หน้า 9 จากทั้งหมด 160
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 10:21 am
โดย edd
มาให้กำลังใจครับ ผมว่าที่นี่ มันไม่ใช่แค่กระทู้ธรรมดา มันเหมือนเป็น series ทีวีเรื่องยาวของฝรั่ง ที่สามารถฉายติดต่อกันได้เป็น 10 ปี ผมเข้ามาที่นี่ ส่วนใหญ่จะเข้ามาอ่าน ถามบ้าง ก็ได้รับความกรุณาจากพี่ตอบข้อข้องใจให้เสมอ
สำหรับสิ่งที่พี่รู้สึกตอนนี้ ผมว่าอย่าไปสนใจเลยครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของคนกลุ่มนี้ดี ผมก็เคยรู้สึก เพราำะสิ่งที่พี่พูดกันนั้น มันยากมากสำหรับคนกลุ่มอื่นๆ เขาไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง เพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหน โดยเฉพาะในเวลาอันสั้น ตลาดก็ขึ้นเอาๆ ทุกวัน ก็ต้องรู้สึกสับสนเป็นธรรมดาครับ...........ขนาด vi ที่ว่าแน่ๆ ก็คงรู้สึกเหมือนกันละครับถ้าหุ้นของตัวเองไม่ขยับเลย vi ถึงต้องมีความหนักแน่นจริงๆครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 11:37 am
โดย Jeng
อ่านไปอ่านมาหนุกดี
จริงๆแล้วแนวทางในการลงทุนนี้ เป็นเรื่องที่คุยกันไม่รู้จบจริงๆ
อย่างเช่นเว็บนี้ บางคนที่อ่านบ่อยๆ บอกว่าว่า ไม่ค่อยมีอะไรอัพเดด
ส่วนบางคนที่เพิ่งเข้ามา บอกว่าได้ความรู้เยอะดี
ไม่มีอะไรหรอกครับ ทุกท่าน คุยกันต่อไปเรื่อยๆ
ภาษาในเว็บมันเอื้อให้เราต้องคุยกันมากขึ้นครับ
เพราะกว่าจะเขียนให้เข้าใจกันได้ มันยากครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 11:42 am
โดย บุคคลทั่วไป
ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจครับ
ผมต้องบอกว่าผมไม่ได้โกรธพี่ประจวบเลยซักนิดเดียว เพียงแต่ผมทนไม่ได้กับความคิดของใครก็ตามที่ต้องการผลตอบแทนสูงๆแต่ไม่ศึกษาหาความรู้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยิน หรือได้ประสบพบเห็นมา ผมอยากบอกนักลงทุนหน้าใหม่ว่าอย่าดูถูกความรู้ครับ ไม่มีสูตรสำเร็จในตลาดหุ้นครับ ทุกอย่างท่านต้องลงมือลงแรงเองครับ ถ้าต้องการสูตรอะไรง่ายๆ ผมไม่มีให้ครับ
อาจารย์ Buffet เขียนไว้ชัดเจนครับว่า "We, at Berkshire Hathaway, don't do stock recommendation, but we are willing to discuss our investment philosophy" "พวกเราที่ Berkshire จะไม่ทำการแนะนำหุ้นให้กับใคร แต่เรายินดีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของเรา" ส่วนผม ผมปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์อย่างเคร่งครัดครับ
ผมอาจจะ Serious เกินไปอย่างที่คุณ Mon ว่าก็ได้ แต่ทำไงได้ก็คิดไปแล้ว
ต้องขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับสำหรับความห่วงไย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่ประจวบที่อุตส่าห์ติดตามผลงานของพวกผมและช่วยให้นึกถึงคำพระท่านอีกครั้งได้ ขอบอกอีกครั้งครับว่า "การลงทุนแนว VI สุดท้ายมีแค่ใบไม้ในกำมือเดียวจริงๆครับ" ตอนนี้ถ้ายังหาไม่เจอก็ต้องค้นหากันต่อไปครับ
ขอบคุณครับ
The Force will be with you.
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 11:54 am
โดย Jeng
เอ้า เข้าใจกันดีแล้ว ก็คุยกันต่อ
เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนบรรยากาศกัน รีก่า
อิอิ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 11:58 am
โดย Mon money
เซลสมองตายไปหลายเซลแล้วละครับ ระวังๆหน่อย
ระบายความในใจแล้วอย่าลืมหน้าที่ครับ ผมมีคำถามรออยู่ข้างบน ห้ามฟลุ๊คเวิคครับ ปล่อยขวาตรงมาเลย
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 12:17 pm
โดย Jeng
ไทยรัฐ ไม่ค่อยได้ซื้อ เอ็มเค นานเข้าที แต่ถ้าจะกินสุกี้ก็ต้องเข้า เอ็มเค
แต่ฟูจินี่ซิ ไปบ่อยเหมือนกัน ชอบมาก ทั้งๆที่อาหารก็แพง
ล่าสุดเพิ่งไปดิน สาเกบ๊วย ขวดเล็กๆ 350 บวกเซอร์วิสชาร์ตเข้าไปอีก 10 เปอร์เซ็นต์ เป็น 385 บาท กินแล้วก็อร่อยดี เหล้ารสบ๊วย
ตั้งแต่เข้าฟูจิมา คนแน่นตลอด เข้ามาหลายปีแล้วตั้งแต่เปิดใหม่ๆ คนก็ยังแน่น แปลกดีนะครับ
ถ้าจะว่ามีโออิชิ ที่กินแบบบุฟเฟ่ โออิชิก็คนแน่นอีก
งงเหมือนกันไปกินกันทำไม
แต่ส่วนตัวแล้วถ้าจะไปกินอาหารญี่ปุ่นก็นึกถึง ฟูจิก่อนเลย
ราคาแพง แต่คนแน่น แบบนี้เรียก DCA ได้หรือไม่ วิเคราะห์เชิงคุณภาพนะ ไม่ใช่ปริมาณ
แต่ถ้าจะนัดกันเป็นกลุ่มเล็กๆ คุยกันสนุกๆ ซัก 8 ไม่เกิน 10 คน ผมแนะนำ
ที่โรงแรมเรดิสัน พระราม 9 ครับ ชั้นล่างมีร้านอาหารญี่ปุ่น กินแบบบุฟเฟ่ หัวละ 400 บาท กินได้ไม่อั้น อาหารอร่อย และหลากหลาย
ถึงแม้อาหารไม่มากเท่าโออิชิ แต่ดูปราณีตกว่า ที่สำคัญ คนไม่พลุกพล่าน เหมือน โออิชิ ครับ
นั่งคุยกันเรื่องหุ้น คุยกันไปกินกันไป สบายมากครับ เปิดตอน 10.30 ปิดตอน บ่ายสอง เหมาะสำหรับนัดกลุ่มเล็กๆมานั่งวางแผนกันว่า TVI meeting ครั้งที่ 3 จะทำอย่างไรดี
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 1:25 pm
โดย VIB007
ไม่รู้ว่าพี่เจ๋งถือหุ้นโรงแรมเรดิสัน พระรามเก้า หรือเปล่า เห็นเชียร์จัง หรือไปแถวพระรามเก้าแต่อุดหนุนคุณชูวิทย์ก็ไม่ทราบได้ ฮิ ฮิ
สำหรับผม หลังจากมองด้วยตาแล้วว่าธุรกิจน่าจะดี ผมจะใช้พลังทั้งห้าของอาจารย์ Porter มาวิเคราะห์ต่อครับว่าบริษัทนี้มีความสามารถทางการแข่งขันจริงๆหรือเปล่า สายตาของเราหลอกเราหรือเปล่า
พลังทั้งห้าประกอบด้วย
พลังแรกก็คือ การคุกคามจากบริษัทหน้าใหม่
พลังที่สองก็คือ ภาวะการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม
พลังที่สามก็คือ สินค้าทดแทน
พลังที่สี่ก็คือ อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ
พลังข้อสุดท้ายก็คือ อำนาจต่อรองของผู้ป้อนวัตถุดิบ
(ก๊อปปี้มาจากบทความของอาจารย์นิเวศน์เลยนะครับเนี่ย ขออนุญาตขอใช้ลิขสิทธิ์ตอนนี้เลยนะครับ)
ผมขอใช้ MK มาป็นตัวอย่างแล้วกันนะครับ เริ่มเลยนะครับ
การคุกคามจากบริษัทหน้าใหม่ จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นใครจะเข้ามาในตลาดสุกี้เลย ต้องลงทุนสร้างร้าน ลงทุนโฆษณามากพอดู ใครจะเข้ามาต้องคิดหนัก ข้อนี้MKสอบผ่านครับ
ภาวะการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม มีคู่แข่งแค่สองสามราย แต่ก็สู้ไม่ได้ ใกล้เคียงที่สุดก็โคคา แต่บริการและสถานที่ยังห่างชั้นอีกหลายขุม MKสอบผ่านครับ
สินค้าทดแทน ถ้าเราหิวคงหาร้านอาหารทานได้ไม่ยากสำหรับเมืองไทย ข้อนี้ผมให้ MK แค่เกรด C ครับ
อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ ข้อนี้ไม่ต้องพูดถึง ลูกค้ามีเป็นล้านๆรายอย่างนี้ อำนาจต่อรองของผู้ซื้อแทบจะไม่มีเลย ผมให้ MK เต็มสิบ
ข้อสุดท้าย อำนาจต่อรองของผู้ป้อนวัตถุดิบ วัตถุดิบของ MK เป็นอาหาร หมู เห็ด เป็ด ไก่ ผัก ปลา ซึ่งเป็นสินค้า Commodity หาซื้อที่ไหนก็ได้ เผลอๆกลายเป็น MK ซะอีกที่มีอำนาจต่อรอง ข้อนี้ผมให้ MK มากกว่าเต็มสิบ
จากการวิเคราะห์พลังทั้งห้า สรุปว่า MK แข็งแรงมากเกือบทั้งหมด ยกเว้นสินค้าทดแทน แต่เท่าที่สังเกตุดู คนก็ยังไปทานที่ MK อยู่ดี เพราะฉะนั้นตอนนี้ไว้ใจได้ อย่างนี้ผมถือว่า MK มี Competitive Advantage แน่นอนชัวร์ป้าบ
แล้วคุณ Mon และเพื่อนๆล่ะครับ คิดว่ามีธุรกิจไหนที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่สอบผ่านพลังทั้งห้าบ้างละครับ
ปล. คุณ Genie ช่วยลบโพสผมข้างบนที่ซ้ำกันออกอันนึงด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 7:51 pm
โดย chatchai
เพื่อนๆรู้ไหมครับว่าเจ้าของ MK สุกี้นั้นเป็นผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกับ SE-ED ครับ เป็นเพื่อนเรียนวิศวะเหมือนกันครับ
น่าประทับใจในการบริหารไหมครับ ผมยังมีความคิดที่จะให้ลูกเรียนโรงเรียนที่ทาง SE-ED ลงทุนร่วมกับทีมงาน Plan Publishing (ทีมงานหนังสือรักลูก)
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 8:35 pm
โดย ปรัชญา1
Mon money เขียน:เอ้า เลยไม่มีใครร่วมกับผมหาบริษัทและสินค้าที่เห็นว่ามี Competitive Advantageอีกเลย อย่าลืมซิครับ คุณวิบูลย์ คุณฉัตรชัย พี่เจ๋ง พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด และท่านอื่นๆด้วยนะครับ
ช่วง2เดือนนี้ ไม่มีเวลาหาอะไรเลยครับ
มัวแต่ไกวเปลไปกับเขา ขอตามอ่านคุณมนและให้กำลังทุกคนครับ
มีดีดี ก็บอกกันบ้าง จะได้ร่วมขบวนการสอยดาว
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 10:11 pm
โดย thanwa
ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ อ่าน form 56-1 ของ STANLY หรือยัง
มีการพูดถึงพลังทั้งห้าของตัวเองด้วย (ถ้าจำไม่ผิด)
ผมว่า ใกล้เคียงกับ MK ที่คุณวิบูลย์กล่าวถึงเลยละ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2003 11:33 pm
โดย Buzz
ขอแจม เรื่อง DCA ด้วยคนครับ
จริงๆแล้วโดยหลักการผมก็ใช้ 5 Forces (พลังทั้ง 5 )เป็นหลัก (เข้าใจว่า
นี่เป็นสูตรของ ไมเคิล อี พอร์เตอร์)แบบพี่ VIB007 ครับ แต่....จุดที่ พี่ MON กล่าวว่า เพื่อดู long term prospect ทำให้โดยส่วนตัวผม Advance สูตรนี้ด้วยการเพิ่มอีก 2 หัวข้อย่อย
1.work in their favor ; ดำเนิน/ขยาย ธุรกิจที่ตัวเองเชี่ยวชาญ กรณีศึกษา จาก บ. ยิลเลตต์ขายมีดโกนหนวด ไปเทคโอเวอร์ บ.ขายยา และ บ.ผลิตนาฬิกา สุดท้ายเจ๊งทั้ง 2 กิจการ.....บ้านเราก็มีกรณีอย่างนี้เหมือนกัน เช่น กรณีของ บะหมี่ 4 me.
2.innovation/re-innovate ; ผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นของ เกิดใหม่ ไม่เคยมีในโลกนะครับ อาจจะแค่ลด/เพิ่ม size,เปลี่ยนโฉม
บรรจุภัณฑ์ เพื่ออุดช่องว่างและป้องกันการเข้ามาของคุ่แข่งรายใหม่
และ/หรือ เพื่อขยาย line product ของตัวเองออกไปเพื่อเพิ่มยอดขาย
เรื่องตรงนี้ผมว่าเป็นการตรวจสอบ vision ของผุ้บริหารด้วยครับว่า มีความสามารถเพียงใด
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 12:25 am
โดย Buzz
สาเหตุที่เพิ่มอีก 2 หัวข้อไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพียงแต่คิดว่า ถ้าลำพัง
5 forces จะได้แค่ Durable เฉยๆ และที่สำคัญ ผมคิดว่ามันเป็นแค่
Snap shot (ขออนุญาต ยืมคำทางบ/ช ของพี่ มน ครับ)คนวิเคราะห์จะ
เห็นภาพอดีตที่ผ่านมา และ ปัจจุบันของธุรกิจ ว่าดี เช่น สุกี้ MK ดีจริงครับ แต่ด้วย LIfe stlye ที่ไม่มีใครกิน สุกี้ ได้ทุกวัน และ Trend (กระแส) ของอาหาร ญี่ปุ่นที่มาแรง Fuji; Oishi; ZEN .....ผมเชื่อมั่นว่า
Market share ของสุกี้ น่าจะลดลง(ยังไม่เกี่ยวข้องกับตัวเลข ทางบ/ช นะครับ) และเพราะเจ้าคำว่า trend นี่แหละที่ทำให้สินค้าดีๆตกยุคมาเยอะแล้ว........ส่วนเรื่อง innovation ที่เห็นชัดเช่น ซ้อสมะเขือเทศ ที่ อเมริกา สี ม่วง ครับ (ขออภัย ท่านผู้ชม นึกตัวอย่างส/ค ในบ้านเรา ไม่ออก)ขายดิบ ขายดี ถูกใจเด็กๆมากครับ.......ถ้าธุรกิจทำได้แบบนี้ผมจึงจะคิดว่ามี Competitive Advantage in Long term ครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 10:20 am
โดย VIB007
เห็นด้วยกับคุณ Buzz เป็นอย่างยิ่งครับ
บริษัทที่มีเงินเหลือมากๆมักจะทำอะไรงี่เง่าๆ เช่น เทคโอเวอร์บริษัทที่ไม่ได้เกี่ยวกับ Core Business หรือ เทคบริษัทที่มีผลประกอบการแย่ๆ เขาเรียกกันว่า Diworsification ครับ นักลงทุนต้องระวังผู้บริหารที่ทำอะไรนอกลู่นอกทางอย่างนี้
การเพิ่ม Share Holder Value ทำได้หลายอย่างครับ เช่น
-ซื้อหุ้นคืน
-ขายสินค้าเดิมให้มากขึ้น
-ลดต้นทุน
รวมทั้ง การออกผลิตภัณท์ใหม่ๆก็เป็นการเพิ่ม Value ของบริษัทด้วยครับ
เพื่อนๆที่มีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่เราคุยกันในกระทู้นี้ ส่งเข้ามาได้เลยครับ ผิดถูกไม่สำคัญ เราช่วยกันค้นคว้าค้นหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนของเราร่วมกันครับ
คุณ Mon หายไปไหนนะเนี่ย
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 10:41 am
โดย หนูนา
อ่านแล้วได้ความรู้ดีมากๆเลยนะคะ แต่ว่าต้องขอทำการบ้านเพิ่มขึ้นอีกนิดนึงนะคะ เพราะว่ารู้สึกว่ามีอะไรที่เราไม่เข้าใจเต็มไปหมดเลยค่ะ
สำหรับที่มีพี่ๆเกิดเสียใจในเรื่องที่อยากให้ผู้ลงทุนหัดหาความรู้บ้าง คิดว่าพี่ๆอย่าคิดมากเลยค่ะ พี่ทำดีที่สุดแล้วค่ะ ทุกอย่างในโลกนี้อาจมีคนที่คิดแตกต่างจากเราไปบ้างก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ แต่หนูขอย้ำนะคะว่าเวบนี้ดีมากๆสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ทั้งหลาย หนูเองเพิ่งจะเข้าตลาดได้ไม่นาน แต่ก็ได้อาศัยอ่านเอาประสบการณ์และความรู้จากเวบนี้มากพอดู ทำให้ได้แหล่งข้อมูลและหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมได้หลายเล่มเลยล่ะ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะยังไม่สามารถนำมาใช้กับตัวเองได้ก็ตาม แต่มีอีกนิดนะคะ คือภาษาบางอย่างมันค่อนข้างเป็น technical term บางคนเข้ามาอ่านแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจน่ะคะ ซึ่งตัวเองก็เป็นเหมือนกัน ก็พยายามตามๆและถามพี่ๆในเวบเอาบ้าง ซึ่งก็ค่อนข้างได้ความกรุณาอยู่มากๆ อยากจะขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กับพี่ๆอีกครั้งนะคะ
ปล. ถ้ามี meeting อีกคราวหน้าจัดวันอาทิตย์อีกนะคะ จะพยายามหาเวลาไปให้ได้เลยค่ะ มี work shop ให้อีกก็ดีนะคะ แล้วช่วยบอกการบ้านที่อยากให้เตรียมตัวไปด้วยจะได้คุยกันรู้เรื่องค่ะ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 11:30 am
โดย VIB007
ว้าว! Lady VI คนแรกที่โพสเข้ามาที่กระทู้นี้ ยินดีต้อนรับครับ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ ขอให้มีความรู้เพิ่มขึ้นมากๆ
มีคำถามของคุณ Num เรื่องการลงทุนแบบมีส่วนได้เสีย ที่ผมฝากพี่Chatchaiตอบแล้วแกชิ่งผมไป
ก่อนตอบ ผมขอถามคุณNumก่อนแล้วกันว่าไปเจอมาจากไหน เป็นอย่างไร ช่วยอธิบายขยายความด้วยครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 2:53 pm
โดย Num
ผมขอเป็นกำลังใจให้พี่ๆทุกคนที่ทั้งให้ความรู้และให้ความเห็นครับ ผมขอตอบพี่วิบูลย์เลยครับว่าผมไปเจอที่งบการเงินของบริษัทหนึ่ง ขอยกตัวอย่างเป็น บริษัท ก. นะครับ บริษัท ก.ถือหุ้นในบริษัท ข. อยู่ 50% ของทุนจดทะเบียน 50 ลบ. ช่องราคาทุนเขาจะลงไว้ 25 ลบ. ส่วนช่องเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียเขาจะลงไว้ 170 ลบ.อยากให้พี่อธิบายความหมายของเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียหน่อยครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 3:31 pm
โดย VIB007
ตอบคุณ Num
เออ.... พอดีความรู้บัญชีมีจำกัดจริงๆ ตอบลอยๆลำบาก อย่างนี้ต้องดูของจริงครับ จะช่วยได้มาก ช่วยบอกชื่อบริษัทและปีและไตรมาศมาเลยครับ จะแกะดูซะหน่อย ไม่ต้องกลัวว่าจะชี้นำเพราะเรานำมาเป็นตัวอย่างวิเคราะห์ ผมว่าน่าสนใจน่ะ ผมจะได้เข้าใจด้วย ต้องบอกว่าผมไม่รู้ทุกเรื่องหรอกครับ ทุกวันนี้ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ช่วยๆกัน สนุกดี
ผู้รู้ท่านใดเข้าใจ ช่วยตอบด้วยนะครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 3:40 pm
โดย VIB007
ผมมีคำถามสำหรับทุกท่านในวันหยุดครับ
คำถามที่หนึ่งมีอยู่ว่า รถยนต์ที่ท่านใช้อยู่ทุกวันนี้ ท่านใช้มาแล้วกี่ปี
คำถามที่สอง ท่านรู้มั๊ยว่า Warren Buffet ใช้รถยนต์คันเดิมมาแล้ว 9 ปียังไม่ได้เปลี่ยนใหม่
คำถามที่สาม มีใครตอบได้มั่งว่าทำไม Buffet ถึงไม่ซื้อรถใหม่
รู้แล้วส่งคำตอบมาได้เลยครับ ผมจะเฉลยในวันจันทร์ครับสำหรับคำถามนี้
ตอนนี้ Happy Holiday นะครับ
See You!!!
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 8:53 pm
โดย chatchai
น้อง VIB007 ครับ ขอตอบข้อแรกก่อนนะครับ ผมขับ MAZDA มาแปดปีแล้วครับ ข้อสองเดี๋ยวค่อยมาตอบนะครับ
ส่วนคำถามของคุณ NUM เดี๋ยวผมจะมาช่วยตอบนะ อาทิตย์นี้ไม่ว่างเลย มีธุระออกจากบ้านทุกวัน
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 9:22 pm
โดย ลูกอิสาน2
เรียนคุณนัม...
:lol: (ขอตอบก่อนคุณฉัตรชัยนะครับ ผิดถูกอย่างไรช่วยเสริมด้วยครับ)
ปกติส่วนใหญ่บริษัทแม่มีบริษัทลูก ซึ่งเรียกตามเปอร์เซนต์ที่ถือหุ้น คือ..
1.บริษัทย่อย คือบริษัทลูกที่บริษัทแม่ถือหุ้นมากกว่า 50 % หรือมีอำนาจในการบริหารอย่างมีนัยสำคัญ ในงบการเงินจะคิดรวมยอดขายและกำไรของบริษัทย่อยไปด้วยครับ (ซึ่งก็คือช่อง งบการเงินรวม และีอีกช่องจะเป็นงบเฉพาะบริษัท ซึ่งคืองบของบริษัทแม่อย่างเดียว)
กำไรที่รวมของบริษัทย่อย จะหักออกในหัวข้อ กำไรของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยครับ.. (บรรทัดสุดท้ายก่อน กำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุน)...
2.บริษัทร่วม คือบริษัทย่อยที่บริษัทแม่ถือหุ้นประมาณ 25- 49 % และอาจมีส่วนบริหารบ้าง ในงบการเงินจะแสดงเงินลงทุนในบริษัทย่อยนี้ 2 วิธี คือ
2.1 วิธีราคาทุน (ที่คุณนัมถามนั่นละครับ) ซึ่งเป็นวิธีแสดงราคา"ทุน" ของเิงินลงทุนนั้น คือเป็นราคาที่บริษัทแม่จ่ายไปครั้งแรก ที่ซื้อหรือร่วมหุ้น บริษัทย่อยนั้น...
2.2 วิธีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นวิธีแสดงเงินลงทุนในบริษัทย่อย ณ.ปัจจุบัน ครับ คือ
เนื่องจากบริษัทดำเนินกิจการผ่านไป ย่อมมีผลกำไรขาดทุน ซึ่งทำให้เกิดกำไร-ขาดทุนสะสม ดังนั้นจึงต้องแสดงส่วนกำไร-ขาดทุนสะสมนั้น (ตามสัดส่วนที่ถือหุ้น) ในงบการเงินของบริษัทแม่ครับ.....
ดังนั้นจะพบว่า ส่วนใหญ่หากกิจการบริษัทย่อยมีผลกำไรสะสม เงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียจะสูงกว่าวิธีราคาทุนเสมอ แต่กลับกันหากบริษัทย่อยขาดทุนสะสม จะทำให้วิธีทุนราคาสูงกว่า.....ผมคิดว่าวิธีที่เราดูควรเป็น วิธีส่วนได้เสียมากกว่าครับ..... :lol:
3. บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน มักถือหุ้น 1-20 % และไม่มีอำนาจบริหาร หรืออาจจะมีผู้ถือหุ้น-บริหารร่วมกัน มักจะแสดงเงินลงทุนวิธีราคาทุนครับ ...ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเลยครับ ..เพราะเงินลงทุนที่แสดงไม่สะท้อนความเป็นจริง บางครั้งกำไร ของบริษัทย่อยมากกว่าบริษัทแม่อีกครับ ถึงแม้จะบริษัทแม่จะถือหุ้นไม่มาก แต่กำไรของบริษัทย่อย มีนัยสำคัญกับบริษัทแม่เลยครับ... ยกตัวอย่างเช่นหุ้นกลุ่ม สหพัฒน์ครับ....
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 9:38 pm
โดย ปรัชญา1
VIB007 เขียน:ผมมีคำถามสำหรับทุกท่านในวันหยุดครับ
คำถามที่หนึ่งมีอยู่ว่า รถยนต์ที่ท่านใช้อยู่ทุกวันนี้ ท่านใช้มาแล้วกี่ปี
คำถามที่สอง ท่านรู้มั๊ยว่า Warren Buffet ใช้รถยนต์คันเดิมมาแล้ว 9 ปียังไม่ได้เปลี่ยนใหม่
คำถามที่สาม มีใครตอบได้มั่งว่าทำไม Buffet ถึงไม่ซื้อรถใหม่
รู้แล้วส่งคำตอบมาได้เลยครับ ผมจะเฉลยในวันจันทร์ครับสำหรับคำถามนี้
ตอนนี้ Happy Holiday นะครับ
See You!!!
ตอบแล้วได้รางวัลด้วยล่ะ
รถกะบะใช้มา2ปีแล้ว ก่อนนั้นใช้มา5คันกะบะหมด
คันที่1.เสียซ่อมไม่ไหวเลยขายไป
คันที่2.ขับไปชนมอเตอร์ไซด์ที่โนนสูงบุรีรัมย์ เพราะมอตำไซด์ตัดหน้ากระชั้นชิด คนขับมอเตอร์ไซด์ขาหัก รถผมตกถนน กว่าจะเคลียร์ตำรวจและค่าทำขวัญ เสียเวลาพร้อมค่ารักษาเขา
รอเสร็จคดีไม่ไหวขายไป
คันที่3.จอดอยุ่หน้าบ้านขึ้นมาอาบน้ำแล้วจะไปงานตอน2ทุ่มถูกเขายืมไปใช้ไม่เอามาคืนเลยต้องซื้อใหม่
คันที่4.ขับไปด้วยความเร็ว140ทาง4เลนบนถนนมิตรภาพ
เจอทหารขี้เมาขับรถข้ามยูเทรินมาชนแหลกไป1ซีกคันรถ
ล้อแม็กแตก เพลากลางขาด เปลี่ยนแก้ม เปลี่ยนประตู กระจกไม่ต้องพูดถึง รอดตายมาได้ก็บุญแล้ว
รอซ่อมไม่ไหวซ่อม4เดือนกว่าเลยซื้อใหม่
คันที่5.กำลังใช้อยู่ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุหรือหาย คงใช้ไปไม่มีกำหนด
แต่ชีวิตเซลแมนขับรถปีละแสนกว่ากิโลเมตร คงเอาแน่อะไรไม่ค่อยได้
เลยไม่ขอเอาไปเทียบกับเขา ซึ่งเขาขับ10ปี จะได้เข็มไมล์เท่าผมหรือเปล่า ต่างคน ต่างสภาวะ ต่างสถานที่ และต่างตัวบุคคล ผมคงจะไม่กล้าไปเปรียบกับเขาหรอกครับ หลีกทางให้เลยตามบาย
.
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 10:05 pm
โดย thanwa
คุณวิบูลย์ถามคำถามยากจริงๆ
ผมตอบได้ข้อแรกข้อเดียว
มีรถคนหนึ่งที่ใช้อยู่เกือบสองปี ซื้อมือสองมาจากเพื่อน
เจ้าของเดิมใช้มาแล้ว 7 ปี เอามายกสูงอีก 3-4 นิ้ว
เอาไว้ออกป่าครับ ตอนนี้บันไดทั้งด้านซ้าย ด้านขวาเยิน
ก็เพราะ ผลพวงมาจากทุ่งใหญ่นเรศวรเมื่อหน้าแล้งที่ผ่านมา
ใครสนใจเรื่องเที่ยวป่า ตั้งแคมป์ ก็แวะเข้าไปชมได้ที่
www.thailandoutdoor.com เป็น web ที่ดีมาก
ขอโปรโมทให้ตาเกิ้นหน่อย
นอกเรื่องลงทุนไปบ้าง เพื่อนๆ คงไม่ว่ากันนะครับ
รออ่านเฉลยจากคุณวิบูลย์อยู่ครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 26, 2003 10:48 pm
โดย chatchai
ขอบคุณคุณลูกอีสานที่ช่วยตอบแทนครับ
ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆให้ดูละกัน
บริษัท A ถือหุ้นบริษัท B อยู่ 50% และไม่มีรายการเกี่ยวข้องกันเลย
บริษัท B มีทุน 100 บาท บริษัท A ใช้เงินลงทุนใน B จำนวน 50 บาท
รายการ------------บริษัท A------------บริษัท B------------บริษัท A และบริษัทย่อย
เงินสด--------------------------100---------------------20----------------------120------
ลูกหนี้การค้า-------------------200---------------------60----------------------260------
สินค้าคงคลัง-------------------300---------------------60----------------------360------
เงินลงทุน-----------------100------------------0----------------------0------
สินทรัพย์ถาวร------------------500--------------------160----------------------660-----
สินทรัพย์รวม------------1200---------------300------------------1400----
เงินกู้ยืม------------------------200----------------------50----------------------250-----
เจ้าหนี้การค้า------------------200----------------------50----------------------250-----
หนี้สินรวม----------------------400---------------------100----------------------500-----
ทุนจดทะเบียน-----------500-----------------100-------------------500-----
กำไรสะสม----------------300----------------100--------------------300----
ส่วนผู้ถือหุ้น---------------800----------------200--------------------900----
ส่วนผู้ถือหุ้นส่วนน้อย-------0--------------------0--------------------100----
รวมส่วนผู้ถือหุ้นและหนี้สิน-1200------------300------------------1400----
หมายเหตุก็จะระบุว่า เงินลงทุน วิธีทุน 50 บาท วิธีส่วนได้เสีย 100 บาท
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 27, 2003 6:43 pm
โดย VIB007
ขอบคุณคุณลูกอีสานกับพี่Chatchai ครับ
ใครไม่เข้าใจถามต่อคุณพี่สองท่านนี้ได้ครับ ผมยังงงๆอยู่เลยชอบลงทุนในบริษัทอะไรที่มันดูงบง่ายๆแทนบริษัทที่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อน ความรู้เลยน้อยตามไปด้วย
เอ้า ใครยังไม่ได้ส่งคำตอบเรื่องรถของท่านและรถของ Buffet ตามคำถามข้างบน รีบๆหน่อยนะครับ ใครตอบได้คนแรกรับรางวัลจากคุณ Mon ได้เลยนะครับ (เป็นรางวัลอะไรผมก็ไม่รู้ ยังไม่ได้บอกแกเลย ไม่รู้ว่าจะโดนไล่เตะหรือเปล่าเนี่ย แต่เอ....คุณMon หายไปไหนอีกแล้วน่ะ)
ส่วนพี่ปรัชญากับคุณธันวาตอบคำถามไม่ครบ 3 ข้อ ถูกตัดสิทธิ์ครับ
สวัสดีครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 27, 2003 9:21 pm
โดย _THiNK_
ข้อหนึ่ง ... เจ็ดปีครับ
ข้อสอง ... เคยรู้ แต่ลืมไปแล้ว
ข้อสาม ... บัฟเฟท์คงคิดว่าเอาเงินไปลงทุนจะดีกว่า
ส่วนผม ... ไม่มีตังซื้อใหม่ คิ ๆ (กลัวจังว่าอีกสองสามปีข้างหน้า ถนนกทมจะกลายเป็นที่จอดรถอีกครั้งหนึ่ง)
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 28, 2003 4:20 pm
โดย WEB
Warren has not bought a new car because he feel certain that he can invest that money and earn rate of return of 20 % or better. Another reason is that he does not place much value on a new car. For Warren, a car is a car and it is not necessary to be fancy or luxurious. However, he will buy everything he likes. He is not a kind of people who do not want to spend any money. He has a private jet because he loves to travel. Value investors are not people who keep every penny to invest but they will only buy things which have so much value for them.
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 28, 2003 10:04 pm
โดย Mon money
ผมใช้มา7 ปีแล้วครับ คู่ชีพผมเลยละ
เคยรู้ครับ อ่านเจอในหนังสืออะไรสักเล่มหนึ่ง
คงมีความคิดคล้ายๆกับผมนั่นแหละ และคุณ วิบูลย์ล่ะ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 29, 2003 9:03 am
โดย VIB007
สวัสดีตอนเช้าครับ วันนี้ต้องไปข้างนอกเลยขอเฉลยคำตอบก่อน
รถคันเก่าผมใช้ไป 7 ปีครับ พอดีบริษัทที่ทำงานอยู่ใจดีซื้อรถใหม่ให้ผมใช้ฟรีๆ ผมเลยขายคันเก่าไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้เลยไม่มีรถเป็นของตัวเอง (เฮ้อ เศร้า)
ส่วน Warren Buffet ใช้รถคันเดิมมา 9 ปี ผมคิดว่าผมคงรู้ล่ะน่ะ ไม่งั้นก็ตั้งคำถามไม่ได้
ส่วนคำถามข้อสุดท้าย ทุกท่านตอบได้ใกล้เคียงมากครับ แต่ผมขอขยายความหน่อยแล้วกัน เรื่องมีอยู่ว่ามีคนเห็น Buffet เป็นเศรษฐีสามสิบพันล้าน(เหรียญ) แต่ขับรกเก่าๆ ยี่ห้อ Lincoln รุ่น Towncar ซึ่งที่อเมริกาเขาใช้เป็นแท๊กซี่กัน ก็เลยถาม Buffet ว่าทำไมไม่ซื้อรถเบนซ์ใหม่ๆมาใช้ สมฐานะกว่า อาจารย์Buffet ของผมไม่ตอบครับ ยังคงขับรถคันเดิมไปทำงานเหมือนเดิม
คนถาม (ผมใช้ชื่อว่า A แล้วกันครับ) เลยไปถาม Charlie Munger เพื่อนซี้ของ Buffet ว่าทำไม Buffet ไม่ยอมซื้อรถใหม่ ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาของสองคนนี้นะครับ (ผมดัดแปลงบทเล็กน้อย)
Munger ถามว่า "คุณว่ารถเบนซ์คันเท่าไหร่"
Mr.A: "40,000 เหรียญ"
Munger: "รถ Lincoln Towncar คันละเท่าไหร่"
Mr.A: "15,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันราคาต่างกันเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันนี้ไปถึงที่ทำงานได้เหมือนกันหรือเปล่า"
Mr.A: "เหมือนกัน แต่เบนซ์โก้กว่ามาก"
Munger: "คุณว่าความโก้ของคุณราคาเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "นั่นเป็นมูลค่าความโก้ของคุณ แต่ไม่ใช่มูลค่าความโก้ของBuffet "
Mr.A: "ไม่เข้าใจ"
Munger: "ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% ถามว่ามูลค่าความโก้คุณจะเป็นเท่าไหร่"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "31,000 เหรียญ" (25000*1.24)
Munger: "เอางี้ ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ มูลค่าความโก้ของคุณคือ 1,022,420 เหรียญ"
Mr.A: "ไอ้หย๋า ซี้เลี้ยวหว่า เป็นไปได้ยังไง"
Munger: "ก็ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% อัตราเงินเฝ้อที่ 3% มูลค่าความโก้ของคุณก็คือ 25,000*(1+.24)^20/(1
.03)^20 = 1,022,420 เหรียญ"
Munger: "ถามว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะซื้อรถมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญหรือเปล่า"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "ซื้อครับ"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อย่าคุยเรื่อง Value Investing กับคนอื่น เขาจะหาว่าคุณบ้า" 555555555555555555
ผมถามพี่ปรัชญาและเพื่อนๆแล้วกันครับว่า ถ้าพี่และเพื่อนๆมีเงินพันล้าน (บาท) พี่จะยังขับรถกระบะหรือเก๋งญี่ปุ่นให้คนอื่นหัวเราะเยาะเหมือน Buffet หรือเปล่า ฮิ ฮิ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 29, 2003 12:51 pm
โดย Mon money
ผมมีเพื่อนซี้มากๆอยู่คนหนึ่ง เมื่อแรกเริ่มเดิมทีเลยก็ทำงานอยู่ที่เดียวกัน ตำแหน่งเดียวกัน โตเป็นผจก.เหมื่อนกันปีเดียวกันด้วย เวลาผ่านไป 3ปี ผมตำแหน่งเท่าเดิม เพื่อนผมมันเก่งกว่าผมมากโตกว่าผมอีกสองขั้น มีเงินเดือนเป็นแสน มีรถประจำตำแหน่งโก้มากทีเดียวครับ
มีวันหนึ่งเมื่อ2ปีที่แล้วเพื่อนคนนี้ได้โบนัสมาหนึ่งแสนบาท ผมได้มา 70,000 บาท เพื่อนซี้ผมเอาเงินไปปูพื้นบ้านที่มันเองยังไม่รู้เลยว่าจะไปอยู่เมื่อไรด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้ทำความสะอาดบ้านให้ดูสวยได้ ส่วนผมไม่ใช้เอาไปลงทุนในหุ้นบริษัทหนึ่งในราคา35บาทต่อหุ้นได้มา2,000หุ้น ตอนนี้ก็ยังถืออยู่ ราคา120บาท บวกกับปันผลสองครั้ง 3.5 บาทกับ5บาท ผมได้ผลตอบแทนประมาณ 50กว่าเปอร์เซนต์ต่อปี ส่วนเพื่อนซี้ของผมตอนนี้ประกาศขายบ้านในราคาที่ซื้อมาเมื่อห้าปีที่แล้วเพราะต้องการนำเงินมาทำธุรกิจ ดังนั้นเงินที่ลงไปก็เท่ากับต่ำกว่า0เสียอีก เงิน100,000บาทของเขาทำอะไรที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้เขา เงิน 70,000ของผมสร้างมูลค่าเป็น 240,000 บาท ไม่นับปันผล
เมื่อ2ปีที่แล้วอธิบายอย่างไรก็ไม่เชื่อ ตอนนี้เห็นพี่เขยเขาเล่าให้ฟังว่าเจ้าเพื่อนซี้ของผมงัดเอาหนังสือตีแตกที่ผมซื้อให้อ่านเมื่อสองปีก่อนมาปัดฝุ่นอ่านก่อนนอนทุกวัน แต่มันไม่มีเงินลงทุนครับ รายจ่ายรัดตัว ไม่มีเงินเก็บเพราะทะลึ่งเอาไปทำอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์หมด สุดท้ายก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในวงจรมนุษย์เงินเดือน ส่วนผมเป็นไทแก่ตัวเองแล้วครับ ขอบคุณ Power of compoundingจริงๆครับ
ส่วนรถของผมถ้ามันเกเรมากๆก็จะขายออกไปแล้วซื้อรถมือกะบะที่สภาพดีๆขับชมวิวเล่นครับ บ้าก็บ้า.....(วะ)
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 30, 2003 11:52 am
โดย VIB007
ขอเล่าชีวิตของขหนำน้อยบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าเอาแต่ในตำรามาพูดหลอกคนอื่น ถามเรื่องชื่อหุ้นก็ไม่ตอบ มันซื้อหุ้นจริงๆหรือเปล่า(ว่ะ)
เมื่อสี่ปีที่แล้ว ผมเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ด้วยความเขลาเบาปัญญาไม่รู้จักการลงทุน เป็นแต่ซื้อหุ้นให้ขาดทุน เลยประชดชีวิตเอาเงินไปสร้างบ้านหลังโตจนหมดเนื้อหมดตัวแถมเป็นหนี้เงินกู้บ้านอีกหลายล้านบาท
ปีแรกผ่านไปด้วยความรันทด เงินในกระเป๋าหมด ต้องแบกหน้าไปขอยืมเงินคนอื่น ทั้งหนี้เครดิตการ์ดใช้รูดของแต่งบ้าน หนี้เงินกู้ต้องจ่ายทุกเดือน คิดว่าตายแล้ว ทำไมชีวิตมันลำบากเช่นนี้ อยู่บ้านหลังโตแต่ไม่มีความมั่นคงในชีวิตเลย กลัวไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ กลังตกงาน กลัวฯลฯ
ผมกัดฟันจนจ่ายหนี้เครดิตการ์ดหลายแสนบาทจนหมด บอกตัวเองว่าเป็นอย่างนี้ไม่ได้แล้ว เราขาดความรู้ทางการเงินเป็นอย่างมาก ถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องการเงินสำหรับชีวิตประจำวัน ชีวิตเราลำบากแน่
ผมเริ่มซื้อหนังสือมาอ่าน ทดลองทำด้วยตัวเองในเรื่อง Personal Financial Planner ผมจดรายการค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ตั้งงบประมาณของตัวเองและครอบครัว ตัดรายการที่ไม่จำเป็นออก ช่วยกันเก็บหอมรอมริบกับภรรยาสองคน จนเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งได้หลายแสนบาท ดีใจมากสำหรับคนที่กำลังจะล้มละลาย ตั้งใจว่าจะไม่ใช้เงินก้อนนี้จนกว่าเกษียณ
วันหนึ่งเพื่อนเอาหนังสือมาให้หนึ่งเล่มเป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Warren Buffet ผมต้องขอเอ่ยชื่อเพื่อนท่านนั้นไว้ ณ ที่นี้ด้วย คือ ท่านทันตแพทย์ ประพันธ์ เพื่อนของคุณเจ๋งนั่นเอง ผมยังไม่ได้อ่านทันที ทิ้งไว้หลายอาทิตย์กว่าจะหยิบขึ้นมาอ่าน เพราะขยาดกับหุ้นมาเยอะ
พออ่านจบผมพบว่าเราน่าจะลองทำดู อ่าน นสพ เห็นบทสัมถาษณ์ ดร. นิเวศน์ ก็ประทับใจว่ามีคนเคยทำสำเร็จ เลยลองศึกษาแล้วซื้อหุ้นลองดูเริ่มต้นด้วยเงินไม่กี่แสนบาท ใช้หลักการตามหนังสือที่อ่านมา
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมบอกได้เลยครับว่า ผมเริ่มต้นแบบคนกำลังล้มละลาย เก็บหอมรอมริบ เริ่มลงทุนด้วยเงินไม่กี่แสนบาท วันนี้ผมสามารถจ่ายค่าบ้านทั้งหมดได้แล้วถ้าอยากจะทำ ชีวิตผมเปลี่ยนไป มีความสงบ มั่นคงอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ผมลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่ผมมีอยู่ และเงินของผมทำงานให้ผมหนักมาก ผมไม่รู้สึกเลยว่าการลงทุนของผมเป็นความเสี่ยง ผมอยากจะบอกอาจารย์นิเวศน์เหมือนกันว่า สำหรับผม Stock are Forever เหมือนกัน
พูดไปเหมือนโม้ หรือโมษณาชวนเชื่อ แต่ผมขอบอกว่าไม่ได้ให้ใครมาเชื่อ แต่อยากให้ลองด้วยตัวเอง อย่ามาถามผมว่าผมถือหุ้นอะไรบ้างเพราะถึงแม้คุณจะซื้อตาม เวลาขายผมคงไม่มากระซิบบอกคุณแน่ ผมกำลังชี้ให้ดูพระจันทร์ที่กำลังส่องสว่างอยู่กลางฟ้าครับ อย่ามามัวแต่ดูนิ้วชี้ของผมอยู่เลย
ลองศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจด้วยตัวเองเถอะครับ เอาธุรกิจที่เราเข้าใจที่สุด ไม่ต้องเยอะ เริ่มต้นสัก 3-4 บริษัทก็เพียงพอแล้ว มีปัญหาเกี่ยวกับหลักการลงทุนถามพี่ๆเพื่อนๆแถวนี้ได้ครับ ผมคิดว่าทุกคนคงยินดีตอบโดยไม่หวังผลตอบแทน
ผมเคยอ่านเจอ Peter Lynch บอกว่าคนเรานี่ก็แปลก สมมุติท่านทำงานอยู่ในโรงงานปิโตรเคมี ซึ่งท่านน่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจนี้มากที่สุด กลับไม่ลงทุนในหุ้นบริษัทปิโตรเคมี ดันไปลงทุนในหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ท่านเข้าใจน้อยกว่า (แต่กำลังบูม) เป็นต้น
ลองคิดใหม่ทำใหม่เถอะครับ ผมขอแนะนำมือใหม่ดังนี้
1) ให้เลิกดูราคาหุ้นในทุกสื่อเป็นเวลาสักสองอาทิตย์ ว่าท่านทำได้มั๊ย
2) ให้เลิกถามชาวบ้านว่าซื้อหุ้นอะไรดี
3) ให้ถามตัวเองว่าชีวิตนี้ในอีกสิบปีข้างหน้าต้องการอะไร
แต่อย่าข้ามขั้นตอนคุณต้องตอบคำถามข้อ 3 ให้ได้ก่อน (บางทีมันอาจใช้เวลาหลายวัน ได้โปรดอย่าคุยกับคนอื่นแม้แต่กับพ่อแม่พี่น้องสามีถรรยา ฯลฯ โปรดคิดเองคนเดียวให้ออก)
หลังจากได้คำตอบแล้วว่าท่านต้องการอะไรในอีกสิบปีข้างหน้าแล้ว ให้ทำดังนี้
4) ถามตัวเองว่าเราเข้าใจธุรกิจอะไรอยู่ตอนนี้ ถ้าคุณทำงานแบงค์ก็น่าจะเป็นแบงค์
5) ไปดูรายชื่อแบงค์ในตลาดหลักทรัพย์ว่ามีแบงค์อะไรบ้าง
6) คุณคิดว่าใครเจ๋งที่สุดในธุรกิจแบงค์ตอนนี้
7) Download Form56-1 ของแบงค์นั้นมาดู ท่านจะได้ไอเดียว่าอุตสาหกรรมแบงค์เป็นอย่างไร มันทำงานอย่างไร
8) ศึกษาอุตสาหกรรมแบงค์อย่างลึกซึ้ง จนท่านคิดว่าท่านเข้าใจอุตสาหกรรมแบงค์ในเมืองไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง
9) เลือกแบงค์ที่ท่านคิดว่ามีอนาคตสักสองสามแบงค์ แบงค์ที่ท่านเป็นเจ้าของไปได้อีกหลายปี สามารถนอนตายตาหลับถ้ายังถือหุ้นแบงค์นี้อยู่ว่างั้นเถอะ Download Form56-1 ของแบงค์เหล่านั้นมาดูอีกที
10) ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ให้ดูราคาหุ้นเลยนะครับ
เอาล่ะ มาถึงขั้นตอนนี้ หลายท่านคงถอดใจเลิกลงทุนตามแนว VI ไป แต่นั่นคือวิธีการทำ Qualitative Analysis ซึ่งอาจจะใช้เวลามากกว่า 70% ของการลงทุน ถ้าท่านไม่เข้าใจธุรกิจ ท่านจะลงทุนอย่างมั่นใจได้อย่างไร
จากนี้ไปคือการทำ Quantitative Analysis ซึ่งท่านจะต้องมีความรู้ทางบัญชีบ้างถ้าท่านต้องการเช็ค Financial Strength ของบริษัทเหล่านั้นจริงๆ ของอย่างนี้ต้องอาศัยการฝึกฝน ทดลองทำด้วยตัวเองครับ
สำหรับมือใหม่คงดูลำบาก จะใช้ตัวเลขง่ายๆอย่างที่พี่ประจวบแนะนำ สำหรับผมมันเหมือนขับรถมองกระจกหลังอย่างเดียว แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย ถึงตอนนี้มันต้องเลือกแล้วล่ะ ว่าจะใช้ไม่ใช้
11) ให้เลือกแบงค์ที่สายตาคุณคิดว่าดีที่สุดในด้านต่างๆ
12) ตอนนี้ไปเปิดดูราคาหุ้นได้แล้วครับ ถ้าเอาง่ายๆก็เอาตาม ดร.นิเวศน์แล้วกันว่าอยู่ใน Range นี้หรือเปล่า
P/E<10
P/B<2
D/Y>3% (รู้สึกแบงค์จะไม่จ่ายปันผลนะครับช่วงนี้ แต่อย่าให้ความสำคัญกับปันผลมากจนเราลืมอย่างอื่นไป)
13) ค่อยๆลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่เยอะครับ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น
14) ถือหุ้นนั้นไว้สามปี ให้ดูผลประกอบการบริษัทครับ อย่าสนใจราคาหุ้นมาก ถ้าผลประกอบการดี ราคาลดลงให้ซื้อเพิ่มทีละน้อย
15) หลังจากสามปี ท่านจะพบมหัศจรรย์แห่งชีวิตอย่างที่ท่านอาจารย์นิเวศน์ว่าไว้ครับ
แต่ผมก็ยังอยากจะบอกว่า VI เป็นเรื่องของความคิด 90% เป็นวิธีการแค่ 10% สิ่งสำคัญคือท่านต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับความโลภและความกลัวในตลาดหุ้นครับ
ขอให้โชคดีทุกท่านครับ
ปล. อย่ามาถามผมนะครับว่าผมถือหุ้นอะไร ผมไม่ตอบครับ เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลครับ ขอบอก ให้ถามตัวเองครับว่าอยากถือหุ้นอะไรแล้วทำการบ้านครับ โชคดีอีกทีครับ