แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 181

โพสต์

การตั้งสำรองกับกำไรสะสม
เรื่องนี้จริงๆแล้วมันก็เหมือนไก่กับไข่นั้นเอง
การตั้งสำรองจริงๆแล้ว มองได้สองด้านคือ การตั้งสำรองมากเกินไปทำให้กำไรลดลงจนบ้างครั้งอาจจะถึงขั้นขาดทุนเลยทีเดียว แต่ในทางกลับกับการตั้งสำรองน้อยเกินไปทำให้กำไรดีในปัจจุบันแต่ในอนาคตอาจจะทำให้ขาดทุนหนักได้
ในกรณีแรกนั้น มีคำศัพท์ที่เรียกว่า cookie jar เกิดขึ้น มันคือ เด็กที่เก็บคุ๊กกี้ไว้กิน เมื่อมีคุ๊กกี้เหลือเฟือ แต่เมื่อไม่มีอะไรจะทานแล้ว เด็กก็เอาคุ๊กกี้จากที่เก็บไว้มาทาน
นั้นคือ บริษัทที่ตั้งสำรองไว้สูงๆในเวลาที่กิจการนั้นทำกำไรอย่างก้าวกระโดดอย่างมากๆ เพื่อเตรียมการไว้ ว่าในอนาคตหากเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกับบริษัีทจนทำให้กำไรหวบ ก็เอาสำรองที่ตั้งมาเป็นแนวกั้นชน ตั้งสำรองใหม่ลดลง เพราะสำรองเก่าตั้งมามากแล้วนั้นเอง
ทำสิ่งนี้เพื่อทำให้กำไรของบริษัทมันราบเรียบนั้นเอง
แต่ทำไมมันเกี่ยวกับกำไรสะสมละ เพราะ กำไรหรือขาดทุนสุดท้ายคือ เข้าในส่วนกำไรสะสม ถ้าหากยังไม่ได้จ่ายปันผล
ซึ่งในยุคนี้ งบกำไรขาดทุนมีสองส่วนคือ สิ่งที่ทำมาหารับประทานได้โดยตรง มาเป็นส่วนบน (รายได้-ค่าใช้จ่าย) แต่ข้างล่างมันเกิดจากการ Mark to market เข้ากำไรสะสม (ก่อนหน้าที่ไม่เห็นที่มาที่ไปว่ามันมาจากไหน)
ถ้าหากมองกิจการบ้างกิจการนั้น กำไรจากการหารับประทานนั้น เจอการตั้งสำรองมาขาดทุนเลย แต่ทว่า เมื่อไปมองบรรทัดสุดท้ายจริงๆ ในส่วนล่างแล้ว มันกำไรมากมายมหาศาล เพราะ Mark to market กำไรเพียบเลย
คำถามคือ ย้านจากกำไรส่วนล่างไปเป็นกำไรส่วนบนได้ไหม ก็ขายซิ แค่นั้นก็ทำให้รับรู้กำไรจริงๆ ได้ เป็นคำถามที่ตอบง่ายแต่ทว่า ทำยากมากๆ ถ้าขายไปโดยที่หลักทรัพย์ที่โดย Mark to market ไม่มีสภาพคล่องก็ทำให้กำไรไม่งามซิ

ลองอ่านดู อ่านให้หลายๆรอบ แล้วจะรู้ว่ามันคืออะไร กุญแจที่ไขปัญหานี้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 182

โพสต์

การลงทุนนั้นมีขึ้นและมีลง เป็นของที่คู่กัน
นักลงทุนเองก็เตรียมความพร้อมในการลงทุนในกรณีที่เป็นกระทิงและหมีให้ได้
ในปัจจุบันนี้ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่ไม่มีเครื่องมือในการลงทุน ทั้งอนุพันธ์และฟิวเจอร์ก็มีให้ซื้อขายกันแล้ว
ทั้งสองเป็นอนุพันธ์ทางการเงิน ที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง แต่ทว่า อาจจะมีการใช้งานที่ผิดปกติได้
ถ้าหากย้อนกลับไปครั้นต้มยำกุ้ง ธปท ได้ใช้เครื่องมือทางการเงินคือ SWAP ในการต่อสู้กับสงครามค่าเงิน
โดยต่อสู้กับพ่อมดทางการเงินคือ โซรอส จนกระทั่งทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง
ค่าเงินนั้นไม่สามารถโจมตรีได้ โดยที่เอาเข้ามาเืพื่อฝากธนาคาร แต่ มีธุรกรรมการซื้อขายเพื่อประกอบการโจมตรีค่าเงิน
บทเรียนทางการเงิน ได้มีเครื่องมืออันหนึ่งคือ Short Sale เป็นเครื่องมือที่มีอนุภาพในการที่สามารถทำให้เกิดการโจมตรีค่าเงินได้ด้วย อันนี้เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆที่ฮ่องกง โดยโจมตรีค่าเงินในช่วงต้มยำกุ้ง
ตอนนั้นทางการจีนแก้ไขโดยการออกมาตราไม่ให้ Short Sale เมื่อทำ Short sale ไม่ได้ก็ต้องซื้อแล้วขายทิ้ง
ก็ทำให้เกิดการขาดทุน และมีระยะเวลาในการดำเนินการด้วย

เวลาต่อมาเมืองไทยอีกเช่นกัน ช่วงหม่อมอุ๋ยเป็นผู้ว่าการแบงค์ชาติออกมาตราการ 30%
ทำไมถึงต้องออก มา เพื่อป้องกันการโจมตรีค่าเงิน แต่ตอนนั้นที่เกิดคือ เกิดที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1-5 ปี
ปกติ ตลาดพันธบัตรเป็น Upward sloping คือ ยิ่งอายุพันธบัตรมาก ก็มีผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตรที่มีอายุน้อย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เงินมันไหลเข้ามาซื้อพันธบัตรอายุ 1-5 ปี ทำให้ Yield หด จนเกิดเป็นรุป Downward sloping
แล้วค่าเงินก็แข็งผิดปกติ ดังนั้น ธปท แก้เผ็ดโดยการออกมาตราการที่ให้ต่างชาติ ที่นำเงินมาลงทุนในประเทศไทยนั้น สามารถเอาเงินกลับได้ 100% ของเงินที่เอาเข้ามาหลังจาก 1 ปีไปแล้ว ถ้าเอาออกมาก่อน ก็หักเงิน 30% นั้นเอง
วันที่ออกมาตราการ ตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เกิด เซอร์กิต เบรกเกอร์ทำงานเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2518 เป็นต้นมา (เกือบโดน 2 เซอร์กิต เบรกเกอร์)
และวันนั้นค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงด้วย

สิ่งที่บอกคือ สงครามค่าเงินมิใช่เกิดแค่ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเท่านั้น แต่มันสามารถเกิดโดย
1. นำเงินมาซื้อจริงค่าจริงๆ ในตลาด Real Sector
2. นำเงินมาลงทุน ในตลาดตราสารหนี้และตราสารทุน
3. นำมาลงทุนขยายกิจการ ,เปิดบริษัท,เพื่อดำเนินการ

ดังนั้น การผันผวนของค่าเงินที่มีสูง จำเป็นต้องหาตัวการที่แท้จริงว่า ตลาดไหนที่เกิดปัญหาขึ้นด้วย
เงินมันต่อเงิน แต่ไม่มีสิ่งของหรือกระดาษ มันก็เกิดปาฏิหารย์ไม่ได้หรอก
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 183

โพสต์

มาย้อนดูการลงทุนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (เขียนก่อนล่วงหน้า 2 วันทำการ)
ปี 2557 เห็นอย่างแรกคือ วันทำการวันแรกของปี ดัชนีตลท โดนกองทุน LTF
เทขายอย่างหนัก ทำให้รูดมหาราช ปิดแทบจะต่ำสุดของปี (รออีก 2 วันทำการ)
ปี 2557 ก็มีปัญหาทางการเมือง Shutdown กรุงเทพ แต่ผมเองใช้รถใช้ถนน
แบบรถว่างกว่าช่วงปีใหม่ แล สงกรานต์ เสียอีก แต่รถก็ไม่ติดเท่าช่วงน้ำท่วม (แม้นน้ำท่วม
ทางด่วนเปิดใช้ฟรีเป็นครั้งแรกเลย สำหรับ เส้นทางเฉลิมมหานครและฉลองรัช)
ต่อมาก็เจอะเจอปัญหาสุขภาพของคุณพ่อเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้งจากปัญหาเลือดออกในกระเพาะอาหาร ทำให้ท้อไปบ้างแต่ทว่าก็มีโอกาสที่กลับมานั่งคิด เรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายต่อหลายเรื่อง
ปี 2557 มีเหตุการณ์ที่ติดตาคือ ยอดฉัตรของวัดร่องขุ่น หักงอ เสียรูปไป เนื่องจากแผ่นดินไหว ทางภาคเหนือ จนทุกสื่อให้เป็นสัญลักษณ์การร่วมมือร่วมใจของประชาชนชาวไทย ในการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ
ปีนี้เป็นปีที่มีความสุขและความทุกข์ปะปนกันไป ตลอดเวลา
และเป็นปีที่ได้ไปงานแต่งงานมากปีหนึ่งเลย
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 184

โพสต์

ปี 2558 นั้น มีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาด 60-70 ล้านบาท เข้าจดทะเบียน(ถ้าหากไม่แท้งไปเสียก่อน ตอนนี้เห็นบนสื่อหนักคือ บนโทรทัศน์ บ่อยครั้ง ยิง spot โฆษณาถี่ยิบเลยทีเดียว)
ปีนี้(2558) มีประมูลคลื่นความถี่ 4G คือ 1800 ตอนนี้คาดว่า ใช้เม็ดเงินในการประมูลครั้งนี้ระดับแสนล้านบาท และเหมือนครั้นที่ประมูล 3G ที่มี 3 เจ้าเข้าประมูล โดยทุกเจ้าได้คลื่นความถี่ 1 ช่องจำนวน 15MHz
ในด้านของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานปีนี้ (2558) ได้นั่งส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน ในเดือน สิงหาคม 2558 หรือเปล่าหนอ
และมีการเปิดประมูลในเส้นทางอื่นๆ เพิ่มเติมให้กรุงเทพมีรถไฟฟ้าทั้งลอยฟ้าและใต้ดิน หลากหลายสี สมกับแผนที่วางไว้เมื่อ 20-30 ปีที่แล้วนั้นเอง
ส่วนที่น่าจับตามองคือ ช่องทางจักรยานของกรุงเทพมหานคร สะท้อนให้เห็นความนิยมของชางกรุงเทพมหานครที่ปั่นจักรยานมากยิ่งขึ้น นั้นเอง

ในส่วนของเหตุการณ์วันปีใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคือ จากการส่ง SMS และ MMS เป็นการส่งข้อมูลผ่านช่องทางโปรแกรม Line ,facebook มันเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ชัดเจนมาก เป็นเทรนต่อเนื่องจากปี 2555 และ 2556
นั้นคือ ประชาชนใช้เครือข่ายสื่อสารดิจิตอลเพิ่มมากขึ้นนั้นเอง นำไปสู่ Digital economy ได้หรือไม่ต้องติดตามกันต่อไป
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 185

โพสต์

เดี่ยวนี้ซื้อ ประกันอัคคีภัย สำหรับที่อยู่อาศัยนั้น จ่าย 3 ปี นั้นได้แยกขายประกันภัยน้ำท่วม ประกันภัยจากภัยธรรมชาติอื่นๆออกจาก ประกันอัคคีภัย วงเงินในการรับประกันไม่เกิน 100,000 บาทเท่านั้น แถมไม่ขายล่วงหน้า 3 ปี ขายเป็นแบบ ปี ต่อปีเท่านั้นด้วย

เนี่ยคือการเปลี่ยนแปลงในแวดวงประกันภัยที่เห็นได้ชัดเจนจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมานั้นเอง
ที่อุตสาหกรรมประกันภัย โดนอ่วม กว่าจะจบเรื่องเครมน้ำท่วมกันได้ ก็ล่วงมาปี 2557 เลยทีเดียว
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 186

โพสต์

สองแนวทางที่ขัดแย้งกัน
แนวทางแรกคือ ประชาชนไม่ต้องมีความรู้เรื่องการลงทุน ให้ซื้อขายผ่านกองทุนรวม เพราะ กองทุนรวมนั้นนจัดตั้งโดยบริษัทจัดการกองทุน ซึ่งมีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถในด้านการลงทุนมีประกาศนียบัตรการลงทุน C..,F.. บลา บล๊า... มีเครื่องการันตีจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ว่า ....
แนวทางที่สองคือ แนวคิดที่ลงทุนด้วยตัวเอง แบบง่ายๆ ผ่านโบรกเกอร์ต่างๆ แสดงความสำเร็จในการลงทุนโดยมีตัวอย่าง ไอดอลมาแสดงตัว เขียนหนังสือ ออกสื่อโทรทัศน์ เป็นต้น ให้ประชาชนเห็นว่าการลงทุนนั้นบุคคลธรรมก็สามารถประสบความสำเร็จได้

ทั้งสองแบบนั้น มันมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่ทว่าผลลัพย์เหมือนกันคือ นักลงทุนต้องการกำไร เป็นคำตอบ
หรือ ให้เงินพอกพูนขึ้นจากเงินต้นที่ได้ลงทุนไว้ โดยที่มันมีความเสี่ยงสูง ต้องได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า พวกที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ต่ำนั้นเอง

มันก็แปลกๆๆ เพราะทุกประเทศที่มีตลาดหลักทรัพย์นั้น ก็เกิดแนวคิดแบบนี้ และเป็นเส้นขนานกันเสมอมาด้วยซิ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 187

โพสต์

อาวุธของนักลงทุน
ผมของประมวลผลอาวุธที่สำคัญๆของนักลงทุน ดูว่ามีอะไรบ้าง
1. ความรู้ -> ความรู้นั้นรู้ให้พอดี ไม่รู้มากไป หรือน้อยเกินไป รู้มากเกินไปอาจจะทำให้ ไม่ได้ืซื้อบริษัท หรือ เลือกซื้อบริษัทไม่ได้เลย เห็นแต่ด้านไม่ดีของบริษัทจนไม่สามารถลงทุนได้ แต่หากรู้น้อยเกินไป ก็เจอหลอกต้ม/หลอกลวงให้ไปซื้อบริษัทที่ย่ำแย่ได้ นั้นเอง
2. สติ -> ตั้งสติก่อนกดซื้อขาย ถ้าขาดสติแล้วไซร้ เงินของคุณก็หายไป ถ้ามีสติเงินคุณก็มีใช้
3. อารมณ์ -> อารมณ์ดีนั้นมีความสุข อารมณ์โกรธมาปุ๊บเห็นอะไรก็แดงๆๆ พอไปมุมหลักทรัพย์ที่ถืออยู่ก็แดง ก็งานเข้าซิครับ
4. เครื่องมือ -> เครื่องมือที่ใช้ในการลงทุน คุณมีเพียงพอหรือเปล่า แล้วต้องซื้อเพิ่มเติมหรือค้นคว้าหาเพิ่มเติมหรือไม่ อันนี้ตัวของคุณตอบเอง
5. สังคมในการลงทุน -> สิ่งแวดล้อมที่คุณอยู่ เอื้อให้ลงทุนได้มากแค่ไหน
เอามาแบบย่อๆๆตามนี้ครับ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 188

โพสต์

วันนี้ขอหยิบยกเรื่องโซนนิ่งสินค้าเกษตรซักหน่อยเพื่อให้เห็นภาพอะไรซักหน่อย
ภาคเหนือตอนล่าง+ภาคกลาง+ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันตก มีสินค้าเกษตรที่สำคัญคือ
ข้าว,อ้อย,มันสำปะหลังและ ข้าวโพด
ส่วนภาคใต้มีปาล์ม+มะพร้าว+ยางพารา

สินค้าเกษตรของเราที่มีความสามารถ ณ ตอนนี้คือ อ้อย ที่ทำได้อย่างครบวงจรจนมีการโฆษณาว่า ไม่มีของเสียในการผลิต (ตั้งปลูก ทำปุ๋ย สร้างไฟฟ้า ผลิตเอทานอล ทำน้ำตาล ทำขนมจากชานอ้อย ฯลฯ)
ส่วนข้าวนี้มีปัญหาเรื่องรับจำนำข้าว + น้ำท่วมประจำ
มันสำปะหลังก็มีเรื่อง จำนำ และ ดินที่สูญเสียแร่ธาตุ

ปาล์ม อาจจะเป็นตัวต่อไปที่เหมือนอ้อย ในมุมมองของผม ผลผลิตของปาล์มนี้ทำได้หลายอย่างไล่ตั้งแต่น้ำมันพืชให้คนทาน ใส่รถยนต์ดีเซล ตอนนี้กำลังเอาผลที่คั้นน้ำออกมาทำไฟฟ้า ต่อไปอาจจะทำปุ๋ยก็ได้ น่าจะใกล้ครบวงจร ถ้าทำได้ก็มีศักยภาพ

ส่วนมะพร้าว เมื่อก่อนทำครบวงจร ไล่ตั้ง มะพร้าวเป็นลูก ,ทำกะทิส่งออก ,ทำขนม ,ใช้ในพิธีศพ , ทำถ่าน .... แต่ที่ไม่ได้รับความนิยม คือ ต่างชาิติมีบทวิจัยว่า น้ำมันมะพร้าวทำให้เกิดไขมันอุดตัน ถ้าหากทานมากๆ เพราะมีไขมันอิ่มตัวมาก(ไขมันไม่ดี) แต่ประเด็นนี้มีคนแย้งอย่างมากๆ ว่าฝรั่งมันหลอก เพราะ ว่า ฝรั่งมีน้ำมันประเภทอื่นในการบริโภค ไม่ให้น้ำมันมะพร้าวมีอิทธิพล (มะพร้าวเป็นพืชทางด้านเอเชียที่เป็นอาณานิคม)

ส่วนยางพารานี้ ตามที่เห็นๆๆ คือ Supply ที่ควบคุมไม่ได้จากต่างประเทศเริ่มเข้ามา ต้องระวังไว้ แต่ทว่า สวนทางด้านการลงทุนต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือ ยางพารานั้นผูกติดกับราคาน้ำมัน เพราะ สินค้าทดแทนคือผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมัน แต่ทว่า ยางพาราเป็นส่วนประกอบของยางรถยนต์ที่เปลี่ยนทุก 3-5 ปี หรือตามระยะทาง นั้นเอง ต้องดูกันดีๆ (ตาดีร้ายตาร้ายเสียล่ะกัน)

เอาเป็นว่า นี้คือมุมมองส่วนตัวล่ะกัน ในพวกพืชต่างๆที่เขียนไปข้างต้น
:)~
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 189

โพสต์

เรื่องที่เขียนวันนี้เป็นเรื่องของคนขยันในการแสวงหาความรู้ ซึ่งไม่ใช่คนที่อยู่ในแวดดวงทางการเงินโดยตรง
แต่ทว่าเป็นคนที่ได้ใฝ่รู้ เลยไปเรียนรู้ สะสมประสบการณ์ในด้านนี้ ก็เท่านั้น

สิ่งแรก ทำไมนักลงทุนในประกัีนชีวิต สนใจ IRR โดยเอาตัวเลขตัวนี้ไปเทียบกับเงินฝากระยะยาว
IRR คือ ผลตอบแทน ของเงินสดสุทธิในระยะเวลาเงินลงทุน โดยที่ NPV=0 (NPV คือ Net present value)
NPV คือมูลค่าผลตอบแทนของการลงทุนในการลงทุนด้วยกระแสเงินสดอันหนึ่ง
เงื่อนไขที่สอนในห้องเรียนทางด้านการเงินก็คือ ไม่ดู IRR แต่ดู NPV ถ้า NPV เป็นบวกลงทุนได้ NPV เป็นลบก็ไม่ลงทุน ส่วนเป็นศูนย์ลงทุนเสมอตัวทำไปทำไม
แต่ระดับผู้บริหารนั่งดูตัวเลขของ NPV มาเปรียบเทียบก็มึน เลยใช้ตัว IRR ดูแทน
IRR นี้ถ้าพูดนิยามข้างบนมันก็ดูงง แต่ในความเข้าใจผมคือ ลงทุนไปได้เงินต้นที่ลงทุนไปกลับคือมา นั้นคือ เงินสดที่จ่ายเท่ากับเงินสดที่ได้รับ (ก็ Net Present Value มูลค่าที่ได้รับจากการลงทุนมันเป็น 0ไงล่ะ เงินที่จ่ายออกได้เท่ากับเงินที่ได้รับ) ซ่อนอะไรไว้ล่ะ นั้นคือ ณ จุดนี้คือ ความเสี่ยงด้านลบมันหมดไป เกือบขจัดความเสี่ยงได้หมดนั้นเอง

ทำให้นักลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิต เลยใช้ IRR ตัวนี้ไปเปรียบเทียบกับ ผลตอบแทนของเงินฝากระยะยาวของธนาคาร
ซึ่งเงินฝากของธนาคารนั้นมียอดวงเงินในการคุ้มครองอยู่ แต่ทว่ากรมธรรม์ไม่ได้อยู่ในกฏดังกล่าว

สิ่งที่สองที่กำลังจะฉายภาพคือ
อุปกรณ์ Set top box มันใช้งานยาก (อันนี้จากประสบการณ์คนใกล้ตัวเลย)
TV ที่ใช้งานรองรับ port HDMI แต่ทว่า เมื่อเสียบแล้วมีปัญหาสัญญาณไม่รับ เลยต้องทดสอบอยู่แป๊บ
ไม่เพียงแค่นั้น จูนแล้ว แต่ทว่า คนใช้ไม่เป็นอีก มี Remote 2 อัน คนใช้ก็ไปไม่เป็นว่า Remote อันไหนใช้อะไร
แถมเราไม่อยู่ กดผิดกดถูก TV ถึงขั้นดูไม่ได้
งานนี้คำตอบคือ ซื้อ TV ใหม่ เอาแบบที่มี DBTV2 ในตัวเลยดีกว่า ไม่ต้องมี Remote หลายอันและต้องเปลืองปลั๊กไฟ+หน่วยไฟฟ้าที่ใช้งานอีกต่างหาก

สิ่งที่สามอันนี้เป็นเรื่องของมือถือ
สังเกตอะไรไหม ค่ายมือถือมีสามค่ายใหญ่ AIS,DTAC,TURE
มีใครเลยสังเกตว่า ทำไม AIS มี 2100 ไม่ทำ 4G มุ่งเน้นไปที่ 3G อย่างเดียว
DTAC ทำไม ถึงเอาคลื่นของตัวเองที่มีอยู่คือ 2100 ไปทำเป็น 3G และ 4G แต่ไม่เอา 1800 ที่เหลืออายุสัมปทานอยู่ไม่กี่ปีมาทำละ
ส่วน TRUE ทำไมเอา 2100 มาทำ 4G เลยไม่ต้องทำ 3G
มันแปลกๆไหมละ

อันนี้ไม่ใช่ กสทช บังคับว่าทุกบริษัทที่ประมูลคลื่น 2100 นั้นต้องเอาคลื่นที่ประมูลมาให้บริการ 3G อย่างเดียว แต่ทว่าบริษัทผู้ให้บริการสามารถเอาคลื่นที่ประมูลมาไปให้บริการด้วยเทคโนโลยี่อะไรก็ได้ เลยเกิดแบบนั้นขึ้น
มันเลยเป็นที่น่าแปลกใจว่า ทำไมเป็นแบบนั้น มันคือกลยุทธ์ของแต่ละเจ้าหรือเปล่า

เทคโนโลยี่ของ 4G นั้น เน้นด้าน Data เป็นหลัก ไม่มีด้าน Voice แต่ 3G มีทั้ง Voice และ Data มันเป็นกุญแจที่ไขว่าทำไมแต่ละเจ้าถึงทำแบบนั้น
แต่ละเจ้าก็มีคลื่นอื่นๆในมือ
AIS ไม่มีอะไรเหลือในมือ
DTAC มี 1800 ที่กำลังหมดสัมปทานจาก CAT ในไม่ช้า
TRUE ยังมี คลื่นที่ได้จากการซื้อ Hutch ซึ่งอยู่ภายใต้ CAT
นี้คือ สิ่งที่ เป็นกลยุทธ์ว่าแต่ละเจ้ามุ่งเน้นไปในการทำเทคโนโลยี่อะไร

ถ้าหากไปดูเรื่องจำนวนผุ้ใช้งานโครงข่ายด้วย ไซร้ จะเห็นคำตอบนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น
แล้วหากมองไปก่อนที่ประมูล 2100 และ คำสั่งบรรเทาปัญหาส่งคืนคลื่น 1800 ด้วยแล้ว คุณเห็นอะไรชัดเจนขึ้นไม่มากก็น้อยในเรื่องนี้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 190

โพสต์

ตอนนี้ คปภ ขยับตัวครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง โดยมีการเริ่มดำเนินการ โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการประกันภัย (Insurance Bureau System) ในส่วนของประกันวินาศภัย โดยมีรายละเอียดในการส่งข้อมูล
http://www.tgia.org/upload/file_group/2 ... ad_372.pdf
http://www.tgia.org/upload/file_group/2 ... ad_371.pdf
http://www.tgia.org/upload/file_group/2 ... ad_370.pdf
http://www.tgia.org/upload/file_group/2 ... ad_369.pdf
http://www.tgia.org/upload/file_group/2 ... ad_368.pdf
http://www.tgia.org/upload/file_group/2 ... ad_367.pdf
http://www.tgia.org/upload/file_group/2 ... ad_366.pdf

การขยับตัวครั้งนี้เป็นการเริ่มต้น ที่ให้บริษัทส่งข้อมูลรายละเอียดดังนี้
1 ข้อมูลกรมธรรม์ประกันภัย
2 รับ/คืนเบี้ยประกันภัย
3 สินไหมทดแทน
4 การจ่ายค่าสินไหมทดแทน

น่าจับตามองว่า เอาไปต่อยอดอะไร เนื่องจาก มีการเก็บเรื่องค่าสินไหมทดแทน ไว้ด้วย
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 191

โพสต์

วันนี้ไปออกแรง (ออกกำลังกาย) ที่สวนลุมพินี ไปปล่อยไก่นิดหน่อย
เวลาที่ขีจักรยานได้ คือ 1000 ถึง 1500 น. นอกเวลานี้ ให้วิ่งอย่างเดียว
ถ้าจะขี่ต้องขี่ข้างในแล้วล่ะ

เรื่องต่อมา
อาบน้ำก็เปิดความคิดแว้ป ขึ้นมาว่า
น้ำมันที่ลดลงนั้้นเป็นสกุลเงิน ดอลล่าร์นิน่า นั้นคืออะไรล่ะ
น้ำมันเป็นต้นทุนของสินค้า และการบริโภคของประชาชน ดังนั้น ต้นทุนของสินค้าที่ผลิตที่ US นั้นต้องถูกลง
แล้วต้นทุนการครองชีพที่ US ก็ถูกตามไปด้วยซิ แต่ จีนนั้นราคาน้ำมันแทบคงตัว ไม่ลดลง งานนี้ต้องจับตาดูจีนต่อไปว่า
สินค้าขายดีเหมือนเดิมหรือเปล่า และต้นทุนในการดำเนินชีวิตของประชาชนลดลงหรือเปล่า

ต่อมาไปปล่อยไก่ต่อ
กะไปทานร้านหูฉลามพันล้านแถวรพ พญาไท ซักหน่อย ดัน ลืมไปว่าไม่ขายวันอาทิตย์กับวันจันทร์งานนี้อด
รอไปก่อนละกัน ตั้งเป้ามา 2 ปีแล้ว ต้องร้องเพลงรอกันต่อไปล่ะกัน
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 192

โพสต์

ทำไมธนาคารแห่งหนึ่งใช้ Chip ใน บัตรของเค้าแต่ธนาคารอื่นไม่ใช้
ซึ่งสิ่งนี้ ธปท พลักดันให้มีผลให้ทุกธนาคารใช้งานในปี 2558 นี้ให้ได้เพื่อลดการโจรกรรมทางการเงิน
สิ่งที่ผมนึกได้คือ ธนาคารเดียวแห่งนี้ เครื่องกด ATM ได้ดำเนินการเปลี่ยนเป็นเครื่องอ่านกับชิปแล้ว
ธนาคารอื่นๆยังไม่ดำเนินการ รออะไรซักอย่างหนึ่ง
ผลดีคือ บัตรของธนาคารที่ติดชิปไม่สามารถกดเงินกับธนาคารอืนได้ ไม่สะดวกแก่ผู้ถือบัตรแต่ทว่า
มันเป็นผลดีกับธนาคารคือ ธนาคารไม่ต้องเสียค่าธรรมเนี่ยมในการกดบัตรระหว่างตู้ปัจจัย (ตู้ ATM)
ของธนาคารแห่งอื่นๆ แถมไม่มีปัญหาเรื่องการโจรกรรมข้อมูลอีกต่างหาก
สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งเล็กที่ทุกคนมองข้ามไป

อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงสำหรับตู้ปัจจัย คือ การย้ายสถานที่ตั้งของตู้ เมื่อก่อน สังเกตว่า ตู้ปัจจัยเหล่านี้
อยู่ตามสถานที่ตั้งของธนาคาร แต่ทว่า ปัจจุบันนี้ ได้ไปอยู่ตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ เช่น ร้้านสะดวก ร้านขายยา เป็นต้น
ซีึ่งไปอยู่ตามสถานที่เหล่านั้น จำเป็นต้องเช่าสถานที่ ซึี่งเข่าอย่างน้อย 1 เมตรคูณ 1 เมตร ระยะเวลาก็แล้วแต่การทำสัญญาการเช่า เมื่อหมดสัญญาก็เปลี่ยนเจ้าในการตั้งเครื่อง ย้ายไปก็ย้ายกันมา ก็เลยมีนักประดิษฐ์หรือนักคิด ก็คิดว่า เมื่อก่อนต้องสายทองแดงไปเชื่อมต่อ เข้าในตู้ปัจจัย ก็ใช่เสาสัญญาณสื่อสารแทนดีกว่าไหม สะดวกด้วย เพราะ โทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นพัฒนาสัญญาณอยู่เรื่อยๆ ให้ครอบคลุมพื้นที่บริการทั่วประเทศ ดังนั้น ปัจจุบันเลยได้เห็นตู้ปัจจัยมีเสาสูงๆๆติดอยู่ตามตู้ แทนที่เป็นสายเข้าตู้

========================================================
อีกเรื่องที่ต้องการให้อ่านคือ
ตอนนี้เป็นฤดูกาลออกงบประจำปี
งบประจำปีนั้นเป็นงบที่ผ่านการตรวจสอบจากนักบัญชีที่ได้รับอนุญาต แล้ว
แต่ทว่า นักลงทุนดูบรรทัดสุดท้ายว่ากำไรเพิ่มหรือหดตัวมากแค่ไหน แต่ไส้ในของงบการเงินไม่ค่อยได้ดู
อีกอย่างนักลงทุนให้น้ำหนักการลงทุนเป็นรายสามเดือนตามรอบที่งบการเงินออกมา
งบการเงินรายไตรมาสนั้น (ยกเว้นงบการเงินไตรมาสสี่ของบริษัท) นั้นเป็นงบสอบทาน ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ
นักบัญชีมีเวลาน้อยในการออกงบ ดังนั้นอาจจะมีความผิดพลาดได้สูงกว่างบประจำปี
แถมบางบริษัทนั้นชอบตั้งสำรองในตอนที่ออกงบไตรมาสเสียด้วย แต่สุดท้ายพอออกงบปีก็แก้ไขการตั้งสำรอง เพราะมีเวลานานในการตรวจสอบ จุดนี้แหละ ที่ต้องระวังหน่อย
ถ้าหากดูภาพใหญ่ในการเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลในอุตสาหกรรมเดียวกัน (ถ้าใครคิดเป็น Chainหรือห่วงโซ่) เค้าเห็นภาพเลยว่า ถ้าจุดหนึ่งมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วกระทบกับตัวบริษัทที่เราสนใจอย่างไร นั้นเอง

ส่งท้าย
นักลงทุนที่มีเวลา ควรที่อ่าน คำวิเคราะห์และคำอธิบายของธนาคาร ที่ส่งงบการเงิน
คำวิเคราะห์ของธนาคารทุกแห่งนั้นให้ภาพของเศรษฐกิจได้ดีเลยทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอเอกสารของธปท หรือ เหล่าสำนักวิเคราะห์งบทั้งหลายหรอก อ่านจุดนี้ไว้ก่อนแล้ว ภาพใหญ่จะเห็นว่าตอนนี้ นักลงทุนควรติดอาวุธอะไร
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 193

โพสต์

เทรนมาใหม่ มาแรงสำหรับตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตอนนี้คือ
1. Big Lot ใหญ่ๆๆ โดยที่ยังไม่เปิดเผย รายชื่อ
2. ผู้บริหารที่เป็นผู้ถือหุ้นอายุมากๆ แล้วขายหุ้นออกมา
ตอนนี้เป็นที่ได้ความนิยม เพราะ 3 CASES ที่เกิดขึ้นแล้วอาการเดียวกันทั้งหมดหมดเลย
คือ วิ่งหน้าตั้งเลยทีเดียว ต้องรอดูว่า ผู้ควบคุมกฏจะดำเนินการอย่างไรในกรณีแบบนี้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 194

โพสต์

ความกลัวของนักลงทุน
ในยุคนี้ความกลัวของนักลงทุนแนว VI นั้น กลับกลายเป็นกิจการที่ดี แต่ไม่มีสภาพคล่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่แลกและจริง
แถมหากติดอยู่ ภาวะการเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วด้วย นักลงทุนยิ่งไม่ลงทุน
อาจจะเป็นไปได้ว่า ขนาดของการลงทุนของนักลงทุน VI นั้นใหญ่มากๆ ซื้อไม่ได้มากนั้นเอง หรือ เป็นเพราะไม่เข้าใจกิจการที่เป็นกิจการที่ดี หรือเปล่า หรือ ติดปัญหาที่เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ กลัวที่ซื้อแล้ว เวลาขายทำได้ยาก หรือ มีความกังวลใจเรื่องการเพิกถอนหลักทรัพย์ออกนอกตลาด(ห)หลักทรัพย์ประกอบด้วย
จริงๆแล้ว ถ้าหากนักลงทุนแนว VI มีความรู้ในกิจการที่เพียงพอ ,มีเวลาในการติดตามการดำเนินการของกิจการ และ ราคาหลักทรัพย์เป้าหมายนั้นราคาไม่สมเหตุสมผลคือราคามันต่ำกว่ามูลค่าที่นักลงทุนคำนวณแล้วไซร้ ต้องทำลายล้างความมโนของตัวเองในด้านมืดให้ได้ มิฉะนั้น กิจการดีราคาถูก มันไม่ใช่หากันง่ายๆในวินาที แล้วไม่ซื้อ แล้วมาร้องเเสียดาย รู้งี้ซื้อแล้ว
ดังนั้นเมื่อนักลงทุนมีโอกาสก็ควรที่ลงทุนเลย เป็นการที่ดีที่สุด

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องบอก กลัวกันจริง กลัวกันจริง เรื่องเพิกถอนกิจการ อาจจะต้องกลับไปอ่านกฏหมายที่เกี่ยวข้องคือ ประมวลกฏหมายเพ่งและพาณิชย์ ซึึ่งเป็นแม่บทของกฏหมาย พรบ บริษัทมหาชน พรบ ตลาดหลักทรัพย์ ประกอบ นั้นคือการอ่านให้มาก เพื่อให้เพิ่มพูนความรู้นั้นเอง ถ้ามีความรู้แล้ว มันคืออาวุธสำคัญของเรา
การไม่รู้ซิ ยิ่งทำให้ต้องรู้ให้ได้ เพื่อหาคำตอบเหล่านั้นให้ได้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 195

โพสต์

ตั้งแต่ต้นปี 2558 เป็นต้นมานั้น มีแต่ข่าวเรื่องเงินร้อน ไล่ตั้งแต่ กรณีของธนาคารกับเงินของมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง โดยเจ้าหน้าที่การทางเงินยักยอกทรัพย์ออกจากบัญชีของมหาวิทยาลัียแห่งนั้น กรณีนี้จบด้วย มหาวิทยาลัยแห่งนั้นย้ายเงินฝากไปธนาคารพาณิชย์ที่มีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นหลัก แทนที่ธนาคารพาณิชย์ของเอกชน และ ธนาคารพาณิชย์เองรับผิดชอบความเสียหายในจำนวนเงินระดับที่มหาวิทยาลัยยอมรับได้
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่มาโด่งดังในช่วงนี้ (เดือน มีนาคม 2558) คือ กรณีของ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กับวัดแห่งหนึ่ง
ดังมาพร้อมกันเลย ซึ่งกรณีนี้เป็นกรณีที่สั่นคลอน เสาหลักด้านการเงินของประเทศไทยเลยทีเดียว (เสาหลักภาคการเงินนั้นในหนังสือ ระบุไว้ ว่ามีเสา สามต้นคือ ธนาคารพาณิชย์ ,สหกรณ์ และ บริษัทประกัน ที่เป็นตัวกลางในการระดมเงินทุนจากภาคระชาชน) หากสหกรณ์ดำเนินการตามปกติ ไม่มีปัญหาเรื่องการยักยอกหรือฉ้อโกงได้โดยง่าย แต่ทว่าเมื่อมีช่องโหว่งในการดำเนินการ และการตรวจสอบและกำกับโดยภาครัฐ (สหกรณ์ขึ้นกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีกรมที่เกี่ยวข้อง คือ
1. กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
กรมตรวจบัญชีสหกรณ์มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ กำกับ แนะนะการบริการ รวมทั้งรับผิดชอบการฝึกอบรมด้านการบริหาร การเงิน การบัญชีของกลุ่มสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ในขณะเดียวกัน กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ก็ทำหน้าที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรดังกล่าวเพื่อการเผยแพร่ต่อไป
2. กรมส่งเสริมสหกรณ์
กรมส่งเสริมสหกรณ์ทำหน้าที่ส่งเสริมสหกรณ์ และเผยแพร่แนวความคิดนโยบายและการดำเนินงานเรื่องการสหกรณ์ไปสู่ชุมชน โดยหน้าที่หลัก คือการทำการศึกษาและวิจัยเรื่องการสหกรณ์ รวมทั้งให้ความรู้ ฝึกอบรม และส่งเสริมธุรกิจสหกรณ์ ให้การช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ในด้านวิชาการ ด้านการเงิน และด้านอื่นๆ อีกทั้งรับผิดชอบการจัดรูปที่ดินและการทำการจัดสรรสู่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินทำกิน ภายใต้กฎระเบียบสหกรณ์
กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังได้จัดทำฐานข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ขึ้น เพื่อช่วยเหลือในการส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์และพัฒนาการตลาดให้แก่กิจการสหกรณ์ทั้งหลาย และยังได้จัดตั้งตลาดสหกรณ์และร้างเครือข่ายความร่วมมือในกลุ่มสหกรณ์ด้วยกัน ) ซึ่งไม่ใช่หน่วยงานอิสระเหมือน คปภ หรือ ธปท นั้นเอง อาจจะโดยภาวะแทรกแซงได้นั้นเอง

เมื่อประชาชนเกิดความเสื่อมศรัทธาในระบบสถานบันทางการเงินแล้ว มันทำให้เศรษฐกิจของประเทศทรุดลงจากเดิมไปได้อย่างมากเลยทีเดียว ปัญหานี้ นักลงทุนมองว่าเป็นปัญหาไกลตัว แต่ทว่า จากปริมาณความเสียหายแล้ว มันมีขนาดเท่ากับธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางเลยทีเดียว มิใช่น้อยๆละนั้น

ย้อนกับไปเมื่อ ครั้นวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 นั้น ต้นเหตุตัวหนึ่งในการเกิดวิกฤติคือ ธนาคารพาณิชย์มีปัญหา คือ ธนาคารกรุงเทพ พาณิชย์การ จำกัด นั้นเอง เป็นต้นตอที่ประชาชนแห่ไปถอนเงินจนเกิดภาวะ Bank Run เอาตัวไม่รอด ประกอบกับ การบริหารของคณะกรรมการของธนาคารที่ผิดพลาด การตรวจสอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง หย่อนยาน เลยทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในตัวธนาคารแห่งนี้ ผลคือ แห่ไปที่ธนาคารถอนเงิน (ตอนปี 2557 ก็มีประชาชนแห่ไปถอนเงินกับธนาคารเฉพาะกิจแห่งหนึ่งที่ประกาศว่า มีสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง แต่เมื่อเกิดขึ้นประชาชนแห่ถอนเงินจริงๆ ต้องรีบดำเนินการในการหยุดประชาชนแห่ไปถอนเงินในระดับเวลาประมาณ 5 วันเท่านั้น) จนสุดท้ายธนาคารแห่งนั้นก็มีกองทุนมหัศจรรย์ (กองทุนฟื้นฟูฯ) เข้าดำเนินการเพิ่มทุนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ ในเวลาต่อมาก็ปิดกิจการ แยกส่วนที่ดีออกจากส่วนที่เน่า เพื่อไปควบรวมกับธนาคารพาณิชย์แห่งอื่น เหลือแต่ บริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งหนึ่งที่บริหารหนี้เน่าต่อไปจนปัจจุบนก็ยังอยู่สำหรับบริษัทบริหารสินทรัพย์(ธนาคารแห่งนี้ได้ดำเนินการจดชำระบัญชีเป็นทีเรียบร้อยแล้ว)
เนี่ยคือ ระเบิดเวลา ที่รอให้เวลาระเบิดหรือ ถอดชนวนปัญหานี้ลงได้
เดิมพันของระเบิดเวลานี้ ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในหน่วยงานของภาครัฐอย่างมากแน่นอน อาจจะมีหน่วยงานอิสระเพิ่มเติมจากในปัจจุบันก็เป็นไปได้

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 196

โพสต์

มาชี้เป้าร้านหนังสือมือสอง ที่กำลังย้ายร้าน อยู่แถวสามแยก (ตรงจากวัดเล่งเนี่ยยี่ ตลาดเก่าขึ้นไปนิดหน่อย)
ร้านกำลังย้ายไปที่ใหม่ ทำให้ หนังสือราคาถูกมากๆๆ ถึงมากที่สุด เลย เนื่องจาก ไม่ต้องการขนหนัก
แลกเป็นเงินดีกว่าครับ
เงื่อนไขของร้านนี้คือ ไม่ต้องต่อกันดีกว่า เอาหนังสือแถมไปดีกว่าครับ
ร้านใหม่ของแกเปิดวันที่ 1 เดือน เมษายน 2558

ลองไปคุ้ยหนังสือกันละกัน

เหตุผลที่ย้ายคือ เช่าที่ไปทำ คอมมูนิตี้ มอลล์ (เอาซิทำกันกลางเมืองแบบนี้ ใครหนอ ช่างกล้าหาณแบบนี้)
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 197

โพสต์

การเปลี่ยนแปลงในการประชุมผู้ถือหุ้นที่ได้เห็นในปีนี้ คือ
1. ไม่เห็นภาพผู้ถือหุ้นที่โกยอาหารว่างใส่ถุงกลับบ้าน แต่กลับได้เห็น การถือกล่องของว่างและน้ำผลไม้เป็น package ของทางโรงแรมหรือสถานที่จัดงาน กลับบ้านเท่านั้น
2. มีคำถามเรื่อง คอรัปชั่น ถามบริษัททั้งหลาย และแนวทางที่ขยายไปยังบริษัทคู่ค้า
3. ชาและกาแฟที่เติมไม่อั้น มีตั้งวางเต็มบนโต๊ะตลอดเวลา รวมไปถึงน้ำเปล่า ที่ตั้งไว้เต็มตลอดเวลา

เนี่ยคือปรากฏการณ์ที่ได้เห็นในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 ถือว่าเป็นมิติใหม่ในการประชุมที่ได้ประสบพบเจอ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 198

โพสต์

กลับมาจาก Meeting TVI ครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่ทว่าอย่างไรก็ตามก็ต้องพัฒนาตัวเองเรื่อยๆไป
นี้คือ เหตุผลที่คุณต้องไปพบปะพูดคุยกับเหล่าเพื่อนนักลงทุน ได้แลกเปลี่ยนมุมมองในการลงทุนบ้าง เพื่อเปิดมุมมองใหม่ให้แก่คุณเอง

โดยงานนี้ผมไปตั้งแต่ 15.10 น. เริ่มเปิดลงทะเบียนได้ไม่น่า มีเหล่าเพื่อนๆนักลงทุนที่มากันแล้วประมาณ 8-9 ท่าน
น่าเสียงได้วันนี้ไม่ค่อยมีเสียงเท่าไร (เสียงแหบมากๆๆ งดให้เสียงหรือใช้เสียงให้น้อยที่สุด) แต่ได้ฟังนักลงทุนหลายๆท่านก็รู้ตัวเลยว่า ต้องพัฒนาตัวเองต่อไป

งานนี้ต้องขอบคุณพี่โจ ที่แบ่งปันมุมมองในการลงทุนครับ
ขอบคุณมุมมองในการลงทุนของดร.นิเวศน์ ในการลงทุนประเทศเวียดนาม
ขอบคุณคณะกรรมการผู้จัดงานครับ ที่เลือกภัตตาคาร จันทร์เพ็ญ ที่รองรับคนในขนาดพอเหมาะกับสภาพตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวลานี้ (สังเกตว่า ผู้ร่วมงาน ไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควร ไม่เหมือน บรรยายกาศเมื่อสองสามปีก่อนหน้านี้ คึกคักอย่างมากมาย) แต่อย่างไรเสียเรามาเพื่อแบ่งปันกันและกัน อาจจะมีมุมมองที่ไม่เหมือนกันนั้น หรือมุมมองเดียวกับเรา ก็ฟังไปเพื่อดูว่า หลักทรัพย์ที่ลงทุนนั้นมีข้อเสียตามนั้นจนไม่น่าลงทุน หรือข้อเสียมันเป็นเพียงข้อเล็กน้อย ลงทุนต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของท่านๆ เหล่าเพื่อนนักลงทุนได้แค่แบ่งปันข้อมูลเท่านั้น ตามคำที่พูดกันว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาก่อนการลงทุน" นั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 199

โพสต์

ขอเล่าเรื่องการเข้าถึง the Internet หน่อยละกัน
ตอนนั้นจำได้เลย ว่าเรียนหนังสืออยู่ชั้นมธัยมศึกษาต่อปลาย
ช่วงนั้น การท่องโลกอินเตอร์เน็ตนั้น ใช้ Modem แล้วต่อสายพ่วงโทรศัพท์ในการใช้งาน
เสียทั้งค่าหมุนโทรศัพท์ เสียทั้งค่าซื้อชั่วโมงการให้บริการ (มันคล้ายๆปัจจุบันหรือเปล่าหนอที่เราใช้มือถือหรือเปล่าหนอ) ตอนนี้จำได้ว่า มีชั่วโมงให้เล่น 50 ชั่วโมง คิดประมาณ 500 กว่าบาท ต่อเฉลี่ยชั่วโมงละ 10 กว่าบาท
ซื้อยาวเป็น Package เลยทีเดียว จากยุคนั้น Modem 33.6kbps(kpbs คือ 1024 บิตต่อวินาทีที่ส่งได้ 8 บิตเป็น 1ไบต์ของตัวอักษร) เวลาล่วงมา ขายกันเกลื่อนห้างดังแถวประตูน้ำ ทุกร้านมีการวางแผงขายชั่วโมงการเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ต เดินชั้นไหนก็เจอะเจอ มีป้ายแปะไว้ทั้งในตู้ หน้าร้านเลยว่า ยี่ห้อไหน ราคาเท่าไร ใช้ได้กี่ชั่วโมง แบบว่าแข่งกันใช้มาตราราคาฝ่าฟันกัน จนยุคต่อมาก็เริ่มไม่คิดเวลาให้บริการ เชื่อมต่อ คิดเป็นรายเดือนในการเชื่อมต่อ ในราคาที่ 690 บาทต่อเดือน ได้ ADSL มาใช้งานผ่านสายโทรศัพท์ โดยไม่ต้องหมุนเลขหมายให้เสียเงิน แต่มีอุปกรณ์เพิ่มเติมที่ต้องใช้งานคือ ADSL Modem มาใช้งาน ซึ่งความเร็วที่ได้รับนั้นตอนแรกคือ 2Mbps ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเร็วมากๆ สำหรับการใช้งานอินเตอร์ที่บ้าน จนระยะเวลาผ่านไปตั้งนานมากๆ ความเร็วในการเชื่อมต่อถึงได้เริ่มขยับเป็น 4 Mbps ,5Mbps และ 10Mbps ซึ่งยุคที่เป็น 10 Mpbs นั้นคือ ถึงข้อจำกัดของสายโทรศัพท์ตามบ้านแล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนชนิดของสายที่นำพาสัญญาณมา เปลี่ยนจากสายทองแดงที่เป็นคู่สายโทรศัพท์เป็น ทองแดงที่ใช้กับเคเบิ้ลทีวี (บางเจ้าเรื่องว่า fiber to Home แต่จริงๆมันเป็นสายทองแดง มิใช่ Fiber optical จริงๆ ที่แกนกลางเป็นเส้นแก้วบางๆใสๆ) ซึ่งยุคนั้น ก็ 590 บาทต่อเดือน เริ่มจากสองเจ้า ขยายมาเป็น 3,4,5,6,7 เจ้าเรื่อยๆมา แต่สุดท้ายเหลือเจ้าใหญ่ๆ ไม่กี่เจ้า ในขณะเดียวกันการพัฒนาของ เครือข่ายการเข้าถึงเจ้าอินเตอร์เน็ตนั้น จากเดิมใช้สาย เปลี่ยนแปลงมาเป็นไม่ใช่สาย เริ่มมี WiFi ,Edge มาให้ลองใช้งานกัน จนกระทั่งยุคของ 3G และปัจจุบันก็ 4G
เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า ยุคของ Edge นั้น ผมได้ใช้งาน Edge แบบคิดเป็นรายนาที /รายชั่วโมง กับ คิดเป็นจำนวนข้อมูลที่ส่งผ่านมา ซึ่งในปัจจุบัน แบบคิดเป็นรายนาที/รายชั่วโมงไม่มีค่ายมือถือค่ายไหนนำมาเรียกเก็บค่าบริการในปัจจุบัน มีแต่คิดการรับส่งข้อมูลเท่านั้นที่ยังอยู่ แถมเริ่มมีการทบยอดได้ด้วย

ดังนั้น สิ่งที่น่าจับตามองต่อไปคือ จากการใช้สายไปสู่ยุคของการไม่ใช่สาย สำหรับชีวิตที่อยู่ในนอกบ้าน
แต่สำหรับชีวิตที่อยู่ในบ้านนั้น ยังคงพึ่งพาพวก ADSL ,Fiber to Home อยู่หรือเปล่า มากน้อยเพียงใด มันก็น่าคิด

อาจจะมีคนแย้งในใจว่า แล้วภาคธุรกิจเป็นเช่นไรละ ภาคธุรกิจ นั้นก็เริ่มไม่ใช่สายแลนในการเชื่อมต่อภายในอาคารกันมาได้ซักพักหนึ่ง เริ่มใช้งาน Wifi ภายในอาคาร เนื่องจากอุปกรณ์ภาครับสัญญาณนั้น มีในตัว Notebook หรือ มือถือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่มแต่อย่างไร ในปัจจุบัน มันจึงนิยมมากขึ้น แต่อย่างไรเสีย ข้อจำกัดของ Wifi คือ อุปกรณ์เครือข่ายตัวส่งสัญญาณนั้น มีข้อจำกัดในการเข้าใช้งานหากมีอุปกรณ์จำนวนมากมาใช้งาน ในบริเวณเดียวกัน ก็ทำให้เครื่องอื่นๆที่เข้าใช้งาน ไม่สามารถเข้าถึงได้

ลองพิจารณาดูล่ะกัน ว่าเดี๋ยวเทคโนโลยี่มันพัฒนาไปไกลจน ต้องคิดย้อนกลับไปมองอดีตของเราที่ผ่านมา ว่าเป็นเช่นไร

ปล.
มีช่วงหนึ่ง บ้า FF6 เพลง eye on me นั้นโหลดกับเพื่อนตอนที่เรียนปริญญาตรี โหลดทีเป็นอาทิตย์กว่าจะได้ครบ ขนาดมันไม่ใหญ่มากหรอก แต่ทว่า ช่องสัญญาณที่ใช้เชื่อมต่อในสมัยนั้นมันเล็กมากกว่าสมัยนี้อย่างเทียบกันไม่ติด
ตอนนั้น ตัวที่ทำหน้าที่เป็น Interchange คือ Nectec มิใช่ CAT ,TOT หรือ ผู้ให้บริการอย่างในปัจจุบันนี้ ดังนั้น ทุกช่องทางที่ออกไปต่างประเทศผ่าน Nectec ทั้งหมด ต่อมาก็ย้ายไปให้ CAT และผู้ให้บริการรายอื่นๆ เป็นตัวกลางในเชื่อมต่อ แต่ในปัจจุบันมีเป็นสิบเจ้าในการเชื่อมต่อ ดังนั้น กว่าจะโหลดได้ก็เป็นอาทิตย์เลย ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่อุตสาหะโหลด Music :Eye on me ของ FF มาให้ดูในเวลานั้นครับ

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 200

โพสต์

เรื่องของการผ่อน ทั้งรถยนต์และบ้าน
อันนี้อยากเขียนไว้ให้อ่านกัน เอาความจริงมาตีแผ่กันว่าทำไมหนี้ครัวเรือนตอนนี้ถึงสูง
มันเป็นเพราะยุทธวิถีเรียกประชาชนมาผ่อน โดยผ่อนตอนแรกผ่อนน้อยๆ แต่ผ่อนไปก็ปรับอัตราดอกเบี้ย
ในกรณีของรถยนต์ ดอกเบี้ย 4 ปีแรกคิดดอกเบี้ยรถยนต์มือ 1 ที่พึ่งออกจากศูนย์ แต่เมื่อครบ 4 ปีแล้ว
คนที่ผ่อนนั้นสามารถเอาเงินมาโป๊ะส่วนที่เหลืออยู่ หรือ ผ่อนตอน แต่ตอนนี้เป็นดอกเบี้ยในอัตราของรถยนต์มือ 2
ถึงแม้นว่า ผ่อนกับสถาบันการทางเงินเดิมก็ตาม (ช่วงนั้นสถาบันที่ปล่อยกู้ มีทั้งที่มีชื่อตามค่ายรถยนต์ ธนาคารและลิสซิ่ง) นั้นคือ ช่วงแรกดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ค่าผ่อนต่ำไปด้วย แต่ทว่า เมื่อครบ 4 ปีแล้ว คราวนี้ดอกเบี้ยสูงเลยละ (เพราะอัตราดอกเบี้ยของรถยนต์มือสองแพงกว่ามือ 1 ตอนนี้กำลังหาสาเหตุว่าเป็นเช่นนี้เพราะอะไรหนอ)

ส่วนในกรณีของคอนโดมิเนี่ยมนั้น ที่ผมรู้มาคือ โครงการช่วยผ่อนในช่วง 2 ปีแรก เรียกได้ว่าบางโครงการ ผู้ผ่อน 50:50 โครงการเลยก็มี แต่เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าว (2 ปีนั้น เพื่อให้โครงการสามารถจัดตั้งนิติบุคคลของโครงการ ทำให้บริษัทไม่ต้องเป็นผู้เกี่ยวข้องกับโครงการอีกแล้ว) ผู้ผ่อนก็ได้รับโปรโมทชั่นทันทีคือ ยอดผ่อนเพิ่มขึ้นทันทีเลยทีเดียว แถมยุทธ์วิถีการกู้คือ ราคาห้องพักได้ประมาณ 80-90% ที่เหลือ ก็กู้เป็นค่าตกแต่งห้อง ซึ่งจริงๆแล้ว โครงการนั้น ตกแต่งให้เรียบร้อย จึงออกมาในรูปแบบการกู้ได้ 100% นั้นเอง โดยดอกเบี้ยค่าตกแต่งห้องแพงกว่าดอกเบี้ยที่ค่าห้องและ ระยะเวลาการผ่อนก็น้อยกว่าด้วย

เนี่ยคือ เหตุผลหนึ่งที่ทำไม หนี้ครัวเรือนถึงไม่ได้ลดลงเลย
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 201

โพสต์

พอดีเพิ่งจะว่างจากงานประจำ (จริงๆก็ไม่ว่างหรอกแต่มันพักรบไปได้อีก 2 -3 วัน) เลยมีเวลามาเขียนเรื่องของกฏอัยการศึกที่ประกาศยกเลิกหน่อยละกัน ในมุมมองของการท่องเที่ยว

ตอนที่ประเทศไทยประกาศกฏอัยการศึก ต่างประเทศก็ให้คำแนะนำว่า ถ้าหากไม่มีเหตุจำเป็นไม่ให้ประชาชนเดินทางมาประเทศไทย กันหลายประเทศ ,สายการบินไหนที่มีเที่ยวบินมายังประเทศไทย ก็ต้องเพิ่มค่าเสี่ยงภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ด้วย ,นักท่องเที่ยวไม่สามารถซื้อประกันเพื่อคุ้มครองการท่องเที่ยวได้ พลอยทำให้บริษัทท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มีตัวแทนในต่างประเทศไม่มีลูกค้าเลยทีเดียว สิ่งเหล่านี้คือ ภาพที่กระทบในตอนนั้น

ตอนนี้ ได้แต่หวังว่า ประกาศยกเลิกกฏอัยการศึกแล้ว ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว ลง มันทำให้บริษัทประกันออกกรมธรรม์ตัวปกติให้แก่นักท่องเที่ยวได้ บริษัทท่องเที่ยวก็มีลูกค้า หากมีการประชาสัมพันธ์ที่รวดเร็วให้ประชาชนประเทศเป้าหมายได้รับรู้ เพราะว่า เดือนเมษายน ของทุกปี มีเทศกาลสงกรานต์ มันคือการสาดน้ำครั้งสำคัญของโลก ไม่มีชาติอื่นๆ เทียบเคียงการมาสงกรานต์ของไทยได้
สายการบินที่มีเที่ยวบินมาที่ไทยก็ไม่ต้องจ่ายค่าเสี่ยงภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ของตนแล้ว สิ่งเหล่านี้แหละที่ต้องรอดูว่า เมื่อยกเลิกแล้วฟื้นจริงหรือเปล่าสำหรับการท่องเที่ยว


:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 202

โพสต์

วันนี้นึกขึ้นได้ว่า ปีนี้เป็นปีพิเศษในแวดวงประกันของประเทศไทย
เนื่องจาก บริษัท ไทยประกันชีวิต นั้น ซื้อ บริษัทไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต และคืนใบอนุญาตของ บริษัทไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต แก่ คปภ

ทำไมต้องเขียน เพราะว่า นานๆ ที่บริษัทประกันควบรวมกิจการ
โดยปกติ แล้วบริษัทประกันของไทยนั้นไม่ค่อยมีพฤติกรรมในการควบรวมกิจการเท่าไร
มีแต่ล้มหายตายจากกันไปเสียมากกว่า นานๆจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา

ดังนั้นน่าจับตาดูว่า ปีนี้จะเกิด deal แบบนี้อีกหรือไม่
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 203

โพสต์

แวดดวงอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยและประัักันชีวิต มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
รอบนี้คือ พรบ ประกันชีวิต (ฉบับที่3 ) พ.ศ. 2558 และพรบ.ประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558
เป็นฉบับแก้ไข/ปรับปรุง/เพิ่มเติม พรบ ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และ พรบ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535
มีอะไรที่แก้ไข/ปรับปรุง/เพิ่มเติม มีอยู่สองด้านหลักคือ
-โครงสร้างผู้ถือหุ้น/กรรมการบริษัท
- กองทุน

โครงสร้างผู้ถือหุ้นนั้น สัญชาติไทยถือเกินร้อยละ 75 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
แต่มีข้อยกเว้น ถือเกินได้ที่ระดับร้อยละ 49 แต่ต้องขออนุมัติจาก คปภ ก่อน
ถ้าหากเกินร้อยละ 49 ของอนุมัติจากรัฐมนตรี โดยคำแนะนำจาก คปภ

กองทุนมาใหม่อีกสอง กองทุนคือ กองทุนประกันวินาศภัย และ กองทุนประกันชีวิต (เหมือนสถาบันประกันเงินฝาก ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ล้ม)

ยังไม่เพียงแค่นั้น ยังมีร่าง พรบ ประกันชีวิต และ ร่าง พรบ ประกันวินาศภัย รับฟังเสียงจากภาคเอกชนด้วย
ในร่างมีการยกเลิก พรบ ประกันชีิวิต พ.ศ. 2535 ,พรบ ประกันชีิวิต(ฉบับที่2) พ.ศ. 2551 และ พรบ ประกันชีิวิต(ฉบับที่3) พ.ศ. 2558 และ ยกเลิก พรบ ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ,พรบ ประกันวินาศภัย(ฉบับที่2) พ.ศ. 2551 และ พรบ ประกันวินาศภัย(ฉบับที่3) พ.ศ. 2558
ร่างมาให้พิจารณากันแล้ว ก็อ่านกันไว้ก่อน แต่มันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษานั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 204

โพสต์

เศรษฐศาสตร์มหภาค นั้นสอนในบทหนึ่งเรื่องของปริมาณเงิน (Money Supply)
นั้น ผู้ที่ดูแลและควบคุม Money supply คือ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ
การเพิ่มหรือลด Money Supply หลักผ่านทางนโยบายดอกเบี้ย เป็นทางหนึ่ง
และอีกทางหนึ่งคือ แปลงจากกระดาษให้เป็นเงิน โดยต้นทุนคือ กระดาษที่มีความพิเศษป้องกันความปลอดภัย
หมึกพิมพ์ชนิดพิเศษในการป้องกันการปลอมแปลง เทคโนโลยี่ในการพิมพ์ที่ใช้ป้องกันในการปลอมแปลง

รอบนี้ธปท เนียนในเรื่องการเพิ่ม Moeny Supply อย่างมาก
พิมพ์ธนบัตรฉบับ 100 บาท จำนวน 10 ล้านฉบับ ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2558
โดยแลกกันธนบัตรฉบับละ 100 บาท โดย 1 ฉบับต่อ 1 ฉบับ
มีหลายคนบอกว่า ธนบัตรที่แลกนั้นเอาไปทำลายทิ้ง แต่หากมองในวันของเดือนเมษายน 2558 นั้น
มีช่วงวันหยุดยาว คือช่วงวันสงกรานต์ ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายจำเป็นต้องสำรองเงินสดไว้ ไม่ว่าเป็นสาขาหรือ ตู้ ATM ก็ตามที ดังนั้นช่วงนี้ทุกปี ความต้องธนบัตรมีสูงขึ้น ดังนั้น ธนบัตรที่แลกนั้น กลับมาหมุนเวียนในระบบอีกครั้ง

มันคือการอัดฉีดเงินเข้าระบบจำนวน 100*10 =1,000 ล้านบาท ตรงๆ
และเมื่อความต้องการธนบัตรนี้มากขึ้น ทำให้มีการซื้อขายธนบัตร จากการแลก 100 บาทเพิ่มเป็น 120 บาททันที เนื่องจากแลกได้น้อย จึงพิมพ์เพิ่มเติมขึ้นมาอีก 10 ล้านฉบับ ก็มีคนบอกว่าทำลายทิ้งอีก
มองไปที่ต้นเดือนพฤษภาคม 2558 ดีๆๆ มีวันหยุดยาวอีก ช่วงวันที่ 1- 5 พฤษภาคม 2558 (โดยวันที่ 4 พฤษภาคม 2558 เป็นวันหยุดพิเศษ) ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องสำรองเงินให้ประชาชนอีก
เท่ากับ ทั้งสองครั้ง เปลี่ยนกระดาษให้เป็นเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท

ไม่เพียงเท่านั้น ธนบัตรที่พิมพ์ออกมา ประชาชนเก็บรักษาอย่างดี ไม่ค่อยใช้จ่าย/ซื้อสินค้า ดังนั้น คงอยู่ในระบบนานมากๆ เมื่อพิมพ์ออกมาแล้ว ถ้าหากธนบัตรเดิมเอาไปทำลายทิ้ง มันทำให้ระบบการเงินขาดแคลนธนบัตร เงินก็ไม่ได้หมุนเวียนไป

เนี่ยคือ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ คือ ธปท ปั้มเงิน โดยใช้เหตุการณ์พิเศษ
ถ้าคิดกันจริงๆ ตามสิ่งที่เรียนมาแล้ว มันใช่เลยครบทุกข้อแถมต่างชาติไม่สามารถกดดันได้อีกต่างหาก

เอวังด้วยประการฉะนี้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 205

โพสต์

ข่าวนี้น่าจับตามองว่า ต่อไปนี้บริษัทประกันชีวิตที่คำนวณเรื่องการสำรองแล้วมีผลต่อผลประกอบการ
แต่สามารถจ่ายปันผลได้ ตอนนี้ คปภ มีกฏเกณฑ์เรื่องการปันผลออกมาให้ตามข่าวนี้
ลองอ่านดูล่ะกัน ว่าเป็นเช่นไร
----------------------------------------------------------------------------------------

http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B ... 9%E0%B8%99
คปภ.วางเกณฑ์ปันผลผู้ถือหุ้น 14 เมษายน 2558 เวลา 21:17 น.
คปภ.ปกป้องลูกค้า กำหนดเกณฑ์ใหม่บริษัทประกันชีวิตจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้น ฐานะต้องแกร่ง มีแผนธุรกิจชัดเจน
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7
เม.ย.ที่ผ่านมา นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการ คปภ. ได้ออกประกาศฉบับใหม่ เรื่องแนวปฏิบัติในการขอรับความ
เห็นชอบการคำนวณผลกำไรของบริษัทเพื่อประโยชน์ในการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทประกันชีวิต
ทั้งนี้ เพื่อให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัย และสร้างความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันชีวิต เนื่องจาก
กรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นสัญญาระยะยาว เบี้ยประกันชีวิตที่ได้รับจากผู้เอาประกัน ยังไม่ถือเป็นรายได้ของบริษัททั้งหมด
บริษัทต้องกันเป็นเงินสำรองเพื่อจ่ายให้แก่ผู้เอาประกันตามสัญญาจำนวนหนึ่ง ซึ่งจำนวนเงินสำรองดังกล่าวเป็นจำนวนที่
ประมาณการจากสถิติที่ผ่านมาและสมมติฐานที่บริษัทกำหนดขึ้นเอง ดังนั้น กำไรที่ปรากฏในงบการเงินจึงเป็นผลของการคาดการณ์เท่านั้น

สำหรับคุณสมบัติของบริษัทประกันชีวิตที่จะขอรับความเห็นชอบเรื่องการจ่ายเงินปันผลนั้น ต้องมีฐานะการเงินและการ
ดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีอัตราส่วนทางการเงินในระบบสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าและมาตรการกำกับบริษัทประกัน
ชีวิต ซึ่งต้องมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) มากกว่า 200%

นอกจากนี้ ต้องมีอัตราส่วนสินทรัพย์ลงทุนต่อเงินสำรองประกันภัยมากกว่า 110% ต้องมีอัตราส่วนผลตอบแทนจากการ
ลงทุน และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นไปตามมาตรการกำกับบริษัทประกันชีวิต รวมถึงต้องมีกำไรสุทธิต่อเนื่อง 2 ปี รวมงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผล โดยกำไรสุทธิต้องเป็นกำไรที่เกิดจากการประกอบธุรกิจที่แท้จริง
แหล่งข่าวระบุว่า ส่วนหลักเกณฑ์ในการคำนวณผลกำไรของบริษัทว่ามีหรือไม่และเท่าใด เพื่อประโยชน์ในการจ่าย
เงินปันผล ก็ต้องมีการกำหนดแผนธุรกิจ นโยบายการคำนวณผลกำไรเพื่อประโยชน์ในการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น ซึ่ง
ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท มีการกำหนดเป้าหมายอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ใช้ในบริษัทที่
ชัดเจน
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 206

โพสต์

มีใครรู้บ้างไหมว่า ตอนนี้
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำกับและส่งเสริมกำรประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)สมำคมประกันวินำศภัยไทย และกรมธุรกิจพลังงำน ได้ร่วมกันจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยและอัตรำเบี้ยประกันภัยควำมรับผิดตำมกฎหมำย อันเกิดจำกกำรประกอบกิจกำรควบคุมประเภทที่ 3 ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อรองรับประกำศกระทรวงพลังงำน เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีกำรในกำรจัดให้มีกำรประกันภัยควำมรับผิดตำมกฎหมำยแก่ผู้ได้รับควำมเสียหำยจำกภัยอันเกิดจำกกำรประกอบกิจกำรควบคุมประเภทที่ 3 พ.ศ. 2557 ที่กำหนดให้ผู้ประกอบกำรธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงก๊ำซปิโตรเลียมเหลวและก๊ำซธรรมชำติต้องจัดทำประกันภัยเพื่อคุ้มครองบุคคลภำยนอกสำหรับควำมเสียหำยจำกไฟไหม้ หรือกำรระเบิดจำกกำรประกอบกิจกำรดังกล่ำวให้แล้วเสร็จภำยในวันที่ 19 พฤษภำคม 2558

น่าจับตาว่า ยอดเบี้ยประกันดังกล่าว ทำให้รายได้ของบริษัทประกันวินาศภัย เติบโตได้แค่ไหน

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 207

โพสต์

ตอนนี้เป็นช่วงที่เริ่มประกาศผลประกอบการของธนาคารพาิณิชย์ สำหรับไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 แล้ว
ผลประกอบการเติบโตจากไตรมาส 4 ของปี 2557 เล็กน้อย (ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4-5 แห่งยังไม่ได้ประกาศออกมา) สิ่งหนึ่งที่ได้พบเจอ คือ รายได้ค่าบริการของธนาคารเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง ส่วนรายได้หลักก็ยังคงเติบโต ซึ่งขัดแย้งจากภาพที่ปรากฏในหน้าสื่อต่างๆ ที่เป่้าประกาศว่า หนี้สินครัวเรือนอยู่ในระดับสูง การปล่อยสินเชื่อได้น้อย จำนวนยอดสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้สำหรับรถยนต์,Big bike ,คอนโดมิเนี่ยม สูงขึ้น

มันแปลกหรือเปล่า
หรือว่ามันเป็นปัญหาเรื่องเทคนิคของธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ยอมปล่อยกู้ เนื่องจาก ธนาคารพาณิชย์สามารถหาแหล่งรายได้จากแหล่งอื่นมาทดแทนได้ มันก็เป็นเรื่องที่่น่าคิด ทีเดียว

อีกด้านหนึ่ง ธนาคารพาณิชย์ไม่ใช่เสือนอนกินอีกต่อไป หากไม่เปลี่ยนแปลงไปสู่โลกของดิจิตอล ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้ผูกติดกับเบอร์มือถือกันแล้วทีเดียว โดยสามารถฝากเงินเข้าเบอร์มือถือของค่ายหนึ่งเหมือนบัญชีออมทรัพย์เลยทีเดียว และผู้ให้บริการก็ให้ดอกเบี้ยตอบแทนด้วย มีบริการโอนเงินอีกต่างหาก มันเป็นการพัฒนาอีกก้าวหนึ่งของผู้ให้บริการมือถือก็ว่าได้ ว่าเริ่มเข้ามาสู่แวดดวงธนาคารแบบเงียบๆ

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 208

โพสต์

ถ้ามองจากเวลานี้ไปยังปลายปี 2558 มีอะไรที่กระทบอีกบ้างไหมกับตลาดทุน
ณ เวลานี้ จากภายนอกที่กระทบคือ วิกฤติของกรีซ ที่เลื่อนมา ,แรงกดดันเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย สหรัฐ ที่เลื่อนมาเหมือนโยนหินถามทาง ที่เห็นตอนนี้
ส่วนในประเทศ มีเรื่องเล่าหลากหลายมากๆๆ แต่เรื่องใหญ่คือ ประมูล 4G ในคลื่น 900,1800 ,2300 ,การลงทุนภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ ,การลดดอกเบี้ยของธปท
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 209

โพสต์

เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปพบปะลูกค้า ซึ่งลูกค้าคนนี้เล่นหุ้นตามคำบอกของเพื่อนร่วมงาน
เมื่อเราเห็นก็เสาวนาซักหน่อยว่า เป็นเช่นไร

สิ่งที่ได้รับรู้คือ มือใหม่ เพิ่งลงทุน โดยที่มีเงินทุนน้อย ไม่มากมายอะไร
ยังคงหาตัวเองไม่พบ แถม ลงทุนไปแล้ว ก็คิดแต่ได้กำไรอย่างเดียว ขาเดียวด้วยซิ
งานนี้ต้องปรับปรุงทัศนคติในการลงทุน โดยเพราะอย่างยิ่งเรื่องของผลตอบแทน
ที่เป่าประกาศให้เพื่อนร่วมงานรับรู้ ถ้ากำไรมากไปก็เกิดอาการหมั่นไส้ได้ หรือ ขาดทุนก็ทำให้
อารมณ์ไม่ดี พลอยส่งผลถึงเรื่องงานไปด้วย

สิ่งที่ที่ได้เสาวนาคือการลงทุนนั้นไม่ต้องแข่งกับคนอื่นๆหรอก แข่งกันตัวเองนี้ดีที่สุด
แล้วมองการลงทุนเหมือนการฝึกฝนตัวเองในการติดตามดูจิตของเรา ความคิดของเรา
การกระทำของเราว่า เป็นเช่นไร ในแต่ละขณะ เช่นหุ้นขึ้น รับรู้หัวใจพ่องโต ในทางกลับกัน
หุ้นที่เราซื้อไว้ตก ก็ทำให้หัวใจห่อเหี่ยวไม่มีกระจิตกระใจทำงาน เท่าไร หรือเมื่อหุ้นขึ้น
มีอาการโลภเพิ่มขึ้นหรือเปล่า หรือ let it go ปล่อยมันไป วางไว้ได้ว่า ขึ้นก็รับรู้ว่าขึ้น ลงรับรู้ว่าลง
"กระทบแต่ไม่กระเทือน" ,"รับรู้ไม่ต้องปรุงแต่งต่อไป"

เสาวนาไปมา ก็ต้องเป็นอาจารย์เปิดโลกนี้เสียหน่อย เดี๋ยวความรู้ขึ้นสนิท เหมือนดาบที่เก็บไว้แต่ในฝัก
ไม่ได้ถอดออกมาดูว่า ยังคม หรือ ต้องไปลัับให้คม หรือดาบที่เถือกหรือเปล่า
เราเองให้เขารู้เรื่องที่น่าจะง่ายที่สุดคือ ผลตอบแทนกับราคา ,ราคาจริงกับราคาที่คาดหวัง นั้นเอง
อธิบายง่ายๆๆ มองเราเหมือนธนาคาร ว่าเราต้องเอาเงินที่มีอยู่นำไปเกิดดอกผล เพื่อรักษาเงินต้นแก่ผู้ใช้บริการฝากเงินกับธนาคาร ทำอย่าไงรละนั้นเอง
พออธิบายจบ ก็เริ่มมีความหวังในการลงทุนด้วยตัวเองเพิ่มขึ้นมา

อีกอย่างที่เสาวนาคือ Who care!? ใครต้องการรู้ว่าคุณผลตอบแทนเท่าไร หากคุณไม่บอก นั้นคืออะไร
ถ้าคุณบอกว่า ขาดทุน 50% กับอีกคนขาดทุน 10% ในภาวะตลาดแบบนี้ มันเป็นละความรู้สึก แต่เมื่อมองไปลึกๆๆแล้ว
มีใครสนใจคุณบ้างไหม ในทางกลับกัน กำไร 50% กับ กำไร 10% ถ้าเป่าประกาศออกไป ว่านาย A สามารถทำกำไรได้ 50% อันนี้แหละที่มีคนมาสนใจ ค่อยมาถามไถ่ มีคนเข้ามาในชีวิตมากย่ิงขึ้น
ดังนั้นขึ้นอนู่กับมุมมองของเรา ความคิดความเห็นของแต่ละบุคคลละกัน
:)~
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 210

โพสต์

ตอนนี้ บริษัท ไทยประกันชีวิต ได้ควบรวมกับ บริษัท คาร์ดิฟ ฯ เป็นทีเรียบร้อยแล้ว
ขั้นตอนต่อ บริษัท ไทยประกันชีวิต ดำเนินการขอคืน ใบอนุญาต ของบริษัท คาร์ดิฟ ให้แก่ คปภ ต่อไป
นี้เป็น เคสแรกๆๆ ในอุตสาหกรรมประกันชีวิต ที่เกิดการควบรวมเกิดขึ้น
:)
:)