Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 10, 2013 11:26 am
คำสอนจากพระตถาคตนั้นถ้าจะสรุปสั้นๆ สำหรับผู้ที่ไม่เคยศึกษาและปฏิบัติ
หรือมีความรู้เก่ามาก่อน จะไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆคับ
เพราะจะไม่เหมือนกับที่เราเคยเรียนหรือศึกษากันมาในหลักสูตรการศึกษาเสียทีเดียว
ที่เราศึกษาเล่าเรียนกันมานั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องพระประวัติ แล้วก็ เรื่องของศีล การดำรงชีวิตที่เหมาะสม เรื่องของจริยธรรมต่างๆ
ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านก็สอนเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ เป็นประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งการปฏิบัติขั้นต่อๆไป
ส่วนเรื่องที่สำคัญที่สุด
พระพุทธเจ้า ท่านสอนเรื่อง ทุกข์ คือ ความที่สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแล้วแตกสลายไป
คือธรรมชาติต่างๆนั้น อันเกิดขึ้นมาแล้ว สุดท้ายก็แตกสลายไปเสมอๆ
นิยามของทุกข์ ท่านก็จะอธิบายว่า
ทุกข์ คือ ความเกิด ความแก่ ความตาย
และต่อมา อาการที่เกิดตามมาหากไม่เข้าใจ ไม่เห็นทุกข์ คือ ความโศก ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ
ความคับแค้นใจทั้งหลาย ความประสบกันสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ
มีความปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น
อาการเหล่านี้เกิดอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจ ไม่เห็นทุกข์ แล้วไปยึดมั่นว่า นี้ของเรา นี้ตัวเรา นี้เป็นตัวเราของเรา
ท่านออกบวชเพราะอยากหาทางแก้ หรือ หลุดพ้นออกจากสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เป็นทุกข์
ซึ่งมันเป็นไปได้หรือ ที่จะหลุดพ้น จาก ความเกิด ความแก่ ความตาย ...
แต่หลังจากการศึกษาและปฏิบัติ โดยแนวทางต่างๆ
สุดท้ายท่านก็ ตรัสรู้ ค้นพบ เหตุแห่งการเกิด เหตุแห่งการดับ
และหนทางปฏิบัติเพื่อความดับไป ของทุกข์
ตอนแรกท่านจะไม่สอน ไม่บอกกล่าว ด้วยเพราะว่า สิ่งที่ท่านตรัสรู้นั้นละเอียด เห็นได้ยาก
แต่ด้วยท่านได้ใคร่ครวญว่า อาจจะมีสัตว์ที่มีธุลีในดวงตาน้อย สามารถเห็นตามได้
ท่านก็ได้ประกาศอริยสัจสี่ ให้แก่ ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ผู้ซึ่งเคยศึกษาและปฏิบัติ ร่วมกันท่าน ในการหาทางพ้นทุกข์ เพราะท่านเห็นว่า
มีปัญญามากพอที่จะเข้าใจ
การเกิดของทุกข์ นั้นอาศัยอะไร
การดับไปของทุกข์ นั้นอาศัยอะไร
ท่านกล่าวว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ทั้งไม่ใช่ของคนเหล่าอื่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ อันกรรมเก่าควบคุมแล้ว อันจิตประมวล
เข้าแล้ว ท่านทั้งหลายพึงเห็นว่าเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมมนสิการถึงปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละโดยแยบคายเป็นอย่างดีในกายนั้นว่า เพราะเหตุนี้ๆ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ
กล่าวคือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ
ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
เพราะอวิชชานั้นแลดับด้วย สามารถความสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไรๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า
สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
และนี่คือสายของ ปฏิจจสมุปบาท วงรอบการเกิดและวงรอบการดับของทุกข์
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรม
พร้อมทั้งเหตุ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม
ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วย มรรค คือ วิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
มรรค คือหนทางปฏิบัติเพื่อความดับไปของทุกข์ มีองค์แปดประการนั่นเอง
แล้วสุดท้าย ถามว่าจะมานับถือ หรือปฏิบัติ ในศาสนาพุทธ เพื่ออะไร?
ก็ลองดูเหตุผลง่ายๆ ว่า เราๆ เดินทางสู่ความทุกข์ไหม?
เรา เกิดมา แล้ว แก่ เจ็บ ตาย กันไหม? เราประสบกับความไม่สบายกาย ไม่สบายใจกันอยู่ไหม?
หรือเพราะว่า วันนี้เรายังไม่ทุกข์ จึงยังไม่เห็นความสำคัญของทางดับทุกข์
แล้วแน่ใจหรือว่าพรุ่งนี้เราจะไม่ทุกข์
หรือพอเกษียณอายุหกสิบ เราจะไม่ทุกข์
แล้วแน่ใจหรือว่าพอเราแก่ชราอายุแปดสิบ เราจะไม่ทุกข์
“ก็สาวกของพระโคดมผู้เจริญ เมื่อพระโคดมกล่าวสอน พร่ำสอนอยู่อย่างนี้
ทุกๆ รูปได้บรรลุนิพพานอันเป็นผลสำเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่งหรือ? หรือว่าไม่ได้บรรลุ?”
พราหมณ์ผู้หนึ่งทูลถามพระผู้มีพระภาค.
พราหมณ์ ! สาวกของเรา แม้เรากล่าวสอน
พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ น้อยพวกที่ได้บรรลุนิพพาน อันเป็น
ผลสำเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ.
“พระโคดมผู้เจริญ ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็น
ปัจจัย, ที่พระนิพพานก็ยังตั้งอยู่, หนทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่.
พระโคดมผู้ชักชวน (เพื่อดำเนินไป) ก็ยังตั้งอยู่, ทำไมน้อยพวกที่บรรลุ และบางพวกไม่บรรลุ?”
พราหมณ์ ! เราจักย้อนถามท่านในเรื่องนี้,
ท่านจงตอบตามควร. ท่านเป็นผู้ช่ำชองในหนทางไปสู่เมือง
ราชคฤห์มิใช่หรือ? มีบุรษผู้จะไปเมืองราชคฤห์ เข้ามาหา
และกล่าวกับท่านว่า “ท่านผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าปรารถนาจะไป
เมืองราชคฤห์ ขอท่านจงชี้บอกทางไปเมืองราชคฤห์
แก่ข้าพเจ้าเถิด” ดังนี้;
ท่านก็จะกล่าวกะบุรุษผู้นั้นว่า “มาซิท่าน ทางนี้ไปเมืองราชคฤห์ ไปได้ครู่หนึ่งจักพบบ้าน
ชื่อโน้น แล้วจักเห็นนิคมชื่อโน้น จักเห็นสวนและป่าอัน
น่ารื่นรมย์ จักเห็นภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอัน
น่ารื่นรมย์ของเมืองราชคฤห์” ดังนี้.
บุรุษนั้นอันท่าน พร่ำบอก พร่ำชี้ให้อย่างนี้ ก็ยังถือเอาทางผิด กลับหลัง ตรงกันข้ามไป,
ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่ง ไปถึงเมืองราชคฤห์ ได้โดยสวัสดี.
พราหมณ์เอย ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็นปัจจัย ที่เมืองราชคฤห์ก็ยังตั้งอยู่ ท่านผู้ชี้บอก
ก็ยังตั้งอยู่ แต่ทำไมบุรุษผู้หนึ่งกลับหลงผิดทาง ส่วนบุรุษ
อีกผู้หนึ่งไปถึงเมืองราชคฤห์ได้โดยสวัสดี?
“พระโคดมผู้เจริญ ! ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจักทำอย่างไรได้เล่า,
เพราะข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น”
พราหมณ์ ! ฉันใดก็ฉันนั้นแล, ที่พระนิพพาน
ก็ยังตั้งอยู่ ทางเป็นเครื่องถึงพระนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่ เรา
ผู้ชักชวนก็ยังตั้งอยู่; แต่สาวกแม้เรากล่าวสอนพร่ำสอน
อยู่อย่างนี้ น้อยพวกที่ได้บรรลุนิพพานอันเป็นผลสำเร็จ
ถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ.
พราหมณ์ ! ในเรื่องนี้ เราจักทำอย่างไรได้เล่า,
เพราะเราเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น.
หรือมีความรู้เก่ามาก่อน จะไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆคับ
เพราะจะไม่เหมือนกับที่เราเคยเรียนหรือศึกษากันมาในหลักสูตรการศึกษาเสียทีเดียว
ที่เราศึกษาเล่าเรียนกันมานั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องพระประวัติ แล้วก็ เรื่องของศีล การดำรงชีวิตที่เหมาะสม เรื่องของจริยธรรมต่างๆ
ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านก็สอนเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ เป็นประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งการปฏิบัติขั้นต่อๆไป
ส่วนเรื่องที่สำคัญที่สุด
พระพุทธเจ้า ท่านสอนเรื่อง ทุกข์ คือ ความที่สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแล้วแตกสลายไป
คือธรรมชาติต่างๆนั้น อันเกิดขึ้นมาแล้ว สุดท้ายก็แตกสลายไปเสมอๆ
นิยามของทุกข์ ท่านก็จะอธิบายว่า
ทุกข์ คือ ความเกิด ความแก่ ความตาย
และต่อมา อาการที่เกิดตามมาหากไม่เข้าใจ ไม่เห็นทุกข์ คือ ความโศก ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ
ความคับแค้นใจทั้งหลาย ความประสบกันสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ
มีความปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น
อาการเหล่านี้เกิดอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจ ไม่เห็นทุกข์ แล้วไปยึดมั่นว่า นี้ของเรา นี้ตัวเรา นี้เป็นตัวเราของเรา
ท่านออกบวชเพราะอยากหาทางแก้ หรือ หลุดพ้นออกจากสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เป็นทุกข์
ซึ่งมันเป็นไปได้หรือ ที่จะหลุดพ้น จาก ความเกิด ความแก่ ความตาย ...
แต่หลังจากการศึกษาและปฏิบัติ โดยแนวทางต่างๆ
สุดท้ายท่านก็ ตรัสรู้ ค้นพบ เหตุแห่งการเกิด เหตุแห่งการดับ
และหนทางปฏิบัติเพื่อความดับไป ของทุกข์
ตอนแรกท่านจะไม่สอน ไม่บอกกล่าว ด้วยเพราะว่า สิ่งที่ท่านตรัสรู้นั้นละเอียด เห็นได้ยาก
แต่ด้วยท่านได้ใคร่ครวญว่า อาจจะมีสัตว์ที่มีธุลีในดวงตาน้อย สามารถเห็นตามได้
ท่านก็ได้ประกาศอริยสัจสี่ ให้แก่ ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ผู้ซึ่งเคยศึกษาและปฏิบัติ ร่วมกันท่าน ในการหาทางพ้นทุกข์ เพราะท่านเห็นว่า
มีปัญญามากพอที่จะเข้าใจ
การเกิดของทุกข์ นั้นอาศัยอะไร
การดับไปของทุกข์ นั้นอาศัยอะไร
ท่านกล่าวว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ทั้งไม่ใช่ของคนเหล่าอื่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ อันกรรมเก่าควบคุมแล้ว อันจิตประมวล
เข้าแล้ว ท่านทั้งหลายพึงเห็นว่าเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมมนสิการถึงปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละโดยแยบคายเป็นอย่างดีในกายนั้นว่า เพราะเหตุนี้ๆ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ
กล่าวคือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ
ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
เพราะอวิชชานั้นแลดับด้วย สามารถความสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไรๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า
สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
และนี่คือสายของ ปฏิจจสมุปบาท วงรอบการเกิดและวงรอบการดับของทุกข์
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรม
พร้อมทั้งเหตุ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม
ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วย มรรค คือ วิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
มรรค คือหนทางปฏิบัติเพื่อความดับไปของทุกข์ มีองค์แปดประการนั่นเอง
แล้วสุดท้าย ถามว่าจะมานับถือ หรือปฏิบัติ ในศาสนาพุทธ เพื่ออะไร?
ก็ลองดูเหตุผลง่ายๆ ว่า เราๆ เดินทางสู่ความทุกข์ไหม?
เรา เกิดมา แล้ว แก่ เจ็บ ตาย กันไหม? เราประสบกับความไม่สบายกาย ไม่สบายใจกันอยู่ไหม?
หรือเพราะว่า วันนี้เรายังไม่ทุกข์ จึงยังไม่เห็นความสำคัญของทางดับทุกข์
แล้วแน่ใจหรือว่าพรุ่งนี้เราจะไม่ทุกข์
หรือพอเกษียณอายุหกสิบ เราจะไม่ทุกข์
แล้วแน่ใจหรือว่าพอเราแก่ชราอายุแปดสิบ เราจะไม่ทุกข์
“ก็สาวกของพระโคดมผู้เจริญ เมื่อพระโคดมกล่าวสอน พร่ำสอนอยู่อย่างนี้
ทุกๆ รูปได้บรรลุนิพพานอันเป็นผลสำเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่งหรือ? หรือว่าไม่ได้บรรลุ?”
พราหมณ์ผู้หนึ่งทูลถามพระผู้มีพระภาค.
พราหมณ์ ! สาวกของเรา แม้เรากล่าวสอน
พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ น้อยพวกที่ได้บรรลุนิพพาน อันเป็น
ผลสำเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ.
“พระโคดมผู้เจริญ ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็น
ปัจจัย, ที่พระนิพพานก็ยังตั้งอยู่, หนทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่.
พระโคดมผู้ชักชวน (เพื่อดำเนินไป) ก็ยังตั้งอยู่, ทำไมน้อยพวกที่บรรลุ และบางพวกไม่บรรลุ?”
พราหมณ์ ! เราจักย้อนถามท่านในเรื่องนี้,
ท่านจงตอบตามควร. ท่านเป็นผู้ช่ำชองในหนทางไปสู่เมือง
ราชคฤห์มิใช่หรือ? มีบุรษผู้จะไปเมืองราชคฤห์ เข้ามาหา
และกล่าวกับท่านว่า “ท่านผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าปรารถนาจะไป
เมืองราชคฤห์ ขอท่านจงชี้บอกทางไปเมืองราชคฤห์
แก่ข้าพเจ้าเถิด” ดังนี้;
ท่านก็จะกล่าวกะบุรุษผู้นั้นว่า “มาซิท่าน ทางนี้ไปเมืองราชคฤห์ ไปได้ครู่หนึ่งจักพบบ้าน
ชื่อโน้น แล้วจักเห็นนิคมชื่อโน้น จักเห็นสวนและป่าอัน
น่ารื่นรมย์ จักเห็นภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอัน
น่ารื่นรมย์ของเมืองราชคฤห์” ดังนี้.
บุรุษนั้นอันท่าน พร่ำบอก พร่ำชี้ให้อย่างนี้ ก็ยังถือเอาทางผิด กลับหลัง ตรงกันข้ามไป,
ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่ง ไปถึงเมืองราชคฤห์ ได้โดยสวัสดี.
พราหมณ์เอย ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็นปัจจัย ที่เมืองราชคฤห์ก็ยังตั้งอยู่ ท่านผู้ชี้บอก
ก็ยังตั้งอยู่ แต่ทำไมบุรุษผู้หนึ่งกลับหลงผิดทาง ส่วนบุรุษ
อีกผู้หนึ่งไปถึงเมืองราชคฤห์ได้โดยสวัสดี?
“พระโคดมผู้เจริญ ! ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจักทำอย่างไรได้เล่า,
เพราะข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น”
พราหมณ์ ! ฉันใดก็ฉันนั้นแล, ที่พระนิพพาน
ก็ยังตั้งอยู่ ทางเป็นเครื่องถึงพระนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่ เรา
ผู้ชักชวนก็ยังตั้งอยู่; แต่สาวกแม้เรากล่าวสอนพร่ำสอน
อยู่อย่างนี้ น้อยพวกที่ได้บรรลุนิพพานอันเป็นผลสำเร็จ
ถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ.
พราหมณ์ ! ในเรื่องนี้ เราจักทำอย่างไรได้เล่า,
เพราะเราเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น.