VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1831
ผมเรียนตามตรงนะ หุ้นที่จะลาก ถ้ามีเจ้าของที่ถือหุ้นใหญ่อยู่ เท่าที่ผมเคยศึกษามา ถ้าเจ้าของตัวจริง ไม่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เปิดไฟเขียวให้
เป็นเรา ๆ จะกล้าลากหรือครับ เราจะแน่ใจได้ไงว่า ลากไปแล้ว เค้าไม่ทิ้งหุ้นโครมใหญ่มาให้เรา ผมคิดว่าถ้าหุ้นขึ้นแรง ๆ แบบไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ผมว่ารายใหญ่ก็รายใหญ่เถอะครับ ไม่มีใครกล้าเสี่ยง ขนาดเสี่ยด้วยกันยังหลบกันเองไม่ทับเส้นกันเลย
ส่วนกรณีหุ้น PP ผมว่ามันก็ชัดเจนด้วยเหตุผล ใครจะเอาเงินเป็นร้อย ๆ ล้านมาซื้อหุ้น โดยที่ไม่คุยกันก่อนว่าบ.มีแผนจะทำอะไรบ้าง แล้วบางครั้งมันก็ดูขัด ๆ เพราะผถห.เดิมเค้าก็ยินดีจะซื้อหุ้นเพิ่มทุน แต่เหตุผลที่เอามาใช้อ้างก็คือ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจบ้าง บ.ขายหุ้นเพิ่มทุนลำบากบ้าง กรณีของคนที่ซื้อหุ้น PP ผมจะแน่ใจได้ไงว่าชื่อที่เห็นมันไม่ใช่นอมินี ของคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
บ้างก็เอาเสี่ยชื่อดังมาซื้อเพื่อเพิ่มความขลัง เสี่ยก็มักจะบอกว่า "ลงทุน" บ้าง ทำให้รายย่อยรู้สึกว่าเค้าไม่ทิ้งหุ้น แต่ในความเป็นจริง เราก็เห็นบ่อย ๆ ว่า เสี่ยเองก็หายแว๊บ แบบถือหุ้นไม่นานนัก
ผมว่าประเด็นพวกนี้ต้องลองไปอ่านดูใน The Night Watchman ที่เป็นข่าวดังเมื่อเร็ว ๆ นี้ครับ
เป็นเรา ๆ จะกล้าลากหรือครับ เราจะแน่ใจได้ไงว่า ลากไปแล้ว เค้าไม่ทิ้งหุ้นโครมใหญ่มาให้เรา ผมคิดว่าถ้าหุ้นขึ้นแรง ๆ แบบไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ผมว่ารายใหญ่ก็รายใหญ่เถอะครับ ไม่มีใครกล้าเสี่ยง ขนาดเสี่ยด้วยกันยังหลบกันเองไม่ทับเส้นกันเลย
ส่วนกรณีหุ้น PP ผมว่ามันก็ชัดเจนด้วยเหตุผล ใครจะเอาเงินเป็นร้อย ๆ ล้านมาซื้อหุ้น โดยที่ไม่คุยกันก่อนว่าบ.มีแผนจะทำอะไรบ้าง แล้วบางครั้งมันก็ดูขัด ๆ เพราะผถห.เดิมเค้าก็ยินดีจะซื้อหุ้นเพิ่มทุน แต่เหตุผลที่เอามาใช้อ้างก็คือ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจบ้าง บ.ขายหุ้นเพิ่มทุนลำบากบ้าง กรณีของคนที่ซื้อหุ้น PP ผมจะแน่ใจได้ไงว่าชื่อที่เห็นมันไม่ใช่นอมินี ของคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
บ้างก็เอาเสี่ยชื่อดังมาซื้อเพื่อเพิ่มความขลัง เสี่ยก็มักจะบอกว่า "ลงทุน" บ้าง ทำให้รายย่อยรู้สึกว่าเค้าไม่ทิ้งหุ้น แต่ในความเป็นจริง เราก็เห็นบ่อย ๆ ว่า เสี่ยเองก็หายแว๊บ แบบถือหุ้นไม่นานนัก
ผมว่าประเด็นพวกนี้ต้องลองไปอ่านดูใน The Night Watchman ที่เป็นข่าวดังเมื่อเร็ว ๆ นี้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1832
คุณดำพูดรวม ๆ ไม่ได้เอ่ยชื่อหุ้น ไม่ได้พูดถึงใคร คงยังไม่ต้องให้ผมไปส่งข้าวผัดกับโอเลี้ยงหรอกครับดำ เขียน: ตอนจะโพสต์เรื่องหุ้น "ใครบางคน" นี่ ผมพยายามเรียบเรียงให้ออกมาในแนววิชาการนะครับ ท่าน N.b อย่ามาฉุดให้ไขว้เขว ถ้าเกิดดวงแตกขึ้นมาโดนจับขังรวม ทีนี้ใครจะเป็นคนส่งข้าวผัดกับโอเลี้ยงล่ะครับ
เมื่อวานนั่งอ่านหนังสืออ.ชาย พูดถึงคำว่า "ไอ้โม่ง" มีแน่นอน 1,000,0000% 555
แต่ไอ้โม่งในความหมายของเค้าตีความได้สองแบบ
1) หุ้นมีปัจจัยพื้นฐาน คนแอบเก็บหุ้น (ไอ้โม่ง) อาจจะเป็นคนที่ประเมินแล้วรู้ว่า กำไรของหุ้นต้องโตขึ้น ราคาหุ้นไปแน่ แล้วทยอยเก็บหุ้น พอหุ้นขึ้นแรง ๆ ก็ทิ้ง ใครที่มองอนาคตหุ้นตัวนั้นออกก็และพยายามเก็บหุ้นอยู่ก็อาจจะเป็น "ไอ้โม่ง" ก็ได้
2) หุ้นไม่มีปัจจัยพื้นฐาน เป็นแบบแนวที่คุณดำบอก
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1833
ในความเป็นจริงมันก็คงจะเป็นแบบนั้นครับ อ. ผมถึงได้โพสต์ไว้ในจุดร่วมของหุ้น "ใครบางคน" ว่า มักจะเป็นหุ้นที่มี Free Float มากๆ ไม่มีเจ้าของตัวจริงครับ มันเป็นลักษณะเบี้ยหัวแตก มีแต่รายย่อยมาถือรวมๆ กันจำนวนคนมากๆ และเมื่อเป็นแบบนี้ ผู้บริหารถึงสามารถทำอะไรก็ได้ครับ และผู้ร่วมก่อการก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครขนหุ้นจำนวนมากๆ มาทุบสวนครับleky เขียน:ผมเรียนตามตรงนะ หุ้นที่จะลาก ถ้ามีเจ้าของที่ถือหุ้นใหญ่อยู่ เท่าที่ผมเคยศึกษามา ถ้าเจ้าของตัวจริง ไม่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เปิดไฟเขียวให้
ผมขอขยายความนะครับ หุ้นที่เข้าข่าย "ใครบางคน" ที่ว่านี้ ไม่ได้หมายรวมถึงหุ้นที่มี Potential ที่จะเติบโตได้นะครับ แม้ว่าหุ้นลักษณะนั้นก็อาจมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาในบางช่วงที่ดูคล้ายคลึงกันก็ตาม
หุ้น "ใครบางคน" นับรวมเฉพาะหุ้นที่สร้างได้เพียงความหวัง แต่ไม่สามารถสร้างกำไรได้จริงครับ และผมเชื่อด้วยว่า "ใครบางคน" เค้าก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วด้วย ไม่ใช่ว่าเจตนาดี แต่ปัจจัยไม่เอื้อ เลยพลิกฟื้นธุรกิจไม่สำเร็จ แต่เป็นการกระทำเพื่อความอยู่รอด + หาค่ากับข้าว (มื้อใหญ่) ครับ
การวิเคราะห์เรื่องนี้จะว่าไปแล้ว ผมจัดไว้อยู่ในแนวทางนอน-วีไอในส่วนของการวิเคราะห์ถึงแรงจูงใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารครับ
สถานการณ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นได้ ผมเชื่อว่าเกิดจากความร่วมมือกันอย่างน้อย 2 ฝ่าย คือ กลุ่มผู้บริหารสูงสุด + มืออาชีพในการทำราคาหุ้น (โอ้ย!! ยาวอ่ะ ก็เจ้ามือนั่นล่ะครับ เฮ่อ!!) โดยผู้บริหารจำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด เนื่องจากการเงินของกิจการมันเข้าขั้นโคม่าเต็มที จะหันไปหาธนาคารก็คงโดนรปภ.จับโยนออกมาหลังจากเห็นตัวเลขในบัญชี จะหันไปหานักลงทุนสถาบันก็คงโดนขยำเอกสารลงถังขยะ จะเหลือก็แต่รายย่อยตาใสๆ นี่ล่ะครับที่เป็นความหวังเพื่อให้เก้าอี้บริหารยังอยู่รอด ยังมีบ้านหลังใหญ่ มีรถหรูๆ ส่วนเจ้ามือเค้าก็พร้อมอยู่แล้วครับ ถ้ามีคนร่วมมือ "เปิดทาง" ให้มั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมจำนวนหุ้นได้ (ไม่แปลกครับที่ท่าน N.b จะบอกว่า Pattern ราคาจะมีช่วงที่เหมือนหุ้นซึมๆ นานๆ ก่อน เพราะมันคือช่วง "ดูดหุ้น" ออกจากตลาดเข้าไปสู่มือของเจ้ามือครับ แต่ผมว่ามันไม่ใช่ U-Shape นะครับ มันน่าจะเป็น J-Shape มากกว่า)
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1834
อ.ชายนี่แหละครับ เป็นคนให้แนวคิดเรื่องการวิเคราะห์หุ้นจากแรงจูงใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารให้กับผมเลยleky เขียน:เมื่อวานนั่งอ่านหนังสืออ.ชาย พูดถึงคำว่า "ไอ้โม่ง" มีแน่นอน 1,000,0000% 555
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1835
บางเรื่องคิดแล้วมันก็เป็นไปได้นะครับ เช่น A เป็นผถห.ใหญ่
กิจการอาจจะยังไม่ได้ดีมาก บ.ต้องเพิ่มทุน
A จะเอาเงินจำนวนมากที่ไหนมาซื้อ ที่สำคัญก็คือ ในมุมมองของ "นักธุรกิจ" บางครั้งการเอาหุ้นเข้าตลาดมันก็คือ การกระจายความเสี่ยงให้คนอื่นช่วยรับไปด้วย เค้าจะกล้าขายบ้านขายรถเอาเงินมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั่งหมดหรือ ทั้ง ๆ ที่ธุรกิจเองก็ยังมีความเสี่ยง
เป็นเราเป็นท่านกล้าพอไหม ????? ถามใจตัวเองดูครับ
เราถึงมักจะได้ยินไงครับว่า หุ้นเพิ่มทุน ก่อนที่จะประกาศเพิ่มทุน บ.ก็มักจะมีการ "ตีปี๊บ" ราคาหุ้นก็จะขึ้นไป พอไปถึงจุดหนึ่งก็ประกาศเพิ่มทุน
ถ้าจะมองเรื่อง "ไอ้โม่ง" เจ้าของก็อาจจะถือโอกาสซื้อหุ้นราคาต่ำผ่านนอมินีก่อนจะ "ตีปี๊บ" แล้วก็ขายที่ราคาสูง เอาเงินไปซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ในมุมของผถห.ดั้งเดิม ก็อาจจะได้ประโยชน์ อย่างน้อยราคาหุ้นก็ยังขึ้นมา ถึงแม้จะจบด้วยการเพิ่มทุน ก็ยังดีกว่าประกาศโครมออกมาเลย
แต่ในมุมของคนที่ตามเข้าไปซื้อหุ้น หลังจาก "ตีปี๊บ" นี่สิครับ น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะส่วนใหญ่ EPS หลังเพิ่มทุนจะลดลงในระยะสั้น กว่าจะเพิ่มขึ้นก็ต้องรอให้ได้ประโยชน์จากโครงการที่จะทำ ซึ่งบางทีก็กินเวลาหลายปี
กิจการอาจจะยังไม่ได้ดีมาก บ.ต้องเพิ่มทุน
A จะเอาเงินจำนวนมากที่ไหนมาซื้อ ที่สำคัญก็คือ ในมุมมองของ "นักธุรกิจ" บางครั้งการเอาหุ้นเข้าตลาดมันก็คือ การกระจายความเสี่ยงให้คนอื่นช่วยรับไปด้วย เค้าจะกล้าขายบ้านขายรถเอาเงินมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั่งหมดหรือ ทั้ง ๆ ที่ธุรกิจเองก็ยังมีความเสี่ยง
เป็นเราเป็นท่านกล้าพอไหม ????? ถามใจตัวเองดูครับ
เราถึงมักจะได้ยินไงครับว่า หุ้นเพิ่มทุน ก่อนที่จะประกาศเพิ่มทุน บ.ก็มักจะมีการ "ตีปี๊บ" ราคาหุ้นก็จะขึ้นไป พอไปถึงจุดหนึ่งก็ประกาศเพิ่มทุน
ถ้าจะมองเรื่อง "ไอ้โม่ง" เจ้าของก็อาจจะถือโอกาสซื้อหุ้นราคาต่ำผ่านนอมินีก่อนจะ "ตีปี๊บ" แล้วก็ขายที่ราคาสูง เอาเงินไปซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ในมุมของผถห.ดั้งเดิม ก็อาจจะได้ประโยชน์ อย่างน้อยราคาหุ้นก็ยังขึ้นมา ถึงแม้จะจบด้วยการเพิ่มทุน ก็ยังดีกว่าประกาศโครมออกมาเลย
แต่ในมุมของคนที่ตามเข้าไปซื้อหุ้น หลังจาก "ตีปี๊บ" นี่สิครับ น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะส่วนใหญ่ EPS หลังเพิ่มทุนจะลดลงในระยะสั้น กว่าจะเพิ่มขึ้นก็ต้องรอให้ได้ประโยชน์จากโครงการที่จะทำ ซึ่งบางทีก็กินเวลาหลายปี
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1836
ศิษย์ขอน้อมรับคำสั่งสอนของอาจารย์ครับleky เขียน:ในช่วงเวลานั้น ผมพยายามคิดหลายอย่าง เคยนั่งคิดว่า "ปัจจัย" อะไรบ้าง ที่จะทำให้นลท.ในตลาดยอมทุ่มเงินซื้อหุ้น นั่งคิดไปเรื่อย ๆ มองย้อนกลับไปเรื่อย ๆ ถึง "ราก" ของปัจจัยนั้น เช่น ถ้ากำไรต่อหุ้นสูงขึ้น คือสิ่งที่จะลากราคาหุ้นขึ้น แล้ว "อะไร" คือเหตุที่จะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้นแบบมีนัยสำคัญ คิดย้อนแตกไปเรื่อย ๆ เหมือนศึกษาจากลำต้นย้อนไปสู่รากแขนงไปถึงรากฝอย
แตกแขนงไปเรื่อย ๆ รวมถึง ถ้าไม่ใช่เรื่องกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ มันจะมีปัจจัยอื่น ๆ เช่นอะไรบ้าง รวมถึงปัจจัยเรื่องสภาพตลาด การไหลของเงิน จิตวิทยา ผู้ถือหุ้น มุมมองของนลท.ต่อหุ้นตัวนั้น
ผมเคยแม้กระทั่งลองผิดลองถูกใช้โมเดลของเงินปันผลที่จะผลักดันราคาหุ้น ซึ่งมันก็ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่พอตลาดสูงขึ้น ผลตอบแทนของเงินปันผลในหุ้นลดลง หุ้นแบบนั้นก็หาแทบไม่ได้
ผมเลยรู้สึกว่า ไม่ว่าเราจะเรียนรู้จากเรื่องราวของคนอื่นมากน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การนั่งคิดทบทวนครับ
บางทีการลองผิดลองถูก มันก็อาจจะเหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่เราเริ่มจากการสังเกต การตั้งสมมติฐาน การทดลอง และการสรุปผลการทดลองครับ
การลองผิดลองถูกผมคิดว่าเราจะได้แนวทาง ที่อาจจะเหมาะสมกับตัวเอง
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1837
โอเคครับศิษย์พี่ดำ เขียน:
ตอนจะโพสต์เรื่องหุ้น "ใครบางคน" นี่ ผมพยายามเรียบเรียงให้ออกมาในแนววิชาการนะครับ ท่าน N.b อย่ามาฉุดให้ไขว้เขว ถ้าเกิดดวงแตกขึ้นมาโดนจับขังรวม ทีนี้ใครจะเป็นคนส่งข้าวผัดกับโอเลี้ยงล่ะครับ
เสริมนิดเดียวครับ กับยุทธศาสตร์ของการ "คัทลอส" นั้นมี 2 อย่างครับ
1) คัทลอส เพราะระบบ ไม่ได้มีความรู้สึกโกรธและเกลียดฝังใจในตัวหุ้น เป็นไปตามแผน
2) คัทลอส เพราะ "ตกใจ" ไม่ได้เป็นไปตามแผน แต่เป็นไปตามความรู้สึกกลัว
นักจิตวิทยา เค้าบอกว่าให้ระวัง การคัทลอส แบบที่ 2 ไว้ให้ดี เพราะถ้ามันฝังเข้าไปในใจคุณแล้ว "คุณจะไม่มีวันกลับไปซื้อหุ้นตัวนั้นอีกเลย"
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1838
ข่าวสั้นทันเหตุการ์ณล่าสุด ตามหัวข้อที่กำลังคุยกันนะครับ ขอไม่เอยชื่อบริษัทนะครับ งบ q2 ออก กดกำไรไล่รายย่อย เพิ่มค่าใช้จ่ายในการบริหารในปีนี้ q2 นี้ จากปีก่อน 60 ล้านเป็น 101 ล้าน รายได้โต กำไรหด บันทึกไฟไหม้ตึกบริษัทแม่ก็ไม่อธิบาย เอากันให้รายย่อยงงครับ ตอนนี้ซ่อนออเดอร์โยนกันเอาให้รายย่อยคายของ มุขคล้ายเดิมที่ทำกับบริษัทพี่น้องกันก่อนหน้านี้ แต่เปลี่ยนวิธีนิดหน่อยครับ ผมพึ่งซื้อเข้าไปเมื่อกี้นี้เองครับ เหตุผลที่ซื้อคือ หุ้นพื้นฐานดีราคาถูก แถมเติบโตอีต่างหาก ส่วนราคานี้คือราคาที่บริษัทต่างชาติเค้าซื้อไป 90 กว่า% เมื่อปีกว่าๆ เดี๋ยวมีมือมืดเก็บไปเกือบหมดแล้วคงประกาศรับซื้อออกจากตลาด แต่อาจผิดก็ได้นะครับ แต่ผมยินดีถือยาวณ.ราคานี้ครับ เงินของท่าน ดูแลกันเองนะครับ จบการรายงานข่าว
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1839
จริงครับ อ่านแล้วเห็นภาพ ถึงแม้จะพยายามไม่อยากจะคิดเรื่องสีเทา ๆ แบบนั้นมาก แต่ถ้ามานั่งคิดอีกที มันก็มีเหตุผลให้คิดได้ว่าจริงดำ เขียน: อ.ชายนี่แหละครับ เป็นคนให้แนวคิดเรื่องการวิเคราะห์หุ้นจากแรงจูงใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารให้กับผมเลย
จำได้ว่ามีอยู่เล่มหนึ่ง แกเขียนบทสนทนาที่อาจารย์คุยกับลูกศิษย์
อาจารย์ : ผมจะใส่ความคิดของความเป็นเจ้าของให้กับคุณด้วย แล้วคุณจะเล่นหุ้นได้เหนือกว่าวีไอเหล่านั้น
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1841
ตรงนี้แหละครับ ที่เป็นจุดแยกระหว่างหุ้นเติบโตกับหุ้นของปลอมทำเหมือนleky เขียน:แต่ในมุมของคนที่ตามเข้าไปซื้อหุ้น หลังจาก "ตีปี๊บ" นี่สิครับ น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะส่วนใหญ่ EPS หลังเพิ่มทุนจะลดลงในระยะสั้น กว่าจะเพิ่มขึ้นก็ต้องรอให้ได้ประโยชน์จากโครงการที่จะทำ ซึ่งบางทีก็กินเวลาหลายปี
การที่หุ้นเติบโตเมื่อถึงจุดนึงจะต้องมีการเพิ่มทุนนี่ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งครับ เพราะเมื่อธุรกิจขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดนึงก็จำเป็นต้องใช้เงินเพิ่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องอาศัยการเพิ่มทุนอย่างน้อยก็ส่วนนึง เนื่องจากว่าธุรกิจยังไม่ได้แข็งแกร่งสร้างกระแสเงินสดได้มั่นคงจนจะใช้การกู้เงินได้เพียงอย่างเดียว
แต่ยังไงก็ตามครับ ที่ อ.ว่ามา มันก็เป็นเรื่องที่ศึกษาไว้อย่างน้อยก็เพื่อรู้เขารู้เรา เพราะในช่วงเวลาใกล้จะประกาศเพิ่มทุนไม่ว่าจะหุ้นเติบโตหรือหุ้นของปลอมทำเหมือน ราคาหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก สมมติว่า เราเกิดสนใจหุ้นตัวนั้นๆ อยู่พอดี แล้วก็มีเหตุการณ์ประกาศข่าวขยายกิจการ + เพิ่มทุนออกมา ซึ่งก็มักจะเกิดหลังจากที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมามากๆ อย่างมีนัยสำคัญแล้ว ถ้าหากตอนนั้นปัจจัยจิตวิทยามันบังตาโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว เราก็มักจะเคลิ้มไป อาจซื้อหุ้นเพิ่มในราคาสูงด้วยซ้ำหรืออย่างน้อยเราก็จะกอดหุ้นไว้แน่น แต่ถ้าเรารู้ทันว่า มันเป็นแบบนี้เองเป็นธรรมดาของมันนะ เราก็จะประเมินได้ว่า ณ ราคาตอนนั้นมันได้สะท้อนมูลค่าในอนาคตไปล่วงหน้าแล้วหลายปี (ยังไม่รวมความเสี่ยงว่าทุกอย่างอาจไม่ได้สวยงามตามแผนนะครับ)
อันนี้แหละครับเป็นตัวอย่างนึงที่ทำให้ผมหันมาสนใจศึกษาแนวทางนอน-วีไอ เพราะเชื่อว่าตลาดไม่ได้มีประสิทธิภาพตลอดเวลาครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1842
ผมว่าเรื่อง "มุมมืด" ที่เราคุยกันพวกนี้ อย่ามองว่า เราสนับสนุนให้เล่นหุ้นโดยจับจังหวะของ "ใครบางคน" นะครับ
เพราะยังไงก็ตามในความเห็นผม ในประวัติศาสตร์ กองกำลังที่เล็กกว่ายากจะชนะกองกำลังที่มีขนาดใหญ่กว่าครับ
เค้าจะลากขึ้นทุบลงยังไง เราเดาทางเค้าไม่ได้หรอกครับ แค่เค้าทุบรายย่อยก็กลัวแล้ว
ดีไม่ดีเค้าก็เข้ามานั่งอ่านว่ารายย่อยนินทาอะไรเค้าในเว็บบอร์ดนั่นแหละครับ
เพราะยังไงก็ตามในความเห็นผม ในประวัติศาสตร์ กองกำลังที่เล็กกว่ายากจะชนะกองกำลังที่มีขนาดใหญ่กว่าครับ
เค้าจะลากขึ้นทุบลงยังไง เราเดาทางเค้าไม่ได้หรอกครับ แค่เค้าทุบรายย่อยก็กลัวแล้ว
ดีไม่ดีเค้าก็เข้ามานั่งอ่านว่ารายย่อยนินทาอะไรเค้าในเว็บบอร์ดนั่นแหละครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1843
ผมขออนุญาตบอกอีกซักครั้งนะครับว่า ผมประทับใจห้องนี้จริงๆ เลยครับ เหมือนมีคนคอเดียวกันคุยกัน แต่ไม่มีการอวยกันแบบไร้เหตุผล แล้วก็ไม่มีการต่อต้านหรือแขวะกันแบบไม่สร้างสรรค์
แค่ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนตั้งแต่ที่ผมได้เข้ามาสัมผัสห้องนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าได้เรียนรู้และพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เลยครับ
ขอบคุณทุกคนจริงๆ
แค่ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนตั้งแต่ที่ผมได้เข้ามาสัมผัสห้องนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าได้เรียนรู้และพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เลยครับ
ขอบคุณทุกคนจริงๆ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1844
ส่วนตัวผมเองไม่เคยคิดที่จะไปร่วมหรือว่าจะงัดข้อกับ "ใครบางคน" เหล่านั้นครับ เพียงแต่ในเมื่อมันเป็นส่วนนึงของความเป็นจริงในตลาดที่เราเองก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องได้รับผลกระทบบ้างไม่มากก็น้อย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ผมจึงมองว่าการที่เราจะทำความเข้าใจกับความจริงดังกล่าวก็เพื่อที่เราจะ "ไม่เสียรู้" ไปกับการกระทำเหล่านั้นครับleky เขียน:ผมว่าเรื่อง "มุมมืด" ที่เราคุยกันพวกนี้ อย่ามองว่า เราสนับสนุนให้เล่นหุ้นโดยจับจังหวะของ "ใครบางคน" นะครับ
เพราะยังไงก็ตามในความเห็นผม ในประวัติศาสตร์ กองกำลังที่เล็กกว่ายากจะชนะกองกำลังที่มีขนาดใหญ่กว่าครับ
เค้าจะลากขึ้นทุบลงยังไง เราเดาทางเค้าไม่ได้หรอกครับ แค่เค้าทุบรายย่อยก็กลัวแล้ว
ดีไม่ดีเค้าก็เข้ามานั่งอ่านว่ารายย่อยนินทาอะไรเค้าในเว็บบอร์ดนั่นแหละครับ
ยังไงผมก็ฝ่ายธรรมะอยู่แล้ว ไม่ขอร่วมมือใดๆ กับฝ่ายอธรรมครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1845
ดำ เขียน: ยังไงผมก็ฝ่ายธรรมะอยู่แล้ว ไม่ขอร่วมมือใดๆ กับฝ่ายอธรรมครับ
ส่วนใหญ่ ผมว่ารายย่อยเค้าก็เข้าใจนะครับ แต่มันเหมือนอะไรที่บังตา จะว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวก็ไม่เชิง
ผมคิดว่าส่วนใหญ่เลย มักจะคิดว่า "ตัวเองหนีทัน" ครับ
จากประสบการณ์ส่วนตัว ขนาดผมไม่ได้เล่นหุ้นพวกนี้ เพียงแต่หุ้นที่สภาพคล่องน้อย ๆ ขึ้นมาแรง ๆ ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ บทมันจะมีแรงขายโครมใหญ่เข้ามา บางครั้งขนาดจะเคาะ bid แล้ว ยังเคาะไม่ทันครับ
ฉะนั้นความเชื่อที่ว่า นั่งเฝ้าจอแล้ว ไม่ต้องกลัว "หนีทัน" ผมว่ามันไม่จริงครับ บางทีคิดว่าจะหนี พอขายออกไป หุ้นก็ขึ้นไป บางคนก็ตามกลับไปซื้ออีก ชีวิตจริงมันไม่ง่ายแบบนั้นครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1846
ถูกของ อ.leky ครับ กำลังเราน้อย ยังไงก็เสียเปรียบรายใหญ่ครับ แต่ผมจะคอยดูหุ้นพื้นฐานดีที่ผมสนใจไว้หลายๆตัวครับ ถ้าลงมาถูกจนผมคิดว่าจะซื้ออยู่แล้ว แล้วถ้าทุบลงไปอีกนี่ ผมก็จะดีใจมากๆครับ เพราะสิ่งที่ผมคิดว่าได้เปรียบรายใหญ่คือ เวลาครับ ผมรอนานเท่าไรก็ได้ครับ ถ้าบริษัทที่ถืออยู่โตไปเรื่อยๆครับ เอ๋ แต่ตั้งแต่โพสไปเค้าหยุดซื้อขายไปดื้อๆเลยครับ หรือเค้ามาคอยอ่านอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ ถ้าผมหายไปช่วยส่งข้าวส่งนํ้าให้ด้วยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1848
บิ๊กบอส เคยบอกไว้ว่านี่คือ "ห้องนั่งเล่น" ครับ ฉะนั้นอย่าคิดอะไรมากครับดำ เขียน:ผมขออนุญาตบอกอีกซักครั้งนะครับว่า ผมประทับใจห้องนี้จริงๆ เลยครับ เหมือนมีคนคอเดียวกันคุยกัน แต่ไม่มีการอวยกันแบบไร้เหตุผล แล้วก็ไม่มีการต่อต้านหรือแขวะกันแบบไม่สร้างสรรค์
แค่ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนตั้งแต่ที่ผมได้เข้ามาสัมผัสห้องนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าได้เรียนรู้และพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เลยครับ
ขอบคุณทุกคนจริงๆ
แต่ถ้าเข้าไปห้องร้อยคนฯ รับรองได้แผล 555 คือคิดได้ แต่อย่าเอามาเป็นประเด็นถกใหญ่ เพราะมันเป็นเรื่องที่ถึงเชื่อว่าอาจจะมีอยู่ แต่มันคาดการณ์ไม่ได้ ครับ และผมก็คิดว่ามันก็โอเคครับ ที่เราจะไม่คุยเรื่องแบบนี้ในห้องที่ไปในแนววิชาการ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1850
อาจจะต้องช่วยตัวเราเองด้วยครับดำ เขียน:ขอไร้สาระนิดนึงนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะโพสต์กันน้ำไหลไฟดับจนตลาดปิดช่วงเช้าไปแล้ว บวก 15 จุด!!!
ยังไงผมว่าเราคุยกันไปซัก 2-3 สัปดาห์เลยมั้ยครับ ถือว่าช่วยรายย่อยที่ติดหุ้นกันอยู่
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1851
leky เขียน:อาจจะต้องช่วยตัวเราเองด้วยครับดำ เขียน:ขอไร้สาระนิดนึงนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะโพสต์กันน้ำไหลไฟดับจนตลาดปิดช่วงเช้าไปแล้ว บวก 15 จุด!!!
ยังไงผมว่าเราคุยกันไปซัก 2-3 สัปดาห์เลยมั้ยครับ ถือว่าช่วยรายย่อยที่ติดหุ้นกันอยู่
แหม... เห็นยังงี้ ผมยังมีกระสุนแอบซ่อนไว้เหมือนกันนะครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1852
วันพระด้วยรึเปล่าครับ 555ดำ เขียน:ขอไร้สาระนิดนึงนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะโพสต์กันน้ำไหลไฟดับจนตลาดปิดช่วงเช้าไปแล้ว บวก 15 จุด!!!
ยังไงผมว่าเราคุยกันไปซัก 2-3 สัปดาห์เลยมั้ยครับ ถือว่าช่วยรายย่อยที่ติดหุ้นกันอยู่
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1853
แต่จริง ๆ ผมว่าหลังจากที่ผมศึกษาเรื่องนี้มานะครับ
มันทำให้ผม "กลัวน้อยลง" ด้วยซ้ำ
ถ้าหุ้นผมมันจะลงมาแบบเหมือนโดน "กด" แต่ถ้าผมยังมั่นใจกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต ผมก็ยังเฉย ๆ กับสิ่งเหล่านั้นได้ครับ เพราะคิดว่ายังไงเดี๋ยวมันก็ต้องดีขึ้น แต่ทั้งนี้มันต้องมีเหตุผลรองรับที่มีเหตุผลเหมาะสมนะครับ ไม่ใช่เกิดจากเรา "มโน" ไปเอง
มันทำให้ผม "กลัวน้อยลง" ด้วยซ้ำ
ถ้าหุ้นผมมันจะลงมาแบบเหมือนโดน "กด" แต่ถ้าผมยังมั่นใจกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต ผมก็ยังเฉย ๆ กับสิ่งเหล่านั้นได้ครับ เพราะคิดว่ายังไงเดี๋ยวมันก็ต้องดีขึ้น แต่ทั้งนี้มันต้องมีเหตุผลรองรับที่มีเหตุผลเหมาะสมนะครับ ไม่ใช่เกิดจากเรา "มโน" ไปเอง
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1854
เห็นด้วยครับ สุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องมีความเชื่ออะไรบางอย่างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้ไหลไปตามปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้า ที่สำคัญคือความเชื่อหรือทัศนคติที่ว่านั้นมันต้องเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับหลักความจริงด้วยครับleky เขียน:แต่จริง ๆ ผมว่าหลังจากที่ผมศึกษาเรื่องนี้มานะครับ
มันทำให้ผม "กลัวน้อยลง" ด้วยซ้ำ
ถ้าหุ้นผมมันจะลงมาแบบเหมือนโดน "กด" แต่ถ้าผมยังมั่นใจกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต ผมก็ยังเฉย ๆ กับสิ่งเหล่านั้นได้ครับ เพราะคิดว่ายังไงเดี๋ยวมันก็ต้องดีขึ้น แต่ทั้งนี้มันต้องมีเหตุผลรองรับที่มีเหตุผลเหมาะสมนะครับ ไม่ใช่เกิดจากเรา "มโน" ไปเอง
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1855
เป็นอันว่าแนวทางแบบนอน-วีไอที่ผมเคยศึกษามาและกะว่าจะมาแชร์ทั้ง 4 แบบคือ
- แนวทางกราฟเทคนิค
- แนวทางจิตวิทยาตลาด เช่น แนวคิดระบบผลประโยชน์ ทฤษฎี Reflexivity
- แนวทางการวิเคราะห์ถึงแรงจูงใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร
- แนวทางการวิเคราะห์การเคลือนย้ายเงินทุน (Fund Flow) และผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบ
ในส่วนของแนวทางการวิเคราะห์ถึงแรงจูงใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารนั้น ในหลายๆ โพสต์ที่ผ่านมานี้ทั้งที่ผมโพสต์เองแล้วก็ที่อาจารย์และเพื่อนๆ โพสต์ก็ Discuss กันไประดับนึงแล้ว ผมขอสรุปเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยก่อนจบเนื้อหาส่วนนี้ครับ
ในบางช่วงเวลา ราคาหุ้นก็เคลื่อนไหวไปตามอิทธิพลจากผู้ถือหุ้นใหญ่หรือผู้บริหาร ซึ่งในบางครั้งก็เกิดจากการร่วมมือกับคนทำราคา "ใครบางคน" ด้วยเมื่อสถานการณ์เป็นใจ เพื่อหวังผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นระยะสั้น ดังนั้นในเวลาที่สังเกตเห็นราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เราก็อาจลองคิดตามสักนิดว่ามันเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานรึเปล่า หรือว่ามีโอกาสเกิดจากปัจจัยที่ว่านี้ โดยสังเกตจากข้อมูลโครงสร้างบริษัทและจุดร่วมหลายอย่างที่มีการเกริ่นกันมาก่อนหน้านี้แล้วครับ
- แนวทางกราฟเทคนิค
- แนวทางจิตวิทยาตลาด เช่น แนวคิดระบบผลประโยชน์ ทฤษฎี Reflexivity
- แนวทางการวิเคราะห์ถึงแรงจูงใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร
- แนวทางการวิเคราะห์การเคลือนย้ายเงินทุน (Fund Flow) และผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบ
ในส่วนของแนวทางการวิเคราะห์ถึงแรงจูงใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารนั้น ในหลายๆ โพสต์ที่ผ่านมานี้ทั้งที่ผมโพสต์เองแล้วก็ที่อาจารย์และเพื่อนๆ โพสต์ก็ Discuss กันไประดับนึงแล้ว ผมขอสรุปเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยก่อนจบเนื้อหาส่วนนี้ครับ
ในบางช่วงเวลา ราคาหุ้นก็เคลื่อนไหวไปตามอิทธิพลจากผู้ถือหุ้นใหญ่หรือผู้บริหาร ซึ่งในบางครั้งก็เกิดจากการร่วมมือกับคนทำราคา "ใครบางคน" ด้วยเมื่อสถานการณ์เป็นใจ เพื่อหวังผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นระยะสั้น ดังนั้นในเวลาที่สังเกตเห็นราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เราก็อาจลองคิดตามสักนิดว่ามันเป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานรึเปล่า หรือว่ามีโอกาสเกิดจากปัจจัยที่ว่านี้ โดยสังเกตจากข้อมูลโครงสร้างบริษัทและจุดร่วมหลายอย่างที่มีการเกริ่นกันมาก่อนหน้านี้แล้วครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1856
3 แนวทางที่เหลือ ผมขอเริ่มจากเรื่องที่พอจะทำความเข้าใจได้ง่ายในมุมมองของวีไอแล้วกันครับ คือ แนวทางการวิเคราะห์การเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fund Flow) และผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบ
เรื่องนี้ก็คือการศึกษาถึงผลกระทบจากกระแสเงิน สภาพคล่องในระบบ ที่มีต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นโดยที่ไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานกิจการ แนวคิดหลักๆ ในตลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะออกแนว Macro ดูว่าจากสถานะเศรษฐกิจแต่ละประเทศมีแนวโน้ม+สถานะการเงินเป็นยังไง ส่งผลต่อค่าเงิน อัตราดอกเบี้ยยังไง อีกแนวคิดนึงก็จะออกมาในแง่ของผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบ "เงินจะไหลจากที่ๆ ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่ที่ๆ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าโดยเทียบกับความเสี่ยง"
ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ กระแสข่าวการวิเคราะห์เรื่อง QE สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยที่มักจะมีให้อ่านบ่อยๆ ทั่วไปในหน้าข่าววิเคราะห์เศรษฐกิจนั่นแหละครับ ซึ่งหลายครั้งมันก็มีผลกระทบต่อราคาหุ้นจริงๆ เพราะมันคือการซื้อขายย้ายพอร์ตปรับพอร์ตของผู้เล่นระดับเฮฟวี่เวทในตลาด ถ้าเราพอจะเข้าใจและมีความรู้เรื่องนี้ไว้บ้างก็น่าจะเป็นประโยชน์ในการลงทุน โดยเฉพาะถ้าสนใจพวกหุ้นโภคภัณฑ์
อีกตัวอย่างนึงก็คือ การปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน/ต่างชาติตามดัชนีที่ใช้อ้างอิง เช่น MSCI หรือ SET50 อันนี้จะกระทบระยะสั้นกับตัวหุ้นที่ถูกปรับน้ำหนัก เพราะพอร์ตสถาบัน/ต่างชาติก็จะมีการซื้อขายให้เข้ากับกฎเกณฑ์ดังกล่าว แต่สิ่งที่ควรระวังก็คือ มักจะมีการแจ้งล่วงหน้าก่อนการปรับจริงว่า หุ้นอะไรบ้างที่จะถูกปรับเข้า-ออก ทำให้หลายครั้งก็เกิดการเก็งกำไรขึ้นก่อนหน้า
เรื่องนี้ก็คือการศึกษาถึงผลกระทบจากกระแสเงิน สภาพคล่องในระบบ ที่มีต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นโดยที่ไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานกิจการ แนวคิดหลักๆ ในตลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะออกแนว Macro ดูว่าจากสถานะเศรษฐกิจแต่ละประเทศมีแนวโน้ม+สถานะการเงินเป็นยังไง ส่งผลต่อค่าเงิน อัตราดอกเบี้ยยังไง อีกแนวคิดนึงก็จะออกมาในแง่ของผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบ "เงินจะไหลจากที่ๆ ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่ที่ๆ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าโดยเทียบกับความเสี่ยง"
ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ กระแสข่าวการวิเคราะห์เรื่อง QE สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยที่มักจะมีให้อ่านบ่อยๆ ทั่วไปในหน้าข่าววิเคราะห์เศรษฐกิจนั่นแหละครับ ซึ่งหลายครั้งมันก็มีผลกระทบต่อราคาหุ้นจริงๆ เพราะมันคือการซื้อขายย้ายพอร์ตปรับพอร์ตของผู้เล่นระดับเฮฟวี่เวทในตลาด ถ้าเราพอจะเข้าใจและมีความรู้เรื่องนี้ไว้บ้างก็น่าจะเป็นประโยชน์ในการลงทุน โดยเฉพาะถ้าสนใจพวกหุ้นโภคภัณฑ์
อีกตัวอย่างนึงก็คือ การปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน/ต่างชาติตามดัชนีที่ใช้อ้างอิง เช่น MSCI หรือ SET50 อันนี้จะกระทบระยะสั้นกับตัวหุ้นที่ถูกปรับน้ำหนัก เพราะพอร์ตสถาบัน/ต่างชาติก็จะมีการซื้อขายให้เข้ากับกฎเกณฑ์ดังกล่าว แต่สิ่งที่ควรระวังก็คือ มักจะมีการแจ้งล่วงหน้าก่อนการปรับจริงว่า หุ้นอะไรบ้างที่จะถูกปรับเข้า-ออก ทำให้หลายครั้งก็เกิดการเก็งกำไรขึ้นก่อนหน้า
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1857
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสภาพคล่องในระบบนี้ มีประเด็นนึงที่ผมอยากจะยกมาแชร์ คือ เรื่องทัศนคติหรือความเชื่อหรือความสนใจในการเลือกลงทุนของคนไทยในยุคปัจจุบันและต่อๆ ไป
คงเคยอ่านเจอบทความหรือความเห็นในลักษณะที่ว่าตลาดหุ้นใกล้จะเป็นฟองสบู่แล้วเพราะใครๆ ก็เข้ามาสนใจลงทุน แม้แต่เด็กนักศึกษา คนอายุ 20 ก็มาสนใจ อันดับ Best Seller ในร้านหนังสือก็มีแต่หนังสือเกี่ยวกับหุ้น (แต่ตอนนี้ชักติดอันดับน้อยลงแล้วนะครับ กลายเป็นหนังสือปลูกมะนาวแทน) ผมกลับมองว่ามันจะเป็นแค่ฟองสบู่แน่หรือ? หรือว่ามันอาจเป็นจุดเริ่มต้นระดับ Mega Trend? ทางเลือกในการออมเงิน/การลงทุนทุกวันนี้ผมว่ามันเปลี่ยนจากช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาค่อนข้างมากนะ ตอนนี้ถ้าไม่อยากฝากแบงค์หรือกองทุนตราสารหนี้เพื่อกินดอกต่ำๆ แล้วจะไปสนใจอะไรที่เข้าถึงได้ง่าย อีกอย่างนึง ยุคนี้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้ได้มากมายต่างกับช่วงซัก 10-20 ปีก่อนลิบลับ ช่องทางการซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ตอนนี้น่าจะแซงหน้าช่องทางผ่านมาร์แล้วมั้ง) อีกอย่างนึงครับ อัตราส่วนเงินลงทุนในตลาดหุ้นเทียบกับเงินออมในระบบของบ้านเรา ถ้าเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว (แบบที่วีไอหลายคนนิยมเทียบธุรกิจบ้านเรากับบ้านเค้า) ของเราก็ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่ามากๆ ผมจึงเชื่อว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ในช่วงเป็นสิบปีจากนี้ P/E เฉลี่ยของ SET จะไม่กลับไปอยู่ที่ 10 เท่าต้นๆ อีกแล้ว แต่น่าจะเป็นอย่างน้อยที่ 10 เท่ากลางๆ มากกว่า
หรือจะมองในมุมของการประเมินมูลค่าหุ้นก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ P/E หรือ DCF ก็ล้วนมีตัวแปรตัวนึงที่กำหนดมูลค่า นั่นคือ อัตราดอกเบี้ย
การที่เรากำหนดว่า P/E เท่าไหร่เรียกว่าถูกหรือแพง ส่วนนึงก็เพราะเรามองในเชิงเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่ได้จากดอกเบี้ย หรือในสูตร DCF เอง ตัวหารก็มีส่วนที่คำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน ดังนั้นถ้าในอนาคตต่อไป อัตราดอกเบี้ยคงตัวอยู่ในระดับต่ำๆ อีกนานๆ มันก็เป็นปัจจัยที่จะพยุงราคาหุ้น/ดัชนีไม่ให้ลงไปต่ำได้มากเหมือนกับในอดีต
คงเคยอ่านเจอบทความหรือความเห็นในลักษณะที่ว่าตลาดหุ้นใกล้จะเป็นฟองสบู่แล้วเพราะใครๆ ก็เข้ามาสนใจลงทุน แม้แต่เด็กนักศึกษา คนอายุ 20 ก็มาสนใจ อันดับ Best Seller ในร้านหนังสือก็มีแต่หนังสือเกี่ยวกับหุ้น (แต่ตอนนี้ชักติดอันดับน้อยลงแล้วนะครับ กลายเป็นหนังสือปลูกมะนาวแทน) ผมกลับมองว่ามันจะเป็นแค่ฟองสบู่แน่หรือ? หรือว่ามันอาจเป็นจุดเริ่มต้นระดับ Mega Trend? ทางเลือกในการออมเงิน/การลงทุนทุกวันนี้ผมว่ามันเปลี่ยนจากช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาค่อนข้างมากนะ ตอนนี้ถ้าไม่อยากฝากแบงค์หรือกองทุนตราสารหนี้เพื่อกินดอกต่ำๆ แล้วจะไปสนใจอะไรที่เข้าถึงได้ง่าย อีกอย่างนึง ยุคนี้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้ได้มากมายต่างกับช่วงซัก 10-20 ปีก่อนลิบลับ ช่องทางการซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ตอนนี้น่าจะแซงหน้าช่องทางผ่านมาร์แล้วมั้ง) อีกอย่างนึงครับ อัตราส่วนเงินลงทุนในตลาดหุ้นเทียบกับเงินออมในระบบของบ้านเรา ถ้าเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว (แบบที่วีไอหลายคนนิยมเทียบธุรกิจบ้านเรากับบ้านเค้า) ของเราก็ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่ามากๆ ผมจึงเชื่อว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ในช่วงเป็นสิบปีจากนี้ P/E เฉลี่ยของ SET จะไม่กลับไปอยู่ที่ 10 เท่าต้นๆ อีกแล้ว แต่น่าจะเป็นอย่างน้อยที่ 10 เท่ากลางๆ มากกว่า
หรือจะมองในมุมของการประเมินมูลค่าหุ้นก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ P/E หรือ DCF ก็ล้วนมีตัวแปรตัวนึงที่กำหนดมูลค่า นั่นคือ อัตราดอกเบี้ย
การที่เรากำหนดว่า P/E เท่าไหร่เรียกว่าถูกหรือแพง ส่วนนึงก็เพราะเรามองในเชิงเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่ได้จากดอกเบี้ย หรือในสูตร DCF เอง ตัวหารก็มีส่วนที่คำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน ดังนั้นถ้าในอนาคตต่อไป อัตราดอกเบี้ยคงตัวอยู่ในระดับต่ำๆ อีกนานๆ มันก็เป็นปัจจัยที่จะพยุงราคาหุ้น/ดัชนีไม่ให้ลงไปต่ำได้มากเหมือนกับในอดีต
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1858
ความเห็นผมนะครับ ค่าเฉลี่ย pe ตลาดหุ้นในระยะยาวแล้ว ส่วนสำคัญหลักคงเป็นฐานอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวนะครับ รวมถึงผลตอบแทนอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะที่ดินทองคำ เหล็ก นํ้ามัน ซึ่งถ้าผู้คนทางเลือกน้อยมากเท่าไร อัตราแรงผลักดันในด้านที่เหลือก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆครับ ตอนนี้ดอกเบี้ยทั่วโลกตํ่ามาตั้งแต่ปี 2008 แล้ว ถามว่าจะตํ่าต่อไปไหม ความเห็นผมคืออีกนานหลายปีครับ กว่าดอกเบี้ยทั่วโลกจะกลับเป็นขาขึ้นในระยะยาวอีกครั้งครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1859
ผมก็เชื่อตามนั้นครับ โดยเฉพาะกับประเทศไทยแล้ว เดือนหน้าตามพรบ.คุ้มครองเงินฝากจะลดวงเงินคุ้มครองสูงสุดลง ถ้าจำไม่ผิดเหลือ 25 ล้านบาท และในอีก 1 ปีถัดไปจะลดลงเหลือ 1 ล้านบาท ถ้าถึงตอนนั้น หุ้นตัวใหญ่ๆ พิมพ์นิยมยังให้ผลตอบแทนปันผลได้มากกว่าดอกเบี้ยซัก 2 เท่า ก็น่าสนใจครับว่าจะมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นรึเปล่า?ลูกหิน เขียน:ความเห็นผมนะครับ ค่าเฉลี่ย pe ตลาดหุ้นในระยะยาวแล้ว ส่วนสำคัญหลักคงเป็นฐานอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวนะครับ รวมถึงผลตอบแทนอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะที่ดินทองคำ เหล็ก นํ้ามัน ซึ่งถ้าผู้คนทางเลือกน้อยมากเท่าไร อัตราแรงผลักดันในด้านที่เหลือก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆครับ ตอนนี้ดอกเบี้ยทั่วโลกตํ่ามาตั้งแต่ปี 2008 แล้ว ถามว่าจะตํ่าต่อไปไหม ความเห็นผมคืออีกนานหลายปีครับ กว่าดอกเบี้ยทั่วโลกจะกลับเป็นขาขึ้นในระยะยาวอีกครั้งครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1860
การดู ค่า pe ตลาดโดยภาพรวมต้องระมัดระวังด้วยครับดำ เขียน:ผมก็เชื่อตามนั้นครับ โดยเฉพาะกับประเทศไทยแล้ว เดือนหน้าตามพรบ.คุ้มครองเงินฝากจะลดวงเงินคุ้มครองสูงสุดลง ถ้าจำไม่ผิดเหลือ 25 ล้านบาท และในอีก 1 ปีถัดไปจะลดลงเหลือ 1 ล้านบาท ถ้าถึงตอนนั้น หุ้นตัวใหญ่ๆ พิมพ์นิยมยังให้ผลตอบแทนปันผลได้มากกว่าดอกเบี้ยซัก 2 เท่า ก็น่าสนใจครับว่าจะมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นรึเปล่า?ลูกหิน เขียน:ความเห็นผมนะครับ ค่าเฉลี่ย pe ตลาดหุ้นในระยะยาวแล้ว ส่วนสำคัญหลักคงเป็นฐานอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวนะครับ รวมถึงผลตอบแทนอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะที่ดินทองคำ เหล็ก นํ้ามัน ซึ่งถ้าผู้คนทางเลือกน้อยมากเท่าไร อัตราแรงผลักดันในด้านที่เหลือก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆครับ ตอนนี้ดอกเบี้ยทั่วโลกตํ่ามาตั้งแต่ปี 2008 แล้ว ถามว่าจะตํ่าต่อไปไหม ความเห็นผมคืออีกนานหลายปีครับ กว่าดอกเบี้ยทั่วโลกจะกลับเป็นขาขึ้นในระยะยาวอีกครั้งครับ
เพราะหุ้น market cap ของเราที่มีขนาดใหญ่มากจะอยู่ในกลุ่มวัฏจักรโดยเฉพาะพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน และบางส่วนเป็นหุ้นเติบโต
ตัวอย่าง ptt ปัจจุบัน pe 17.78 เท่า
Advanc pe 20.23 เท่า
Scc 17.05 เท่า
Pttep 20.39 เท่า
Aot 30.88 เท่า
Cpall 38.89 เท่า
ดังนั้นการขยับ pe ของ set จะต้องลงไปดูรายละเอียดของภาพย่อยของตัวธุรกิจด้วย เพราะ pe ตลาดอาจสูงตามวัฏจักรของธุรกิจ แต่ธุรกิจปกติบางตัวอาจต่ำกว่าหรือสูงกว่า pe set ซึ่งอาจไม่สะท้อนภาพของตัวแทนกลุ่มธุรกิจทั้งหมดได้
ทางออกอาจต้องลงไปดู pe ของอุตสาหกรรมแต่ละอุตสาหกรรม จะสะท้อนภาพได้ดีกว่าครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger