เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 181
สอนคณิตศาสตร์ลูก (เรื่องการคูณ)
หลากหลายเลยค่ะกระทู้นี้
พอดีเพิ่ง share กับเพื่อนเรื่องการสอนคณิตศาสตร์ลูกค่ะ
(เพราะชอบสอนคณิตศาสตร์ลูกเองเหมือนๆกัน)
เลยคิดได้ว่าใน web นี้ น่าจะมีครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ บ้าง...เลยเอามาแบ่งปันให้ด้วยค่ะ
เริ่มสอนเรื่องการคูณ (สำหรับเด็กที่บวกเลขเป็นแล้วนะคะ)
ต้องทำให้ลูกเข้าใจว่า "การคูณ" คือ "การเอาจำนวนเดิมมาบวกกันหลายครั้ง"
เริ่มด้วยการตั้งโจทย์ให้เด็กบวกง่ายๆ แต่ยาวๆ ดูก่อน ดังนี้ค่ะ
3+3+3+3+3+3+3+3+3+3
6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6
9+9+9+9+9+9
อะไรทำนองนี้
.............................................
เค้าจะเริ่มรู้สึกลำบากและท้อถอยเล็กน้อย
เราก็นำเรื่องสูตรคูณมาสอนเลยค่ะ
เพื่อให้เค้าเข้าใจว่า "การคูณ" คือ "ทางลัด" ของการบวกจำนวนเดิมซ้ำๆ" ค่ะ
บอกข้อดีกับลูกว่า "ถ้าลูกรู้จักการคูณ...ลูกก็ไม่ต้องนั่งบวกยาวๆ"
โดยเอาโจทย์เมื่อสักครู่มาแปลงเป็นอย่างนี้ค่ะ
(3+3+3+3+3+3+3+3+3+3) = 33 หรือเท่ากับ (3 x 10) = 33
(6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6) = 72 หรือเท่ากับ (6 x 12) = 72
(9+9+9+9+9+9) = 54 หรือเท่ากับ ( 9 x 6 ) = 54
มีตารางสอนสูตรคูณที่ทำเองแนบมาให้ด้วยนะคะ
นอกจาก "ท่องสูตรคูณ"ได้แล้ว ลูกควรจะเข้าใจที่มาของ "สูตรคูณ" และ "การคูณ" ด้วยค่ะ
ถ้าจะสอน "สูตรคูณแม่ 5" สามารถสอนคู่กับ "การดูนาฬิกา" ได้ด้วยนะคะ
หยิบแม่ 5 และแม่ 10 มาสอนก่อนเลยก็ได้ค่ะ....ง่ายดีค่ะ
หลากหลายเลยค่ะกระทู้นี้
พอดีเพิ่ง share กับเพื่อนเรื่องการสอนคณิตศาสตร์ลูกค่ะ
(เพราะชอบสอนคณิตศาสตร์ลูกเองเหมือนๆกัน)
เลยคิดได้ว่าใน web นี้ น่าจะมีครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ บ้าง...เลยเอามาแบ่งปันให้ด้วยค่ะ
เริ่มสอนเรื่องการคูณ (สำหรับเด็กที่บวกเลขเป็นแล้วนะคะ)
ต้องทำให้ลูกเข้าใจว่า "การคูณ" คือ "การเอาจำนวนเดิมมาบวกกันหลายครั้ง"
เริ่มด้วยการตั้งโจทย์ให้เด็กบวกง่ายๆ แต่ยาวๆ ดูก่อน ดังนี้ค่ะ
3+3+3+3+3+3+3+3+3+3
6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6
9+9+9+9+9+9
อะไรทำนองนี้
.............................................
เค้าจะเริ่มรู้สึกลำบากและท้อถอยเล็กน้อย
เราก็นำเรื่องสูตรคูณมาสอนเลยค่ะ
เพื่อให้เค้าเข้าใจว่า "การคูณ" คือ "ทางลัด" ของการบวกจำนวนเดิมซ้ำๆ" ค่ะ
บอกข้อดีกับลูกว่า "ถ้าลูกรู้จักการคูณ...ลูกก็ไม่ต้องนั่งบวกยาวๆ"
โดยเอาโจทย์เมื่อสักครู่มาแปลงเป็นอย่างนี้ค่ะ
(3+3+3+3+3+3+3+3+3+3) = 33 หรือเท่ากับ (3 x 10) = 33
(6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6) = 72 หรือเท่ากับ (6 x 12) = 72
(9+9+9+9+9+9) = 54 หรือเท่ากับ ( 9 x 6 ) = 54
มีตารางสอนสูตรคูณที่ทำเองแนบมาให้ด้วยนะคะ
นอกจาก "ท่องสูตรคูณ"ได้แล้ว ลูกควรจะเข้าใจที่มาของ "สูตรคูณ" และ "การคูณ" ด้วยค่ะ
ถ้าจะสอน "สูตรคูณแม่ 5" สามารถสอนคู่กับ "การดูนาฬิกา" ได้ด้วยนะคะ
หยิบแม่ 5 และแม่ 10 มาสอนก่อนเลยก็ได้ค่ะ....ง่ายดีค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 182
พอดีตารางเป็น excel เลยไม่สามารถ up load ได้ค่ะtheenuch เขียน:สอนคณิตศาสตร์ลูก (เรื่องการคูณ)
หลากหลายเลยค่ะกระทู้นี้
พอดีเพิ่ง share กับเพื่อนเรื่องการสอนคณิตศาสตร์ลูกค่ะ
(เพราะชอบสอนคณิตศาสตร์ลูกเองเหมือนๆกัน)
เลยคิดได้ว่าใน web นี้ น่าจะมีครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ บ้าง...เลยเอามาแบ่งปันให้ด้วยค่ะ
เริ่มสอนเรื่องการคูณ (สำหรับเด็กที่บวกเลขเป็นแล้วนะคะ)
ต้องทำให้ลูกเข้าใจว่า "การคูณ" คือ "การเอาจำนวนเดิมมาบวกกันหลายครั้ง"
เริ่มด้วยการตั้งโจทย์ให้เด็กบวกง่ายๆ แต่ยาวๆ ดูก่อน ดังนี้ค่ะ
3+3+3+3+3+3+3+3+3+3
6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6
9+9+9+9+9+9
อะไรทำนองนี้
.............................................
เค้าจะเริ่มรู้สึกลำบากและท้อถอยเล็กน้อย
เราก็นำเรื่องสูตรคูณมาสอนเลยค่ะ
เพื่อให้เค้าเข้าใจว่า "การคูณ" คือ "ทางลัด" ของการบวกจำนวนเดิมซ้ำๆ" ค่ะ
บอกข้อดีกับลูกว่า "ถ้าลูกรู้จักการคูณ...ลูกก็ไม่ต้องนั่งบวกยาวๆ"
โดยเอาโจทย์เมื่อสักครู่มาแปลงเป็นอย่างนี้ค่ะ
(3+3+3+3+3+3+3+3+3+3) = 33 หรือเท่ากับ (3 x 10) = 33
(6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6+6) = 72 หรือเท่ากับ (6 x 12) = 72
(9+9+9+9+9+9) = 54 หรือเท่ากับ ( 9 x 6 ) = 54
มีตารางสอนสูตรคูณที่ทำเองแนบมาให้ด้วยนะคะ
นอกจาก "ท่องสูตรคูณ"ได้แล้ว ลูกควรจะเข้าใจที่มาของ "สูตรคูณ" และ "การคูณ" ด้วยค่ะ
ถ้าจะสอน "สูตรคูณแม่ 5" สามารถสอนคู่กับ "การดูนาฬิกา" ได้ด้วยนะคะ
หยิบแม่ 5 และแม่ 10 มาสอนก่อนเลยก็ได้ค่ะ....ง่ายดีค่ะ
ใครอยากได้ทิ้ง email address ไว้นะคะ....จะส่งให้ทาง mail ค่ะ หรือจะ pm มาก็ได้ค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 184
สมาธิจะทำให้เราวางทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีลงค่ะ (แม้ชั่วคราวแต่ก็จะเบาไปเยอะ ยิ่งทำบ่อยยิ่งเป็นการพักจิตใจที่ดีค่ะ)theenuch เขียน:
ขอบคุณค่ะ ไม่เคยนั่งสมาธิ เคยแต่
มีสมาธิตอนถูบ้าน รถน้ำต้นไม้ คือมีสมาธิในระดับแค่จดจ่อกับกิจกรรมที่ทำน่ะค่ะ
แต่ที่คุณแมวตัวกลมๆ แนะนำมาก็น่าจะดีนะคะ...ว่าจะลองศึกษาดูบ้าง
อย่างน้อยกช่วยเรื่องหลับง่ายก็ดีมากแล้วค่ะ เพราะปกติค่อนข้างหลับยากมาก
และถ้ามีผลป้องกันอัลไซเมอร์ด้วยก็จะดีมากเลยค่ะ ...จะลองเริ่มศึกษาดูนะคะ
ไม่ว่าทองคำ หรือ ก้อนหิน แม้ค่าต่างกัน แต่ก็ล้วนมีน้ำหนัก ถ้าเราถือมันไว้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 186
proactive
ขออนุญาตกล่าวถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ ได้เตือนอยู่บ่อยครั้ง
และโดยส่วนตัวรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
คือเรืองของการพิจารณาเรื่องการตายอยู่เสมอ
ว่ามันเป็นธรรมดา จะเร็วหรือช้าเราทุกคนก็ต้องตาย
จากสัจธรรมข้อนี้ ถ้าใครได้พิจารณาอยู่เสมอๆ
จะมีประโยชน์กับชีวิตประจำวันมากเลยค่ะ
ขอยกตัวอย่าง จากกรณีที่พบบ่อยๆ กรณีนึงนะคะ
เคยอ่านเจอและเคยพบเจอคนที่จะขอสินเชื่อบ้านจากแบงค์
แล้วพบว่าแบงค์ต้องบังคับทำประกัน แล้วรู้สึกขัดใจ
(บางแบงค์ไม่บังคับแต่มีดอกเบี้ยถูกกว่าให้สำหรับผูที่ทำประกัน)
ในที่นี้หมายถึง "ประกันคุ้มครองผู้ผ่อนชำระเงินสินเชื่อบ้าน"
ประกันประเภทนี้. จะคุ้มครองกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิตระหว่างกำลังผ่อนบ้าน
ดูเผินๆ เหมือนแบงค์อยากขายประกัน (จะเอาแต่ประโยชน์)
ก็อาจจะจริง...เพราะแบงค์ก็กลัวเมื่อเราตายไปแล้วจะเกิด NPL
เลยบริหารความเสี่ยงด้วยการบังคับทำประกัน
แต่มามองในมุม proactive บ้างดีกว่าค่ะ
ผู้ที่พิจารณาเรื่องความตายอยู่เสมอจะยินดีทำประกันชนิดนี้ค่ะ
เพราะ.....ถ้าเราตายไปคนข้างหลังไม่ต้องผ่อนบ้านต่อแล้วค่ะ
เคยพบเห็นอยู่บ่อยครั้งที่เมื่อหัวหน้าครอบครัว (ลูกหนี้ผ่อนบ้าน)
เสียชีวิตลง คนในบ้านที่ยังอยู่ในวัยเรียน
หรืออาจเป็นคู่ครองที่มีรายได้น้อยไม่สามารถผ่อนบ้านต่อได้
ต้องเสียบ้านให้แบงค์เอาไปขายทอดตลาด
บางทีต้องจ่ายส่วนต่างอีกด้วยถ้าขายได้ต่ำกว่าวงเงินหนี้ที่เหลือ
ดังนั้น สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะขอสินเชื่อบ้าน
ขออย่าได้ประมาท ขอให้พิจารณาเรื่องความตายไว้บ้าง
เราจะได้ไม่เสียดายเงินประกันที่ต้องจ่ายตอนขอสินเชื่อ
ถ้าเราไม่ตาย และเป็นคนมีวินัย
สามารถผ่อนบ้านหมดเร็วกว่ากำหนด
เราสามารถไปขอเวนคืนเบี้ยประกันได้ด้วยนะคะ
(ถ้าเราไม่ได้เอาไปหักลดหย่อนภาษี)
หรือเราจะใช้สิทธิเอาเบี้ยประกันประเภทนี้
ไปลดหย่อนภาษีตั้งแต่ปีแรกที่เราทำประกันก็ได้นะคะ
คิดดูดีๆ แล้วมีประโยชน์มากเลยค่ะ
จ่ายเพิ่มอีกนิดเดียวสบายใจ ตายตาหลับค่ะ
ขออนุญาตกล่าวถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ ได้เตือนอยู่บ่อยครั้ง
และโดยส่วนตัวรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
คือเรืองของการพิจารณาเรื่องการตายอยู่เสมอ
ว่ามันเป็นธรรมดา จะเร็วหรือช้าเราทุกคนก็ต้องตาย
จากสัจธรรมข้อนี้ ถ้าใครได้พิจารณาอยู่เสมอๆ
จะมีประโยชน์กับชีวิตประจำวันมากเลยค่ะ
ขอยกตัวอย่าง จากกรณีที่พบบ่อยๆ กรณีนึงนะคะ
เคยอ่านเจอและเคยพบเจอคนที่จะขอสินเชื่อบ้านจากแบงค์
แล้วพบว่าแบงค์ต้องบังคับทำประกัน แล้วรู้สึกขัดใจ
(บางแบงค์ไม่บังคับแต่มีดอกเบี้ยถูกกว่าให้สำหรับผูที่ทำประกัน)
ในที่นี้หมายถึง "ประกันคุ้มครองผู้ผ่อนชำระเงินสินเชื่อบ้าน"
ประกันประเภทนี้. จะคุ้มครองกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิตระหว่างกำลังผ่อนบ้าน
ดูเผินๆ เหมือนแบงค์อยากขายประกัน (จะเอาแต่ประโยชน์)
ก็อาจจะจริง...เพราะแบงค์ก็กลัวเมื่อเราตายไปแล้วจะเกิด NPL
เลยบริหารความเสี่ยงด้วยการบังคับทำประกัน
แต่มามองในมุม proactive บ้างดีกว่าค่ะ
ผู้ที่พิจารณาเรื่องความตายอยู่เสมอจะยินดีทำประกันชนิดนี้ค่ะ
เพราะ.....ถ้าเราตายไปคนข้างหลังไม่ต้องผ่อนบ้านต่อแล้วค่ะ
เคยพบเห็นอยู่บ่อยครั้งที่เมื่อหัวหน้าครอบครัว (ลูกหนี้ผ่อนบ้าน)
เสียชีวิตลง คนในบ้านที่ยังอยู่ในวัยเรียน
หรืออาจเป็นคู่ครองที่มีรายได้น้อยไม่สามารถผ่อนบ้านต่อได้
ต้องเสียบ้านให้แบงค์เอาไปขายทอดตลาด
บางทีต้องจ่ายส่วนต่างอีกด้วยถ้าขายได้ต่ำกว่าวงเงินหนี้ที่เหลือ
ดังนั้น สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะขอสินเชื่อบ้าน
ขออย่าได้ประมาท ขอให้พิจารณาเรื่องความตายไว้บ้าง
เราจะได้ไม่เสียดายเงินประกันที่ต้องจ่ายตอนขอสินเชื่อ
ถ้าเราไม่ตาย และเป็นคนมีวินัย
สามารถผ่อนบ้านหมดเร็วกว่ากำหนด
เราสามารถไปขอเวนคืนเบี้ยประกันได้ด้วยนะคะ
(ถ้าเราไม่ได้เอาไปหักลดหย่อนภาษี)
หรือเราจะใช้สิทธิเอาเบี้ยประกันประเภทนี้
ไปลดหย่อนภาษีตั้งแต่ปีแรกที่เราทำประกันก็ได้นะคะ
คิดดูดีๆ แล้วมีประโยชน์มากเลยค่ะ
จ่ายเพิ่มอีกนิดเดียวสบายใจ ตายตาหลับค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 187
จริงๆแล้ว ถ้าอ่านดีๆ แบบไม่ตั้งใจจับผิด เจ้าของกระทู้ แล้วละก็canuseeme เขียน: แต่ ผมสงสัยมาแต่ต้นละ
เงินเดือนราชการ บ่องตงๆ นะครับมาถึง 10 ล้าน ก่อน อายุ 40-50 นี่ ยากมาก
พองานราชการผมก็พลอยนึกถึงอาชีพประมาณครู อะไรยังงั้น เกษีณ กันที่ ประมาณ 30000 บาท
มองยังงัย 10 ล้านก็สำหรับเทพเท่านั้น:B
คุณก็น่าจะรู้ว่า เจ้าของกระทู้ เค้าได้เงินมาลงทุนในแนวหุ้นปันผล จากกำไรจากการขายบ้านมาหลายๆครั้ง
เท่าที่อ่านเจอมีตั้งแต่หลักหมื่นบาทไปจนถึงเจ็ดแสนบาทก็มี
แต่ผมอยากให้คุณตรีนุช ช่วยชี้แนะแนวทางหรือวิธีเลือกหุ้นปันผลแต่ละตัวมาเข้าพอร์ทจนทำให้พอร์ทโตมาเกิน 10 ล้าน
อย่างที่บอกกล่าวนั้น ให้เป็นวิทยาทานต่อเพื่อนๆ น้องๆที่เข้ามาอ่านหน่อยซิครับ ผมไล่อ่านมาตั้งแต่ต้น คิดว่าน่าจะยังไม่เห็น
คุณตรีนุชได้อธิบายหรือกล่าวถึงแนวทางหรือหลักการหรือวิธีเลือกหุ้นปันผลแต่ละตัวมาเข้าพอร์ทจนทำให้พอร์ทโตมาเกิน 10 ล้าน
เลยครับ ส่วนวิธีการกินอยู่อย่างพอเพียงที่บอกกล่าวมานั้น ผมชื่นชมเป็นอย่างมากครับ
ขอขอบคุณล่วงหน้านะครับ ผมจะตามมาอ่านอย่างสม่ำเสมอครับ รับรองครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 188
ต้องบอกว่า "เติมเงินเดือนสามี" อยู่เสมอด้วยนะคะ....
ตามหัวข้อกระทู้น่ะค่ะ "เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย"
มาคิดๆ ดูสามีก็เปรียบเสมือน CEO นะคะ
เราเอาเงินเค้ามาทำงานแล้วเราก็ต้องรายงานผลให้ทราบเป็นระยะ
ส่วนเค้านั่งยิ้ม...รอให้เงินงอกเงยอย่างเดียวเลย (ฉลาดนะคะเนี่ย)
ที่สำคัญต้องใช้ชีวิตต้องประหยัด พอเพียง และมองการณ์ไกลด้วย
ประเมินตัวเองจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่คิดว่าตนเองเก่งโดดเด่นอะไร
แต่จะเล่า style ให้ฟังก็ได้ค่ะ เผื่อมีประโยชน์
เคยนั่งคิดว่าจะอธิบายพฤติกรรมการลงทุนของตัวเองอย่างไรดี
ได้คำตอบแบบขำๆ ว่า "คล้ายงูเหลือม" แล้วกันนะคะ
แบ่ง port ดังนี้ค่ะ
กลุ่มที่ 1 (แนว VI) หุ้นถือยาวเพื่อรับปันผลตอนนี้พยายามสะสมกลุ่มนี้ให้มากขึ้น
ถือยาวตราบเท่าที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน หวังอะไรจากหุ้นกลุ่มนี้
หวังปันผลที่เป็น passive income ค่ะ
และอีกกลุ่มคือหุ้นที่ถือไม่ยาวนักถ้าดูเหมือนหยุดการเคลื่อนไหว
จะขายทั้งหมดมาซื้อหุ้นกลุ่มที่ 1 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ หุ้นที่จะถือเพื่อทำกำไรรอบใหญ่
ต้องเป็นหุ้นที่มีปันผลในอัตราที่ดีด้วยนะคะ
สำหรับตัวเองเวลาจะเลือกหุ้นจังหวะเข้าซื้อมีความสำคัญ
และสิ่งที่สำคัญสำหรับการจังหวะการเข้าซื้อด้วย. คือ "จิตวิทยามวลชน" ค่ะ
จะอ่านจิตวิทยามวลชนจาก web นึงที่ไม่ใช่ thai VI
ที่นั่นจะมีคนที่พูดคุยถึงหุ้นต่างๆ มากมาย
ไม่มี login ที่จะเข้าไปคุยนะคะ อ่านอย่างเดียวเลยค่ะ
แต่ถ้าจังหวะและโอกาสดีๆ (ก็อาจจะทำกำไรจากหุ้นพื้นฐานไม่ดีแต่มวลชนชอบบ้าง)
ยกตัวอย่าง เคยเจอหุ้นยางค่ะ มีข่าวจะแตกพาร์
ก็อ่านความคิดของผู้คนต่อเหตุการณ์นั้น พบว่ามีคนตั้งใจจะเข้าซื้อและไล่ราคา
ก็จะสร้างตารางคำนวณรอไว้ เพื่อคำนวณได้อย่างแม่นยำว่า
ซื้อราคานี้ไปขายราคาเป้าหมาย. น่าจะมีส่วนต่างเท่าไหร่
(การคำนวณจะหักค่าธรรมเนียม และ vat ทั้งซื้อและขายด้วย)
และลองใส่ตัวเลขเล่นไว้มากมาย เป็นหลายสิบทางเลือก
และพอมั่นใจในมวลชนก็ซื้อไว้ตั้งแต่เริ่มข้ึนแล้วก็กบดาน "เป็นงูเหลือม" ไปเลยค่ะ
พอเค้าไล่ราคากันเราก็นิ่งรออย่างเดียวเลย รอจนแตกพาร์แล้ว
เสียงมวลชนก็ยังบอกว่าจาก 10 เป็น 1 แล้วจะมาไล่ราคาขึ้นอีก ก็รอจนขึ้นอีกแล้วค่อยขาย
สำหรับกรณีนี้ ให้นึกภาพงูเหลือมที่กลืนเหยื่อท้องแก่เข้าไป
แล้วเหยื่อไม่ตาย ไปคลอดลูกในท้องอีก แล้วลูกก็โตอีก...คงจะเป็นโอกาสพิเศษมากจริงๆ
(อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนักเพราะพื้นฐานหุ้นไม่ถึงกับดีมาก....ถ้าเป็นไปได้อย่าไปทำเลยค่ะ)
ต้องขอบอกว่าได้กำไรมากจริง...แต่ร้อนรนใจและวุ่นวายใจมากพอสมควรนะคะ
ต่างจากหุ้มกลุ่มที่ 1 (ที่ลงทุนแนว VI) ที่ถือไว้้แล้วจิตใจสงบและมีความสุขกว่ามาก
ปัจจุบันเงินเดือนสามีที่ทั้งครอบครัวขยันออม.....จะเลือกสะสมเพิ่มแต่หุ้นแบบที่ 1 เท่านั้นแล้วค่ะ
แต่ก็ต้องรอจังหวะที่มวลชนตกใจจึงจะเข้าซื้อค่ะ....เพราะจะซื้อได้แบบมี MOS มากพอสมควรด้วยค่ะ
เคยเห็นคนที่บ่นแนวการลงทุนแนว VI ....เท่าที่อ่านอย่างละเอียดพบว่า
ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง คือชอบไปซื้อตอนแพง
และซื้อไปทั้งที่ตัวเองก็ไม่มั่นใจในพื้นฐานของกิจการด้วย
เมื่อซื้อไปแล้วราคาตก ก็เลือกเครื่องมือการ cut lost แบบ day trade มาใช้
เมื่อผลไม่เป็นตามที่ต้องการก็มาบ่นว่าแนว VI ไม่ดีก็มีเยอะค่ะ
หุ้นอีกตัวซื้อตอนต่ำ book และกำลังจะ turn around
แล้วถือไว้เกือบปี ขึ้นมาเกือบ 200 % แต่ให้ปันผลต่ำ
ก็ขายเกือบทั้งหมด เอาเงินมาซื้อหุ้นกลุ่มที่ 1
มาถึงการเลือกหุ้นกลุ่มที่ 1 สำหรับตัวเองจะเลือก
1. ปันผลสูง
2. อยู่ในกิจการที่ผู้คนต้องกินต้องใช้ และเป็น trend ของอนาคต
3. ชอบหุ้น domestic play เข้าใจง่ายติดตามง่าย
4. ชอบหุ้น ROE สูงต่อเนื่อง pe สูงหน่อยก็ไม่เป็นไร
5. โครงสร้างประชากร และพฤติกรรมการบริโภคของประชากรคือที่ที่ต้องคำนึงถึง
นึกออกแค่นี้ค่ะ ไม่ซับซ้อนเลยใช้มั้ยคะ
ข้อมูลิงคุณภาพได้จาก web thai VI ค่ะ
ปกติจะไม่ถนัดหาข้อมูลปฐมภูมิเอง ใช้ข้อมูลทุติยภูมิ (หรืออาจจะตติยภูมิเลยค่ะ)
แล้วเอาทั้งหมดมาพิจารณาในการตัดสินใจเลือกหุ้นด้วยตัวเองค่ะ
สะดวก...เพราะยังทำงานประจำ ทำงานบ้านเอง การบ้านลูกก็สอนเองค่ะ
ถ้าไม่ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพจากเพื่อนๆ ใน web แห่งนี้ คงไม่สามารถทำได้อย่างทุกวันนี้ค่ะ
คิดว่าแนวทางการลงทุนที่จะทำให้ประสพความสำเร็จได้อาจมีได้หลายแนว
ขึ้นอยู่กับ life style ของนักลงทุนแต่ละคน
แต่สำหรับตัวเองที่อายุถือว่ามากแล้วและไม่เหมาะที่จะไปเสี่ยงสูงเกินไป
ไม่มีเวลาติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดมากนัก และคิดว่าการลงทุนไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
เรายังต้องมีเวลาสำหรับครอบครัว และสำหรับแบ่งปันแก่ผู้อื่นบ้างเพื่อให้สังคมที่เราอยู่อาศัยดีด้วย
ถ้าไม่ยึดมั่นแนว VI ก็คงไม่สามารถลงทุนด้วยจิตใจสงบและมีความสุขได้อย่างทุกวันนี้ค่ะ
ตามหัวข้อกระทู้น่ะค่ะ "เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย"
มาคิดๆ ดูสามีก็เปรียบเสมือน CEO นะคะ
เราเอาเงินเค้ามาทำงานแล้วเราก็ต้องรายงานผลให้ทราบเป็นระยะ
ส่วนเค้านั่งยิ้ม...รอให้เงินงอกเงยอย่างเดียวเลย (ฉลาดนะคะเนี่ย)
ที่สำคัญต้องใช้ชีวิตต้องประหยัด พอเพียง และมองการณ์ไกลด้วย
ประเมินตัวเองจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่คิดว่าตนเองเก่งโดดเด่นอะไร
แต่จะเล่า style ให้ฟังก็ได้ค่ะ เผื่อมีประโยชน์
เคยนั่งคิดว่าจะอธิบายพฤติกรรมการลงทุนของตัวเองอย่างไรดี
ได้คำตอบแบบขำๆ ว่า "คล้ายงูเหลือม" แล้วกันนะคะ
แบ่ง port ดังนี้ค่ะ
กลุ่มที่ 1 (แนว VI) หุ้นถือยาวเพื่อรับปันผลตอนนี้พยายามสะสมกลุ่มนี้ให้มากขึ้น
ถือยาวตราบเท่าที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน หวังอะไรจากหุ้นกลุ่มนี้
หวังปันผลที่เป็น passive income ค่ะ
และอีกกลุ่มคือหุ้นที่ถือไม่ยาวนักถ้าดูเหมือนหยุดการเคลื่อนไหว
จะขายทั้งหมดมาซื้อหุ้นกลุ่มที่ 1 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ หุ้นที่จะถือเพื่อทำกำไรรอบใหญ่
ต้องเป็นหุ้นที่มีปันผลในอัตราที่ดีด้วยนะคะ
สำหรับตัวเองเวลาจะเลือกหุ้นจังหวะเข้าซื้อมีความสำคัญ
และสิ่งที่สำคัญสำหรับการจังหวะการเข้าซื้อด้วย. คือ "จิตวิทยามวลชน" ค่ะ
จะอ่านจิตวิทยามวลชนจาก web นึงที่ไม่ใช่ thai VI
ที่นั่นจะมีคนที่พูดคุยถึงหุ้นต่างๆ มากมาย
ไม่มี login ที่จะเข้าไปคุยนะคะ อ่านอย่างเดียวเลยค่ะ
แต่ถ้าจังหวะและโอกาสดีๆ (ก็อาจจะทำกำไรจากหุ้นพื้นฐานไม่ดีแต่มวลชนชอบบ้าง)
ยกตัวอย่าง เคยเจอหุ้นยางค่ะ มีข่าวจะแตกพาร์
ก็อ่านความคิดของผู้คนต่อเหตุการณ์นั้น พบว่ามีคนตั้งใจจะเข้าซื้อและไล่ราคา
ก็จะสร้างตารางคำนวณรอไว้ เพื่อคำนวณได้อย่างแม่นยำว่า
ซื้อราคานี้ไปขายราคาเป้าหมาย. น่าจะมีส่วนต่างเท่าไหร่
(การคำนวณจะหักค่าธรรมเนียม และ vat ทั้งซื้อและขายด้วย)
และลองใส่ตัวเลขเล่นไว้มากมาย เป็นหลายสิบทางเลือก
และพอมั่นใจในมวลชนก็ซื้อไว้ตั้งแต่เริ่มข้ึนแล้วก็กบดาน "เป็นงูเหลือม" ไปเลยค่ะ
พอเค้าไล่ราคากันเราก็นิ่งรออย่างเดียวเลย รอจนแตกพาร์แล้ว
เสียงมวลชนก็ยังบอกว่าจาก 10 เป็น 1 แล้วจะมาไล่ราคาขึ้นอีก ก็รอจนขึ้นอีกแล้วค่อยขาย
สำหรับกรณีนี้ ให้นึกภาพงูเหลือมที่กลืนเหยื่อท้องแก่เข้าไป
แล้วเหยื่อไม่ตาย ไปคลอดลูกในท้องอีก แล้วลูกก็โตอีก...คงจะเป็นโอกาสพิเศษมากจริงๆ
(อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนักเพราะพื้นฐานหุ้นไม่ถึงกับดีมาก....ถ้าเป็นไปได้อย่าไปทำเลยค่ะ)
ต้องขอบอกว่าได้กำไรมากจริง...แต่ร้อนรนใจและวุ่นวายใจมากพอสมควรนะคะ
ต่างจากหุ้มกลุ่มที่ 1 (ที่ลงทุนแนว VI) ที่ถือไว้้แล้วจิตใจสงบและมีความสุขกว่ามาก
ปัจจุบันเงินเดือนสามีที่ทั้งครอบครัวขยันออม.....จะเลือกสะสมเพิ่มแต่หุ้นแบบที่ 1 เท่านั้นแล้วค่ะ
แต่ก็ต้องรอจังหวะที่มวลชนตกใจจึงจะเข้าซื้อค่ะ....เพราะจะซื้อได้แบบมี MOS มากพอสมควรด้วยค่ะ
เคยเห็นคนที่บ่นแนวการลงทุนแนว VI ....เท่าที่อ่านอย่างละเอียดพบว่า
ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง คือชอบไปซื้อตอนแพง
และซื้อไปทั้งที่ตัวเองก็ไม่มั่นใจในพื้นฐานของกิจการด้วย
เมื่อซื้อไปแล้วราคาตก ก็เลือกเครื่องมือการ cut lost แบบ day trade มาใช้
เมื่อผลไม่เป็นตามที่ต้องการก็มาบ่นว่าแนว VI ไม่ดีก็มีเยอะค่ะ
หุ้นอีกตัวซื้อตอนต่ำ book และกำลังจะ turn around
แล้วถือไว้เกือบปี ขึ้นมาเกือบ 200 % แต่ให้ปันผลต่ำ
ก็ขายเกือบทั้งหมด เอาเงินมาซื้อหุ้นกลุ่มที่ 1
มาถึงการเลือกหุ้นกลุ่มที่ 1 สำหรับตัวเองจะเลือก
1. ปันผลสูง
2. อยู่ในกิจการที่ผู้คนต้องกินต้องใช้ และเป็น trend ของอนาคต
3. ชอบหุ้น domestic play เข้าใจง่ายติดตามง่าย
4. ชอบหุ้น ROE สูงต่อเนื่อง pe สูงหน่อยก็ไม่เป็นไร
5. โครงสร้างประชากร และพฤติกรรมการบริโภคของประชากรคือที่ที่ต้องคำนึงถึง
นึกออกแค่นี้ค่ะ ไม่ซับซ้อนเลยใช้มั้ยคะ
ข้อมูลิงคุณภาพได้จาก web thai VI ค่ะ
ปกติจะไม่ถนัดหาข้อมูลปฐมภูมิเอง ใช้ข้อมูลทุติยภูมิ (หรืออาจจะตติยภูมิเลยค่ะ)
แล้วเอาทั้งหมดมาพิจารณาในการตัดสินใจเลือกหุ้นด้วยตัวเองค่ะ
สะดวก...เพราะยังทำงานประจำ ทำงานบ้านเอง การบ้านลูกก็สอนเองค่ะ
ถ้าไม่ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพจากเพื่อนๆ ใน web แห่งนี้ คงไม่สามารถทำได้อย่างทุกวันนี้ค่ะ
คิดว่าแนวทางการลงทุนที่จะทำให้ประสพความสำเร็จได้อาจมีได้หลายแนว
ขึ้นอยู่กับ life style ของนักลงทุนแต่ละคน
แต่สำหรับตัวเองที่อายุถือว่ามากแล้วและไม่เหมาะที่จะไปเสี่ยงสูงเกินไป
ไม่มีเวลาติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดมากนัก และคิดว่าการลงทุนไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
เรายังต้องมีเวลาสำหรับครอบครัว และสำหรับแบ่งปันแก่ผู้อื่นบ้างเพื่อให้สังคมที่เราอยู่อาศัยดีด้วย
ถ้าไม่ยึดมั่นแนว VI ก็คงไม่สามารถลงทุนด้วยจิตใจสงบและมีความสุขได้อย่างทุกวันนี้ค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 190
ลืมบอกไปอีกอย่าง... ตามที่เล่ามา... ก็จะมีเงินที่สามีได้รับตอนบริษัทปิดด้วยนะคะ
หลังจากจ่ายหนี้บ้านเพิ่ม ซื้อ LTF เพื่อหักภาษีเพิ่ม ก็นำมาซื้อหุ้นกลุ่มที่ 1 เพิ่มหมดเลยค่ะ
คิดว่าที่อาจารย์ท่านให้โอกาสไปพูดคุยในรายการ money talk นั้น
ไม่น่าจะเป็นตัวอย่างของการเลือกหุ้นเก่งหรือลงทุนเก่งนะคะ
ถ้าพอจะเป็นตัวอย่างได้บ้าง....คงเป็นเรื่องการประหยัดและการใช้ชีวิตพอเพียงน่ะค่ะ
ซึ่งอาจพอจะเป็นกำลังใจให้กับมนุษย์เงินเดือนที่มีชีวิตแบบบ้านๆ ธรรมดาๆ
แต่มีความุ่งมั่นในการออมเพื่อนำเงินมาลงทุนแนว VI
โดยหวังว่า...จะพอมีชีวิตที่ดีขึ้นในยามเกษียณ
ไม่ถือว่าเป็นนักลงทุนที่ประสพความสำเร็จมากมายอะไรเลยค่ะ
ถ้าเปรียบเทียบโดยให้นักลงทุนที่ประสพความสำเร็จหลายๆ ท่าน ในห้องนี้เป็นฉลาม
ตัวเราเองคงเป็นได้แค่เหาฉลามเท่านั้นเองค่ะ
หลังจากจ่ายหนี้บ้านเพิ่ม ซื้อ LTF เพื่อหักภาษีเพิ่ม ก็นำมาซื้อหุ้นกลุ่มที่ 1 เพิ่มหมดเลยค่ะ
คิดว่าที่อาจารย์ท่านให้โอกาสไปพูดคุยในรายการ money talk นั้น
ไม่น่าจะเป็นตัวอย่างของการเลือกหุ้นเก่งหรือลงทุนเก่งนะคะ
ถ้าพอจะเป็นตัวอย่างได้บ้าง....คงเป็นเรื่องการประหยัดและการใช้ชีวิตพอเพียงน่ะค่ะ
ซึ่งอาจพอจะเป็นกำลังใจให้กับมนุษย์เงินเดือนที่มีชีวิตแบบบ้านๆ ธรรมดาๆ
แต่มีความุ่งมั่นในการออมเพื่อนำเงินมาลงทุนแนว VI
โดยหวังว่า...จะพอมีชีวิตที่ดีขึ้นในยามเกษียณ
ไม่ถือว่าเป็นนักลงทุนที่ประสพความสำเร็จมากมายอะไรเลยค่ะ
ถ้าเปรียบเทียบโดยให้นักลงทุนที่ประสพความสำเร็จหลายๆ ท่าน ในห้องนี้เป็นฉลาม
ตัวเราเองคงเป็นได้แค่เหาฉลามเท่านั้นเองค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 192
ขอบคุณ คุณ f.escape ที่ติดตามอ่านนะคะf.escape เขียน:ถ้าคุณ theenuch จะตั้งกระทู้ประมาณว่า VI บ้านๆ ที่ห้องนั่งเล่น
จะตามไปอ่านค่ะ
สงสัยจะไม่ตั้งกระทู้ใหม่แล้วค่ะ
เพราะกระทู้เดิมนี่ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างคุยจนเพื่อนๆ อ่านไม่ค่อยทันแล้ว
เอาเป็นว่าในกระทู้เดิมนี้....เคยเป็แนว "VI บ้านๆ" ยังไง
แวะมาอ่านเมื่อไหร่ก็จะยังเจอแนว "บ้านๆ" เหมือนเดิมก็แล้วกันนะคะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 193
ขอบคุณ คุณ Seattle ที่ติดตามอ่านและมาถามคำถามเพิ่ม (ตอบให้แล้วนะคะ ข้างบน)Seattle เขียน:จริงๆแล้ว ถ้าอ่านดีๆ แบบไม่ตั้งใจจับผิด เจ้าของกระทู้ แล้วละก็canuseeme เขียน: แต่ ผมสงสัยมาแต่ต้นละ
เงินเดือนราชการ บ่องตงๆ นะครับมาถึง 10 ล้าน ก่อน อายุ 40-50 นี่ ยากมาก
พองานราชการผมก็พลอยนึกถึงอาชีพประมาณครู อะไรยังงั้น เกษีณ กันที่ ประมาณ 30000 บาท
มองยังงัย 10 ล้านก็สำหรับเทพเท่านั้น:B
คุณก็น่าจะรู้ว่า เจ้าของกระทู้ เค้าได้เงินมาลงทุนในแนวหุ้นปันผล จากกำไรจากการขายบ้านมาหลายๆครั้ง
เท่าที่อ่านเจอมีตั้งแต่หลักหมื่นบาทไปจนถึงเจ็ดแสนบาทก็มี
แต่ผมอยากให้คุณตรีนุช ช่วยชี้แนะแนวทางหรือวิธีเลือกหุ้นปันผลแต่ละตัวมาเข้าพอร์ทจนทำให้พอร์ทโตมาเกิน 10 ล้าน
อย่างที่บอกกล่าวนั้น ให้เป็นวิทยาทานต่อเพื่อนๆ น้องๆที่เข้ามาอ่านหน่อยซิครับ ผมไล่อ่านมาตั้งแต่ต้น คิดว่าน่าจะยังไม่เห็น
คุณตรีนุชได้อธิบายหรือกล่าวถึงแนวทางหรือหลักการหรือวิธีเลือกหุ้นปันผลแต่ละตัวมาเข้าพอร์ทจนทำให้พอร์ทโตมาเกิน 10 ล้าน
เลยครับ ส่วนวิธีการกินอยู่อย่างพอเพียงที่บอกกล่าวมานั้น ผมชื่นชมเป็นอย่างมากครับ
ขอขอบคุณล่วงหน้านะครับ ผมจะตามมาอ่านอย่างสม่ำเสมอครับ รับรองครับ
แต่กรณีที่ คุณ canuseeme สงสัยนั้น คงไม่ใช่การจับผิดอะไรหรอกค่ะ
ถ้าอ่านไม่เอียดหลายคนก็มีโอกาสสงสัยตรงกับน้องเค้าเหมือนกันค่ะ
และหลายอย่างก็มาทยอยเล่าหลังจากนั้น
แถมเวลามาเล่าแต่เรื่องก็ค่อนข้างยาวๆ ทั้งนั้น
ก็มีโอกาสที่คนมีเวลาสั้นๆ จะอ่านไม่ครบได้ค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 195
ขอบคุณ คุณ Vchai ที่แวะมาทักทายและชื่นชมค่ะ
จริงๆ แล้วมีแนวคิดที่ดีแบบนี้ได้....ต้องยกความดีให้นิทานเรื่องนึง
ขออนุญาตเล่าให้เพื่อนๆ ฟังด้วยนะคะ
เป็นของ “มาดอนน่า” นักร้องชื่อดังที่เรารู้จักกันดี
แต่บางคนอาจไม่ทราบว่าเธอเคยเขียนนิทานเด็กด้วย
เคยมีโอกาสได้อ่านและให้ข้อคิดที่ดีเลยจำเอามาไว้ใช้ในชีวิตประจำวันและสอนลูกด้วย
..............................................................................
มีเด็กชายคนหนึ่งเห็นคุณครูของเขาหยิบแอ๊บเปิ้ลที่ร้านผลไม้
ขณะที่แม่ค้ากำลังก้มหน้าก้มตาเรียงผลไม้อื่นๆ อยู่
ด้วยความที่เป็นเด็กที่ถูกปลูกฝังเรื่องความซื่อสัตย์มา.....เขารู้สึกตำหนิคุณครูอยู่ในใจ
ตั้งแต่วันนั้นมา.....เขาก็ตั้งใจแอบตามดูคุณครูจากฝั่งตรงข้ามถนนเสมอ
เท่านั้นยังไม่พอเขาได้ชวนเพื่อนๆ มาซุ่มดูอีกหลายคน
เมื่อมีคนรู้จำนวนมากขึ้น....ก็ยากที่เรื่องราวนั้นจะถูกปิดเป็นความลับได้อีกต่อไป
...................................................................................
“ปากต่อปาก” ในที่สุดเรื่องราวก็แพร่ไปทั่วทั้งโรงเรียน
เด็กชายต้นเรื่องรู้สึกกังวลใจ เพราะเท่าที่เขารู้จักคุณครูหนุ่มท่านนี้มา
คุณครูไม่น่าจะมีนิสัยเช่นนี้นี่นา น่าจะมีอะไรบางอย่างที่เขารู้ไม่หมดหรือเปล่านะ?
เขาจึงไปสารภาพกับคุณครู พร้อมทั้งถามเหตุผลที่ครูไม่จ่ายเงินค่าผลไม้
...............................................................................
คุณครูได้ฟังก็ยิ้ม และตอนเลิกเรียนได้พาเด็กชายไปที่ร้านผลไม้ด้วยกัน
“ทำไมครูของเธอถึงจะหยิบผลไม้ไปไม่ได้ล่ะ....ก็ในเมื่อเขาจ่ายเงินไว้ล่วงหน้าแล้วนี่นา”
ได้ฟังจากแม่ค้า เด็กชายถึงกับอึ้ง นอกจากไม่ใช่อย่างที่เขาคิดแล้ว
เหตุการณ์จริงยังกลับกลายเป็นตรงกันข้าม
ที่สำคัญเรื่องไม่จริงด้านลบนั้นแพร่สะพัดไปทั่วโรงเรียนอีก
..................................................................................
“ผมจะทำยังไงดีครับ...ถึงจะแก้ไขความผิดในใจครั้งนี้ได้” คุณครูยิ้มแล้วตอบว่า
“เย็นนี้หลังเลิกเรียนกลับไปนำหมอนขนเป็ดที่บ้านมา 1 ใบ
แล้วมาพบกันบนดาดฟ้าของตึกเรียนนะ”
ตอนเย็น....บนดาดฟ้า....ในวันที่ลมแรงมาก
คุณครูที่เตรียมกรรไกรมาด้วยเขาตัดหมอนขนเป็ด
แล้วให้เด็กชายกระพือหมอนที่ตัดแล้วนั้นให้สุดแรง
.................................................................................
ลมที่พัดอื้ออึง....พัดให้ขนเป็ดล่องลอยไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอยากขอโทษและให้หายรู้สึกผิด....ให้ตามเก็บขนเป็ดนั้นกลับมาให้ได้มากที่สุด” ครูหนุ่มกล่าว
เด็กชายวิ่งกระหืดกระหอบตามเก็บขนเป็ดตามที่ครูบอก
......................................................................................
แต่.......ไม่ว่าจะพยายามเท่าใด.....เขาก็ไม่สามารถเก็บขนเป็ดกลับคืนมาได้หมด
.....................................................................................
ผู้เขียน ให้ข้อสรุปที่น่าประทับใจไว้ 2 -3 มุมว่า
ในมุมที่เรามีโอกาสเป็นต้นเรื่องเราควรจะปล่อยขนเป็ดออกไปไหม
ยิ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อผู้อื่นยิ่งต้องระวังให้มาก
หรือในมุมที่....ถ้าเราเป็นผู้มีโอกาสเห็นขนเป็ดปลิวผ่านมา
จะเก็บไว้กับตัวเพื่อรอเจ้าของมารับคืน.....หรือจะส่งต่อให้ผู้อื่นเรื่อยไป
.............................................................................
ที่รู้สึกประทับใจกับเรื่องราวนี้เพราะในชีวิตที่ผ่านมา
มีอยู่ครั้งนึงที่เคยเป็นเหมือนเด็กชายต้นเรื่อง
ที่ตัดสินคนอื่นเร็วไปนิด...เพราะขาดข้อมูล...คือเพราะเรายังไม่รู้จักเค้าดีพอ
...............................................................................
เคยเป็นคนที่เก็บขนเป็ดได้แล้วส่งต่อ......ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
....................................................................................
ที่ช้ำใจที่สุดคือ.....เคยเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะเหมือนคุณครู
และได้รับผลกระทบรุนแรง.....โดยเราไม่อยู่ในฐานะที่จะไปอธิบายหรือแก้ต่างใดๆ ได้
........................................................................................
นิทานเรื่องนี้และสามารถถ่ายทอดออกมาได้เป็นรูปธรรมได้ดีมาก
ถ้าเพื่อนๆ อ่านแล้วรู้สึกว่าดี....เราว่านิทานเรื่องนี้สามารถส่งต่อได้นะคะ
จริงๆ แล้วมีแนวคิดที่ดีแบบนี้ได้....ต้องยกความดีให้นิทานเรื่องนึง
ขออนุญาตเล่าให้เพื่อนๆ ฟังด้วยนะคะ
เป็นของ “มาดอนน่า” นักร้องชื่อดังที่เรารู้จักกันดี
แต่บางคนอาจไม่ทราบว่าเธอเคยเขียนนิทานเด็กด้วย
เคยมีโอกาสได้อ่านและให้ข้อคิดที่ดีเลยจำเอามาไว้ใช้ในชีวิตประจำวันและสอนลูกด้วย
..............................................................................
มีเด็กชายคนหนึ่งเห็นคุณครูของเขาหยิบแอ๊บเปิ้ลที่ร้านผลไม้
ขณะที่แม่ค้ากำลังก้มหน้าก้มตาเรียงผลไม้อื่นๆ อยู่
ด้วยความที่เป็นเด็กที่ถูกปลูกฝังเรื่องความซื่อสัตย์มา.....เขารู้สึกตำหนิคุณครูอยู่ในใจ
ตั้งแต่วันนั้นมา.....เขาก็ตั้งใจแอบตามดูคุณครูจากฝั่งตรงข้ามถนนเสมอ
เท่านั้นยังไม่พอเขาได้ชวนเพื่อนๆ มาซุ่มดูอีกหลายคน
เมื่อมีคนรู้จำนวนมากขึ้น....ก็ยากที่เรื่องราวนั้นจะถูกปิดเป็นความลับได้อีกต่อไป
...................................................................................
“ปากต่อปาก” ในที่สุดเรื่องราวก็แพร่ไปทั่วทั้งโรงเรียน
เด็กชายต้นเรื่องรู้สึกกังวลใจ เพราะเท่าที่เขารู้จักคุณครูหนุ่มท่านนี้มา
คุณครูไม่น่าจะมีนิสัยเช่นนี้นี่นา น่าจะมีอะไรบางอย่างที่เขารู้ไม่หมดหรือเปล่านะ?
เขาจึงไปสารภาพกับคุณครู พร้อมทั้งถามเหตุผลที่ครูไม่จ่ายเงินค่าผลไม้
...............................................................................
คุณครูได้ฟังก็ยิ้ม และตอนเลิกเรียนได้พาเด็กชายไปที่ร้านผลไม้ด้วยกัน
“ทำไมครูของเธอถึงจะหยิบผลไม้ไปไม่ได้ล่ะ....ก็ในเมื่อเขาจ่ายเงินไว้ล่วงหน้าแล้วนี่นา”
ได้ฟังจากแม่ค้า เด็กชายถึงกับอึ้ง นอกจากไม่ใช่อย่างที่เขาคิดแล้ว
เหตุการณ์จริงยังกลับกลายเป็นตรงกันข้าม
ที่สำคัญเรื่องไม่จริงด้านลบนั้นแพร่สะพัดไปทั่วโรงเรียนอีก
..................................................................................
“ผมจะทำยังไงดีครับ...ถึงจะแก้ไขความผิดในใจครั้งนี้ได้” คุณครูยิ้มแล้วตอบว่า
“เย็นนี้หลังเลิกเรียนกลับไปนำหมอนขนเป็ดที่บ้านมา 1 ใบ
แล้วมาพบกันบนดาดฟ้าของตึกเรียนนะ”
ตอนเย็น....บนดาดฟ้า....ในวันที่ลมแรงมาก
คุณครูที่เตรียมกรรไกรมาด้วยเขาตัดหมอนขนเป็ด
แล้วให้เด็กชายกระพือหมอนที่ตัดแล้วนั้นให้สุดแรง
.................................................................................
ลมที่พัดอื้ออึง....พัดให้ขนเป็ดล่องลอยไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอยากขอโทษและให้หายรู้สึกผิด....ให้ตามเก็บขนเป็ดนั้นกลับมาให้ได้มากที่สุด” ครูหนุ่มกล่าว
เด็กชายวิ่งกระหืดกระหอบตามเก็บขนเป็ดตามที่ครูบอก
......................................................................................
แต่.......ไม่ว่าจะพยายามเท่าใด.....เขาก็ไม่สามารถเก็บขนเป็ดกลับคืนมาได้หมด
.....................................................................................
ผู้เขียน ให้ข้อสรุปที่น่าประทับใจไว้ 2 -3 มุมว่า
ในมุมที่เรามีโอกาสเป็นต้นเรื่องเราควรจะปล่อยขนเป็ดออกไปไหม
ยิ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อผู้อื่นยิ่งต้องระวังให้มาก
หรือในมุมที่....ถ้าเราเป็นผู้มีโอกาสเห็นขนเป็ดปลิวผ่านมา
จะเก็บไว้กับตัวเพื่อรอเจ้าของมารับคืน.....หรือจะส่งต่อให้ผู้อื่นเรื่อยไป
.............................................................................
ที่รู้สึกประทับใจกับเรื่องราวนี้เพราะในชีวิตที่ผ่านมา
มีอยู่ครั้งนึงที่เคยเป็นเหมือนเด็กชายต้นเรื่อง
ที่ตัดสินคนอื่นเร็วไปนิด...เพราะขาดข้อมูล...คือเพราะเรายังไม่รู้จักเค้าดีพอ
...............................................................................
เคยเป็นคนที่เก็บขนเป็ดได้แล้วส่งต่อ......ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
....................................................................................
ที่ช้ำใจที่สุดคือ.....เคยเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะเหมือนคุณครู
และได้รับผลกระทบรุนแรง.....โดยเราไม่อยู่ในฐานะที่จะไปอธิบายหรือแก้ต่างใดๆ ได้
........................................................................................
นิทานเรื่องนี้และสามารถถ่ายทอดออกมาได้เป็นรูปธรรมได้ดีมาก
ถ้าเพื่อนๆ อ่านแล้วรู้สึกว่าดี....เราว่านิทานเรื่องนี้สามารถส่งต่อได้นะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 333
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 196
กำลังชม คุณteenuch ออก money talk เลยคับ เป็นตัวอย่างของแม่บ้านที่เก่งมากคับ
ผมส่ง link ให้แฟนดูแล้ว คงต้องให้เค้ามาดูเทปนี้ด้วยคับ
ผมส่ง link ให้แฟนดูแล้ว คงต้องให้เค้ามาดูเทปนี้ด้วยคับ
-
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 198
เพิ่งได้ชมคลิปคุณนุชออกmoney talk
ตอนที่ได้อ่านแต่ตัวหนังสือ
คิดนึกภาพว่าน่าจะสูงวัยหน่อยท่าทาางเคร่งขรึม
แต่พอเห็นตัวจริงผิดคาด
หน้าตาอ่อนวัยยิ้มแย้มอารมณ์ดีดูมีความสุขกับชีวิต
ดูแล้วเพลินตาเพลินใจ
ผมค่อนข้างแปลกใจกับระบบความคิดและการใช้ชีวิตของคุณนุชมาก
ผมว่าความคิดคุณเหมือนผู้ชายไม่เหมือนผู้หญิงเลย
คิดทุกอย่างเป็นระบบมีเหตุผลไม่ใช้อารมณ์เลย
มีวินัยในการใช้ชีวิตสูงมากกว่าผู้ชายหลายคน
มีความนิ่งไม่หวั่นไหวง่ายเหมือนผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น
ผมไม่ค่อยเจอผู้หญิงแบบคุณนุชเลย
ไม่ทราบว่าไปได้ระบบความคิดและวิธีการใช้ชีวิต
และระเบียบวินัยแบบนี้มาจากไหน
อยากให้เล่าให้ฟังบ้าง
ผมว่าน่าสนใจมาก
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ตอนที่ได้อ่านแต่ตัวหนังสือ
คิดนึกภาพว่าน่าจะสูงวัยหน่อยท่าทาางเคร่งขรึม
แต่พอเห็นตัวจริงผิดคาด
หน้าตาอ่อนวัยยิ้มแย้มอารมณ์ดีดูมีความสุขกับชีวิต
ดูแล้วเพลินตาเพลินใจ
ผมค่อนข้างแปลกใจกับระบบความคิดและการใช้ชีวิตของคุณนุชมาก
ผมว่าความคิดคุณเหมือนผู้ชายไม่เหมือนผู้หญิงเลย
คิดทุกอย่างเป็นระบบมีเหตุผลไม่ใช้อารมณ์เลย
มีวินัยในการใช้ชีวิตสูงมากกว่าผู้ชายหลายคน
มีความนิ่งไม่หวั่นไหวง่ายเหมือนผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น
ผมไม่ค่อยเจอผู้หญิงแบบคุณนุชเลย
ไม่ทราบว่าไปได้ระบบความคิดและวิธีการใช้ชีวิต
และระเบียบวินัยแบบนี้มาจากไหน
อยากให้เล่าให้ฟังบ้าง
ผมว่าน่าสนใจมาก
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 292
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 199
ได้ชมคุณนุชออกรายการมันนี่ทอล์คแล้ว เซอร์ไพร์เหมือนกัน
เพราะดูจากความคิด แนวการปฎิบัติจากที่เขียนและความสำเร็จจากการลงทุน ต้องบอกว่าแทบตกเก้าอี้
ขอชื่นชมแนวทางการดำเนินชิวิต ที่แสนเรียบง่ายที่น่าจะเป็นแบบอย่างของชาววีไอครับ
มันนี่ทอร์คตอนนี้ผมว่ามีจุดเด่นนอกจากมีวีไอแม่บ้านแล้ว ยังให้แนวทางการเลือกคู่ด้วยครับ ได้ใจคนไม่หล่อมากๆ
เพราะดูจากความคิด แนวการปฎิบัติจากที่เขียนและความสำเร็จจากการลงทุน ต้องบอกว่าแทบตกเก้าอี้
ขอชื่นชมแนวทางการดำเนินชิวิต ที่แสนเรียบง่ายที่น่าจะเป็นแบบอย่างของชาววีไอครับ
มันนี่ทอร์คตอนนี้ผมว่ามีจุดเด่นนอกจากมีวีไอแม่บ้านแล้ว ยังให้แนวทางการเลือกคู่ด้วยครับ ได้ใจคนไม่หล่อมากๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 200
ชื่นชมค่ะ
[/color]I DREAM FOR LIVING
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 201
สอนคณิตศาสาตร์ (ฝึกจินตนาการ)
พอดีมีน้องท่านนึง pm มาถามเรื่องการสอนให้ลูกใช้จินตนาการด้วย
ตอบน้องไปแล้ว...และเห็นว่าอาจจะมีประโยชน์จึงนำมาใส่ไว้ในกระทู้ด้วยดีกว่า
เรื่องจินตนาการทางคณิศาสตร์ที่ใช้นั้น....ใช้ถ่ายโอนจากกระดาษมาสู่อากาศ
แรกๆ เราสอนในกระดาษก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกให้เค้าเขียนประโยคสัญลักษณ์เหล่านั้นในอากาศ
ยกตัวอย่างเช่น สอนกฎการการกระจายและการสลับที่ของการบวกในกระดาษ...ให้เค้าจำ pattern ได้ เช่น
45+54 = ( (40+5) + (50+4) ) = ( (40 + 50) + (5+4) )
หลังจากนั้นตั้งโจทย์เป็นภาษาพูด ขอยกตัวอย่างด้วยตัวเลขเดียวกันนี้นะคะ
“สี่สิบห้า” บวก “ห้าสิบสี่” ถามเค้าว่าเห็นประโยคสัญลักษณ์แบบที่เราสอนหรือยัง (เห็นในอากาศนะ)
ให้เค้าลองย้ายตัวเลขไปมา (ในอากาศด้วยก็ได้นะคะ)
การสอนให้หัดเขียนประโยคสัญลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก
โดยเฉพาะกับโจทย์คณิตศาสตร์เหตุผล ที่เป็นเชิงพรรณา
คงเคยได้ยินมาบ้าง...เรื่องที่เด็กที่เรียนพิเศษแบบคิดเลขได้เร็ว
แต่ไม่สามารถทำโจทย์คณิตศาสตร์เหตุผลได้
การที่เราฝึกให้ลูกเขียนประโยคสัญลักษณ์เองจะแก้ปัญหานั้นได้
และยังมีข้อดีอีกอย่างคือเด็กจะสามารถ “ตรวจสอบย้อนกลับ” ได้เสมอ
มันคือเสน่ห์ของคณิตศาสตร์เลยนะคะคุณสมบัตินี้
เรายังสามารถตั้งคำถามชวนให้ลูกรู้สึกสนุกกับคณิตศาสตร์ได้ เช่น
"วงกลม" กับ "สี่เหลี่ยม" เหมือนกันตรงไหน?
......................................................................
มีมุมภายใน 360 องศาเหมือนกันไง
การสอนลูกเองมีประโยชน์ในการตรวจสอบความเข้าใจเพื่อ
1. ถ้าเข้าใจแล้ว ไปเรื่องอื่นต่อเลย จะได้ไม่ต้องนั่งทำสิ่งเดิมซ้ำๆ
2. เราสามารถจัดหมวดเรื่องที่จะสอนให้สอดคล้องกันได้ เช่น เศษส่วน ร้อยละ และทศนิยมนั้น
สามารถสอนไปพร้อมๆ กันได้ และสามารถให้แปลงกลับไปกลับมาระหว่างทั้ง 3 อย่างนั้น
เช่น "เศษ 1 ส่วน 2" = 50 % = .50 ด้วย
บางเรื่องทำไว้ใช้สอนเฉพาะเรื่องเป็นครั้งๆ ไป....แล้วลืมไปแล้วก็มีค่ะ
เพราะตอนนี้ลูกอยู่ ม.1 แล้วค่ะ
นอกจากคณิตศาสตร์แล้ววิชาอื่นๆ ก็ทำให้สนุกและดึงมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยค่ะ
จะทยอยมาเล่าให้ฟังสลับกับเรื่องอื่นๆ นะคะ
พอดีมีน้องท่านนึง pm มาถามเรื่องการสอนให้ลูกใช้จินตนาการด้วย
ตอบน้องไปแล้ว...และเห็นว่าอาจจะมีประโยชน์จึงนำมาใส่ไว้ในกระทู้ด้วยดีกว่า
เรื่องจินตนาการทางคณิศาสตร์ที่ใช้นั้น....ใช้ถ่ายโอนจากกระดาษมาสู่อากาศ
แรกๆ เราสอนในกระดาษก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกให้เค้าเขียนประโยคสัญลักษณ์เหล่านั้นในอากาศ
ยกตัวอย่างเช่น สอนกฎการการกระจายและการสลับที่ของการบวกในกระดาษ...ให้เค้าจำ pattern ได้ เช่น
45+54 = ( (40+5) + (50+4) ) = ( (40 + 50) + (5+4) )
หลังจากนั้นตั้งโจทย์เป็นภาษาพูด ขอยกตัวอย่างด้วยตัวเลขเดียวกันนี้นะคะ
“สี่สิบห้า” บวก “ห้าสิบสี่” ถามเค้าว่าเห็นประโยคสัญลักษณ์แบบที่เราสอนหรือยัง (เห็นในอากาศนะ)
ให้เค้าลองย้ายตัวเลขไปมา (ในอากาศด้วยก็ได้นะคะ)
การสอนให้หัดเขียนประโยคสัญลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก
โดยเฉพาะกับโจทย์คณิตศาสตร์เหตุผล ที่เป็นเชิงพรรณา
คงเคยได้ยินมาบ้าง...เรื่องที่เด็กที่เรียนพิเศษแบบคิดเลขได้เร็ว
แต่ไม่สามารถทำโจทย์คณิตศาสตร์เหตุผลได้
การที่เราฝึกให้ลูกเขียนประโยคสัญลักษณ์เองจะแก้ปัญหานั้นได้
และยังมีข้อดีอีกอย่างคือเด็กจะสามารถ “ตรวจสอบย้อนกลับ” ได้เสมอ
มันคือเสน่ห์ของคณิตศาสตร์เลยนะคะคุณสมบัตินี้
เรายังสามารถตั้งคำถามชวนให้ลูกรู้สึกสนุกกับคณิตศาสตร์ได้ เช่น
"วงกลม" กับ "สี่เหลี่ยม" เหมือนกันตรงไหน?
......................................................................
มีมุมภายใน 360 องศาเหมือนกันไง
การสอนลูกเองมีประโยชน์ในการตรวจสอบความเข้าใจเพื่อ
1. ถ้าเข้าใจแล้ว ไปเรื่องอื่นต่อเลย จะได้ไม่ต้องนั่งทำสิ่งเดิมซ้ำๆ
2. เราสามารถจัดหมวดเรื่องที่จะสอนให้สอดคล้องกันได้ เช่น เศษส่วน ร้อยละ และทศนิยมนั้น
สามารถสอนไปพร้อมๆ กันได้ และสามารถให้แปลงกลับไปกลับมาระหว่างทั้ง 3 อย่างนั้น
เช่น "เศษ 1 ส่วน 2" = 50 % = .50 ด้วย
บางเรื่องทำไว้ใช้สอนเฉพาะเรื่องเป็นครั้งๆ ไป....แล้วลืมไปแล้วก็มีค่ะ
เพราะตอนนี้ลูกอยู่ ม.1 แล้วค่ะ
นอกจากคณิตศาสตร์แล้ววิชาอื่นๆ ก็ทำให้สนุกและดึงมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยค่ะ
จะทยอยมาเล่าให้ฟังสลับกับเรื่องอื่นๆ นะคะ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 203
พึ่งได้ชม มันนี่ทอร์ค ผ่านยูทุป ครับ
ขอชื่นชม ในความประหยัด ในความพอเพียง
ขอขอบคุณ ที่กรุณาออกมาแสดงตน เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง
และขออวยพรให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนยิ่งๆขึ้นไปครับ
ขอชื่นชม ในความประหยัด ในความพอเพียง
ขอขอบคุณ ที่กรุณาออกมาแสดงตน เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง
และขออวยพรให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนยิ่งๆขึ้นไปครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 370
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 204
เพิ่งดู Money Talk วันนี้ นึกว่าใครทีไหน เห็นแวบแถว ๆ แถว นวนคร ก่อนที บ.จะถูกปิดไป
เก่งมาก ครับ
เก่งมาก ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 205
จริงๆ แล้วออกจะเป็นคนขรึมๆ อยู่เหมือนกันค่ะdrsp เขียน:เพิ่งได้ชมคลิปคุณนุชออกmoney talk
ตอนที่ได้อ่านแต่ตัวหนังสือ
คิดนึกภาพว่าน่าจะสูงวัยหน่อยท่าทาางเคร่งขรึม
แต่พอเห็นตัวจริงผิดคาด
หน้าตาอ่อนวัยยิ้มแย้มอารมณ์ดีดูมีความสุขกับชีวิต
ดูแล้วเพลินตาเพลินใจ
ผมค่อนข้างแปลกใจกับระบบความคิดและการใช้ชีวิตของคุณนุชมาก
ผมว่าความคิดคุณเหมือนผู้ชายไม่เหมือนผู้หญิงเลย
คิดทุกอย่างเป็นระบบมีเหตุผลไม่ใช้อารมณ์เลย
มีวินัยในการใช้ชีวิตสูงมากกว่าผู้ชายหลายคน
มีความนิ่งไม่หวั่นไหวง่ายเหมือนผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น
ผมไม่ค่อยเจอผู้หญิงแบบคุณนุชเลย
ไม่ทราบว่าไปได้ระบบความคิดและวิธีการใช้ชีวิต
และระเบียบวินัยแบบนี้มาจากไหน
อยากให้เล่าให้ฟังบ้าง
ผมว่าน่าสนใจมาก
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
แต่ถ้าคุยเรื่องที่ถนัดๆ เช่นเรื่องเงิน เรื่องการออม เรื่องเลี้ยงลูก เรื่องต้นไม้
จะสามารถคุยได้มีความสุข แบบที่เห็นน่ะค่ะ
...........................................................
อาจเพราะตั้งแต่เด็กๆ จะสนิทกับเตี่ยมากกว่าแม่นะคะ
เลยไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไหร่นัก
...........................................................
อีกส่วนนึง...ก็จากการอ่านหนังสือมากและช่างสังเกตค่ะ คงเหมือนประโยคที่ว่า
“คนที่เราคบ กับ หนังสือที่เราอ่าน มีผลโดยตรงต่อความสำเร็จของเรา”
(จากหนังสือ “คำคมสำเร็จ” ของ คุณบัณฑิต อึ้งรังษี)
สมัยเรียน ม.ต้น ที่เบญจมราชาลัยจะมีนิสัยแปลกๆ อยู่อย่างนึง
คือ....ชอบเดินกลับบ้าน....จริงๆ ระยะทางไม่ใกล้นะคะ
เดินคนเดียว....เปลี่ยนเส้นทางไปเรื่อยจากเสาชิงช้าถึงเทเวศร์ซอย 3
บางวันเดินเหมือนรถเมล์สาย 12 บางวันเหมือนสาย 56
หรือ เหมือนสาย 56 ไปต่อ สาย 53 เปลี่ยนไปเรื่อย
บางวันก็เดินเลยไปถึงสนามหลวง. ..แล้วเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยากลับขึ้นมา
และบางวันก็เดินไปทางสะพานผ่านฟ้า ตรงขึ้นไปทางถนนราชดำเนิน
เลี้ยวซ้ายตรง UN กลับมาทางวัดมกุฏฯ ทำอยู่อย่างนี้เป็นประจำ ดูรถ ดูคน
ตรงไหนน่าสนใจก็หยุดยืนดู ถ้าสนใจมากก็จะนั่งดู สังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมนะคะ
ชอบสังเกตว่าคนรอบๆ ตัว ทำอะไร ผลเป็นอย่างไร
อะไรน่าจะเป็นเหตุจูงใจให้เค้าทำสิ่งนั้นๆ บางทีพบว่า
มันอยู่นอกกรอบที่เราคิดหรือกรอบที่สังคมให้ไว้
เจอบ่อยๆ เข้า ทำให้รู้ว่าทุกอย่างมันเกิดจากเหตุเสมอ
เหตุที่ต่างกันก็จะให้ผลที่ต่างกัน ทุกคนมีสิทธิเลือก
และจะได้รับผลตามที่ตัวเองเลือกเสมอ
และหนังสือที่อ่านก็มีผลนะคะ บางทีอ่านหนังสือของนักเขียนท่านไหนมากๆ
ก็จะมี style การคิดวิเคราะห์แนวๆ นั้นติดตัวมา
ยกตัวอย่าง เช่น หนังสือของท่าน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
นี่ถ้าอ่านบ่อยๆ จะทราบว่าท่านเป็นนักอ่านชนิดที่หนอนหนังสืออายค่ะ
และเวลาถ่ายทอด เหมือนท่านจะนำสิ่งที่ตกผลึกมาแล้ว
มาถ่ายทอดให้เราเข้าใจเรื่องยากๆ ได้ง่ายขึ้น
หรือเรื่องที่ไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกันได้ท่านก็ยกมาเปรียบเทียบ
พร้อมทั้งยกตัวอย่างได้ลงตัวมาก
ท่านจะเขียนหนังสือที่สอนเรื่องในชีวิตประจำวัน เช่น "วินัยเรื่องใหญ่กว่าที่คิด"
มีอยู่เล่มนึงท่านเปรียบเทียบ “วงจรปฏิจจสมุปบาท” ได้แปลกกว่าที่เคยอ่านเจอที่ใดๆ
โดยนำมาเทียบกับวงจรการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของวิชาจิตวิทยา (ตัวเอง จบ ป. โทจิตวิทยาด้วยค่ะ)
รู้สึกชอบ style การถ่ายทอดและการสอนของท่านมาก
ประกอบกับตัวเองจะมีเวลาอ่านหนังสือมากกว่าใครๆ
เพราะไม่ชอบดูทีวีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
เมื่อก่อนแม่จะชอบไปดูหมอดู เตี่ยก็เบื่อที่จะขับรถพาไป
จึงได้สอนขับรถให้...เพื่อพาแม่ไปดูหมอดูบ้าง...เก็บดอกเบี้ยบ้าง
แต่ตัวเองไม่ชอบเรื่องการดูหมอดู...หรือการดูดวงอะไรทิ้งสิ้นนะคะ
เคยลองนั่งสังเกตการสนทนาของหมอดู กับคนที่ไปดูหมออยู่บ้าง...น่าเบื่อค่ะ
ดังนั้นส่วนใหญ่ก็จะรออยู่ตามใต้ต้นไม้ หรือใต้ถุนบ้านหมอดู
ก็จำเป็นที่จะต้องพกหนังสือไปอ่านด้วย
และด้วยความที่เป็นคนอ่านหนังสือเร็ว...บางครั้งอ่านได้เป็นตั้งๆ เลยค่ะ
แต่ไม่ชอบอ่านนิยาย (พอๆ กับไม่ชอบดูละคร)
หนังสืออ่านเล่นจึงมีแต่พวกหนังสือที่เพื่อนๆ จับแล้วรีบวางคืนกันทั้งนั้น
หนังสือที่เบาๆ หน่อยที่อ่านก็อย่างเช่น “สนุกกับของไม่ฟรี” หรือ
“ไล่ตงจิ้น ลูกขอทาน” เขียนมาจากเรื่องจริงแต่วิธีถ่ายทอดคล้ายๆ นิยาย
เวลาอ่านก็จะมีปากกาอยู่ด้วยเสมอเจออะไรที่เป็นข้อคิดที่เราได้ตกผลึกมา
ก็เขียนแทรกลงไปเป็นช่วงๆ ค่ะ... ไว้ให้ลูกอ่านค่ะ....
เวลาที่ลูกอ่านนี่เค้าจะได้ข้อคิด...ที่นอกเหนือไปจากที่หนังสือเล่มนั้นได้ให้ไว้
เวลาให้ใครยืมหนังสือทีไร...จะจบลงด้วย...การได้เล่มใหม่มาแทนเสมอค่ะ
บางคนก็บอกว่าทำขาด บ้างก็บอกว่าทำหาย บางคนโดนน้ำหกใส่
หรือ เอาไปลืมไว้ที่ต่างจังหวัด ฯลฯ
มีอยู่ครั้งนึงลองคาดคั้นให้คุณป้าท่านนึงนำเล่มเดิมมาคืน
โดยบอกเค้าไปตรงๆ ว่า...เราอยากได้เล่มที่เราเขียนเพิ่มคืน....เพื่อเอาไว้ให้ลูกอ่าน
เค้าเลยสารภาพว่า....เค้าก็อยากได้เพราะมีลายมือที่เขียนเพิ่มไว้เนี่ยแหละค่ะ
เพราะเค้าเคยหยิบหนังสือเล่มเดียวกันนี้อ่านตามร้านหนังสือแล้วรู้สึกไม่สนใจ
แต่พอมาอ่านที่เราเติมๆ ข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ ไว้เป็นระยะๆ แล้วเค้าชอบมาก
สรุปต้องมานั้งอ่านและเขียนใหม่เพื่อเก็บไว้ให้ลูกอ่านค่ะ
.........................................................
เพลงที่ฟังก็คงมีผลนะคะ สมัยวัยรุ่นชอบฟังคาราบาวค่ะ
คือชอบเนื้อหา....คนอื่นอาจจะฟังผ่านๆ
แต่ตัวเองนี่ฟังแล้วจริงจังมาก บางทีก็เอามาเทียบกับหนังสือที่เคยอ่าน
และสังคมรอบๆ ตัว ยกตัวอย่างเช่น
เพลง "ซาอุดร" ....ที่พูดถึงเรื่องการหลอกแรงงานไทย
ให้ไปขายแรงงานที่ประเทศซาอุ
บางคนขายที่ขายทางเพื่อเป็นค่าหัวคิว
แต่ในที่สุดโดนหลอกให้ไปลงเครื่องบินที่ "ซาอุดร"
หรือ “คนจนผู้ยิ่งใหญ่” ชอบประโยคที่ว่า
“ลุยควันลุยท่อไอเสีย....มีแต่ความอ่อนเพลีย....ยังดีกว่าเลียขากัน”
ประโยคต่างๆ เหล่านี้เราก็เอามาคิดเทียบกับสภาพสังคม
คือจะช่างคิดคิดตามสภาพที่สิ่งนั้นๆ เป็นอยู่นะคะ ไม่ได้ตัดสินอะไร
และได้ข้อสรุปว่าเรื่องใดๆ รอบๆ ตัวเราไม่พ้น
“วงจรปฏิจจสมุปบาท” เป็นเรื่องของ “ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ” ทั้งนั้นค่ะ
ทุกวันนี้คิดว่าชีวิตตัวเองอยู่เพื่อลูกเท่านั้นเองค่ะ
จริงๆ ไม่ได้มีความทุกข์อะไรนะคะ สามีก็ดีมาก
แต่เหมือนกับเราพร้อมตายได้ทุกเมื่อค่ะ
ทำให้ในแต่ละวันที่อยู่นี่...เราก็อยู่แบบไม่ค่อยมีความต้องการอะไรมากมายค่ะ
..................................................................
ไม่ทราบว่าตอบโจทย์ที่คุณ drsp ถามมาหรือไม่คะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 206
ขอบคุณค่ะคุณโดมdome@perth เขียน:พึ่งได้ชม มันนี่ทอร์ค ผ่านยูทุป ครับ
ขอชื่นชม ในความประหยัด ในความพอเพียง
ขอขอบคุณ ที่กรุณาออกมาแสดงตน เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง
และขออวยพรให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนยิ่งๆขึ้นไปครับ
ยังไปแอบอ่าน facebook คุณโดม
และแอบดูเจ้าตัวน้อยทั้งสองอยู่บ่อยๆ ค่ะ
ขอให้มีความสุขกับการเลี้ยงลูกและการลงทุนนะคะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 207
ใครหนอ? พี่เจริญหรือเปล่าคะporpiangrich เขียน:เพิ่งดู Money Talk วันนี้ นึกว่าใครทีไหน เห็นแวบแถว ๆ แถว นวนคร ก่อนที บ.จะถูกปิดไป
เก่งมาก ครับ
ถ้าเป็นพี่เจริญนี่ port ของนุชเป็น baby ที่ยังไม่ห้ดคลานไปเลยหละค่ะ
หรือจะเป็นพี่วิท....หรือพี่เอ....หรือจะเป็น...ใครดี
แต่ก็ขอบคุณที่แวะมาทักทายค่ะ....ถ้าเฉลยด้วยจะดีมากค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 208
ตัวเองอ่านจากที่ไหน.....ยังจำไม่ได้เลยค่ะ....เพราะที่บ้านไม่มีหนังสือของ "Madona" อยู่เลยค่ะf.escape เขียน:ที่บ้านมีหนังสือนิทานเรื่อง The English Roses เขียนโดย Madonna
หนังสือให้แง่คิดว่า อย่าตัดสินคนจากภายนอก
ทราบแต่ว่า...รู้สึกประทับใจในเนื้อเรื่องโดยรวม...และเมื่ออ่านแล้ว สามารถเอามาสรุปเป็นแนวคิดที่ได้
โดยเทียบกับเรื่องราวของในชีวิตประจำวันของตัวเองหรือคนรอบตัวได้ประมาณนี้ค่ะ
ถ้าเนื้อเรื่องไม่แม่นนักก็ขอภัยด้วยนะคะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 210
ขอบคุณค่ะ คุณ ddoo7 ภรรยาให้เงินมาลงทุนเพิ่มหรือยังคะddoo7 เขียน:ได้ชมคุณนุชออกรายการมันนี่ทอล์คแล้ว เซอร์ไพร์เหมือนกัน
เพราะดูจากความคิด แนวการปฎิบัติจากที่เขียนและความสำเร็จจากการลงทุน ต้องบอกว่าแทบตกเก้าอี้
ขอชื่นชมแนวทางการดำเนินชิวิต ที่แสนเรียบง่ายที่น่าจะเป็นแบบอย่างของชาววีไอครับ
มันนี่ทอร์คตอนนี้ผมว่ามีจุดเด่นนอกจากมีวีไอแม่บ้านแล้ว ยังให้แนวทางการเลือกคู่ด้วยครับ ได้ใจคนไม่หล่อมากๆ