หน้า 8 จากทั้งหมด 11

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 14, 2006 9:20 am
โดย สุมาอี้
ตอนนี้มีขายแล้วที่ร้านหนังสือจุฬาฯ ส่วนร้านซีเอ็ดคงต้องรออีกสักพักครับ

หรือมิฉะนั้นก็สั่งกับผมโดยตรงครับ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 14, 2006 2:47 pm
โดย charun
ได้รับหนังสือแล้วครับ ขอบคุณมาก ผมสอบถามเพิ่มเติมดังนี้ครับ
หน้าที่ 181 ข้อ4 นักลงทุนควรลงทุนที่ราคาตำกว่ามูลค่าที่วัดได้พอสมควร อันนี้เข้าใจครับ
ข้อ5 ถ้านักลงทุนใช้ความละเอียดรอบคอบในการวัดมูลค่าหุ้นแล้วพบว่า มูลค่าหุ้นที่วัดได้ราคาตำกว่าในกระดานเป็นอย่างมาก นักลงทุนก็ควรมีความมั่นใจที่จะลงทุนในหุ้นนั้น ขอคำอธิบายเพิ่มเติมครับ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 14, 2006 10:11 pm
โดย pipo
อ่านได้ครึ่งเล่มแล้วครับ มีประโยชน์มาก
ขอบคุณครับที่ทำหนังสือดีๆอย่างนี้ออกมา

ผมมีข้อสงสัยขอรบกวนถามพี่สุมาอี้ครับ
ถ้าในปีนั้นบริษัทได้ใช้เงินซื้อทรัพย์สินถาวรเป็นเงินจำนวนมาก
จนค่า FCF ที่คิดได้มีค่า ติดลบ ( จาก CAPEX ที่มีมาก ) เราจะทำอย่างไรใกรหามูลค่ากิจการครับ :?:
ขอบคุณครับ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 14, 2006 10:16 pm
โดย สุมาอี้
charun เขียน:ได้รับหนังสือแล้วครับ ขอบคุณมาก ผมสอบถามเพิ่มเติมดังนี้ครับ
หน้าที่ 181 ข้อ4 นักลงทุนควรลงทุนที่ราคาตำกว่ามูลค่าที่วัดได้พอสมควร อันนี้เข้าใจครับ
ข้อ5 ถ้านักลงทุนใช้ความละเอียดรอบคอบในการวัดมูลค่าหุ้นแล้วพบว่า มูลค่าหุ้นที่วัดได้ราคาตำกว่าในกระดานเป็นอย่างมาก นักลงทุนก็ควรมีความมั่นใจที่จะลงทุนในหุ้นนั้น ขอคำอธิบายเพิ่มเติมครับ
ต้องเป็นสูงครับ ผมเขียนผิด ขอบคุณที่ทักท้วงมา

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 14, 2006 10:18 pm
โดย สุมาอี้
pipo เขียน: ผมมีข้อสงสัยขอรบกวนถามพี่สุมาอี้ครับ
ถ้าในปีนั้นบริษัทได้ใช้เงินซื้อทรัพย์สินถาวรเป็นเงินจำนวนมาก
จนค่า FCF ที่คิดได้มีค่า ติดลบ ( จาก CAPEX ที่มีมาก ) เราจะทำอย่างไรใกรหามูลค่ากิจการครับ :?:
ขอบคุณครับ
pipo เขียน:อ่านได้ครึ่งเล่มแล้วครับ มีประโยชน์มาก
ขอบคุณครับที่ทำหนังสือดีๆอย่างนี้ออกมา

ไม่ควรเอา FCF ของปีปัจจุบันมาโปรเจ็คให้โตขึ้นด้วย g แต่
ควรจะเริ่มด้วยการเอา NOPAT+D&A ของปีปัจจุบันมาโปรเจ็คให้โตขึ้นด้วย g ก่อนแล้วค่อยเอา CAPEX ที่คาดแต่ละปีมาลบออกเป็นปีๆ ไป จะเหลือเป็น FCF ของแต่ละปี ดังจะเห็นได้จากตัวอย่าง PTTEP ซึ่งปีแรกๆ FCF เป็นลบ แต่หลังจากนั้นก็เป็นบวกได้

แจ้งชำระเงินเพื่อสั่งซื้อหนังสือครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 15, 2006 1:55 pm
โดย siamkom
ผมได้โอนเงินเข้าบัญชี ไทยพานิชย์ เรียบร้อยแล้วนะครับ
พร้อมทั้งส่งเมล์ไปที่ [email protected] แล้วนะครับ
คมศักดิ์

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 15, 2006 4:12 pm
โดย Eak71
ผมก็ยังไม่ได้รับหนังสือเลยครับ โอนไปตั้งแต่วันที่ 7 สค. เเล้วครับ  :(   :(

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 16, 2006 8:40 pm
โดย hongvalue
1.หน้า 178 อยากให้ขยายความว่าทำไมอัตราการติบโต 2.5% roe 10% pe ควรเป็น 10.8 อยากทราบที่มาของงแนวคิดนี้

2.ตัว g ในหน้า 117 คือ g = rr*roc  ตัวผมเคยไปเรียนการคำนวณมูลค่าหุ้นที่ tsi มาเค้าบอกว่าให้ใช้ rr*roe อยากถามว่าทำไมสูตรนี้ถึงเป็น roc ไม่ใช่ roe มีที่มาอย่างไร

3.roa ที่เคยอ่านเจอคือ กำไรสุทธิ / สินทรัพย์รวม ทำไม roa ในหนังสือถึงเป็น nopat /operting aseet

4. wacc คือต้นทุนเงินทุนของ บ.ล. ทำไม wacc ไม่เท่ากับ 100 % เพราะ asset = liability + equity ทำไมสูตร wacc มีทั้งหนี้และทุนทำไมออกมาแค่ 8.25%

5.การสอบถามงบการลงทุนจากเจ้าของ ถ้าไม่ได้ไปประชุมผู้ถือหุ้นจะทำได้อย่างไรบ้าง

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 16, 2006 9:02 pm
โดย สุมาอี้
hongvalue เขียน:1.หน้า 178 อยากให้ขยายความว่าทำไมอัตราการติบโต 2.5% roe 10% pe ควรเป็น 10.8 อยากทราบที่มาของงแนวคิดนี้
ผมลองทำ DCF โดยใช้สมมติฐานเหล่านี้ออกมาทีละค่าแล้วเอามูลค่าที่ได้มาหาด้วยกำไรดู (อันนี้เป็นแค่พีอีที่เหมาะสม"โดยประมาณ"สำหรับคนที่ชอบใช้พีอีนะครับ )
hongvalue เขียน: 2.ตัว g ในหน้า 117 คือ g = rr*roc

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 17, 2006 12:41 pm
โดย Oh+
คุณสุมาอี้ ผมได้รับหนังสือแล้วครับ รวดเร็วดีจริง ๆ ได้รับวันเดียวกับของรางวัลที่ผมส่งไปแลกจากกระดาษทิชชูยี่ห้อหนึ่งเมื่อสองเดือนที่แล้วเลย  :D

งง ๆ กับไปรษณีย์ไทยจังเลย

ปล. ช่วงนี้ยังไม่มีเวลาอ่านเลยครับ รอเสร็จงานสิ้นเดือนนี้จะอ่านแล้วเก็บคำถามมาถามน่ะครับ  :D

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 17, 2006 2:13 pm
โดย hongvalue
ขอโทษครับ เรียบเรียงคำถามไม่ดีเอง

ถามอย่างนี้แทนดีกว่าครับ สมมุติว่า ต้นทุนเงินทุนของผู้ถือหุ้น = 5% ผมก็ไม่ควรจะซื้อหุ้นเพราะว่า เอาไปฝากแบงค์ดีกว่า ไม่เสี่ยงได้ผลตอบแทนเท่ากัน
ใช่ไหมครับ

แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น wacc ค่าที่ได้ก็จะบอกว่า เราควรคาดหวังให้มากกว่า % wacc ใช่หรือไม่ ตัวเลขที่ได้ไม่ควรน้อยกว่า roa roe ใช่หรือไม่

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 17, 2006 2:39 pm
โดย hongvalue
อยากถามว่าที่เขียนว่าเคยสอบผ่าน cfa เนี้ยครับ ข้อสอบเป็นข้อเขียน หรือว่า ช็อย และ เป็นภาษาอังกฤษหมดใช่หรือไม่ และการสอบผ่าน นำไปใช้ประโยชน์อะไรในชีวิตจริงได้บ้างครับ


และอยากถามว่าที่คุณสุมาอี้สามารถประยุกต์มาใช้ สร้างสมมุติฐาน เหตุการณ์นั้นเหตุการณ์นี้ได้ ผ่านการเรียนอะไรมาเหรอครับ แบบว่า ไปอบรม cisa cfa ช่วยได้ไหม หรือว่าประยุกต์จากบทวิเคราห์สำนักต่างๆ เพราะผมอยากเข้าใจถึงแก่น เพื่อทำให้ได้บ้างอย่างในหนังสือ จะไปศึกษาเพิ่มเติมที่ไหนดีครับ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 17, 2006 2:56 pm
โดย สุมาอี้
hongvalue เขียน:ขอโทษครับ เรียบเรียงคำถามไม่ดีเอง

ถามอย่างนี้แทนดีกว่าครับ สมมุติว่า ต้นทุนเงินทุนของผู้ถือหุ้น = 5% ผมก็ไม่ควรจะซื้อหุ้นเพราะว่า เอาไปฝากแบงค์ดีกว่า ไม่เสี่ยงได้ผลตอบแทนเท่ากัน
ใช่ไหมครับ

แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น wacc ค่าที่ได้ก็จะบอกว่า เราควรคาดหวังให้มากกว่า % wacc ใช่หรือไม่ ตัวเลขที่ได้ไม่ควรน้อยกว่า roa roe ใช่หรือไม่
ต้นทุนของเงินทุน (cost of capital) นี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ บ้างก็เรียก Expected return บ้างก็เรียก Required rate of return แต่ผมชอบคำว่า Required rate of return มากกว่าเพราะสื่อความหมายได้ถูกต้องกว่า

บางคนเห็นคำว่า Expected Return ก็เข้าใจว่า ถ้า cost of capital 15% แสดงว่ามันจะให้ผลตอบแทนเรา 15% ดังนั้นพอเห็น cost of capital สูงๆ ก็จะรีบกระโจนเข้าใส่ แต่ที่จริงแล้วเวลาเห็น cost of capital 15% ให้หมายถึง การลงทุนนี้เสี่ยงมากนะ เสี่ยงมากขนาดที่ ถ้าได้ผลตอบแทนไม่ถึง 15% ก็อย่าไปทำมันเลย มันได้ไม่คุ้มเสีย

เช่นนี้คำว่า Required of return จึงเป็นคำที่สื่อความหมายได้ดีกว่าคำว่า expected return เพราะตัวเลขนี้ยิ่งมากแปลว่ายิ่งเสี่ยงมากครับ

ถ้า ต้นทุนเงินทุนของผู้ถือหุ้น = 5% ไม่ได้แปลว่าบริษัทนี้ให้ผลตอบแทนน้อยเกินไปแต่แปลว่าธุรกิจนี้มีความเสี่ยงในระดับที่น้อยมาก น้อยพอๆ กับ พันธบัตรเลยทีเดียว

ทีนี้ถ้าใช้ ke 5% ทำ DCF ออกมาแล้วได้ค่าต่ำกว่าราคาหุ้นในตลาด ก็แสดงว่าธุรกิจนี้นอกจากจะเสี่ยงน้อยมากแล้วการซื้อหุ้นของธุรกิจนี้ยังเป็นการลงทุนที่ "ได้คุ้มเสีย" อีกด้วย

ต้องมีมุมองอย่างนี้ครับ (ลึกไปป่าวเนี่ย  :roll: )

ส่วน wacc นั้น ปกติแล้ว wacc จะต่ำกว่า ต้นทุนทางการเงินของผู้ถือหุ้น เสมอถ้าธุรกิจนั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่บริษัทกู้มาครับ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 17, 2006 3:04 pm
โดย สุมาอี้
hongvalue เขียน:อยากถามว่าที่เขียนว่าเคยสอบผ่าน cfa เนี้ยครับ ข้อสอบเป็นข้อเขียน หรือว่า ช็อย และ เป็นภาษาอังกฤษหมดใช่หรือไม่ และการสอบผ่าน นำไปใช้ประโยชน์อะไรในชีวิตจริงได้บ้างครับ


และอยากถามว่าที่คุณสุมาอี้สามารถประยุกต์มาใช้ สร้างสมมุติฐาน เหตุการณ์นั้นเหตุการณ์นี้ได้ ผ่านการเรียนอะไรมาเหรอครับ แบบว่า ไปอบรม cisa cfa ช่วยได้ไหม หรือว่าประยุกต์จากบทวิเคราห์สำนักต่างๆ เพราะผมอยากเข้าใจถึงแก่น เพื่อทำให้ได้บ้างอย่างในหนังสือ จะไปศึกษาเพิ่มเติมที่ไหนดีครับ
CFA Level 1 เป็นปรนัยล้วนๆ เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าต้องการสอบภาษาไทย ไปสอบ CISA 1 แทนก็ได้ เนื้อหาคล้ายกันมาก ถ้าทำอาชีพสายนี้ก็ควรสอบครับ มีประโยชน์ต่อหน้าที่การงาน แต่ถ้าไม่ได้ทำอาชีพนี้แล้วมีเวลาว่าง อยากหาความรู้เพิ่มเติม ผมว่าก็ดีครับ เพราะเนื้อหาไม่ได้ถึงกับ brainwashed มาก มีหลายอย่างที่ดีครับ

เรื่องการสร้างสมมติฐานก่อนจะนำมาวัดมูลค่าหุ้นนั้น เป็นเรื่องที่ในหนังสือของผมไม่ได้กล่าวถึงเลย แต่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าสร้างสมมติฐานไม่เก่ง ผิดความจริงไปมาก แม้จะวัดมูลค่าหุ้นเก่ง ก็จะได้คำตอบที่แย่ๆ ออกมา ฝรั่งเรียก "Garbage in, Garbage out" ครับ เหอๆ

เรื่องวิธีการสมมติฐานนี้ไม่รู้จะเขียนตำราขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับบริษัทจนหมด ภาพเกี่ยวกับบริษัทในอนาคตมันก็จะเริ่มเข้าเค้าเอง

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 18, 2006 2:01 am
โดย Kao
hongvalue เขียน: 4. wacc คือต้นทุนเงินทุนของ บ.ล. ทำไม wacc ไม่เท่ากับ 100 % เพราะ asset = liability + equity ทำไมสูตร wacc มีทั้งหนี้และทุนทำไมออกมาแค่ 8.25%
ต้นทุนเงินทุน น่าจะหมายความว่า บริษัทมีต้นทุนในการระดมทุน100บาท เท่ากับ8.25บาท

เช่น ระดมทุนจากผู้ถือหุ้น60บาท กู้จากเจ้าหนี้40บาท บริษัทได้เงินทุนรวม100บาท มาลงทุนในสินทรัพย์ โดยบริษัทต้องจ่ายผลตอบแทนให้เจ้าหนี้และผู้ถือหุ้น(ต้นทุนเงินทุน)รวม8.25บาท ต่อปี

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 18, 2006 11:34 am
โดย apichai214
ไปซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬามาอ่านแล้วครับ อธิบายเข้าใจง่ายดีครับ

ได้รับหนังสือแล้วครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 18, 2006 1:58 pm
โดย siamkom
คุณสุมาอี้ครับ
  ผมได้รับหนังสือแล้วครับ แล้วก็เกินมาให้ผมหนึ่งเล่มด้วย
  จะให้ผมส่งกลับไปทางไหน เมล์บอกกลับด้วยครับ (ผมเมล์ไปถามเมื่อเช้าแล้วรอบหนึง)
คมศักดิ์

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 19, 2006 7:15 am
โดย oatty
สั่งซื้อออนไลน์จากศูนย์หนังสือจุฬาฯ ครับ สั่งวันพฤหัสฯ ส่งวันศุกร์บ่าย เก็บเงินปลายทางได้ด้วย เฉพาะเขตกรุงเทพฯ นะครับ บริการดีจริง ๆ

ซีเอ็ด ไม่รู้ว่ามีบริการแบบนี้มั่งหรือเปล่า

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 19, 2006 10:08 am
โดย conan_kung
เมื่อวานนี้ เพิ่งไปซื้อหนังสือของคุณสุมาอี้ที่ซีเอ็ดสาขา Lotus อ่อนนุชครับ

รูปเล่มเหมาะมือมากครับ ตัวหนังสือใหญ่และอ่านง่าย ได้ความรู้ดีครับ

ผมสังเกตุว่าตัววรรณยุกต์ภาษาไทยในหนังสือจะลอยๆ ชอบกล ในกรณีที่ไม่มีสระอยู่ด้วยครับ เช่น คำว่า ก่ ตัวไม้เอกจะลอยครับ คงเป็นเพราะโปรแกรมที่ใช้นะครับ

ขอให้ขายดีๆ นะครับ   :D

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 19, 2006 6:57 pm
โดย สุมาอี้
conan_kung เขียน: ผมสังเกตุว่าตัววรรณยุกต์ภาษาไทยในหนังสือจะลอยๆ ชอบกล ในกรณีที่ไม่มีสระอยู่ด้วยครับ เช่น คำว่า ก่ ตัวไม้เอกจะลอยครับ คงเป็นเพราะโปรแกรมที่ใช้นะครับ
ช่างสังเกตมากครับ นี่คือปัญหาสระลอยของโปรแกรม PageMaker ต้องมีโปรแกรมสำหรับการแก้สระลอย ซึ่งจะออกเวอร์ชั่นใหม่แต่ยังไม่ออกสักที บริษัทเข้าบอกว่าถ้าออกเวอร์ชั่นใหม่ก็ต้องซื้อใหม่อีกรอบ ผมเลยไม่อยากซื้อแล้วซื้ออีก ตอนหลังเห็นเวบไซต์บริษัทหายไปแล้วด้วย ไม่รู้ว่าบริษัทยังอยู่หรือเปล่า เหอๆ

วันนี้ไปสำรวจมาเห็นที่สาขามาบุญครองและสยามเซ็นเตอร์แล้วด้วยครับ  :D

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 19, 2006 11:38 pm
โดย ตาหมูอ้วน.
วันศุกร์ไป se-ed เห็นว่ามีวางขายที่นั้นแล้วนะครับ แต่วันนี้ไปที่ B2S ยังไม่มีขายเลย ช้าจัง

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 19, 2006 11:49 pm
โดย conan_kung
สุมาอี้ เขียน: ช่างสังเกตมากครับ นี่คือปัญหาสระลอยของโปรแกรม PageMaker ต้องมีโปรแกรมสำหรับการแก้สระลอย ซึ่งจะออกเวอร์ชั่นใหม่แต่ยังไม่ออกสักที บริษัทเข้าบอกว่าถ้าออกเวอร์ชั่นใหม่ก็ต้องซื้อใหม่อีกรอบ ผมเลยไม่อยากซื้อแล้วซื้ออีก ตอนหลังเห็นเวบไซต์บริษัทหายไปแล้วด้วย ไม่รู้ว่าบริษัทยังอยู่หรือเปล่า เหอๆ
ใช่ครับ PageMaker ไม่มีเวอร์ชันภาษาไทย คงต้องรอให้ Adobe ทำภาษาไทยออกมาครับ ส่วนบริษัทที่ทำโปรแกรมแก้สระลอยสำหรับ PageMaker ได้ยินว่า เขาไม่ได้พัฒนาต่อแล้วครับ   :cry:

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 12:13 am
โดย hongvalue
อยากถามพี่สุมาอี้ว่าอ่านหนังสือวันละประมาณกี่ชั่วโมงเหรอครับ ทำไมความรู้ถึงได้ลึกแล้วก็ละเอียดอย่างนี้ และอ่านหนังสือแนวไหนบ้างเหรอครับ ผมเองอ่านหนังสือวันละ 4 ชั่วโมงยังรู้สึกว่าความรู้ยังสู้อะไรกับคนในเว็บนี้ไม่ได้เลย กำลังพยายามอยู่ ไม่รู้เมื่อไหร่ถึงจะเป็นผู้ทรงภูมิกับเขาบ้าง

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 12:19 am
โดย hongvalue
ผมสังเกตุว่าพวกคนเก่งๆ จะชอบอ่าน text ของต่างประเทศ อย่างคุณวิศิษฐ์ ก็มี หนังสือที่บ้านเป็นพันๆเล่มได้มั้ง (เขาเคยบอกผมว่า หนังสือที่บ้านเขารวมแล้วมูลค่า 4-5 ล้าน) เป็นของต่างประเทศเกือบหมด พี่สุมาอี้คิดว่าคนที่ไม่อ่าน ตำราของต่างประเทศบ้างจะไม่โลกกว้างพอหรือป่าวครับ และรู้สึกว่าสถิติดีๆ ข้อมูลดีๆ ก็จะมาจากของต่างประเทศซะเป็นส่วนใหญ่ และถ้าจำเป็นต้องอ่านจริงสำหรับคนที่ ยังไม่เก่งอังกฤษมากควรเริ่มต้นอย่างไงดีครับ ซื้อมันมาอ่านเล่มแรกๆ แล้วก็หาศัพท์ไปเรื่อยๆ อีกหน่อยก็เข้าใจเอง อะไรประมาณนั้นไหมครับ อยากถามความเห็นน่ะครับ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 12:24 am
โดย สุมาอี้
ถ้าอ่านวันละ 4 ชมตั้งแต่อายุแค่นี้อีกหน่อยต้องเก่งแน่นอนครับ รับรอง

ปีๆ หนึ่งผมหมดเงินไปกับ Amazon.com ไม่น้อย เด๋วนี้ผมอ่านหนังสือน้อยลง อาศัยอ่านตามเวบเอา อิอิ

ผมว่าน้อง hongvalue ได้เปรียบคนส่วนใหญ่ในเวบนี้นะครับ เพราะอายุยังไม่ถึง 20 เลย จะมีระยะเวลาสะสมทุนที่ยาวมาก คนสองคนที่ฝีมือเท่ากัน คนหนึ่งเล่น 20 ปี อีกคนเล่น 30 ปี จะได้ผลที่แตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 12:31 am
โดย สุมาอี้
หนังสือผมไม่ถึงพันเล่มแน่นอนครับ น่าจะสักร้อยเล่มได้ ผมชอบอ่านเล่มเดิมซ้ำๆ น่ะครับ เคยเห็นกองหนังสือของท่าน ว.วชิรเมธี แล้วตกใจ น่าจะหนักหลายตันอยู่

ถ้าอ่านภาษาอังกฤษคล่องจะเปิดโลกทัศน์เป็นอย่างมากครับ เพราะหนังสือส่วนใหญ่ในโลกนี้เคยแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วทั้งนั้น เปิด dic ไปเรื่อยๆ เด๋วก็คล่องไปเอง ภาษาอังกฤษยังไงก็สำคัญ ผมว่าไม่ว่าเรียนจบมาทางไหนสุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ กับ ภาษาอังกฤษ  :)

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 1:40 pm
โดย hongvalue
จริงๆตอนนี้ 20 แล้วครับ พี่สุมาอี้ครับ ผมอ่านหนังสือของ warren buffet เขาชอบเน้นว่าทำอะไรที่ง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อน ทฤษฏีพวก beta อะไรพวกเนี้ยไม่จำเป็นต้องรู้ (หนังสือตามรอย วอเร็น บัฟเฟตต์)หน้า 16 แล้วผมก็อ่านหนังสือของพี่สุมาอี้ เรื่องการวัดมูลค่าหุ้น ก็รู้สึกว่า มันจำเป็นระดับนึง เพราะจะได้รู้ว่า มันแพงกว่าที่ควรจะซื้อไหม ราคาที่ซื้อควรต่ำกว่าราคาที่ประเมินได้ มันจะดูแย้งกันไหมครับว่า


การใช้ทฤษฏ๊ dcf มีความซับซ้อน(สำหรับมือใหม่) เริ่มออกนอกประเด็นการเน้นมูลค่าระยะยาว เพราะว่าถ้ากิจการราคาเกินมูลค่าขึ้นไปชั่วคราว คนที่ใช้ทฤษฏี finance ก็จะขายหุ้นออกมา แต่ warren จะไม่ค่อยขายเพราะว่าเขาไม่ค่อยได้สนใจราคาหุ้นอยู่แล้ว เขาสนใจกำไรและเงินสด มากกว่าราคาหุ้นที่วิ่งให้เห็น

ผมเลยสับสนนิดๆว่าการลงทุนแนว vi เนี้ย จำเป็นต้องใช้ finance เกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหนครับ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 7:07 pm
โดย สุมาอี้
classical finance theory เรื่อง NPV นี่เข้ากันได้กับ vi แน่นอนครับ NPV เป็นรากฐานของ DCF นั้นแหละ บัฟเฟตก็ใช้ DCF เพียงแต่มีเทคนิคเฉพาะตัว

ที่เข้ากับ vi ไม่ได้คือ modern finance theory (ตั้งแต่ยุคของ Harry Markovitz เรื่อยมา) คือ CAPM, beta, EMH, portfolio insurance, etc.

ถ้าจะเอาอย่างบัฟเฟตก็ใช้ DCF นั้นแหละครับ แต่เวลาหา cost of capital ก็อย่าใช้ beta แต่ใช้ long-term investment grade corporate bond yield ไปเลย แล้วซื้อให้มี margin of safety เพื่อชดเชย risk premium ที่หายไป นี่เป็นวิธีที่บัฟเฟตใช้ครับ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 7:57 pm
โดย thawattt
ได้อ่านหนังสือของคุณสุมาอื้แล้ว อ่านแล้วเข้าใจการประเมินหุ้นด้วยตนเองมากขึ้นครับ

ผมมีคำถามหน่อยนะครับ

ในหนังสือที่ยกตัวอย่างนั้น จะเป็นหุ้นที่มีผลกำไร หรือมีปันผล แต่หากเราอยากจะลงทุนในหุ้นบางประเภท เช่นหุ้นสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งเป็นหุ้นที่ในระยะแรกของการลงทุนมักจะขาดทุนเพราะต้องลงทุนในการวางโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก แต่รายได้ยังเข้ามาไม่มากพอ ต้องอาศัยระยะเวลาหลายปีจึงจะเริ่มคืนทุน และสร้างผลกำไรในอนาคต เช่น หุ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน หุ้นโทรศัพท์ หุ้นดาวเทียม เป็นต้น

ในการประเมินมูลค่าหุ้นเหล่านี้ในการลงทุนนั้น คุณสุมาอื้มีแนวทางหรือตัวอย่างในการประเมินหุ้นเหล่านี้ได้หรือไม่ครับว่าควรจะประเมินมูลค่าหุ้นอย่างไรครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ

"วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง" โดย "สุมาอี้&quo

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 8:42 pm
โดย สุมาอี้
ตัวอย่างของปตท.สผ.ในหนังสือก็มีการลงทุนอย่างหนักทำให้ FCF ในปีแรกถึงขั้นติดลบ วิธีการวัดมูลค่าหุ้นแบบนี้ก็คือต้องประเมิน NOPAT กับ CAPEX แยกกันก่อน จากนั้นแล้วค่อยนำทั้งสองส่วนมารวมกันเป็น FCF ห้ามใช้ FCF ปีปัจจุบันมาคูณ 1+g ไปเรื่อยๆ เป็นอันขาด

ถ้าเป็นกฟผ.นั้น เขาระบุชัดเลยว่าการลงทุนในโรงไฟฟ้าจะต้องให้ผลตอบแทน 8% ต่อปี ถ้าเรามีตัวเลขแบบนี้ด้วยจะทำให้การประเมินยิ่งง่ายขึ้น ก็คือใช้สูตร FCF=(1-g/ROC)xNOPAT เหมือนในตัวอย่าง RATCH ได้เลยครับ