หน้า 8 จากทั้งหมด 12

news17/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 17, 2007 7:49 pm
โดย chartchai madman
NPLกดหุ้นแบงก์ราคาซึมทั้งกลุ่มแนะรอจังหวะซื้อ

เอ็นพีแอลกดดันหุ้นกลุ่มแบงก์ ทำราคาทั้งกลุ่มโงหัวไม่ขึ้น สวนทางบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นสุดคึกคัก ไม่สนงบไตรมาส 3 ที่ออกมาดี ชี้แบงก์ขนาดกลาง-เล็ก มีโอกาสซึมต่อ ด้านโบรกเกอร์เชียร์ซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ทั้ง KBANK-SCB-BBL-BAY เตรียมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายยกก๊วน หลังราคาเริ่มเต็มมูลคาแล้ว


จากการตรวจสอบของ กระแสหุ้นรายวัน พบว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวสวนทิศทางของตลาดหุ้นที่กำลังคึกคัก โดยราคาหุ้นในกลุ่มส่วนใหญ่ทรงตัวถึงปรับลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เห็นได้จากเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 10.08 จุด แต่หุ้นแบงก์ส่วนใหญ่กลับไม่เคลื่อนไหว และวานนี้(16 ต.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นระหว่างวันสูงถึง 11 จุด มูลค่าซื้อขาย 3.4 หมื่นล้านบาท แต่หุ้นแบงก์ยังคงนิ่งสนิทหรือปรับตัวลดลงเหมือนเดิม

โดยราคาหุ้น KBANK (15 ต.ค.) ปิดที่ 85.50 ลดลง 0.50 บาท, SCB ปิดตลาดที่ 83.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BBL ปิดตลาดที่ 125 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BAY ปิดตลาดที่ 28.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท และ KTB ปิดที่ 11.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท และวานนี้ (16 ต.ค.50) KBANK ปิดที่ 84 บาท ลดลง 1.50 บาท, SCB ปิดตลาดที่ 82 บาท ลดลง 1 บาท, BBL ปิดตลาดที่ 122 ลดลง 3 บาท, BAY ปิดตลาดที่ 27 บาท ลดลง 1 บาท และ KTB ปิดที่ 11.40 บาท ลดลง 0.50 บาท

นักวิเคราะห์ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวถึงสาเหตุที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์วิ่งสวนทางกับดัชนีตลาดที่ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักว่า โดยภาพรวมทั้งกลุ่มอาจได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นของตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหุ้นที่มีขนาดกลางและเล็ก ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ราคาหุ้นซึมต่อไปอีก แม้ผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2550 จะประกาศออกมาก็ตาม ส่วนหุ้นขนาดใหญ่นั้นไม่มีปัญหาในประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ทางฝ่ายประเมินว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ยังเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนอยู่ แม้ว่าราคาหุ้นช่วงนี้จะไม่หวือหวาหรือมีเทรดบ้างแต่ราคาไม่ขยับ ซึ่งมองว่าเป็นช่วงของการรอให้มีการรายงานผลประกอบไตรมาส 3 ของปี 2550 โดยคาดว่าจะเติบโตตามการคาดการณ์ของโบรกเกอร์ที่คาดจะออกมาดี ประกอบกับก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้วช่วงนี้จึงชะลอตัว

ปัญหาเรื่อง NPL คงจะกระทบกับแบงก์ที่มีขนาดกลางและเล็กมากกว่าแบงก์ขนาดใหญ่ ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามคือผลประกอบการไตรมาส3 ปีนี้จะออกมาอยู่ในทิศทางเดียวกันกับที่หลายๆ โบรกฯประเมินว่าอยู่ในทิศทางที่ดี จากต้นทุนเงินฝากที่ลดลง ขณะเดียวกันสัดส่วนเงินฝากบัญชีออมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ แต่ประเด็นที่น่าจับตาคือกลุ่มนี้ว่าเมื่อมีการประกาศงบไตรมาส 3 ออกมาราคาหุ้นอาจจะปรับตัวลงเนื่องจากหมดข่าวดี นักวิเคราะห์กล่าว

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนของกลุ่มนี้ คือ KBANK, SCB, BBLและ BAY อย่างไรก็ตามขณะนี้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ปรับตัวขึ้นมาเกินราคาเป้าหมายของปี 2550 แล้ว ซึ่งคาดว่าในอนาคตหุ้นกลุ่มแบงก์ทั้งกลุ่มคงจะมีการปรับราคาเป้าหมายขึ้นใหม่อีกครั้ง

ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด กล่าวถึงสาเหตุที่บรรยากาศการซื้อขายหุ้นกลุ่มแบงก์ช่วงนี้ไม่หวือหวาเพราะเป็นช่วงของการรอประกาศงบการเงินไตรมาส 3 ขณะที่ NPL ยังเป็นตัวกดดันทั้งกลุ่ม เพราะมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากมีความกังวลว่าปัญหาซับไพร์มจะกระทบกับงบการเงินไตรมาส 3 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากที่ก่อนหน้านี้ยังไม่กระทบ ดังนั้นในระยะสั้นทางฝ่ายจึงแนะนำหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ราคาหุ้นบางตัวได้เต็มมูลค่าแล้ว โดยประเมินว่า KBANK โดดเด่นสุดในกลุ่ม
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16

news18/10/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 18, 2007 1:03 pm
โดย chartchai madman
นันแบงก์คึกแห่ผุดสาขาแม้สินเชื่อซบ

โพสต์ทูเดย์ ธุรกิจสินเชื่อนันแบงก์ คึกคัก 9 เดือน เปิดสาขาเพิ่ม 80 แห่ง ท่ามกลางภาวะสินเชื่อ และบัตรเครดิตทรุด


รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ข้อมูลสิ้นเดือน ก.ย. บริษัทประกอบธุรกิจสินเชื่อและบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นันแบงก์) เปิดสำนักงานทั้งประเทศรวม 563 แห่ง เพิ่มขึ้น 80 แห่ง หรือ 16.56% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2549 ที่มีอยู่ 483 แห่ง กลุ่มที่ขยายตัวมากสุดคือ กลุ่มที่ให้บริการบัตรเครดิตสำหรับร้านค้า และห้างสรรพสินค้า

บริษัท เซทเทเลม (ประเทศไทย) ซึ่งมีสำนักงาน 239 แห่ง เพิ่มขึ้น 48 แห่ง บริษัท เทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส มีสำนักงาน 91 แห่ง เพิ่มขึ้น 19 แห่ง บริษัท จีอี แคปปิตอล มีสำนักงาน 21 แห่ง เพิ่มขึ้น 10 แห่ง บริษัท บัตรกรุงไทย มีสำนักงาน 40 แห่ง เพิ่มขึ้น 3 แห่ง บริษัท เอไอจี คาร์ด มีสำนักงาน 8 แห่ง ขณะที่บริษัท ไดเนอร์ส คลับ (ประเทศไทย) มีสำนักงาน 2 แห่ง ลดลงจากสิ้นปีก่อนซึ่งมี 7 แห่ง

ทั้งนี้ หากพิจารณาสินเชื่อจะเห็นว่า มีอัตราการให้สินเชื่อที่ชะลอตัวลง โดยในรอบ 8 เดือน ขยายตัว 5% แต่ในปีที่แล้วขยายตัวสูงถึง 9%

ธุรกิจบัตรเครดิตก็ลดลง สาเหตุมาจากการขึ้นอัตราการชำระคืนสินเชื่อขั้นต่ำจาก 5% เป็น 10% ทำให้อัตราการขยายตัวของสินเชื่อปรับตัวลดลง 1.3% เทียบกับการขยายตัว 10.6% ในปี 2549 โดยบัตรเครดิตของนันแบงก์ปรับตัวลดลงมากที่สุด 3.8% เทียบกับการขยายตัว 13% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2549
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198156

news19/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 6:59 pm
โดย chartchai madman
ไอเอ็นจีซื้อ1.8หมื่นล้าน

โพสต์ทูเดย์ บอร์ดธนาคารทหารไทยไฟเขียวเพิ่มทุน 3.5 หมื่นล้าน เปิดทางยักษ์ใหญ่ไอเอ็นจี กรุ๊ป ใส่เงิน 1.8 หมื่นล้าน ถือหุ้น 25.1%


แหล่งข่าวจากคณะกรรมการธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนวงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มไอเอ็นจี กรุ๊ป จะใส่เงินเพิ่มทุนเข้ามา 1.8 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 25.1% จากนั้นอีก 2 ปี กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเปิดทางให้เข้ามาถือหุ้นเพิ่มเป็น 35%
ทั้งนี้ ราคาขายหุ้นที่บอร์ดอนุมัติขายให้ไอเอ็นจีอยู่ที่ 1.40 บาทต่อหุ้น ขณะที่ธนาคารมีผลขาดทุนไตรมาส 3 จำนวน 2.5 พันล้านบาท


แหล่งข่าวเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมจะใส่เงินเพิ่มทุนประมาณ 7 พันล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเหลือเพียง 26.2% และอีก 2 ปีข้างหน้า คลังจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 22% ขณะที่เงินเพิ่มทุนของรายย่อยอยู่ที่ประมาณ 8 พันล้านบาท

สำหรับพันธมิตรเดิมคือ ธนาคารดีบีเอสสิงคโปร์นั้น แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ธนาคารได้ทำหนังสือไปถามเรื่องการเพิ่มทุน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับคำตอบตกลงการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งหากไม่ตอบกลับมา จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของดีบีเอสลดลง

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า หลังกระบวนการเพิ่มทุนยุติแล้ว ทางกลุ่มไอเอ็นจีจะส่งตัวแทนเข้ามานั่งในคณะกรรมการธนาคารทหารไทยจำนวน 3 คน จากปัจจุบันที่มีคณะกรรมการทั้งหมด 12 คน โดยการเพิ่มทุน 3.5 หมื่นล้านบาท จะทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ 12% ขึ้นไป จากปัจจุบันอยู่ที่ 10% เศษเท่านั้น

ทั้งนี้ พันธมิตรที่เข้ามาใหม่จะช่วยในเรื่องของธุรกิจลูกค้ารายย่อยและการบริหารความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องที่ธนาคารยังอ่อนอยู่

ต่อจากนี้จะทำให้การทำธุรกิจของแบงก์สดใส มีเครือข่ายที่แข็งแรง และจะเน้นที่ธุรกิจรายย่อยและรายได้จากค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีรายได้ส่วนนี้น้อยมาก ซึ่งต่อไปจะทำกำไรได้มากขึ้น ขณะที่ภาพลักษณ์ของธนาคารจะดูดีขึ้นอีกมาก แหล่งข่าวเปิดเผย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้มีการหารือเรื่องการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหาร รวมถึงตำแหน่งของนายสุภัค ศิวะรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการธนาคารทหารไทย แต่คาดว่าผู้ถือหุ้นใหม่ คงจะเข้ามาพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง รวมถึงตำแหน่งของนายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการด้วย

สำหรับการประชุมบอร์ดวันที่ 18 ต.ค. เป็นไปอย่างคึกคัก พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. ประธาน คมช. , พล.อ.แป้ง มาลากุล ณ อยุธยา ตัวแทนของกองทัพและธนาคารดีบีเอสเข้าร่วมด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198384

news19/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 7:01 pm
โดย chartchai madman
ยักษ์ไอซีบีซีจ่อฮุบแบงก์สินเอเซีย

โพสต์ทูเดย์ บัวหลวงตัดสินใจขายหุ้นแบงก์สินเอเซียให้แบงก์ไอซีบีซี จากจีน


นางกุลธิดา ศิวยาธร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดของไทย กล่าวว่า ตอนนี้ธนาคารเจรจาขายหุ้นธนาคารสินเอเซียที่ถืออยู่ 19.3% ให้กับ อินดัสเตรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชนา (ไอซีบีซี) เพียงรายเดียว

เดิมคุยไว้ 2 เจ้า ตอนนี้เหลือเจ้าเดียว เราคัดเลือกไอซีบีซี แต่ยังมีอีกหลายขั้นตอนกว่าจะสรุปราคา นางกุลธิดา กล่าว

นางกุลธิดา กล่าวต่อว่า ถ้าการเจรจาเป็นไปอย่างที่ต้องการ ก็คงตกลงกับสถาบันการเงินแห่งนี้

นางกุลธิดา กล่าวเสริมว่า ทางกลุ่มไอซีบีซีแจ้งว่าจะเดินหน้าเจรจากับกระทรวงการคลังเพื่อขอซื้อหุ้นสินเอเซียที่กระทรวงการคลังถืออยู่ 30% เศษ

นายปิติ สิทธิอำนวย ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพยอมรับว่าได้ตกลงขายหุ้นให้กับกลุ่มไอซีบีซีรายเดียว หลังจากนี้ทางไอซีบีซีจะเข้ามาตรวจสอบสินทรัพย์และหนี้สินเพื่อกำหนดราคา

ด้านภูมิบุตรา คอมเมิร์ซ โฮลดิงส์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของมาเลเซีย และเป็นบริษัทแม่ของ CIMB Group ระบุว่า CIMB ได้ประสบความล้มเหลวในความพยายามเข้าซื้อหุ้นธนาคารสินเอเซียแล้วหลังจากธนาคารกรุงเทพ ตัดสินใจเลือกไอซีบีซีจากจีน

ก่อนหน้านี้ ทั้งซีไอเอ็มบีจากมาเลเซียและไอซีบีซีของจีน ต่างก็แข่งขันกันเสนอซื้อหุ้นที่ธนาคารกรุงเทพถือหุ้นในธนาคารสินเอเซียอยู่ 19.3% หลังจากธนาคารกรุงเทพต้องการขายหุ้นออกไปตามกฎระเบียบที่ห้ามธนาคารพาณิชย์ของไทยถือครองหุ้นมากกว่า 10% ในธนาคารอื่นๆ ในประเทศ

นอกจากนี้ ทั้งซีไอเอ็มบีและไอซีบีซียังแข่งขันกันซื้อหุ้นอีก 30.6% ที่กระทรวงการคลังถืออยู่

แหล่งข่าวผู้บริหารธนาคารสินเอเซียเปิดเผยว่า เท่าที่รับทราบนั้นทางธนาคารกรุงเทพจะเสนอขายหุ้นออกไปในราคาตามมูลค่าทางบัญชีซึ่งอยู่ที่ 7.67 บาท ขณะที่ธนาคารซื้อหุ้นมาในราคาต้นทุนแค่ 6 บาท

สำหรับหุ้นของธนาคารสินเอเซียขยับจาก 6.15 บาท มาเป็นหุ้นละ 6.25 บาท บวก 1.7% หลังมีข่าวว่าธนาคารกรุงเทพตัดสินใจจะขายหุ้นให้กับไอซีบีซี ธนาคารรายใหญ่สุดของโลกในแง่มูลค่าทางการตลาดที่กำลังขยายธุรกิจในทั่วโลกทั้งในนิวยอร์ก สหรัฐและมอสโก รัสเซีย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198366

news20/10/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 20, 2007 11:10 am
โดย chartchai madman
ใบโพธิ์โชว์กำไร Q3 พุ่ง 44% BBL เจ๋งเพิ่มขึ้น 18% - TMB ยังไม่ฟื้น

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 ตุลาคม 2550 07:45 น.

      แบงก์ขนาดใหญ่ทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 แบงก์กรุงเทพกำไร 5,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.9%เมื่อเทียบกับปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ย-กำไรปริวรรตเงินตราและการบริหารด้านค่าใช้จ่ายที่ลดลง ขณะที่"ไทยพาณิชย์"โดดเด่นมีกำไรเพิ่มถึง 44%เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วน"ทหารไทย"ยังทรุดขาดทุนอีก 2,539.89 ล้านบาท
     
      รายงานข่าวจากธนาคารกรุงเทพ (BBL) แจ้งผลประกอบการสำหรับไตรมาส 3 ของปี 2550 ว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 5,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 766 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.9%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนหักสำรองและภาษีมีจำนวน 8,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.7% ทั้งนี้ ในไตรมาสนี้ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียม และกำไรจากการปริวรรตเงินตรามีการขยายตัว ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างชัดเจน ส่งผลให้ธนาคารมีกำไรสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารกำไรลดลงหากเทียบกับผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2550 ที่มีกำไร 5,324 ล้านบาท
     
      โดยในไตรมาส 3 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 11,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2549 จำนวน 969 ล้านบาทหรือ 8.9% ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการไตรมาสนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.6% จากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วเป็น 4,090 ล้านบาท รวมทั้งธนาคารมีกำไรจากการปริวรรตจำนวน 1,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3% และธนาคารมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 4% เป็น 5,421 ล้านบาท เนื่องจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในตลาดสหรัฐฯจากวิกฤตการณ์ด้านสินเชื่อซับไพรม์ได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภท CDO จากการปรับมูลค่าตามราคาตลาดที่ธนาคารได้ลงทุนทั้งสิ้นจำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าเงินลงทุนของธนาคารไม่ได้เกี่ยวข้องกับสินเชื่อซับไพรม์ ซึ่งธนาคารได้ตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าสำหรับเงินลงทุนดังกล่าวจำนวน 383 ล้านบาท
     
      สำหรับสินเชื่อรวมของธนาคาร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 995,437 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.9%จากสิ้นปี 2549 โดยเพิ่มขึ้นจากลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ ส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 มีจำนวน 88,772 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 8.7 ของสินเชื่อรวม เทียบกับร้อยละ 9.1 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2550 และในไตรมาสที่ 3 นี้ ธนาคารตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมอีก 1,210 ล้านบาท โดยสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมียอดสะสม 70,688 ล้านบาท สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธปท.ซึ่งเท่ากับ 55,855 ล้านบาท
     
      ทั้งนี้ หากนับรวมกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ของปี 2550 ด้วยแล้ว อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ประมาณ 15.6% และ 12.9%ตามลำดับ
     
      ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เผยผลประกอบการเบื้องต้นไตรมาสที่ 3/2550 ที่สรุปผลกำไรสุทธิ 5,322 ล้านบาท สูงขึ้นถึง 44% จากไตรมาส 3 ของปีที่แล้วที่มีกำไร 3,688 ล้านบาท และเพิ่มสูงขึ้นถึง 23.5% จากไตรมาส 2/2550 ที่มีกำไร 4,311 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ย รายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการต่างๆของธนาคารที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง รวมถึงความสำเร็จในการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ลดลงจาก 8% เหลือ 7.5% ขณะที่กำไรสุทธิของธนาคารรวม 3 ไตรมาสอยู่ที่ 13,332 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่อยู่ในระดับ 12,082 ล้านบาท
     
      นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลประกอบการที่ดีต่อเนื่องกันมาตลอดนั้นมาจากความสำเร็จของโครงการปรับปรุงธนาคารหรือ Change Program ที่นำมาใช้ในองค์กรอย่างเข้มข้นตลอดเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งจากการปรับปรุงองค์กรในหลายส่วนด้วยกันนี้ ทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นองค์กรที่มีความพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายในโลกแห่งการแข่งขัน
     
      นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 เป็นผลรวมของปัจจัยขับเคลื่อนในสามส่วนหลักด้วยกัน ประการแรกได้แก่การเติบโตของรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิ 32.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากขยายตัวของสินเชื่อในอัตรา 6.7% จากสิ้นปีก่อน ประการที่สองได้แก่การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ที่เติบโตขึ้น 28% จากปีที่แล้ว โดยธุรกิจการจัดการกองทุนรวมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของรายได้ในส่วนนี้ ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาด 21% โดยปัจจุบันรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยนั้นเป็นสัดส่วนถึง 36% ของรายได้รวม ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของธนาคาร และปัจจัยประการต่อมา ได้แก่การจัดการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Gross NPL) อย่างมีประสิทธิภาพโดยทางธนาคารสามารถลดสัดส่วนลงมาอยู่ที่ระดับ 7.5%
     
      ด้านธนาคารทหารไทย (TMB) แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3/50 ขาดทุนสุทธิ 2,539.89 ล้านบาท หรือ 0.15 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,285.21 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.09 บาท ส่วนงวด 9 เดือนขาดทุนสุทธิ 20,687.07 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 1.25 บาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4,613.69 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.34 บาท สำหรับตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ประจำไตรมาส สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550 มีจำนวน 36,329,498,059.34 บาท คิดเป็น 7.86% ของเงินให้สินเชื่อรวมหลังหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ
     
      ก่อนหน้านี้ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ได้แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 ของธนาคารมีกำไรสุทธิ 3,412 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.43 บาท เทียบกับผลประกอบการในช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 3,075 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้น 1.29 บาท เท่ากับมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10.96% และมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 10.86% สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนในปี 2550 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 11,376 ล้านบาทกำไรต่อหุ้น 4.77 บาทเปรียบเทียบกับผลประกอบการในช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 10,235 ล้านบาทและมีกำไรต่อหุ้น 4.30 บาท เท่ากับมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.15% และมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 10.93% ส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Gross)ของธนาคารอยู่ในระดับ 6.34% และมีสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิ (NPL Net) ที่ 3.34%
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000123973

news23/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 23, 2007 1:12 pm
โดย chartchai madman
แบงก์อ่วม ตั้งสำรอง และซีดีโอ ฉุดผลงาน Q3 ทรุดหนัก
ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ยกเว้นธนาคารนครหลวงไทยประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีนี้มีกำไรสุทธิรวม 14,664 ล้านบาท ลดลงประมาณ 32.04% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 21,158 ล้านบาท สาเหตุที่ผลประกอบการแย่ลง เพราะผลงานของ 3 ธนาคารเป็นตัวฉุด คือ ไทยธนาคาร กรุงไทย และทหารไทย โดยธนาคารไทยธนาคารขาดทุนสุทธิ 2,830 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 383 ล้านบาทในปีก่อน ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยมีกำไรสุทธิเพียง 825 ล้านบาท ลดลงมากเทียบกับกำไรสุทธิ ในไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารทหารไทยขาดทุนหนัก 2,539 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิ 1,285 ล้านบาท

นายพงศธร สิริโยธิน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกรุงไทย ชี้แจงว่า ธนาคารมีรายได้ดีขึ้น แต่ที่กำไรโดยรวมลดลงเพราะไตรมาส 3 ได้ตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมจากที่ตั้งเป็นปกติ 5,700 ล้านบาท ทำให้มีค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญทั้งสิ้น 6,600 ล้านบาทอย่างไรก็ตาม ธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ธนาคารที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภท Collateralized Debt Obligation (CDO) ไม่ได้เปิดเผยถึงผลกระทบของการลงทุนในซีดีโอ
ด้านธนาคารไทยธนาคารที่มีการลงทุนในซีดีโอจำนวนมากที่สุด ในไตรมาส 3 มีกำไรก่อนรายการพิเศษจำนวน 430 ล้านบาท แต่ต้องตั้งสำรองสูงถึง 3,484 ล้านบาท

สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีการลงทุนในซีดีโอทั้งสิ้น 20 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับซับไพรม์ ได้ตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าเงินลงทุนจำนวน 383 ล้านบาทอย่างไรก็ตาม ผลประกอบการโดยรวมมีกำไรสุทธิ 5,153 ล้านบาท เทียบกับ 4,232 ล้านบาท

ธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่มีการลงทุนใน ซีดีโอเช่นกัน ก็มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1,866 ล้านบาท เป็น 2,880 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปีนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news23/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 23, 2007 2:45 pm
โดย chartchai madman
แบงก์เขี้ยวขูดดอกกู้ +นอนกินกำไรส่วนต่างเพียบ/แฉหั่นราคาดึงลูกค้าชั้นดี/กรุงไทยไล่ดูดลูกค้า  
ดึงเกมลดดอกเบี้ยเงินกู้ถึงปีหน้า นอนตีพุงกินกำไรส่วนต่าง แฉตัวเลขไตรมาส 3 แบงก์ใหญ่ทะลุ 4% ขณะที่ 9 เดือนแรกดอกเบี้ยเงินกู้ยังวิ่งลงไม่ทันดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ 0.75-1.00% วงในชี้แบงก์ไม่ประกาศลงเอ็มแอลอาร์ แต่เบื้องหลังหั่นราคาดึงลูกค้าชั้นดีกันสนั่น คิดเอ็มแอลอาร์ลดมากกว่า 2% โดยเฉพาะ กรุงไทยวิ่งดูดลูกค้าแบงก์และแบงก์เฉพาะกิจ ด้านพรรคการเมืองเปิดนโยบายศก. ประชัยขายฝันกำหนดส่วนต่างดอกเบี้ยไม่ให้เกิน 3% ขณะที่ อภิสิทธิ์ ไม่ใช้นโยบายดอกเบี้ยสูงแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

เข้าสู่โค้งท้ายของเศรษฐกิจก่อนสิ้นปี 2550 ภายใต้สัญญาณความเสี่ยงทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (อัตราเงินเฟ้อที่รวมหมวดอาหารและพลังงาน) ที่เพิ่มสูงขึ้น เห็นได้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ 2.1% ซึ่งหมายถึงมูลค่าของเงินในกระเป๋า 100 บาท เหลือมูลค่าเพียง 97.9 บาท สะท้อนกำลังซื้อที่ลดลง รวมทั้งต้นทุนราคาน้ำมันที่มีผลต่อผู้ประกอบการและราคาสินค้า

ต่อสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเด็นการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ในระบบ กลับมาเป็นที่คาดหวังอีกครั้งหนึ่งที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง เพื่อเป็นการลดภาระของประชาชนและผู้ประกอบการ

*****ส่วนต่างดอกเบี้ยแบงก์Q3ทะลุ4%

ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมตัวเลขส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่นายธนาคารกลับแสดงความเห็นว่ายังไม่มีสัญญาณที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะปรับลดลง

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือ ผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ ( Net Interest Margin หรือ NIM ในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 4.03% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับไตรมาสที่ 2 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.47% ในไตรมาสที่ 3 ของปีก่อน เป็น 4.07% ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ และเพิ่มขึ้นจาก 3.55% ในไตรมาสที่ 2 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.23% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.13% สูงกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 2.97 % ธนาคารกรุงไทย ส่วนต่างอยู่ที่ 3.30% สูงกว่าไตรมาส 2 ซึ่งอยู่ที่ 3.27% เป็นต้น

นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ อาจจะมีแรงกดดันให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก ขึ้นกับแรงกดดันในด้านการแข่งขันที่ต้องกำหนดราคาให้สามารถแข่งขันได้ แต่ภาพจะชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมการแข่งขันของตลาดจะเป็นตัวชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งตอนนี้ต้องดูที่อัตราดอกเบี้ยสุดท้ายที่ธนาคารลดให้ลูกค้าไป ขึ้นกับว่าแต่ละธนาคารจะคิดดอกเบี้ยกับลูกค้าในอัตราลบที่ระดับใด

ดร.สุภัค ศิวะรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในขณะนี้ยังคงไม่ปรับลดลง ส่วนโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ขึ้นกับเมื่อการเมืองมีการเลือกตั้งแล้ว และมีเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุน สภาพคล่องของธนาคารจะยังอยู่ในระดับแค่ไหน และธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหรือไม่ หากเป็นไปตามนี้โอกาสที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงได้ประมาณต้นปีหน้า

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากพิจารณาจากต้นทุนการเงินจะเห็นว่าขณะนี้ต้นทุนการเงินของธนาคารพาณิชย์เริ่มลดลงแล้ว เงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายอัตราดอกเบี้ยสูงครบกำหนดไปมาก ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์มีโอกาสที่จะปรับลดลงได้อีกภายในสิ้นปีนี้

ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังสี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก่อนปลายนี้มีโอกาสจะได้เห็นธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก 0.25% เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันสินเชื่อยังขยายตัวได้ไม่มาก ความต้องการสินเชื่อลดลง

ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ไม่ได้มีการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลงบ่อย แต่ในทางปฏิบัติแล้วธนาคารมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ลูกค้า และขณะนี้เห็นธนาคารเกือบทุกแห่งที่มีการตัดราคากันเพื่อปล่อยกู้ให้แก่ลูกหนี้ที่ดี

****แฉหั่นMLR-4%ชิงลูกค้าชั้นดี

ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่มีทีท่าว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดี (เอ็มแอลอาร์)ลงในเร็วๆนี้ แต่กลับมีรายงานข่าวว่า ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ในระบบโดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ แข่งขันกันมากในการตัดราคาเพื่อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษให้แก่ลูกค้าชั้นดี คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ MLR 2 % หรือมากกว่า โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

นายตรรก บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยอาร์พีที่ลดลง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็ลดลงด้วย ซึ่งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เราเริ่มเห็นว่าหลายธนาคารใช้กลยุทธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นหลัก โดยในส่วนของธนาคารกรุงศรีอยุธยานั้น อยู่ระหว่างดูว่าการแข่งขันจะเข้มข้นจนถึงขั้นต้องตัดราคาด้วยหรือไม่

"ถ้ามองดูดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์อ้างอิงของแบงก์แต่ละแห่งไม่ลดลง แต่ถ้าไปดูในไส้ในการอนุมัติสินเชื่อ ลูกค้าจะได้เอ็มแอลอาร์ลบ บางแห่งลดอัตราดอกเบี้ยจากเอ็มแอลอาร์ลงมากกว่า 2%ก็มี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบงก์ขนาดใหญ่ทั้งนั้น เป็นลูกค้าขนาดใหญ่ที่กำลังพิจารณาว่าจะโยกไปใช้สินเชื่อจากแบงก์อื่น ก็ต้องเอาราคาเข้ามาแข่ง บางที่ใช้อัตราอ้างอิงบนฐานอินเตอร์แบงก์หรืออัตราดอกเบี้ยไบบอร์ ซึ่งอยู่ประมาณ 3.75-4.00% และบวกส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยขึ้นไป ก็เทียบเท่ากับเอ็มแอลอาร์ลบ 3-4% "นายตรรกกล่าว

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ถึงแม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะไม่ได้มีการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (เอ็มแอลอาร์)ลง แต่ในทางปฏิบัติมีการแข่งขันกันเพื่อตัดราคาในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าที่ดี โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทยที่สู้อัตราดอกเบี้ย โดยยอมลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าที่ดี เหลือ MLRลบเกือบ 2% หรือคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียง 5.00 %

"ยกตัวอย่าง ลูกหนี้ที่มีวงเงินกู้กับธนาคารอยู่แล้ว 200-300 ล้านบาท เป็นลูกค้าที่ดี แต่ขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร ซึ่งธนาคารพิจารณาอัตราดอกเบี้ยใหม่ให้ที่ 5.00 %"แหล่งข่าวกล่าว

****ลดดบ.กู้ห่างดบ.ฝากอีก1%

อย่างไรก็ตามในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ถึงแม้ว่าธปท. จะส่งผ่านนโยบายอัตราดอกเบี้ยขาลง โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 5.00% ลงมาอยู่ที่ระดับ 3.25% หรือลดลงมาแล้ว 1.75% แต่กลับปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (เอ็มแอลอาร์) ลงเพียง 0.625- 0.875% เท่านั้น เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีจากต้นปีที่ 7.50-8.00 % ลงมาอยู่ที่ระดับ 6.875- 7.125 % ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีลงมาแล้วถึง 1.75% หรือลดจาก 4.00% เหลือ 2.25%

หากมองแยกเป็นรายธนาคารพาณิชย์ ยังพบว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทุกแห่งที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงไปแล้ว ยังมีส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง โดยที่ในระยะ 9 เดือนแรกของปีนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงยังต่างกันอยู่ประมาณ 0.75 1.00 % ซึ่งหมายความว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงซึ่งถือเป็นการลดภาระต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ ลดลงมากกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลูกค้ายังต้องแบกภาระในระดับที่สูงอยู่ โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (เอ็มแอลอาร์) ของธนาคารพาณิชย์เฉลี่ย 5 ธนาคารพาณิชย์ใหญ่อยู่ที่ 6.875-7.00 % ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีอยู่ที่ 2.25% หรือมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย 4-5% (คิดจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลบอัตราดอกเบี้ยเงินฝากโดยไม่หักค่าใช้จ่ายด้านปฏิบัติการ)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550 เป็นต้นมา เริ่มเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงไม่ถึง 1 สลึง หรือไม่ถึง 0.25% โดยธนาคารพาณิชย์ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.125% ขณะที่ผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์ให้เหตุผลของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.125% ว่า เป็นเรื่องของต้นทุนของธนาคาร

ในส่วนของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทั้ง 5 แห่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 นั้น เมื่อเทียบต้นทุนจากการรับเงินฝากประจำ 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (เอ็มแอลอาร์ )

สำหรับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงรวมทั้งสิ้น 1.625 % และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงรวม 0.625 % หรือต่างกัน 1.00 % ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงรวม 1.75 % และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.9% ยังต่างกันอยู่ 0.85% ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงรวม 1.75 % และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.875 % ยังต่างกันอยู่ 0.875 % ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 1.625 % และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.875 % ยังต่างกันอยู่ 0.75 % และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงรวม 1.75 % และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงรวม 0.875 % ยังต่างกันอยู่ 0.875 %
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2263

news24/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 24, 2007 5:26 pm
โดย chartchai madman
แบงก์แห่ตัดหนี้เน่าขายสิ้นปี

โพสต์ทูเดย์ โบรกเกอร์ชี้แบงก์เร่ขายเอ็นพีแอลเดือดโค้งสุดท้าย หลังหนี้เน่าพุ่งพรวด 3.6 หมื่นล้านบาท


นายวรวัฒน์ สายสุพัฒน์ผล นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ กล่าวว่า จากการสอบถาม ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่ง พบว่ามีนโยบายที่จะลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในปีนี้ลงในหลายรูปแบบ โดยหลายรายมีแผนที่จะตัดแบ่งขายเอ็นพีแอลออกไปในช่วงที่เหลือของปี 2550

ช่วงท้ายของปีนี้จะได้เห็นธนาคารเร่งขายหนี้กันดุเดือดแน่นอน นายวรวัฒน์ กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า ธนาคารไทยพาณิชย์มีแผนจะขายหนี้เสียเพิ่ม โดยจะเปิดประมูลขายอีกประมาณ 5 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ของปีนี้ หลังจากได้ขายหนี้ไปแล้ว 5 พันล้านบาท ในไตรมาสก่อน โดยธนาคารแห่งนี้มีเป้าหมายลดเอ็นพีแอลเหลือ 6% ในสิ้นปีนี้

ขณะที่ผู้บริหารธนาคารกรุงศรี อยุธยาคาดว่าจะขายเอ็นพีแอลล็อตแรกออกไปในปีนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยจะเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ตั้งเป้าหมายจะขายเอ็นพีแอลไว้ทั้งสิ้น 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายลดหนี้ให้เหลือใกล้เคียงปีก่อนที่ 6%

สำหรับธนาคารกสิกรไทยนั้น ได้กำหนดเป้าหมายการลดเอ็นพีแอลก่อนหักสำรองในปีนี้ไว้ว่าจะอยู่ที่ 5-6% จากปัจจุบันที่ 6.34%

ก่อนหน้านี้ธนาคารกรุงไทย ไทยพาณิชย์ และกรุงเทพ ได้มีการตัดหนี้สูญ (ไรต์ออฟ) และปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วบางส่วน ขณะที่หลายธนาคารได้ตั้งสำรองเพิ่มจำนวนมาก เพื่อรองรับการขายเอ็นพีแอลในอนาคต อีกทั้งยังรองรับเอ็นพีแอลที่อาจจะเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

ทั้งนี้ ในไตรมาส 3 นี้เอ็นพีแอลสุทธิของธนาคาร 13 แห่ง ไม่รวม ยูโอบี ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 3.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 2.49 แสนล้านบาท
ธนาคารกรุงไทยเพิ่มมากสุด 2.8 หมื่นล้านบาท
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่นครหลวงไทยมีการเร่งตัวของเอ็นพีแอลมากเพิ่มขึ้น 8.7 พันล้านบาท แต่ในจำนวนนี้เป็นเอ็นพีแอลที่ยังชำระหนี้ได้ตามปกติถึง 8.5 พันล้านบาท ธนาคารทหารไทยมี เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 3.1 พันล้านบาท

ด้านผู้บริหารธนาคารกรุงเทพคาดว่า เอ็นพีแอล ณ สิ้นปี จะเหลือ 8% เทียบกับเป้าหมายที่จะลดเหลือ 6-7% หลังจากได้ปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาท

ก่อนหน้านี้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ชี้แจงว่า เอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์จะค่อยๆ ขยับขึ้นในครึ่งหลังของปี และขึ้นไปสูงสุดในช่วงสิ้นปีตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ก่อนทยอยปรับลดลงในปีหน้า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199224

news25/10/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 25, 2007 10:51 am
โดย chartchai madman
หุ้นแบงก์เนื้อหอมบิ๊กล็อตรุมเก็บ

กลุ่มแบงก์เนื้อหอมบิ๊กล็อตรุมตรึม   ราคาถูกเทรดพี/อีไม่ถึง 10 เท่า   ผลงานไตรมาส4/2550 ฉายฟอร์มสดใสเพราะปลอดสำรองหลายแบงก์   BBLวอลุ่มโด่งแซงหน้าเพื่อน   โบรกคาดเป็นเพราะก่อนหน้านี้ราคาหุ้นวิ่งอืดกว่าKBANK ,SCB   ส่วนสินเชื่อ9เดือนแรกปีนี้โตถึง 9% หลังเลือกตั้งมีลุ้นสินเชื่อธุรกิจเพิ่ม  และขายหุ้นแบงก์สินเอเซียจบดีลปีนี้
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้(24 ต.ค.)พบการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่(บิ๊กล็อต)ในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่ง  นำโดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) BBL ในกระดานปกติในราคาเฉลี่ย 118.00 บาท รวมมูลค่า 35.40 ล้านบาท และBBL-F ราคาเฉลี่ย 120.54 บาท รวมมูลค่า 10.97 ล้านบาท ,ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) SCBในราคาเฉลี่ย 81.50 บาท รวมมูลค่า 17.31 ล้านบาท ,ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด(มหาชน) SCIB ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 17.14 บาท รวมมูลค่า 11.14 ล้านบาท,ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) KTB ที่ราคาเฉลี่ย 10.80 บาท รวมมูลค่า  4.32 ล้านบาท และBAY-F เฉลี่ยหุ้นละ 27.75 บาท รวมมูลค่าซื้อขาย 4.59 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า การซื้อหุ้นรายการใหญ่ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์หลายธนาคารคาดว่าเป็นเพราะราคาหุ้นค่อนข้างถูก  ซึ่งวันจันทร์ที่ผ่านมา(22 ต.ค.)ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารได้ปรับลดลงตามตลาดหุ้นไปมากพอสมควร ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มยังดี เพราะไตรมาสที่ 4/2550 ผลการดำเนินงานน่าจะออกมาดีเพราะคาดว่าจะตั้งสำรองลดน้อยลง
สำหรับ BBL มองว่าราคาหุ้นยังต่ำ  อีกทั้งธนาคารไม่มีปัญหาการตั้งสำรอง ซึ่งฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อให้ราคาเหมาะสม 146.00 บาท โดยมองว่าสินเชื่อจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้า ส่วนความเสี่ยงการขายหุ้นธนาคารสินเอเซียนั้นเชื่อว่า BBL จะสามารถขายออกมาได้ทันภายในปีนี้  อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถขายได้ทันปีนี้จะไม่ส่งผลกระทบมากนักหากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปรียบเทียบค่าปรับ
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ไซรัส จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนของปีนี้สินเชื่อของBBLเติบโต 9%  ซึ่งทั้งปีคาดว่าจะเติบโตได้ตามเป้าสุทธิ 5% อีกทั้งมองว่าหลังการเลือกตั้งสินเชื่อธุรกิจจะเริ่มดีขึ้น ส่วนการเข้ามาเก็บบิ๊กล็อตBBLเชื่อว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นค่อนข้างขึ้นช้ากว่าธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) SCB
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัย คงคำแนะนำซื้อ BBL ให้ราคาเหมาะสม 142.00 บาท และแนะนำซื้อ SCB และ KBANK เนื่องจากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2550 ออกมาดี
สำหรับราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปัจจุบันถือว่ามีความน่าสนใจ เนื่องหากหากเปรียบเทียบกับกำไรของไตรมาส 3/2550 ก่อนหักสำรองถือว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(P/E)ต่ำกว่าระดับ 10 เท่า ซึ่งถือว่าไม่แพง
พี/อี กลุ่มแบงก์ต่ำกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกำไรก่อนหักสำรอง จึงมองว่าเป็นจุดน่าสนใจทำให้มีบิ๊กล็อตเข้ามาหุ้นแบงก์หลายธนาคาร  อีกทั้งในไตรมาส 4 ธนาคารไม่มีภาระสำรอง โดยธนาคารขนาดใหญ่เป็นการตั้งสำรองปกติ และธนาคารหลายแห่งตั้งสำรองจบไปแล้วในไตรมาส 3/2550 นักวิเคราะห์ กล่าว

http://www.thunhoon.com/home/

news26/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 26, 2007 1:39 pm
โดย chartchai madman
ห้ามฟ้องคนค้ำเกินวงเงิน

โพสต์ทูเดย์ ธปท.เผยร่างพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ที่แก้ไขของสนช. ห้ามแบงก์ฟ้องผู้ค้ำประกันดะ-พร้อมลดโทษอาญานายแบงก์


นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกฎหมายและคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ....เห็นชอบให้กฎหมายฉบับนี้ได้คุ้มครองผู้ค้ำประกันไว้ โดยกำหนดให้ผู้ค้ำประกันกับสถาบันการเงินรับภาระหนี้เฉพาะเงินต้นที่ระบุไว้เท่านั้น จะไม่รับภาระจากหนี้ที่เพิ่มขึ้น เพราะดอกเบี้ยที่เกิดจากเงินต้นมีไม่มากนัก

นายชาญชัยกล่าวว่า การกำหนดไว้ในกฎหมายในเรื่องการค้ำประกันก็เพื่อป้องกันปัญหาคนค้ำประกันไปรับผิดหรือรับภาระหนี้จนไม่มีที่สิ้นสุด และป้องกันไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ฟ้องร้องจากผู้ค้ำประกันในวงเงินไม่สิ้นสุดด้วย เช่น กรณีผู้ค้ำประกันค้ำวงเงิน 5 ล้านบาท แค่ผู้กู้ไปกู้เพิ่มอีก 20-30 ล้านบาท ถ้ามีการระบุการค้ำเงินต้นให้ชัดก็จะได้ไม่เกิดปัญหารับหนี้เพิ่มโดยไม่รู้ตัว

สำหรับประเด็นเรื่องบทลงโทษที่ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บางส่วนไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าโทษอาญาอาจจะรุนแรงเกินไปจนเป็นปัญหาต่อธุรกิจนั้น ธปท.เห็นด้วยหากจะปรับแก้บทลงโทษให้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความเป็นจริงของการทำธุรกิจมากขึ้น

นายชาญชัยกล่าวว่า การจะปรับให้ลดบทลงโทษจากอาญาเหลือเพียงแค่โทษทางแพ่งอย่างเดียวหรือไม่ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะ กมธ.ยังพิจารณาไม่ถึงประเด็นนี้

เรื่องนี้น่าจะมีการปรับแก้ถ้อยคำบทลงโทษให้เนื้อหาสาระไม่ให้กว้างได้ ไม่มีปัญหา แต่ไม่ใช่ปรับตามธนาคารเรียกร้อง นายชาญชัยกล่าว

นายชาญชัยกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ร่าง พ.ร.บ.นี้ยังได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ต่อรายจาก 5% เพิ่มเป็น 10% โดยไม่ต้องขออนุญาตและไม่ต้องแจ้งเหตุผลด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมการทำธุรกิจในปัจจุบัน เพราะร่าง พ.ร.บ.นี้เป็นการรวมกันของ พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์ ที่ให้ถือต่อรายไม่เกิน 5% และ พ.ร.บ.บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ที่ให้ถือต่อรายไม่เกิน 10% จึงให้ถือหุ้นได้ 10%

อย่างไรก็ตาม ในร่าง พ.ร.บ.นี้จะเปิดให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นรวมกันทุกรายสูงสุดได้ไม่เกิน 49% จากเดิมที่กำหนดไว้ 25%

นายชาญชัยกล่าวว่า กมธ.ไม่ได้ปรับเปลี่ยนแก้ไขสาระสำคัญมากนัก แต่มีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำเพื่อให้สอดคล้องกับหลักปฏิบัติ และคาดว่าจะเสร็จทันในรัฐบาลนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199660

news29/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 12:53 pm
โดย chartchai madman
ใครได้ใครเสียถ้าแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตรา

ผมคิดว่าประชาชนคนไทย ไพร่ฟ้าหน้าแห้งผู้เสียภาษีทั้งหลาย ควรให้ความสนใจกับการแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตรา และทำความเข้าใจกับเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นพิเศษ เพราะการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ จะมีผลกระทบถึงเงินที่ท่านต้องควักจ่ายให้รัฐบาลโดยตรง


พระราชบัญญัติเงินตราเป็นกฎหมายว่าด้วยการกำหนดอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยในการพิมพ์ธนบัตรออกมาให้เราใช้ และการบริหารสินทรัพย์ต่างประเทศที่มีอยู่ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ

คำว่า ทุนสำรองเงินตรา หมายความถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้นำมาใช้หนุนหลังธนบัตรที่พิมพ์ออกมา และให้ถือไว้ในบัญชีต่างหาก แยกออกจากทรัพย์สินส่วนอื่นของธนาคารแห่งประเทศไทย คือ ให้ถือว่าทรัพย์สินส่วนนี้เป็นทรัพย์สินของชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่เพียงเป็นผู้ดูแลรักษา และบริหารทรัพย์สิน จะนำไปใช้เพื่อการลงทุน หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ นอกเหนือจากที่กฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจไว้มิได้

ทุนสำรองเงินตราส่วนใหญ่ประกอบด้วย ทองคำ เงินตราต่างประเทศ เช่น เงินเหรียญสหรัฐ หรือเงินยูโร และหลักทรัพย์อื่นๆ ที่กฎหมายกำหนด ทั้งที่เป็นหลักทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศ และเงินบาท แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหลักทรัพย์ต่างประเทศ

ในการบันทึกบัญชีทุนสำรองเงินตรา ธนาคารแห่งประเทศไทยจะแยกบันทึกทุนสำรองเงินตราออกเป็น 3 บัญชี ดังนี้

1.บัญชีทุนสำรองเงินตรา ใช้บันทึกมูลค่าทรัพย์สินต่างประเทศที่ถืออยู่ เพื่อหนุนหลังธนบัตรที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพิมพ์ออกมา ปัจจุบันมียอดประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6.4 แสนล้านบาท (32 บาท/เหรียญสหรัฐ)

ทรัพย์สินส่วนใหญ่ได้รับโอนมาจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กฎหมายกำหนด มาตรา 16(2) ยกเว้นส่วนที่โอนมาจากบัญชีสำรองพิเศษ ประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่มีการออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเงิน มาตรา 34/2 ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยโอนเงินจากบัญชีสำรองมาเข้าบัญชีสำรองเงินตราเพื่อหนุนหลังธนบัตร ในปี 2545
ทรัพย์สินส่วนนี้จะนำไปใช้จ่ายไม่ได้ ยกเว้นลงทุนเพื่อหาดอกผล

2.บัญชีสำรองพิเศษ บัญชีนี้ใช้บันทึกมูลค่าทรัพย์สินที่ใช้เป็นทุนสำรองเงินตราได้ตามมาตรา 30 ของพระราชบัญญัติ ส่วนที่ไม่ถูกกันเข้าไปใช้หนุนหลังธนบัตร ปัจจุบันมียอดประมาณ 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.76 แสนล้านบาท (32 บาท/เหรียญสหรัฐ)

ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินที่สะสมมานาน รวมทั้งรายได้ที่เกิดจากการนำเงินไปลงทุนหาผลประโยชน์ และเงินบริจาคที่หลวงตามหาบัวท่านบริจาคช่วยชาติหลังวิกฤตในปี 2540 ทั้งที่เป็นทองคำ และเงินตราต่างประเทศประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9.6 พันล้านบาท (32 บาท/เหรียญสหรัฐ)

บัญชีนี้คือบัญชีที่เรียกว่า คลังหลวง เพราะเป็นบัญชีที่บันทึกทรัพย์สินของชาติที่สะสมมานาน และเงินบริจาคที่หลวงตามหาบัวบริจาคไว้ เป็นทรัพย์สินที่ไม่มีภาระผูกพันหนุนหลังธนบัตรเหมือนทรัพย์สินที่อยู่ในบัญชีสำรองเงินตรา
ทรัพย์สินส่วนนี้จะนำไปใช้จ่ายไม่ได้ ยกเว้นลงทุนเพื่อหาดอกผล

3.บัญชีผลประโยชน์ประจำปี บัญชีนี้คือบัญชีที่บันทึกผลประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดจากการนำทุนสำรองเงินตราทั้ง 3 บัญชี ไปหารายได้

ทรัพย์สินในบัญชีนี้ สามารถนำไปใช้จ่ายได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติเงินตราเท่านั้น เช่น ใช้จ่ายเพื่อการพิมพ์ธนบัตร และการจัดการทรัพย์สินในบัญชีสำรองเงินตรา บัญชีสำรองพิเศษ และบัญชีผลประโยชน์ประจำปี ส่วนที่เหลือให้นำไปชำระคืนเงินต้นของพันธบัตรที่รัฐบาลออกไป เพื่อชดเชยภาระหนี้ของกองทุนฟื้นฟู ที่ระดมเงินกู้มาในช่วงวิกฤตการเงิน จำนวน 1.4 ล้านล้านบาท ในปี 2540

เมื่อทราบโครงสร้างคร่าวๆ ของทุนสำรองเงินตรา การบันทึกบัญชี และที่มาที่ไปของทรัพย์สินในแต่ละบัญชีแล้ว จะเห็นว่า พระราชบัญญัตินี้สำคัญมากตรงที่เป็นกฎหมายควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของธนาคาร แห่งประเทศไทย ว่าจะพิมพ์ธนบัตรออกมาส่งเดชไม่ได้ เมื่อใดจะ พิมพ์ธนบัตร จะต้องโอนทรัพย์สินของตัวเองมาเข้าทุนสำรองเงินตรา ของประเทศในมูลค่าเท่ากันก่อนในบัญชีทุนสำรองเงินตรา เช่น ถ้าจะพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ 32 บาท จะต้องเอาเงินเหรียญสหรัฐของธนาคารแห่งประเทศไทยมาเข้าบัญชีทุนสำรองเงินตรา เพื่อหนุนหลังธนบัตร ที่พิมพ์ออกมา 1 เหรียญสหรัฐ ถ้าอัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐ = 32 บาท

หลักการนี้ถูกแก้ไขในปี 2545 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยโอนเงินในบัญชีสำรองพิเศษซึ่งเป็นทรัพย์สินของชาติ มาเข้าบัญชีสำรองเงินตราเพื่อพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ ร่างพระราชบัญญัติที่คาราคาซังอยู่นี้ ให้ตัดอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนนี้ออกไป เพื่อไม่ให้ใช้วิธีอัฐยายซื้อขนมยาย ดึงเงินของประเทศในบัญชีสำรองพิเศษส่วนที่ไม่มีภาระผูกพัน มาไว้ในบัญชีสำรองเงินตราซึ่งมีภาระผูกพันหนุนหลังธนบัตรที่พิมพ์ออกมา

ส่วนความสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ประการที่ 2 คือ การกำหนดขอบเขต และเงื่อนไข ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้บริหารทุนสำรองเงินตราในทุกบัญชี มูลค่ารวมกันประมาณ 3.8 หมื่นล้านล้านบาท ว่าจะนำเงินไปลงทุนอะไรได้บ้าง และจะลงทุนอย่างไร

ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยขอขยายขอบเขตการลงทุน วิธีการลงทุน และเครื่องมือการเงินสมัยใหม่ เพื่อบริหารความเสี่ยง และเพิ่มผลประโยชน์ที่จะได้รับ
ซึ่งหลายท่านเกรงว่า จะทำให้ทุนสำรองเงินตราเสียหาย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200223

news29/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 7:47 pm
โดย chartchai madman
ศึกซูเปอร์ไพรม์ปะทุ +แบงก์กฮาร์ดเซลส์ MLR ลบ 2%/อัดวงเงินให้กู้เพิ่ม40% /อนุมัติเร็วชิงเหลี่ยมคู่แข่ง  
แฉเบื้องลึกแบงก์เมินลดดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ให้ลูกค้าทั่วไป ที่แท้มาจากศึกชิงลูกค้า ประวัติผ่อนชำระหนี้ดี วงเงินกู้หลักร้อยล้านบาท ที่สู้กันรุนแรง ถึงขั้นต้องงัดกลยุทธ์หั่น MLRลบ 1-2 % เพิ่มวงเงินกู้ให้ 30-40% และอนุมัติเร็ว "กสิกรไทยกรุงเทพไทยพาณิชย์กรุงไทย" ฝุ่นตลบรุมตอมธุรกิจโรงพยาบาล โรงเหล็ก โรงสี โรงแรม วัสดุก่อสร้าง ผู้บริหารธุรกิจระดับยักษ์ของเมืองไทยยอมรับเป็นช่วงต่อรองต้นทุนดอกเบี้ยต่ำได้

หลังจากที่ "ฐานเศรษฐกิจ" นำเสนอข่าว"แบงก์เขี้ยวขูดดอกกู้ " ในฉบับที่ 2,263 ระหว่างวันที่21-24 ตุลาคมและต่อเนื่องในฉบับ 2,264 ที่ผ่านมาในประเด็น"แฉซ้ำ!แบงก์กินดอก1.5แสนล./ปี " โดยสะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ในระบบ ที่ปัจจุบัน ซึ่งยังมีส่วนต่างระหว่างต้นทุนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับต้นทุนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับสูง แต่ลังเลประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ลูกค้าทั่วไปนั้น ปรากฏว่าผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์ให้ความเห็นตรงกันว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากสถานการณ์แข่งขันกันตัดราคา หรือลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อชิงลูกค้าระดับ Super Prime รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดมีการตัดราคาที่อัตราดอกเบี้ย MLR 1-2 %ขึ้นไป (ปัจจุบันเอ็มแอลอาร์ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อยู่ที่ 6.875-7.00%)

สอดคล้องกับข้อมูลที่"ฐานเศรษฐกิจ" ได้สำรวจไปยังผู้ประกอบการและสถาบันการเงินที่ปล่อยเงินกู้ให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งพบว่าตั้งแต่ต้นปี 2550 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แข่งขันกันเพื่อดึงลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ยอมรับว่าขณะนี้มีโอกาสต่อรองอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารพาณิชย์ได้ ถึงแม้ว่าลูกค้าชั้นดีส่วนใหญ่จะใช้วิธีการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ซึ่งต้นทุนต่ำกว่ากู้จากธนาคารพาณิชย์ แต่ก็ยังมีความต้องการใช้สินเชื่อสำหรับวงเงินกู้ระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่อง

++ออฟเฟอร์ดบ.พิเศษให้ซูเปอร์ไพร์ม

ต่อเรื่องนี้ แหล่งข่าวผู้บริหารระดับผู้จัดการสาขาของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเขตภาคอิสาน เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" โดยยอมรับว่า ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แข่งขันกันรุนแรงมาก ในการดึงลูกค้าเงินกู้ชั้นดี โดยเน้นเสนอเงื่อนไขพิเศษ คือ 1. ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์เดิมที่ให้กู้อยู่แล้ว 2. อนุมัติวงเงินให้แก่ลูกค้าสูงกว่าถึง 30-40 % และ 3. อนุมัติเร็ว นอกจากนี้ ยังใช้กลยุทธ์ออกเงินค่าจำนองแทนลูกค้า ซึ่งโดยปกติค่าจำนองตามที่กฎหมายกำหนดสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท เป็นกลยุทธ์ที่ธนาคารใช้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว

ยกตัวอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่มหาชัย และเคยมีวงเงินกู้กับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่วงเงิน 200-300 ล้านบาท แต่ล่าสุดหันไปรีไฟแนนซ์สินเชื่อกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่เสนออัตราดอกเบี้ยให้ที่ระดับ MLR-2 % 1 ปี

หรืออย่างกรณีโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลางแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเคยใช้สินเชื่อกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) วงเงินกู้ 75 ล้านบาท ที่หันไปใช้บริการจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่เสนอวงเงินกู้ให้สูงกว่าเดิมอีกประมาณ 10 ล้านบาท และได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเดิมประมาณ 0.25% เช่นเดียวกับธุรกิจโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ที่เคยใช้เงินกู้เอสเอ็มอีแบงก์กว่า 80 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR-1.25% ถูกธนาคารกรุงเทพรีไฟแนนซ์ไปโดยให้อัตราดอกเบี้ยถูกกว่า 0. 75%

นอกจากนี้แหล่งข่าวคนดังกล่าวยังระบุอีกว่า ธุรกิจโรงสี เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เป็นเป้าหมายในการรีไฟแนนซ์ลูกหนี้ที่ดีของธนาคารพาฯชย์ ซึ่งแม้ว่าบางธนาคารจะมองว่าเป็นธุรกิจที่อิ่มตัวแล้วก็ตาม แต่จริงๆแล้วยังมีโรงสีที่เกิดใหม่และธนาคารพาณิชย์ยังปล่อยสินเชื่อให้อยู่ เห็นได้จากในปี 2549 ธนาคารไทยพาณิชย์จะลงมารุกรีไฟแนนซ์ลูกหนี้โรงสีเกือบทุกระดับ แต่เมื่อมีพอร์ตลูกหนี้ดังกล่าวถึงระดับที่ธนาคารรับความเสี่ยงได้ ก็จะหันมาเน้นโรงสีระดับใหญ่ๆของจังหวัดแทน

"ล่าสุดในพื้นที่ภาคอิสาน ยังพบว่าธนาคารนครหลวงไทยรีไฟแนนซ์ลูกหนี้โรงสีรายหนึ่งมาจากเอสเอ็มอีแบงก์ ด้วยการเสนอวงเงินให้กู้ให้สูงถึงเท่าตัว หรือสูงถึง 140 ล้านบาท ขณะที่เอสเอ็มอีแบงก์ให้วงเงินกู้แก่ลูกหนี้รายดังกล่าวอยู่ที่ 70 ล้านบาทเท่านั้น"

ขณะเดียวกัน ในช่วง 2-3 เดือนที่เพิ่งผ่านมานี้ ยังมีลูกหนี้ที่ทำธุรกิจโรงงานเหล็กรายหนึ่งซึ่งเป็นลูกหนี้ของเอสเอ็มอีแบงก์เช่นกัน ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่ดีของเอสเอ็มอีแบงก์มามากกว่า 3 ปี แ ต่ขอปิดบัญชีวงเงินกู้ทั้งหมด 32 ล้านบาท เพื่อหันไปใช้สินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแทน เพราะให้วงเงินกู้ที่สูงกว่า เป็นต้น

ด้านแหล่งข่าวจากผู้บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมรับว่า มีการดึงลูกค้าระดับ Prime และระดับ Super Prime จากธนาคารพาณิชย์อื่นซึ่งก่อนหน้านี้ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารที่ถูกมองว่ามีการดึงลูกค้าระดับดีจากธนาคารอื่นมามาก เห็นได้จากยอดสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นและผลประกอบการที่ดี แต่โดยสภาวะที่เกิดขึ้นจริงๆแล้ว การแข่งขันกันดึงลูกค้าชั้นดี ก็เป็นเรื่องที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทุกแห่งทำกันทั้งนั้น

Super Primeยิ้มต่อรองดอกเบี้ยกู้

จากการสอบถามความเห็นไปยังผู้บริหารที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ในเมืองไทย หรือเป็นกลุ่มที่เรียกว่า Super Prime คือ เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีประวัตการชำระหนี้ที่ดี ต่างยอมรับว่าได้รับข้อเสนอพิเศษด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากจากธนาคาร โดยเฉพาะ 1-2 ปีที่ผ่านมาซึ่งสามารถต่อรองอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้ได้

โดยนางสุนันทา เตียสุวรรณ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทแพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯใช้วงเงินกู้อยู่กับสถาบันการเงินประมาณ 3-4 แห่ง คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) โดยในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีธนาคารพาณิชย์อีกประมาณ 2-3 แห่ง ที่พยายามเข้ามาเสนอวงเงินกู้ เช่น เสนอวงเงินให้กู้เพิ่ม หรือเสนอเงื่อนไขด้านอัตราดอกเบี้ยให้

โดยเฉพาะ 2 ปีที่ผ่านมานี้ สถาบันการเงินพยายามเข้ามาเสนอวงเงินกู้มากขึ้น เช่นเดียวกับสถาบันการเงินที่เคยปล่อยกู้ให้กับบริษัทอยู่แล้วก็เอาใจมากขึ้น โดยขณะนี้สัญญาเงินกู้ในบางสัญญาที่บริษัท ฯกู้เงินจากธนาคาร สามารถขอต่อรองอัตราดอกเบี้ยได้ที่ระดับ MLR ลบ 1-2% เท่านั้น เมื่อเทียบกับ 5-6 ปีก่อนหน้าที่บริษัทมีต้นทุนเงินกู้ที่ MLR บวกมาตลอด

ส่วนแหล่งข่าวจากบริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทไม่ได้ใช้สินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เพราะมีวงเงินเหลือจากการออกหุ้นกู้ แต่ถึงจะไม่ได้ใช้เงินกู้จากธนาคาร ก็ได้รับข้อเสนอจากธนาคารพาณิชย์ 4-5 แห่งที่บริษัทมีเงินฝากอยู่ด้วย โดยเสนออัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ในอัตราที่พิเศษมากให้แก่บริษัท จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีวงเงินฝากอยู่กับธนาคารประมาณหลักพันล้านบาท

ขณะที่ดร.ปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไม่ได้มีสถาบันการเงินที่เข้ามายื่นข้อเสนอให้บริษัทกู้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนโดยต้นทุนอยู่ที่ 6.00 %

ด้านแหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ให้ความเห็นว่า ขณะนี้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักหมื่นล้านบาทก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สินเชื่อกับธนาคารควบคู่ไปกับการออกหุ้นกู้ เพราะการออกหุ้นกู้ธุรกิจจะได้รับเฉพาะในส่วนของเม็ดเงินที่มีการระดมทุน แต่ธนาคารพาณิชย์มีสินเชื่อหลายประเภทที่สามารถเสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ และสามารถปรับอัตราดอกเบี้ยได้ตามภาวะตลาด ซึ่งแม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ก็ยังมีความต้องการกู้เงินในระยะสั้น ระหว่างรอศึกษารายละเอียดของโครงการเพื่อให้ทราบวงเงินที่แน่นอน และระยะเวลาคืนเงินกู้เป็น Bridging Loan ที่บริษัทขนาดใหญ่จะมีอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเมื่อได้รับ Bridging Loan แล้ว เมื่อโครงการมีความชัดเจนอาจจะใช้วิธีของการระดมทุน หรือเงินกู้ซินดิเคทของธนาคารพาณิชย์ก็ได้ โดยที่บริษัทเหล่านี้ยังต้องการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ เช่น วงเงินแพ็กกิ้งเครดิต วงเงินรับซื้อลดตั๋วส่งออก วงเงินเรียกเก็บตั๋วเงินต่างประเทศ หรือวงเงินกู้โอดี เป็นต้น

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผู้ประกอบการในกลุ่มของ Super Prime บางราย ถึงแม้ว่าจะมีการออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนอยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันยังมีความต้องการใช้สินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์อยู่ เช่น กลุ่มธุรกิจที่มีวัฎจักรของธุรกิจตามภาวะตลาดที่ขึ้นลง ซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาการออกหุ้นกู้ ทำให้ต้องใช้สินเชื่อจากธนาคาร และมีโอกาสที่จะได้รับข้อเสนอในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่พิเศษ

ส่วนแนวโน้มการระดมทุนของธุรกิจด้วยการออกหุ้นกู้ ตั้งแต่ต้นปี 2550 เป็นต้นมาจนถึงเดือนกันยายน 2550 มีบริษัทที่ออกหุ้นกู้ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 140,000 ล้านบาท โดยตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงสิ้นปีนี้ ยังมีบริษัทอีก 5-7 บริษัทที่มีแผนเตรียมออกหุ้นกู้วงเงินรวมประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการระดมทุนในการดำเนินธุรกิจและใช้ชำระคืนหนี้ ซึ่งโดยเฉลี่ยอายุของหุ้นกู้ 4-5 ปี ต้นทุนจะอยู่ประมาณ 4.1 % ขณะที่ต้นทุนที่ระดับดังกล่าว ธุรกิจ Super Prime ซึ่งมีเรทติ้งที่ดี เช่น ปตท. สามารถออกหุ้นกู้ที่ระยะเวลา 7-10ปีได้

++ดูดลูกค้าดีจากแบงก์เฉพาะกิจ

ก่อนหน้านี้ นายพงษ์ศักดิ์ ชิวชรัตน์ กรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวยอมรับว่า เอสเอ็มอีแบงก์ถูกรีไฟแนนซ์ลูกค้าที่ดีไปจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าและเพิ่มวงเงินกู้ให้แก่ลูกค้าบนหลักประกันที่เท่าเดิม โดยในปี 2549 มีลูกค้าที่ถูกรีไฟแนนซ์ไปทั้งสิ้นคิดเป็นวงเงิน 3,900 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2550 ธนาคารถูกดึงลูกหนี้ไปแล้ว2,500ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ใช้สินเชื่อจากธนาคารมาแล้ว2-3ปี แต่ได้รับข้อเสนอจากธนาคารขนาดใหญ่ โดยให้วงเงินกู้เพิ่มและมีบิการที่ให้แก้ลูกค้าที่ครบวงจรมากกว่า

แหล่งข่าวจากเอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาสาขาบางพื้นที่ของธนาคารถูกดึงลูกค้าไปมากถึง 20% ของยอดสินเชื่อคงค้างที่มีอยู่ เช่น สาขาในจังหวัดภาคอิสานแห่งหนึ่งที่มียอดสินเชื่อคงค้างรวม 500 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาถูกธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ดึงลูกค้าชั้นดีไปแล้ว 100 ล้านบาท เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เอสเอ็มอีแบงก์มีโอกาสได้ลูกค้าเงินกู้บางส่วนจากข้อจำกัดของธนาคารพาณิชย์ที่ระมัดระวังการปล่อยกู้ เช่น 1-2 เดือนนี้ คือ ลูกค้าของธนาคารทหารไทยรายหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกค้าที่ดี และมีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารทหารไทยอยู่ประมาณ 140 ล้านบาท แต่ล่าสุด

มีลูกค้าของธนาคารทหารไทยรายหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้าที่ดีและมีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารทหารไทยอยู่ประมาณ 140 ล้านบาท แต่ล่าสุดได้เข้ามาขอเงินกู้จากเอสเอ็มอีแบงก์ประมาณ 20 ล้านบาท พื่อเป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจ เนื่องจากเจ้าของธุรกิจแจ้งว่าได้ติดต่อขอเงินกู้เพิ่มเติมจากธนาคารทหารไทยไปตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 แต่ธนาคารแจ้งให้ลูกค้ารายดังกล่าวติดต่อเข้ามาอีกครั้งหนึ่งประมาณปลายปี ซึ่งกรณีดังกล่าวเนื่องจากธนาคารทหารไทย อยู่ในช่วงของการแก้ปัญหาเรื่องการเพิ่มทุน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาถูกธนาคารพาณิชยอื่นเสนอเงื่อนไขเพื่อที่จะดึงลูกค้าชั้นดีไปจำนวนมากเช่นกัน

อีกรายหนึ่งเป็นผู้ประกอบการเอเย่นต์จำหน่ายรถยนต์รายหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีวงเงินกู้อยู่กับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) 10 ล้านบาท โดยเอเยนต์จำหน่ายรถยนต์รายดังกล่าว กล่าวว่า ในกลุ่มของลูกค้าเงินกู้หรือผู้ประกอบการระดับล่างถึงกลางยังขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้ยากอยู่ เพราะธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยกู้มากขึ้น เห็นได้จาก ตนมีแผนที่จะสร้างศูนย์ซ่อมตัวถังรถยนต์เพิ่มเติม โดยมีธนาคารไทยธนาคารและเอสเอ็มอีแบงก์ที่เสนอวงเงินกู้ให้ แต่กลับปรากฏว่าในการประเมินราคาที่ดินแปลงเดียวกัน ธนาคารไทยธนาคารประเมินราคาให้ที่ 14 ล้านบาทและให้กู้เพียง 70% ของราคาประเมิน ขณะที่เอสเอ็มอีแบงก์ประเมินราคาที่ดินให้ 19 ล้านบาทและให้กู้ 80% ของราคาประเมิน

++ธุรกิจออกหุ้นก้ระดมทุนปีนี้1.86แสนลบ.

รายงานข่าวจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA ) ระบุว่าในรอบ 9 เดือนปี 2550 ภาคเอกชนมีการออกหุ้นกู้รวม 113,000 ล้านบาท ส่วนเดือนตุลาคมคาดว่าจะมีการออกหุ้นกู้ 46,200 ล้านบาท และช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ (พ.ย.และธ.ค.) คาดว่าเอกชนจะออกหุ้นกู้รวม 27,000 ล้านบาท รวมทั้งปี 186,780 ล้านบาท

จากการรวบรวมของ"ฐานเศรษฐกิจ" บริษัทขนาดใหญ่ที่ออกหุ้นกู้ อาทิ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (ซีพีเอฟ) วงเงิน 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ชุด ชุดแรกมูลค่า 3,500 ล้านบาท อายุ 3 ปี (ครบกำหนดปี 2553 ) อัตราดอกเบี้ย 4.25 % ต่อปี และชุด 2 มูลค่า 2,500 ล้านบาท อายุ 5 ปี (ครบกำหนดปี 2555) อัตราดอกเบี้ย 4.90 % ต่อปี

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ออกหุ้นกู้มูลค่า 10,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.50 %ต่อปี ,บมจ.โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา ออกหุ้นกู้มูลค่า 1,300 ล้านบาท อายุ 1 ปี 8 เดือน อัตราดอกเบี้ย 4.22 % ต่อปี ,บมจ.ศุภาลัย ออกหุ้นกู้ 1,000 ล้านบาท อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.675 % ต่อปี

บริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ออกหุ้นกู้ 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอายุ 1 ปีครึ่ง มูลค่า 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3.82 % ต่อปี และอายุ 3 ปี มูลค่า 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4.20 % ต่อปี

นอกจากนี้มีบริษัทที่เตรียมออกหุ้นกู้ในปีนี้ได้แก่ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ มูลค่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนการออกหุ้นกู้วงเงิน 5,000 ล้านบาท ,บมจ.การบินไทย มูลค่า 7,500 ล้านบาท,บมจ.ควอลิตี้เฮาส์ มูลค่า 5,000 ล้านบาท และบมจ.น้ำตาลขอนแก่น มีแผนออกหุ้นกู้วงเงิน 1,500-2,000 ล้านบาท เป็นต้น  
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2265

news30/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 30, 2007 12:41 pm
โดย chartchai madman
ธปท.จี้เลิกโขกดอกกู้

โพสต์ทูเดย์ ธปท.ส่งซิกบี้แบงก์พาณิชย์ลดดอกเบี้ยกู้ตาม กนง. ปลดล็อกภาคธุรกิจขยายลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ


นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้การ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ขณะนี้ถือว่าลดลงน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่มีเงินฝากระยะยาวมาก ยิ่งลดดอกเบี้ยช้ากว่าธนาคารที่มีเงินฝากระยะสั้นในสัดส่วนที่สูง

ปัญหาดังกล่าวทำให้ธนาคารพาณิชย์มีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของแต่ละธนาคาร ล่าสุด ธปท.กำลังจับตาดูว่าทางธนาคารพาณิชย์จะลดดอกเบี้ยลงได้แค่ไหน หากการแข่งขันรุนแรงอาจจะเป็นตัวกระตุ้นอัตราดอกเบี้ยในตลาดให้ลดเร็วขึ้นได้

ต้องดูว่าดอกเบี้ยเป็นข้อจำกัดของธุรกิจหรือไม่ ถ้ายอดสินเชื่อต่ำอยู่แล้วการที่ดอกเบี้ยถูกก็คงไม่มีผลกระทบมากนัก แต่ถ้าธุรกิจมีความต้องการใช้สินเชื่อมาก มีความต้องการขยายกิจการมากขึ้น คงเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจพอสมควร แต่ขณะนี้เท่าที่ดูภาคธุรกิจมีการปรับตัวมากขึ้น สามารถระดมทุนผ่านช่องทางอื่นๆ ได้มากขึ้น ไม่ได้พึ่งสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ช่องทางเดียว มีการออกพันธบัตรระดมทุนเอง แสดงว่าอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ข้อจำกัด นายบัณฑิต กล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาแล้ว 1.75% ในปีนี้ โดยล่าสุดอยู่ที่ 3.25% แต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงจาก 7.63% ในไตรมาสแรกเป็น 7.13% ในไตรมาส 2 และลดลงเป็นร้อยละ 6.85% ในปัจจุบัน

นายบัณฑิต กล่าวว่า นอกจากนี้ ภาวะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ยังสะท้อนว่าปัญหาหนี้เสียยังเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจและสถาบันการเงินไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญ 2 ด้าน คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอทำให้ภาคธุรกิจมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ได้ และการจัดชั้นหนี้ด้อยคุณภาพของ ธปท. ที่อาจส่งผลให้หนี้ของธนาคารพาณิชย์มีคุณภาพลดลง

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของ เอ็นพีแอลยังไม่น่าห่วง เนื่องจากเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกับไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของหนี้ เอ็นพีแอลใหม่มากกว่าหนี้เสียไหลย้อนกลับ (ReEntry) และหากพิจารณาเป็นภาคธุรกิจจะพบว่าภาคอุตสาหกรรมมียอดหนี้มากที่สุดมากกว่าธุรกิจด้านบริการ

นายบัณฑิต กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.กำลังอยู่ระหว่างการจับตาดูยอดหนี้เสียที่เกิดจากสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มเติมด้วย แม้หนี้เสียประเภทนี้จะไม่สูงมาก แต่ก็เป็นประเด็น เนื่องจากหนี้เสียส่วนนี้อาจเร่งตัวเพิ่มขึ้น ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

ตอนนี้ ธปท.ติดตามการเพิ่มขึ้นหนี้เสียแต่ละประเภทอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว เพราะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้ยังไม่ถือว่ามีจำนวนไม่สูงมาก แต่ในภาวะเช่นนี้คงต้องจับดูการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนมากขึ้นด้วย แต่เชื่อว่าปัญหาหนี้เสียน่าจะดีขึ้นระยะต่อไป ถ้าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น และคงมีแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไม่น่าจะมาก นายบัณฑิต กล่าว

ทั้งนี้ ธปท.ได้ประกาศยอดคงค้าง เอ็นพีแอลของระบบสถาบันการเงินล่าสุดในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ พบว่า ยอดหนี้เอ็นพีแอลสุทธิ 260,723 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.44% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 6,212 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.44% จากไตรมาสก่อน ในส่วนของธนาคารพาณิชย์มียอดเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 5,311 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.13%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200382

news31/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 31, 2007 12:34 pm
โดย chartchai madman
สั่งเลิกแก้กม.เงินตรา

โพสต์ทูเดย์ สุรยุทธ์ ตอกฝาโลงเลิกแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา โยนให้รัฐบาลหน้าหาทางแก้หนี้กองทุนฟื้นฟู 1 ล้านล้านบาทเอาเอง


นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้คลังชะลอการแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา ออกไปก่อน เพราะเป็นเรื่องที่ยังมีความคิดเห็นแตกแยกจึงไม่อยากให้เป็นประเด็นวุ่นวายทางการเมือง

นายฉลองภพ กล่าวว่า สาเหตุไม่สามารถแก้ไข พ.ร.บ.เงินตราได้ เนื่องจากสังคมไทยยังไม่สามารถทิ้งความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 10 ปีที่แล้วได้ และยังมองไปข้างหลังอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งไม่มีความ เชื่อใจ ธปท. ต่างจากประเทศอื่นที่เกิดวิกฤต ก็พยายามมองสิ่งที่ผิดพลาดและพยายามปรับปรุงแก้ไป

นอกจากนี้ พ.ร.บ.เงินตรา เป็นประเด็นทางการเมืองมาตั้งแต่อดีต จึงทำให้การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ทำได้ยาก ทั้งที่ประเด็นแก้เนื้อหาสาระของกฎหมายไม่ได้ยาก

อย่างไรก็ดี การไม่สามารถแก้ไขพ.ร.บ.เงินตราได้ ไม่ส่งผลกระทบ กับการบริหารเงินทุนสำรองเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะสามารถดำเนินการภายใต้กฎหมายที่ใช้อยู่ปัจจุบันได้

นายฉลองภพ กล่าวว่า ปัญหาของรัฐบาลชุดใหม่ไม่ได้อยู่ที่การแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา แต่อยู่ที่การแก้ไขหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันภาระเงินต้นของหนี้ไม่สามารถลดลงได้ ซึ่งก็มีหลายวิธีโดยการแก้ พ.ร.บ.เงินตรา ก็ส่วนหนึ่งที่เปิดให้นำบัญชีผลประโยชน์ประจำปีมาลดหนี้ นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่นเช่นรัฐบาลเข้าไปรับภาระโดยตรง

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า เห็นด้วยกับการเลื่อนการพิจารณา พ.ร.บ.เงินตรา เพื่อสร้างความเข้าใจหรือสอบถามความเห็นหรือทำประชาพิจารณ์ก่อน และแม้จะไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ ก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยให้มีความเข้าใจไม่ตรงกันเช่นในปัจจุบัน ซึ่งทุกวันนี้มีทั้งความเข้าใจที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง

ถ้า พ.ร.บ.นี้ไม่ทันรัฐบาลนี้ รัฐบาลก็ต้องมีภาระงบประมาณในการชำระดอกเบี้ยปีละ 6 หมื่นล้านบาทต่อไป และตั้งแต่ปี 2542 รัฐบาลใช้เงินงบประมาณจ่ายดอกเบี้ยไปแล้ว 4.5 แสนล้านบาท ขณะนี้ไม่มีแนวทางอื่นที่จะหารายได้มาชำระหนี้ ธปท.ได้นำเงินผลประโยชน์ประจำปี ไปชำระหนี้กองทุนฯ ดังนั้น กระทรวงการคลังก็ต้องรับภาระต่อไปเรื่อยๆ

นางธาริษา กล่าวว่า ปัจจุบันหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.4 ล้านล้านบาท มีการชำระเงินต้นลดไปเพียงเล็กน้อย ส่วนประเด็นที่ให้รัฐบาลจัดสรรรายได้ชำระเงินต้นนั้น คงต้องศึกษาดูว่าจะต้องแก้ไขกฎหมายหรือไม่

นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และจะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาต่อไป และวันนี้ สนช.มีวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก และ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่าน่าจะผ่านการพิจารณาได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200642

news31/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 31, 2007 12:36 pm
โดย chartchai madman
แบงก์เปิดศึก ชิงเงินฝากสั้นให้ดอกเบี้ยสูง

โพสต์ทูเดย์ นครหลวงไทย- กรุงศรี แห่ชิงเงินฝากระยะสั้น


นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย กล่าวว่า ธนาคารขยายระยะเวลาให้บริการเงินฝากประจำพิเศษ 7 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.60% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ไปจนถึงวันที่ 26 พ.ย. 2550 จากเดิมที่กำหนดให้สิ้นสุดในเดือน ต.ค.นี้ เนื่องจากบริการเงินฝากดังกล่าวได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ธนาคารจึงได้ขยายเวลาการให้บริการ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเพิ่มขึ้น

ด้านนายรอยย์ กุนาร่า ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารได้เสนอขายตั๋วแลกเงินอายุ 3 เดือน ชนิดระบุชื่อ ไม่สามารถโอนเปลี่ยนมือ และไถ่ถอนเมื่อครบกำหนดระยะเวลา

ทั้งนี้ จะจ่ายดอกเบี้ย 2.6-3.0% ต่อปี ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินลงทุน โดยเงินลงทุนตั้งแต่ 5 แสนบาท แต่ ไม่เกิน 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.6% ต่อปี เงินลงทุนตั้งแต่ 10 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 100 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.8% ต่อปี และ 100 ล้านบาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ย 3.0% ต่อปี

นายรอยย์ กล่าวว่า ตั๋วแลกเงินดังกล่าวเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเงินฝากประจำที่มีระยะเวลาเท่ากัน หรือใกล้เคียงกัน ถือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความ ต้องการของลูกค้า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200658

news01/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 01, 2007 2:04 pm
โดย chartchai madman
แบงก์ชี้ดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นได้อีก0.5-1%

โพสต์ทูเดย์ นายแบงก์ฟันธง ผลจากการออกพันธบัตร ธปท.อีก 5 แสนล้าน จะทำให้ดอกเบี้ยปรับขึ้น 0.5-1%


นายเชาวน์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การออกพันธบัตรต่อเนื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดูดสภาพคล่องออกจากระบบ อันเป็นผลมาจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาท จะมีผลข้างเคียงให้ดอกเบี้ยปรับขึ้นแน่นอน

ขณะนี้ดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3% หาก ธปท.ออกพันธบัตร ดอกเบี้ยต้องสูงกว่าตลาดเงิน นอกจากนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 เดือน อยู่ที่ 3.11% อายุ 1 ปี ดอกเบี้ย 3.45% และอายุ 7 ปี ดอกเบี้ย 4.61% นายเชาวน์ กล่าว

สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยของ 5 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ อยู่ที่ 2.5% ดังนั้น หาก ธปท.ออกพันธบัตรดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก และถ้ามีสถาบันการเงินบางแห่งไปประมูลพันธบัตร และนำมาจำหน่ายต่อให้ประชาชน ก็จะทำให้เกิดการถอนเงินไปซื้อพันธบัตร ธนาคารก็จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาฐานเงินฝาก

นายเชาวน์ กล่าวว่า โดยทฤษฎีแล้ว การดูดเงินออกจากระบบเพราะแทรกแซงค่าเงินบาท จะไม่กระทบกับดอกเบี้ยในตลาดเงิน เพราะฉีดเงินบาทในระบบออกมาเท่าไหร่ก็ดูดกลับไปเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติไม่เป็นไปตามนั้น

นายเชาวน์ กล่าวว่า ในระยะต่อไป การบริหารค่าเงินบาทของ ธปท.จะลำบากมากขึ้น เนื่องจากค่าเงินเหรียญสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐมีปัญหา ซึ่งการอ่อนค่านี้จะส่งผลให้ ธปท.ขาดทุนจากการแทรกแซงค่าเงินบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200866

news01/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 01, 2007 7:59 pm
โดย chartchai madman
กูรูเตือนรัฐรับมือบาทแข็ง
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย บอกว่า ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า จะเห็นค่าเงินบาทกลับไปแข็งค่าอยู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตปี 2540 ได้ โดยก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวประมาณ 25 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

สาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามาก เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐถดถอย ทำให้นักลงทุนทั่วโลกลดถือครองเงินเหรียญสหรัฐ และนำเงินไปลงทุนในประเทศที่ให้อัตราผลตอบแทนที่มากกว่า รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นนักธุรกิจและรัฐบาลใหม่ควร ประเมินและเตรียมวิธีการรับมือภาวะที่เงินทุนไหลเข้ามาให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด

ด้านนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า เรื่องของค่าเงินบาททั้ง ผู้ได้และเสีย การเข้ามาแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เป็นการกระทำแค่ชั่วคราว หากไม่ดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบก็จะทำให้เงินเฟ้อ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news02/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 1:00 pm
โดย chartchai madman
กสิกรชี้พันธบัตรรัฐท่วมตลาดล้านล้าน

โพสต์ทูเดย์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย หวั่นเอกชนกระอักพิษดอกเบี้ย หลังรัฐดูดสภาพคล่องปีหน้าจนแห้ง


บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในปี 2551 อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงของต้นทุนทางการเงินในระบบที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้น เป็นภาระของภาคธุรกิจ จากปริมาณพันธบัตรที่จะเข้าสู่ตลาดเงินจำนวนมากรวมแล้วเกือบล้านล้านบาท ประกอบด้วย พันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2551 จำนวน 1.65 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นการออกพันธบัตรรัฐบาล 1.59 แสนล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ อายุ 3 ปี วงเงิน 6 พันล้านบาท จำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปทุกเดือน เดือนละ 500 ล้านบาท

การปรับโครงสร้างหนี้ภาครัฐ โดยแบ่งเป็นการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งมีวงเงินเหลืออยู่ 1.47 แสนล้านบาท, การ roll-over พันธบัตรชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีก่อนหน้า รวมถึงพันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) โครงการ 1 และ 3 ที่จะครบกำหนด

นอกจากนี้ กองทุนฟื้นฟูฯ ยังต้องออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้าง การกู้ยืมเงิน หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปิดตลาด Repo ในปลายปี 2550 ซึ่งคาดว่าโดยรวมแล้วกองทุนฟื้นฟูฯ คงจะต้องออกพันธบัตรประมาณ 1.87 แสนล้านบาท แทนการกู้ยืมเงินผ่านตลาด Repo ดังกล่าว

พันธบัตรดูดซับสภาพคล่องของ ธปท. โดยล่าสุด ธปท.ได้ขออนุมัติกระทรวงการคลังเพื่อออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่องในวงเงินอีก 5 แสนล้านบาท อันเป็นผลจากการเข้าไปดูแลรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท โดยการรับซื้อเงินเหรียญสหรัฐของ ธปท.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า สำหรับกรณีที่ราคาน้ำมันดิบ เบรนต์ไม่เกิน 92 เหรียญสหรัฐ/ บาร์เรล เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวอยู่ในกรอบประมาณ 4.5-6% ในปี 2551 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้น ชดเชยกับการส่งออกที่อาจเติบโตในอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อน

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Head line CPI Inflation) ของไทยอาจ ขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในช่วง 2.2-3.2% อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันพุ่งไปถึงระดับ 102 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เศรษฐกิจไทยอาจมีกรอบการขยายตัวที่ลดต่ำลงจากกรณีสมมติฐานหลัก มาเป็น 3.8-5.3% ในปี 2551

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจปรับขึ้นมามีค่าเฉลี่ยที่ 3.2-4.2% ในปี 2551 เป็นผลจากราคาน้ำมันขายปลีกดีเซลในประเทศที่อาจปรับขึ้นมามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30.03 บาท/ลิตร ในปี 2551 หรือเพิ่มขึ้นถึง 17.6% จากค่าเฉลี่ยที่ 25.54 บาท/ลิตร ในปี 2550

คงจะเป็นโจทย์หรือความท้า ทายสำคัญที่รออยู่ข้างหน้าสำหรับการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ

ทั้งนี้ แม้ว่าการเลือกตั้งน่าที่ จะเกิดขึ้นในปลายปี 2550 นี้ จะ สามารถสร้างความชัดเจนทางการ เมืองและส่งผลให้ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนฟื้นตัวขึ้นได้ แต่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งก็อาจจะต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญคงจะได้แก่ ปัญหาค่าครองชีพและภาวะเงินเฟ้อ, แนวโน้มการปรับค่าของเงินบาทอันเนื่องมาจากการอ่อนตัวของเงินเหรียญสหรัฐ, แนวโน้มการชะลอตัวของการส่งออก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201121

news02/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 3:17 pm
โดย chartchai madman
บสก.ชี้งบแบงก์ปีหน้าสดใส-แห่ขายหนี้เน่า-หมดสำรอง โดย กระแสหุ้น

บสก. เผยผลประกอบการแบงก์ปีหน้าส่อเค้าสดใส หลังหลายแห่งทยอยขาย NPL และ NPA ออกจากระบบต่อเนื่อง รวมทั้งกันสำรองหนี้ตามเกณฑ์ IAS39 เรียบร้อยแล้ว เผยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับสถาบันการเงินหลายแห่ง เพื่อรับซื้อรับโอนหนี้เสียมาบริหาร หลังจากปีนี้ซื้อมาแล้วกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท


นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) กล่าวว่า แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของระบบธนาคารพาณิชย์ในปีหน้ามีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงจากปีนี้ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ทยอยขาย NPL และ NPA ออกจากระบบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้มีการกันสำรองตามเกณฑ์มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS 39) ให้ครบตามกำหนด ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในปี 51

ทั้งนี้จากการทยอยขาย NPL และ NPA รวมทั้งการกันสำรองตามเกณฑ์มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ IAS 39 ดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวดีขึ้นกว่าในปีนี้ ซึ่งถือเป็นทิศทางการบริหารจัดการที่ดี ที่จะทำให้การดำเนินธุรกรรมของธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวมากขึ้น และสามารถรองรับการแข่งขันกับสถาบันการเงินจากต่างประเทศได้อีกด้วย

สำหรับปีนี้ บสก. ได้รับซื้อรับโอน NPL จากสถาบันการเงินเข้ามาบริหารจัดการจำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และลงนามในสัญญาซื้อขาย NPA กับ บสก. แล้ว จำนวนกว่า 3 พันล้านบาท อาทิ บมจ.ธนาคารกรุงไทย บมจ.ธนาคารไทยธนาคาร บมจ.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ บมจ.ธนาคารทหารไทย บมจ.ธนาคารสินเอเชีย และบบส. เพทาย เป็นต้น รวมทั้งมีสถาบันการเงินอีกหลายแห่งอยู่ระหว่างทยอยส่งมอบข้อมูลมาที่ บสก. คิดเป็นมูลค่า 18,088 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างรอประมูลซื้อ NPL จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอีแบงก์) ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้

ปัจจุบัน บสก. มี NPL ในความดูแลจำนวน 48,994 ราย คิดเป็นมูลค่า 2.3 แสนล้านบาท และมี NPA อยู่ในความดูแลจำนวน 13,464 ราย คิดเป็นมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บสก.พร้อมที่จะเข้ารับซื้อรับโอนทั้ง NPL และ NPA จากสถาบันการเงินให้ได้มากที่สุดบนพื้นฐานสำคัญคือ การรับซื้อเข้ามาบริหารจะต้องให้เกิดความเสี่ยงน้อยที่สุด และไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงานของ บสก. ในอนาคต

นายบรรยงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางการบริหารจัดการ NPL จะมุ่งเน้นการประนอมหนี้บนพื้นฐานความร่วมมือกันและหาข้อยุติที่ได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ บสก. ได้นำมาตรการต่างๆมาใช้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้กับ บสก. และได้ทรัพย์หลักประกันกลับคืนเร็วขึ้น ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันด้านการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายนั้น บสก. ได้ใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

อย่างไรก็ดีในส่วนของผลการดำเนินงานของ บสก. ณ วันที่ 31 ต.ค.50 มีรายได้รวมประมาณ 9 พันล้านบาท ทั้งนี้เฉพาะช่วงเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา บสก. สามารถจำหน่ายทรัพย์รายใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าผลการดำเนินงานทั้งปีจะสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO

news02/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 7:39 pm
โดย chartchai madman
แบงก์ไทยมีกำไรสุทธิรวมของไตรมาส 3/50 1.4 หมื่นล้านบาท ข่าว 18.00 น.

Posted on Friday, November 02, 2007
นางสาวนวพร มหารักขกะ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกถึงผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์โดยรวมในไตรมาส 3/50 ว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.6 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายด้านการกันสำรองและภาษีแล้ว มีกำไรสุทธิ 1.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/50 ที่มีผลขาดทุน

แม้ว่าสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จะขยายตัว 2.6% หรือชะลอลงจาก 5.9% ในสิ้นปีก่อน สินเชื่อภาคธุรกิจซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 77% ของสินเชื่อรวม หรือลดลง 0.9% สะท้อนการลงทุนภาคเอกชนที่อยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากความไม่แน่นอน แม้ดอกเบี้ยจะปรับลดลงตามการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ ธปท. ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนสินชื่ออุปโภคบริโภคซึ่งเป็นสัดส่วน 23% ของสินเชื่อรวมยังขยายตัวสูงที่ 15.9% ชะลอลงเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี จากความระมัดระวังในการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ยังรักษาอัตราผลตอบแทนจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์ได้ในระดับ 2% และควบคุมต้นทุนด้านการดำเนินงานได้ ทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมลดลงอย่างต่อเนื่องเหลือ 53.6% และระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีการกันสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ โดยปัจจุบันระบบธนาคารพาณิชย์มีการตีราคาสินทรัพย์และกันสำรองตามมาตรฐาน IAS39 แล้ว

สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มียอดคงค้างเพิ่มขึ้น 1.3 หมื่นล้านบาท จากไตรมาส 2/50 มีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จาก 7.8% ในสิ้นไตรมาส 2/50 เป็น 7.9% ในขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ(หลักหักสำรองหนี้เสีย) อยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสก่อนที่ 4.4% ของสินเชื่อรวม

ทั้งนี้ แม้จะมีแรงกดดันด้านคุณภาพสินเชื่อจากภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการธุรกิจที่ชะลอตัว แต่ธนาคารพาณิชย์ก็มีความระมัดระวังในการบริหารความเสี่ยงและดูแลสินเชื่อ ทำให้ยังมีกำไรสุทธิที่ช่วยเสริมเงินกองทุนให้มีความแข็งแกร่งขึ้น และธนาคารพาณิชย์บางแห่งยังได้เพิ่มทุน ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์สี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 15.1% สูงกว่า 8.5% ที่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำทางกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้สามารถขยายธุรกิจในช่วงต่อไปได้ดีขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news03/11/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 03, 2007 11:50 am
โดย chartchai madman
แบงก์เล็กชิงเงินฝากดับฝันลดดบ.กู้

โพสต์ทูเดย์ นายแบงก์ชี้ความหวังดอกเบี้ยเงินกู้ลดริบหรี่ หลังธนาคารเล็กสวนกระแสปรับขึ้นดอกเบี้ยฝาก ดันต้นทุนเพิ่ม


แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า โอกาสที่ดอกเบี้ยเงินกู้ของทั้งระบบจะปรับลดลง เหลือความเป็นไปได้เพียง 30% จากเดิมที่มีความเป็นไปได้ 70-80% ว่าจะมีการปรับลดลงอีกภายในสิ้นปีนี้

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เนื่องจาก มีธนาคารขนาดเล็กบางแห่งสวนกระแส โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ย เงินฝากระยะสั้น ส่งผลให้ธนาคาร แห่งอื่นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยสู้เพื่อป้องกันปัญหาการถูกช่วงชิงเงินฝาก เช่นล่าสุดมีการออกผลิตภัณฑ์เงินฝาก 6-7 เดือน ดอกเบี้ย 2.6-2.7%

ขณะเดียวกัน ธนาคารขนาด กลางแห่งหนึ่งที่มีปัญหาภายในและจนทำให้เกิดการเพิ่มทุน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า ทำให้เงินฝากไหลออกในช่วงที่ผ่านมาหลักหมื่นล้านบาท จนต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อรักษาฐานลูกค้าเอาไว้

เดิมทีแบงก์ทยอยปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลงมาหลายครั้ง โดยหวังจะให้ต้นทุนค่อยๆ ลดลงจนถึงจุดที่จะปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ได้ พอมีบางแบงก์มาขึ้นดอกเบี้ยทวนกระแส ก็กดดันต้นทุน ทำให้โอกาสที่ดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มแอลอาร์จะปรับลดลงน้อยลงไปอีก แหล่งข่าวระบุ

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพิ่งปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน นั้น ไม่ใช่การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ ตัวหลักแต่เป็นการลดดอกเบี้ย โปรโมชันหรือดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี เพื่อกระตุ้นยอดสินเชื่อช่วงปลายปีมากกว่า

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า กรณีที่ดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบจะปรับลดก็น่าจะลงอีกไม่มากนัก เต็มที่เพียง 0.25% เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ โดยเงินเฟ้อเดือน ส.ค. อยู่ที่ 2.5% เพิ่มจาก ก.ย. ที่อยู่ 2.1% หลังจาก 7 เดือนแรกเงินเฟ้อทรงตัวที่ 2% ประกอบกับราคาน้ำมันที่ยังผันผวน มีคาดว่าจะแพงถึง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

นายชาติชาย กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 3-4 ในปีหน้า มีโอกาสที่ดอกเบี้ยจะมีอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะปัจจุบันปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนเร็วมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่วัฏจักรจะกินระยะเวลา 3 ปี

ดอกเบี้ยเงินกู้คงลดลงยาก แต่ถ้าลงก็น่าจะได้อีกเล็กน้อย ซึ่งภาคอุตสาหกรรมคงไม่ได้รับผลกระทบ มากเท่ากับประชาชนคนผ่อนบ้าน เพราะดอกเบี้ยที่ขึ้นทุก 1% จะกระทบกำลังซื้อ 6-7% นายชาติชาย กล่าว

แหล่งข่าวจากสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เตรียมพร้อมที่จะออกพันธบัตรเป็นระยะ เพื่อแทรกแซงค่าเงินบาท ล้วนเป็นสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้นในปีหน้า

ทั้งนี้ หลังการเลือกตั้งจะมีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะดูดเงินออกไปจากตลาดระดับหนึ่ง ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวขึ้นไปรอดักหน้า

ดังนั้นในช่วงนี้ ประชาชนจะนิยมฝากเงินระยะสั้น เพราะหากดอกเบี้ยปรับขึ้นก็จะโยกเงินฝากไปมาได้สะดวกกว่า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201307

news06/11/07

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 06, 2007 12:56 pm
โดย chartchai madman
เปิดโผหุ้นการเงินน่าลงทุนKBANK-BBL-BAY เด่นสุด

เปิดโผหุ้นกลุ่มการเงินน่าลงทุนช่วงภาวะตลาดผันผวน นักวิเคราะห์ชี้ยังเป็นหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ แนะเก็บ KBANK BAY BBL เหตุพื้นฐานดี ผลประกอบการโดดเด่น เศรษฐกิจชะลอตัวกระทบน้อย มองปีหน้าแบงก์ฟื้นคืนชีพตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลหุ้นได้รับอานิสงส์

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับหุ้นกลุ่มการเงินที่ยังน่าสนใจเข้าลงทุนช่วงนี้ยังมองว่าเป็นหุ้นกลุ่มแบงก์ โดยหุ้นแบงก์ที่น่าสนใจ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ซึ่งหุ้นทั้ง 2 ตัวนี้นับว่ามีความแข็งแกร่งพอที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ในขณะนี้ ซึ่งหากเทียบกับหุ้นการเงินตัวอื่น โดยเฉพาะหุ้นแบงก์เล็ก กลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มหลักทรัพย์ ซึ่งไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร หุ้นทั้ง 2 ตัวนี้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

"รายงานกำไรสุทธิของ BBL เติบโต 22% YoY แต่ลดลง 4% QoQ อยู่ที่ 5.15 พันล้านบาท ซึ่งดีกว่าที่คาดไว้ที่ 4.94 พันล้านบาท ส่วนสินเชื่อขยายตัว 1.4 หมื่นล้านบาท หรือ +1.4% QoQ ด้านKBANK สามารถสร้างความแตกต่างควบคู่กับกลยุทธ์การเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งขยายธุรกิจจากการเติบโตในกลุ่ม KGroup ตั้งเป้าการขยายสินเชื่อในปี 51 ที่ 10-15% ปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 51 ลง 4.4% เป็น 1.58 หมื่นล้านบาท" นักวิเคราะห์ กล่าว

ดังนั้น ยังคงแนะนำลงทุน ซื้อ ทั้ง BBL และ KBANK โดยราคาเป้าหมายปี 2551 ของ BBL อยู่ที่ระดับ 147 บาท ส่วน KBANK ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ระดับ 97 บาท อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ KBANK นั้น มองว่า โอกาสที่ราคาเป้าหมายในช่วงปี 2552 ที่จะมีการพิจารณาการปรับฐานใหม่ช่วงกลางปี 2551 นั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาหุ้นจะดีดตัวไปแตะที่100 บาท

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของ KBANK จะดีดตัวขึ้นไปเกิน100 บาทหรือไม่นั้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ 2551 อยู่ในทิศทางใด และเอื้ออำนวยต่อธนาคารพาณิชย์ต่างๆอย่างไรได้บ้าง เพราะในช่วงดังกล่าวนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะมีการปรับราคาเป้าหมายปี 2552 อยู่แล้ว

ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า หุ้นกลุ่มการเงินในขณะนี้ ยอมรับว่ามีความผันผวนพอสมควร ซึ่งความผันผวนนี้เกิดจากปัจจัยลบภายนอกอย่างตลาดหุ้นต่างประเทศที่ผันผวน ซึ่งเข้ามากระทบยังตลาดหุ้นในแถบเอเชียด้วย

ดังนั้น หากนักลงทุนที่ต้องการเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ ยังมองว่า หุ้นกลุ่มการเงินอย่างธนาคารพาณิชย์นับว่ามีความน่าสนใจที่สุด โดยเฉพาะหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่าง ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB

ทั้งนี้ แนะนำ ซื้อ ทั้ง 3 ตัว โดยราคาเป้าหมายปี 2551ของ KBANKอยู่ที่ 100 บาท BAY ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 32.7 บาท และ SCB ราคาเป้าหมายปี 2551 อยู่ที่ 90 บาท อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นแบงก์ทั้ง 3 ตัวที่แนะนำนั้น เพราะถือเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและน่าสนใจที่สุดในช่วงนี้ ร่วมไปถึงช่วงปี 2551 ด้วย
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16

news07/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 07, 2007 1:17 pm
โดย chartchai madman
หมดสิทธิ์เห็นดอกต่ำ

โพสต์ทูเดย์ บิ๊กกสิกร ชี้ หมดสิทธิ์ใช้ดอกเบี้ยต่ำกระตุ้นเศรษฐกิจ


นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในปีหน้าการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำมากระตุ้นเศรษฐกิจคงไม่ได้ผล และเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นมาที่ 3.5-3.7% จากผลกระทบราคาน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ค่าครองชีพปรับสูงขึ้น

ประกอบกับการออกพันธบัตรของทางการที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ต้นทุนในการระดมทุนของเอกชนสูงขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ในปีหน้า เศรษฐกิจ ไทยยังขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากปีนี้ แต่ก็มีปัจจัยลบสำคัญที่ต้องระวัง คือ ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐ และยุโรป รวมทั้งประเด็นทางด้านการเมืองที่จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาหลังการเลือกตั้ง

นายประสาร กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้ายังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้นมาที่ 87 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงขึ้นจากประมาณการเดิมที่ธนาคารคาดไว้ที่ 77 เหรียญ สหรัฐ/บาร์เรล ก็จะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศสูงกว่า 31 บาท/ลิตร และจะส่งแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น

ดังนั้น ในปี 2551 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น จากทิศทางค่าครองชีพ และเงินเฟ้อทีสูงขึ้น ซึ่งภาครัฐควรเร่งผลักดันการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค และการลงทุน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202103

news09/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 10:11 pm
โดย chartchai madman
ฝากเป๋าตุง-กู้หน้าเหี่ยว แบงก์ขึ้นดอกก่อนสิ้นปี

โพสต์ทูเดย์ ไทยพาณิชย์ชี้ดอกเบี้ยเงินฝากกำลังขยับขึ้นไตรมาส 4 ปีนี้ เงินกู้หมดสิทธิ์ลง


นายภากร ปีตธวัชชัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริหารการ เงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์กำลังจะขยับขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้แล้ว เนื่องจากสภาพคล่องกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง

อัตราดอกเบี้ยเริ่มกลับมาเป็นปัจจัยเสี่ยงอีกแล้ว หลังจากดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลงเรื่อยมาตลอดทั้งปี ซึ่งหลายคนที่กำลังสงสัยว่าดอกเบี้ยจะลงได้อีกไหม ปรับลงเมื่อไหร่ เท่าไหร่ ผมคิด ว่าดอกเบี้ยคงไม่ลงแล้ว นาย ภากร กล่าว

นายภากร กล่าวว่า สาเหตุที่ดอกเบี้ยจะปรับขึ้นมาจากการออกพันธบัตรออมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือนนี้ 8 หมื่นล้านบาท และจะออกพันธบัตรในไตรมาสแรกปีหน้าอีก 8 หมื่นล้านบาท รวมเป็นวงเงินถึง 1.6 แสนล้านบาท ในเวลาอันใกล้ ซึ่ง ธปท.แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะนำพันธบัตรออกมาขายประชาชน

นอกจากนี้ มีธนาคารบางแห่งที่ต้องการเงินฝากมากกว่าธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ดังนั้น จึงจะได้เห็นธนาคารพาณิชย์ออกเงินฝากพิเศษระยะเวลา 5-6 เดือน ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากจะขยับก่อน โดยในปีนี้จนถึงปีหน้าดอกเบี้ยเงินฝากจะขยับขึ้นอีก 0.5%

ทั้งนี้ คาดว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน จะขยับขึ้นเป็น 2.25-2.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2% ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้จะปรับขึ้นเป็น 7-7.25% ภายในสิ้นปีหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.875%

ด้านดอกเบี้ยตลาดเงินคาดว่า ธปท.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันอีกอย่างน้อย 0.5% เป็น 3.75% ในไตรมาส 3-4 ปีหน้า เพื่อคุมเงินเฟ้อ เพราะ นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเงินเฟ้อจะขยับขึ้นสูงในไตรมาสแรก ก่อนจะปรับลดลงในไตรมาส 2 และเงินเฟ้อจะขยับขึ้นสูงอีกในไตรมาส 3 ปีหน้า

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรได้ขยับขึ้นมาแล้ว หลังผ่านจุดต่ำสุดในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ การที่ ธปท.ส่งสัญญาณว่า ธปท.จะออกพันธบัตรอีกจำนวนมากเพื่อดูดสภาพคล่องที่เกิดจากการแทรกแซงค่าเงินบาท ประกอบกับการที่รัฐบาลตั้งงบประมาณขาดดุลในปีหน้า ทำให้จะมีพันธบัตรออกมาขายในตลาดอีกจำนวนมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202489

news10/11/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 10, 2007 9:54 pm
โดย chartchai madman
ดีบีเอสใส่เงินคู่ไอเอ็นจี

โพสต์ทูเดย์ ดีบีเอสพร้อมใส่เงินเพิ่มทุนทหารไทย แม้ไอเอ็นจีโดดเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 30%


ธนาคารดีบีเอส สิงคโปร์ ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญของธนาคารทหารไทยจำนวน 16% ประกาศว่าพร้อมจะเข้าร่วมในกระบวนการเพิ่มทุนของธนาคาร เพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและ ดีบีเอส เนื่องจากประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญในเอเชีย และดีบีเอสมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจในประเทศนี้ ดีบีเอสจะทำงานกับกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการประเมินทางเลือกธุรกิจในประเทศนี้

ยืนยันว่า ได้ทำข้อเสนอ ร่วมเพิ่มทุนยื่นเข้ามาโดยร่วมกับ นักลงทุนรายอื่น ซึ่งผลของการยื่น ข้อเสนอดังกล่าวก่อให้เกิดข้อเสนอสุดท้ายที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเดิม แถลงการณ์ดีบีเอสระบุ

ทั้งนี้ หากดีบีเอสใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนจะต้องใส่เงินทั้งสิ้น 2.05 พันล้านบาท

นางอีไล ลีนารซ์ คณะกรรมการบริหาร ไอเอ็นจี กรุ๊ป กล่าวว่า ไอเอ็นจีได้เข้าถือหุ้นธนาคารทหารไทยในสัดส่วน 30% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 460 ล้านยูโร โดยได้รับจัดสรรหุ้น 25,000 ล้านหุ้น ในราคา 1.60 บาทต่อหุ้น ทำให้ไอเอ็นจี มีสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารทหารไทยในอัตรา 25.1% และอีก 4.9% เป็นหุ้นที่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง

นายฮานส์ วาน เดอร์ นอร์ดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไอเอ็นจีกรุ๊ป กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการปรับเปลี่ยนผู้บริหาร โดยเฉพาะนายสุภัค ศิวะรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย

ทั้งนี้ ผู้บริหารธนาคารทหารไทยจะมีการประชุมร่วมกันในสัปดาห์หน้า โดยในเดือน ธ.ค. จะมีแผนการทำงานออกมา

ทั้งนี้ มี 2 เรื่อง ที่ไอเอ็นจีจะมุ่งให้ความสำคัญ คือ การบริหารความเสี่ยงของธนาคาร และการทำธุรกิจรายย่อย (รีเทล)

ไอเอ็นจีลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 5-10 ปีขึ้นไป จึงไม่ได้กังวลผลการดำเนินงานของธนาคาร แต่ระยะสั้นเราต้องปรับปรุงเอ็นพีแอล เพิ่มฐานลูกค้า และเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ นายฮานส์ กล่าว

แหล่งข่าวจากธนาคารทหารไทย กล่าวว่า อาจมีการเสนอให้ตั้งนาย จุลกร สิงหโกวินท์ ประธานกรรมการบริหารดำรงตำแหน่งแทนนายสุภัค ซึ่งในเบื้องต้นกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบแล้ว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202690

news12/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 12, 2007 1:53 pm
โดย chartchai madman
บาทแข็งค่าที่สุดรอบ 3 เดือน

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2550

ธปท. ชี้เหตุผู้ส่งออกแห่เทขายเยน ทำเงินบาทแข็งค่าแตะ 33.87/90 บ.ต่อดอลล่าร์ แข็งค่าที่สุดในรอบ 3 เดือน

นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวถึงภาวะค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ เกิดจากผู้ส่งออกเทขายเงินสกุลเยนของญี่ปุ่นออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค ขณะที่ผู้นำเข้าก็เข้ามาซื้อบ้างแต่ไม่มากนัก โดยวันนี้ ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 33.87/90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เช้านี้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงต่ำสุดในรอบ 18 เดือนเมื่อเทียบกับเงินเยน โดยเงินเยนเปิดตลาดที่ระดับ 110.23 เยน/ดอลลาร์

แหล่งข่าวจากวงการนักค้าเงิน กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในช่วงเช้าของวันนี้ หลังเปิดตลาดค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่อง โดยขึ้นไปแตะที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดในรอบ 3 เดือนเมื่อเทียบกับต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา สวนทางค่าเงินเอเชียที่อ่อนตัว โดยพบว่า ตั้งแต่ต้นปีค่าเงินบาทแข็งค่าเกือบ 6.70% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ โดยตามหลังเพียงแค่เปโซและรูปีเท่านั้น แม้ว่า ธปท.จะจำกัดเงินทุนไหลเข้าด้วยมาตรการกันสำรอง 30% และเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเป็นระยะเพื่อป้องกันไม่ให้แข็งค่ามากจนส่งผลกระทบต่อการส่งออก และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=203101

news12/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 12, 2007 8:33 pm
โดย chartchai madman
ค่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 3 เดือน
Posted on Monday, November 12, 2007
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า เงินบาทที่เริ่มแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ เกิดจากผู้ส่งออกเทขายเงินสกุลเยนของญี่ปุ่นออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค

ส่วนค่าเงินบาทในวันนี้ เปิดตลาดที่ระดับ 33.87-33.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน และในการซื้อขายระหว่างวัน ขึ้นไปแข็งค่าสุดที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือน แต่ปิดตลาดอ่อนค่าลงมาเล็กน้อย มาปิดที่ระดับ 33.85-33.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นางผ่องเพ็ญกล่าวว่า หากนับตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วเกือบ 6.7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ตามหลังเพียงแค่เปโซและรูปีเท่านั้น แม้ว่าธปท.จะจำกัดเงินทุนไหลเข้าด้วยมาตรการกันสำรอง 30% และเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเป็นระยะเพื่อป้องกันไม่ให้แข็งค่ามาก จนส่งผลกระทบต่อการส่งออก และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแล้วก็ตาม  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news14/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 14, 2007 1:42 pm
โดย chartchai madman
รูดบัตรเครดิตฮวบ5พันล.

โพสต์ทูเดย์ ธปท.เผยยอดรูดปรื๊ดในเดือน ก.ย. ลดฮวบ 5.5 พันล้านบาท เหตุผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในรายได้


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า รายงานการให้บริการบัตรเครดิตล่าสุดในเดือน ก.ย. ปีนี้ พบว่า จำนวนบัตรเครดิตทั้งระบบ 11.56 ล้านใบ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 1.66 แสนใบ หรือ 1.46% ซึ่งบัตรทั้งระบบมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวม 6.43 หมื่นล้านบาท ลดลง 5.55 พันล้านบาท หรือลดลง 7.95% จากเดือนหน้าที่มียอดใช้จ่ายรวม 6.99 หมื่นล้านบาท ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นไม่กล้าใช้จ่าย เพราะไม่มั่นใจรายได้ในอนาคต

ทั้งนี้ การลดลงดังกล่าวแบ่งเป็น ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในประเทศมี 4.64 หมื่นล้านบาท ลดลง 3.93 พันล้านบาท หรือลดลง 7.79% โดยบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศใช้จ่ายลดลงมากที่สุด 2.25 พันล้าน บาท หรือ 9.07% บัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นันแบงก์) ใช้จ่ายลดลง 1.18 พันล้านบาท หรือ 6.76% และบัตรที่ออกโดยสาขาธนาคารต่างประเทศลดลง 485 ล้านบาท หรือ 6.1%

ขณะที่การเบิกเงินสดล่วงหน้าผ่านบัตรมี 1.54 หมื่นล้านบาท ลดลง 1.67 พันล้านบาท หรือลดลงถึง 9.78% ซึ่งบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศกดเงินสดลดลงมากที่สุด 1.06 พันล้านบาท หรือ 9.05% บัตรเครดิตที่ออกโดยนันแบงก์กดเงินสดลดลง 462 ล้านบาท หรือ 11.32% และบัตรที่ออกโดยสาขาธนาคารต่างประเทศกดลดลง 141 ล้านบาท หรือ 11.71% ด้านการใช้จ่ายผ่านบัตรในต่างประเทศมี 2.48 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 41.5 ล้านบาท หรือ 1.7% คาดว่าการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศน่าจะเป็นผลมาจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนไทยซื้อของต่างประเทศในราคาที่ถูกลง จึงมีการใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มขึ้นบ้าง

ทั้งนี้ ปริมาณบัตรเครดิตทั้งระบบมียอดสินเชื่อคงค้างรวม 1.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 1.65 พันล้านบาท หรือ 0.98%

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายไตรมาส พบว่า ไตรมาส 3 ของปีนี้กับไตรมาสก่อนหน้าบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 3.07 แสนใบ หรือ 2.73% มียอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น 1.4 พันล้านบาท หรือ 0.83%

ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมลดลงเพียง 100 ล้านบาท หรือ 0.15% เท่านั้น จากปริมาณการใช้จ่ายในประเทศเพิ่ม 277 ล้านบาท หรือ 0.6% ส่วนปริมาณการใช้จ่ายในต่างประเทศลดลง 18 ล้านบาท หรือ 0.75% และการกดเงินสดล่วงหน้าลดลง 359 ล้านบาทหรือ 2.27%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203454

news14/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 14, 2007 1:43 pm
โดย chartchai madman
คลังแบไต๋ลดทุนทหารไทยปี52

โพสต์ทูเดย์ คลังเผยปี 2552 ลดทุนแบงก์ทหารไทยล้างขาดทุนสะสม หนุนไอเอ็นจี พลิกฟื้นฐานะ สร้างมูลค่าเพิ่มและราคาหุ้นให้ สูงขึ้น


นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า การเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย 3.5 หมื่นล้านบาทนั้น ได้มีการดูแล้วว่าเพียงพอตั้งสำรองหนี้ และการขยายกิจการ ทำให้เชื่อได้ว่าธนาคารไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนอีกหลายปี ส่วนการล้างขาดทุนสะสมจำนวนมากของธนาคาร เพื่อให้จ่ายเงินปันผลได้เป็นเรื่องทางฝ่ายบริหารธนาคารจะต้องคิดหาแผน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยัง ไม่สามารถลดทุน เพื่อล้างขาดทุนสะสมได้ จนกว่าจะถึงปี 2552 ที่หุ้นบุริมสิทธิของธนาคารที่กระทรวงการคลังถืออยู่จะครบกำหนด 10 ปี จึงจะลดทุนล้างขาดทุนสะสมทั้งหมดได้

สำหรับการเพิ่มทุนครั้งนี้นั้น นายอารีพงศ์ กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นธนาคารทหารไทยพร้อมให้การสนับสนุนบริษัท ไอเอ็นจี กรุ๊ป เข้ามาเป็นพันธมิตรรายใหม่ เพราะจะทำให้ธนาคารมีฐานะแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต และจะทำให้ราคาหุ้นในตลาดดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน

ในการประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 27 พ.ย. นี้ จะขอผู้ถือหุ้นอนุมัติการเพิ่มทุน 3.5 หมื่นล้านบาท และให้ไอเอ็นจี กรุ๊ป เข้ามาถือหุ้น 25.2% ในราคาหุ้นละ 1.60 บาท และคาดว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะทุกรายรู้ถึงความจำเป็นในการมีพันธมิตรรายใหม่อย่าง ไอเอ็นจี กรุ๊ป ที่จะสร้างความแข็งแกร่งของธนาคาร นายอารีพงศ์ กล่าว

นายอารีพงศ์ กล่าวอีกว่า ไอเอ็นจี กรุ๊ป มีความเชี่ยวชาญ ด้านการบริหารความเสี่ยงด้านการเงินและด้านสินเชื่อเพื่อการบริโภค ซึ่งจะเสริมการดำเนินกิจการของทหารไทยให้พลิกฟื้นกลับมาเป็นชั้นนำของประเทศ โดยหลังจากเพิ่มทุนธนาคารจะมีการปรับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ การวางตัวผู้บริหารให้เหมาะสมกับแผนงานใหม่

ทั้งนี้ หลังการเพิ่มทุน ไอเอ็นจี กรุ๊ป จะส่งคนเข้ามาเป็นคณะกรรมการในธนาคารทหารไทยจำนวน 3 คน เท่ากับสัดส่วนกรรมการของกระทรวงการคลัง ส่วนการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารขึ้นอยู่กับคณะกรรมการของธนาคารหลังการเพิ่มทุน

นายอารีพงศ์ กล่าวว่า กระทรวงการคลังมีความพร้อมที่จะบริหารการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ถืออยู่ เพื่อหาเงินไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารทหารไทย แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปรายชื่อหุ้นที่จะขายได้ เนื่องจากจะมีผลกระทบกับหุ้นของบริษัท หรือรัฐวิสาหกิจ ที่จะถูกขาย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203448

news14/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 14, 2007 1:45 pm
โดย chartchai madman
ปีหน้ารับมือดอกเบี้ยขึ้น

โพสต์ทูเดย์ ธปท.ดับฝันผู้บริโภค ยันภาคธุรกิจส่งสัญญาณไม่ลดดอกเบี้ยในปีหน้า ย้ำหลังเลือกตั้งเศรษฐกิจฟื้น


นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเชื่อว่ายังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกแล้ว และความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจขณะนี้มีน้อยลง เพราะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะสูงขึ้น

ภายหลังการเลือกตั้ง เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนมากกว่าขณะนี้ ที่ประชาชนยังระมัดระวังการใช้จ่าย และเอกชนไม่กล้าลงทุน นางธาริษา กล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประชุมครั้งสุดท้ายวันที่ 4 ธ.ค. นี้ โดยขณะนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) 1 วัน อยู่ที่ระดับ 3.25%

สำหรับการที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้น นางธาริษา กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าไปแล้วกว่า 6.7% แต่ยังคงเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มค่าเงินในภูมิภาค โดยแข็งค่าน้อยกว่า 2 สกุลเงิน คือเงินรูปีของอินเดีย และเปโซฟิลิปปินส์ ซึ่งยังไม่ได้ส่งผลกระทบในทางลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า

นางธาริษา กล่าวว่า การส่งออกในปี 2551 หากพิจารณาตัวเลขส่งออกไปสหรัฐที่ติดลบไปประมาณ 3% อาจเกิดจากสหรัฐเริ่มซื้อของจากไทยน้อยลง แต่ส่วนหนึ่งเพราะการปรับตัวของภาคเอกชน ในการกลับกัน หากมองไปที่ตลาดแถบยุโรป หรือกลุ่มอียูเกิดใหม่ทั้งหลาย ปี 2550 มียอดส่งออกถึง 70% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเพิ่มขึ้นถึง 40% อินเดียก็เพิ่ม 60% เทียบกับปีที่แล้วเพิ่ม 18%

ทั้งนี้ หากมองถึงจำนวนโรงงานที่ประสบปัญหา แนวโน้มก็ลดลง โดยปี 2548 มีโรงงานปิดกิจการ 2.2 พันแห่ง ปี 2549 ปิด 2 พันแห่ง ส่วนปี 2550 ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาปิดกิจการไป 1.4 พันแห่ง ส่วนแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโรงงานที่ปิดกิจการไปก็มีจำนวนลดลงตามไปด้วย อย่างปี 2548 มีผู้ถูกเลิกจ้างจำนวน 6 หมื่นคน ส่วนปีนี้มีเลิกจ้างเพียง 3.4 หมื่นคนเท่านั้น ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจภาคเอกชนสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น

นางธาริษา กล่าวว่า สิ่งที่ต้องหันมาสนใจอย่างจริงจังคือ การขนส่ง หรือโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในภาวะที่น้ำมันแพง หากพึ่งพาการขนส่งที่ใช้น้ำมันอย่างเดียวจะมีปัญหาเรื่องต้นทุน นอกจากนั้นต้องลดการพึ่งพาตัวเลขการส่งออก แต่ต้องหันมาให้ความสนใจกับการอยู่ดีกินดีของประชาชน

สำหรับมาตรการคุมเข้มเรื่องธุรกรรมทางการเงินช่วงเลือกตั้ง นางธาริษา กล่าวว่า ในการเลือกตั้งทุกครั้ง ธปท.ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งให้ดูแลการเปิดบัญชี และการไหลของเงินที่ผิดปกติ และรายงาน ธปท. โดยเฉพาะยอดเงินที่เกิน 2 ล้านบาท หรือผิดสังเกต เช่น พฤติกรรมการแลกแบงก์ ซึ่งอาจมีแนวโน้มนำไปสู่การซื้อเสียงได้

นายเชาวน์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์จะมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในปีหน้า เช่นเดียวกับนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะทำให้การวิตกกังวลของการลงทุนลดลง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=203450