เช่น อยากเกษียณจากการทำงานตอนอายุเท่าไร ตอนนั้นอยากมีเงินใช้เดือนละเท่าไร หรืออยากมีลูกกี่คน ต้องเตรียมทุนการศึกษาให้ลูกเรียนถึงระดับไหน มีค่าใช้จ่ายเท่าไร เป็นต้น
2) รวบรวมข้อมูลทางการเงินทั้งของตนเอง ครอบครัว และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ เช่น รายรับ รายจ่าย ทรัพย์สิน หนี้สิน ภาระผูกพัน ทิศทางการลงทุนในปัจจุบันและอนาคต
3) วิเคราะห์และประเมินสถานะทางการเงิน โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อดูว่าสถานะทางการเงินในปัจจุบันของท่านเป็นอย่างไร มีเงินเก็บสุทธิเท่าไร และยังขาดอีกเท่าไร เพื่อที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนั้นยังต้องพยายามมองหาทางเลือกอื่นๆ ที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นเพิ่มเติมด้วย (ถ้ามี)
4) จัดทำแผนการเงิน โดยประเมินทางเลือกที่ดีที่สุดที่มีอยู่ แล้วเขียนแผนการเงินที่สอดคล้องกับเป้าหมายของเรา
5) นำแผนไปปฏิบัติภายในกรอบเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ต้องออมให้ได้เดือนละเท่าไร ต้องนำเงินไปลงทุนอะไรบ้าง หรือต้องทำประกันภัยเพิ่มในเรื่องอะไรบ้าง โดยต้องมีการตรวจทานด้วยว่าได้ทำครบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่อย่างเคร่งครัด
6) ติดตามและกำกับให้เป็นไปตามแผน หลังจากปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง ต้องหมั่นตรวจสอบและประเมินผลที่เกิดขึ้นว่าได้ผลตามที่คาดหวังหรือไม่ และควรจะมีการปรับเปลี่ยนแผนให้สอดคล้องกับภาวการณ์ที่เปลี่ยนไปหรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการทบทวนแผนการเงินปีละ 1 ครั้ง
7) ทบทวนและปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ คนที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ตามที่ต้องการ มักเกิดจากการไม่มีวินัยในตนเอง หรือไม่สามารถปฏิบัติตามแผนการเงินที่วางไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกันการปฏิบัติตามแผนการที่วางแผนไว้อย่างเคร่งครัด ไม่มีความยืดหยุ่น ก็อาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
ดังนั้น การวางแผนการเงินที่ดีจึงควรมีการทบทวน และปรับปรุง แผนให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การเดินทางไปยังเป้าหมายเป็นการเดินทางที่อยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นจริง เพราะ เงิน มีบทบาทสำคัญไม่เฉพาะการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หรือเป็นเครื่องวัดค่าสิ่งของต่างๆ แต่เงินยังสามารถสะสมเพื่อเพิ่มค่าได้ในอนาคต การวางแผนการเงินส่วนบุคคล อย่างเหมาะสม จะช่วยให้ท่านสามารถจัดการกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุเป้าหมายชีวิตของท่านได้
เมื่อได้หลักการแล้วลองทำก็จะรู้ความต้องการ ปริมาณเงินที่ต้องใช้ จำนวนเงินที่จะต้องออม จำนวนปีที่จะออมได้ เพื่อเป็นเงื่อนไขในการลงทุน หลังจากนั้นค่อยมามองเรื่องโปรโมชันจากการลงทุนเป็นเรื่องสุดท้าย ซึ่งจะไม่มองก็ไม่ได้นะครับ เพราะหากผลตอบแทนระยะยาวที่ประเมินจากความสามารถไม่ต่างกัน ก็จะต้องดูที่โปรโมชันต่อไป ปีนี้ส่วนตัวผมดูแล้วยังหวั่นไหว แทบจะซื้อโดยไม่คิด เพราะสถาบันการเงินต่างๆ โหมโปรโมชันกันอย่างแรง ตั้งแต่ตุ๊กตาตัวยักษ์ๆ บัตรชมคอนเสิร์ต เครื่องใช้ไฟฟ้า แรงสุดไปถึงเงินคืนเข้าบัญชีกันเลยทีเดียว
นอกจากนี้ หลายสถาบันยังให้สามารถซื้อหน่วยลงทุนและประกันผ่านบัตรเครดิตได้อีก โดยให้คะแนนสะสมเป็นโบนัสตามเกณฑ์ที่ตั้ง เพิ่มแรงสุดก็ให้เท่ากับการใช้จ่ายปกติ หากนำมาคำนวณเป็นเงินคืนเข้าบัญชีก็ไม่ใช่น้อยๆ หากมองแล้วยังยากอยู่ ก็คงต้องหาคนมาช่วยวางแผนแล้วละครับ ปัจจุบันหลายๆ สถาบันการเงินเริ่มมีบริการวางแผนทางการเงินสำหรับลูกค้าอยู่ สำหรับธนาคารที่ผู้เขียนทำงานก็มีเช่นกัน เรียกว่า K-WePlan หากสนใจสามารถลองถามสาขาใกล้บ้านดูนะครับ
ข้อสำคัญ ก่อนจะไปใช้บริการควรจะต้องตั้งเป้าหมาย และเตรียมข้อมูลสถานการณ์เงินปัจจุบันไว้ด้วย ยิ่งมีข้อมูลมากจะยิ่งช่วยให้การวางแผนคมชัด คาดหวังผลได้แม่นยำขึ้น ได้ผลลัพธ์เสร็จก็นำไปใช้ต่อไป ขอให้เทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นเทศกาลที่ทุกท่านจะมีความสุข มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือ มีเหลือเก็บออมและลงทุนกันทั่วหน้านะครับ แล้วพบกันใหม่เดือนหน้าครับ
http://www.posttoday.com/finance.php?id=77788
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 25, 2009 10:07 pm
โดย miracle
กรุงเทพฯลุย เจาะคุ้มครอง ภัยธรรมชาติ
วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
กรุงเทพประกันภัย เตือนภัยธรรมชาติมาแรง ปีหน้าเจาะตลาดประกันเฉพาะกลุ่ม
นายพนัส ธีรวณิชย์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทจะให้ความสำคัญกับประกันภัยธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะการออกไปพบปะลูกค้าเพื่อสำรวจภัย และชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะเกิดภัยธรรมชาติ เช่น การตั้งอยู่ในพื้นที่เส้นทางน้ำท่วม
เราได้เตรียมรับมือ มีการศึกษาใกล้ชิด และมีมาตรการรองรับไว้แล้ว ว่าแต่ละกลุ่มจะมีโอกาสเกิดความเสียหายสูงสุดแค่ไหน เพราะถ้าเกิดภัยธรรมชาติอย่างมโหฬารเราจะทำอย่างไร ซึ่งก็มีงานประกันภัยต่อรองรับไว้แล้ว และบริษัทนายหน้าต่างชาติก็มาร่วมศึกษาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งท้าทาย นายพนัส กล่าว
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปีหน้ายังยึดนโยบายการเติบโตด้านเบี้ยประกันควบคู่กับการสร้างกำไรเป็นหลัก โดยจะเติบโตประมาณ 8.5% ขณะที่ตลาดรวมคาดว่าเติบโต 5.5%
นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย กล่าวว่า ในปีหน้าจะมีกำไรจาก การลงทุนดีกว่าปีนี้ เนื่องจากคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น และ ผลการดำเนินงานของบริษัทในตลาดหุ้นก็คงดีขึ้นด้วย ซึ่งบริษัท มีสัดส่วนลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นประมาณ 55% หรือ 4,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 4,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนอื่นๆ
http://www.posttoday.com/finance.php?id=77787