แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 211
วงจรอุบาทว์ ที่เกิดขึ้นเมื่อ เศรษฐกิจติดขัดหรือ ธนาคารไม่ปล่อยกู้ นั้นคือ การกู้ยืมจากครอบครัวและเพื่อน หรือ สะสมเงินสดไว้ไม่ใช้จ่าย เพื่อให้ ตัวเองหรือธุรกิจสามารถดำเนินการได้ต่อไป ซึ่งมันก็สอดคล้องกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ค่อยปล่อยกู้ใหม่ โดยการอ้างว่า หนี้สินครัวเรือนสูง แต่ก่อนหน้านี้ปล่อยกู้ร้อนแรง ไม่ว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์จากโครงการบ้านหลังแรก ปล่อยกู้รถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรก เมื่อผู้กู้ไม่สามารถส่งได้ ธนาคารก็พยายามที่ให้จ่ายเงินแต่จ่ายในปริมาณที่น้อยลง แต่ถือว่ายังจ่าย ไม่ใช่ค้างจ่าย แต่ คนไทยนั้น เมื่อกู้เงินแล้ว ก็ต้องจ่ายเงิน พยายามจ่ายให้ได้ทั้งหมด ก็ยืมจากญาติพี่น้องและเพื่อนๆ เพื่อจ่ายให้ได้ นั้นคือ เกิดวงจรการยืมเงินภายในครอบครัว และเหล่าพ้องเพื่อนใกล้ชิด นี้แหละที่ก่อให้เกิดปัญหาสังคมหน่วยที่เล็กที่สุด คือ บ้านแตกเลยทีเดียวในบางครอบครัว และทำให้เพื่อนไม่มองหา ยืมไปก็ไม่มีปัญญาใช้คืน
ซึ่งการกู้ยืมแบบนี้ อาจจะมีดอกเบี้ยจ่ายหรือไม่มีดอกเบี้ยจ่ายก็ได้ แล้วแต่ผู้ให้กู้ยืมล่ะ
ถ้าปัญหา หนี้สินครัวเรือนยังสูงอยู่ ก็ทำให้แรงผลักดันเศรษฐกิจก็อ่อนแอลงไปเนื่องจาก GDP =C+I+G+(X-M)
นั้นคือตัว C อ่อนแอไม่สามารถขยับได้นั้นเอง
ถ้าหากประเทศหวังพึ่งพา G ซึ่งระยะหลังเมื่อ G เพิ่ม งบประมาณรายจ่าย ก็เริ่มไม่ดี เพราะ งบประมาณรายได้ไม่มีแผนในการจัดเก็บ มันทำให้ขาดดุลงบประมาณอยู่เนื่องๆ ถ้าขาดดุลงบประมาณถึงจุดๆๆหนึ่งก็ทำให้เป็น Fail State ได้ หรือ โดนลดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัทจัดเรตติ้ง ต่างประเทศ ได้นั้นเอง (ในอดีตก็มีให้เห็นแล้วช่วงปี 2537-2539 ที่รัฐเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ทำให้ขาดดุลงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลสุดท้ายคือ ต้มยำกุ้ง)
ซึ่งการกู้ยืมแบบนี้ อาจจะมีดอกเบี้ยจ่ายหรือไม่มีดอกเบี้ยจ่ายก็ได้ แล้วแต่ผู้ให้กู้ยืมล่ะ
ถ้าปัญหา หนี้สินครัวเรือนยังสูงอยู่ ก็ทำให้แรงผลักดันเศรษฐกิจก็อ่อนแอลงไปเนื่องจาก GDP =C+I+G+(X-M)
นั้นคือตัว C อ่อนแอไม่สามารถขยับได้นั้นเอง
ถ้าหากประเทศหวังพึ่งพา G ซึ่งระยะหลังเมื่อ G เพิ่ม งบประมาณรายจ่าย ก็เริ่มไม่ดี เพราะ งบประมาณรายได้ไม่มีแผนในการจัดเก็บ มันทำให้ขาดดุลงบประมาณอยู่เนื่องๆ ถ้าขาดดุลงบประมาณถึงจุดๆๆหนึ่งก็ทำให้เป็น Fail State ได้ หรือ โดนลดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัทจัดเรตติ้ง ต่างประเทศ ได้นั้นเอง (ในอดีตก็มีให้เห็นแล้วช่วงปี 2537-2539 ที่รัฐเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ทำให้ขาดดุลงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลสุดท้ายคือ ต้มยำกุ้ง)
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 213
กฏ 72
กฏอันนี้เป็นกฏที่บอกว่า เมื่อเราทำอะไรซักอย่างหนึ่ง กับเงินที่ฝากธนาคารไว้
โดยธนาคารให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อปี โดยจ่ายดอกเบี้ย 1 ครั้ง และไม่มีการเรียกเก็บภาษีดอกเบี้ยที่ได้รับ
เงินของเรานั้นเป็น 2 เท่าได้เมื่อปีที่72
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 2 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 36 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 3 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 24 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 4 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 18 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 5 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 16-17 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 6 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 12 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 7 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 10-11 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 8 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 9 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 9 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 8 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 10 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ7-8 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 11 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 6-7 ปีเท่านั้น
และเนี่ยเป็นอีกส่วนหนึ่งของอิทธิพลของการทบต้นด้วย หากเราไม่เคยถอนเงินต้นของเราออกมาเลย
อีกส่วนหนึ่ง คือความสามารถที่เราสามารถหาอัตราดอกเบี้ย ที่เราทำได้ ประกอบด้วย
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ ชาว VI ยิ่งลงทุนยิ่งนานเท่าไร ขนาดของพอร์ตการลงทุนยิ่งใหญ่ไปด้วย
กฏอันนี้เป็นกฏที่บอกว่า เมื่อเราทำอะไรซักอย่างหนึ่ง กับเงินที่ฝากธนาคารไว้
โดยธนาคารให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อปี โดยจ่ายดอกเบี้ย 1 ครั้ง และไม่มีการเรียกเก็บภาษีดอกเบี้ยที่ได้รับ
เงินของเรานั้นเป็น 2 เท่าได้เมื่อปีที่72
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 2 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 36 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 3 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 24 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 4 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 18 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 5 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 16-17 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 6 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 12 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 7 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 10-11 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 8 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 9 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 9 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 8 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 10 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ7-8 ปีเท่านั้น
แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยปรับเป็นร้อยละ 11 ต่อปี ใช้เวลาเหลือ 6-7 ปีเท่านั้น
และเนี่ยเป็นอีกส่วนหนึ่งของอิทธิพลของการทบต้นด้วย หากเราไม่เคยถอนเงินต้นของเราออกมาเลย
อีกส่วนหนึ่ง คือความสามารถที่เราสามารถหาอัตราดอกเบี้ย ที่เราทำได้ ประกอบด้วย
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ ชาว VI ยิ่งลงทุนยิ่งนานเท่าไร ขนาดของพอร์ตการลงทุนยิ่งใหญ่ไปด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 214
ไปเดินงาน Money Expo 2015 ที่เมืองทองธานี รอบนี้เรียกได้ว่า ของกินเพียบจริงๆ
เป็นครั้งแรกๆๆ กระมั้งที่มีบูตของรับประทานในงาน Money expo ไม่เพียงแต่ มีบูตแค่
ธนาคารพาณชิย์ ,บริษัท โบรกเกอร์ ,บริษัท กองทุนรวม ,บริษัทประกันชีวิต แต่มีหน่วยงานที่
มาร่วมออกบูทด้วย คนแน่นมากๆๆคือ BOT มาแลกธนบัตรกัน คนเพียบ
ในงานมีของดีคือ ตรวจสอบเครดิต บูโรทังฟรี ไม่เสียเงิน ทั่วไปเสีย 100 บาท แต่คราวนี้
แค่ยื่นบัตรประชาชน เท่านั้นก็ พิมพ์รายละเอียดออกมาให้ ว่า เครดิตดี หรือ เครดิตเน่าหรือเปล่า
เรียกได้ว่า ถ้าหากมีข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ก็สามารถเรียกได้หมด ไม่ว่าใช้เครดิตหรือไม่ใช้ก็ตาม
ส่วนอีก บูทคือ คปภ อันนี้ฟรี กรมธรรม์ 200 บาท โดย นายหน้ามาออกกรมธรรม์ให้ฟรี
ใครก็ตามที่ยังไม่เคยซื้อเลย ให้ 2 กรมธรรม์เลยทีเดียว เรียกได้ว่าแจกกันจริงๆๆ
(กรมธรรม์ 200 บาทนี้ ซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 2 กรมธรรม์ต่อคน จ่ายก็ต่อเมื่อ เสียชีวิตเท่านัน)
ส่วนเรื่องสัมมนานั้น อยู่ด้านนอกเป็นเวทีใหญ่เลย ส่วนภายในกั้นเป็นห้องให้เข้าร่วมสัมมนาได้
งานนี้ที่แปลกอีกอย่าง มีของใช้ไปออกด้วย และ บูทของกิน เรียกได้ว่า ไปงานนี้ไม่ต้องออกจากงานให้เสียเวลา
ปีนี้อีกอย่างที่่สังเกตเห็น เกมที่เล่นพัฒนาขึ้น ด้วย ใช้การเคลื่อนไหวในการเล่นเกม เช่น ฝ่ามือ ,ขยับแขนกำลังบินเหมือนนก เป็นต้น
เป็นครั้งแรกๆๆ กระมั้งที่มีบูตของรับประทานในงาน Money expo ไม่เพียงแต่ มีบูตแค่
ธนาคารพาณชิย์ ,บริษัท โบรกเกอร์ ,บริษัท กองทุนรวม ,บริษัทประกันชีวิต แต่มีหน่วยงานที่
มาร่วมออกบูทด้วย คนแน่นมากๆๆคือ BOT มาแลกธนบัตรกัน คนเพียบ
ในงานมีของดีคือ ตรวจสอบเครดิต บูโรทังฟรี ไม่เสียเงิน ทั่วไปเสีย 100 บาท แต่คราวนี้
แค่ยื่นบัตรประชาชน เท่านั้นก็ พิมพ์รายละเอียดออกมาให้ ว่า เครดิตดี หรือ เครดิตเน่าหรือเปล่า
เรียกได้ว่า ถ้าหากมีข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ก็สามารถเรียกได้หมด ไม่ว่าใช้เครดิตหรือไม่ใช้ก็ตาม
ส่วนอีก บูทคือ คปภ อันนี้ฟรี กรมธรรม์ 200 บาท โดย นายหน้ามาออกกรมธรรม์ให้ฟรี
ใครก็ตามที่ยังไม่เคยซื้อเลย ให้ 2 กรมธรรม์เลยทีเดียว เรียกได้ว่าแจกกันจริงๆๆ
(กรมธรรม์ 200 บาทนี้ ซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 2 กรมธรรม์ต่อคน จ่ายก็ต่อเมื่อ เสียชีวิตเท่านัน)
ส่วนเรื่องสัมมนานั้น อยู่ด้านนอกเป็นเวทีใหญ่เลย ส่วนภายในกั้นเป็นห้องให้เข้าร่วมสัมมนาได้
งานนี้ที่แปลกอีกอย่าง มีของใช้ไปออกด้วย และ บูทของกิน เรียกได้ว่า ไปงานนี้ไม่ต้องออกจากงานให้เสียเวลา
ปีนี้อีกอย่างที่่สังเกตเห็น เกมที่เล่นพัฒนาขึ้น ด้วย ใช้การเคลื่อนไหวในการเล่นเกม เช่น ฝ่ามือ ,ขยับแขนกำลังบินเหมือนนก เป็นต้น
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 215
ไตรมาสแรกของปี 2558 นั้น
มีตัวเลขบ้างตัวที่ออกมาแล้วขัดแย้งกับ GDP ที่ประกาศว่า เติบโต 3% จากปีก่อนหน้า(2557)
ขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขข
เบี้ยประกันชีวิตรับรวมไตรมาสแรก ปี 2558 เติบโตลดลง 1.06 %
Share on facebookShare on printShare on twitterShare on googleMore Sharing Services
9
สมาคมประกันชีวิตไทยเผย เบี้ยประกันชีวิตรับรวมไตรมาสแรก ปี 2558
เติบโตลดลง 1.06 %
เบี้ยประกันชีวิตรับรวมตลอดไตรมาสแรก ปี 2558 (มกราคม-มีนาคม) ทั้งสิ้น 133,739 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.06 โดยแยกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่จำนวน 39,556 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 21.86 และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปจำนวน 94,183 ล้านบาท โดยมีอัตราความคงอยู่ร้อยละ 84 ในขณะที่การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิตขึ้นครองอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 46.61 ของเบี้ยประกันชีวิตรับทั้งหมด รองลงมาเป็นการขายผ่านธนาคาร สัดส่วนร้อยละ 45.83
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ในการพิจารณาข้อมูลสถิติของธุรกิจประกันชีวิต สมาคมจะพิจารณาแยกเป็น 2 กรณี คือ ประการแรกจะพิจารณาถึงขนาดของบริษัท โดยจะพิจารณาถึงการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรับรวม ซึ่งหมายถึงเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ (New Business Premium) รวมกับเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไป (Renewal Premium) โดยจะมีการพิจารณาถึงอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตประกอบด้วย และประการที่สอง จะพิจารณาถึงการขยายงานของบริษัท จะพิจารณาจากการเติบโตเฉพาะเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่หมายถึง เบี้ยประกันชีวิตรับปีแรก (First Year Premium) รวมกับเบี้ยประกันชีวิตรับจ่ายครั้งเดียว (Single Premium)
สถิติเบี้ยประกันชีวิตรับ 3 เดือนของปี 2558 ที่สมาคมประกันชีวิตไทยรวบรวมได้ในขณะนี้ มีดังนี้
1. เบี้ยประกันชีวิตรับรวม ตั้งแต่มกราคม-มีนาคม 2558 มีทั้งสิ้น 133,739 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงจากปีก่อนในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 1.06 บริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมสูงสุด หรือมีขนาดใหญ่สูงสุด 7 อันดับแรก คือ
อันดับที่ 1 บจ.เอ.ไอ.เอ. มีจำนวน 27,566.92 ล้านบาท สัดส่วนการตลาดร้อยละ 20.61
อันดับที่ 2 บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต มีจำนวน23,713.25 ล้านบาทสัดส่วนการตลาดร้อยละ 17.73
อันดับที่ 3 บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต มีจำนวน16,021.61ล้านบาทสัดส่วนการตลาดร้อยละ 11.98
อันดับที่ 4 บมจ.ไทยประกันชีวิต มีจำนวน15,194.70 ล้านบาทสัดส่วนการตลาดร้อยละ 11.36
อันดับที่ 5 บมจ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิตมีจำนวน 13,885.09ล้านบาทสัดส่วนการตลาดร้อยละ 10.38
อันดับที่ 6 บมจ.กรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต มีจำนวน 13,091.46ล้านบาท สัดส่วนการตลาดร้อยละ 9.79
อันดับที่ 7 บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต มีจำนวน 6,806.22ล้านบาท สัดส่วนการตลาดร้อยละ 5.09
รวม 7 อันดับแรก ครองสัดส่วนการตลาดร้อยละ 86.94 และอีก 17 บริษัทที่เหลือครองสัดส่วนการตลาด ร้อยละ 13.06
2. เบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ ตั้งแต่มกราคม-มีนาคม 2558 จะพิจารณาจากจำนวนเบี้ยประกันชีวิตรับปีแรกรวมกับเบี้ยประกันชีวิตรับจ่ายครั้งเดียว ในรอบ 3 เดือนตั้งแต่มกราคม-มีนาคม 2558มีทั้งสิ้น 39,556 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงจากปีก่อนในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 21.86 บริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่สูงสุด หรือมีการขยายงานสูงสุด 7 อันดับแรก คือ
อันดับที่ 1 บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต จำนวน 10,467.9 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 26.46
อันดับที่ 2 บจ.เอ.ไอ.เอ. จำนวน 6,260.0 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 15.83
อันดับที่ 3 บมจ.กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต จำนวน 4,646.8 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 11.75
อันดับที่ 4 บมจ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำนวน 4,372.3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 11.05
อันดับที่ 5 บมจ.ไทยประกันชีวิต จำนวน 3,588.3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 9.07
อันดับที่ 6 บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต จำนวน 2,108.1 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 5.33
อันดับที่ 7 บมจ.พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำนวน 1,899.5 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 4.80
นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตสิ้นไตรมาสแรก ในปี 2558 เติบโตลดลงในอัตราร้อยละ 1.06 โดยเบี้ยประกันชีวิตที่ขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต 62,330.2 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 4.21 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา การขายผ่านธนาคาร 61,294.6 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 7.10 การขายผ่านช่องทางอื่นๆ 6,048.8 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 10.10 และการขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ 4,065.3 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 4.56 จากอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับที่ลดลงเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกและภายในที่สำคัญๆ คือ ปัจจัยภายนอกมาจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชะลอตัวอย่างหนัก อัตราค่าครองชีพสูงขึ้นส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนลดลง สำหรับปัจจัยภายในหลักๆมาจากอัตราการคงอยู่ของกรมธรรม์ฯลดต่ำลง เนื่องจากมีกรมธรรม์ฯที่ครบกำหนดชำระแต่ยังคงมีความคุ้มครองอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เบี้ยประกันชีวิตปีต่ออายุต่ำลง อีกประการหนึ่ง คือ บริษัทประกันชีวิตหลายบริษัทได้ปรับลดนโยบายการออกผลิตภัณฑ์แบบจ่ายเบี้ยประกันชีวิตครั้งเดียวลง ทำให้เบี้ยประกันชีวิตแบบจ่ายเบี้ยประกันชีวิตครั้งเดียวมีอัตราการเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการปรับลดการปล่อยกู้สินเชื่อของภาคสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ดี การจำหน่ายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิตยังคงมีสัดส่วนสูงที่สุดร้อยละ 46.61 ของเบี้ยประกันชีวิตรับทั้งหมด รองลงมาเป็นการขายผ่านธนาคารถึงแม้ว่าจะมีอัตราการเติบโตลดลง แต่ก็ยังคงสัดส่วนถึงร้อยละ 45.83 อันดับสาม การขายผ่านช่องทางอื่นๆ สัดส่วนร้อยละ 4.52 และอันดับสุดท้าย การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ สัดส่วนร้อยละ 3.04
ขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขข
มีตัวเลขบ้างตัวที่ออกมาแล้วขัดแย้งกับ GDP ที่ประกาศว่า เติบโต 3% จากปีก่อนหน้า(2557)
ขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขข
เบี้ยประกันชีวิตรับรวมไตรมาสแรก ปี 2558 เติบโตลดลง 1.06 %
Share on facebookShare on printShare on twitterShare on googleMore Sharing Services
9
สมาคมประกันชีวิตไทยเผย เบี้ยประกันชีวิตรับรวมไตรมาสแรก ปี 2558
เติบโตลดลง 1.06 %
เบี้ยประกันชีวิตรับรวมตลอดไตรมาสแรก ปี 2558 (มกราคม-มีนาคม) ทั้งสิ้น 133,739 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.06 โดยแยกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่จำนวน 39,556 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 21.86 และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปจำนวน 94,183 ล้านบาท โดยมีอัตราความคงอยู่ร้อยละ 84 ในขณะที่การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิตขึ้นครองอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 46.61 ของเบี้ยประกันชีวิตรับทั้งหมด รองลงมาเป็นการขายผ่านธนาคาร สัดส่วนร้อยละ 45.83
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ในการพิจารณาข้อมูลสถิติของธุรกิจประกันชีวิต สมาคมจะพิจารณาแยกเป็น 2 กรณี คือ ประการแรกจะพิจารณาถึงขนาดของบริษัท โดยจะพิจารณาถึงการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรับรวม ซึ่งหมายถึงเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ (New Business Premium) รวมกับเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไป (Renewal Premium) โดยจะมีการพิจารณาถึงอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตประกอบด้วย และประการที่สอง จะพิจารณาถึงการขยายงานของบริษัท จะพิจารณาจากการเติบโตเฉพาะเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่หมายถึง เบี้ยประกันชีวิตรับปีแรก (First Year Premium) รวมกับเบี้ยประกันชีวิตรับจ่ายครั้งเดียว (Single Premium)
สถิติเบี้ยประกันชีวิตรับ 3 เดือนของปี 2558 ที่สมาคมประกันชีวิตไทยรวบรวมได้ในขณะนี้ มีดังนี้
1. เบี้ยประกันชีวิตรับรวม ตั้งแต่มกราคม-มีนาคม 2558 มีทั้งสิ้น 133,739 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงจากปีก่อนในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 1.06 บริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมสูงสุด หรือมีขนาดใหญ่สูงสุด 7 อันดับแรก คือ
อันดับที่ 1 บจ.เอ.ไอ.เอ. มีจำนวน 27,566.92 ล้านบาท สัดส่วนการตลาดร้อยละ 20.61
อันดับที่ 2 บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต มีจำนวน23,713.25 ล้านบาทสัดส่วนการตลาดร้อยละ 17.73
อันดับที่ 3 บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต มีจำนวน16,021.61ล้านบาทสัดส่วนการตลาดร้อยละ 11.98
อันดับที่ 4 บมจ.ไทยประกันชีวิต มีจำนวน15,194.70 ล้านบาทสัดส่วนการตลาดร้อยละ 11.36
อันดับที่ 5 บมจ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิตมีจำนวน 13,885.09ล้านบาทสัดส่วนการตลาดร้อยละ 10.38
อันดับที่ 6 บมจ.กรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต มีจำนวน 13,091.46ล้านบาท สัดส่วนการตลาดร้อยละ 9.79
อันดับที่ 7 บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต มีจำนวน 6,806.22ล้านบาท สัดส่วนการตลาดร้อยละ 5.09
รวม 7 อันดับแรก ครองสัดส่วนการตลาดร้อยละ 86.94 และอีก 17 บริษัทที่เหลือครองสัดส่วนการตลาด ร้อยละ 13.06
2. เบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ ตั้งแต่มกราคม-มีนาคม 2558 จะพิจารณาจากจำนวนเบี้ยประกันชีวิตรับปีแรกรวมกับเบี้ยประกันชีวิตรับจ่ายครั้งเดียว ในรอบ 3 เดือนตั้งแต่มกราคม-มีนาคม 2558มีทั้งสิ้น 39,556 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงจากปีก่อนในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 21.86 บริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่สูงสุด หรือมีการขยายงานสูงสุด 7 อันดับแรก คือ
อันดับที่ 1 บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต จำนวน 10,467.9 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 26.46
อันดับที่ 2 บจ.เอ.ไอ.เอ. จำนวน 6,260.0 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 15.83
อันดับที่ 3 บมจ.กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต จำนวน 4,646.8 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 11.75
อันดับที่ 4 บมจ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำนวน 4,372.3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 11.05
อันดับที่ 5 บมจ.ไทยประกันชีวิต จำนวน 3,588.3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 9.07
อันดับที่ 6 บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต จำนวน 2,108.1 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 5.33
อันดับที่ 7 บมจ.พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำนวน 1,899.5 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 4.80
นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตสิ้นไตรมาสแรก ในปี 2558 เติบโตลดลงในอัตราร้อยละ 1.06 โดยเบี้ยประกันชีวิตที่ขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต 62,330.2 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 4.21 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา การขายผ่านธนาคาร 61,294.6 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 7.10 การขายผ่านช่องทางอื่นๆ 6,048.8 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 10.10 และการขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ 4,065.3 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 4.56 จากอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับที่ลดลงเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกและภายในที่สำคัญๆ คือ ปัจจัยภายนอกมาจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชะลอตัวอย่างหนัก อัตราค่าครองชีพสูงขึ้นส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนลดลง สำหรับปัจจัยภายในหลักๆมาจากอัตราการคงอยู่ของกรมธรรม์ฯลดต่ำลง เนื่องจากมีกรมธรรม์ฯที่ครบกำหนดชำระแต่ยังคงมีความคุ้มครองอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เบี้ยประกันชีวิตปีต่ออายุต่ำลง อีกประการหนึ่ง คือ บริษัทประกันชีวิตหลายบริษัทได้ปรับลดนโยบายการออกผลิตภัณฑ์แบบจ่ายเบี้ยประกันชีวิตครั้งเดียวลง ทำให้เบี้ยประกันชีวิตแบบจ่ายเบี้ยประกันชีวิตครั้งเดียวมีอัตราการเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการปรับลดการปล่อยกู้สินเชื่อของภาคสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ดี การจำหน่ายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิตยังคงมีสัดส่วนสูงที่สุดร้อยละ 46.61 ของเบี้ยประกันชีวิตรับทั้งหมด รองลงมาเป็นการขายผ่านธนาคารถึงแม้ว่าจะมีอัตราการเติบโตลดลง แต่ก็ยังคงสัดส่วนถึงร้อยละ 45.83 อันดับสาม การขายผ่านช่องทางอื่นๆ สัดส่วนร้อยละ 4.52 และอันดับสุดท้าย การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ สัดส่วนร้อยละ 3.04
ขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขข
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 216
เรื่องของกรีซ มาหลอกหลอนยังไม่จบ
ข่าวตอนนี้ลุ้นกันคือ กรีซ คืนเงินสะสมที่วางไว้ที่ IMF ได้ทันเวลาหรือเปล่า
ต้นเดือน พ.ค. 2558 นั้น กรีซ ใช้กลยุทธ์คือดอกเบี้ยโดยใช้เงินที่วางไว้ที่ IMF จ่ายดอกเบี้ยก่อน
มีระยะเวลาต่อลมหายใจอันรวยรินไปได้อีก 1 เดือน เพื่อหาเงินมาคืนเงินสะสมที่วางไว้ที่ IMF
และได้มีเวลาต่อรองกับเจ้าหนี้บนโต๊ะเจรจา
ระเบิดเวลามันก็ยังเดินอยู่ นักลงทุนก็ได้เสพข่าวว่า กรีซมีเงินจ่ายดอกเบี้ยที่ครบกำหนดแล้ว
แต่จริงๆ เป็นการโยกเงินจากกระเป๋าหนึ่งมาจ่าย โดยที่กระเป๋านั้นต้องมีเงินตลอดเวลา ไม่มีเงินในกระเป๋านี้ก็อาจจะ
short เงินเลยทีเดียว
ดังนั้น ติดตามกันให้ดีสำหรับเรื่องนี้
ส่วนในบ้านเรานั้น ตลาดหุ้นไม่ดีไม่ได้ ไม่คึกคักไม่ได้เพราะอะไร
เพราะ มีข่าวเรื่องการขายกิจการของรัฐออกมา ถ้าหากไม่สร้างเม็ดเงินในการรองรับเรื่องนี้
ตลาดคงจะรับแรงขายอันนี้ไม่ได้ แต่ขอลงก่อนเพราะ ให้คนร้อนเงินรีบขายออกมา เพื่อคนซื้อได้ซื้อของถูก
สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้จากอดีตคือ รัฐไม่เคยขายของแพง มีแต่ขายของถูก ทำกิจการที่ขาดทุน แต่เมื่อกำไรก็ขายออกมา
เป็นแบบนี้แหละ
ข่าวตอนนี้ลุ้นกันคือ กรีซ คืนเงินสะสมที่วางไว้ที่ IMF ได้ทันเวลาหรือเปล่า
ต้นเดือน พ.ค. 2558 นั้น กรีซ ใช้กลยุทธ์คือดอกเบี้ยโดยใช้เงินที่วางไว้ที่ IMF จ่ายดอกเบี้ยก่อน
มีระยะเวลาต่อลมหายใจอันรวยรินไปได้อีก 1 เดือน เพื่อหาเงินมาคืนเงินสะสมที่วางไว้ที่ IMF
และได้มีเวลาต่อรองกับเจ้าหนี้บนโต๊ะเจรจา
ระเบิดเวลามันก็ยังเดินอยู่ นักลงทุนก็ได้เสพข่าวว่า กรีซมีเงินจ่ายดอกเบี้ยที่ครบกำหนดแล้ว
แต่จริงๆ เป็นการโยกเงินจากกระเป๋าหนึ่งมาจ่าย โดยที่กระเป๋านั้นต้องมีเงินตลอดเวลา ไม่มีเงินในกระเป๋านี้ก็อาจจะ
short เงินเลยทีเดียว
ดังนั้น ติดตามกันให้ดีสำหรับเรื่องนี้
ส่วนในบ้านเรานั้น ตลาดหุ้นไม่ดีไม่ได้ ไม่คึกคักไม่ได้เพราะอะไร
เพราะ มีข่าวเรื่องการขายกิจการของรัฐออกมา ถ้าหากไม่สร้างเม็ดเงินในการรองรับเรื่องนี้
ตลาดคงจะรับแรงขายอันนี้ไม่ได้ แต่ขอลงก่อนเพราะ ให้คนร้อนเงินรีบขายออกมา เพื่อคนซื้อได้ซื้อของถูก
สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้จากอดีตคือ รัฐไม่เคยขายของแพง มีแต่ขายของถูก ทำกิจการที่ขาดทุน แต่เมื่อกำไรก็ขายออกมา
เป็นแบบนี้แหละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 217
หุ้นที่ประมูลงานภาครัฐ นั้นมีผลกระทบจากรัฐเปลี่ยนแปลงระบบการประมูลงาน
จากเดิมที่ประกวดราคา,E-auction,จัดจ้างแบบพิเศษ เป็นต้น เป็น ระบบ E-market เป็นการส่งเสริมให้เกิด digital economy ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใสได้มากขึ้น
หากย้อนไปดูในอดีต เมื่อประมาณ 9-10 ปีที่แล้ว ที่มีการเปลี่ยนแปลงการประมูลงานภาครัฐ
เปลี่ยนไปใช้ E-auction สำหรับโครงการขนาดใหญ่ มูลค่างานที่ประมูลในช่วงต้น ต่ำกว่าราคากลาง 20%
ต่ำกว่าราคากลางขนาดนั้น ผู้จัดทำราคามีภาระชี้แจงว่า ทำไมราคากลางสูงไปหรือเปล่าด้วย
ต่อมาเวลาผ่านไป งานที่ประมูล E-auction ลดลงจากราคากลางที่ตั้งไว้ 0.1% เท่านั้น มันคืออะไร
คือการปรับตัวของผู้ประมูลงานด้วย การปรับตัวของผู้จัดทำราคากลาง ให้สอดคล้องกับงานประมูลนั้นๆ
งานนี้ต้องคิดตามดู ว่าเมื่อเริ่มใช้งานวันที่ 1 ตุลาคม 2558 นี้แล้วไซร้ ปัจจุบันย้อนรอยอดีตอีกหรือไม่
จากเดิมที่ประกวดราคา,E-auction,จัดจ้างแบบพิเศษ เป็นต้น เป็น ระบบ E-market เป็นการส่งเสริมให้เกิด digital economy ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใสได้มากขึ้น
หากย้อนไปดูในอดีต เมื่อประมาณ 9-10 ปีที่แล้ว ที่มีการเปลี่ยนแปลงการประมูลงานภาครัฐ
เปลี่ยนไปใช้ E-auction สำหรับโครงการขนาดใหญ่ มูลค่างานที่ประมูลในช่วงต้น ต่ำกว่าราคากลาง 20%
ต่ำกว่าราคากลางขนาดนั้น ผู้จัดทำราคามีภาระชี้แจงว่า ทำไมราคากลางสูงไปหรือเปล่าด้วย
ต่อมาเวลาผ่านไป งานที่ประมูล E-auction ลดลงจากราคากลางที่ตั้งไว้ 0.1% เท่านั้น มันคืออะไร
คือการปรับตัวของผู้ประมูลงานด้วย การปรับตัวของผู้จัดทำราคากลาง ให้สอดคล้องกับงานประมูลนั้นๆ
งานนี้ต้องคิดตามดู ว่าเมื่อเริ่มใช้งานวันที่ 1 ตุลาคม 2558 นี้แล้วไซร้ ปัจจุบันย้อนรอยอดีตอีกหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 218
ทำไมช่วงนี้ถึงเศรษฐกิจไม่ดี
คำถามนี้มันมีที่มาที่ไป ถ้าหากดูกันลึกๆ กันแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของประเทศไทย
ทำไมต้องบอกแบบนั้น ก็เพราะธรรมชาติของเงินในมือประชาชนนั้น มีทั้งลงทุน/ออมเงิน/ซื้อสินค้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งกิจกรรมการเงินโดยทั่วไป หัวใจของกิจกรรมทางการเงินคือธนาคาร ,สหกรณ์ และ ประกัน เป็นเสาหลักของกิจกรรมทางการเงิน ทั้งปล่อยกู้/ระดมเงินออมเพื่อสร้างผลตอบแทน/ประกันความเสี่ยง
ช่วงก่อนหน้านี้ ธนาคารมีปัญหาไป 2 แห่ง,สหกรณ์ขนาดใหญ่(ใหญ่มากพอๆๆกับธนาคารขนาดเล็กถึงกลาง) 1 แห่ง,ประกันอีก 1 แห่งที่มาจากสหกรณ์ เนี่ยคือเสาหลักที่เป็นปัญหาจากช่วงก่อนหน้านี้
ไม่เพียงแค่นั้น เงินของวัด ที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้อีก 1 แห่ง และตอนนี้อีกแห่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ในระยะเวลาต่อมา ไม่เพียงแต่นั้น แชร์ลูกโซ่ขนาดใหญ่อีกแห่งที่มาจากต่างประเทศ
รวมๆแล้วมูลค่าความเสียหายก็ระดับหมื่นล้านถึงแสนล้านบาท นั้นเอง
เม็ดเงินขนาดนี้หายไปจากระบบ มันทำให้ระบบการเงินของประเทศเดินช้าลง
ไม่เพียงแค่นั้น โดนซ้ำเติมจาก นานาประเทศ ที่กีดกั้นทางการค้าขาย เพื่อให้ลดขาดทุนทางการค้าลง (อันนี้เคยเกิดขึ้นในอดีตหลายต่อหลายครั้งแล้ว) เมื่อลดขาดทุนทางการค้าลง มันทำให้ ดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้น นั้นเอง
หากย้อนกลับไปในอดีตอีก ในอดีตแนวทางการแก้ไข เรื่องค้าขายคือ ลดค่าเงินลง แล้วทางทฤษฏี เมื่อลดค่าเงินลง
เกิด J-Curve ขึ้นไหม ถ้าเกิดคือการค้าที่เพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้นหลังจากลดค่าเงินไปซักพักหนึ่ง นั้นเอง
ปล. ตอนนี้จับตาดูว่า ธปท งัดอะไรออกมาทำให้ค่าเงินบาทลดลง
ก่อนหน้านี้พิมพ์ธนบัตรออกมา ลดดอกเบี้ยแล้ว แต่อย่างไรเสีย ค่าเงินก็ลดลงมาอยู่ ณ เวลานี้อยู่ระดับ 33.75 บาทต่อ 1ดอลล่าร์สหรัฐ จากก่อนหน้านี้ประมาณ 32 บาทกลางๆหรือ32 บาทปลายๆ ลดลงมา 1 บาทกว่า (3-4% กว่าๆเท่านั้นเอง) ต้องรอดูกันต่อไปว่าใช้อะไรละ
คำถามนี้มันมีที่มาที่ไป ถ้าหากดูกันลึกๆ กันแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของประเทศไทย
ทำไมต้องบอกแบบนั้น ก็เพราะธรรมชาติของเงินในมือประชาชนนั้น มีทั้งลงทุน/ออมเงิน/ซื้อสินค้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งกิจกรรมการเงินโดยทั่วไป หัวใจของกิจกรรมทางการเงินคือธนาคาร ,สหกรณ์ และ ประกัน เป็นเสาหลักของกิจกรรมทางการเงิน ทั้งปล่อยกู้/ระดมเงินออมเพื่อสร้างผลตอบแทน/ประกันความเสี่ยง
ช่วงก่อนหน้านี้ ธนาคารมีปัญหาไป 2 แห่ง,สหกรณ์ขนาดใหญ่(ใหญ่มากพอๆๆกับธนาคารขนาดเล็กถึงกลาง) 1 แห่ง,ประกันอีก 1 แห่งที่มาจากสหกรณ์ เนี่ยคือเสาหลักที่เป็นปัญหาจากช่วงก่อนหน้านี้
ไม่เพียงแค่นั้น เงินของวัด ที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้อีก 1 แห่ง และตอนนี้อีกแห่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ในระยะเวลาต่อมา ไม่เพียงแต่นั้น แชร์ลูกโซ่ขนาดใหญ่อีกแห่งที่มาจากต่างประเทศ
รวมๆแล้วมูลค่าความเสียหายก็ระดับหมื่นล้านถึงแสนล้านบาท นั้นเอง
เม็ดเงินขนาดนี้หายไปจากระบบ มันทำให้ระบบการเงินของประเทศเดินช้าลง
ไม่เพียงแค่นั้น โดนซ้ำเติมจาก นานาประเทศ ที่กีดกั้นทางการค้าขาย เพื่อให้ลดขาดทุนทางการค้าลง (อันนี้เคยเกิดขึ้นในอดีตหลายต่อหลายครั้งแล้ว) เมื่อลดขาดทุนทางการค้าลง มันทำให้ ดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้น นั้นเอง
หากย้อนกลับไปในอดีตอีก ในอดีตแนวทางการแก้ไข เรื่องค้าขายคือ ลดค่าเงินลง แล้วทางทฤษฏี เมื่อลดค่าเงินลง
เกิด J-Curve ขึ้นไหม ถ้าเกิดคือการค้าที่เพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้นหลังจากลดค่าเงินไปซักพักหนึ่ง นั้นเอง
ปล. ตอนนี้จับตาดูว่า ธปท งัดอะไรออกมาทำให้ค่าเงินบาทลดลง
ก่อนหน้านี้พิมพ์ธนบัตรออกมา ลดดอกเบี้ยแล้ว แต่อย่างไรเสีย ค่าเงินก็ลดลงมาอยู่ ณ เวลานี้อยู่ระดับ 33.75 บาทต่อ 1ดอลล่าร์สหรัฐ จากก่อนหน้านี้ประมาณ 32 บาทกลางๆหรือ32 บาทปลายๆ ลดลงมา 1 บาทกว่า (3-4% กว่าๆเท่านั้นเอง) ต้องรอดูกันต่อไปว่าใช้อะไรละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 219
ตอนนี้รายงานประจำปีของหน่วยงานที่สำคัญที่สุดหน่วยงานหนึ่งของการเงินประเทศไทย
ได้จัดทำเสร็จในรูปแบบของ PDF files ให้ Download แล้ว
หน่วยงานนั้นคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาให้อ่านเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2558
ลองอ่านดูตามลิงค์ด้านล่างล่ะกัน
https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndP ... rt2014.pdf
https://www.bot.or.th/Thai/Documents/do ... t_2557.pdf
ได้จัดทำเสร็จในรูปแบบของ PDF files ให้ Download แล้ว
หน่วยงานนั้นคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาให้อ่านเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2558
ลองอ่านดูตามลิงค์ด้านล่างล่ะกัน
https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndP ... rt2014.pdf
https://www.bot.or.th/Thai/Documents/do ... t_2557.pdf
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 220
ขอเขียนเรื่อง 1 เรื่องที่อยู่ในความคิดพักนี้
เรื่องนี้คือการขนส่ง
ทำไมต้องเขียน เพราะตอนนี้ การขนส่งคนหลักๆๆคือ เครื่องบิน ,รถยนต์
ไม่มีใครใช้ม้า ใช้ล่อ ใช้เรือ ขนส่งคนแล้ว นอกจากในพื้นที่ๆที่เครื่องบินและรถยนต์ไปไม่ได้
เช่น ภูเขาสูงหรือเกาะเล็กๆ
ทำไมต้องคิดเรื่องนี้
ผมเป็นคนขี้สงสัยว่า มีอะไรหนอที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนเราให้สามารถเดินทาไปยังที่ต่างๆได้
ไล่ดูในประวัติศาสต์ ก็มีตั้งแต่ เดินด้วยสองเท้าของเราเอง
ต่อมาก็ใช้สัตว์เป็นพาหนะจนมี เจงกีสข่าน ที่สามารถนำกองทัพ บุกข้ามกำแพงเมืองจีนได้
บุกยังทวีปยุโรปได้ โดยใช้ม้าเป็นพาหนะ ในประเทศไทย เป็นช้างและม้าในการทำศึกสงคราม
ในยุคเดียวกันมนุษย์เราก็ได้รู้จักการต่อเรือขนาดใหญ่ ก็สามารถใช้เรือในการค้าขาย แต่ไม่ค่อยขนคนทางเรือ
จนกระทั่งหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว เรืือเริ่มมีความสำคัญในการใช้โดยสารมากขึ้น และขนส่งสินค้ามากขึ้นด้วย
โดยเรือในสมัยนี้ใช้เครื่องยนต์ในการขนส่ง มีคู่แข่งคือ รถไฟ ที่เริ่มสร้างและต่อระบบราง และต่อมาเมื่อมีการสันดานภายในของเครื่องยนต์ ก็เริ่มมีการพัฒนาเป็นรถยนต์และเครื่องบิน จนกระทั่ง มนุษย์ของเราพัฒนาใช้ก๊าซจุดระเบิดให้แก่กระสวยอวกาศ ส่งสัตว์,คน,สิ่งของต่างๆขึ้นไปโคตรรอบโลกได้
สำหรับยุคสมัยนี้ การโดยสารของมนุษย์ข้ามประเทศหลักๆเครื่องบิน รถยนต์
การขนส่งสิ่งของ หากต้องการความเร็วก็ต้องใช้เครื่องบินในการขนส่ง ถ้าต้องการให้ได้ปริมาณที่มาก ไม่สนใจระยะเวลาก็ต้องใช้เรือในการขนส่ง
ยิ่งสมัยนี้แล้วไซร้ เครื่องบินนั้นมีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พัฒนาให้สามารถรองรับของขนาดใหญ่ได้มากขึ้น (น่าจะเคยเห็นรูปกระสวยอวกาศของ NASA อยู่บนหลังเครื่องบินเพื่อส่งกลับบ้าง หรือ เครื่องบินที่ใช้ขนส่งแบบขนาดใหญ่สุดที่พัฒนาโดยรัสเซีย)
พวกนี้แหละที่นักลงทุนต้องคิดต่อไปว่า โลกของเรานั้น เมื่อพัฒนาถึงเครื่องบิน โดยสารและขนส่งแล้ว
ต่อไปพัฒนาอะไรต่อละ
เรื่องนี้คือการขนส่ง
ทำไมต้องเขียน เพราะตอนนี้ การขนส่งคนหลักๆๆคือ เครื่องบิน ,รถยนต์
ไม่มีใครใช้ม้า ใช้ล่อ ใช้เรือ ขนส่งคนแล้ว นอกจากในพื้นที่ๆที่เครื่องบินและรถยนต์ไปไม่ได้
เช่น ภูเขาสูงหรือเกาะเล็กๆ
ทำไมต้องคิดเรื่องนี้
ผมเป็นคนขี้สงสัยว่า มีอะไรหนอที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนเราให้สามารถเดินทาไปยังที่ต่างๆได้
ไล่ดูในประวัติศาสต์ ก็มีตั้งแต่ เดินด้วยสองเท้าของเราเอง
ต่อมาก็ใช้สัตว์เป็นพาหนะจนมี เจงกีสข่าน ที่สามารถนำกองทัพ บุกข้ามกำแพงเมืองจีนได้
บุกยังทวีปยุโรปได้ โดยใช้ม้าเป็นพาหนะ ในประเทศไทย เป็นช้างและม้าในการทำศึกสงคราม
ในยุคเดียวกันมนุษย์เราก็ได้รู้จักการต่อเรือขนาดใหญ่ ก็สามารถใช้เรือในการค้าขาย แต่ไม่ค่อยขนคนทางเรือ
จนกระทั่งหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว เรืือเริ่มมีความสำคัญในการใช้โดยสารมากขึ้น และขนส่งสินค้ามากขึ้นด้วย
โดยเรือในสมัยนี้ใช้เครื่องยนต์ในการขนส่ง มีคู่แข่งคือ รถไฟ ที่เริ่มสร้างและต่อระบบราง และต่อมาเมื่อมีการสันดานภายในของเครื่องยนต์ ก็เริ่มมีการพัฒนาเป็นรถยนต์และเครื่องบิน จนกระทั่ง มนุษย์ของเราพัฒนาใช้ก๊าซจุดระเบิดให้แก่กระสวยอวกาศ ส่งสัตว์,คน,สิ่งของต่างๆขึ้นไปโคตรรอบโลกได้
สำหรับยุคสมัยนี้ การโดยสารของมนุษย์ข้ามประเทศหลักๆเครื่องบิน รถยนต์
การขนส่งสิ่งของ หากต้องการความเร็วก็ต้องใช้เครื่องบินในการขนส่ง ถ้าต้องการให้ได้ปริมาณที่มาก ไม่สนใจระยะเวลาก็ต้องใช้เรือในการขนส่ง
ยิ่งสมัยนี้แล้วไซร้ เครื่องบินนั้นมีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พัฒนาให้สามารถรองรับของขนาดใหญ่ได้มากขึ้น (น่าจะเคยเห็นรูปกระสวยอวกาศของ NASA อยู่บนหลังเครื่องบินเพื่อส่งกลับบ้าง หรือ เครื่องบินที่ใช้ขนส่งแบบขนาดใหญ่สุดที่พัฒนาโดยรัสเซีย)
พวกนี้แหละที่นักลงทุนต้องคิดต่อไปว่า โลกของเรานั้น เมื่อพัฒนาถึงเครื่องบิน โดยสารและขนส่งแล้ว
ต่อไปพัฒนาอะไรต่อละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 223
Digital World กับ การเปลี่ยน Biz Model
มีสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไม่ได้ลงลึกไปดูนั้นคือเรื่องของ ประสิทธิภาพการใช้งาน ICT ในบริษัทที่เราลงทุน
ทำไมนักลงทุนไม่ให้ความสำคัญในจุดนี้
เนื่องจาก นักลงทุนไม่มีข้อมูลในจุดนี้ (บริษัทไม่ได้บอกกล่าววว่า บริษัทนั้นนำ ICT มาใช้ประยุกต์กับ กิจการอย่างไรนั้นเอง)
บริษัทเองก็กลัวว่า เมื่อเปิดเผยไปแล้ว ทำให้กิจการประสบกับคู่แข่ง ที่ตามหลังมา แล้วลอกเลียนแบบระบบ ICT นี้ไป
ไม่ว่าซื้อตัวหรือ จัดการสร้างให้คล้ายๆก็ตาม
นักลงทุนบ้างท่าน คิดว่า ลงทุน ICT ไปนั้นเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ก็เป็นไปได้
แต่จริงๆ แล้ว ปัจจุบัน Digital world ตัวนี้ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมด้วยตัวของมันเอง (สร้าง platform) เพือ่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้
ตัวอย่างเช่น Amezon นั้น ได้เปลี่ยน Biz Model ในด้าน ร้านหนังสือของ US ,การจัดส่งสิ่งค้าและบริการ ,การนำแนะนำสินค้าให้เหมาะกับลูกค้า เป็นต้น และขยายธรุกิจจาก ร้านหนังสือสู่สิ่งของอื่นๆ จนกระทั่ง อีกไม่นาน ก็คงขายอาหารสดได้ (น่าจะภายในปีนี้ที่เห็น Amezon ขายอาหารสดแล้ว)
Google เองก็เหมือนกัน เปลี่ยน Biz model ในการการปรับปรุงโปรแกรม โดยเมื่อก่อนการปรับปรุงโปรแกรม ต้องส่งแผ่นให้ Download ไม่มีการขึ้นมาเตือนผู้ใช้งาน แต่ในปัจจุบัันโปรแกรมปรับปรุง/แก้ไขปัญหาแล้วส่งไปถึงผู้ใช้งานโดยส่ง ผ่าน App Store
ไม่เพียงเท่านั้น Google แปลเปลี่ยน แผนที่ในกระดาษไปสู่ digital world เพื่อให้ประชาชนใช้งาน (ใช้งานทั้งประชาชน,ภาครัฐและภาคเอกชน) ไม่เพียงแค่ให้เรื่องของแผนที่ สามารถต่อยอดไปสู่ การรายงานสภาพจราจร ในบริเวณที่มีอุปกรณ์ Google อยู่
ยังไม่พอ Airbnb เป็นการให้บริการ การจองที่พักของเรา โดยผู้ที่มีอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้ใช้งาน เปิดให้ผู้ที่สนใจพักในช่วงเวลานั้น (กิจการเหมือนกับการจองห้องพักของโรงแรม แต่ทว่า Airbnb เป็นสื่อกลางระหว่าง นักเดินทางกับผู้ที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์โดยตรงแทน)
บริษัทเหล่านี้ นั้นสร้าง Ecosystem ของตัวเองขึ้นมา โดยหาช่องว่างที่ Biz model เดิมไม่ตอบโจทย์นั้นเอง
หมายเหตุ
Biz model เดิม นั้นอยู่บน Real world คือ การให้บริการ/การผลิตสินค้า นั้น พบเจอเจอะกันจริงๆ ไม่ได้ใช้งานผ่านเครือข่ายสื่อสารแบบในปัจจุบันนี้ มาเกี่ยวข้องเลย
มีสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไม่ได้ลงลึกไปดูนั้นคือเรื่องของ ประสิทธิภาพการใช้งาน ICT ในบริษัทที่เราลงทุน
ทำไมนักลงทุนไม่ให้ความสำคัญในจุดนี้
เนื่องจาก นักลงทุนไม่มีข้อมูลในจุดนี้ (บริษัทไม่ได้บอกกล่าววว่า บริษัทนั้นนำ ICT มาใช้ประยุกต์กับ กิจการอย่างไรนั้นเอง)
บริษัทเองก็กลัวว่า เมื่อเปิดเผยไปแล้ว ทำให้กิจการประสบกับคู่แข่ง ที่ตามหลังมา แล้วลอกเลียนแบบระบบ ICT นี้ไป
ไม่ว่าซื้อตัวหรือ จัดการสร้างให้คล้ายๆก็ตาม
นักลงทุนบ้างท่าน คิดว่า ลงทุน ICT ไปนั้นเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ก็เป็นไปได้
แต่จริงๆ แล้ว ปัจจุบัน Digital world ตัวนี้ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมด้วยตัวของมันเอง (สร้าง platform) เพือ่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้
ตัวอย่างเช่น Amezon นั้น ได้เปลี่ยน Biz Model ในด้าน ร้านหนังสือของ US ,การจัดส่งสิ่งค้าและบริการ ,การนำแนะนำสินค้าให้เหมาะกับลูกค้า เป็นต้น และขยายธรุกิจจาก ร้านหนังสือสู่สิ่งของอื่นๆ จนกระทั่ง อีกไม่นาน ก็คงขายอาหารสดได้ (น่าจะภายในปีนี้ที่เห็น Amezon ขายอาหารสดแล้ว)
Google เองก็เหมือนกัน เปลี่ยน Biz model ในการการปรับปรุงโปรแกรม โดยเมื่อก่อนการปรับปรุงโปรแกรม ต้องส่งแผ่นให้ Download ไม่มีการขึ้นมาเตือนผู้ใช้งาน แต่ในปัจจุบัันโปรแกรมปรับปรุง/แก้ไขปัญหาแล้วส่งไปถึงผู้ใช้งานโดยส่ง ผ่าน App Store
ไม่เพียงเท่านั้น Google แปลเปลี่ยน แผนที่ในกระดาษไปสู่ digital world เพื่อให้ประชาชนใช้งาน (ใช้งานทั้งประชาชน,ภาครัฐและภาคเอกชน) ไม่เพียงแค่ให้เรื่องของแผนที่ สามารถต่อยอดไปสู่ การรายงานสภาพจราจร ในบริเวณที่มีอุปกรณ์ Google อยู่
ยังไม่พอ Airbnb เป็นการให้บริการ การจองที่พักของเรา โดยผู้ที่มีอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้ใช้งาน เปิดให้ผู้ที่สนใจพักในช่วงเวลานั้น (กิจการเหมือนกับการจองห้องพักของโรงแรม แต่ทว่า Airbnb เป็นสื่อกลางระหว่าง นักเดินทางกับผู้ที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์โดยตรงแทน)
บริษัทเหล่านี้ นั้นสร้าง Ecosystem ของตัวเองขึ้นมา โดยหาช่องว่างที่ Biz model เดิมไม่ตอบโจทย์นั้นเอง
หมายเหตุ
Biz model เดิม นั้นอยู่บน Real world คือ การให้บริการ/การผลิตสินค้า นั้น พบเจอเจอะกันจริงๆ ไม่ได้ใช้งานผ่านเครือข่ายสื่อสารแบบในปัจจุบันนี้ มาเกี่ยวข้องเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 224
บริษัท VS project Financial
ความแตกต่างระหว่างบริษัท กับ โครงการทางการเงิน
บริษัทนั้น ก่อร่างสร้างตัวมาจาก ทุน เพื่อให้เกิดรายได้ นำมาซื้อกำไร
บนพื้นฐานบนสินทรัพย์ที่มีอยู่ และ ความสามารถกู้จากเจ้าหน้า
ส่วน Project financial
มันคือโครงการทางการเงิน มาในรูปแบบต่างๆ
แต่เราต้องรู้ว่าจุดสุดท้ายนั้น โครงการนี้เหลืออะไร
ยกตัวอย่างเช่น สัญญาฉบับหนึ่ง เป็นโครงการสร้างตึก
โดยที่ผู้สร้างได้ประโยชน์จากการใช้สิทธิ์ในระยะเวลา 10 ปี
แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินนั้นไม่ได้สิทธิ์ในการใช้ประโยชน์เลย แต่
หากเกิน 10 ปีไปแล้ว เจ้าของที่ดินได้อาคาร
แสดงว่า ผุ้ที่ได้สัญญาฉบับนี้ไปแล้ว นั้นคือสร้างตึก จากนั้นบริหารตึก
แล้วต้องโอนตึกไปให้แก่เจ้าของที่ดินต่อไป
โดยตึกนั้น ถ้าหากมีอายุการใช้งาน 10 ปี (ตัดค่าเสื่อมของอาคารและอุปกรณ์ 10 ปี)
นั้นคือ เจ้าของสัญญานั้น สุดท้าย Asset ที่ก่อให้เกิดรายได้ เป็น 0
เพราะต้องโอนให้เจ้าของที่ดิน
ผลประโยชย์เคยได้รับก็ไม่ได้รับ อีกต่อไปหลังจากวันที่โอนสินทรัพย์
ลองคิดดูให้ดีว่า ถ้าหากเจ้าของที่ดินไม่ต่อสัญญา ปีท้ายๆ เจ้าของตึก จะทำอย่างไร กับสินทรัพย์นั้น
ความแตกต่างระหว่างบริษัท กับ โครงการทางการเงิน
บริษัทนั้น ก่อร่างสร้างตัวมาจาก ทุน เพื่อให้เกิดรายได้ นำมาซื้อกำไร
บนพื้นฐานบนสินทรัพย์ที่มีอยู่ และ ความสามารถกู้จากเจ้าหน้า
ส่วน Project financial
มันคือโครงการทางการเงิน มาในรูปแบบต่างๆ
แต่เราต้องรู้ว่าจุดสุดท้ายนั้น โครงการนี้เหลืออะไร
ยกตัวอย่างเช่น สัญญาฉบับหนึ่ง เป็นโครงการสร้างตึก
โดยที่ผู้สร้างได้ประโยชน์จากการใช้สิทธิ์ในระยะเวลา 10 ปี
แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินนั้นไม่ได้สิทธิ์ในการใช้ประโยชน์เลย แต่
หากเกิน 10 ปีไปแล้ว เจ้าของที่ดินได้อาคาร
แสดงว่า ผุ้ที่ได้สัญญาฉบับนี้ไปแล้ว นั้นคือสร้างตึก จากนั้นบริหารตึก
แล้วต้องโอนตึกไปให้แก่เจ้าของที่ดินต่อไป
โดยตึกนั้น ถ้าหากมีอายุการใช้งาน 10 ปี (ตัดค่าเสื่อมของอาคารและอุปกรณ์ 10 ปี)
นั้นคือ เจ้าของสัญญานั้น สุดท้าย Asset ที่ก่อให้เกิดรายได้ เป็น 0
เพราะต้องโอนให้เจ้าของที่ดิน
ผลประโยชย์เคยได้รับก็ไม่ได้รับ อีกต่อไปหลังจากวันที่โอนสินทรัพย์
ลองคิดดูให้ดีว่า ถ้าหากเจ้าของที่ดินไม่ต่อสัญญา ปีท้ายๆ เจ้าของตึก จะทำอย่างไร กับสินทรัพย์นั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 225
วันนี้ขอเสนอคำย่อ ที่เกี่ยวกับการรับสัมปทานดังนี้
คำแรกคือ BOT(Build operate and transfer)หรือ BTO (Build transfer operate) รัฐบาลให้เอกชนได้รับสัมปทานให้ก่อสร้าง โดยเอกชนรายนั้นผูกขาดรายเดียวในการใช้สิทธิประโยชน์บนสินทรัพย์นั้น จนกว่าหมดอายุสัมปทาน เมื่อหมดอายุสัมปทานแล้วไซร้ สินทรัพย์นั้นต้องโอนให้รัฐต่อไป
คำต่อมา PPP (Public-Private-Partnership) คำนี้สงสัยว่า มันคืออะหยัง
มันคือ โครงการความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชน (Public-Private Partnership) เป็นโครงการที่ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการจัดสร้าง ปรับปรุงและพัฒนา บริหารจัดการ สาธารณูปโภคและสาธารณูปการขั้นพื้ นฐานและบริการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้แก่ประชาชนภายใต้กรอบความเสี่ยงและระยะเวลาที่กำหนด
มีคำย่อต่อท้ายด้วย ดังนี้
Design (D) คือ การออกแบบโครงการ
Build (B) คือ การลงทุนก่อสร้างโครงการ
Finance (F) คือ การหาแหล่งเงินทุนมาดำเนินโครงการ
Own (O) คือ การเป็นเจ้าของในช่วงระยะเวลาหนึ่งตามอายุของสัมปทาน
Operate (O) คือ การเป็นผู้ประกอบการแล้วนำรายได้ส่งรัฐ
Maintain (M) คือ การเป็ นผู้บำรุงรักษาโครงการ
Transfer (T) คือ การโอนกรรมสิทธิ์์ิคืนแก่รฐัเมื่อสิ้นสัญญาสัมปทาน
Lease (L) คือ การที่รัฐจ่ายค่าเช่าทรัพย์สินและค่าจ้างให้แก่เอกชนคู่สัญญา
Gross Cost คือ การที่รัฐรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้ใช้บริการเอง
Net Cost คือ การที่เอกชนเก็บเงินค่าบริการเองโดยแบ่งรายได้ให้รัฐ
วันนี้จบแค่นี้
คำแรกคือ BOT(Build operate and transfer)หรือ BTO (Build transfer operate) รัฐบาลให้เอกชนได้รับสัมปทานให้ก่อสร้าง โดยเอกชนรายนั้นผูกขาดรายเดียวในการใช้สิทธิประโยชน์บนสินทรัพย์นั้น จนกว่าหมดอายุสัมปทาน เมื่อหมดอายุสัมปทานแล้วไซร้ สินทรัพย์นั้นต้องโอนให้รัฐต่อไป
คำต่อมา PPP (Public-Private-Partnership) คำนี้สงสัยว่า มันคืออะหยัง
มันคือ โครงการความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชน (Public-Private Partnership) เป็นโครงการที่ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการจัดสร้าง ปรับปรุงและพัฒนา บริหารจัดการ สาธารณูปโภคและสาธารณูปการขั้นพื้ นฐานและบริการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้แก่ประชาชนภายใต้กรอบความเสี่ยงและระยะเวลาที่กำหนด
มีคำย่อต่อท้ายด้วย ดังนี้
Design (D) คือ การออกแบบโครงการ
Build (B) คือ การลงทุนก่อสร้างโครงการ
Finance (F) คือ การหาแหล่งเงินทุนมาดำเนินโครงการ
Own (O) คือ การเป็นเจ้าของในช่วงระยะเวลาหนึ่งตามอายุของสัมปทาน
Operate (O) คือ การเป็นผู้ประกอบการแล้วนำรายได้ส่งรัฐ
Maintain (M) คือ การเป็ นผู้บำรุงรักษาโครงการ
Transfer (T) คือ การโอนกรรมสิทธิ์์ิคืนแก่รฐัเมื่อสิ้นสัญญาสัมปทาน
Lease (L) คือ การที่รัฐจ่ายค่าเช่าทรัพย์สินและค่าจ้างให้แก่เอกชนคู่สัญญา
Gross Cost คือ การที่รัฐรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้ใช้บริการเอง
Net Cost คือ การที่เอกชนเก็บเงินค่าบริการเองโดยแบ่งรายได้ให้รัฐ
วันนี้จบแค่นี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 226
Risk(ความเสี่ยง)
ในการศึกษาเกี่ยวกับการเงินการลงทุนนั้น นักศึกษาหรือนักเรียนหรือนักลงทุน คงได้ยินคำว่า "อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าเดียวกัน" อยู่เนื่องๆ ซึ่งมันขัดกับหลักของ VI ที่ใช้กันอยู่ ทำไมกระแสหลักเป็นเช่นนั้น
ต้องเท้าความไปก่อนว่า พื้นฐานของการเงินการลงทุนนั้นคือ สถิต นั้นเอง โดยคำนวณเบื้องต้นจากโอกาสความน่าจะเป็นที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นแล้ว ผลตอบแทนจากสิ่งที่ลงทุนไปเป็นเท่าไร แล้วมันก็พัฒนาต่อๆเรื่อย เพื่อให้รู้ว่า ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นนั้น มีความแน่นอนอยู่ในระดับใด มีความเสี่ยง(โอกาสที่ขาดทุนมาก ,ขาดทุนน้อย,เท่าทุน,กำไรน้อย,กำไรมาก)เท่าไร ก็วัดออกมาโดยหลักง่ายๆ บนสมการของเส้นตรง แกน X เป็น ผลตอบแทนของตลาด และ Y เป็นผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่เราต้องการดูว่ามีแนวโน้มเป็นเช่นไรกับตลาด ซึ่งเป็นค่าตัวเลขง่ายๆตัวหนึ่งที่บอกเรื่องความเสี่ยง
เมื่อนักลงทุนมีหุ้นรายตัวเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงของตัวหลักทรัพย์แต่ละตัวมีผลต่อกันอาจจะเป็น ในทิศทางเดียวกัน ,ทิศทางตรงข้าม,หรือไม่มีผลเลย ซึ่งมันทำให้ขจัดความเสี่ยงของแต่ละหลักทรัพย์ลง แต่ไปเพิ่มความเสี่ยงในด้านของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ลงทุน(Port) นั้นมีความสัมพันธ์กับตลาดที่เราลงทุนมากขึ้น
ทำให้เกิดแนวคิดต่อไปว่า ทำไมเราไมลงทุนหลายตลาดพร้อมกัน เพื่อขจัดความเสี่ยงเรื่องของการพึ่งพาตลาดเดียวที่เราลงทุนซึ่งเราได้กระจายไปในหลายๆหลักทรัพย์ในนั้นแล้ว แต่ผลที่ตามมาคือ ก็มีความเสี่ยงที่ขจัดไม่ได้เกิดขึ้นมาอีก ตัวอย่างเช่น การที่นักลงทุนไปลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น นั้นมีเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน บาทกับเยน เกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นทางที่เลี่ยงไม่ได้ นอกจากเจรจาให้การลงทุนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินบาทเท่านั้นถึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนี้เกิดขึ้น
หากตลาดที่เราไปลงทุนมีปัญหาวิกฤติทางด้านการเงินเกิดขึ้น ผลมันคือกระทบบ้างส่วนในการลงทุน แต่ไม่ได้กระทบทั้งหมด สำหรับนักลงทุนเพียงคนเดียว แต่ทว่า ในโลกความเป็นจริง ไม่ใช่มีคุณคนเดียวที่กระทบ แต่มีหลายต่อหลายคน หลายต่อหลายบริษัทก็ไปลงทุนในตลาดที่เกิดวิกฤติด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดผลกระทบขยายไป
เมื่อ ระดับแรกกระทบมันก็เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไป จนกระทั่งกระทบกันหมด นี้คือ สิ่งที่เรียกว่า โลกาภิวัฒน์ที่โลกมันใกล้กันมากขึ้น นั้นเอง
ในการศึกษาเกี่ยวกับการเงินการลงทุนนั้น นักศึกษาหรือนักเรียนหรือนักลงทุน คงได้ยินคำว่า "อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าเดียวกัน" อยู่เนื่องๆ ซึ่งมันขัดกับหลักของ VI ที่ใช้กันอยู่ ทำไมกระแสหลักเป็นเช่นนั้น
ต้องเท้าความไปก่อนว่า พื้นฐานของการเงินการลงทุนนั้นคือ สถิต นั้นเอง โดยคำนวณเบื้องต้นจากโอกาสความน่าจะเป็นที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นแล้ว ผลตอบแทนจากสิ่งที่ลงทุนไปเป็นเท่าไร แล้วมันก็พัฒนาต่อๆเรื่อย เพื่อให้รู้ว่า ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นนั้น มีความแน่นอนอยู่ในระดับใด มีความเสี่ยง(โอกาสที่ขาดทุนมาก ,ขาดทุนน้อย,เท่าทุน,กำไรน้อย,กำไรมาก)เท่าไร ก็วัดออกมาโดยหลักง่ายๆ บนสมการของเส้นตรง แกน X เป็น ผลตอบแทนของตลาด และ Y เป็นผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่เราต้องการดูว่ามีแนวโน้มเป็นเช่นไรกับตลาด ซึ่งเป็นค่าตัวเลขง่ายๆตัวหนึ่งที่บอกเรื่องความเสี่ยง
เมื่อนักลงทุนมีหุ้นรายตัวเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงของตัวหลักทรัพย์แต่ละตัวมีผลต่อกันอาจจะเป็น ในทิศทางเดียวกัน ,ทิศทางตรงข้าม,หรือไม่มีผลเลย ซึ่งมันทำให้ขจัดความเสี่ยงของแต่ละหลักทรัพย์ลง แต่ไปเพิ่มความเสี่ยงในด้านของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ลงทุน(Port) นั้นมีความสัมพันธ์กับตลาดที่เราลงทุนมากขึ้น
ทำให้เกิดแนวคิดต่อไปว่า ทำไมเราไมลงทุนหลายตลาดพร้อมกัน เพื่อขจัดความเสี่ยงเรื่องของการพึ่งพาตลาดเดียวที่เราลงทุนซึ่งเราได้กระจายไปในหลายๆหลักทรัพย์ในนั้นแล้ว แต่ผลที่ตามมาคือ ก็มีความเสี่ยงที่ขจัดไม่ได้เกิดขึ้นมาอีก ตัวอย่างเช่น การที่นักลงทุนไปลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น นั้นมีเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน บาทกับเยน เกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นทางที่เลี่ยงไม่ได้ นอกจากเจรจาให้การลงทุนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินบาทเท่านั้นถึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนี้เกิดขึ้น
หากตลาดที่เราไปลงทุนมีปัญหาวิกฤติทางด้านการเงินเกิดขึ้น ผลมันคือกระทบบ้างส่วนในการลงทุน แต่ไม่ได้กระทบทั้งหมด สำหรับนักลงทุนเพียงคนเดียว แต่ทว่า ในโลกความเป็นจริง ไม่ใช่มีคุณคนเดียวที่กระทบ แต่มีหลายต่อหลายคน หลายต่อหลายบริษัทก็ไปลงทุนในตลาดที่เกิดวิกฤติด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดผลกระทบขยายไป
เมื่อ ระดับแรกกระทบมันก็เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไป จนกระทั่งกระทบกันหมด นี้คือ สิ่งที่เรียกว่า โลกาภิวัฒน์ที่โลกมันใกล้กันมากขึ้น นั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 227
โฆษณา SS6 กับ iphone 6
สังเกตกันหรือเปล่าในการดูทีวีในช่วงนี้ว่า มีโฆษณา SS6 กับ iPhone 6 ปรากฏเป็นช่วงๆ
สังเกตกันต่อไปหรือเปล่า SS6 นั้นมีดารานักแสดงมาโฆษณา ซึ่งเป็นดาราที่ดังในช่วงนี้
แต่ iPhone นั้นไม่ใช่ดาราดังในการโฆษณาแต่ใช้ Clip VDO ที่สะท้อนการใช้งานจริงๆเลย
จุดนี้เป็นข้อสังเกตเลยว่า ทั้งสองค่าย นั้น ต้องการสื่อให้ประชาชนที่สนใจซื้ออุปกรณ์ชิ้นที่ได้รับรู้ประสบการณ์การใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวจากโฆษณา แต่ต้นทุนในการทำดังกล่าวแตกต่างกัน
SS6 นั้นไม่ได้แยกเป็นค่ายของมือถือ แต่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เป็นผู้โฆษณาเอง แสดงว่า ต้องการให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
แต่ Iphone 6 นันผู้โฆษณาเป็นค่ายมือถือ
จุดนี้มันแปลกๆว่า ทำไมเจ้าของผลิตภัณฑ์ ลงมาเอง ในเมื่อ แบรนด์นั้นสามารถให้ร้านค้าที่ขายมือถือมาโฆษณาแทนได้
เนี่ยคือ สิ่งที่เจอะเจอในการดูโฆษณา
สังเกตกันหรือเปล่าในการดูทีวีในช่วงนี้ว่า มีโฆษณา SS6 กับ iPhone 6 ปรากฏเป็นช่วงๆ
สังเกตกันต่อไปหรือเปล่า SS6 นั้นมีดารานักแสดงมาโฆษณา ซึ่งเป็นดาราที่ดังในช่วงนี้
แต่ iPhone นั้นไม่ใช่ดาราดังในการโฆษณาแต่ใช้ Clip VDO ที่สะท้อนการใช้งานจริงๆเลย
จุดนี้เป็นข้อสังเกตเลยว่า ทั้งสองค่าย นั้น ต้องการสื่อให้ประชาชนที่สนใจซื้ออุปกรณ์ชิ้นที่ได้รับรู้ประสบการณ์การใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวจากโฆษณา แต่ต้นทุนในการทำดังกล่าวแตกต่างกัน
SS6 นั้นไม่ได้แยกเป็นค่ายของมือถือ แต่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เป็นผู้โฆษณาเอง แสดงว่า ต้องการให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
แต่ Iphone 6 นันผู้โฆษณาเป็นค่ายมือถือ
จุดนี้มันแปลกๆว่า ทำไมเจ้าของผลิตภัณฑ์ ลงมาเอง ในเมื่อ แบรนด์นั้นสามารถให้ร้านค้าที่ขายมือถือมาโฆษณาแทนได้
เนี่ยคือ สิ่งที่เจอะเจอในการดูโฆษณา
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 228
เมื่อวานเป็นวันแรกของการจองบัตรเดี่ยว 11 ของ โน้ม อุดม
เราเองอยากดูรอบสุดท้ายอย่างมากๆ เพราะ ครั้งที่แล้ว เดี่ยว 10 ได้ดูรอบรองสุดท้าย
แถมโดนหักหลังจากคุณโน้ตที่กล่าวบนเวทีว่า รอบสุดท้ายไม่ได้อะไรเลย แต่สุดท้าย
รอบสุดท้ายได้ ผ้าเช็ดตัวสองผืน (หักหลังคนดูรอบก่อนหน้าที่คุณโน้ตบอกว่าไม่ได้อะไรเลย)
ขอให้ครั้งนี้ พูดอะไรทำตามที่พูดไว้บนเวทีละกัน เพราะหลักฐานจาก DVD บันทึกการแสดงสดมันฟ้องอยู่
เดี๋ยว ไมได้ใจ คนดูรอบอื่นๆที่ซื้อบัตรของคุณไป อย่าทำผิดรอบที่สองในการแสดง เดี่ยว 11 ละกัน
เอาละเข้าเรื่อง วางแผนอย่างดี โทรไป TTM ตอน 10.55 น. พยายาม คุยกับพนักงานจนถึง 11.00 น.ให้ได้
ปรากฏ สายตัดตอน 10.59 คราวนี้งานเข้าเลย กดไป 1 ชั่วโมงกว่าๆ ประมาณ 304 ครั้ง เครื่องหนึ่งอีกเครื่องประมาณเดียวกัน
ในที่สุดก็ติดตอนประมาณเที่ยงวัน ฟังเพลงประมาณ 60 นาทีถึงมีเจ้าหน้าที่ Call center รับสาย
งานนี้ขอจองรอบสุดท้าย ปรากฏว่า ต้องการ 6 ที่นั่ง ตอนแรกบอกว่ามี (ราคา 1500 บาท) ปรากฏว่า ระบบช้ามากมายมหาศาล
แย่งกันแบบสุดยอด ระบบไม่ไหวไม่ติ่งไป 10 นาที ได้รับคำตอบว่า ไม่มีที่นั่ง 1500 บาท อ้าวมีราคาอื่นไหม
Call center ตรวจสอบให้ ปรากฏว่ามี ก็ให้ Call center ทำรายการ ปรากฏว่า รายการไมได้ อีกแล้ว
ทำแบบนี้ประมาณ 3 รอบ ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีแล้ว งานนี้เลยเอา 2 order เลย คือรอบสุดท้ายกับรองสุดท้าย
รองสุดท้ายซื้อได้ แต่รอบสุดท้ายไม่สามารถทำอะไรได้เลย งานเข้าเลยซิเนี่ย ไปตรวจสอบที่หน้าแสดงผลของ TTM ปรากฏว่า
รอบสุดท้ายยังไม่เต็ม (13.20 น.ระหว่างที่คุกับ Call center)
งานนี้ TTM จะว่าอย่างไร (แต่ยังดีกว่า Counter Service ที่จองไม่ได้ตอนเดี่ยว 10 ล่มสองครั้ง จนต้องจองผ่าน TTM
ตอน เดี่ยว 10 นั้น TTM นี้ ระบบดีมากๆ แบบว่า เปิดจอง 10.00 น. รอบสุดท้ายเต็มทุกที่นั่งตอน 11.oo น.กว่าๆ แต่ครั้งนี้ เปิด 11.00
รอบสุดท้ายเต็ม 14.00 น.โดยประมาณ)
สุดท้ายได้ Oreder ไปจ่าย counter Service ซึ่ง Counter Service ระบบการชำระเงินดีสุดๆๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย
ไม่งอแง (รอบเดี่ยว 10 มีงอแงตอนจ่ายเงินแต่ครั้งนี้ ไม่งอแงอะไรเลย จ่ายได้ทันทีทันใด)
ได้ไปดูรอบรองสุดท้าย
เรื่องนี้ ข้อบ่งพร่องของ TTM คือ
1. คิดว่าระบบสามารถรองรับ การจองได้หลายช่องทาง แต่สุดท้ายล่มไม่เป็นท่า
ช่องทาง online ตัดเงินแล้ว แต่ไมได้ Order
ช่องทาง Call center ไมได้ Order ยืนยันเพื่อไปจ่ายเงิน
ช่องทาง เคาร์เตอร์โดนอัดเละเทะ
2. ระบบ IT ที่คิดว่า รวดเร็วสามารถติดต่อกับธนาคารได้ ร่วง
ผู้ใช้งานไม่รู้ว่าตัดเงินหรือยังไม่ตัดเงิน
รองรับปริมาณการใช้งานมากๆๆ Query ถี่ๆมิได้ (คงไม่ได้ แบ่ง การคำนวณไว้เป็นส่วนๆเพื่อรองรับ)
จึงเกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
แต่อย่างไรเสีย ระบบสามารถรอดพ้น การล่มได้ ทำงานได้แต่ช้ามากๆๆ
3. การ Stand by ของ ฝ่าย IT มันก็แปล่กจริงๆ จองวันเสาร์ที่ไร
ฝ่าย IT ไม่อยู่ทุกที ครั้งนี้เอาใหม่ คิดใหม่ทำใหม่ละกัน ให้ IT มา Stand by ยกทีมเลย
ให้มันรู้ไปว่า ล่มหรือช้าอีกไหม (ท่าทางอีก 2-3 ปีข้างหน้า)
เราเองอยากดูรอบสุดท้ายอย่างมากๆ เพราะ ครั้งที่แล้ว เดี่ยว 10 ได้ดูรอบรองสุดท้าย
แถมโดนหักหลังจากคุณโน้ตที่กล่าวบนเวทีว่า รอบสุดท้ายไม่ได้อะไรเลย แต่สุดท้าย
รอบสุดท้ายได้ ผ้าเช็ดตัวสองผืน (หักหลังคนดูรอบก่อนหน้าที่คุณโน้ตบอกว่าไม่ได้อะไรเลย)
ขอให้ครั้งนี้ พูดอะไรทำตามที่พูดไว้บนเวทีละกัน เพราะหลักฐานจาก DVD บันทึกการแสดงสดมันฟ้องอยู่
เดี๋ยว ไมได้ใจ คนดูรอบอื่นๆที่ซื้อบัตรของคุณไป อย่าทำผิดรอบที่สองในการแสดง เดี่ยว 11 ละกัน
เอาละเข้าเรื่อง วางแผนอย่างดี โทรไป TTM ตอน 10.55 น. พยายาม คุยกับพนักงานจนถึง 11.00 น.ให้ได้
ปรากฏ สายตัดตอน 10.59 คราวนี้งานเข้าเลย กดไป 1 ชั่วโมงกว่าๆ ประมาณ 304 ครั้ง เครื่องหนึ่งอีกเครื่องประมาณเดียวกัน
ในที่สุดก็ติดตอนประมาณเที่ยงวัน ฟังเพลงประมาณ 60 นาทีถึงมีเจ้าหน้าที่ Call center รับสาย
งานนี้ขอจองรอบสุดท้าย ปรากฏว่า ต้องการ 6 ที่นั่ง ตอนแรกบอกว่ามี (ราคา 1500 บาท) ปรากฏว่า ระบบช้ามากมายมหาศาล
แย่งกันแบบสุดยอด ระบบไม่ไหวไม่ติ่งไป 10 นาที ได้รับคำตอบว่า ไม่มีที่นั่ง 1500 บาท อ้าวมีราคาอื่นไหม
Call center ตรวจสอบให้ ปรากฏว่ามี ก็ให้ Call center ทำรายการ ปรากฏว่า รายการไมได้ อีกแล้ว
ทำแบบนี้ประมาณ 3 รอบ ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีแล้ว งานนี้เลยเอา 2 order เลย คือรอบสุดท้ายกับรองสุดท้าย
รองสุดท้ายซื้อได้ แต่รอบสุดท้ายไม่สามารถทำอะไรได้เลย งานเข้าเลยซิเนี่ย ไปตรวจสอบที่หน้าแสดงผลของ TTM ปรากฏว่า
รอบสุดท้ายยังไม่เต็ม (13.20 น.ระหว่างที่คุกับ Call center)
งานนี้ TTM จะว่าอย่างไร (แต่ยังดีกว่า Counter Service ที่จองไม่ได้ตอนเดี่ยว 10 ล่มสองครั้ง จนต้องจองผ่าน TTM
ตอน เดี่ยว 10 นั้น TTM นี้ ระบบดีมากๆ แบบว่า เปิดจอง 10.00 น. รอบสุดท้ายเต็มทุกที่นั่งตอน 11.oo น.กว่าๆ แต่ครั้งนี้ เปิด 11.00
รอบสุดท้ายเต็ม 14.00 น.โดยประมาณ)
สุดท้ายได้ Oreder ไปจ่าย counter Service ซึ่ง Counter Service ระบบการชำระเงินดีสุดๆๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย
ไม่งอแง (รอบเดี่ยว 10 มีงอแงตอนจ่ายเงินแต่ครั้งนี้ ไม่งอแงอะไรเลย จ่ายได้ทันทีทันใด)
ได้ไปดูรอบรองสุดท้าย
เรื่องนี้ ข้อบ่งพร่องของ TTM คือ
1. คิดว่าระบบสามารถรองรับ การจองได้หลายช่องทาง แต่สุดท้ายล่มไม่เป็นท่า
ช่องทาง online ตัดเงินแล้ว แต่ไมได้ Order
ช่องทาง Call center ไมได้ Order ยืนยันเพื่อไปจ่ายเงิน
ช่องทาง เคาร์เตอร์โดนอัดเละเทะ
2. ระบบ IT ที่คิดว่า รวดเร็วสามารถติดต่อกับธนาคารได้ ร่วง
ผู้ใช้งานไม่รู้ว่าตัดเงินหรือยังไม่ตัดเงิน
รองรับปริมาณการใช้งานมากๆๆ Query ถี่ๆมิได้ (คงไม่ได้ แบ่ง การคำนวณไว้เป็นส่วนๆเพื่อรองรับ)
จึงเกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
แต่อย่างไรเสีย ระบบสามารถรอดพ้น การล่มได้ ทำงานได้แต่ช้ามากๆๆ
3. การ Stand by ของ ฝ่าย IT มันก็แปล่กจริงๆ จองวันเสาร์ที่ไร
ฝ่าย IT ไม่อยู่ทุกที ครั้งนี้เอาใหม่ คิดใหม่ทำใหม่ละกัน ให้ IT มา Stand by ยกทีมเลย
ให้มันรู้ไปว่า ล่มหรือช้าอีกไหม (ท่าทางอีก 2-3 ปีข้างหน้า)
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 229
มีเรื่องให้เขียนหลายต่อหลายเรื่องแต่ทว่าเวลาไม่อำนวยอย่างยิ่งเลย
แต่ทว่าก็มาเขียนให้อ่านกันละกัน
ย้อนกลับไป 2-3 ปีที่แล้ว ขั้วอำนาจทางด้านการเงินในอดีตนั้น มี US ,อังกฤษ,เยอรมันนีเป็นหัวหอก
แต่ทว่ามีกลุ่มอำนาจทางการเงินกลุ่มใหม่เกิดขึ้นมาท้าทายกลุ่มอำนาจเดิมคือ บราซิล,รัสเซีย,อินเดียและจีน
เวลาผ่านไป อินเดียมีวิกฤติลดค่าเงินลง ตลาดหลักทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็ว
ปีถัดมา รัสเซียประสบปัญหาเรื่องของยูเครน ,น้ำมันที่ราคาลดลงและก๊าซธรรมชาติที่ราคาลดลง ประกอบกับโดนคว่ำบาตรในด้านธุรกรรมทางการเงิน (โดนอายัดบัญชีในต่างประเทศในกิจการขนาดใหญ่)
ผ่านไปอีก 1 ปีคือปีนี้ คราวนี้เป็นคิวของบราซิล ค่าเงินเริ่มอ่อนค่า แถมมีปัญหาเรื่องบริษัทพลังงานของประเทศนี้ในด้านคอลัปชั่น ที่เกิดขึ้น
ดังนั้นมีคำถามให้คิดว่า ปีหน้านี้เป็นจีนหรือเปล่าที่เป็นคิวต่อไป หลังจากบราซิล
แต่ทว่าก็มาเขียนให้อ่านกันละกัน
ย้อนกลับไป 2-3 ปีที่แล้ว ขั้วอำนาจทางด้านการเงินในอดีตนั้น มี US ,อังกฤษ,เยอรมันนีเป็นหัวหอก
แต่ทว่ามีกลุ่มอำนาจทางการเงินกลุ่มใหม่เกิดขึ้นมาท้าทายกลุ่มอำนาจเดิมคือ บราซิล,รัสเซีย,อินเดียและจีน
เวลาผ่านไป อินเดียมีวิกฤติลดค่าเงินลง ตลาดหลักทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็ว
ปีถัดมา รัสเซียประสบปัญหาเรื่องของยูเครน ,น้ำมันที่ราคาลดลงและก๊าซธรรมชาติที่ราคาลดลง ประกอบกับโดนคว่ำบาตรในด้านธุรกรรมทางการเงิน (โดนอายัดบัญชีในต่างประเทศในกิจการขนาดใหญ่)
ผ่านไปอีก 1 ปีคือปีนี้ คราวนี้เป็นคิวของบราซิล ค่าเงินเริ่มอ่อนค่า แถมมีปัญหาเรื่องบริษัทพลังงานของประเทศนี้ในด้านคอลัปชั่น ที่เกิดขึ้น
ดังนั้นมีคำถามให้คิดว่า ปีหน้านี้เป็นจีนหรือเปล่าที่เป็นคิวต่อไป หลังจากบราซิล
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 230
พื้นฐานของการเงินนั้น
มีอยู่ข้อหนึ่งคือ สามารถกู้ยืมหลักทรัพย์หรือเงินมาดำเนินการ Short sale ได้
โดยมีผู้ให้ยืมและผู้ยืมในตลาดที่เราสนใจ นั้นคือ กิจกรรม SBL นั้นเอง
ทำไม SBL ถึงต้องระบุไว้เป็นพื้นฐานทางการเงินด้วยเป็นเรื่องที่น่าคิด
การกู้ยืมหลักทรัพย์มา ผู้ยืม เสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้ยืมหลักทรัพย์ และหากมีการขึ้นเครื่องหมายสำคัญๆ
ผู้ยืมต้องคืนหลักทรัพย์นั้นแก่ผู้ให้ยืมครบจำนวน
ผู้ยืมได้อะไร
ได้ส่วนต่างของราคาที่เทขายในช่วงแรก และราคารับซื้อคืน
ผู้ยืมมองว่าตลาดเป็นขาลงแน่นอน จึงดำเนินการทำแบบนี้
ตอนปี 2540 นั้น ตอนต้มยำกุ้งนั้น
SBL นำมาประยุกต์ใช้ กับการโจมตรีค่าเงินด้วย คือ ดอลล่าร์แลกบาททันที แล้วดำเนินการ Forward แลกบาทเป็นดอลล่าร์ไว้ จากนั้นบาทที่ได้ มาค้ำประกันเงินกู้เพื่อทำ SBL นำหลักทรัพย์มาเทขาย เมื่อได้เงินบาทมา ก็ซื้อคืน แล้วก็แลกเป็นดอลล่าร์ เพื่อ ให้ผู้ควบคุมกฎ ขาดสภาพคล่องในด้านดอลล่าร์ในตลาดเกิดขึ้น (นำส่วนต่างที่ได้มาแลก เท่ากับได้กำไรจากค่าเงินรอบที่นำเข้า,ได้กำไรจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์และได้ส่วนกำไรจากการทำ Forward ล็อคค่าเงินไว้ด้วย) และยิ่ง ผู้ควบคุมกฏปล่อยเงินบาทเข้ามาในระบบด้วยนโยบายทางการเงินในสมัยนั้นด้วยแล้ว เป็นการเพิ่มกระสุนให้แก่ผู้ดำเนินการเข้าไปอีก ในอีกด้านหนึ่งนั้น ผู้ควบคุมกฏก็ต้องระดับระดับค่าเงินบาทไว้ที่ระดับเดิม ในระบบตะกร้าเงินด้วย
อาจจะเป็นอ่านแล้วงงๆ ละซิ ให้ลองไปเขียน Diagram ดูว่า ว่าเป็นเช่นไร ค่อยๆ เขียนที่ละขั้นตอน แล้วจะถึงบางอ้อละ
มีอยู่ข้อหนึ่งคือ สามารถกู้ยืมหลักทรัพย์หรือเงินมาดำเนินการ Short sale ได้
โดยมีผู้ให้ยืมและผู้ยืมในตลาดที่เราสนใจ นั้นคือ กิจกรรม SBL นั้นเอง
ทำไม SBL ถึงต้องระบุไว้เป็นพื้นฐานทางการเงินด้วยเป็นเรื่องที่น่าคิด
การกู้ยืมหลักทรัพย์มา ผู้ยืม เสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้ยืมหลักทรัพย์ และหากมีการขึ้นเครื่องหมายสำคัญๆ
ผู้ยืมต้องคืนหลักทรัพย์นั้นแก่ผู้ให้ยืมครบจำนวน
ผู้ยืมได้อะไร
ได้ส่วนต่างของราคาที่เทขายในช่วงแรก และราคารับซื้อคืน
ผู้ยืมมองว่าตลาดเป็นขาลงแน่นอน จึงดำเนินการทำแบบนี้
ตอนปี 2540 นั้น ตอนต้มยำกุ้งนั้น
SBL นำมาประยุกต์ใช้ กับการโจมตรีค่าเงินด้วย คือ ดอลล่าร์แลกบาททันที แล้วดำเนินการ Forward แลกบาทเป็นดอลล่าร์ไว้ จากนั้นบาทที่ได้ มาค้ำประกันเงินกู้เพื่อทำ SBL นำหลักทรัพย์มาเทขาย เมื่อได้เงินบาทมา ก็ซื้อคืน แล้วก็แลกเป็นดอลล่าร์ เพื่อ ให้ผู้ควบคุมกฎ ขาดสภาพคล่องในด้านดอลล่าร์ในตลาดเกิดขึ้น (นำส่วนต่างที่ได้มาแลก เท่ากับได้กำไรจากค่าเงินรอบที่นำเข้า,ได้กำไรจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์และได้ส่วนกำไรจากการทำ Forward ล็อคค่าเงินไว้ด้วย) และยิ่ง ผู้ควบคุมกฏปล่อยเงินบาทเข้ามาในระบบด้วยนโยบายทางการเงินในสมัยนั้นด้วยแล้ว เป็นการเพิ่มกระสุนให้แก่ผู้ดำเนินการเข้าไปอีก ในอีกด้านหนึ่งนั้น ผู้ควบคุมกฏก็ต้องระดับระดับค่าเงินบาทไว้ที่ระดับเดิม ในระบบตะกร้าเงินด้วย
อาจจะเป็นอ่านแล้วงงๆ ละซิ ให้ลองไปเขียน Diagram ดูว่า ว่าเป็นเช่นไร ค่อยๆ เขียนที่ละขั้นตอน แล้วจะถึงบางอ้อละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 231
เบื้องหลังของการย้ายสายไฟฟ้าใต้ดิน
การย้ายสายไฟฟ้าลงใต้ดินนั้น มันมีเหตุผลของมันคือ
1. สายไฟฟ้าที่ลอยอยู่บนอากาศนั้น เมื่อถึงฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปเป็นหน้าหนาวนั้น
สายไฟฟ้าอาจจะเกิดการสปาร์กของอิเล็กตรอนข้ามสายได้ เมื่ออากาศอุณหภูมิต่ำ
2. เมื่อเกิดลมฟ้าคะนอง ก็มักจะเห็นรถสีส้ม ประจำการซ่อมแซมเสาไฟ หรือ สายไฟฟ้า ที่ได้รับ
ความเสียหายจาก ป้ายโฆษณาล้ม ,ต้นไม้หักโค่น,กิ่งไม้หัก ทำให้เสาไฟฟ้าหักหรือสายไฟขาด
ลงมากองกับพื้น นั้นเอง
3. สัตว์มาเกาะเกี่ยว ทำให้เกิดสิ่งสกปรก
4. ความเสียรภาพของการส่งไฟฟ้าในสาย
อันนี้สายอากาศนั้น มีการส่งไฟฟ้าได้ระดับหนึ่ง เพราะ อากาศมีผล(อธิบายในข้อ 1)
เมื่อลงใต้ดินแล้ว ดินนั้นมีความต้านทานกระแสได้ดีกว่าอากาศ ดังนั้น ระดับการส่งได้มากกว่า
5. ดูแล้วสวยงาม เพราะไม่มีอะไรบังตึกราบ้านช่องอีกต่อไป
6. ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเรื่องการพาดสาย เพิ่มสายแล้วไม่แจ้ง สายขาดแล้วไม่นำลง จนทำให้น้ำหนักของสิ่งที่พาด
กับเสาไฟฟ้ามีน้ำหนักมากเกินไป เสารับน้ำหนักได้หรือเปล่า
สิ่งที่ตามมาจากการเอาสายไฟฟ้าลงดิน
1. คราวนี้ สายไฟฟ้าลงใต้ดินไม่พอ แต่ทว่า สายสื่อสารอย่างอื่นๆก็ลงใต้ดินไปด้วย
งานนี้ต้องรอดูว่า เมื่อวางไว้ใต้ดินแล้ว เพิ่มกันก็ย้าย มีรองรับได้จำกัด แถมรายใหม่มาก็ย้ายขึ้นเพราะ
ท่อมันมีขนาดที่จำกัด
2. ข้าเป็นเจ้าของท่อคนเดียว งานนี้เรียกเก็บค่าใช้ท่อ ได้มากกว่าค่าพาดสายแน่นอน
ลองดูกันต่อไป เส้นต่อไปที่ทำคือ สุขุมวิท ละ
การย้ายสายไฟฟ้าลงใต้ดินนั้น มันมีเหตุผลของมันคือ
1. สายไฟฟ้าที่ลอยอยู่บนอากาศนั้น เมื่อถึงฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปเป็นหน้าหนาวนั้น
สายไฟฟ้าอาจจะเกิดการสปาร์กของอิเล็กตรอนข้ามสายได้ เมื่ออากาศอุณหภูมิต่ำ
2. เมื่อเกิดลมฟ้าคะนอง ก็มักจะเห็นรถสีส้ม ประจำการซ่อมแซมเสาไฟ หรือ สายไฟฟ้า ที่ได้รับ
ความเสียหายจาก ป้ายโฆษณาล้ม ,ต้นไม้หักโค่น,กิ่งไม้หัก ทำให้เสาไฟฟ้าหักหรือสายไฟขาด
ลงมากองกับพื้น นั้นเอง
3. สัตว์มาเกาะเกี่ยว ทำให้เกิดสิ่งสกปรก
4. ความเสียรภาพของการส่งไฟฟ้าในสาย
อันนี้สายอากาศนั้น มีการส่งไฟฟ้าได้ระดับหนึ่ง เพราะ อากาศมีผล(อธิบายในข้อ 1)
เมื่อลงใต้ดินแล้ว ดินนั้นมีความต้านทานกระแสได้ดีกว่าอากาศ ดังนั้น ระดับการส่งได้มากกว่า
5. ดูแล้วสวยงาม เพราะไม่มีอะไรบังตึกราบ้านช่องอีกต่อไป
6. ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเรื่องการพาดสาย เพิ่มสายแล้วไม่แจ้ง สายขาดแล้วไม่นำลง จนทำให้น้ำหนักของสิ่งที่พาด
กับเสาไฟฟ้ามีน้ำหนักมากเกินไป เสารับน้ำหนักได้หรือเปล่า
สิ่งที่ตามมาจากการเอาสายไฟฟ้าลงดิน
1. คราวนี้ สายไฟฟ้าลงใต้ดินไม่พอ แต่ทว่า สายสื่อสารอย่างอื่นๆก็ลงใต้ดินไปด้วย
งานนี้ต้องรอดูว่า เมื่อวางไว้ใต้ดินแล้ว เพิ่มกันก็ย้าย มีรองรับได้จำกัด แถมรายใหม่มาก็ย้ายขึ้นเพราะ
ท่อมันมีขนาดที่จำกัด
2. ข้าเป็นเจ้าของท่อคนเดียว งานนี้เรียกเก็บค่าใช้ท่อ ได้มากกว่าค่าพาดสายแน่นอน
ลองดูกันต่อไป เส้นต่อไปที่ทำคือ สุขุมวิท ละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 232
ธนาคารกับการปล่อยกู้ 4G
การประมูลคลื่นความถี่(ถ้าหากไม่มีอะไรเลื่อน) ประมูลรอบนี้เป็นรอบของ 4G และ 900
เกิดขึ้นในเดือน พฤศจิกายน 2558 ซึ่งมีอยู่ 4 รายที่ได้ใบอนุญาตนี้โดยอยู่บนเงื่อนไข
แต่ละรายครอบครองคลื่นความถี่ไม่เกิน 60MHz เพื่อไม่มีการกักคลื่นความถี่เอาไว้แล้ว
ไม่ได้ถูกใช้งานเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ย้อนอดีตไป เมื่อครั้น 3G นั้น ทั้งสามราย ที่เข้าประมูลก็ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่ามีเงินในการประมูลคลื่นความถี่
ในย่าน 3G (2100) โดยนำเงินมาจากการกู้ยืมเงินและมาจากผลการดำเนินการกิจการเองมาลงทุนใน 3G
แต่ครั้นนี้ ปรากฏว่ายังไม่มีข่าวแบบนั้นในหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่ว่ามาจากด้านผู้ประมูลและธนาคารพาณิชย์เอง
เป็นเรื่องที่น่าแปลกและน่าสงสัยว่า ถ้าหากประมูลกันจริงแล้ว เจ้าที่ได้จะมีเงินจ่ายหรือเปล่า (เดี๋ยวเหมือน
ตอนประมูล Digital TV ที่มี 2 ช่อง ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ จนกระทั่ง ถูกยึดเงินค้ำประกัน)
การประมูลคลื่นความถี่ 4G นี้มาจังหวะเวลาพอดีมากๆ คือ ธนาคารพาณิชย์เริ่มมีคำถามตัวใหญ่ๆเกี่ยวกับ
การตั้งสำรอง สำหรับ NPL ว่าเพียงพอหรือไม่ แล้ว NPL จริงๆมันมากกว่าที่ประกาศหรือเปล่า
มันก็น่าคิดว่า เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง แบบนี้ด้วย
เอาละอย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงเดินหน้าต่อไป หากอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละกัน
เหมือนคราวประมูล 3G ที่ รอแล้วรออีก จนกระทั่งก็ได้ใช้งานในปัจจุบัน
การประมูลคลื่นความถี่(ถ้าหากไม่มีอะไรเลื่อน) ประมูลรอบนี้เป็นรอบของ 4G และ 900
เกิดขึ้นในเดือน พฤศจิกายน 2558 ซึ่งมีอยู่ 4 รายที่ได้ใบอนุญาตนี้โดยอยู่บนเงื่อนไข
แต่ละรายครอบครองคลื่นความถี่ไม่เกิน 60MHz เพื่อไม่มีการกักคลื่นความถี่เอาไว้แล้ว
ไม่ได้ถูกใช้งานเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ย้อนอดีตไป เมื่อครั้น 3G นั้น ทั้งสามราย ที่เข้าประมูลก็ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่ามีเงินในการประมูลคลื่นความถี่
ในย่าน 3G (2100) โดยนำเงินมาจากการกู้ยืมเงินและมาจากผลการดำเนินการกิจการเองมาลงทุนใน 3G
แต่ครั้นนี้ ปรากฏว่ายังไม่มีข่าวแบบนั้นในหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่ว่ามาจากด้านผู้ประมูลและธนาคารพาณิชย์เอง
เป็นเรื่องที่น่าแปลกและน่าสงสัยว่า ถ้าหากประมูลกันจริงแล้ว เจ้าที่ได้จะมีเงินจ่ายหรือเปล่า (เดี๋ยวเหมือน
ตอนประมูล Digital TV ที่มี 2 ช่อง ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ จนกระทั่ง ถูกยึดเงินค้ำประกัน)
การประมูลคลื่นความถี่ 4G นี้มาจังหวะเวลาพอดีมากๆ คือ ธนาคารพาณิชย์เริ่มมีคำถามตัวใหญ่ๆเกี่ยวกับ
การตั้งสำรอง สำหรับ NPL ว่าเพียงพอหรือไม่ แล้ว NPL จริงๆมันมากกว่าที่ประกาศหรือเปล่า
มันก็น่าคิดว่า เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง แบบนี้ด้วย
เอาละอย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงเดินหน้าต่อไป หากอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละกัน
เหมือนคราวประมูล 3G ที่ รอแล้วรออีก จนกระทั่งก็ได้ใช้งานในปัจจุบัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 233
แวดดวงการ์ตูน
แวดดวงการ์ตูนที่ผมได้อ่านแต่อ่อนแต่ออกนั้น ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
ทำไมหรือ เพราะการเกิดขึ้นของ อินเตอร์เน็ตและการแบ่งปันกันทำให้นักอ่านสามารถอ่านการ์ตูนได้อย่างรวดเร็วขึ้นกว่าก่อน ยังจำได้ว่า ตอนที่กฏหมายลิขสิทธิ์แรงๆๆ นั้น หนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ที่ฮิตกันก็ปิดตัวกันไป มีสามสี่เจ้าเท่านั้น ที่อยู่ในความจำก็มี ค่ายวิบูลย์กิจ ค่ายเนชั่น และค่ายสยามอินเตอร์คอมมิกส์ที่เป็นหัวหอกในการทำให้ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ จากเดิมที่มีหลายหัวเลยทีเดียวที่ลงเรื่องเดิียวกัน นั้นคือคลื่นลูกแรกที่เจอะเจอกัน
ต่อมาจากรายปักษ์ ที่เข้าสู่ระบบลิขสิทธิ์ ก็มาถึงพวกรวมเล่มทั้งหลาย อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ ทำให้ปรับขึ้นอย่างบ้าระห่ำจาก 15 บาทเป็น 30 บาททันที ในการออกหนังสือรวมเล่ม เนี่ยก็เป็นคลื่นต่อเนื่องด้วย
ต่อมาคลื่นที่รุนแรงมากๆคือ การแบ่งปันทางอินเตอร์เน็ต ให้อ่านกัน มีทั้ง ต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นหรือแปลเป็นภาษาอังกฤษ เลื่อนกันเป็นหน้าๆ ทำให้บริษัทที่เป็นของลิขสิทธิ์ประสบปัญหาเรื่องยอดขาย กระทบบ้างแต่ยังไม่มากในระยะแรกๆ เพราะอัตราการมีอินเตอร์ประเทศไทยยังค่อนข้างต่ำ จนกระทั่งเมื่อราคาอินเตอร์เน็ตลดลง และเริ่มมีการใช้งาน 3G แบบ Unlimited พร้อมกันการมาของ E-book หลายต่อหลายค่าย ทำใิห้ยอดขายกระทบอย่างหนัก คลื่นลูกนี้ซัดทำให้ หนังสือการ์ตูนรายปักษ์ที่ลงเป็นตอนๆ นั้นหลายไปที่ละเล่ม ต่อมาก็กระทบกับหนังสือการ์ตูนฉบับรวมเล่ม จนกระทั่งทำให้ผู้ผลิตหนังสือการ์ตูนอยู่กันไม่ได้ ก็ปรับตัวไปออกเป็น E-book
สิ่งหนึ่งที่แฝง คือ ร้านเช่าหนังสือการ์ตูนได้ปิดตัวลงอย่างรวดเร็วไปด้วย
ถ้าหากไม่มีร้านหนังสือเช่าการ์ตูนแล้ว ยอดขายของหนังสือการ์ตูนก็ลดลงไปด้วย
ทำไมเป็นแบบนี้ แหละ เพราะ คนเช่าประหยัดเสียค่าเช่าก็ไป เสียค่าโหลดในรูปแบบ e-book แทน (มันเป็นบุฟเฟ่ต์ -all you can eat)
เนี่ยคือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดดวงการ์ตูนในช่วงนี้
ปล. การ์ตูนหลายเรื่องที่ผมอ่านอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้ผลิตออกมาแล้ว ยังไม่จบแต่หยุดพิมพ์หนีไปออกเป็น E-book เหลือไม่กี่เรื่องแล้ว ขนาดลดการอ่านลงไปมากแล้ว (การ์ตูนที่สะสมไว้มี 3 ตู้หนังสือ ไม่ต้องประเมินมูลค่าเพราะเป็นหนังสือที่เป็นลิขสิทธิ์ทั้งนั้น และเป็นเรื่องยาวทั้งนั้นด้วย)
แวดดวงการ์ตูนที่ผมได้อ่านแต่อ่อนแต่ออกนั้น ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
ทำไมหรือ เพราะการเกิดขึ้นของ อินเตอร์เน็ตและการแบ่งปันกันทำให้นักอ่านสามารถอ่านการ์ตูนได้อย่างรวดเร็วขึ้นกว่าก่อน ยังจำได้ว่า ตอนที่กฏหมายลิขสิทธิ์แรงๆๆ นั้น หนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ที่ฮิตกันก็ปิดตัวกันไป มีสามสี่เจ้าเท่านั้น ที่อยู่ในความจำก็มี ค่ายวิบูลย์กิจ ค่ายเนชั่น และค่ายสยามอินเตอร์คอมมิกส์ที่เป็นหัวหอกในการทำให้ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ จากเดิมที่มีหลายหัวเลยทีเดียวที่ลงเรื่องเดิียวกัน นั้นคือคลื่นลูกแรกที่เจอะเจอกัน
ต่อมาจากรายปักษ์ ที่เข้าสู่ระบบลิขสิทธิ์ ก็มาถึงพวกรวมเล่มทั้งหลาย อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ ทำให้ปรับขึ้นอย่างบ้าระห่ำจาก 15 บาทเป็น 30 บาททันที ในการออกหนังสือรวมเล่ม เนี่ยก็เป็นคลื่นต่อเนื่องด้วย
ต่อมาคลื่นที่รุนแรงมากๆคือ การแบ่งปันทางอินเตอร์เน็ต ให้อ่านกัน มีทั้ง ต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นหรือแปลเป็นภาษาอังกฤษ เลื่อนกันเป็นหน้าๆ ทำให้บริษัทที่เป็นของลิขสิทธิ์ประสบปัญหาเรื่องยอดขาย กระทบบ้างแต่ยังไม่มากในระยะแรกๆ เพราะอัตราการมีอินเตอร์ประเทศไทยยังค่อนข้างต่ำ จนกระทั่งเมื่อราคาอินเตอร์เน็ตลดลง และเริ่มมีการใช้งาน 3G แบบ Unlimited พร้อมกันการมาของ E-book หลายต่อหลายค่าย ทำใิห้ยอดขายกระทบอย่างหนัก คลื่นลูกนี้ซัดทำให้ หนังสือการ์ตูนรายปักษ์ที่ลงเป็นตอนๆ นั้นหลายไปที่ละเล่ม ต่อมาก็กระทบกับหนังสือการ์ตูนฉบับรวมเล่ม จนกระทั่งทำให้ผู้ผลิตหนังสือการ์ตูนอยู่กันไม่ได้ ก็ปรับตัวไปออกเป็น E-book
สิ่งหนึ่งที่แฝง คือ ร้านเช่าหนังสือการ์ตูนได้ปิดตัวลงอย่างรวดเร็วไปด้วย
ถ้าหากไม่มีร้านหนังสือเช่าการ์ตูนแล้ว ยอดขายของหนังสือการ์ตูนก็ลดลงไปด้วย
ทำไมเป็นแบบนี้ แหละ เพราะ คนเช่าประหยัดเสียค่าเช่าก็ไป เสียค่าโหลดในรูปแบบ e-book แทน (มันเป็นบุฟเฟ่ต์ -all you can eat)
เนี่ยคือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดดวงการ์ตูนในช่วงนี้
ปล. การ์ตูนหลายเรื่องที่ผมอ่านอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้ผลิตออกมาแล้ว ยังไม่จบแต่หยุดพิมพ์หนีไปออกเป็น E-book เหลือไม่กี่เรื่องแล้ว ขนาดลดการอ่านลงไปมากแล้ว (การ์ตูนที่สะสมไว้มี 3 ตู้หนังสือ ไม่ต้องประเมินมูลค่าเพราะเป็นหนังสือที่เป็นลิขสิทธิ์ทั้งนั้น และเป็นเรื่องยาวทั้งนั้นด้วย)
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 234
Voice over IP
การวิวัฒนาการส่งเสียงตามสายนั้น พัฒนาบนพื้นฐานของการวิวัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์
โดยใช้หลักการของคลื่นในตัวกลาง ถ้าหากนึกไม่ออก ย้อนกลับไปมองตอนเด็กๆๆ เราใช้ถ้วยสองใบ
เจาะรูที่ก้นถ้อยแล้วเอาเชือกมาผูกเข้าหากัน แล้วก็คุยผ่านถ้วย ก็ได้ยินเสียง กัน เนี่ยคือตัวอย่างในสมัยครั้นที่เราเป็นเด็กๆ
แต่มันคือเทคโนโลยี่ที่นานมาแล้ว จนวันหนึ่งที่มนุษย์ส่งโทรเลขได้ และต่อมาก็พัฒนาโทรศัพท์ตามสายขึ้นมา ซึ่งยุคแรกๆ
นั้น สวิตซ์ชิ่งที่ใช้ในการสลับเบอร์ ใช้บุคคลากรในการต่อสาย ก็พัฒนากันต่อไปให้เป็นอิเล็กโทรนิกส์ในการสลับให้เชื่อมต่อกัน
จนกระทั่ง มาถึงยุคหนึ่ง ที่ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเฟื่องฟูขึ้น บนพื้นฐานของ TCP/IP Protocol ทุกหนทุกแห่งสามารถเข้าถึง
เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ จึงเกิดแนวคิด ที่ให้เสียงแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอลเพื่อจัดส่งบน TCP/IP Protocol ได้ โดยตัวอย่างในยุคนี้
คือ skype ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ติดตั้งเพิ่มเติมสำหรับระบบปฏิบัติการต่างๆ จนกระทั่ง Microsoft เข้าไปซื้อกิจการ เพื่อนำมาต่อยอด MSN
เดิม ,Line จากเดิมที่พิมพ์คุยกัน สามารถโทรหากันได้ โดยคิดค่าบริการตาม Package data ที่ใช้งาน ,หรือ โทรศัพท์ที่ไม่ต้องใช้งานสาย
ทองแดง แต่ใช้งานสายแลนแทนในการโทรศัพท์ ซึ่งเห็นตามสำนักงานขนาดใหญ่เช่น ธนาคารพาณิชย์,บริษัทต่างประชาติ เป็นต้น
สิ่งหนึ่งที่คาดว่า เกิดแน่นอนคือ เมื่อความเร็วของระบบเครือข่ายของโทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถใช้งานเป็น 4G ขึ้นไปแล้ว มีความเร็วที่เพิ่มขึ้น
จนกระทั่งถึงจุดที่ส่ง Streaming ได้ (ข้อมูลประเภท Streaming เช่น ภาพและเสียง ที่ส่งแบบต่อเนื่องห้ามขาดช่วง) และอยู่บน TCP/IP Protocol ด้วยแล้ว ก็สามารถใชงานได้นั้นเอง
ต่อไปการคิดค่าบริการการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลงจากการคิดเป็นวินาทีในการโทรศัพท์ เป็น การใช้งานจำนวนข้อมูล แทนต่อไป
คำถามในใจของนักลงทุนนั้น อีกนานแค่ไหน ที่เป็นแบบนั้นแหละ แล้วจะเป็น Mass เมื่อไร
คำตอบของคำถามนี้คือ เมื่อพฤติกรรมของประชาชนเปลี่ยน บนพื้นฐานของราคาที่ให้บริการ นั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่คาดว่าจะได้เห็นคือ กรุงเทพมหานคร,เมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองใหญ่ๆได้ใช้งานก่อน
การวิวัฒนาการส่งเสียงตามสายนั้น พัฒนาบนพื้นฐานของการวิวัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์
โดยใช้หลักการของคลื่นในตัวกลาง ถ้าหากนึกไม่ออก ย้อนกลับไปมองตอนเด็กๆๆ เราใช้ถ้วยสองใบ
เจาะรูที่ก้นถ้อยแล้วเอาเชือกมาผูกเข้าหากัน แล้วก็คุยผ่านถ้วย ก็ได้ยินเสียง กัน เนี่ยคือตัวอย่างในสมัยครั้นที่เราเป็นเด็กๆ
แต่มันคือเทคโนโลยี่ที่นานมาแล้ว จนวันหนึ่งที่มนุษย์ส่งโทรเลขได้ และต่อมาก็พัฒนาโทรศัพท์ตามสายขึ้นมา ซึ่งยุคแรกๆ
นั้น สวิตซ์ชิ่งที่ใช้ในการสลับเบอร์ ใช้บุคคลากรในการต่อสาย ก็พัฒนากันต่อไปให้เป็นอิเล็กโทรนิกส์ในการสลับให้เชื่อมต่อกัน
จนกระทั่ง มาถึงยุคหนึ่ง ที่ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเฟื่องฟูขึ้น บนพื้นฐานของ TCP/IP Protocol ทุกหนทุกแห่งสามารถเข้าถึง
เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ จึงเกิดแนวคิด ที่ให้เสียงแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอลเพื่อจัดส่งบน TCP/IP Protocol ได้ โดยตัวอย่างในยุคนี้
คือ skype ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ติดตั้งเพิ่มเติมสำหรับระบบปฏิบัติการต่างๆ จนกระทั่ง Microsoft เข้าไปซื้อกิจการ เพื่อนำมาต่อยอด MSN
เดิม ,Line จากเดิมที่พิมพ์คุยกัน สามารถโทรหากันได้ โดยคิดค่าบริการตาม Package data ที่ใช้งาน ,หรือ โทรศัพท์ที่ไม่ต้องใช้งานสาย
ทองแดง แต่ใช้งานสายแลนแทนในการโทรศัพท์ ซึ่งเห็นตามสำนักงานขนาดใหญ่เช่น ธนาคารพาณิชย์,บริษัทต่างประชาติ เป็นต้น
สิ่งหนึ่งที่คาดว่า เกิดแน่นอนคือ เมื่อความเร็วของระบบเครือข่ายของโทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถใช้งานเป็น 4G ขึ้นไปแล้ว มีความเร็วที่เพิ่มขึ้น
จนกระทั่งถึงจุดที่ส่ง Streaming ได้ (ข้อมูลประเภท Streaming เช่น ภาพและเสียง ที่ส่งแบบต่อเนื่องห้ามขาดช่วง) และอยู่บน TCP/IP Protocol ด้วยแล้ว ก็สามารถใชงานได้นั้นเอง
ต่อไปการคิดค่าบริการการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลงจากการคิดเป็นวินาทีในการโทรศัพท์ เป็น การใช้งานจำนวนข้อมูล แทนต่อไป
คำถามในใจของนักลงทุนนั้น อีกนานแค่ไหน ที่เป็นแบบนั้นแหละ แล้วจะเป็น Mass เมื่อไร
คำตอบของคำถามนี้คือ เมื่อพฤติกรรมของประชาชนเปลี่ยน บนพื้นฐานของราคาที่ให้บริการ นั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่คาดว่าจะได้เห็นคือ กรุงเทพมหานคร,เมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองใหญ่ๆได้ใช้งานก่อน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 235
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 236
เมื่อเกิดระเบิดที่ราชประสงค์ขึ้นนั้น ทำให้กลับบ้านมาทบวนว่า การลงทุนที่ผ่านมาเจอะเจออะไรมาแล้วบ้าง
ปีแรกที่เริ่มการลงทุนนั้น ลงทุนในกองทุนรวม โดยซื้อกองทุนตราสารหนี้ พัฒนาเป็นกองทุนตราสารทุน
โดยการสวิตส์ไปมา โดยเมื่อเกิดเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นลงหนักๆ แรงๆ ก็ย้ายไปยังกองทุนตราสารทุน เมื่อขึ้นได้ ประมาณหนึ่งก็ย้ายกลับไปพักที่กองทุนตราสารหนี้ ทำแบบนี้อยู่ 1 ปีก็ได้กำไรมาหลายอยู่ แล้วพอดีมีเพื่อนสนิทชวนมาลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
การลงทุนในหุ้นสามัญมีทั้งกำไรและขาดทุน ส่วนใหญ่ได้กำไรมา เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ panic หนักๆก็เป็นพวกซื้อสวน โดยเพราะหุ้นตัวใหญ่ๆ
เมื่อทบวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา หนักๆ ก็มี
1. ตากใบ/รือเสะ รอบนั้นยังลงทุนในกองทุนรวมอยู่
2. ระเบิดในวันปีใหม่ (อนุสาวรีย์และจุดอื่นๆในกทม)
3. ปฏิวัติ ทั้ง สองครั้ง
4. วิกฤติ แฮมเบอร์เกอร์
5. ม๊อบทั้ง สีเหลือง สีแดง รวมไปถึง Shutdown Bangkok ด้วย
Port ก็โตเรื่อยมาๆ
นั้นคืออะไร
ใจของนักลงทุนหาก หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ไม่คำนึงถึง ผลประกอบการของกิจการ กับราคาที่ควรซื้อ แล้วไม่ซื้อ มันก็ไม่เกิดกำไรนั้นเอง
ปีแรกที่เริ่มการลงทุนนั้น ลงทุนในกองทุนรวม โดยซื้อกองทุนตราสารหนี้ พัฒนาเป็นกองทุนตราสารทุน
โดยการสวิตส์ไปมา โดยเมื่อเกิดเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นลงหนักๆ แรงๆ ก็ย้ายไปยังกองทุนตราสารทุน เมื่อขึ้นได้ ประมาณหนึ่งก็ย้ายกลับไปพักที่กองทุนตราสารหนี้ ทำแบบนี้อยู่ 1 ปีก็ได้กำไรมาหลายอยู่ แล้วพอดีมีเพื่อนสนิทชวนมาลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
การลงทุนในหุ้นสามัญมีทั้งกำไรและขาดทุน ส่วนใหญ่ได้กำไรมา เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ panic หนักๆก็เป็นพวกซื้อสวน โดยเพราะหุ้นตัวใหญ่ๆ
เมื่อทบวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา หนักๆ ก็มี
1. ตากใบ/รือเสะ รอบนั้นยังลงทุนในกองทุนรวมอยู่
2. ระเบิดในวันปีใหม่ (อนุสาวรีย์และจุดอื่นๆในกทม)
3. ปฏิวัติ ทั้ง สองครั้ง
4. วิกฤติ แฮมเบอร์เกอร์
5. ม๊อบทั้ง สีเหลือง สีแดง รวมไปถึง Shutdown Bangkok ด้วย
Port ก็โตเรื่อยมาๆ
นั้นคืออะไร
ใจของนักลงทุนหาก หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ไม่คำนึงถึง ผลประกอบการของกิจการ กับราคาที่ควรซื้อ แล้วไม่ซื้อ มันก็ไม่เกิดกำไรนั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 237
เวลาหุ้นตกหนักๆ ควรทำอะไรดี
ทำไมต้องตั้งคำถามนี้ในช่วงเวลานี้ เพราะว่า เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในการตั้งคำถาม นั้นเอง
เวลาหุ้นตกหนักๆๆควรทำอะไรดี
คำตอบ คือ
1. นอนให้หลับ เพราะการนอนเป็นการซ่อมแซมร่างกาย แต่ต้องนอนให้หลับ (อย่าไปฟังเพลง นอนไม่หลับ ของ ซาซ่าละกัน)
2. สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ
3. ทบทวนสิ่งที่เราได้ทำ เรียนรู้ว่าอะไรเป็นเวลาที่ต้องหนี เวลาไหนต้องสู้ด้วยเครื่องมือชนิดไหน
4. เขียนในข้างฝาไว้ว่า เจอเจอะอะไรบ้าง ทำไมไม่เขียนลงสมุดโน้ต คำตอบคือ แล้วคุณเปิดสมุดโน้ตครั้งสุดท้ายเมื่อไร
แค่นี้แหละ
ทำไมต้องตั้งคำถามนี้ในช่วงเวลานี้ เพราะว่า เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในการตั้งคำถาม นั้นเอง
เวลาหุ้นตกหนักๆๆควรทำอะไรดี
คำตอบ คือ
1. นอนให้หลับ เพราะการนอนเป็นการซ่อมแซมร่างกาย แต่ต้องนอนให้หลับ (อย่าไปฟังเพลง นอนไม่หลับ ของ ซาซ่าละกัน)
2. สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ
3. ทบทวนสิ่งที่เราได้ทำ เรียนรู้ว่าอะไรเป็นเวลาที่ต้องหนี เวลาไหนต้องสู้ด้วยเครื่องมือชนิดไหน
4. เขียนในข้างฝาไว้ว่า เจอเจอะอะไรบ้าง ทำไมไม่เขียนลงสมุดโน้ต คำตอบคือ แล้วคุณเปิดสมุดโน้ตครั้งสุดท้ายเมื่อไร
แค่นี้แหละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 238
ภาพไม่ชัดเจน
การลดลงของดัชนี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นั้น ถ้าหากอ่านกันตามบทวิเคราะห์ก็ดีหรือตามสื่อต่างๆก็ดี นั้นให้สาเหตุหลักมาจากการวิตกกังวลจากจีน ที่มี PMI ลดลง ,อัตราเติบโตของ GDP ที่ลดลง
เมื่อวานนี้มีข่าวออกมาสองข่าวที่น่าสนใจคือ
1. การสวนสนามของกองทัพจีน ซึ่งจัดเป็นการซ้อมก่อนที่สวนสนามแสดงแสนยานุภาพต้นเดือนกันยายน 2558
2. การลดอัตราดอกเบี้ยและ ลด RR ของธนาคารพาณิชย์จีน
ข่าวแรกน่าสนใจเพราะอะไร
ในอดีต อาณาจักรที่รุ่งเรืองได้ ข้างหลังมี กองกำลังทหาร/กองทัพหนุนอยู่ เช่น โรมัน กรีซ จีน เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อ มีการสวนสนาม แสดงแสนยานุภาพเกิดขึ้น ก็ต้องจัดกันเต็มๆที่ เพื่อ ข่มขู่ให้กลัวว่า ฉันมีอาวุธ มีอะไรต่อมิอะไร ให้ดูกันนั้นเอง แต่ถ้ารบจริงแล้ว อาวุธเหล่านั้นได้ใช้งานหรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าคิด
ส่วนเรื่องที่สองนั้นสำคัญมากๆในเรื่อง เศรษฐกิจ ลดดอกเบี้ย นั้นคือ ตัวหารของสมการทางการเงินลดลง ทำให้อัตราการกู้ยืมลดลง เหมือนปล่อยเงินเข้าระบบโดยธนาคารกลางนั้นเอง
ส่วนการลด RR นั้นเหมือน ทำให้สภาพคล่องในระบบมากขึ้น ไม่ต้องเก็บสำรองไว้ที่ธนาคารกลาง ถ้า RR 1% คือ มีเงิน 100 บาท เอาไปเก็บไว้ ธนาคารกลาง 1 บาท ถ้าปรับลดลง เป็น RR 0.5% ก็เงินเก็บไว้ที่ธนาคารกลาง 0.5 บาท ซึ่งเงินที่เก็บไว้ที่ธนาคารกลางไม่มีดอกเบี้ย เก็บเพื่อลดสภาพคล่องของเงินที่หมุนเวียนในระบบ
ทั้งสองมาตราการนั้น กระตุ้นเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศ ปั้มเงินออกมา
แต่ทว่า หากมองลงไปแล้ว เศรษฐกิจจีนมีความสัมพันธ์กับเมืองนอกด้วย
และก่อนหน้านี้มีการเทขายหุ้นหนักๆตลอดทางเลย เม็ดเงินเหล่านี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจภายในประเทศก็จีน
แต่ก็เป็นการไปเติมกระสุนให้แก่ ผู้รุกรานในตัวด้วย (เหมือนตอน ที่ อังกฤษต้องการลดดอกเบี้ยเพื่อให้เกิดการจ้างงานแต่ เยอรมันเป็นประเทศที่เกลียดเงินเฟ้อก็ขึ้นดอกเบี้ย ทั้งสองประเทศยังอยู่ภายใต้ มาตราฐานอัตราแลกเปลี่ยนกลางตัวหนึ่งของยุโรป ผลคือ อังกฤษย่อยยับ แต่เยอรมันดำเนินการได้ตามที่ต้องการ หรือ ก่อนหน้าต้มยำกุ้งก็เป็นแบบนี้ด้วย)
ทำไมนักลงทุน/นักการเงินชอบ ละ
ท่านๆก็น่าจะหาคำตอบกันเองละกัน
ปล.
ประเทศจีน นั้นอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ไม่ใช่แบบลอยตัว ดังนั้น นโยบายการเงินใช้ไปก็สะท้อนกลับ
ตัวที่น่าจับตาดูคือ ดุลบัญชีเดินสะพัดของจีน ว่า ในส่วนดุลการค้าเป็นเช่นไร อีกตัวคือการลงทุน
หาก ดุลการค้าติดลบ แล้วดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกแต่ว่ามีเงินเข้ามาลงทุน ต้องดูให้ละเอียดนิดหน่อยละ
การลดลงของดัชนี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นั้น ถ้าหากอ่านกันตามบทวิเคราะห์ก็ดีหรือตามสื่อต่างๆก็ดี นั้นให้สาเหตุหลักมาจากการวิตกกังวลจากจีน ที่มี PMI ลดลง ,อัตราเติบโตของ GDP ที่ลดลง
เมื่อวานนี้มีข่าวออกมาสองข่าวที่น่าสนใจคือ
1. การสวนสนามของกองทัพจีน ซึ่งจัดเป็นการซ้อมก่อนที่สวนสนามแสดงแสนยานุภาพต้นเดือนกันยายน 2558
2. การลดอัตราดอกเบี้ยและ ลด RR ของธนาคารพาณิชย์จีน
ข่าวแรกน่าสนใจเพราะอะไร
ในอดีต อาณาจักรที่รุ่งเรืองได้ ข้างหลังมี กองกำลังทหาร/กองทัพหนุนอยู่ เช่น โรมัน กรีซ จีน เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อ มีการสวนสนาม แสดงแสนยานุภาพเกิดขึ้น ก็ต้องจัดกันเต็มๆที่ เพื่อ ข่มขู่ให้กลัวว่า ฉันมีอาวุธ มีอะไรต่อมิอะไร ให้ดูกันนั้นเอง แต่ถ้ารบจริงแล้ว อาวุธเหล่านั้นได้ใช้งานหรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าคิด
ส่วนเรื่องที่สองนั้นสำคัญมากๆในเรื่อง เศรษฐกิจ ลดดอกเบี้ย นั้นคือ ตัวหารของสมการทางการเงินลดลง ทำให้อัตราการกู้ยืมลดลง เหมือนปล่อยเงินเข้าระบบโดยธนาคารกลางนั้นเอง
ส่วนการลด RR นั้นเหมือน ทำให้สภาพคล่องในระบบมากขึ้น ไม่ต้องเก็บสำรองไว้ที่ธนาคารกลาง ถ้า RR 1% คือ มีเงิน 100 บาท เอาไปเก็บไว้ ธนาคารกลาง 1 บาท ถ้าปรับลดลง เป็น RR 0.5% ก็เงินเก็บไว้ที่ธนาคารกลาง 0.5 บาท ซึ่งเงินที่เก็บไว้ที่ธนาคารกลางไม่มีดอกเบี้ย เก็บเพื่อลดสภาพคล่องของเงินที่หมุนเวียนในระบบ
ทั้งสองมาตราการนั้น กระตุ้นเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศ ปั้มเงินออกมา
แต่ทว่า หากมองลงไปแล้ว เศรษฐกิจจีนมีความสัมพันธ์กับเมืองนอกด้วย
และก่อนหน้านี้มีการเทขายหุ้นหนักๆตลอดทางเลย เม็ดเงินเหล่านี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจภายในประเทศก็จีน
แต่ก็เป็นการไปเติมกระสุนให้แก่ ผู้รุกรานในตัวด้วย (เหมือนตอน ที่ อังกฤษต้องการลดดอกเบี้ยเพื่อให้เกิดการจ้างงานแต่ เยอรมันเป็นประเทศที่เกลียดเงินเฟ้อก็ขึ้นดอกเบี้ย ทั้งสองประเทศยังอยู่ภายใต้ มาตราฐานอัตราแลกเปลี่ยนกลางตัวหนึ่งของยุโรป ผลคือ อังกฤษย่อยยับ แต่เยอรมันดำเนินการได้ตามที่ต้องการ หรือ ก่อนหน้าต้มยำกุ้งก็เป็นแบบนี้ด้วย)
ทำไมนักลงทุน/นักการเงินชอบ ละ
ท่านๆก็น่าจะหาคำตอบกันเองละกัน
ปล.
ประเทศจีน นั้นอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ไม่ใช่แบบลอยตัว ดังนั้น นโยบายการเงินใช้ไปก็สะท้อนกลับ
ตัวที่น่าจับตาดูคือ ดุลบัญชีเดินสะพัดของจีน ว่า ในส่วนดุลการค้าเป็นเช่นไร อีกตัวคือการลงทุน
หาก ดุลการค้าติดลบ แล้วดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกแต่ว่ามีเงินเข้ามาลงทุน ต้องดูให้ละเอียดนิดหน่อยละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 239
น้ำมัน กับ สินค้าอื่นๆ
ก่อนหน้านี้ช่วงประมาณปี 2007-2008 นั้นราคาน้ำมันได้พุ่งทะยานฟ้าไปถึง 100 กว่าเหรียญต่อบาร์เรล
ช่วงนั้น เรียกได้ว่า ปั้มน้ำมันเปลี่ยนราคาแทบทุกวัน (2-3 วันเปลี่ยนราคาทีเลยทีเดียว)
ช่วงเวลานั้น ราคาน้ำมันดีเซล ที่เป็นตัวคำนวณราคาสินค้าต่างๆ ก็ปรับตามไปด้วย แต่ กองทุนมหัศจรรย์ด้านน้ำมัน
ไม่ปล่อยไปถึง 30 บาทต่อลิตร ใช้เงินในกองทุนนี้กดให้ราคาขายที่ปั้มน้ำมันให้ต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร
ช่วงนี้ ราคาค่าโดยสารทั้งรถเมล์ เรือยนต์ เรือด่วนในแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกร้องการปรับค่าโดยสาร ผลคือ
รัฐยอมให้ปรับราคาเพิ่มได้
ราคาสินค้าเรียกร้องให้ปรับราคาเพิ่ม ก็ได้ปรับในบางรายการ บางรายการก็ให้เข้าอยู่ภายใต้บัญชีควบคุมราคาเลยทีเดียว
บางสินค้าก็ไม่ได้ปรับเพิ่มราคา
นี้คือวงจรการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าต่างๆ เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้นก็ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น
แต่เมื่อ ราคาน้ำมันลดลงแล้ว กว่าที่ค่าโดยสาร รถประจำทางก็ดี รถขนส่งก็ดี เรือยนต์ เรือเมล์ เรือข้ามฟาก เรือด่วน ก็ดี กลับไม่ยอมปรับราคาโดยง่ายๆ ต้องออกแรงแล้วออกแรงอีก ในการผู้ประกอบการปรับลดราคา
ไม่เพียงแค่นั้น ราคาสินค้าต่างๆก็ไม่ยอมปรับลดราคา เพราะช่วงก่อนหน้านั้น รัฐไม่ยอมให้ขึ้นราคาสินค้า แถมโดยไปอยู่ในบัญชีควบคุมราคา และ รัฐขอความร่วมมืออีกต่างหากให้ไม่ให้ปรับราคาสินค้า งานนี้เลยบอกได้ว่า ประชาชนรับกรรมไปเต็ม ราคาสินค้าก็ไม่ปรับลดราคาง่ายๆ ละซิ
งานนี้ เมื่อประชาชนรู้ว่า รัฐ พยายามปรับราคาสินค้าให้ลดลง ประชาชนก็บริโภคเท่าที่ใช้งาน มิได้ซื้อเกินปริมาณความต้องการใช้เท่าไร รอจนกว่ารัฐสามารถให้ผู้ผลิตลดราคาลงได้นั้นเอง ประชาชนจึงกลับมาซื้อสินค้าในระดับที่เกินปริมาณความต้องการได้
งานนี้วัดใจกันว่า รัฐจะดำเนินการเช่นไรหนอ
ก่อนหน้านี้ช่วงประมาณปี 2007-2008 นั้นราคาน้ำมันได้พุ่งทะยานฟ้าไปถึง 100 กว่าเหรียญต่อบาร์เรล
ช่วงนั้น เรียกได้ว่า ปั้มน้ำมันเปลี่ยนราคาแทบทุกวัน (2-3 วันเปลี่ยนราคาทีเลยทีเดียว)
ช่วงเวลานั้น ราคาน้ำมันดีเซล ที่เป็นตัวคำนวณราคาสินค้าต่างๆ ก็ปรับตามไปด้วย แต่ กองทุนมหัศจรรย์ด้านน้ำมัน
ไม่ปล่อยไปถึง 30 บาทต่อลิตร ใช้เงินในกองทุนนี้กดให้ราคาขายที่ปั้มน้ำมันให้ต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร
ช่วงนี้ ราคาค่าโดยสารทั้งรถเมล์ เรือยนต์ เรือด่วนในแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกร้องการปรับค่าโดยสาร ผลคือ
รัฐยอมให้ปรับราคาเพิ่มได้
ราคาสินค้าเรียกร้องให้ปรับราคาเพิ่ม ก็ได้ปรับในบางรายการ บางรายการก็ให้เข้าอยู่ภายใต้บัญชีควบคุมราคาเลยทีเดียว
บางสินค้าก็ไม่ได้ปรับเพิ่มราคา
นี้คือวงจรการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าต่างๆ เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้นก็ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น
แต่เมื่อ ราคาน้ำมันลดลงแล้ว กว่าที่ค่าโดยสาร รถประจำทางก็ดี รถขนส่งก็ดี เรือยนต์ เรือเมล์ เรือข้ามฟาก เรือด่วน ก็ดี กลับไม่ยอมปรับราคาโดยง่ายๆ ต้องออกแรงแล้วออกแรงอีก ในการผู้ประกอบการปรับลดราคา
ไม่เพียงแค่นั้น ราคาสินค้าต่างๆก็ไม่ยอมปรับลดราคา เพราะช่วงก่อนหน้านั้น รัฐไม่ยอมให้ขึ้นราคาสินค้า แถมโดยไปอยู่ในบัญชีควบคุมราคา และ รัฐขอความร่วมมืออีกต่างหากให้ไม่ให้ปรับราคาสินค้า งานนี้เลยบอกได้ว่า ประชาชนรับกรรมไปเต็ม ราคาสินค้าก็ไม่ปรับลดราคาง่ายๆ ละซิ
งานนี้ เมื่อประชาชนรู้ว่า รัฐ พยายามปรับราคาสินค้าให้ลดลง ประชาชนก็บริโภคเท่าที่ใช้งาน มิได้ซื้อเกินปริมาณความต้องการใช้เท่าไร รอจนกว่ารัฐสามารถให้ผู้ผลิตลดราคาลงได้นั้นเอง ประชาชนจึงกลับมาซื้อสินค้าในระดับที่เกินปริมาณความต้องการได้
งานนี้วัดใจกันว่า รัฐจะดำเนินการเช่นไรหนอ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 240
ทำไมช่วงนี้เศรษฐกิจไทยถึงตกหลุม ไม่ยอมขึ้นจากหลุม
ผมต้องบอกไว้ก่อนว่า ตัวเองก็ไม่ได้เก่งการ์ดอะไร ในเรื่องเศรษฐกิจ ความรู้ก็มีไม่มากมายแต่ทว่า
สิ่งที่ผมมีคือการเรียงร้อยข้อมูลเข้าไว้ด้วยกันนั้นเอง
สิ่งแรกที่ผมติดตามในช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ ความเสียหายจากวิกฤติการของสหกรณ์แห่งหนึ่ง ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว เริ่มมีข่าวปรากฏในหน้าหนังสือ พิมพ์ แต่ว่า มาเป็นระยะ ถึงตอนนี้คือ สหกรณ์แห่งนี้อยู่ในศาลล้มละลาย กำลังพิจารณาแผนในการฟื้นฟูกิจการจากเจ้าหนี้จำนวนมากมาย สิ่งที่ต้องการคือ สภาพคล่อง (เงินสด)ที่นำมาดำเนินการกิจการกให้ได้ โดยใครหนอที่อัดฉีดได้ ในระดับเป็นหมื่นล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหานี้ (ตอนแรกที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์แค่ระดับหลักพันล้านเท่านั้น)
สิ่งที่สองคือ ปัญหาระบบการธนาคารของภาครัฐ ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน สองแห่งด้วยกัน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับปัญหาสหกรณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งนี้ทำให้ ฟันเฟื่องที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจมีปัญฆา แต่ทว่าไม่รุ่นแรงมากเท่าไร เนื่องจากเป็นธนาคารของภาครัฐที่ขนาดยังเล็กเท่านั้น ถ้าหากเป็นของเอกชนละก็ มันจะเห็นหนังคนละแบบที่เป็นอยู่เนี่ย
สิ่งที่สามคือ ดัชนีตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำไมผมสนใจตัวนี้ มันมีการวิจัยในอดีต คือ ดัชนีตัวนี้เป็นตัวชี้นำ เศรษฐกิจอยู่ประมาณ 6-9 เดือน นั้นเอง (ในความคิดของผมมันใช้งานได้เพราะอะไรหรือ เพราะ ดัชนีตลาด(ห)ลักทรัพย์บ่งบอกถึง เงินๆทองที่หมุนในภาคการลงทุนในตลาดรอง ถ้าหากตลาดรองหมุนคล่องตัว แล้วละก็ทุกอย่างก็หมุนไปได้ เหมือนตลาดรถยนต์ ที่หากค่ายรถยนต์ไม่ทำตลาดรถมือสองแล้วไซร้ รถยนต์ที่ใช้งานอยู่ เอาไปทำลายอย่างเดียว ไม่มีการเปลี่ยนมือ ก็ไม่เกิดการหมุนเวียนเงินๆทองๆ)
สิ่งที่สี่ที่ติดตามดูว่า มีบริษัทประกันภัย/ประกันชีวิตมีปัญหาจนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มิให้ลูกค้าใหม่มาทำกรมธรรม์หรือ หน่วยงานที่ควบคุมดูแลเข้าไปควบคุมกิจการ หรือ ให้จดชำระบัญชีเลย (ประเด็นนี้บางท่าน ไม่สนใจแต่ผมสนใจเมื่อมันเป็นข่าว เนื่องจากบริษัทประกันภัย/ประกันชีวิต นั้นเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ ในตลาดตราสารหนี้ ,ตลาดหุ้น (แม้นลงได้ต้องตั้งสำรองเรื่องความเสี่ยงด้วย ก็มีมูลค่ามากเหมือนกัน)
ไม่เพียงแค่นั้นบริษัทประกันภัย/่ประกันชีวิตเป็นตัวขับเคลื่อนในการรับความเสี่ยงด้วย ถ้าหากไม่มีผู้ใดรับความเสี่ยงเลย ก็ทำให้กิจกรรมบางอย่างดำเนินการไมไ่ด้ เนื่องจากความเสี่ยงมันมากกว่าผลตอบแทนที่ยอมรับกันได้
สิ่งที่ห้าที่ติดตามคือ การลงไปสำรวจตลาดจริงๆ ว่าเป็นเช่นไร จับจ่ายเป็นเช่นไร หน้าตาของประชาชน เป็นเช่นไร
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การติดตาม ส่วนการประมวลผลนั้น มีเหล่ากูรู มาให้คำวิเคราะห์เต็มไปหมด แต่ทว่าเราเชื่อหรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่อย่างไรเสีย เมื่อเวลาผ่านไป กลับมาดูผลงานได้เลยว่า เป็นเช่นไร (เวลาเป็นสิ่งให้คำตอบในหลายๆเรื่อง)
ผมต้องบอกไว้ก่อนว่า ตัวเองก็ไม่ได้เก่งการ์ดอะไร ในเรื่องเศรษฐกิจ ความรู้ก็มีไม่มากมายแต่ทว่า
สิ่งที่ผมมีคือการเรียงร้อยข้อมูลเข้าไว้ด้วยกันนั้นเอง
สิ่งแรกที่ผมติดตามในช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ ความเสียหายจากวิกฤติการของสหกรณ์แห่งหนึ่ง ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว เริ่มมีข่าวปรากฏในหน้าหนังสือ พิมพ์ แต่ว่า มาเป็นระยะ ถึงตอนนี้คือ สหกรณ์แห่งนี้อยู่ในศาลล้มละลาย กำลังพิจารณาแผนในการฟื้นฟูกิจการจากเจ้าหนี้จำนวนมากมาย สิ่งที่ต้องการคือ สภาพคล่อง (เงินสด)ที่นำมาดำเนินการกิจการกให้ได้ โดยใครหนอที่อัดฉีดได้ ในระดับเป็นหมื่นล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหานี้ (ตอนแรกที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์แค่ระดับหลักพันล้านเท่านั้น)
สิ่งที่สองคือ ปัญหาระบบการธนาคารของภาครัฐ ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน สองแห่งด้วยกัน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับปัญหาสหกรณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งนี้ทำให้ ฟันเฟื่องที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจมีปัญฆา แต่ทว่าไม่รุ่นแรงมากเท่าไร เนื่องจากเป็นธนาคารของภาครัฐที่ขนาดยังเล็กเท่านั้น ถ้าหากเป็นของเอกชนละก็ มันจะเห็นหนังคนละแบบที่เป็นอยู่เนี่ย
สิ่งที่สามคือ ดัชนีตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำไมผมสนใจตัวนี้ มันมีการวิจัยในอดีต คือ ดัชนีตัวนี้เป็นตัวชี้นำ เศรษฐกิจอยู่ประมาณ 6-9 เดือน นั้นเอง (ในความคิดของผมมันใช้งานได้เพราะอะไรหรือ เพราะ ดัชนีตลาด(ห)ลักทรัพย์บ่งบอกถึง เงินๆทองที่หมุนในภาคการลงทุนในตลาดรอง ถ้าหากตลาดรองหมุนคล่องตัว แล้วละก็ทุกอย่างก็หมุนไปได้ เหมือนตลาดรถยนต์ ที่หากค่ายรถยนต์ไม่ทำตลาดรถมือสองแล้วไซร้ รถยนต์ที่ใช้งานอยู่ เอาไปทำลายอย่างเดียว ไม่มีการเปลี่ยนมือ ก็ไม่เกิดการหมุนเวียนเงินๆทองๆ)
สิ่งที่สี่ที่ติดตามดูว่า มีบริษัทประกันภัย/ประกันชีวิตมีปัญหาจนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มิให้ลูกค้าใหม่มาทำกรมธรรม์หรือ หน่วยงานที่ควบคุมดูแลเข้าไปควบคุมกิจการ หรือ ให้จดชำระบัญชีเลย (ประเด็นนี้บางท่าน ไม่สนใจแต่ผมสนใจเมื่อมันเป็นข่าว เนื่องจากบริษัทประกันภัย/ประกันชีวิต นั้นเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ ในตลาดตราสารหนี้ ,ตลาดหุ้น (แม้นลงได้ต้องตั้งสำรองเรื่องความเสี่ยงด้วย ก็มีมูลค่ามากเหมือนกัน)
ไม่เพียงแค่นั้นบริษัทประกันภัย/่ประกันชีวิตเป็นตัวขับเคลื่อนในการรับความเสี่ยงด้วย ถ้าหากไม่มีผู้ใดรับความเสี่ยงเลย ก็ทำให้กิจกรรมบางอย่างดำเนินการไมไ่ด้ เนื่องจากความเสี่ยงมันมากกว่าผลตอบแทนที่ยอมรับกันได้
สิ่งที่ห้าที่ติดตามคือ การลงไปสำรวจตลาดจริงๆ ว่าเป็นเช่นไร จับจ่ายเป็นเช่นไร หน้าตาของประชาชน เป็นเช่นไร
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การติดตาม ส่วนการประมวลผลนั้น มีเหล่ากูรู มาให้คำวิเคราะห์เต็มไปหมด แต่ทว่าเราเชื่อหรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่อย่างไรเสีย เมื่อเวลาผ่านไป กลับมาดูผลงานได้เลยว่า เป็นเช่นไร (เวลาเป็นสิ่งให้คำตอบในหลายๆเรื่อง)