เจาะอนาคต 15 ธุรกิจหลักของโลก ตลาดเกิดใหม่ ฮีโร่ขับเคลื่อน ศก. (1)
การมองอนาคต คือสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นวันนี้เราจะมาแจกแจงแนวโน้มของ 15 ธุรกิจหลักในเวทีเศรษฐกิจโลกในปี 2551 ว่า จะบ่ายหน้าไปทิศทางไหน เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
เริ่มแรกก็ต้องดูกันที่บรรยากาศโดยรวมของธุรกิจโลกว่าจะเป็นอย่างไร นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ รายงานว่า
ดิ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต พิจารณาพื้นฐานภาวะเสมอภาคแห่งอำนาจการซื้อ (purchasing power parity) และ
คาดการณ์ว่าการเติบโตของจีดีพีโลกไว้ที่ 4.6% ในปีหน้า ลดลงจากปี 2550 ที่อยู่ในระดับ 5.1% ทั้งนี้กิจกรรมทางธุรกิจส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งกลุ่มที่จะมีการเติบโตของจีดีพีสูงกว่า 7% คือ จีน อินเดีย และรัสเซีย ขณะที่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมร่ำรวยอย่าง สหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น จะมีการขยายตัวเพียง 1.8% เท่านั้น
นอกจากนี้ ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยในอเมริกาที่เป็นเรื่องใหญ่พอๆ กับการ ล่มสลายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอีกด้วย ดังนั้นในหลายประเทศ การขอสินเชื่ออาจทำได้ยากขึ้น เนื่องจากบรรดาธนาคารพาณิชย์จะเคร่งครัดเรื่องมาตรฐานการกู้ยืมมากยิ่งขึ้น แต่ธนาคารกลางของทุกประเทศทั่วโลกจะยังคงช่วยให้เงินสะพัดในตลาด เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะถดถอยอย่างหนักแก่เศรษฐกิจโลก ส่วนภาวะเงินเฟ้อในปีหน้ายังสามารถควบคุมได้ดี
ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนจะส่งผลดีต่อผู้ส่งออกอเมริกา แต่เป็นภาระสำหรับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้คาดว่าราคาน้ำมันจะยืนอยู่ที่ระดับประมาณ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าในปีนี้ ขณะที่ปริมาณอุปทานเริ่มปรับตัวสอดคล้องกับอุปสงค์ ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะสูงขึ้นเพียง 1% ลดลงจากอัตราการเพิ่มขึ้นในปีนี้ที่สูงถึง 16%
จึงกล่าวได้ว่าโดยทั่วไปแล้ว การค้าโลกจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 7.1% โดยจีนจะพยายามเรียกความมั่นใจของนานาชาติคืนมา ในแง่ของความปลอดภัยของสินค้าส่งออกของตน ด้านการค้าระหว่างตลาดเกิดใหม่จะเป็นภาคที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในการค้าทั่วโลก
คราวนี้มาดูแยกกันรายธุรกิจ เริ่มจาก
ภาคเกษตรกรรม
กระทรวงเกษตรของสหรัฐ ระบุว่า การส่งออกสินค้าเกษตรของอเมริกาจะมีมูลค่าสูงถึง 83.5 พันล้านดอลลาร์ในปีหน้า เพิ่มขึ้น 4.5 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่สูงขึ้น มากกว่าเป็นการเพิ่มปริมาณการส่งออก โดยประเทศในเอเชียจะมีความต้องการ พืชผล เช่น ถั่วเหลือง และฝ้าย มากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน
ความหลากหลายทางชีวภาพของภาคปศุสัตว์โลกจะลดลง โดยจะมีอย่างน้อย หนึ่งสายพันธุ์สูญพันธุ์ไปในแต่ละเดือน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า พันธุ์วัวควาย แพะ หมู ม้า และสัตว์ปีก ราว 20% มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ หากประเทศต่างๆ ขาดการบริหารจัดการแหล่งเพาะพันธุ์
นอกจากนี้
ความต้องการเอทานอลที่เพิ่มขึ้น จะกระตุ้นการผลิตน้ำตาล ซึ่งองค์การน้ำตาลนานาชาติ คาดว่าในปีหน้า นับถึงเดือนกันยายน จะมีการผลิตน้ำมันราว 170 ล้านตัน และอินเดียจะขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตเบอร์ 1 แทนบราซิล อย่างไรก็ตามจะมีการเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมมาปลูกพืชที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อพืชเพื่อการบริโภคอื่นๆ เช่น ส้ม
ด้าน
ราคาข้าวสาลีจะยังคงทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากสต๊อกทั่วโลกลดน้อยลง ทั้งนี้สมาคม ข้าวนานาชาติ คาดว่าตลอดช่วงปีหน้า นับถึงเดือนมิถุนายน 2551 มีการผลิตราว 607 ล้านตัน น้อยกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการผลิตที่น้อยลงในยูเครน และภาวะแห้งแล้งในอาร์เจนตินา และออสเตรเลีย ส่วนการค้าข้าวทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 2.3% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปี 2560 และความต้องการนำข้าวที่เพิ่มขึ้นของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา จะกระตุ้นการเติบโตของการค้าข้าวในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี
อุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3% ในปีหน้า เหตุจากตลาดอเมริกายังคงทรงตัว ขณะที่ยอดขายในตลาดในอินเดีย และจีน พุ่งพรวดถึง 14% และ 16% ตามลำดับ ส่วนยอดขายรถบรรทุก ทั่วโลกโตเกือบ 6% สะท้อนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในบรรดาตลาดเกิดใหม่
ด้านราคาน้ำมันแพงส่งผลให้มีความต้องการรถประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น โดยผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ นำโดยโตโยต้าและฮอนด้า จะหันมาสนใจรถไฮบริดหรือรถใช้พลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น โดยบางรายอาจเดินเครื่องผลิตรถประเภทนี้ในปีหน้า แต่รถแบบนี้ก็จะต้องขับเคี่ยวกับรถใช้น้ำมันดีเซล ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้เชื้อเพลิงแบบอื่นราว 20-30% พร้อมเครื่องยนต์ที่ทำงานได้ดีกว่า
ทั้งนี้ฮอนด้ากำลังมุ่งมั่นลงทุนในเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน ที่ปราศจากการปล่อยไอเสีย และวางแผนผลิตรถยนต์ FCX ในปีหน้า ด้านเจนเนอรัล มอเตอร์ ก็เตรียมวางตลาดรถพลังงานไฮโดรเจนในปี 2554
เมื่อมองภาพรวมของตลาด บริษัทรถญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะครองส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นในตลาดอเมริกาและยุโรป ขณะที่บริษัทรถยนต์จากจีนและอินเดีย จะชิงยอดขายในตลาดล่างได้สำเร็จ ก่อนสิ้นทศวรรษนี้
ธุรกิจพลังงาน
ทั่วโลกยังคงต้องการบริโภคพลังงานเพิ่มขึ้นในปีหน้า ท่ามกลางความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและราคาน้ำมันแพง การบริโภคน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 3.5% เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีนและอินเดีย
ขณะที่
การสำรองน้ำมันยังยากต่อการจัดการ ราคาน้ำมันจะยังคงทรงตัวในระดับสูงในปีหน้า หรือประมาณ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสำหรับน้ำมันดิบเบรนต์ ด้านกลุ่มโอเปกที่ชินกับผลประโยชน์ที่เกิดจากน้ำมันแพง จะไม่ค่อยสนใจที่จะเห็นราคาน้ำมันตกลงมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงในปี 2552 เมื่อแหล่งป้อนน้ำมันดิบแห่งใหม่ในอดีตสหภาพโซเวียตและประเทศในกลุ่มโอเปกบางแห่งสามารถเดินเครื่องผลิตเต็มที่ โดยซาอุดีอาระเบีย เผยว่าสามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่า 12 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2552 เพิ่มจาก 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2549
ด้านการบริโภคก๊าซธรรมชาติทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 3.4% ในปีหน้า และจะผงาดขึ้นเป็นแหล่งเชื้อเพลิงสำคัญอันดับ 2 แทนถ่านหิน ภายในปี 2558 นอกจากนี้จะมีความสนใจเรื่องพลังงานนิวเคลียร์มากยิ่งขึ้น โดยมีหัวหอกใหญ่คือ กลุ่มประเทศใหญ่ๆ ในอียู ญี่ปุ่น อเมริกา และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ ขณะที่จีนวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 30 แห่งในทศวรรษหน้าธุรกิจ
อาวุธยุทโธปกรณ์
ไม่ว่าจะมีการถอนกำลังทหารหรือไม่ สงครามในอิรักและอัฟกานิสถานยังคงต้องการงบฯ ด้านอาวุธ จึงแน่นอนว่าอเมริกาคือประเทศที่ใช้จ่ายเงินด้านนี้มากพอๆ กับงบฯ ของประเทศอื่นๆ ที่เหลือรวมกัน
ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ของบฯด้านทหารเพิ่มอีก 10% เป็น 481 พันล้านดอลลาร์ในปีหน้า ด้านอังกฤษ จะเจียดงบฯทหารเพิ่มเพียง 1.5% ต่อปี ในช่วงปี 2551-2554 ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าจีนจะมีงบฯทหาร กว่า 100 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ส่วนอินเดียจะใช้จ่ายงบฯ เพิ่มขึ้นอีก 7.8% เป็น 24 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่รัสเซียเตรียมทุ่มงบฯ ทหาร เพิ่ม 16.3% เป็น 36.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการลงทุนที่ใหญ่ขึ้นในช่วง 2 ปีต่อจากนี้
ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
ในปีหน้า
การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ด้วยยอดค้าปลีกทั่วโลกโตราว 3.3% ทั้งนี้ในช่วงต้นทศวรรษ ธุรกิจกลุ่มนี้ได้รับการกระตุ้นจากตลาดอเมริกา แต่ปัจจุบันนักช็อปจากตลาดจีน อินเดีย รัสเซีย และยุโรปตะวันออก เป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ
สำหรับในตลาดประเทศกำลังพัฒนานั้น ผู้บริโภคพร้อมจะจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อยเพื่อแบรนด์ที่มีคุณภาพสูง แต่ก็ยังต้องการซื้อสินค้าที่ใช้ประจำวันในราคาถูก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ปัจจัยนี้ส่งผลดีต่อดิสเคานต์สโตร์ ในตลาดที่เริ่มอิ่มตัว และเพิ่มโอกาสให้ร้านค้าประเภทนี้ในตลาดเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน อาทิ วอล-มาร์ต ตั้งเป้าว่า ยอดขายจากตลาดนอกอเมริกาจะเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ราว 22% ภายใน ปี 2553 ทั้งนี้ผู้บริโภคในจีนและรัสเซียจะจับจ่ายมากยิ่งขึ้นอีก 12% ในปีหน้า
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
คาดว่าปีหน้าจะมีชาวโลกเกือบ 1.5 พันล้านคน ใช้อินเทอร์เน็ต และราว 1 ใน 3 มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใช้ ทั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่จีนจะมีจำนวนผู้สมัครใช้บรอดแบนด์สูงกว่าอเมริกา โดย Ovum บริษัทวิจัยของอังกฤษ ระบุว่า ภายในปี 2553 ประชากร 21% ของจีนจะใช้บริการบรอดแบนด์
ไอดีซี บริษัทที่ปรึกษาคาดว่าปีหน้ายอดขายของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแบบบีทูบี จะแตะระดับ 650 พันล้านดอลลาร์ในอเมริกา ขณะที่ทั่วโลกจะมียอดขายราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการพัฒนาด้านการค้นหาข้อมูลจะช่วยดันยอดขายใหม่ๆ
นอกจากนี้ ในเอเชียจะเริ่มมีการวางแผนท่องเที่ยวออนไลน์ โดยยูโรมอนิเตอร์ คาดว่าภายในปี 2553 อินเดียจะมียอดจองโปรแกรมท่องเที่ยวผ่านทางอินเทอร์เน็ตมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และนักท่องเที่ยวจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน ก็พร้อมล็อกออน เพื่อหาข้อเสนอท่องเที่ยวที่ดีที่สุดเช่นกัน
ธุรกิจบันเทิง
เกิดการขับเคี่ยวระหว่างเทคโนโลยีบลู-เรย์ และเอชดี ดีวีดี เพื่อมาแทนที่ดีวีดียุคปัจจุบัน และคาดว่าจะเห็นผู้ชนะชัดเจนในช่วงสิ้นทศวรรษนี้ โดยปัจจุบันเอชดี ดีวีดี ยังคงเป็นผู้นำอยู่ เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่ำ
เอเชียจะเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงสุดด้านธุรกิจดนตรีที่มีการบันทึกเสียง ทั้งในรูปแบบแผ่น และการดาวน์โหลด โดยเติบโต 5.4% ต่อปี พร้อมตลาดเช่าวิดีโอ และภาพยนตร์ โต 4.5% ต่อปี และยังคงเป็นเจ้าตลาดเกมส์ ที่โตปีละ 10% ไปจนถึงปี 2554
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0205