หน้า 7 จากทั้งหมด 8

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 7:04 pm
โดย chartchai madman
ตะลึง !! Fed ลดดอกเบี้ย.....ยาแรงที่ได้ผล??
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนอกรอบก่อนการประชุมในสัปดาห์หน้าอย่างกระทันหัน 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลงมาอยู่ที่ 3.5% นอกจากนี้ยังมีการลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ (Discount Rate) อีก 0.75% มาอยู่ที่ 4.0% ด้วยเช่นกัน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯดื้อยา นโยบายการเงินการคลังไม่ได้ผล ระวังสะเทือนถึงจีน

ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการ Trading Hour ว่า การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ถือเป็นการให้ยาแรงที่สุดในรอบ 24 ปีที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 0.75% และนับเป็นการใช้นโยบาย 2 ประสานที่ผ่อนคลายอย่างมากคือทั้งนโยบายการคลังในปลายสัปดาห์ที่แล้วที่นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศมาตรการภาษีลดภาษีลงถึง 1.5 แสนล้านเหรียญ และการใช้นโยบายการเงินในการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าตลาดจะไม่ตอบสนอง

FOMC เคยลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 0.75% มาแล้วเมื่อปี 2527 สมัยที่นายพอล วอล์คเกอร์เป็นประธานและแม้ในสมัยที่นายอลัน กรีนสแปนเป็นประธานฯก็มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงมากที่สุดในคราวที่เกิดเหตุการณ์ 911 โดยลดลงเพียง 0.5% และในช่วงปลายปีที่แล้วนายเบน เบอร์นันคี่ ก็ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% เช่นกัน

ส่วนสาเหตุที่ตลาดหุ้นในเอเชียปรับตัวลดลงอย่างหนักก็เพราะ ผู้จัดการกองทุนต่างชาติขายหุ้นในเอเชียเพื่อนำเงินกลับไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ดร.สมภพกังวลกับดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกงที่วานนี้ (23 ม.ค. 51) ลดลงประมาณ 10 จุด แต่ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ดัชนีตลาดหุ้นฮ่องกงหายไปถึง 1 ใน 3 จากกว่า 3 หมื่นจุด เหลือเพียงกว่า 2 หมื่นจุดในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะ บริษัทจดทะเบียนครึ่งหนึ่งในฮ่องกงเป็นหุ้นจากจีนแผ่นดินใหญ่ จึงต้องระมัดระวังด้วยว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจลุกลามไปถึงจีนได้ ซึ่งย่อมส่งผลมาถึงเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียด้วย

การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ในลักษณะเดียวกับโดมิโน ที่เมื่อสหรัฐฯไม่สามารถจัดการกับเศรษฐกิจของตัวเองได้ ก็จะทำให้การบริโภคภายในประเทศลดลง และทำให้การนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ลดลงตามไปด้วย ซึ่งสหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 20%

เช่นเดียวกับไทยที่มูลค่าการส่งออกสูงกว่า 65% ของ GDP ของประเทศจึงน่าจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดการประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของการส่งออก สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศควรเป็นทีมเศรษฐกิจที่พร้อมทำงานได้ทันที ไม่มีเวลาที่จะมาเรียนรู้อะไรใหม่ ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค และสร้างความเชื่อมั่นกับทุกฝ่ายได้

คาดเฟดเล็งลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 0.50% กระตุ้นความเชื่อมั่น

น.ส. อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) มองว่า FED มีความกังวลถึงปัญหา Subprime ว่าจะส่งผลกระทบทางลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างมาก จึงได้ตัดสินใจประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างฉุกเฉิน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา และลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะถดถอยลงอย่างรุนแรง

น.ส. อุศรากล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯมีแนวโน้มเป็นขาลงชัดเจน และทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันให้อ่อนตัวลงต่อไปอีก ขณะที่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชียในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีแนวโน้มถดถอยลงได้อีกภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันพุธที่ 30 มกราคม ยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากมีข่าวร้ายเข้ามากระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐฯในระหว่างรอการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 18 มีนาคม 2551 ก็จะกดดันให้ตลาดทุนทั่วโลกย่ำแย่ลงไปอีกได้

ส่วนดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์เมื่อวานนี้ที่ไม่ตอบรับผลการลดดอกเบี้ยของ FED นั้น น.ส. อุศรามองว่า เกิดขึ้นจากดัชนีดาวโจนส์ได้ปิดทำการในวันจันทร์ ซึ่งในวันนั้นตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงไปเกือบ 10% แต่หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ได้เปิดการซื้อขายแล้ว ในช่วงแรกดัชนีฯก็ได้ปรับลดลงอย่างรุนแรง จนกระทั่ง FED ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็ได้หนุนให้ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นจนสามารถลดช่วงลบลงได้ จึงเชื่อว่า หาก FED ไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงไปมากกว่านี้ก็เป็นได้

น.ส. อุศรามองว่า การลดดอกเบี้ยของ FED ในครั้งนี้ถือเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพราะหากตัดสินใจช้ากว่านี้ ก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยรุนแรงได้ แต่ในระยะยาวยังคงมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบจากปัญหา Subprime ได้อีก ดังนั้น การลงทุนระยะกลางจึงควรระวังความเสี่ยงดังกล่าวด้วย โดยยังเชื่อว่า FOMC ยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจนต่ำ 3% แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯด้วย

คาดนักลงทุนรอความชัดเจนของปัญหาก่อนตัดสินใจลงทุนใหม่

นส.เกวลิน หวังพิชญสุข นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บอกว่า การลดอัตราดอกเบี้ยลงของ Fed น่าจะฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ให้กลับคืนมาได้บ้าง หลังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีแนวโน้มย่ำแย่จากปัญหา Subprime อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ก็มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น การจ้างงาน ยอดค้าปลีก และดัชนีภาคการผลิต ต่างก็ออกมาไม่ดีนัก

สำหรับดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกที่ลดลงในช่วงนี้ สะท้อนว่า นักลงทุนต่างมีความวิตกกังวลกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ต้องเพิ่มความระวังในการลงทุน โดยคาดว่าในช่วงนี้นักลงทุนคงจะถือเงินสดเพื่อรอความชัดเจนก่อน เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่า การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้ และมาตรการทางการคลังที่จะออกมาในอนาคต จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้เร็วมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลัง เศรษฐกิจไทยจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 10% ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวประมาณ 18% เนื่องจากฐานการส่งออกในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทก็ยังคงมีอยู่ต่อไป

บัวหลวงชี้หุ้นไทยเข้าสู่ช่วง Bear Market แนะถือ Short Position

นายคมสันต์ ปรมาภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า Morgan Stanley คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงถดถอยได้ในไตรมาส 1-2/51 นี้ และจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในไตรมาส 3/51 ซึ่งตามสถิติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ช่วงถดถอย ก็จะทำให้หุ้นดาวโจนส์ปรับร่วงลงจากระดับสูงสุดได้ถึง 20-30% แต่ที่ผ่านมาดัชนีดาวโจนส์ก็ได้ปรับลดลงเพียง 10% เท่านั้น จึงถือว่าเป็นการปรับลดที่ยังน้อย ซึ่งเกิดจากการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงของ Fed นั่นเอง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างชาติก็ยังคาดการณ์ว่า FED อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงจนต่ำกว่าระดับ 3% ได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น นายคมสันต์แนะนำว่า เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยในขณะนี้เป็นตลาดหมี (Bear Market) แล้ว นักลงทุนจึงควรถือ Short Position และแม้ว่าดัชนีจะดีดตัวขึ้น แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นระยะสั้น ๆ เท่านั้น นักลงทุนระยะกลางจึงยังสามารถถือ Short Position ต่อไปได้ เพราะดัชนียังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อได้อีก ขณะที่นักลงทุนระยะสั้น ก็อาจเล็งจังหวะที่ตลาดเข้าสู่ภาวะตื่นตระหนก (Panic) ก็สามารถปิดสถานะได้ และเมื่อตลาดดีดตัวขึ้นก็เข้าถือ Short Position ต่อได้ ส่วนการซื้อขาย Options ในขณะนี้ก็ควรถือ Short Call Options มากกว่า และเชื่อว่าจะเห็นการใช้กลยุทธ์ Straddle น้อยลง เพราะมีความเสี่ยงเนื่องจากยังมีสภาพคล่องต่ำ และกลยุทธ์นี้ก็เหมาะกับการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น

นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดอนุพันธ์นั้น นักลงทุนจะต้องมีเวลาติดตามสภาวะตลาดด้วย เพราะดัชนีที่เปลี่ยนแปลง 1 จุด จะส่งผลกระทบต่อเงินวางหลักประกันของนักลงทุนถึง 2% โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ดัชนีมีความผันผวน 20 จุดต่อวัน ก็จะส่งผลกระทบต่อดัชนีได้ถึง 20-30% ของเงินประกันได้ และการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ในระยะนี้ก็ควรต้องเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ และจะต้องมีความอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันของดัชนี หรือสามารถยอมรับความผันผวนระยะสั้นได้อีกด้วย และควรมองภาพใหญ่ จะทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ง่ายขึ้น

ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ในระยะนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยที่ 6,000-7,000 ต่อสัญญา แต่ในบางขณะที่ดัชนีมีความผันผวน ปริมาณการซื้อขายก็อาจปรับเพิ่มขึ้นไปได้มากกว่า 1 หมื่นสัญญาได้

ถ้าบรรยากาศการลงทุนดีดัชนีหุ้นไทยปีนี้อาจกลับมายืนเหนือ 900 จุดได้

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล. นครหลวงไทย ผลกระทบจากวิกฤติสภาพคล่อง Subprime เกิดขึ้นกับประเทศไทยใน 2 ส่วนด้วยกันคือ

1. การเคลื่อนย้ายเงินทุน และสภาพคล่องของตลาดหุ้นไทย เพราะไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีกองทุนและนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนตลอด 6 เดือนแรกของปีนี้

2. พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงจำกัด โดยมองว่า สถานการณ์ทางการเมืองได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะได้รับการกระตุ้นจากรัฐบาลชุดใหม่ ขณะนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนน่าจะเติบโตได้ถึง 15.5% โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและธนาคารที่น่าจะขยายตัวได้ถึง 13% ขณะที่ภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมอาจได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า และต้นทุนที่สูงขึ้น

การลงทุนในระยะนี้จึงขยับไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าคือ ทองคำและพันธบัตร ส่วนการกู้เงินญี่ปุ่นเพื่อมาลงทุน (Yen Carry Trade) ก็ทำได้ยากขึ้น เพราะค่าเงินเยนผันผวน

นายสุกิจยังบอกว่าด้วยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยที่มีศักยภาพ อาทิ หนี้สินต่อทุนที่ไม่เกิน 1 เท่า ดัชนีควรจะยืนได้ที่ 800 จุด แต่บล. นครหลวงไทยได้ปรับประมาณการดัชนีปีนี้จากเดิม 1,000 จุด ลงมาอยู่ที่ 900-915 จุด หากบรรยากาศการลงทุนเอื้ออำนวย

680 710 จุด แนวรับสำคัญของหุ้นไทย

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯที่ 3.5% น่าจะยังไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง โดยอาจจะลดลงได้อีก 0.5-1% เป็นอย่างน้อย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นรุนแรงกว่าที่คาดกัน ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจต้องมีการปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยของ Fed โดยคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/51 และตามทฤษฎีแล้ว ดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยให้มูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นทันที

สำหรับประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ นายสมบัติมองว่าไม่น่าจะต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของปีที่ 858 จุด โดยหวังว่าน่าจะไปยืนอยู่ที่ 860-900 จุดได้ในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม แนวรับสำคัญคือที่ 680 711 จุด หากหลุดจากนี้ก็อาจเรียกได้ว่า เข้าสู่ภาวะวิกฤติที่อาจสั่นคลอนความรู้สึกของนักลงทุนและตลาดอย่างมาก

ต่างชาติหวังรัฐบาลใหม่เร่งสร้างความเชื่อมั่นเป็นลำดับแรก

นายคีธ เนรูด้า หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล. ยูบีเอส (ประเทศไทย) มองว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯจะลงไปเหลือ 2-2.5% อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางการเมืองของไทยเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุน ซึ่งที่สำคัญรัฐบาลชุดใหม่จะต้องทำก่อนเป็นลำดับแรกอาจไม่ใช่การเร่งให้เกิดโครงการใหม่ ๆ แต่เป็นเรื่องของการสร้างความน่าเชื่อถือ และดำเนินนโยบายต่าง ๆ อย่างมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังค้างอยู่เดิมและสร้างความไม่ไว้วางใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ อาทิ พ.ร.บ.ธุรกิจต่างด้าว และมาตรการกันสำรอง 30%

ส่วนเป้าของดัชนีตลาดหุ้นไทยจากเดิมที่ตั้งไว้ 1,080 จุด ก็ลดลงเหลือ 950 จุด ทั้งนี้ภาคการส่งออกที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมาไม่ได้สะท้อนอยู่ในดัชนีตลาดหุ้นไทย เพราะหุ้นกลุ่มที่นำตลาดคือกลุ่มพลังงาน และทาง บล. ยูบีเอสหวังที่จะเห็นหุ้นกลุ่มอื่น อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนมาเป็นผู้กำหนดทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบ้าง

ผู้นำเศรษฐกิจไทยต้องนิ่งและกล้าตัดสินใจพาประเทศให้พ้นวิกฤติ

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหา Subprime เป็นสิ่งที่ลุกลากไปมากกว่าที่คาดกันไว้ แม้ในครั้งแรกทางการสหรัฐฯจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องออกมาตรการพิเศษเพิ่มเติม แต่ในขณะนี้กลับเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม โดยส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหานี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะจึงจะเห็นผลที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามหากปัญหาครั้งนี้เป็นปัญหาเศรษฐกิจก็คงจะใช้เวลาไม่นานในการแก้ปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องของวิกฤติสถาบันการเงินจะต้องใช้เวลานานในการแก้ไขเพราะปัญหาจะลึกซึ้งกว่าที่คาดไว้ และมีความเป็นไปได้ที่ FOMC จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมากกว่า 1%

ดร.กอบศักดิ์ยังคาดหวังที่จะเห็นรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศทำให้การลงทุนเกิดขึ้นให้ได้ เพราะเศรษฐกิจไทยไม่สามารถพึ่งพิงการส่งออกได้อีกต่อไป อีกทั้งการกระตุ้นการบริโภคของภาคประชาชนในภาวะที่ราคาน้ำมันแพงย่อมทำได้ยาก ขณะที่ผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศควรต้องมีศักยภาพในการตัดสินใจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นในการนำพาประเทศฟันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะเศรษฐกิจโลกมีปัญหาและส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังประเทศไทย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 7:10 pm
โดย chartchai madman
Subprime ระเบิดเวลาเศรษฐกิจโลก
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (FED Fund Rate) 0.75% จาก 4.25% มาอยู่ที่ 3.5% นอกจากนี้ยังลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ (Discount Rate) อีก 0.75% จาก 4.75% มาอยู่ที่ 4% ด้วยเช่นกัน เพื่อแก้ปัญหา Subprime ที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ จะช่วยลดภาระของผู้กู้ที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ย และมีผลให้จำนวนบ้านที่จะถูกยึดมีน้อยลงด้วย

นายกอบสิทธิ์บอกว่า ในอนาคตมีแนวโน้มที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก เนื่องจากโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในขณะนี้ บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) แต่เฟดไม่ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 29 30 ม.ค.นี้ เพราะขณะนี้ยังไม่เห็นผลที่เกิดจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% ถ้าเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก จะแสดงให้เห็นว่า เฟดไม่มีการวางแผนในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้เฟดก็ควรทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นด้วยว่า การแก้ไขปัญหาของเฟดมาถูกทางแล้ว

สำหรับปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในครั้งนี้ เกิดจากการที่เศรษฐกิจโลกไม่มีความสมดุล โดยประเทศในเอเชียมีการเกินดุลการค้ามาก ในขณะที่สหรัฐฯ ก็ขาดดุลทางการค้านานต่อเนื่องถึง 10 ปี และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 2 3/2551 ส่วนการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ถ้าหากพรรคเดโมแครตได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำประเทศ จะทำให้ประเทศในเอเชียได้รับแรงกดดันทางการค้ามากขึ้น เนื่องจากพรรคเดโมแครตมีนโยบายที่จะให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในประเทศ รวมถึงการกดดันให้เอเชียนำเข้าสินค้ามากขึ้น เพื่อลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด

นายกอบสิทธิ์บอกว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป ถ้าเมื่อใดที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยด้วย ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลใหม่กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนให้มากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความสมดุลให้กับเศรษฐกิจไทย

นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผู้ส่งออกของไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากปัญหา Subprime ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย. 2550 และเห็นผลชัดเจนหลังเดือน ม.ค. 2551 โดยผู้ซื้อได้ชะลอการสั่งซื้อสินค้าหลังกำลังซื้อลดลง ส่วนการที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% จะไม่กระตุ้นการบริโภคของผู้บริโภคสหรัฐฯ ให้กลับคืนมาทันที แต่จะต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่ชาวสหรัฐฯ จะกล้าใช้จ่ายอีกครั้ง

สำหรับการส่งออกของไทยในปีที่ผ่านมาขยายตัวถึงกว่า 17% เนื่องจากไทยมีการกระจายตลาดส่งออก อย่างไรก็ตามถ้าพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรมแล้วจะพบว่า มีบางอุตสาหกรรม เช่น อาหารและกุ้ง ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ เป็นประเทศที่นำเข้ากุ้งและอาหารจากไทยเป็นจำนวนมาก และถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่คลี่คลาย ก็มีโอกาสที่อัตราการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จะติดลบเช่นกัน

นายไพบูลย์ฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่า อยากให้ภาครัฐยกระดับผู้ผลิตและส่งเสริมการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยในระยะยาว รวมถึงการออกกฎเกณฑ์ที่เป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 7:28 pm
โดย chartchai madman
เฟดประกาศลดดอกเบี้ยฟ้าผ่า 0.75% รับมือกับเศรษฐกิจขาลง
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008
เฟดหั่นดอกเบี้ยฟ้าผ่า 0.75%
เมื่อคืนที่ผ่านมา คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน หรือ FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยกระทันหัน 0.75% ทำให้ Fed Fund Rate ลดลงมาอยู่ที่ 3.5% อันเป็นระดับต่ำที่สุดนับแต่เดือนกันยายน 2005 เป็นต้นมา นอกจากนั้น ครั้งนี้เฟดยังประกาศ Discount Rate ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เฟดคิดในเวลาปล่อยกู้แก่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ในชั่วเวลาข้ามคืนด้วย โดยลด 0.75% เช่นเดียวกัน มาอยู่ที่ 4.0% ขณะที่ตลาดวอลล์สตรีทไม่ได้ร่วมขบวนในการดำดิ่งในสัปดาห์นี้ด้วย เนื่องจากวันจันทร์เป็นวันที่ตลาดปิดทำการพอดี แต่จากราคาฟิวเจอร์สของดัชนีหุ้น ชี้ให้เห็นว่า หากวอลล์สตรีทเปิดวานนี้โดยที่ไม่มีการขยับทำอะไร ก็คงจะตกฮวบฮาบเช่นเดียวกัน

นักวิเคราะห์เห็นด้วยกับการหั่นดอกเบี้ยก่อนการประชุมปลายเดือน
นายเควิน โลแกน นักเศรษฐศาสตร์แห่งวาณิชธนกิจ เดรสด์เนอร์ ไคลน์เวิร์ต เห็นชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่สร้างเซอร์ไพรซ์ แต่ก็ดูเหมือนว่าตลาดไม่สามารถรอคอยไปจนถึงการประชุมสิ้นเดือนนี้สำหรับการลดดอกเบี้ยอย่างที่สัญญากันไว้ได้ อีกทั้งเฟดเองก็ไม่สามารถรอคอยไปก่อนได้เช่นกัน เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของตลาดต่าง ๆ ในช่วงไม่กี่วันหลังมานี้ ทางด้านนายดิ๊ก กรีน แห่งบรีฟฟิงดอตคอม กล่าวว่า "ความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้อาจจะดูเหมือนเป็นการตอบสนองอย่างแตกตื่นต่อการทรุดฮวบของราคาหุ้น ทว่ามันก็สมเหตุสมผลด้วย"

เฟดแจงหั่นดอกเบี้นเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจขาลง
สำหรับเหตุผลในการลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้ คำแถลงของเฟดระบุว่า คณะกรรมการลงมือปฏิบัติการนี้ ด้วยทัศนะที่มองเห็นทิศทางของเศรษฐกิจกำลังอ่อนตัวลง และความเสี่ยงขาลงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจก็กำลังเพิ่มขึ้น ขณะที่ความตึงเครียดในด้านเงินทุนระยะสั้นได้ผ่อนคลายลงระดับหนึ่งแล้ว แต่ตลาดการเงินในวงกว้างยังคงย่ำแย่ลง และสินเชื่อก็อยู่ในสภาพตึงตัวมากขึ้นอีกสำหรับบางธุรกิจและภาคครัวเรือน ยิ่งกว่านั้น ข้อมูลข่าวสารที่กำลังเข้ามาก็บ่งชี้ว่า ภาวะการหดตัวของภาคที่อยู่อาศัยยังคงย่ำแย่ลง เช่นเดียวกับตลาดแรงงานก็แสดงถึงการอ่อนแอในบางระดับ

การตัดลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่เหตุการณ์ 911
ครั้งนี้เป็นการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่เดือนพฤศจิกายน 1994 ซึ่งในตอนนั้นเฟดก็หั่นดอกเบี้ยลงมา 3 สลึงเช่นเดียวกัน นอกจากนั้น คราวนี้ยังเป็นการลดดอกเบี้ยลงในเวลานอกเหนือการประชุมนโยบายตามกำหนดปกติ นับตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2001 ซึ่งเป็นวันแรกที่ตลาดการเงินสหรัฐฯเปิดทำการอีกคำรบหนึ่ง ภายหลังเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายโจมตีสหรัฐฯในวันที่ 11 กันยายน โดยที่การประชุมครั้งต่อไปของเอฟโอเอ็มซีก็จะมีขึ้นในวันที่ 29-30 มกราคมนี้

ตลาดหุ้นยังคงดำดิ่ง หลังเฟดลดดอกเบี้ยถึง 0.75%
ตลาดแถบยุโรปเมื่อวานนี้ ในช่วงแรกๆ ยังคงดำดิ่งต่อจากวันจันทร์ ก่อนที่จะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากมีข่าวลือว่า ธนาคารกลางของนานาประเทศจะร่วมมือประสานงานกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ทำท่าเลวร้ายลงเรื่อยๆ และหลังจากเฟดประกาศการลดดอกเบี้ยแบบเซอร์ไพรซ์ ดัชนีหุ้นของภูมิภาคแถบนี้ก็ดีดกลับขึ้นสู่แดนบวกราว 1% เศษๆ แต่แล้วก็กลับถอยลงมาอยู่แดนลบอีกราวๆ 0.5% ในส่วนของวอลล์สตรีทพอเปิดตลาดวานนี้ ก็ไหลรูดลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาราว 15 นาทีแรก โดยดัชนีดาวโจนส์ -420 จุด หรือ 3.48% แต่ในช่วงปิดตลาด ดาวโจนส์สามารถลดช่วงลบขึ้นมาได้ โดยปิดตลาดติดลบไปประมาณ 128 จุด หรือ 1.06% S&P500 ติดลบ 1.11% และแนสแดคติดลบ 2.04%

นโยบายคลังของ บุช ที่ล่าช้า อาจไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายไคลฟ์ ครู๊ค นักวิเคราห์จาก Financial Times มองว่า มาตรการการคลังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอาจจะไม่สามารถกระตุ้นให้ประชาชนสหรัฐออกมาจับจ่ายได้ทันท่วงที เพราถ้ามีการคืนภาษีของปี 2007 ให้กับประชาชน กว่าประชาชนจะได้รับก็จะเป็นช่วงหน้าร้อน หรือประมาณเมษายนของปี 2008 ซึ่งในขณะนั้น จะมีประชาชนจำนวนมากเดือดร้อนจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ทำให้เงินที่ได้คืนจากภาษี ถูกนำไปชำระหนี้มากกว่าจะนำมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินเหล่านี้ไม่ได้เกิดการหมุนเวียนในระบบ

ยาฮูและเลย์แมนบราเธอร์เตรียมปลดคนงานรับมือการถดถอยของสหรัฐฯ
Yahoo Search Engine ชื่อดัง เตรียมที่จะปลดพนักงาน อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดต้นทุน และจะกระตุ้นให้ราคาหุ้นของ yahoo พุ่งสูงขึ้นด้วย โดยเชื่อว่าแผนการฟลดพนักงานในครั้งนี้เป็นการปลดครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ฟองสบู่หุ้นไฮเทคแตกในปี 2001 โดยนายTrip Chrowdrey นักวิเคราห์จาก Global Equity Research บอกว่า yahoo อาจปลดพนักงงานถึง 700 ตำแหน่ง หรือประมาน 5% จากพนักงานทั้งหมด ที่มีประมาน 14000 ตำแหน่ง ขณะที่ Lehman Brother Holding วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ เผยว่า เตรียมลดการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงซบเซา ซึ่งการกระทำนี้จะทำให้ Lehman ต้องลดพนักงานลง 1300 ตำแหน่ง และอาจต้องจ่ายค่าชดเชยถึง 40 ล้านเหรียญ

รัฐมนตรีคลัง EU เผย ยุโรป ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐเกินคาด
นายชอง คล็อด จุงเกอร์ รัฐมนตรีคลังของลักเซมเบิร์ก กล่าวว่าความผันผวน และ ความตกต่ำทางเศรษฐกิจในตลาดโลก รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจยุโรปเติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้ โดย EU อาจต้องปรับลดประมาณการณ์ GDPใหม่ที่ระดับ 1.8 % ในปีนี้ 2551 จากที่เคยคาดว่าเศรษฐกิจ EU จะโต 2.2 % และก่อนหน้านั้นเคยคาดว่าจะโต ถึง 2.6 % ขณะที่ผลกระทบของปัญหา Subprime ยังคงมีต่อ ล่าสุด Commerz Bank ธนาคารใหญ่อันดับที่ 2 ของเยอรมนี เตรียมที่จะสำรองหนี้สูญ มูลค่าถึง 427 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องส่งผลกระทบต่อผลกำไรและอาจจะลามต่อไปยังภาคธนาคารของเยอรมนีก็ได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 7:33 pm
โดย chartchai madman
IMFเชียร์เฟดเจ๋งลดดอกเบี้ยเหมาะสม

วันที่ 23 มกราคม 2551

ไอเอ็มเอฟ ออกโรงเชียร์ เฟด ทำถูกต้องลดดอกเบี้ยพรวดเดียว 0.75 % มากสุดในรอบ 23 ปี

นายมาซูด อาเหม็ด โฆษก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แถลงวันนี้ (23 ม.ค.) ว่า การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงร้อยละ 0.75 ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุดในรอบกว่า 23 ปี เป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ และว่าการผันผวนของตลาดหุ้นหลายแห่งในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าความวุ่นวายของตลาดเงินนั้นสะท้อนแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกว่าจะมีการเติบโตอย่างช้า ๆ

"เฟดควรออกมาตรการทางการเงินที่ตรงจุดในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ"โฆษก กองทุนการเงินระหว่างประเทศกล่าว

รายงานระบุว่า การเคลื่อนไหวของไอเอ็มเอฟมีขึ้นท่ามกลางการตกต่ำของตลาดหุ้นทั่วโลก นักลงทุนต่างวิตกว่าภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของประเทศสหรัฐอเมริกาจะฉุดให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำไปด้วย
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=216445

news24/01/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 24, 2008 1:51 pm
โดย chartchai madman
เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่ม ด้านแบงก์ชาติอื่น ๆ หั่นดอกเบี้ยตาม
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, January 24, 2008
เฟดพร้อมหั่นดอกเบี้ยเพิ่ม
หลังจากที่เฟดตัดสินใจหั่นอัตราดอกเบี้ยเมื่อคืนก่อนอย่างกระทันหัน 0.75% ทำให้ Fed Fund Rate ลดลงมาอยู่ที่ 3.5% อันเป็นระดับต่ำที่สุดนับแต่กันยายน 05 นอกจากนั้น ครั้งนี้เฟดยังประกาศลดดิสเคาน์เรต ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เฟดคิดในเวลาปล่อยกู้แก่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ โดยลด 0.75% เช่นเดียวกัน ตอนนี้นายเบน เบอนันเก้ เผยว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ในเกณที่ควบคุมได้ ทำให้เฟดสามารถที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกหากจำเป็น และตอนนี้ เฟด สามารถพุ่งเป้าไปที่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐได้มากกว่าเรื่องอัตราเงินเฟ้อ จึงพร้อมที่จะหั่นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในอนาคต

ธนาคารกลางหลายแห่งแห่ลดอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐ
ธนาคารกลางหลายแห่งประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน โดยธนาคารกลางแคนาดาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25 % สู่ 4.00% ธนาคารกลางฮ่องกงลด 0.75% สู่ 5.0 % ธนาคารกลางคูเวต ปรับลด 0.5% สู่ 5.75% ส่วนสหรัฐอาหรับเอมิเรตลด อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 0.75% สู่ 3.5% และธนาคารกลางซาอุดิอาระเบียลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรลง 0.5% สู่ 3.5%

ยุโรปยันยังไม่มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจตามสหรัฐ
ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายของยุโรปยังไม่ได้ส่งสัญญานว่าจะเร่งดำเนินการตามสหรัฐในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อปกป้องเศรษฐกิจจากผลกระทบของภาวะปั่นป่วนในตลาดหุ้น ด้านเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรปหรืออีซีบี บอกว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคยังคงแข็งแกร่ง และความตื่น ตระหนกที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นปัจจัยในการกำหนดนโยบาย นอกจากนี้ นางแองเจลลา เมอร์เคล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี กล่าวว่า เศรษฐกิจยุโรปเป็นแหล่งของความมีเสถียรภาพในโลก และยังไม่มีสัญญานของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเยอรมนี และในยุโรป

ไอเอ็มเอฟชี้มาตรการทางการคลังของสหรัฐควรออกมาในเวลาที่เหมาะสม
แต่ถึงแม้ยังไม่มีทางยุโรปจะไม่มีมาตรการใดๆออกมา แต่นายชอง คลอด จุงเกอร์ รมว คลังอาวุโสของยูโรโซนก็ยอกรับว่า กำลังจับตาอย่างใกล้ชิดต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงอย่างมากในปีนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในส่วนมาตรการทางการคลังของสหรัฐนั้น นายมาซูด อาเหม็ด กล่าวว่า เฟดควรใช้มาตรการทางการคลังที่มีเป้าหมายในเวลาที่เหมาะสม จึงจะทำให้มาตรการส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประธานธนาคารกลางอังกฤษกังวลอัตราเงินเฟ้อ เล็งปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด
นายเมอร์วิน คิง ประธานธนาคารกลางอังกฤษกล่าวว่าอัตราเงินเฟ้ออาจจะพุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบสิบปีในปีนี้ และอาจต้องพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ และนายคิงอาจจำเป็นที่จะต้องเตรียมคำอธิบายกับกระทรวงการคลัง ถึงเหตุผลในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด นอกจากนี้นายคิงยังกล่าวว่า ในปีนี้ อังกฤษอาจจะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อทีสูงเกินไป ในขณะที่อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจก็น้อยกว่าที่คาดไว้

อังกฤษคาด GDP ไตรมาส 4 ขยายตัว 0.6% ตกต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งปี
ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยว่า เศรษฐกิจของอังกฤษในไตรมาส 4 ปี 2550 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวที่สุดในรอบกว่า 1 ปี เนื่องจากภาวะสินเชื่อได้ถ่วงการขยายตัวในภาคธุรกิจและการเงินของประเทศ รายงานประเมินเบื้องต้นชี้ว่า เศรษฐกิจของอังกฤษขยายตัว 0.6% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ข้อมูลที่ได้มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้อาจจะไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า แม้ว่าข้อมูลการขยายตัวจะดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news24/01/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 24, 2008 1:57 pm
โดย chartchai madman
รมว.คลังญี่ปุ่นชมเฟดลดดอกเบี้ย เชื่อช่วยสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก
ฟูกูชิโร่ นูคากะ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้ออกมาชื่นชมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ลดดอกเบี้ยลงอย่างน่าประหลาดใจ ส่งผลให้เกิดความหวังว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นที่ผันผวนอย่างหนักก่อนหน้านี้ นูคากะกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การลดดอกเบี้ยจะนำไปสู่เสถียรภาพในสหรัฐและเศรษฐกิจทั่วโลก เราหวังว่าการลดดอกเบี้ยจะทำให้เกิดผลกระทบด้านบวกกับตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทั้งนี้ ตลาดหุ้นโตเกียวดีดตัวขึ้นแรงในช่วงเช้าวานนี้ หลังจากที่เฟดได้ใช้มาตรการฉุกเฉินด้วยการลดดอกเบี้ยลง 0.75%

ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศลดดอกเบี้ย 0.75% หลัง FED ลดดอกเบี้ย
ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานลง 0.75% แตะระดับ 5.0% หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้น (Fed Funds Rate) ลง 0.75% สู่ระดับ 3.50% การที่ธนาคารกลางฮ่องกงปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามเฟดก็เพราะค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงยังคงผูกติดอยู่กับเงินดอลลาร์ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของเฟดมีขึ้นหลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลง เนื่องจากความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤติ Subprime และ หลังจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งประกาศตั้งสำรองหนี้สูญ เนื่องจากขาดทุนในตลาด Subprime

IMF คาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับผลกระทบหนักสุดจากศก.สหรัฐชะลอตัว
นายสตีเว่น ดันอะเวย์ รองผู้อำนวยการแผนกเอเชียและแปซิฟิคของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านการส่งออกอย่างหนักหน่วงกับจีนมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐลดประมาณ 1% ก็อาจจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชียลดลง 0.50-1.0% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงนั้นออกมาในรูปแบบใด
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news25/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 25, 2008 7:07 pm
โดย chartchai madman
ผู้นำญี่ปุ่น เตรียมถกชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ช่วยกันยุติปัญหาซับไพร์มอย่างจริงจัง
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 25, 2008

หนังสือพิมพ์ โยมิอูริ รายงานวันนี้ว่า นายกรัฐมนตรี ยาสึโอะ ฟูกูดะ ของญี่ปุ่น จะเรียกร้องให้ที่ประชุมผู้นำเศรษฐกิจโลก ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วันพรุ่งนี้ ให้หันมาร่วมมือกันจัดการกับปัญหาในตลาดสินเชื่อจำนองเพื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยกู้ให้แก่ลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) ของสหรัฐ ที่บานปลายจนสร้างผลกระทบยต่อตลาดการเงิน และระบบเศรษฐกิจโลก ในศตวรรษที่ 21 ก่อนจะหารืออย่างจริงจังอีกครั้งในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ จี-7 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้

สำนักข่าวเกียวโด รายงานเพิ่มว่า นายฟูกูดะ จะใช้โอกาสนี้กล่าวถึงผลกระทบจากปัญหาวิกฤตซับไพร์ม ที่มีต่อเศรษฐกิจและการเงินของญี่ปุ่นด้วยว่า มีอยู่อย่างจำกัด เพราะญี่ปุ่นมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ได้มีการพูดถึงการลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา จากที่คงไว้ในระดับ 0.5% ตั้งแต่ปีก่อน และถูกนักการเมืองญี่ปุ่นหลายคน ออกมาเรียกร้องให้พรรคแอลดีพี นัดหารือกับผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น เพื่อให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาก็ตาม

ขณะเดียวกัน สื่อญี่ป่นรายนี้ ยังบอกด้วยว่า ทางคณะกรรมการกำหนดนโยบาย ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งไม่ประสงค์ระบุนาม ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ปฏิเสธข่าวเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเขตยูโรโซน ตามธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งได้ประกาศปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างกระทันหันในวันอังคารที่ผ่านมา ทั้งดอกเบี้ยที่ FED ปล่อยให้สถาบันการเงินกู้โดยตรง หรือดอกเบี้ยมาตรฐาน (Discount Rate) และดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้กันเองแบบข้ามคืน หรือดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Funds Rate) อย่างที่ตลาดการเงินมีการคาดหมายล่วงหน้าด้วย  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news25/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 25, 2008 7:31 pm
โดย chartchai madman
ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว --------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 25, 2008
โพลชี้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว
หลังจากที่มีหลายสุ่มเสียงจากผู้เชี่ยวชาญที่ออกมาบอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว บ้างก็ว่าโอกาศที่จะถดถอยมีเพิ่มมากขึ้น ทางด้านซอกบี อินเตอเนชั่นแนล โพลล์ รายงานผลสำรวจพบว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐ อยู่ในภาวะถดถอยถอยแล้ว โดยชาวอมเริกันจำนวน 32,085 คนได้ที่รับการตอบแบบสอบถาม พบว่า 2 ใน 3 กล่าวว่ามีอำนาจในการซื้อลดลงกว่าเมือ 5 ปีก่อน และกว่า 1 ใน 4 กล่าวว่า การว่างงานเพิ่มขึ้นในเมืองที่พวกเข้าอาศัยอยู่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และอีกราว 1 ใน 4 กล่าวว่า ประชาชนในเขตเมืองไร้ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีมานี้

นักวิเคราะห์วอลสตรีทคาดเฟดลดดอกเบี้ยอีกกว่า 0.5 %หลังจากที่เฟดลดดอกเบี้ยฉุกเฉินไปแล้ว 0.75% ณ ขณะนี้ใกล้ถึงวันที่ FOMC ประชุมทุกที ตอนนี้นักวิเคราะห์ในWall Street ได้ให้ความเห็นว่าเฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก0.75% ในการประชุม FOMC ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 29-30มกราคมนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังจะคงเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลก็ร่วงลงด้วย ขณะที่ราคาพันธบัตรของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์คาดว่ายอดขายของบ้านมือสองจะปรับตัวลดลง ทำให้เพิ่มความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะทำให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นอีก

เฟดโดนโจมตีในที่ประชุมศก.โลกฐานปล่อยวิกฤติ Subprime บานปลาย
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าประสบความล้มเหลวในการควบคุมวิกฤตการณ์ในตลาด Supprime ในการอภิปรายวันแรกของการประชุมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวานนี้ โดยนายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรมว.คลังสหรัฐ วิจารณ์เฟดที่ไม่สามารถป้องกันตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐจากภาวะที่ร้อนแรงเกินไป รวมถึงปล่อยให้ปัญหาในตลาด Subprime ส่งผลรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ด้านโจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล ชี้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินของเฟดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เป็นการตัดสินใจที่สายเกินไป ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณชะลอตัวอันเป็นผลมาจาก Subprime ผู้ร่วมประชุมจึงเชื่อว่า เศรษฐกิจโลกจะหันไปพึ่งพาประเทศที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น จีน และ อินเดีย มากขึ้น

G 7 เล็งหารือตลาดผันผวน ในการประชุมวันที่ 9 ก.พ. 51
นายจิม ฟลาเฮอร์ตี รมว.คลังแคนาดากล่าวว่า รมว คลังกลุ่มประเทศ G 7 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ที่ประชุมจะมุ่งความสนใจไปที่ประเด็นความผันผวนในตลาดหุ้นทั่วโลก , การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และวิกฤตการณ์ซับไพรม์ รวมไปถึงเรื่องนโยบายสกุลเงินในเอเชีย ตลอดจนผลกระทบของนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ในการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่จะถึง และเตรียมที่จะผลักดันข้อตกลง G 7 ฉบับใหม่เกี่ยวกับกลยุทธ์ด้านเศรษฐกิจโลก เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news28/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 28, 2008 10:40 pm
โดย chartchai madman
IMF และสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ 3 แห่ง ปลดพนักงานกว่า 2 พันคน
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 28, 2008

IMF เตือนทุกประเทศให้หาทางรับมือเศรษฐกิจโลกชะลอ
นายโดมินิก สเตราส์ คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนในการประชุมเศรษฐกิจโลกหรือ (World Economic Forum) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า ประเทศต่าง ๆ ควรเร่งหามาตรการอย่างจริงจังเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ แต่เขากล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการด้านการเงินเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอเพราะบางประเทศอาจจะไม่สามารถเพิ่มการจัดสรรงบประมาณแบบขาดดุลได้.

IMF เตรียมโละพนักงาน 400 ตำแหน่ง
โฆษกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตรียมปลดพนักงาน 400 คน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้ได้ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยจะมีการตัดสินใจเพื่อลดพนักงานก่อนการประชุมงบประมาณเดือนมี.ค.ของคณะกรรมการบริหารของประเทศสมาชิก นอกจากนี้ IMF กำลังหาทางเพิ่มรายได้ ที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากมีประเทศกู้ยืมจาก IMF น้อยลง

3 ยักษ์การเงินโลกปลดพนักงานกว่าพันคน
สถาบันการเงินชั้นนำของโลก 3 แห่ง ได้แก่ มอร์แกน สแตนเลย์ เลย์แมน บราเดอร์ส และเครดิต สวิส กรุ๊ป ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศปลดพนักงานรวม 1,640 คน หลังรายได้ลดลงอย่างหนัก เพราะผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากวิกฤติตลาดที่อยู่อาศัยที่ตกต่ำสุดในรอบ 26 ปี ขณะที่มอร์แกน สแตนเลย์ จะปลดพนักงาน 965 คน หรือราว 2% ของพนักงานทั้งหมด ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่เลย์แมน บราเดอร์ส จะเน้นลดพนักงานในหน่วยงาน ด้านการเงินแปลงรูป อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ สินเชื่อการเคหะสำหรับผู้กู้ความน่าเชื่อถือต่ำ (Subprime) และหน่วยงานด้านกฎระเบียบหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยไม่ระบุจำนวนแน่นอน ด้าน เครดิต สวิส มีแผนปลดพนักงานฝ่ายวาณิชธนกิจจำนวน 500 คน หรือราว 2.5% จากพนักงานทั้งสิ้น 20,300 คน โดยส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานในหน่วยงานหุ้นและการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคงที่

ธนาคารยุโรปจี้ปรับระบบตรวจสอบภายใน
กรณีที่โซซิเอเต้ เจเนอราล ซึ่งเป็นธนาคารอันดับที่ 2 ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า ได้ตรวจพบการฉ้อโกงของเทรดเดอร์รายหนึ่ง ทำให้นาย ชอง คลอด ทริเชต์ ผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป ได้เรียกร้องให้มีการตรวจสอบและควบคุมภายในธนาคารกันให้มากขึ้น แม้ว่าทางการฝรั่งเศสจะยืนยันว่ากรณีของซอคเจนจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินของฝรั่งเศสก็ตาม ขณะที่ซอคเจนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเช่นกัน ถึงความหละหลวมในการตรวจสอบภายในและความล่าช้าในการเปิดเผยเรื่องนี้ ทั้งที่รู้ล่วงหน้ามา 1 สัปดาห์แล้ว

ยอดขายบ้านสำหรับครอบครัวมือสองร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดใน 25 ปี
ยอดขายรวมบ้านสำหรับครอบครัวมือสองร่วงลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 25 ปี โดยร่วงลง 13 % ในปี 2550 ที่ผ่านมา โดยและราคาก็ร่วงลงเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี โดยยอดขายและราคาได้ร่วงลงจากการที่ตลาดอสังหาอยู่ในภาวะซบเซา นอกจากนี้ ยอดการก่อสร้างบ้านใหม่ก็ร่วงลง 24.8 % ในปี 2007 ซึ่งเป็นระดับที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์เป็นอันดับที่สอง นายเดวิส วิส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของstandard and poor เชื่อมั่นว่ายอดขาย และราคาบ้านมือสองจะร่วงลงตลอดทั้งปี 2551
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news29/01/08

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 29, 2008 2:55 pm
โดย chartchai madman
ทั่วโลกหนุนแนวคิดเฟดลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัวเพียง 3%

Posted on Tuesday, January 29, 2008
นักวิเคราะห์คาดเฟดหั่นดอกเบี้ยอีกสัปดาห์นี้รับมือภาวะเศรษฐกิจถดถอย

นักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในวันพุธที่จะถึงนี้ เนื่องจากข้อมูลต่าง ๆ ยังคงแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่ชะลอตัว เช่น ตัวเลขการจ้างงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นเพียง 18,000 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี และกิจกรรมภาคโรงงานหยุดชะงัก และยอดค้าปลีกก็ลดลง ในขณะที่ราคาน้ำมันแพง และหุ้นก็ร่วงลงในช่วงที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์มองเศรษฐกิจโลกปีนี้อาจโตเพียง 3 %

ประเทศเศรฐกิจใหญ่อย่างญี่ปุ่น สเปน สิงคโปร์ และอังกฤษ ซึ่งรวมจีดีพีแล้วคิดเป็นประมาน 12 % ของโลก มองว่าความเสี่ยงของเศรษบกิจโลกมีมากขึ้นจากเศรษฐกิจของสหรัฐที่ชะลอตัว จนอาจทำให้อัตราการเจริญติบโตของโลกอาจเหลือเพียง 3 % จากที่เคยอยู่ที่ 4.7 % ในปี 2550 ด้านนาย จิม โอนีล นักเศรษฐศาสตร์ จากโกลแมนแซค ระบุว่า ประเทศญี่ปุ่นเองก็มีความเสี่ยงจาการที่ภาวะเศรฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญ

สมาชิกบอร์ดธนาคารกลางอังกฤษหนุนลดดอกเบี้ยเพื่อป้องกันเศรษฐกิจชะลอตัว

นายเดวิด แบลนฟลาวเวอร์ กรรมการธนาคารกลางอังกฤษ กล่าวว่า ธฯคารกลางอังกฤษต้องหยุดวิตกกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อป้องกันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรง โดยนายแบลนฟลาวเวอร์ มองง่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ 5.5 % ถือว่าเป็นระดับที่สูงเกินไป อย่างไรก็ดี นายเมอร์วิน คิง ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษกล่าวว่าการกำหนดนโยบายต้องรักษาความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นปริมานเงินในระบบ (Money Supply) ในเขตยูโร ในเดือนธันวาคม เติบโตน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการกันเอาไว้ ซึ่งปริมานเงินนี้ใช้เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งปริมานเงินได้เติบโต 11.5 % ในเดือนธันวาคม จากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการไว้ที่ 12.2 % อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ยังถือว่ามากเกินกว่าที่ควรจะเป็น และถือเป็นตัวชี้วัดว่าความเสี่ยงในเรื่องเงินเฟ้อยังคงมีอยู่

เทรดเดอร์ที่โกงหุ้นซอคเจนรับสารภาพระหว่างการสอบสวน

นายเจอโรม เคอวิล เทรดเดอร์ที่ถูกธนาคารอันดับสองของฝรั่งเศสกล่าวหาว่าได้ทำธุรกรรมที่ทุจริต และก่อให้เกิดความเสียหายถึงราว 7,200 ล้านดอลล่าสหรัฐนั้น ได้ถูกออกหมายจับแล้วจากตำรวจของฝรั่งเศส โดยนายเคอวิล มีสิทธ์ที่จะถูกดำเนินคดีและจำคุกเป็นเวลา 7 ปี และเสียค่าปรับอีกราว 7.5 แสนยูโร หลังจากนั้น ฌอง-คล้อด มาแร็ง อัยการประจำกรุงปารีส เปิดเผยในวันนี้ว่า เจอโรม เคอร์วีล เทรดเดอร์ผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ฉ้อโกงเงินจำนวนมหาศาลของธนาคารโซซิเอเต เจเนอราล (ซอคเจน) ยอมรับในระหว่างการสอบปากคำ

เทรดเดอร์กรณีซอคเจคแฮ็คระบบธนาคารเข้าลงทุนในตลาดล่วงหน้า

ธนาคารโซซิเอเต เจเนอราล (ซอคเจน) ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของฝรั่งเศส เปิดเผยรายละเอียดที่เทรดเดอร์ เจอโรม เคอร์วีล ใช้ในการโกงเงินธนาคารกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยระบุว่าเคอร์วีลเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์และอาศัยความรู้เกี่ยวกับระบบควบคุมความเสี่ยงของธนาคารทางธนาคารเปิดเผยว่า นายเคอร์วีลใช้เงินของธนาคารในการทำโพสิชั่นครั้งใหญ่ในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดหุ้นลอนดอน ปารีส แฟรงค์เฟิร์ต และตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรปเงินดังกล่าวมีจำนวนมากกว่าเงินที่เขาได้รับอนุญาตให้นำไปลงทุน

นักวิเคราะห์ซิตี้กรุ๊ปชี้ HSBC อาจสนใจซื้อกิจการ "ซอคเจน"

ธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ อาจสนใจเข้าซื้อกิจการของธนาคารโซซิเอเต เจเนอราล (ซอคเจน) ของฝรั่งเศสที่กำลังประสบปัญหาถูกโกงมูลค่ามหาศาล เนื่องจากการดำเนินงานด้านธนาคารเพื่อรายย่อยในยุโรปตะวันออกและยุโรปกลาง รวมถึงธุรกิจธนาคารเพื่อการลงทุนของซอคเจนมีความน่าดึงดูด นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ปกล่าวในบันทึกที่ส่งถึงลูกค้าว่า เอชเอสบีซีอาจจะเป็นหนึ่งในผู้เสนอซื้อกิจการซอคเจนที่มีความเป็นไปได้ที่สุด ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึง BNP Paribas, Credit Agricole, Unicredito, Barclays, Banco Santander, และ Banco Bilbao Vizcaya Argentaria
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news30/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 30, 2008 9:08 pm
โดย chartchai madman
ประธานาธิบดีบุชเร่งสภาคองเกรสผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ

Posted on Wednesday, January 30, 2008
บุช เร่ง สภาคองเกรสผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด่วน
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช แถลงการณ์ขอให้สภาคองเกรสผ่านร่างแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ นายบุชได้ประกาศแผนกระตุ้นมูลค่า 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อน นอกจากนี้ในถ้อยแถลงของนายบุช ยังได้เน้นย้ำถึงแผนการพัฒนาพลังงาน ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล และภาษี โดยนายบุชได้แสดงความเป็นห่วง และวิตกกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกของชาวอเมริกันในขณะนี้เกี่ยวกับการที่สหรัฐกำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆที่เข้ามารุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ การว่างงาน เงินเฟ้อ และพลังงาน

มุมมองเชิงลบต่อแถลงการณ์ของบุช
อย่างไรก็ดี นายเอ็ดเวิด เคนเนดี วุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์จากพรรคเดโมแครต ให้มุมมองเชิงลบเกี่ยวกับถ้อยแถลงของประธานาธิบดีบุช โดยกล่าวว่า ครอบครัว 200,000 ครอบครัวได้สูญเสียบ้านของตัวเองในเวลาเพียง 1 เดือน และคาดว่าวิกฤตที่อยู่อาศัยในครั้งนี้จะส่งผลให้มีการยึดบ้านติดจำนอง 2 ล้านหลังในเวลา 2 ปีข้างหน้า จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีทางออกที่แท้จริงในการช่วยเหลือครอบครัวเหล่านี้ แต่ว่าประธานาธิบดีบุช ก็ไม่ได้พูดรายละเอียดเกี่ยวกับการช่วยเหลือนี้

เช่นเดียวกับนายไมเคิล เปนโต นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทเดลต้าโกลบอล แอดไวเซอร์ส บอกว่า รู้สึกประหลาดใจที่ บุช ออกมายอมรับว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูง และเศรษฐกิจสหรัฐชะลอการเจิรญเติบโต แต่นาย เปนโต ต้องการให้บุช พูดถึงมาตรการการปรับลดภาษีอย่างถาวะที่มีการหาเงินมารองรับ เพราะนายจ้างจะไม่จ้างงานเพิ่มถ้าหากพวกเขารู้ว่าแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว

บุช เรียกร้องให้สภาคองเกรสรับซื้อพืชผลเกษตรจากประเทศยากจนมากขึ้น
ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เรียกร้องให้สภาคองเกรสจัดสรรความช่วยเหลือด้านอาหารมากขึ้นให้แก่ประเทศยากจนด้วยการรับซื้อพืชผลทางการเกษตรจากต่างประเทศมากขึ้น เพื่อให้ประเทศยากจนสามารถพัฒนาเกษตรกรรมในท้องถิ่นและช่วยยุติวงจรความอดอยาก อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ที่ราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์ทะยานขึ้น งปประมานความช่วยเหลือที่มีค่อนข้างทรงตัวทำให้มีการซื้ออาหารสำหรับประเทศที่ยากจนได้น้อยลง

ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ ขั้วเศรษฐกิจใหม่จะเป็นประเทศเกิดใหม่
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เปิดเผยว่า คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนั้ จะขยายตัว 4.8% ขณะที่ธนาคารโลก หรือ world bank คาดว่าจะขยายตัว 3.3% ส่วนเศรษฐกิจของสหรัฐ คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.9% ส่วนการค้าและการเงินโลกจะเปลี่ยนแปลงจากขั้วเศรษฐกิจโลก จี 3 คือสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น มาเป็นประเทศเกิดใหม่ หรือ emerging market อย่างเช่น จีน อินเดีย รัสเซีย และอาเซียนแทน

จำนวนบ้านถูกยึดในอเมริกามีสูงขึ้น
จำนวนบ้านใหสหรัฐ ที่อยู่ระหว่างการถูกดำเนินการยึดในปี 2550 เพิ่มขึ้น 79% จากปี 2549 โดยเจ้าของบ้านเหล่านี้ไม่ได้ชำระเงินค่างวดจากการกู้สินเชื่อบ้านอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งบ้านจำนวนประมาน 1.3 ล้านหลังได้รับหนังสือทวงค่าชำระจากสถาบันการเงิน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 717,522 หลังในปี 2006 โดยมลรัฐเนวาด้า เป็นรัฐที่มีอัตราการถูกยึดบ้านสูงสุด ตามมาด้วย โคโรลาโด โอไฮโอ จอร์เจีย อาริโซนา และอิลินอย์ ซึ่งตัวเลขนี้สะท้องให้เห็นถึงภาคอสังหา และภาคการปล่อยสินเชื่อที่ยังคงอ่อนแอ

รมว เศรษฐกิจฝรั่งเศส ชี้ ซอคเจน ตกอยู่ในวิกฤตการณ์
นางคริสทีน ลากาเก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจฝรั่งเศส กล่าวว่า เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการซื้อขายที่ฉ้อโกง และความวิตกเกี่ยวกับตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยกู้ให้แก่ลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ หรือซับโพร์ม ทำให้ ธฯคารโซซิเอเต้ เจเนอราล ตกอยู่ในวิกฤตการณ์ แต่รัฐบาลฝรั่งเศส ไม่ได้เป็นผู้ที่จะตัดสินใจว่าผู้ใดควรจะบริหารธนาคารดังกล่าว โดยปัญหาซอคเจน ทำให้ตลาดมีความจำเป็นในการทำธุรกรรมแบบโปร่งใสมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ดังกล่าว

ซิตี้กรุ๊ป ปฏิเสธข่าวการขายกิจการ
นายวิลแครม แพนดิท ประธานกรรมการบริหารของซิตี้กรุ๊ป สถาบันการเงินที่ประสบการขาดทุนเมื่อไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วปฏิเสธข่าวการขายกิจการ เช่นการขายบริษัทโบรกเกอร์ อย่าง Smith Barney อย่างไรก็ดี นายแพนดิท ออกมายอมรับว่า ซิตี้กรุ๊ป มีแผนที่จะปรับลดพนักงาน 24,000 ตำแหน่งในปีหน้า และมีแผนจะทำให้ซิตี้กรุ๊ปมีขนาดเล็กลง แต่คล่องตัวมากขึ้น อย่างไรก็ดี ซิตี้กรุ๊ป ยังคงยืนยันการทำธุรกิจการเงินโดยใช้รูปแบบธุรกิจ (Business Model ) เดิม
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news31/01/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2008 7:21 pm
โดย chartchai madman
เฟดหั่นดอกเบี้ยอีก 0.5 % เหลือ 3.0% ต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี --------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, January 31, 2008
เฟดหั่นดอกเบี้ยอีก 0.5 % เพื่อยับยั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจลุงแซม
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น หรือ Fed Fund Rate (เป็นดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บระหว่างกัน) รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน หรือ Discount Rate (เป็นดอกเบี้ยที่เฟดปล่อยกู้ให้ธนาคารพาณิชย์) ในการประชุมคืนที่ผ่านมา โดยทำการปรับลดดอกเบี้ยทั้ง 2 ประเภทลง 0.5 % ทำให้ Fed Fund Rate อยู่ที่ระดับ 3.0% และ Discount Rate อยู่ที่ 3.5 % ซึ่งถือว่าเป็นความพยายามอย่างหนักในการหยุดยั้งภาวะชะลอตัวลงอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจ อันเป็นผลมาจากการทรุดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาวะสินเชื่อตึงตัว

Fed Fund Rate ต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี ท่ามกลางความตึงเครียดในตลาดเงิน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ทำให้ อัตราดอกเบี้ยเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ มิถุนายน 2005 และเป็นการปรับลด Fed Fund Rate หลังจากที่เพิ่งจะปรับลดฉุกเฉินไปก่อนหน้านี้เพียง 8 วันเท่านั้น การลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันของเฟดนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยลงไปถึง 1.25 % ถือว่าเป็นการปรับดอกเบี้ยที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเฟด หรือนับแต่ปี 1990 โดยเฟดออกแถลงการณ์หลังการประชุมว่า ตลาดการเงินยังคงอยู่ใต้ความตึงเครียดในระดับหนึ่ง และภาวะสินเชื่อมีความตึงตัวมากขึ้นสำหรับภาคธุรกิจและภาคครัวเรื่อน

เฟดแจงลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จับตาเงินเฟ้อใกล้ชิด
นอกจากนี้เฟดยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า ข้อมูลทางเศรษฐกิจช่วงนี้ บ่งชี้ถึงความหดตัวในตลาดที่อยู่อาศับและการอ่อนตัวของตลาดแรงงาน ทาง FOMC หวังว่า ภาวะเงินเฟ้อจะอ่อนตัวลง ในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้านี้ แต่เฟดก็ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องจับตาความเคลื่อนไหวของเงินเฟ้ออย่างระมัดระวัง โดยเฟดก็คาดหวังว่า การลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินในครั้งที่ผ่านมา กับครั้งนี้ น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ในระดับปานกลาง และลดความเสี่ยงต่างๆ ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างไรก็ดี ความเสี่ยงในช่วงขาลงของการเติบโตยังคงมีอยู่

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 4 โต 0.6 % เหตุจากตลาดบ้านทรุดตัวมาก
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมานั้น ขยายตัวแค่เพียง 0.6 % ซึ่งเป็นผลมาจาก ตลาดที่อยู่อาศัยที่ทรุดมากที่สุดในรอบ 26 ปี โดยในไตรมาสที่ผ่านมาการขยายตัวของภาคก่อสร้างลดลง ถึง 24 % และการลดการใช้จ่ายของชาวอเมริกัน ซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของจีดีพี มีการขยายตัวต่ำกว่า 2 % ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ตลอดปี 2007 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวที่ระดับ 2.2 % น้อยที่สุดในรอบ 5 ปี

นักวิชาการเชื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯปีนี้จะอยู่ในภาวะยากลำบาก
ศาสตราจารย์ มาร์ติน เฟลสไตน์ ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด บอกว่า การถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้จะถดถอยมากกว่าครั้งที่ผ่านมา และจะเป็นปีที่ยากลำบาก เพราะได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอในภาคการเงิน ส่วน นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานเฟด ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อในเยอรมันว่า ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย อยูในระดับอย่างต่ำ 50 % แต่จนถึง ณ บัดนี้ ยังไม่มีสัญญานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว และก็มองว่า ผู้กำหนดนโยบายอาจจะไม่สามารถยับยั้งเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอยเพราะอิทธิพลของเศรษฐกิจโลกแข็งแกร่งกว่าที่นโยบายการเงินหรือคลังจะต้านทานได้

ธนาคาร UBS ปรับลดมูลค่าในบัญชีอีก 4 พันล้านดอลล่าร์
ธนาคาร UBS ของสวิสเซอร์แลนด์ เผชิญปัญหาจาก Subprime มากยิ่งขึ้น เนื่องจาก ยูบีเอส เปิดเผยการปรับลดมูลค่าในบัญชีครั้งใหม่ในระดับ 4 พันล้านดอลล่าสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้ UBS ขาดทุนมากยิ่งขึ้นในปี 2007 และมียอดขาดทุน 4,400 ล้านฟรังก์สวิสสำหรับช่วงตลอดปี 2007 โดยการปรับลดมูลค่าในบัญชีครั้งนี้ส่งผลให้ยอดการปรับลดมูลค่าในบัญชีทั้งหมดของ UBS จากวิกฤตซัปไพร์ม อยู่ที่ 1หมื่น 8พัน 4ร้อยล้านดอลล่า และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มแรงกดดันให้นายมาเซล ออสเปล ประธานกรรมการ UBS ลาออกจากตำแหน่ง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news01/02/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2008 1:44 pm
โดย chartchai madman
มูดีส์ฯ ชี้สหรัฐกำลังเป็นหลุมดำฝัง ศก.โลก หวั่นมาตรการหั่น ดบ. 1.25% อาจทำให้ล้มทั้งยืน

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 31 มกราคม 2551 13:27 น.
 
มูดีส์ อินเวสเตอร์ฯ ชี้หลุมดำถล่มศก.โลก มีศูนย์กลางอยู่ในสหรัฐ ระบุต้นตอสำคัญ การปรับลดดบ.แรงๆ 1.25% ในช่วงภาวะถดถอย และมีปัญหาเงินเฟ้อจากภาวะต้นทุนผลัก กำลังเป็นเงื่อนตายสำคัญที่ยังแก้ไม่ตก และจะกลายเป็นชนวนที่ทำให้ ศก.ทั่วโลก พังตามเป็นโดมิโน "เอสแอนด์พี" ส่งสัญญาณวิกฤติสถาบันการเงินล้ม
     
      วันนี้(31 ม.ค.) บริษัท มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้เปิดเผยรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด โดยระบุว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงในระดับสูงมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะยังคงดูดี แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดความพลิกผันนั้นมีอยู่สูง เพราะมีสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นที่จะทำให้แนวโน้มแย่ลง
     
      รายงานของมูดีส์ อินเวสเตอร์สฯ ยังระบุอีกว่า ศูนย์กลางของความผันผวนและไม่แน่นอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่าอยู่ที่สหรัฐ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสภาพคล่องและวิกฤตสินเชื่อที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกนั้นยังคงไม่ชัดเจน
     
      นายปิแอร์ ไซเลโต หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สากลของมูดีส์ และเป็นผู้เขียนรายงานชิ้นนี้ กล่าวว่า เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ การวิเคราะห์สินเชื่อในระดับย่อยลงมาจำเป็นต้องพิจารณาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินในมุมมองที่กว้างขึ้นด้วย รวมถึงการพิจารณาเรื่องความเกี่ยวโยงกันของความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกในทิศทางที่ไม่น่าพอใจนัก
     
      รายงานชื่อ "Mapping the Near Future: Macro Stress Scenarios for 2008-2009" และ "Global Financial Risk Perspectives" มูดีส์ได้ระบุถึงสถานการณ์ที่น่าจะเป็นสำหรับเศรษฐกิจโลกปี 2008-2009 โดยแบ่งตามความเสี่ยงเป็น 3 กรณี ได้แก่
     
      กรณีแรก ผลกระทบของเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวที่มีต่อเศรษฐกิจโลก รายงานคาดว่าเศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่น คงจะมีความแข็งแกร่งลดลง ขณะที่เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่จะยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ โดยเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่ไม่ได้ผูกติดกับเงินดอลลาร์ และแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออย่างรุนแรงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ ขณะที่ราคาน้ำมันยังคงดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
     
      กรณีที่สอง Stagflation คือการที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย พร้อมกับการที่เงินเฟ้อสูงขึ้นด้วย ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง โดยการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนทางการเงินซึ่งมีผลให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ แม้ว่าการขยายตัวสดใสนั้นจะสูญหายไป
     
      กรณีที่สาม Stagnation คือการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงและจะส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ในหลายภูมิภาค รวมทั้งประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บางประเทศ
     
      ล่าสุด มีรายงานเพิ่มเติมว่า สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอส แอนด์ พี) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐ โดยระบุว่า เมื่อถึงที่สุดแล้ว สถาบันการเงินอาจมีผลขาดทุนจากปัญหาต่อเนื่องในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 265,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
     
      ความเห็นดังกล่าวมีขึ้นหลังจาก เอส แอนด์ พี เปิดเผยว่า ได้ปรับลด หรืออาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันโดยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐ มูลค่า 270,000 ล้านดอลลาร์ และทำการทบทวนโดยอาจมีแนวโน้มปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารซีดีโอ มูลค่า 264,000 ล้านดอลลาร์อีกด้วย
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000012808

news01/02/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2008 2:15 pm
โดย chartchai madman
โฮม ดีโป้ ธุรกิจตกแต่งบ้านใหญ่ที่สุดในโลกปลดพนักงาน 500 คน ด้านเงินเฟ้อยุโรปสูงสุดในรอบ 11 ปี

Posted on Friday, February 01, 2008
รัฐสภาสหรัฐ ตั้งสถาบันเข้าซื้อหนี้เสีย Subprime นายคริส ด๊อด วุฒิสมาชิกสหรัฐ เปิดเผยในการทำประชาพิจารณ์คณะกรรมการวุฒิสมาชิกสายการเงิน การธนาคาร แห่งรัฐสภาสหรัฐว่า ได้เตรียมเสนอให้จัดตั้งองค์กรที่มีชื่อว่า สถาบันอนุรักษ์ความเป็นเจ้าของบ้านที่อยู่อาศัย หรือ The Home Ownership Preservation Corporation เพื่อมีหน้าที่ในการเข้าไปซื้อคืนหนี้เสียที่เกิดขึ้นกับสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime ของบรรดาลูกหนี้สินเชื่อดังกล่าวที่ประสบปัญหามากขึ้น ทำให้ได้รับราคาซื้อคืนของสินเชื่อในราคาที่สูงขึ้น หากต้องปล่อยให้สินเชื่อที่มีปัญหาต้องกลายเป็นหนี้เสียในที่สุด

สถาบันประกันเงินฝากสหรัฐชี้แบงก์แก้หนี้ Subprime ชักช้า
นางเชลลี่ แบร์ ประธานสถาบันประกันเงินฝากแห่งชาติสหรัฐ เปิดเผยว่า ทั้ง ๆ ที่รัฐสภาสหรัฐ ได้มีความพยายามเร่งผ่านกฎหมายการเงินสำคัญ เพื่อแก้ไขวิกฤตสินเชื่อสภาพคล่องในระบบการเงิน และบรรดาลูกหนี้ชาวอเมริกันที่ประสบปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime ไปแล้วนั้น แต่บรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างๆในสหรัฐ ยังคงไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาสินเชื่อให้กับลูกหนี้แต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีความล่าช้าอย่างมาก ในการเข้าไปแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้สินเชื่อที่เกิดขึ้นกับลูกหนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้

โฮม ดีโป้ ยักษ์ตกแต่งบ้านอันดับ 1 ของโลก ปลดพนักงาน 500 คน
บริษัท โฮม ดีโป้ อินคอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นธุรกิจขายอุปกรณ์ตกแต่ง และก่อสร้างบ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และในโลก จำใจต้องปลดพนักงานในส่วนของสำนักงานใหญ่ ที่เมืองแอตแลนต้า ออกมากถึง 500 คน หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของบริษัทดังกล่าว หลังจากต้องประสบปัญหาภาวะธุรกิจ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐตกต่ำมากที่สุดในรอบ 26 ปี กระทบลูกค้าด้วยการลดการใช้จ่ายเพื่อซื้อหาอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ทั้งนี้ คาดว่า รายได้ต่อปีของ โฮม ดีโป้ อาจจะตกต่ำมากที่สุดเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี

ซีอีโอ คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียลชี้ราคาบ้านสหรัฐตกต่ำต่อไป
นาย แองจิโล่ โมซิโล่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท คันทรี่ไวลด์ ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ร่วมกับ ซีอีโอ บริษัท เคบีโฮม ซึ่งเป็น 1 ในบริษัทให้บริการรับสร้างบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐ กล่าวเตือนว่า วิกฤติ และความยากลำบากอื่นๆ ในระบบอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐยังคงมีอยู่ข้างหน้า ทั้ง 2 ผู้บริหาร ยอมรับว่า ราคาของบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐที่ตกต่ำ ยังคงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ตลาดไม่มีการฟื้นตัวทั้งทางจิตวิทยา และพื้นฐาน

โมโตโรล่า เตรียมขายทิ้งธุรกิจผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่
บริษัท โมโตโรล่า อินคอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่อันดับ 3 ของโลก เปิดเผยว่า ได้เตรียมพิจารณาทางเลือกสำคัญหลาย ๆ ทาง รวมถึงการอาจตัดสินใจขายทิ้งธุรกิจผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในขณะเดียวกันก็มองหาแนวทางการสร้างประโยชน์ร่วมกันกับหน่วยธุรกิจด้านอื่น ๆ เพื่อกลับมาเป็นผู้นำในด้านสัดส่วนการตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทในตลาดโลกต่อไป ไม่เพียงเท่านั้น การตัดสินใจดำเนินการในลักษณะนี้ จะทำให้เกิดผลตอบแทนที่ดีที่สุดต่อกลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัท โมโตโรล่า อินคอร์ปอเรชั่นในอนาคต

ยักษ์ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับ 3 สหรัฐ ปลด 5,000 คน
บริษัท สปรินท์ เน็กซ์เทล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในสหรัฐ เตรียมประกาศลดจำนวนพนักงาน แม้ว่าจะยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนในขณะนี้ แต่คาดว่า อาจมีมากกว่า 1 พันคนขึ้นไป ทั้งนี้ บริษัท สปรินท์ เน็กซ์เทล คอร์ปอเรชั่น ต้องปรับโครงสร้างต้นทุนครั้งใหญ่ หลังต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งสำคัญอย่าง เอที แอนด์ ที ที่สำคัญ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงมาก กระทบต่อการใช้บริหารโทรมือถือของชาวอเมริกันด้วย ในปีที่ผ่านไป บริษัทต้องลดจำนวนพนักงานมากถึง 5 พันคน

ค่าโอทีคนงานในสหรัฐ ทรุดต่ำสุดรอบ 5 ปี
จำนวนชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา หรือโอที ของบริษัทในภาคเอกชนของสหรัฐ โดยเฉลี่ยมีการลดเวลาลงจาก 4.1 ชั่วโมง เหลือเพียง 3.9 ชั่วโมงในเดือนธ.ค.ปี 2550 ตัวเลขดังกล่าว ลดลงอย่างมากถึง 5% ซึ่งกลายเป็นตัวเลขชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา ที่ลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปีที่ผ่านมา หรือนับตั้งแต่ในปี 2002 หรือปี 2545 นอกจากนี้ หากมองตลอดทั้งปีที่ผ่านไป พบว่า ค่าล่วงเวลา หรือค่าโอที ลดลงมากถึง 10% ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่า เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของการปรับตัวธุรกิจเอกชนสหรัฐ ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่มีความชัดเจนขึ้น

เงินเฟ้อยุโรป พุ่งสูงสุดในรอบ 11 ปี
ภาวะเศรษฐกิจในยุโรปมีปัญหามากขึ้น เมื่อเงินเฟ้อในกลุ่ม 15 ประเทศสมาชิก ร่วมใช้เงินเหรียญยูโร ประจำเดือน ม.ค. พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือนับตั้งแต่เริ่มมีการประกาศใช้เงินเหรียญยูโรขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนมกราคมปี 1997 หรือในปี 2540 โดยมีอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 3.2% เทียบเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านไป ไม่เพียงเท่านั้น ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจประจำเดือนจากคระกรรมการกลุ่มสหภาพยุโรป หรืออีซี เปิดเผยว่า ค่าดัชนีดังกล่าวทรุดลงมาเหลือเพียง 101.7 จุด ซึ่งกลายเป็นระดับตกต่ำมากที่สุดในรอบ 2 ปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news04/02/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 04, 2008 7:56 pm
โดย chartchai madman
จอร์จ บุช ลั่น ต้องผ่านงบประมาณขาดดุลกว่า 12 ล้านล้านบาทให้ได้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, February 04, 2008
จอร์จ บุช หนุนขาดดุลงบประมาณกว่า 12 ล้านล้านบาท
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐ เตรียมเสนอให้มีการผลักดันงบประมาณประจำปี 2551 และ 2552 เป็นแบบขาดดุลประจำปี ด้วยมูลค่ามากถึง 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 12.8 ล้านล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าขาดดุลงบประมาณดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นมากกว่าถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับงบประมาณประจำปีในปีที่ผ่านไป ซึ่งตั้งไว้เพียง 1.63 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยเน้นไปที่การใช้นโยบายตัดลดภาษี และเพิ่มงบประมาณทางการทหาร และความมั่นคง เพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ที่เริ่มต้นเข้าสู่ช่วงภาวะถดถอยในขณะนี้

ธนาคารยูบีเอส ถูกสอบสวนกรณีเสียหายจาก Subprime
ธนาคาร ยูบีเอส ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป กำลังได้รับการสอบสวนจากอัยการจากหน่วยงานกำกับ และดูแลสถาบันการเงินจากรัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ ในข้อกล่าวหาที่ว่า ธนาคารยูบีเอส หลอกล่วงนักลงทุน ด้วยการใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการรายงานตัวเลขของตราสารการเงินที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (CDO) ประเภทสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Subprime) ทั้งที่มีหลักฐานเชื่อได้ว่า ธนาคารดังกล่าวรับรู้ถึงการเสื่อมสภาพของราคาในตราสารการเงินดังกล่าว เมื่อเกิดวิกฤตตราสารหนี้สินเชื่อ Subprime ในช่วงที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news05/02/08

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 05, 2008 2:34 pm
โดย chartchai madman
แบงก์ชาติสหรัฐชี้เอกชน และคนอเมริกันยืมเงินจากสถาบันการเงินได้ยากมากขึ้น
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, February 05, 2008
จอร์จ บุช ตั้งงบประมาณขาดดุลงบมากที่สุดเกือบเป็นประวัติการณ์
มูลค่างบประมาณประจำปี 2551 ของสหรัฐ ที่มีสูงถึง 3.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเสนอโดย จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ จะส่งผลให้เกิดมูลค่าขาดดุลงบประมาณปีนี้เป็นประวัติการณ์ที่ 4.1 แสน ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 13.12 ล้านล้านบาท และในปีหน้าจะมีมูลค่าขาดดุลเพิ่มขึ้นอีกเป็น 4.07 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 13 ล้านล้านบาท สาเหตุจาก การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เริ่มต้นถดถอย อย่างไรก็ตาม ผู้นำสูงสุดสหรัฐ คาดว่า สหรัฐ จะกลับมาเกินดุลภายในสิ้นปีงบประมาณ 2012 หรือในปี 2555 หรือในอีก 4 ปี

จอร์จ บุช ตัดลดงบสาธารณสุข แต่เพิ่มงบการทหาร
ผู้นำสูงสุดสหรัฐ เปิดเผยต่อไปว่า งบประมาณประจำปีนี้ของสหรัฐ ในด้านการใช้จ่ายในประเทศ จะทำการตัดลดงบประมาณด้านสาธารณสุขแห่งชาติในอีก 5 ปีข้างหน้า ลดลงมากถึง 2.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.6 ล้านล้านบาท ในขณะเดียวกัน เพิ่มการใช้จ่ายด้านความมั่นคงในประเทศกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 9.6 หมื่นล้านบาท สำหรับด้านการทหารของสหรัฐ ผู้นำสูงสุดสหรัฐ ตัดสินใจเพิ่มงบดังกล่าวสูงเป็น 5.15 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 16.4 ล้านล้านบาทภายในปีงบประมาณ 2552

เฟดเผยเอกชนและคนอเมริกัน ขอกู้ยากมากขึ้น
เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยอาวุโส ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เปิดเผยผลสำรวจรายไตรมาส ล่าสุด พบว่า ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่นๆในสหรัฐ ราว 80% เพิ่มมาตรฐานในการพิจารณาปล่อยสินเชื่ออย่างเข้มข้น ส่งผลให้บริษัท และชาวอเมริกันทั่วไป ได้รับการพิจารณาปล่อยสินเชื่อยากมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านไป ในขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินในสหรัฐ ล้วนมองตรงกันว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้ และความเสียหายจากการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินในปีนี้ จะยังคงเพิ่มขึ้น

เอกชนสหรัฐ ปลดคนงานเดือนม.ค. พุ่งเฉียด 70%
บริษัทให้บริการที่ปรึกษาชื่อดังในสหรัฐ ที่มีชื่อว่า ชาเลนเจอร์ เกรย์ แอนด์ คริสต์มาส อินคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า บริษัทชั้นนำจากภาคเอกชนในสหรัฐ ได้มีการประกาศวางแผนปลดพนักงานออกจากบริษัทในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา พุ่งขึ้นถึง 69% เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.ในปีที่ผ่านไป และยังเพิ่มสูงขึ้นถึง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ทั้งนี้ มีจำนวนพนักงานที่ถูกวางแผนในการปลดในเดือน ม.ค. ราว 74,968 คน อย่างไรก็ตาม จำนวนดังกล่าว ยังมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งอยู่ที่ 1.4 แสนหมื่นคน ในช่วงปี 2001
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news06/02/08

โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 06, 2008 7:57 pm
โดย chartchai madman
ผู้ว่าการเฟดพบวุฒิสมาชิก หาวิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในวันพุธนี้
นายเบน เบอร์นันเก้ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะพบและหารือกับนายคริสโตเฟอร์ ดอดด์ ประธานคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารของวุฒิสภาจากรัฐคอนเนคติกัตในเช้าวันพุธนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐช่วงขาลง ดอดด์ออกแถลงการณ์ระบุว่า เขาและเบอร์นันเก้จะพูดคุยเรื่องวิกฤติในตลาดที่อยู่อาศัย และความผันผวนในตลาดการเงินสหรัฐด้วย

ดิสนีย์เผยผลประกอบการไตรมาส 4 สูงกว่าคาดการณ์
วอล ดิสนีย์ รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ซึ่งออกมาสูงกว่าที่คาดการกันเอาไว้ โดยดิสนี่มีรายรับ 63 เซนต่อหุ้น หรือยอดรายรับ 10,405 ล้านดอลล่าสหรัฐ โดยมาจากธุรกิจ Theme Park หรือสวนสนุก ธุรกิจสื่อในเครือ และสินค้าmerchandise ต่างๆของดิสนี่ที่มียอดขายที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ นายทอม สแตค ซึ่งเป็น CFO ของดิสนี่ย์ ยังบอกอีกด้วยว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวของสหรัฐ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ของดิสนี่มากนัก โดยยอดการจองตั๋วเข้าสวนสนุก และยอดจองโรงแรม ยังคงสูงก่าปีที่แล้วเล็กน้อยด้วยซ้ำ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news07/02/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 7:35 pm
โดย chartchai madman
ประธานเฟดสั่งจับตาเศรษฐกิจและธนาคารฯมากขึ้น หวั่นธุรกิจที่ออกตราสารหนี้ทรุดอีก ส่วน S&P ลดเรตติ้ง CDO ทั่วโลก

Posted on Thursday, February 07, 2008
ประธานเฟด สั่งจับตา ผลกระทบเศรษฐกิจ หลังตราสารหนี้มีปัญหา
นายเบน เบอร์นันกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด แถลงผ่านจดหมาย ส่งไปถึง นายพอล คานโจสกี้ แห่งพรรคเดโมแครตว่า ขณะนี้เฟดเฝ้าจับตามมอง ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจ และธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐทั้งหมด หลังเกิดปัญหากับองค์กรหรือสถาบันการเงินชั้นนำ ที่มีปัญหาในการเป็นผู้ออกตราสารหนี้ เพื่อระดมทุนกับนักลงทุนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เฟด พร้อมประเมินขนาดของความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้นในวงกว้าง และพร้อมดำเนินมาตราการ หรือเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ เข้าแก้ไขทันที

บริษัทเอ็มบีไอเอขายหุ้นเพิ่มทุนกู้อันดับความน่าเชื่อ
บริษัท เอ็มบีไอเอ อินคอร์ปอเรชั่น สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลกด้านธุรกิจออกตราสารหนี้ เตรียมเพิ่มทุนมีมูลค่าสูงมากถึง 750 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2 .47 หมื่นล้านบาท ด้วยการขายหุ้นสามัญของบริษัทออกไปมากถึง 50 ล้านหุ้น เป็นที่คาดกันว่า หากทำได้สำเร็จ จะทำให้บริษัท เอ็มบีไอเอ สามารถรักษาอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดที่ ทริปเปิล เอ ต่อไปได้ ทั้งนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อตราสารหนี้ของบริษัทดังกล่าว เหตุจาก เข้าไปลงทุนใน Subprime

เฟดสาขาฟิลลาเดลเฟีย ชี้ชัดเศรษฐกิจสหรัฐทรุดหนักครึ่งปี
นายชาร์ล พรอสเซอร์ ผู้ว่การธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาฟิลลาเดลเฟีย กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ จ้องมีความตื่นตัว สอดส่อง และเฝ้าระวัง ต่อแรงกดดันของเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงมากขึ้นในปีนี้ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมตลอดทั้งปี มีความเสี่ยงสูงที่จะถดถอย นอกจากนี้ ผู้ว่าการเฟด สาขาฟิลลาเดลเฟีย คาดว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เศรษฐกิจสหรัฐ จะชะลอคัวลงอย่างหนัก และทำให้อัตราการว่างงานในสหรัฐ พุ่งขึ้นทะลุ 5% ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.25% ภายในสิ้นปีนี้ ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่สูงกว่าระดับ 2%

นักวิชาการมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดชี้เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอาจเรื้อรัง
ศาสตราจารย์ เจฟเฟอรี่ แฟรงเคิล ประจำมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐ เปิดเผยว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยจริง จะเกิดผลกระทบที่มีขนาดรุนแรง และอาจมีเรื้อรังยาวนานกว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยครั้งล่าสุดในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2001 หรือในปี 2544 ในยุคธุรกิจดอทคอมล่มสลายในสหรัฐ และในช่วงระหว่างปี 1990 - 1991 หรือในปี 2533 - 2534 ซึ่งภาวะถดถอยในช่วงดังกล่าว กินเวลาถึง 8 เดือน ทั้งนี้ ล่าสุด ภาคบริหารสำหรับ ทรุดตัวลงมากที่สุดในรอบ 5 ปี

ชาวอเมริกัน ตื่นตัวขอเงินกู้ซื้อบ้านมากขึ้นในรอบ 4 ปี
สมาคมธนาคารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์แห่งสหรัฐ หรือเอ็มบีเอ เปิดเผยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ้นสุดวันที่ 1 ก.พ.นั้น มีจำวนวนธุรกรรม ที่เกิดขึ้นจากความต้องการของชาวอเมริกัน ที่ขอสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย มีจำวนพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา สาเหตุสำคัญมาจาก ความต้องการขอกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน ที่ได้รับการเพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณาของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินชั้นนำต่าง ๆ ทำให้ชาวอเมริกัน เริ่มมองหาช่องทางกับสถาบันการเงินอื่นๆ ที่มีบริการสินเชื่อบ้านเดียวกัน

เอสแอนด์พี ลดอันความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ซีดีโอกว่า 2 แสนล้านบาท
บริษัท จัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือ เอสแอนด์พี เปิดเผยว่า ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือ ตราสารหนี้ ที่มีการนำสินทรัพย์มาค้ำประกัน หรือตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภทสินเชื่อ Subprime ซึ่งออกโดยสถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วโลก 17 รายการ รวมมูลค่า 8,900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.94 แสนล้านบาท เอสแอนด์พี ชี้ว่า ภาวะตลอดตราสารหนี้ดังกล่าว ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง จากวิกฤตตราสารหนี้สินเชื่อ Subprime ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางปีที่แล้วจนถึงทุกวันนี้

หุ้นไอพีโอทั่วโลก เดือน ม.ค. เลื่อนเข้าตลาด ทรุดกว่า 16%
บริษัท ทอมสัน ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูล ข่าวสาร ด้านเศรษฐกิจ และการลงทุนชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า ในเดือน ม.ค. ที่เกิดภาวการณ์กระหน่ำเทขายหุ้นทั่วโลกอย่างหนัก ส่งผลให้ทั้งจำนวน และมูลค่าการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียน ด้วยวีธีการขายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก หรือหุ้นไอพีโอในตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดลงอย่างหนัก โดยมีการตัดสินใจถอดหุ้นไอพีโอออกจากตลาดหุ้นทั่วโลกรวมมูลค่าทั้งสิ้น 6,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.07 แสนล้านบาท ส่งผลให้ลดลงถึง 16% หรือลดลง 3 เท่าจาก ธ.ค. 50

ซิตี้กรุ๊ปและเอชเอสบีซีเตรียมปิดธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น และธนาคาร เอชเอสบีซี ซึ่งมีขนาดใหญ่ และชั้นนำระดับโลก ยอมรับว่า อาจต้องทบทวนสายงานธุรกิจ ให้บริการสินเชื่อการเงิน เพื่อความต้องการของลูกค้าส่วนบุคคลในอังกฤษ โดยในส่วนของ ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น อาจมีความเป็นไปได้สูง ที่จะตัดธุรกิจการเงินดังกล่าว ที่มีชื่อว่า ซิตี้ไฟแนนเชียล จำนวน 50 สาขา ในขณะเดียวกัน จำนวน 140 สาขาของธุรกิจดังกล่าวในส่วนของเอชเอสบีซี ที่เรียกว่า เอชเอฟซี อาจต้องถูกปิด ทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อการลดพนักงานรวมกันทั้ง 2 แบงก์ 1,500 คน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news07/02/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 7:44 pm
โดย chartchai madman
ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯปลดพนักงาน 2,300 ตำแหน่ง ข่าว 15.00 น.

Posted on Thursday, February 07, 2008
เมซี่อิงค์ ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐฯ เตรียมปลดพนักงาน 2,300 ตำแหน่ง หลังประเมินแนวโน้มธุรกิจซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง

โดย เมซี่ส์ บอกว่า การปลดพนักงานดังกล่าวจะมีต้นทุนประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ในปีหน้า และจะช่วยลดต้นทุนได้ประมาณปีละ 100 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ การลดพนักงานดังกล่าว มีขึ้นหลังยอดขายเดือนมกราคมลดลง 7.1% โดยเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news08/02/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 08, 2008 3:52 pm
โดย chartchai madman
วุฒิสมาชิกสหรัฐไฟเขียวแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ คาดจอร์จ บุช ลงนามสัปดาห์หน้า

Posted on Friday, February 08, 2008
วุฒิสมาชิกสหรัฐ ไฟเขียวแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ
วุฒิสภาสหรัฐ หรือสภาคองเกรส พิจารณาผ่านร่างแก้ไขงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว โดยมีมูลค่าสูงถึง 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.6 ล้านล้านบาท วุฒิสมาชิสหรัฐเห็นด้วย และสนับสนุนให้ผ่าน คือ การชดเชยคืนเงินภาษีให้ชาวอเมริกันทันที และครั้งเดียว คนละ 600 เหรียญสหรัฐ หรือราว 19,800 บาทต่อคน ในส่วนของสามี และภรรยาชาวอเมริกันนั้น ได้รับการอนุมัติจ่ายเงินภาษีคืนให้ครอบครัวละ 1,200 เหรียญสหรัฐ หรือราว 39,600 บาท หากมีลูก จะได้รับเพิ่มอีก 300 เหรียญ

คาดสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สหรัฐ ผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่อปีต่ำ เช่น คนอเมริกันที่เกษียณจากงาน ผู้ด้อยโอกาส และผู้ขอรับประกันตน ตามสิทธิประกันสังคม จำนวน 117 ล้านคนนั้น วุฒิสมาชิกสหรัฐ เห็นด้วยในการจ่ายคืนภาษีทันที และครั้งเดียว ซึ่งจะได้ไปคนละ 300 เหรียญสหรัฐ หรือราว 9,900 บาท ทั้งนี้ หลังจากผ่านการลงมติของวุฒิสมาชิกสหรัฐไปในคืนที่ผ่านมานั้น จะส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ พิจารณาลงมติในวันพฤหัสบดี หากผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว จะส่งขึ้นไปลงนามโดยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช เพื่อมีผลบังคับใช้

เฟด สาขา ดัลลัส ชี้ เฟด ต้องระวังแนวโน้มดอกเบี้ย
นายชาร์ด ฟิชเชอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาดัลลัส กล่าวว่า ภาวะเงินเฟ้อที่เริ่มทะยานเพิ่มสูงขึ้น กลายเป็นโจทย์สำคัญที่สุด ท่ามกลางความพยายามของเฟด ที่จะพยุงเศรษฐกิจสหรัฐ ไม่ให้เกิดอัตราการชะลอตัวลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจมีความจำเป็นในการดำเนินนโยบายการเงิน หรือดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างผ่อนคลายมากขึ้น แต่ต้องประเมินปัจจัยรอบด้านอย่างระมัดระวังที่สุด โดยส่วนตัวของผู้ว่าการเฟด สาขาดัลลัส เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในปัจจุบันที่ 3% นั้น เป็นระดับที่เหมาะสม

เฟด สาขาดัลลัส ชี้ จะเกิดระบบการเงินใหม่
นายเดนนิส ล๊อคฮาร์ด ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาแอตแลนต้า กล่าวว่า แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟด รวมกับการเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในระบบการเงินสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ควรจะช่วยให้เกิดความมีเสถียรภาพในตลาดการเงินสหรัฐ แต่อย่าคาดหวังว่า ระบบการให้บริการสินเชื่อในตลาดเงินจะยังคงเดิมเหมือนในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ การดำเนินมาตรการที่กล่าวมา ยอมรับว่า เป็นความเจ็บปวด แต่จำเป็นต้องทำ และเชื่อว่า หลังการผ่านพ้นภาวะวิกฤตนี้ จะทำให้เกิดภาวะใหม่ ที่ดีขึ้นกับระบบการเงินสหรัฐ

หลายสัญญาณชี้เศรษฐกิจสหรัฐเกิด Stagnation
สมาคมอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติสหรัฐ ชี้ว่า มีสัญญาณทางเศรษฐกิจสหรัฐที่ชัดเจนว่า เข้าสู่ภาวะ Stagnation หรือภาวะหยุดนิ่ง โดยในส่วนของความตกต่ำของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ยังไม่ถึงจุดต่ำสุดในปีนี้ ตัวเลขคนอเมริกันตกงานในปัจจุบัน พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี สอดรับกับการรัดเข็มขัดของคนอเมริกันในการใช้จ่ายที่ลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ ผู้บริหารสูงสุดของธนาคารวาโชเวีย ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อันดับธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในสหรัฐ กล่าวเสริมว่า โอกาสเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มสูงกว่าที่คิดไว้มาก

เดือน ม.ค. ปีนี้เฮ็ดจ์ฟันด์ขาดทุนอ่วม
ในสถาบันวิจัยอุตสาหกรรมกองทุนประกันความเสี่ยงในสหรัฐ ที่มีชื่อว่า เฮ็ดจ์ ฟันด์ รีเสิร์ช อินคอร์ปเรชั่น เปิดเผยว่า ในเดือน ม.ค.ซึ่งเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน และตกต่ำอย่างรุนแรง กลายเป็นปีแห่งการเริ่มต้นของตลาดหุ้นทั่วโลก ที่เลวร้ายมากที่สุดในรอบ 18 ปีนั้น ส่งผลให้เกิดผลขาดทุนเฉลี่ยในภาพรวมมากถึง 1.8% ทั้งนี้ ผลขาดทุนของกองทุนเฮ็ดจ์ฟันด์ ทั่วโลกในเดือน ม.ค. ที่มีมากที่สุด จะอยู่ในการเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำการซื้อขาย เพื่อควบรวมกิจการ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมดังกล่าว จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นใน

แบงก์ชาติยุโรป ตรึงดอกเบี้ยชี้ อาจต้องลดดอกเบี้ยครั้งหน้า
นายฌอง คล๊อด ทริเช่ต์ ประธานธนาคารกลางกลุ่มสหภาพยุโรปทั้ง 15 ประเทศที่ร่วมกันใช้เงินเหรียญยูโร หรืออีซีบี ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไปที่ระดับ 4% ด้วยเหตุผลว่า ปัจจัยของความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจเพิ่มสูงมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตรึงดอกเบี้ยต่อไป ท่ามกลางเงินเฟ้อกลุ่มอียู พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 11 ปี แต่กลับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวในอนาคต โดยชี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่อีซีบี จะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา จากทั้งความเสี่ยง และความไม่แน่นอน

แบงก์ชาติอังกฤษ ลดดอกเบี้ยเหลือ 5.25%
นายเมอร์วิน คิง ประธานผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ ประกาศปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยดังกล่าวลงเหลือเพียง 5.25% ซึ่งนับเป็นการปรับลดลงครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของแบงก์ชาติอังกฤษที่ระดับ 5.25% นั้น ยังคงเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในสมาชิกกลุ่มประเทศชั้นนำอุตสาหกรรมทั้ง 7 ชาติ หรือกลุ่มจี 7 ทั้งนี้ เหตุผลในการปรับลดดังกล่าว อยู่ที่ต้องการสร้างความสมดุลระหว่างความเสี่ยงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อที่อาจเกิน 2%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news09/02/08

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 09, 2008 11:24 am
โดย chartchai madman
สภาคองเกรสไฟเขียวแผนกระตุ้น ศก.สหรัฐฯ

โดย ผู้จัดการออนไลน์
9 กุมภาพันธ์ 2551 00:23 น.

      เอเอฟพี - เมื่อวันพฤหัสบดี (7) สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัติแผนดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย ปูทางให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ลงนามผ่านเป็นกฎหมาย
     
       วุฒิสภาซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก แก้ไขเนื้อหาแผนซึ่งสภาผู้แทนฯอนุมัติมาก่อนหน้า โดยให้เพิ่มการคืนภาษีให้กับคนปลดเกษียณและทหารผ่านศึกที่มีรายได้น้อย จึงค่อยอนุมัติแผนดังกล่าว
     
       สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประชุมกันในรอบเย็น และอนุมัติแพ็กเกจที่ผ่านการแก้ไขครั้งสุดท้ายอย่างรวดเร็ว
     
       แผนกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับนี้ ประกอบด้วยการคืนภาษีอย่างน้อย 300 ดอลลาร์ ให้แก่ประชาชนที่เสียภาษีในปีที่แล้ว และคืนภาษีให้เพิ่มเติมแก่ผู้ที่มีคู่สมรสและบุตร โดยประชาชนที่ยังไม่มีครอบครัวจะได้เงินคืนภาษีสูงสุดคนละ 600 ดอลลาร์ ขณะที่คู่สามีภรรยาที่แต่งงานแล้วจะได้เงินคืนภาษีสูงสุด 1,200 ดอลลลาร์ หากมีบุตรก็จะได้เพิ่มอีกคนละ 300 ดอลลาร์
     
       อย่างไรก็ตาม สมาชิกรัฐสภา ระบุว่า แผนนี้จะไม่ช่วยเหลือคนอเมริกันที่มีฐานะร่ำรวย โดยคนที่มีรายได้เกิน 75,000 ดอลลาร์ และคู่สมรสที่มีรายได้รวมกันเกิน 150,000 ดอลลาร์ จะไม่ได้คืนภาษี
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000016498

news11/02/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 11, 2008 3:42 pm
โดย chartchai madman
กูรูคาด ศก.US ถดถอยแน่นอน แต่ยังไม่ชัดทรุดหนักแค่ไหน

โดย ผู้จัดการออนไลน์
11 กุมภาพันธ์ 2551 01:14 น.

       เอเอฟพี - ณ ตอนนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแน่นอน การถกเถียงจึงเปลี่ยนประเด็นมาเป็นการทรุดฮวบของเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นนานเท่าใด และรุนแรงเพียงใด
     
       เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่นั้น ก็คงจะรู้กันในช่วงปลายปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด แต่นักวิเคราะห์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆต่างเชื่อและกล่าวออกมาแล้วว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอย

     
      โจเซฟ ลาวอร์กนา นักเศรษฐศาสตร์แห่งธนาคารดอยช์แบงก์ สาขานิวยอร์ก มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอย ถึงแม้ว่าจะเป็นภาวะถดถอยอย่างอ่อนๆ
     
       ในช่วงไม่กี่วันมานี้ มีสิ่งที่สนับสนุนความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ในค่ายที่เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะทรุดฮวบ นั่นคือ รายงานยอดการจ้างงานที่ลดต่ำลงอย่างมากเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี2003 และผลสำรวจกิจกรรมในภาคบริการของสหรัฐฯ ที่หดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเมื่อปี 2001
     
       ไมลส์ ซีบล็อก นักวิเคราะห์แห่งบริษัทหลักทรัพย์อาร์บีซี โดมิเนียน กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดยิ่งตอกย้ำความเชื่อที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยอย่างแน่นอน ณ ตอนนี้ ข้อถกเถียงเปลี่ยนมาสู่ประเด็นที่ว่า เศรษฐกิจจะถดถอยนานเพียงใดและทรุดฮวบในระดับลึกแค่ไหน
     
       แม้กระทั่งที่เฟด ซึ่งเจ้าหน้าที่โดยทั่วไปจะพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าถดถอยนั้น ตอนนี้เจ้าหน้าที่เฟดบางคนก็หลุดปากเอ่ยคำว่าถดถอยออกมาบ้างแล้ว
     
       เจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ กล่าวว่า ในขณะที่ตนมองว่าเศรษฐกิจจะโตช้านั้น "ผมก็ยังมองเห็นถึงความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะถดถอยอย่างอ่อนๆ เหมือนกับที่เราเคยประสบมาในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย 2 ครั้งที่ผ่านมา หรืออาจกล่าวในอีกแง่ก็คือ เศรษฐกิจจะถดถอยลงมาในระดับตื้นๆ และฟื้นตัวได้ช้า
     
       ริชาร์ด เบอร์เนอร์ และเดวิด กรีนลอว์ นักเศรษฐศาสตร์แห่งมอร์แกน สแตนลีย์ วาณิชธนกิจชื่อดังในวอลล์สตรีท กล่าวในจดหมายที่ส่งให้แก่ลูกค้าว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว อย่างไรก็ดี เบอร์เนอร์และกรีนลอว์ กล่าวเสริมว่าภาวะถดถอยจะอยู่ในระดับจำกัด และในปีนี้ เศรษฐกิจโดยรวมจะเติบโต 1.3% หลังจากที่เศรษฐกิจหดตัวใน 2 ไตรมาสแรกของปีนี้
     
       นักเศรษฐศาสตร์แห่งมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า การคืนภาษีตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชั่วคราว อย่างไรก็ดี การที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งน่าจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงปีหน้า โดยนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสองคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2009 จะเติบโต 2.7%
     
       ทว่า นักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ มองว่าจะเกิดสถานการณ์ที่มีลางร้ายยิ่งกว่านี้ และธนาคารกลางรวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ก็แก้ปัญหาได้ช้า
     
       เดวิด โรเซนเบิร์ก นักเศรษฐศาสตร์แห่งเมอร์ริลล์ ลินช์ กล่าวว่า หลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงภาวะถดถอยกำลังกองสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตัวเลขกิจกรรมภาคบริการที่ลดฮวบ ยอดขายรถที่ทรุดตัวเมื่อมกราคม และภาวะสินเชื่อตึงตัวที่เพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นกัน
     
       "สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้เราวิตกกังวลมากขึ้นว่า เรากำลังเผชิญภาวะถดถอยในระดับที่ลึกกว่าที่เราเคยประสบเมื่อปี 2001 และหมายความว่าเฟดอาจถูกบีบให้ใช้มาตรการฉุกเฉินตัดลดอัตราดอกเบี้ย ก่อนหน้าการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 18 มีนาคม" โรเซนเบิร์กกล่าว
     
       โจเซฟ ควินแลน นักเศรษฐศาสตร์แห่งแบงก์ออฟอเมริกา กล่าวว่า หากไม่คำนึงถึงเรื่องที่ว่าภาวะถดถอยกำลังก่อร่างขึ้นหรือไม่นั้น จะเห็นได้ว่ายอดอัตราการว่างงานและเงินเฟ้อ พุ่งแตะ 9.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี
     
       ควินแลน กล่าวว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ใกล้จะถลำสู่ภาวถดถอยนั้น ยอดอัตราการว่างงานและเงินเฟ้อก็จะเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนนี้ และก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะเกิดการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยโดยมีการบริโภคเป็นตัวนำ สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดวงจรอุบาทว์ของการตัดลดตำแหน่งงานลงไปอีก ทำให้ยอดการว่างงานเพิ่มขึ้น และผู้บริโภคก็ตัดลดรายจ่ายลงไปอีก
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000016939

news11/02/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 11, 2008 6:34 pm
โดย chartchai madman
ก.ล.ต. สหรัฐฯ ตรวจเข้ม ผู้เกี่ยวของในปัญหา Subprime คณะกรรมการหลักทรัพย์ และกำกับหลักทรัพย์ หรือ กลต.ของสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบ ธนาคาร, บริษัทจัดอันดับ และสถาบันปล่อยสินเชื่อ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา Subprime โดย กลต. ไม่ได้เปิดเผยชื่อของสถาบันเหล่า นั้น แต่เมอร์ริล ลินช์ และ มอร์แกน สแตนเลย์ ถือเป็น ยักษ์ใหญ่ในแวดวงการเงินที่กำลังโดนตรวจสอบเรื่องกิจกรรมที่เกี่ยวกับ Subprime ทั้งนี้ กลต. กำลังพยายามที่จะตรวจสอบวิธีเพื่อให้แน่ใจว่าการประเมินค่า, การควบคุมทางบัญชีมีความถูกต้อง และให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อผู้ถือหุ้น

ตลาดรถยนต์ทรุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เหตุจากภาวะซบเชาในตลาดบ้าน
นักเศรษฐศาสตร์มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงหลังของปีนี้ น่าจะทำให้ยอดขายรถยนต์ในสหรัฐฯ ไม่ลดลงไปเท่าที่ได้คาดการณ์ไว้ โดยนาย พอล เทย์เลอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จากสมาคมตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรือ NADA คาดว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในสหรัฐฯ จะลดลงไปอยู่ที่ 15.7 ล้านคันในปี 2008 ถือว่าเป็นยอดขายที่ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปี 2550 มียอดขายแค่เพียง 16.15 ล้านคันซึ่งสาเหตุที่ทำให้ตลาดรถยนต์ชะลอตัวมากจาก ภาวะซบเซาในตลาดอสังหาฯ รวมถึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news11/02/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 11, 2008 6:37 pm
โดย chartchai madman
โพลชี้ประชาชนสหรัฐเชื่อเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
โพลล่าสุดจากสำนัก Associate Press Ipsos Poll แสดงว่าประชาชน 61 %เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐ เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว โดยภาวะตึงตัวในตลาดที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ เป็นตัวที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแย่ลง ซึ่งทำให้การใช้จ่ายภาคธุรกิจและผู้บริโภคลดน้อยลงด้วย โดยตลอดทั้งปี 2550 เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตเพียง 2.2 % ซึ่งอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา ส่วนตัวเลขการก่อสร้างก็ลดลง 16.9 % ซึ่งเป็นอัตราที่มากที่สุดในรอบ 25ปี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news15/02/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 15, 2008 12:48 pm
โดย chartchai madman
ประธานเฟดชี้ชัดเศรษฐกิจลุงแซมทรุดยาวถึงสิ้นปี เต็มไปด้วยปัจจัยลบ เผยแนวโน้มลดดอกเบี้ยมีมากขึ้น

Posted on Friday, February 15, 2008
ประธานเฟดส่งสัญญาณอาจลดดอกเบี้ยลงอีกหากจำเป็น
นายเบน เบอร์นันกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด แถลงต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐ สายการเงิน และการธนาคารคืนที่ผ่านมาว่า เฟด พร้อมที่จะดำเนินนโยบายการเงินทัน หากมีความจำเป็นมากขึ้นในการสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงรักษาจังหวะการขยายตัวได้ ในขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการสร้างหลักประกัน ในการชดเชยกับปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวม นอกจากนี้ ภาวะที่เลวร้ายลงไปเรื่อยๆของตลาดเงิน หรือแหล่งสินเชื่อเงินกู้ กลายเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ที่เฟดต้องรีบจัดการ

รัฐมนตรีคลังสหรัฐย้ำแผนกระตุ้นเศรษฐกิจใช้ได้ผลแน่
นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งร่วมแถลงต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐเช่นเดียวกัน กล่าวว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 1.68 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.5 ล้านล้านบาท ซึ่งได้รับการพิจารณาจากรัฐสภาสหรัฐ และลงนามโดยจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้นำสูงสุดสหรัฐไปเมื่อวานก่อนหน้านั้น

ธนาคารยูบีเอส ขาดทุนอ่วมจากสินเชื่อตัวใหม่ อัลท์ เอ
ธนาคารยูบีเอส เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ เปิดเผยว่า ความเสียหายใหม่ที่เกิดขึ้นจากสินเชื่อประเภท อัลท์ เอ (Alt-A Loan) เป็นอีก 1 ในประเภทสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ที่มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกันกับสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือสินเชื่อสับไพร์ม มีมูลค่าสูงถึง 2.62 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 8.64 แสนล้านบาท

ซีอีโอธนาคารยูบีเอสชี้ อาจต้องตัดหนี้เสียมากขึ้น
นายเมอร์เซล โรห์เนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ธนาคารยูบีเอส ยอมรับว่า เป็นเรื่องที่ลำบากมากขึ้น ที่ธนาคารยูบีเอส จะสร้างผลกำรตอบแทนในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ให้กับนักลงทุน และผู้ถือหุ้นของธนาคาร เนื่องจาก ก่อนหน้านี้ ธนาคารยูบีเอส เลี่ยงไม่พ้นกับผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสินเชื่อ Subprime ที่สหรัฐในปีที่ผ่านไปมากถึง 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.94 แสนล้านบาท โดยเป็นการตัดหนี้เสียของมูลค่าทั้งหมด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ธนาคารดังกล่าว อาจต้องมีผลขาดทุนสูงขึ้น

ภาคธนาคารสหรัฐ ขอความช่วยเหลือรัฐบาลสหรัฐ
ภาคการธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐ เตรียมยื่นข้อเสนอให้กับรัฐสภาสหรัฐ และทำเนียบขาว พิจารณารับโอนความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเข้าขั้นวิกฤตมากขึ้น ไปอยู่ในความดูแลของภาครัฐบาลสหรัฐ โดยข้อเสนอจากธนาคารพาณิชย์ชั้นนำที่มีชื่อว่า เครดิต สวิส กรุ๊ป เสนอว่า ขอให้หน่วยงานบริหารอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติสหรัฐ หรือเอฟเอชเอ เข้า รับประกันโครงการปรับโครงสร้างหนี้สินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับลูกหนี้บางกลุ่มแทนธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีจำนวนลูกหนี้มากถึง 6 แสนราย

ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กสหรัฐชี้อาจเกิดวิกฤตสึนามิการเงิน
นายเอลเลียท สปิทเซอร์ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า ปัญหาการเงินที่เกิดขึ้นกับบรรดาสถาบันที่ออกตราสารหนี้ในขณะนี้ จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้น ปัญหาดังกล่าวจะทวีคูณกลายเป็นวิกฤตการเงินอีกประเภทหนึ่งที่ซ้ำเติมวิกฤตสภาพคล่อง หรือาจเรียกได้ว่าเป็น สึนามิการเงิน อาจส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐมในภาพรวมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ นอกจากนี้ นายอีนิค ดีนัลโล่ ผู้ตรวจสอบประกันแห่งรัฐนิวยอร์ก เปิดเผยว่า กำลังทำงานใกล้ชิดกับธนาคารทุกแห่ง เพื่อให้ได้แผนช่วยเหลือสถาบันออกตราสารหนี้
Morning Brief
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news18/02/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 18, 2008 7:27 pm
โดย chartchai madman
เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีก 0.5% เดือนหน้า - ข่าว 15.00 น.

Posted on Monday, February 18, 2008
นายเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจตัดสินใจประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก และหากจำเป็นก็จะปรับลดลงถึง 0.5% ในการประชุมวันที่ 18 มีนาคมนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ยังชะลอตัวลง และความเสี่ยงที่จะส่งถึงการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเพิ่มมากขึ้น

ส่วนอัตราเงินเฟ้อ นายเบอร์นันกีบอกว่า เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับปานกลางและเชื่อว่ายังไม่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันและราคาอาหารจะเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news20/02/08

โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 20, 2008 9:39 pm
โดย chartchai madman
แบงก์ชาติสหรัฐฯชี้ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯกู้เงินมากถึง 1.6 ล้านล้านบาท
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยว่า วิกฤติสินเชื่อในระบบการเงินสหรัฐฯยังคงไม่มีสัญญาณฟื้นตัวเนื่องจากล่าสุดบรรดาธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่น ๆ ในสหรัฐฯยังคงกู้ยืมเงินด้วยมูลค่ามากถึง 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯผ่านวิธีการใหม่คือ Team Auction Facility (TAF) ที่กำหนดขึ้นโดยเฟดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่มีปัญหาสภาพคล่องสามารถกู้ยืมเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่น่าจูงใจกว่าเดิม เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ของสถาบันการเงินที่มีปัญหา

ธนาคารเครดิตสวิส กรุ๊ป ตัดหนี้สูญเพิ่มมากขึ้นอีก
ธนาคารเครดิต สวิสกรุ๊ป เปิดเผยว่า ธนาคารตัดสินใจตัดหนี้สูญที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตราสารหนี้ค้ำประกันสินทรัพย์ หรือตราสารหนี้ CDO รวมกันสูงถึง 2.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 9.4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบว่าเกิดความผิดพลาดในการลงบันทึกตัวเลขผลขาดทุนที่แท้จริงอีกด้วย โดยผลขาดทุนที่เกิดขึ้น อาจทำให้รายได้ที่มีสูงมากถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 1/51 ต้องหายไปหมด ส่งผลให้ราคาหุ้นธนาคารเครดิต สวิส ร่วง

ธนาคารบาร์เคลยส์ต้องตัดหนี้สูญเพิ่ม แต่มีกำไรครั้งแรก
ธนาคารบาร์เคลยส์ ธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ในอังกฤษต้องปรับเพิ่มตัวเลขผลการตัดหนี้สูญของการลงทุนในตราสารหนี้ค้ำประกันสินทรัพย์หรือตราสารหนี้ CDO รวมกันสูงถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธนาคารดังกล่าวยังสามารถทำกำไรได้ใกล้เคียงกับการประเมินของนักวิเคราะห์และนักลงทุนทั่วไปได้ ส่งผลให้ธนาคารบาร์เคลย์กลายเป็นแห่งแรกในประเทศอังกฤษที่ทำกำไรให้เกิดขึ้นได้ จากวิกฤติสินเชื่อ Subprime และวิกฤติสินเชื่อตึงตัวในช่วงที่ผ่านมา

มูดี้ส์ฯ ชี้ วิกฤติตราสารหนี้ อาจทำให้แบงก์สหรัฐฯต้องเพิ่มทุนเกือบ 4 ล้านล้านบาท
บริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสเซส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกในสหรัฐฯเปิดเผยว่า หากปัญหาที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินที่ออกตราสารหนี้ในขณะนี้ลุกลามกลายเป็นวิกฤติตลาดตราสารหนี้ขึ้น จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินทั้งหมดในสหรัฐฯ จะต้องถูกบังคับให้เพิ่มทุนสำรองเป็นมูลหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหลายแสนล้านบาท ล่าสุด 20 สถาบันการเงินในสหรัฐฯ มีตราสารหนี้อาจเป็นหนี้สูญรวมกับมากถึง 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.96 ล้านล้านบาทในระบบ

แบงก์ชาติฝรั่งเศสมองเฟดดำเนินมาตรการดอกเบี้ยเร็วเกินไป
ธนาคารกลางฝรั่งเศส กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจดำเนินมาตรการทางการเงิน และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขวิกฤติสินเชื่อหรือสภาพคล่องมากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสันของเฟดอย่างรุนแรง และอาจจะเร็วเกินไป เพื่อตอบสนองต่อภาวะระบบการเงินที่ย่ำแย่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ธนาคารกลางฝรั่งเศสมองว่า การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางในยุโรปและอังกฤษในช่วงที่ผ่านมานั้น อาจเป็นบรรทัดฐานที่เหมาะสมมากกว่าเมื่อเทียบกับเฟดในสหรัฐฯ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news22/02/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 22, 2008 8:35 pm
โดย chartchai madman
Morning Brief  

บริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐฯลดพนักงานอีกกว่าพันคน ตอกย้ำเศรษฐกิจส่อแววย่ำแย่หนัก

Posted on Friday, February 22, 2008
จีแม็ค ประกาศลดพนักงาน 430 คน

บริษัท จีแม็ค ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการสินเชื่อกู้ยืมรถยนต์ทุกรุ่น ในเครือของบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ (GM) ยักษ์ใหญ่ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ในสหรัฐฯ ประกาศปรับโครงสร้างต้นทุนในการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญ ด้วยการลดจำนวนพนักงานลงมากถึง 930 คน จากทั้งหมด 6,275 คน คิดเป็น 15% ขณะเดียวกันยังสั่งปิดสาขาย่อยของบริษัท จีแม็ค เพิ่มขึ้น ท่ามกลางวิกฤติตลาดรถยนต์เช่าซื้อในสหรัฐฯที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อ Subprime และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ด้านสตาร์บัคส์ ปลดพนักงาน 600 คน จากทั้งหมด 1,700 คน

บริษัท สตาร์บัคส์ อินคอร์ปอเรชั่น เครือข่ายธุรกิจร้านกาแฟระดับบนชั้นนำจากสหรัฐฯและของโลก ประกาศปลดพนักงานเป็นจำนวน 220 คน ในส่วนประจำที่สำนักงานใหญ่และในส่วนฝ่ายปฏิบัติการ นอกจากนี้ สตาร์บัคส์จะไม่พิจารณาเพิ่มพนักงานในจำนวนที่ว่างลงราว 380 ตำแหน่ง ทั้งนี้ นายโฮวาร์ด ชูลท์ ประธานและประธานกรรมการบริหาร ของสตาร์บัคส์ ได้ส่งอีเมลล์แจ้งไปยังพนักงานให้ทราบก่อนหน้านี้ว่า บริษัทจำเป็นต้องลดพนักงานทั้งหมดในครั้งนี้รวม 600 คน เป็น 1,700 คน

อัลลิแอนซ์ ยักษ์ใหญ่ด้านประกันภัยปลดพนักงาน 430 คน

บริษัท อัลลิแอนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป เตรียมปลดพนักงานเป็นจำนวนหลายร้อยคนอีก จากที่ก่อนหน้านี้ได้ปลดพนักงานไปแล้วถึง 430 คน และยังเตรียมปรับโครงสร้างหน่วยงานธุรกิจสายการเงินในเครือของบริษัท หลังต้องประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนักจากการตัดหนี้สูญจากวิกฤติสินเชื่อ Subprime ในไตรมาส 4/50 ท่ามกลางการทำกำไรตลอดทั้งปี 2550 ที่มีมากถึง 1.17 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.74 แสนล้านบาท

กลุ่มอียูลดเป้า GDP ปีนี้ลงอีก 0.4% เหลือเพียง 1.8%

กลุ่มสหภาพยุโรป ตัดสินใจประกาศปรับลดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ของประเทศสมาชิกทั้ง 15 ชาติที่ร่วมกันใช้เงินสกุลยูโรร่วมกันในปีนี้ โดยปรับลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ 2.2% ซึ่งเคยคาดการณ์ไว้ในเดือนพ.ย.ปี 2550 ลงมาเหลือเพียง 1.8% ลดลงไปมากถึง 0.4% ส่งผลให้เป็นเป้าหมายการขยายตัวเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโร ที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา หรือนับตั้งแต่ในปี 2548 นอกจากนี้ ยังปรับเพิ่มเงินเฟ้อในปีนี้สูงขึ้นอีก 2.6% จากเดิมที่คาดไว้เพียง 2.1% นับตั้งแต่เริ่มใช้เงินสกุลยูโรอีกด้วย

สำนักวิจัยเศรษฐกิจ IFO ลดเป้าเศรษฐกิจเยอรมนี

นายฮานซ์ เวอร์เนอร์ ซินน์ ประธานสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ IFO สถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำและอันดับ 1 ในประเทศเยอรมนี ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป ในปีนี้ลงจากเดิมที่เคยคาดว่าจะขยายตัวถึง 1.8% ลงเหลือเพียง 1.6% เหตุจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงมีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ประธาน IFOP มองว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดที่ลงนามโดยนายจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช อาจช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ประสบกับภาวะถดถอยในปีนี้อย่างที่กังวลกันมากนัก

ธนาคารซอคเจน ตัดหนี้สูญเพิ่มอีกกว่า 1 แสนล้านบาท

ธนาคาร โซไซเต้ เจนเนอราล หรือซอคเจน ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 และดำเนินธุรกิจมาแล้วถึง 144 ปี ในฝรั่งเศส และที่เพิ่งประสบกับเหตุอื้อฉาวที่เกิดจากพนักงานนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Subprime ฉ้อโกง สร้างความเสียหายอย่างหนักในช่วงต้นเดือนนี้ ล่าสุด ธนาคารประกาศผลขาดทุนต้องตัดหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีกจากวิกฤติสินเชื่อ Subprime ในไตรมาส 4/50 มีมูลค่าขาดทุนสูงมากถึง 4.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.57 แสนล้านบาท

รัฐสภาอังกฤษไฟเขียวรัฐบาลให้บริหารนอร์ทเธิร์น ร็อค

รัฐสภาอังกฤษผ่านร่างกฎหมายสำคัญที่นำเสนอโดยนายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ อนุญาตให้รัฐบาลอังกฤษสามารถเข้าควบคุมการบริหารจัดการ ธนาคาร นอร์ทเธิร์น ร็อค ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่อันดับ 5 ในอังกฤษและประสฐปัญหาสภาพคล่องตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา หลังเกิดวิกฤติสินเชื่อตึงตัวไปทั่งโลก ส่งผลให้มีการโอนย้ายหุ้นทั้งหมดในธนาคารแห่งนี้ตกเป็นของรัฐบาลอังกฤษทั้งหมด 100% และดำเนินการแต่งตั้งผู้ตรวจสอบอิสระเข้าประเมินมูลค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับการชดเชยด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news28/02/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 28, 2008 7:55 pm
โดย chartchai madman
ประธานเฟดส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยระยะสั้นอีกรอบ ฉุดเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าหนัก

Posted on Thursday, February 28, 2008
ประธานเฟดชี้พร้อมดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอุ้มเศรษฐกิจ
นายเบน เบอร์นันกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แถลงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงครึ่งปีแรกต่อคณะกรรมาธิการสายการเงินวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในคืนที่ผ่านมาเป็นคืนแรก โดยกล่าวว่า เฟดจะประเมินข้อมูลเศรษฐกิจในอนาคตอย่างละเอียดและรอบคอบบนมุมมองด้านเศรษฐกิจในอนาคต ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะดำเนินมาตรการที่มีอยู่อย่างทันท่วงทีตามความจำเป็นเพื่อทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯมีการขยายตัว และสามารถชดเชยปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐในขณะนี้

เงินเหรียญสหรัฐฯอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับเหรียญยูโร
ตลาดเงินสำคัญทั่วโลกในฝั่งตะวันตกตอบรับกับการแถลงในวันแรกของประธานเฟด โดยนักค้าเงินประเมินการส่งสัญญาณจากประธานเฟดในทิศทางที่พร้อมจะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐฯลงอีกในอนาคต ในการประชุมวันที่ 18 มี.ค. 51 ที่กำลังจะมาถึง ส่งผลให้นักค้าเงินยังคงเทขายเงินเหรียญสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง สร้างสถิติอ่อนค่าลงต่ำสุดเมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญยูโรเป็นประวัติการณ์ หรือนับตั้งแต่เริ่มมีการใช้เหรียญยูโรตั้งแต่ปี 1999 หรือ ปี 2542 โดยอยู่ที่ 1.5144 เหรียญสหรัญต่อ 1 ยูโร
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news28/02/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 28, 2008 7:58 pm
โดย chartchai madman
ประธานแบงก์ UBS ชี้วิกฤติการเงินเลวร้ายที่สุดในรอบ 79 ปี
นายมาร์เซล ออสเพล ประธานธนาคารยูบีเอส เอจี ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์กล่าวว่า วิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้กลายเป็นวิกฤติการเงินและตลาดทุนของโลกที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติตลาดหุ้นล่มสลายในปี 1929 หรือปี 2472 หรือในรอบ 79 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ประธานธนาคารยูบีเอสได้กล่าวต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นท่ามกลางแรงกดดัน และความเคลื่อนไหวที่ต้องการปลดนายมาร์เซล ออสเพลออกจากตำแหน่ง

บริษัทนอร์เทลล์ปลดพนักงาน 2,100 คน
บริษัทนอร์เทลล์ เน็ทเวิร์ค ยักษ์ใหญ่เครือข่ายโทรคมนาคมข้ามชาติจากแคนาดาเปิดเผยว่า เตรียมลดต้นทุนของบริษัทครั้งใหญ่ด้วยการประกาศลดพนักงานอีกครั้งเป็นจำนวน 2,100 คนจากจำนวนพนักงานทั้งหมด 3.3 หมื่นคน โดยจะลดพนักงานในต่างประเทศถึง 1,000 คน สาเหตุมาจาการผลประกอบการที่ขาดทุนอย่างหนักในไตรมาสที่4/50 ที่สูงถึง 844 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือราว 2.7 หมื่นล้านบาท และรายได้รวมทรุดลง 4%

BMW เดินหน้าปลดพนักงงาน 5,600 คน
บริษัทบีเอ็มดับเบิลยู เอจี ที่เยอรมนีต้องประกาศแผนลดต้นทุนครั้งสำคัญในปีนี้ด้วยการเตรียมปลดพนักงานทั้งประจำและชั่วคราวถึง 5,600 คนนับจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานที่ต้องการสร้างผลกำไรมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีพนักงานอีก 2,500 คนที่เข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดไปแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้เป้าหมายสุทธิในการปรับลดพนักงานตลอดทั้งปีนี้มีมากถึง 8,100 คน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx