news17/10/07
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 17, 2007 7:49 pm
NPLกดหุ้นแบงก์ราคาซึมทั้งกลุ่มแนะรอจังหวะซื้อ
เอ็นพีแอลกดดันหุ้นกลุ่มแบงก์ ทำราคาทั้งกลุ่มโงหัวไม่ขึ้น สวนทางบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นสุดคึกคัก ไม่สนงบไตรมาส 3 ที่ออกมาดี ชี้แบงก์ขนาดกลาง-เล็ก มีโอกาสซึมต่อ ด้านโบรกเกอร์เชียร์ซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ทั้ง KBANK-SCB-BBL-BAY เตรียมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายยกก๊วน หลังราคาเริ่มเต็มมูลคาแล้ว
จากการตรวจสอบของ กระแสหุ้นรายวัน พบว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวสวนทิศทางของตลาดหุ้นที่กำลังคึกคัก โดยราคาหุ้นในกลุ่มส่วนใหญ่ทรงตัวถึงปรับลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เห็นได้จากเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 10.08 จุด แต่หุ้นแบงก์ส่วนใหญ่กลับไม่เคลื่อนไหว และวานนี้(16 ต.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นระหว่างวันสูงถึง 11 จุด มูลค่าซื้อขาย 3.4 หมื่นล้านบาท แต่หุ้นแบงก์ยังคงนิ่งสนิทหรือปรับตัวลดลงเหมือนเดิม
โดยราคาหุ้น KBANK (15 ต.ค.) ปิดที่ 85.50 ลดลง 0.50 บาท, SCB ปิดตลาดที่ 83.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BBL ปิดตลาดที่ 125 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BAY ปิดตลาดที่ 28.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท และ KTB ปิดที่ 11.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท และวานนี้ (16 ต.ค.50) KBANK ปิดที่ 84 บาท ลดลง 1.50 บาท, SCB ปิดตลาดที่ 82 บาท ลดลง 1 บาท, BBL ปิดตลาดที่ 122 ลดลง 3 บาท, BAY ปิดตลาดที่ 27 บาท ลดลง 1 บาท และ KTB ปิดที่ 11.40 บาท ลดลง 0.50 บาท
นักวิเคราะห์ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวถึงสาเหตุที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์วิ่งสวนทางกับดัชนีตลาดที่ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักว่า โดยภาพรวมทั้งกลุ่มอาจได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นของตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหุ้นที่มีขนาดกลางและเล็ก ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ราคาหุ้นซึมต่อไปอีก แม้ผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2550 จะประกาศออกมาก็ตาม ส่วนหุ้นขนาดใหญ่นั้นไม่มีปัญหาในประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด
ทั้งนี้ทางฝ่ายประเมินว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ยังเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนอยู่ แม้ว่าราคาหุ้นช่วงนี้จะไม่หวือหวาหรือมีเทรดบ้างแต่ราคาไม่ขยับ ซึ่งมองว่าเป็นช่วงของการรอให้มีการรายงานผลประกอบไตรมาส 3 ของปี 2550 โดยคาดว่าจะเติบโตตามการคาดการณ์ของโบรกเกอร์ที่คาดจะออกมาดี ประกอบกับก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้วช่วงนี้จึงชะลอตัว
ปัญหาเรื่อง NPL คงจะกระทบกับแบงก์ที่มีขนาดกลางและเล็กมากกว่าแบงก์ขนาดใหญ่ ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามคือผลประกอบการไตรมาส3 ปีนี้จะออกมาอยู่ในทิศทางเดียวกันกับที่หลายๆ โบรกฯประเมินว่าอยู่ในทิศทางที่ดี จากต้นทุนเงินฝากที่ลดลง ขณะเดียวกันสัดส่วนเงินฝากบัญชีออมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ แต่ประเด็นที่น่าจับตาคือกลุ่มนี้ว่าเมื่อมีการประกาศงบไตรมาส 3 ออกมาราคาหุ้นอาจจะปรับตัวลงเนื่องจากหมดข่าวดี นักวิเคราะห์กล่าว
สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนของกลุ่มนี้ คือ KBANK, SCB, BBLและ BAY อย่างไรก็ตามขณะนี้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ปรับตัวขึ้นมาเกินราคาเป้าหมายของปี 2550 แล้ว ซึ่งคาดว่าในอนาคตหุ้นกลุ่มแบงก์ทั้งกลุ่มคงจะมีการปรับราคาเป้าหมายขึ้นใหม่อีกครั้ง
ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด กล่าวถึงสาเหตุที่บรรยากาศการซื้อขายหุ้นกลุ่มแบงก์ช่วงนี้ไม่หวือหวาเพราะเป็นช่วงของการรอประกาศงบการเงินไตรมาส 3 ขณะที่ NPL ยังเป็นตัวกดดันทั้งกลุ่ม เพราะมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากมีความกังวลว่าปัญหาซับไพร์มจะกระทบกับงบการเงินไตรมาส 3 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากที่ก่อนหน้านี้ยังไม่กระทบ ดังนั้นในระยะสั้นทางฝ่ายจึงแนะนำหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ราคาหุ้นบางตัวได้เต็มมูลค่าแล้ว โดยประเมินว่า KBANK โดดเด่นสุดในกลุ่ม
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
เอ็นพีแอลกดดันหุ้นกลุ่มแบงก์ ทำราคาทั้งกลุ่มโงหัวไม่ขึ้น สวนทางบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นสุดคึกคัก ไม่สนงบไตรมาส 3 ที่ออกมาดี ชี้แบงก์ขนาดกลาง-เล็ก มีโอกาสซึมต่อ ด้านโบรกเกอร์เชียร์ซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ทั้ง KBANK-SCB-BBL-BAY เตรียมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายยกก๊วน หลังราคาเริ่มเต็มมูลคาแล้ว
จากการตรวจสอบของ กระแสหุ้นรายวัน พบว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวสวนทิศทางของตลาดหุ้นที่กำลังคึกคัก โดยราคาหุ้นในกลุ่มส่วนใหญ่ทรงตัวถึงปรับลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เห็นได้จากเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 10.08 จุด แต่หุ้นแบงก์ส่วนใหญ่กลับไม่เคลื่อนไหว และวานนี้(16 ต.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นระหว่างวันสูงถึง 11 จุด มูลค่าซื้อขาย 3.4 หมื่นล้านบาท แต่หุ้นแบงก์ยังคงนิ่งสนิทหรือปรับตัวลดลงเหมือนเดิม
โดยราคาหุ้น KBANK (15 ต.ค.) ปิดที่ 85.50 ลดลง 0.50 บาท, SCB ปิดตลาดที่ 83.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BBL ปิดตลาดที่ 125 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, BAY ปิดตลาดที่ 28.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท และ KTB ปิดที่ 11.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท และวานนี้ (16 ต.ค.50) KBANK ปิดที่ 84 บาท ลดลง 1.50 บาท, SCB ปิดตลาดที่ 82 บาท ลดลง 1 บาท, BBL ปิดตลาดที่ 122 ลดลง 3 บาท, BAY ปิดตลาดที่ 27 บาท ลดลง 1 บาท และ KTB ปิดที่ 11.40 บาท ลดลง 0.50 บาท
นักวิเคราะห์ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวถึงสาเหตุที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์วิ่งสวนทางกับดัชนีตลาดที่ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักว่า โดยภาพรวมทั้งกลุ่มอาจได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นของตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหุ้นที่มีขนาดกลางและเล็ก ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ราคาหุ้นซึมต่อไปอีก แม้ผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2550 จะประกาศออกมาก็ตาม ส่วนหุ้นขนาดใหญ่นั้นไม่มีปัญหาในประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด
ทั้งนี้ทางฝ่ายประเมินว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ยังเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนอยู่ แม้ว่าราคาหุ้นช่วงนี้จะไม่หวือหวาหรือมีเทรดบ้างแต่ราคาไม่ขยับ ซึ่งมองว่าเป็นช่วงของการรอให้มีการรายงานผลประกอบไตรมาส 3 ของปี 2550 โดยคาดว่าจะเติบโตตามการคาดการณ์ของโบรกเกอร์ที่คาดจะออกมาดี ประกอบกับก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้วช่วงนี้จึงชะลอตัว
ปัญหาเรื่อง NPL คงจะกระทบกับแบงก์ที่มีขนาดกลางและเล็กมากกว่าแบงก์ขนาดใหญ่ ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามคือผลประกอบการไตรมาส3 ปีนี้จะออกมาอยู่ในทิศทางเดียวกันกับที่หลายๆ โบรกฯประเมินว่าอยู่ในทิศทางที่ดี จากต้นทุนเงินฝากที่ลดลง ขณะเดียวกันสัดส่วนเงินฝากบัญชีออมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ แต่ประเด็นที่น่าจับตาคือกลุ่มนี้ว่าเมื่อมีการประกาศงบไตรมาส 3 ออกมาราคาหุ้นอาจจะปรับตัวลงเนื่องจากหมดข่าวดี นักวิเคราะห์กล่าว
สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนของกลุ่มนี้ คือ KBANK, SCB, BBLและ BAY อย่างไรก็ตามขณะนี้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ปรับตัวขึ้นมาเกินราคาเป้าหมายของปี 2550 แล้ว ซึ่งคาดว่าในอนาคตหุ้นกลุ่มแบงก์ทั้งกลุ่มคงจะมีการปรับราคาเป้าหมายขึ้นใหม่อีกครั้ง
ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด กล่าวถึงสาเหตุที่บรรยากาศการซื้อขายหุ้นกลุ่มแบงก์ช่วงนี้ไม่หวือหวาเพราะเป็นช่วงของการรอประกาศงบการเงินไตรมาส 3 ขณะที่ NPL ยังเป็นตัวกดดันทั้งกลุ่ม เพราะมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากมีความกังวลว่าปัญหาซับไพร์มจะกระทบกับงบการเงินไตรมาส 3 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากที่ก่อนหน้านี้ยังไม่กระทบ ดังนั้นในระยะสั้นทางฝ่ายจึงแนะนำหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ราคาหุ้นบางตัวได้เต็มมูลค่าแล้ว โดยประเมินว่า KBANK โดดเด่นสุดในกลุ่ม
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16