กสิกรไทยคาดเงินเฟ้อปี 54 อยู่ที่ 2.5 -4.0 % หลังประเมินผลมาตรการค่าครองชีพ ค่าจ้าง และแนวทางดูแลพลังงาน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์
" มาตรการค่าครองชีพ ค่าจ้าง และแนวทางดูแลราคาพลังงาน : นัยต่ออัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยไทยปี 2554"
ระบุว่า จากข้อมูลประมาณการของหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และศูนย์วิจัยกสิกรไทย ล้วนสะท้อนการคาดการณ์ในทิศทางที่สอดคล้องกันว่า แรงกดดันในช่วงขาขึ้นของเงินเฟ้อไทยอาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2554 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะตรงกันข้ามกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยที่ต้องเผชิญความเสี่ยง/ปัจจัยท้าทายหลายด้านพร้อมๆ กัน ดังนั้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระค่าครองชีพของประชาชน รวมถึงต้นทุนราคาพลังงานของผู้ประกอบการ (โดยเฉพาะในภาคขนส่ง) รัฐบาลจึงได้วางแนวทางช่วยเหลือเฉพาะหน้าที่สำคัญในระยะสั้นไว้หลายมาตรการ อาทิ โครงการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 8-17 บาทต่อวัน รวมถึงแนวนโยบายทางด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลและราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศ
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบของมาตรการบรรเทาค่าครองชีพ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และแนวทางดูแลราคาพลังงาน ที่มีต่อแรงกดดันเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2554 ไว้ดังนี้
- ผลกระทบของมาตรการดูแลค่าครองชีพของประชาชน ต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศ
แม้ว่าเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย (ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/2552) จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในรอบล่าสุดจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า มาตรการบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน และการดูแลราคาพลังงานในประเทศของภาครัฐ ก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อยที่ช่วยสนับสนุนภาวะการจับจ่ายใช้สอยของภาคเอกชน และมีส่วนทำให้ระดับราคาสินค้าผู้บริโภคหลายรายการอยู่ในเกณฑ์ที่มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ มาตรการบรรเทาค่าครองชีพ การตรึงราคาก๊าซ LPG/NGV และการขอความร่วมมือผู้ประกอบการในการตรึงราคาสินค้าซึ่งถูกพิจารณาขยายเวลามาแล้วหลายครั้งในช่วงก่อนหน้านี้ กำลังจะครบกำหนดสิ้นสุดลงอีกครั้งในช่วงสิ้นปี 2553 และเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ตามลำดับ
ดังนั้น รัฐบาลจึงเตรียมวางแนวทางบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนให้เป็นแผนต่อเนื่องในระยะยาว โดยจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานหลายประเภท รวมถึงวิเคราะห์โครงสร้างราคาสินค้าประเภทอื่นๆ (อาทิ อาหาร และค่าไฟฟ้า) ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งใน “การปฏิรูปประเทศ” เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนชุดใหม่ดังกล่าว จะเข้ามารับช่วงต่อในจังหวะที่มาตรการบรรเทาค่าครองชีพชั่วคราวชุดเก่ากำลังทยอยหมดวาระลง ซึ่งทำให้คาดว่า การดำเนินการของภาครัฐตามแนวทางดังกล่าว จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดแรงกดดันต่อราคาสินค้าและเงินเฟ้อลงบางส่วนในระยะ 1 ปีข้างหน้า
มาตรการภาครัฐเพื่อบรรเทาค่าครองชีพประชาชน อาจช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อปี 2554 ลงประมาณร้อยละ 1.0 ภายใต้สมมติฐานที่ภาครัฐยังคงตรึงราคา LPG/NGV สำหรับภาคครัวเรือนและภาคขนส่งต่อเนื่องไปตลอดในช่วง 1 ปีข้างหน้า และมีการขยายเวลาสำหรับมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน (อาทิ ค่าไฟฟ้า รถเมล์และรถไฟฟรี) ออกไปบางส่วน ขณะที่ ยังคงดูแลการปรับขึ้นราคาสินค้าให้มีความเหมาะสม และขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการตรึงราคาสินค้าต่อไปอีกระยะหนึ่ง
กรณีมีมาตรการดูแลค่าครองชีพ จากประมาณการกรณีพื้นฐานปี 2554 ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยซึ่งราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 90 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล และเศรษฐกิจไทยขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0 พบว่า หากรัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ ตรึงราคาก๊าซ LPG/NGV สำหรับภาคขนส่งและครัวเรือนต่อเนื่องในช่วง 1 ปีข้างหน้า ตลอดจนดูแลการปรับราคาสินค้าให้สมเหตุสมผลแล้ว อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2554 อาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 3.3 ซึ่งก็จะเป็นระดับเดียวกับตัวเลขคาดการณ์ของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2553
กรณีไม่มีมาตรการดูแลค่าครองชีพ การวิเคราะห์ภายใต้กรณีนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า แรงกดดันเงินเฟ้อของไทยในปี 2554 อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกร้อยละ 1.0 ไปอยู่ที่ร้อยละ 4.3 โดยเฉลี่ย ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2553 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.3
ดังนั้น คงต้องยอมรับว่า การวางแนวทางเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชนของรัฐบาลจะมีส่วนสำคัญยิ่งในการประคับประคองให้ค่าครองชีพ และระดับราคาสินค้าผู้บริโภคหลายรายการอยู่ในเกณฑ์ที่มีเสถียรภาพในช่วงปี 2554
- ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ต่อต้นทุนภาคธุรกิจและอัตราเงินเฟ้อ
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำใน 76 จังหวัดในกรอบ 8-17 บาทต่อวัน โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 ซึ่งรายละเอียดของมติปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำครั้งนี้ คือ ค่าจ้างขั้นต่ำของกรุงเทพมหานครจะได้รับการปรับขึ้น 9 บาทต่อวัน เป็นวันละ 215 บาท ขณะที่ ค่าจ้างขั้นต่ำของภูเก็ตปรับเพิ่มขึ้นมากสุด มาที่ 221 บาท ส่วนจังหวัดที่ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด คือ พะเยามาที่ 159 บาทต่อวัน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบของการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานต่อต้นทุนธุรกิจ และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปไว้ดังนี้ :-
ผลกระทบการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานต่อต้นทุนธุรกิจและเงินเฟ้อ (คาดการณ์โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
ผลต่อต้นทุนธุรกิจ จากการศึกษาโครงสร้างต้นทุนของภาคการผลิต จะพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วค่าจ้างพนักงานคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 12.3 ของต้นทุนปัจจัยการผลิตรวมของภาคธุรกิจ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำตามมติครม.ในรอบนี้ น่าที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการปรับเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.65
อย่างไรก็ตาม ผลที่จะมีต่ออัตราเงินเฟ้ออาจไม่มากเท่ากับอัตราการเพิ่มของต้นทุน เนื่องจากแม้จะมีการผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มไปที่ราคาสินค้า แต่สภาพการแข่งขันในตลาดสินค้าผู้บริโภคที่ค่อนข้างเข้มข้นก็อาจเป็นข้อจำกัดสำหรับการปรับขึ้นราคาสินค้าบางประเภทในช่วงเวลานี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการต้องหาวิธีการในการปรับตัวเพื่อลดต้นทุนบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มีสัดส่วนต้นทุนค่าแรงที่สูง แต่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างน้อยในการปรับขึ้นราคาสินค้า เช่น ธุรกิจในสาขากสิกรรม ค้าปลีกค้าส่ง ปศุสัตว์ การทำเหมือง บริการส่วนบุคคล การผลิตเครื่องจักรการเกษตร ประมง เฟอร์นิเจอร์ รองเท้า สิ่งทอ และเซรามิกส์
-ผลต่ออัตราเงินเฟ้อ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำที่เริ่มมีผลตั้งแต่ต้นปี 2554 อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมกราคม 2554 ขยับขึ้นไม่เกินร้อยละ 0.4 จากเดือนก่อนหน้า (MoM) แต่ทั้งนี้คงต้องพิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ และราคาสินค้าผู้บริโภคอื่นๆ ประกอบในช่วงเวลาดังกล่าว
กระนั้นก็ดี ผลของฐานการเปรียบเทียบที่ค่อนข้างสูงในช่วงไตรมาสที่ 1/2553 อาจทำให้ปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงไตรมาสแรกของปีไม่สะท้อนภาพออกมาอย่างชัดเจนมากนัก โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาส 1/2554 อาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ในกรอบประมาณร้อยละ 2.9-3.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อไตรมาส 4/2553 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.9
ดังนั้น การปรับเพิ่มค่าตอบแทนแรงงานดังกล่าวข้างต้น น่าที่จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนเพื่อประคับประคองให้ภาวะการจับจ่ายใช้สอยในประเทศไม่สะดุดลงในช่วงที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ในช่วงอ่อนกำลังลง และยังเป็นแนวทางที่สอดรับกับการขยับสูงขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลายรายการในช่วงก่อนหน้านี้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก็อาจต้องเตรียมหารือและวางแนวทางเพื่อบรรเทาผลกระทบด้านลบที่บางภาคธุรกิจต้องเผชิญเพิ่มมากขึ้นจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ท่ามกลางสภาวะที่ผู้ประกอบการโดยรวมต้องรับมือกับโจทย์หลายด้าน ประกอบด้วย การปรับขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนทางการเงิน ทิศทางเงินบาท และแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อยู่แล้วในขณะนี้
- ผลกระทบของการดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศ
เนื่องจากทิศทางราคาน้ำมันในประเทศนั้น มีกลไกเชื่อมโยงกับสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ดังนั้น การวางแนวทางแก้ปัญหาราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศให้ไม่เกินระดับ 30 บาทต่อลิตร นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สำคัญยิ่งของรัฐบาลในช่วงที่กำลังจะย่างเข้าสู่ปี 2554 เพราะนั่นจะหมายถึงนัยที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องตามมาเป็นลูกโซ่ต่อผู้ประกอบการในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในภาคขนส่ง ประมง และภาคการเกษตร ตลอดจนผลกระทบที่จะส่งผ่านมายังประชาชนผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและเงินเฟ้อในท้ายที่สุด ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ประเด็นเชิงนโยบายเกี่ยวกับโครงสร้างราคาพลังงานของรัฐบาลในช่วงปีข้างหน้า จะเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อราคาขายปลีกพลังงานและอัตราเงินเฟ้อในประเทศ
แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า...สร้างแรงกดดันกลับมายังราคาขายปลีกพลังงานในประเทศ แม้ว่าทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2554 จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจส่งผลจำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ดี ธรรมชาติของเศรษฐกิจที่ยังคงมีการขยายตัว ก็น่าจะทำให้ความต้องการน้ำมันยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีข้างหน้า ขณะที่ ปัจจัยอื่นๆ อาทิ ทิศทางเงินดอลลาร์ฯ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ก็อาจส่งผลหนุนให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้นสูงเกินกว่าระดับที่สะท้อนจากปัจจัยพื้นฐานในบางช่วงเวลา
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (ตลาดโลก) อาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 85.0-95.0 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในปี 2554 หรือปรับขึ้นประมาณร้อยละ 7.1-19.6 จากค่าเฉลี่ยปี 2553 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 79.4 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งภายใต้สถานการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกตามภาพดังกล่าว ย่อมเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับรัฐบาลในการชะลอกลไกการส่งผ่านมายังราคาขายปลีกพลังงานในประเทศเพื่อที่จะรักษาราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรได้ตลอดระยะ 1 ปีข้างหน้า จากระดับ 29.09-29.69 บาทต่อลิตร (สำหรับดีเซล B5 และ B3) ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ซึ่งเป็นราคาที่กองทุนน้ำมันเข้าไปช่วยชดเชยเป็นขั้นตอนแรกจากวงเงินจัดสรรเพื่อเข้าดูแลราคาดีเซล 5 พันล้านบาท
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในระยะสั้น ภาครัฐยังคงมีเครื่องมือเพียงพอที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และดูแลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศตรึงไว้ที่ระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ทั้งจากกลไกการรับภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตลอดจนการนำมาตรการภาษีสรรพสามิตมาใช้ ในกรณีที่ทิศทางราคาน้ำมันโลกไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลประเมินไว้ อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการปูแนวทางสำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาว การกำหนดนโยบายราคาพลังงานในประเทศของรัฐบาลควรที่จะพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยมองถึงการเชื่อมโยงระหว่างหลายๆ หน่วยงานในโครงสร้างของกลไกราคาน้ำมัน วางแนวทางสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนและการรณรงค์ประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพิจารณาผลักดันมาตรการลดผลกระทบช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับความเดือดร้อนและมีความยากลำบากในการปรับตัว
บทสรุปจากมาตรการค่าครองชีพ ค่าจ้าง และนโยบายราคาพลังงานของภาครัฐ : นัยต่อทิศทางอัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยนโยบาย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในปี 2554
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้านในระยะ 1 ปีข้างหน้า จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของตลาดเงิน-ตลาดทุน ความเป็นไปได้ที่เงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตลอดจนปัจจัยทางการเมือง (ซึ่งจะมีผลเชื่อมโยงกับความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และบรรยากาศการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน) และแรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการในเบื้องต้นว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอาจโน้มชะลอลงมาอยู่ในกรอบประมาณร้อยละ 3.5-4.5 ในปี 2554 จากอัตราการขยายตัวราวร้อยละ 7.0 ในปี 2553 นี้
ซึ่ง ณ เวลานี้ ดูเหมือนกับว่า ปัจจัยฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ในระยะ 1 ปีข้างหน้า จะเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และน่าจะทำให้แนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในปี 2554 กลายเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อย่างไรก็ดี ความพยายามของภาครัฐในการวางแนวทางบรรเทาภาระค่าครองชีพ การปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ และการดูแลราคาพลังงานในประเทศ ทั้งในส่วนของการตรึงราคาก๊าซ LPG/NGV สำหรับภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง ตลอดจนการดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรนั้น น่าที่จะช่วยหนุนให้การจับจ่ายใช้สอยในประเทศไม่หยุดชะงักลง ขณะที่ แนวโน้มขาขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในประเทศในปี 2554 ก็อาจได้รับการบรรเทาลงบางส่วน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการวิเคราะห์มาตรการบรรเทาค่าครองชีพ การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ และการดูแลทิศทางราคาพลังงานในประเทศของภาครัฐ ที่อาจส่งผลต่อเนื่องมายังต้นทุนของผู้ประกอบการและอัตราเงินเฟ้อในประเทศในปี 2554 แล้ว พบว่า การขยายเวลาสำหรับมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน (ภายใต้สมมติฐานว่า มีการต่ออายุมาตรการค่าไฟฟ้า รถเมล์และรถไฟฟรีออกไปบางส่วน มีการขยายเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG/NGV สำหรับภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง รวมถึงมีขอความร่วมมือผู้ประกอบการในการตรึงราคาสินค้า) อาจช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2554 ลงได้ประมาณร้อยละ 1.0 โดยจากประมาณการกรณีพื้นฐาน คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2554 อาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.3 (ในกรอบประมาณการร้อยละ 2.5-4.0) เทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพที่อัตราเงินเฟ้อปี 2554 อาจพุ่งขึ้นไปถึงร้อยละ 4.3
สำหรับผลของการปรับขึ้นค่าจ้างในกรอบ 8-17 บาทต่อวันตามมติของครม.นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า อาจทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.65 แต่ผลที่มีต่ออัตราเงินเฟ้ออาจไม่มากเท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากแม้จะมีการผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มไปที่ราคาสินค้า แต่สภาพการแข่งขันในตลาดสินค้าผู้บริโภคที่ค่อนข้างเข้มข้นก็อาจเป็นข้อจำกัดสำหรับการปรับขึ้นราคาสินค้าบางประเภทในช่วงเวลานี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการต้องหาวิธีการในการปรับตัวเพื่อลดต้นทุนบางส่วน ทั้งนี้ ธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างน้อยในการส่งผ่านต้นทุนมายังราคาสินค้า ได้แก่ ผู้ประกอบการสาขากสิกรรม ค้าปลีกค้าส่ง ปศุสัตว์ การทำเหมือง บริการส่วนบุคคล การประมง เฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอ และรองเท้า ขณะที่ ผลของการปรับขึ้นค่าจ้างต่ออัตราเงินเฟ้อในไตรมาสแรกของปี 2554 (ช่วงที่ค่าจ้างใหม่เริ่มมีผลบังคับใช้) อาจไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากฐานการคำนวณเปรียบเทียบที่สูงในช่วงไตรมาส 1/2553 อาจทำให้ค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาส 1/2554 อยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 4/2553 ที่ราวร้อยละ 2.9-3.0
ส่วนมาตรการดูแลราคาพลังงานในประเทศ โดยเฉพาะราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้ไม่เกินระดับ 30 บาทต่อลิตรนั้น นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายรัฐบาลค่อนข้างมาก แม้ว่ารัฐบาลจะใช้กลไกการรับภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในระยะสั้นได้ แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปี 2554 ปรับเพิ่มขึ้นไปยืนเหนือระดับ 90 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลต่อเนื่องยาวนาน กลไกการรับภาระของกองทุนน้ำมันก็อาจไม่เพียงพอที่จะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ในระยะที่ยาวนานนัก ซึ่งท้ายในที่สุดแล้ว การที่จะรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้ที่ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ก็อาจเป็นไปได้ยากมากขึ้น
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า กรอบอัตราเงินเฟ้อทั่วไปสำหรับปี 2554 ที่ร้อยละ 2.5-4.0 (ค่ากลางที่ร้อยละ 3.3) และกรอบอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสำหรับปี 2554 ที่ร้อยละ 1.8-3.0 (ค่ากลางที่ร้อยละ 2.3) ยังคงสามารถรองรับผลที่สืบเนื่องมาจากการผลักดันมาตรการบรรเทาค่าครองชีพ การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ และการดูแลทิศทางราคาพลังงานในประเทศของภาครัฐได้ โดยมองว่า การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว จะส่งผลช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อลงบางส่วน แต่กระนั้นก็ดี แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2554 ยังคงเป็นขาขึ้น ซึ่งย่อมจะทำให้การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อดูแลประเด็นทางด้านเสถียรภาพราคายังน่าที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 เป็นอย่างน้อย โดยเครือธนาคารกสิกรไทย คาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าที่จะขยับขึ้นไปที่ร้อยละ 2.50 ภายในช่วงกลางปี 2554 จากระดับร้อยละ 2.00 ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามประเด็นเชิงนโยบายของภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพราะแม้ว่ารัฐบาลจะสามารถบรรเทา และ/หรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในเรื่องค่าครองชีพของประชาชนและราคาพลังงาน (ทั้งในส่วนของน้ำมันดีเซลและก๊าซธรรมชาติ) ได้ในระยะสั้น แต่การวางแนวทางการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาพลังงานหลายรายการในประเทศ ก็นับเป็นโจทย์ระยะกลาง-ยาวที่ท้าท้ายไม่น้อย เนื่องจากประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ต้องการแนวโยบายที่มีความชัดเจน และยังอาจผูกโยงไปกับประเด็นเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาลในระยะถัดๆ ไปอีกด้วย
http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=524