news23/01/08
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 7:04 pm
ตะลึง !! Fed ลดดอกเบี้ย.....ยาแรงที่ได้ผล??
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนอกรอบก่อนการประชุมในสัปดาห์หน้าอย่างกระทันหัน 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลงมาอยู่ที่ 3.5% นอกจากนี้ยังมีการลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ (Discount Rate) อีก 0.75% มาอยู่ที่ 4.0% ด้วยเช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯดื้อยา นโยบายการเงินการคลังไม่ได้ผล ระวังสะเทือนถึงจีน
ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการ Trading Hour ว่า การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ถือเป็นการให้ยาแรงที่สุดในรอบ 24 ปีที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 0.75% และนับเป็นการใช้นโยบาย 2 ประสานที่ผ่อนคลายอย่างมากคือทั้งนโยบายการคลังในปลายสัปดาห์ที่แล้วที่นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศมาตรการภาษีลดภาษีลงถึง 1.5 แสนล้านเหรียญ และการใช้นโยบายการเงินในการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าตลาดจะไม่ตอบสนอง
FOMC เคยลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 0.75% มาแล้วเมื่อปี 2527 สมัยที่นายพอล วอล์คเกอร์เป็นประธานและแม้ในสมัยที่นายอลัน กรีนสแปนเป็นประธานฯก็มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงมากที่สุดในคราวที่เกิดเหตุการณ์ 911 โดยลดลงเพียง 0.5% และในช่วงปลายปีที่แล้วนายเบน เบอร์นันคี่ ก็ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% เช่นกัน
ส่วนสาเหตุที่ตลาดหุ้นในเอเชียปรับตัวลดลงอย่างหนักก็เพราะ ผู้จัดการกองทุนต่างชาติขายหุ้นในเอเชียเพื่อนำเงินกลับไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ดร.สมภพกังวลกับดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกงที่วานนี้ (23 ม.ค. 51) ลดลงประมาณ 10 จุด แต่ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ดัชนีตลาดหุ้นฮ่องกงหายไปถึง 1 ใน 3 จากกว่า 3 หมื่นจุด เหลือเพียงกว่า 2 หมื่นจุดในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะ บริษัทจดทะเบียนครึ่งหนึ่งในฮ่องกงเป็นหุ้นจากจีนแผ่นดินใหญ่ จึงต้องระมัดระวังด้วยว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจลุกลามไปถึงจีนได้ ซึ่งย่อมส่งผลมาถึงเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียด้วย
การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ในลักษณะเดียวกับโดมิโน ที่เมื่อสหรัฐฯไม่สามารถจัดการกับเศรษฐกิจของตัวเองได้ ก็จะทำให้การบริโภคภายในประเทศลดลง และทำให้การนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ลดลงตามไปด้วย ซึ่งสหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 20%
เช่นเดียวกับไทยที่มูลค่าการส่งออกสูงกว่า 65% ของ GDP ของประเทศจึงน่าจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดการประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของการส่งออก สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศควรเป็นทีมเศรษฐกิจที่พร้อมทำงานได้ทันที ไม่มีเวลาที่จะมาเรียนรู้อะไรใหม่ ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค และสร้างความเชื่อมั่นกับทุกฝ่ายได้
คาดเฟดเล็งลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 0.50% กระตุ้นความเชื่อมั่น
น.ส. อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) มองว่า FED มีความกังวลถึงปัญหา Subprime ว่าจะส่งผลกระทบทางลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างมาก จึงได้ตัดสินใจประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างฉุกเฉิน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา และลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะถดถอยลงอย่างรุนแรง
น.ส. อุศรากล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯมีแนวโน้มเป็นขาลงชัดเจน และทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันให้อ่อนตัวลงต่อไปอีก ขณะที่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชียในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีแนวโน้มถดถอยลงได้อีกภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันพุธที่ 30 มกราคม ยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากมีข่าวร้ายเข้ามากระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐฯในระหว่างรอการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 18 มีนาคม 2551 ก็จะกดดันให้ตลาดทุนทั่วโลกย่ำแย่ลงไปอีกได้
ส่วนดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์เมื่อวานนี้ที่ไม่ตอบรับผลการลดดอกเบี้ยของ FED นั้น น.ส. อุศรามองว่า เกิดขึ้นจากดัชนีดาวโจนส์ได้ปิดทำการในวันจันทร์ ซึ่งในวันนั้นตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงไปเกือบ 10% แต่หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ได้เปิดการซื้อขายแล้ว ในช่วงแรกดัชนีฯก็ได้ปรับลดลงอย่างรุนแรง จนกระทั่ง FED ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็ได้หนุนให้ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นจนสามารถลดช่วงลบลงได้ จึงเชื่อว่า หาก FED ไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงไปมากกว่านี้ก็เป็นได้
น.ส. อุศรามองว่า การลดดอกเบี้ยของ FED ในครั้งนี้ถือเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพราะหากตัดสินใจช้ากว่านี้ ก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยรุนแรงได้ แต่ในระยะยาวยังคงมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบจากปัญหา Subprime ได้อีก ดังนั้น การลงทุนระยะกลางจึงควรระวังความเสี่ยงดังกล่าวด้วย โดยยังเชื่อว่า FOMC ยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจนต่ำ 3% แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯด้วย
คาดนักลงทุนรอความชัดเจนของปัญหาก่อนตัดสินใจลงทุนใหม่
นส.เกวลิน หวังพิชญสุข นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บอกว่า การลดอัตราดอกเบี้ยลงของ Fed น่าจะฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ให้กลับคืนมาได้บ้าง หลังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีแนวโน้มย่ำแย่จากปัญหา Subprime อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ก็มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น การจ้างงาน ยอดค้าปลีก และดัชนีภาคการผลิต ต่างก็ออกมาไม่ดีนัก
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกที่ลดลงในช่วงนี้ สะท้อนว่า นักลงทุนต่างมีความวิตกกังวลกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ต้องเพิ่มความระวังในการลงทุน โดยคาดว่าในช่วงนี้นักลงทุนคงจะถือเงินสดเพื่อรอความชัดเจนก่อน เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่า การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้ และมาตรการทางการคลังที่จะออกมาในอนาคต จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้เร็วมากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลัง เศรษฐกิจไทยจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 10% ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวประมาณ 18% เนื่องจากฐานการส่งออกในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทก็ยังคงมีอยู่ต่อไป
บัวหลวงชี้หุ้นไทยเข้าสู่ช่วง Bear Market แนะถือ Short Position
นายคมสันต์ ปรมาภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า Morgan Stanley คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงถดถอยได้ในไตรมาส 1-2/51 นี้ และจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในไตรมาส 3/51 ซึ่งตามสถิติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ช่วงถดถอย ก็จะทำให้หุ้นดาวโจนส์ปรับร่วงลงจากระดับสูงสุดได้ถึง 20-30% แต่ที่ผ่านมาดัชนีดาวโจนส์ก็ได้ปรับลดลงเพียง 10% เท่านั้น จึงถือว่าเป็นการปรับลดที่ยังน้อย ซึ่งเกิดจากการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงของ Fed นั่นเอง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างชาติก็ยังคาดการณ์ว่า FED อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงจนต่ำกว่าระดับ 3% ได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น นายคมสันต์แนะนำว่า เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยในขณะนี้เป็นตลาดหมี (Bear Market) แล้ว นักลงทุนจึงควรถือ Short Position และแม้ว่าดัชนีจะดีดตัวขึ้น แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นระยะสั้น ๆ เท่านั้น นักลงทุนระยะกลางจึงยังสามารถถือ Short Position ต่อไปได้ เพราะดัชนียังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อได้อีก ขณะที่นักลงทุนระยะสั้น ก็อาจเล็งจังหวะที่ตลาดเข้าสู่ภาวะตื่นตระหนก (Panic) ก็สามารถปิดสถานะได้ และเมื่อตลาดดีดตัวขึ้นก็เข้าถือ Short Position ต่อได้ ส่วนการซื้อขาย Options ในขณะนี้ก็ควรถือ Short Call Options มากกว่า และเชื่อว่าจะเห็นการใช้กลยุทธ์ Straddle น้อยลง เพราะมีความเสี่ยงเนื่องจากยังมีสภาพคล่องต่ำ และกลยุทธ์นี้ก็เหมาะกับการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น
นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดอนุพันธ์นั้น นักลงทุนจะต้องมีเวลาติดตามสภาวะตลาดด้วย เพราะดัชนีที่เปลี่ยนแปลง 1 จุด จะส่งผลกระทบต่อเงินวางหลักประกันของนักลงทุนถึง 2% โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ดัชนีมีความผันผวน 20 จุดต่อวัน ก็จะส่งผลกระทบต่อดัชนีได้ถึง 20-30% ของเงินประกันได้ และการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ในระยะนี้ก็ควรต้องเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ และจะต้องมีความอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันของดัชนี หรือสามารถยอมรับความผันผวนระยะสั้นได้อีกด้วย และควรมองภาพใหญ่ จะทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ง่ายขึ้น
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ในระยะนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยที่ 6,000-7,000 ต่อสัญญา แต่ในบางขณะที่ดัชนีมีความผันผวน ปริมาณการซื้อขายก็อาจปรับเพิ่มขึ้นไปได้มากกว่า 1 หมื่นสัญญาได้
ถ้าบรรยากาศการลงทุนดีดัชนีหุ้นไทยปีนี้อาจกลับมายืนเหนือ 900 จุดได้
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล. นครหลวงไทย ผลกระทบจากวิกฤติสภาพคล่อง Subprime เกิดขึ้นกับประเทศไทยใน 2 ส่วนด้วยกันคือ
1. การเคลื่อนย้ายเงินทุน และสภาพคล่องของตลาดหุ้นไทย เพราะไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีกองทุนและนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนตลอด 6 เดือนแรกของปีนี้
2. พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงจำกัด โดยมองว่า สถานการณ์ทางการเมืองได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะได้รับการกระตุ้นจากรัฐบาลชุดใหม่ ขณะนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนน่าจะเติบโตได้ถึง 15.5% โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและธนาคารที่น่าจะขยายตัวได้ถึง 13% ขณะที่ภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมอาจได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า และต้นทุนที่สูงขึ้น
การลงทุนในระยะนี้จึงขยับไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าคือ ทองคำและพันธบัตร ส่วนการกู้เงินญี่ปุ่นเพื่อมาลงทุน (Yen Carry Trade) ก็ทำได้ยากขึ้น เพราะค่าเงินเยนผันผวน
นายสุกิจยังบอกว่าด้วยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยที่มีศักยภาพ อาทิ หนี้สินต่อทุนที่ไม่เกิน 1 เท่า ดัชนีควรจะยืนได้ที่ 800 จุด แต่บล. นครหลวงไทยได้ปรับประมาณการดัชนีปีนี้จากเดิม 1,000 จุด ลงมาอยู่ที่ 900-915 จุด หากบรรยากาศการลงทุนเอื้ออำนวย
680 710 จุด แนวรับสำคัญของหุ้นไทย
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯที่ 3.5% น่าจะยังไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง โดยอาจจะลดลงได้อีก 0.5-1% เป็นอย่างน้อย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นรุนแรงกว่าที่คาดกัน ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจต้องมีการปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยของ Fed โดยคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/51 และตามทฤษฎีแล้ว ดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยให้มูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นทันที
สำหรับประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ นายสมบัติมองว่าไม่น่าจะต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของปีที่ 858 จุด โดยหวังว่าน่าจะไปยืนอยู่ที่ 860-900 จุดได้ในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม แนวรับสำคัญคือที่ 680 711 จุด หากหลุดจากนี้ก็อาจเรียกได้ว่า เข้าสู่ภาวะวิกฤติที่อาจสั่นคลอนความรู้สึกของนักลงทุนและตลาดอย่างมาก
ต่างชาติหวังรัฐบาลใหม่เร่งสร้างความเชื่อมั่นเป็นลำดับแรก
นายคีธ เนรูด้า หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล. ยูบีเอส (ประเทศไทย) มองว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯจะลงไปเหลือ 2-2.5% อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางการเมืองของไทยเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุน ซึ่งที่สำคัญรัฐบาลชุดใหม่จะต้องทำก่อนเป็นลำดับแรกอาจไม่ใช่การเร่งให้เกิดโครงการใหม่ ๆ แต่เป็นเรื่องของการสร้างความน่าเชื่อถือ และดำเนินนโยบายต่าง ๆ อย่างมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังค้างอยู่เดิมและสร้างความไม่ไว้วางใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ อาทิ พ.ร.บ.ธุรกิจต่างด้าว และมาตรการกันสำรอง 30%
ส่วนเป้าของดัชนีตลาดหุ้นไทยจากเดิมที่ตั้งไว้ 1,080 จุด ก็ลดลงเหลือ 950 จุด ทั้งนี้ภาคการส่งออกที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมาไม่ได้สะท้อนอยู่ในดัชนีตลาดหุ้นไทย เพราะหุ้นกลุ่มที่นำตลาดคือกลุ่มพลังงาน และทาง บล. ยูบีเอสหวังที่จะเห็นหุ้นกลุ่มอื่น อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนมาเป็นผู้กำหนดทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบ้าง
ผู้นำเศรษฐกิจไทยต้องนิ่งและกล้าตัดสินใจพาประเทศให้พ้นวิกฤติ
ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหา Subprime เป็นสิ่งที่ลุกลากไปมากกว่าที่คาดกันไว้ แม้ในครั้งแรกทางการสหรัฐฯจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องออกมาตรการพิเศษเพิ่มเติม แต่ในขณะนี้กลับเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม โดยส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหานี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะจึงจะเห็นผลที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามหากปัญหาครั้งนี้เป็นปัญหาเศรษฐกิจก็คงจะใช้เวลาไม่นานในการแก้ปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องของวิกฤติสถาบันการเงินจะต้องใช้เวลานานในการแก้ไขเพราะปัญหาจะลึกซึ้งกว่าที่คาดไว้ และมีความเป็นไปได้ที่ FOMC จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมากกว่า 1%
ดร.กอบศักดิ์ยังคาดหวังที่จะเห็นรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศทำให้การลงทุนเกิดขึ้นให้ได้ เพราะเศรษฐกิจไทยไม่สามารถพึ่งพิงการส่งออกได้อีกต่อไป อีกทั้งการกระตุ้นการบริโภคของภาคประชาชนในภาวะที่ราคาน้ำมันแพงย่อมทำได้ยาก ขณะที่ผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศควรต้องมีศักยภาพในการตัดสินใจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นในการนำพาประเทศฟันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะเศรษฐกิจโลกมีปัญหาและส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังประเทศไทย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนอกรอบก่อนการประชุมในสัปดาห์หน้าอย่างกระทันหัน 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลงมาอยู่ที่ 3.5% นอกจากนี้ยังมีการลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ (Discount Rate) อีก 0.75% มาอยู่ที่ 4.0% ด้วยเช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯดื้อยา นโยบายการเงินการคลังไม่ได้ผล ระวังสะเทือนถึงจีน
ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการ Trading Hour ว่า การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ถือเป็นการให้ยาแรงที่สุดในรอบ 24 ปีที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 0.75% และนับเป็นการใช้นโยบาย 2 ประสานที่ผ่อนคลายอย่างมากคือทั้งนโยบายการคลังในปลายสัปดาห์ที่แล้วที่นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศมาตรการภาษีลดภาษีลงถึง 1.5 แสนล้านเหรียญ และการใช้นโยบายการเงินในการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าตลาดจะไม่ตอบสนอง
FOMC เคยลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 0.75% มาแล้วเมื่อปี 2527 สมัยที่นายพอล วอล์คเกอร์เป็นประธานและแม้ในสมัยที่นายอลัน กรีนสแปนเป็นประธานฯก็มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงมากที่สุดในคราวที่เกิดเหตุการณ์ 911 โดยลดลงเพียง 0.5% และในช่วงปลายปีที่แล้วนายเบน เบอร์นันคี่ ก็ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% เช่นกัน
ส่วนสาเหตุที่ตลาดหุ้นในเอเชียปรับตัวลดลงอย่างหนักก็เพราะ ผู้จัดการกองทุนต่างชาติขายหุ้นในเอเชียเพื่อนำเงินกลับไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ดร.สมภพกังวลกับดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกงที่วานนี้ (23 ม.ค. 51) ลดลงประมาณ 10 จุด แต่ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ดัชนีตลาดหุ้นฮ่องกงหายไปถึง 1 ใน 3 จากกว่า 3 หมื่นจุด เหลือเพียงกว่า 2 หมื่นจุดในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะ บริษัทจดทะเบียนครึ่งหนึ่งในฮ่องกงเป็นหุ้นจากจีนแผ่นดินใหญ่ จึงต้องระมัดระวังด้วยว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจลุกลามไปถึงจีนได้ ซึ่งย่อมส่งผลมาถึงเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียด้วย
การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ในลักษณะเดียวกับโดมิโน ที่เมื่อสหรัฐฯไม่สามารถจัดการกับเศรษฐกิจของตัวเองได้ ก็จะทำให้การบริโภคภายในประเทศลดลง และทำให้การนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ลดลงตามไปด้วย ซึ่งสหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 20%
เช่นเดียวกับไทยที่มูลค่าการส่งออกสูงกว่า 65% ของ GDP ของประเทศจึงน่าจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดการประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของการส่งออก สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศควรเป็นทีมเศรษฐกิจที่พร้อมทำงานได้ทันที ไม่มีเวลาที่จะมาเรียนรู้อะไรใหม่ ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค และสร้างความเชื่อมั่นกับทุกฝ่ายได้
คาดเฟดเล็งลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 0.50% กระตุ้นความเชื่อมั่น
น.ส. อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) มองว่า FED มีความกังวลถึงปัญหา Subprime ว่าจะส่งผลกระทบทางลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างมาก จึงได้ตัดสินใจประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างฉุกเฉิน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา และลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะถดถอยลงอย่างรุนแรง
น.ส. อุศรากล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯมีแนวโน้มเป็นขาลงชัดเจน และทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันให้อ่อนตัวลงต่อไปอีก ขณะที่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชียในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีแนวโน้มถดถอยลงได้อีกภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันพุธที่ 30 มกราคม ยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากมีข่าวร้ายเข้ามากระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐฯในระหว่างรอการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 18 มีนาคม 2551 ก็จะกดดันให้ตลาดทุนทั่วโลกย่ำแย่ลงไปอีกได้
ส่วนดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์เมื่อวานนี้ที่ไม่ตอบรับผลการลดดอกเบี้ยของ FED นั้น น.ส. อุศรามองว่า เกิดขึ้นจากดัชนีดาวโจนส์ได้ปิดทำการในวันจันทร์ ซึ่งในวันนั้นตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงไปเกือบ 10% แต่หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ได้เปิดการซื้อขายแล้ว ในช่วงแรกดัชนีฯก็ได้ปรับลดลงอย่างรุนแรง จนกระทั่ง FED ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็ได้หนุนให้ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นจนสามารถลดช่วงลบลงได้ จึงเชื่อว่า หาก FED ไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงไปมากกว่านี้ก็เป็นได้
น.ส. อุศรามองว่า การลดดอกเบี้ยของ FED ในครั้งนี้ถือเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพราะหากตัดสินใจช้ากว่านี้ ก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยรุนแรงได้ แต่ในระยะยาวยังคงมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบจากปัญหา Subprime ได้อีก ดังนั้น การลงทุนระยะกลางจึงควรระวังความเสี่ยงดังกล่าวด้วย โดยยังเชื่อว่า FOMC ยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจนต่ำ 3% แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯด้วย
คาดนักลงทุนรอความชัดเจนของปัญหาก่อนตัดสินใจลงทุนใหม่
นส.เกวลิน หวังพิชญสุข นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บอกว่า การลดอัตราดอกเบี้ยลงของ Fed น่าจะฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ให้กลับคืนมาได้บ้าง หลังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีแนวโน้มย่ำแย่จากปัญหา Subprime อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ก็มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น การจ้างงาน ยอดค้าปลีก และดัชนีภาคการผลิต ต่างก็ออกมาไม่ดีนัก
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกที่ลดลงในช่วงนี้ สะท้อนว่า นักลงทุนต่างมีความวิตกกังวลกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ต้องเพิ่มความระวังในการลงทุน โดยคาดว่าในช่วงนี้นักลงทุนคงจะถือเงินสดเพื่อรอความชัดเจนก่อน เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่า การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้ และมาตรการทางการคลังที่จะออกมาในอนาคต จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้เร็วมากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลัง เศรษฐกิจไทยจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 10% ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวประมาณ 18% เนื่องจากฐานการส่งออกในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทก็ยังคงมีอยู่ต่อไป
บัวหลวงชี้หุ้นไทยเข้าสู่ช่วง Bear Market แนะถือ Short Position
นายคมสันต์ ปรมาภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า Morgan Stanley คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วงถดถอยได้ในไตรมาส 1-2/51 นี้ และจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในไตรมาส 3/51 ซึ่งตามสถิติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ช่วงถดถอย ก็จะทำให้หุ้นดาวโจนส์ปรับร่วงลงจากระดับสูงสุดได้ถึง 20-30% แต่ที่ผ่านมาดัชนีดาวโจนส์ก็ได้ปรับลดลงเพียง 10% เท่านั้น จึงถือว่าเป็นการปรับลดที่ยังน้อย ซึ่งเกิดจากการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงของ Fed นั่นเอง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างชาติก็ยังคาดการณ์ว่า FED อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงจนต่ำกว่าระดับ 3% ได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น นายคมสันต์แนะนำว่า เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยในขณะนี้เป็นตลาดหมี (Bear Market) แล้ว นักลงทุนจึงควรถือ Short Position และแม้ว่าดัชนีจะดีดตัวขึ้น แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นระยะสั้น ๆ เท่านั้น นักลงทุนระยะกลางจึงยังสามารถถือ Short Position ต่อไปได้ เพราะดัชนียังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อได้อีก ขณะที่นักลงทุนระยะสั้น ก็อาจเล็งจังหวะที่ตลาดเข้าสู่ภาวะตื่นตระหนก (Panic) ก็สามารถปิดสถานะได้ และเมื่อตลาดดีดตัวขึ้นก็เข้าถือ Short Position ต่อได้ ส่วนการซื้อขาย Options ในขณะนี้ก็ควรถือ Short Call Options มากกว่า และเชื่อว่าจะเห็นการใช้กลยุทธ์ Straddle น้อยลง เพราะมีความเสี่ยงเนื่องจากยังมีสภาพคล่องต่ำ และกลยุทธ์นี้ก็เหมาะกับการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น
นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดอนุพันธ์นั้น นักลงทุนจะต้องมีเวลาติดตามสภาวะตลาดด้วย เพราะดัชนีที่เปลี่ยนแปลง 1 จุด จะส่งผลกระทบต่อเงินวางหลักประกันของนักลงทุนถึง 2% โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ดัชนีมีความผันผวน 20 จุดต่อวัน ก็จะส่งผลกระทบต่อดัชนีได้ถึง 20-30% ของเงินประกันได้ และการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ในระยะนี้ก็ควรต้องเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ และจะต้องมีความอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันของดัชนี หรือสามารถยอมรับความผันผวนระยะสั้นได้อีกด้วย และควรมองภาพใหญ่ จะทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ง่ายขึ้น
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ในระยะนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยที่ 6,000-7,000 ต่อสัญญา แต่ในบางขณะที่ดัชนีมีความผันผวน ปริมาณการซื้อขายก็อาจปรับเพิ่มขึ้นไปได้มากกว่า 1 หมื่นสัญญาได้
ถ้าบรรยากาศการลงทุนดีดัชนีหุ้นไทยปีนี้อาจกลับมายืนเหนือ 900 จุดได้
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล. นครหลวงไทย ผลกระทบจากวิกฤติสภาพคล่อง Subprime เกิดขึ้นกับประเทศไทยใน 2 ส่วนด้วยกันคือ
1. การเคลื่อนย้ายเงินทุน และสภาพคล่องของตลาดหุ้นไทย เพราะไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีกองทุนและนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนตลอด 6 เดือนแรกของปีนี้
2. พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงจำกัด โดยมองว่า สถานการณ์ทางการเมืองได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะได้รับการกระตุ้นจากรัฐบาลชุดใหม่ ขณะนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนน่าจะเติบโตได้ถึง 15.5% โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและธนาคารที่น่าจะขยายตัวได้ถึง 13% ขณะที่ภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมอาจได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า และต้นทุนที่สูงขึ้น
การลงทุนในระยะนี้จึงขยับไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าคือ ทองคำและพันธบัตร ส่วนการกู้เงินญี่ปุ่นเพื่อมาลงทุน (Yen Carry Trade) ก็ทำได้ยากขึ้น เพราะค่าเงินเยนผันผวน
นายสุกิจยังบอกว่าด้วยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยที่มีศักยภาพ อาทิ หนี้สินต่อทุนที่ไม่เกิน 1 เท่า ดัชนีควรจะยืนได้ที่ 800 จุด แต่บล. นครหลวงไทยได้ปรับประมาณการดัชนีปีนี้จากเดิม 1,000 จุด ลงมาอยู่ที่ 900-915 จุด หากบรรยากาศการลงทุนเอื้ออำนวย
680 710 จุด แนวรับสำคัญของหุ้นไทย
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯที่ 3.5% น่าจะยังไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง โดยอาจจะลดลงได้อีก 0.5-1% เป็นอย่างน้อย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นรุนแรงกว่าที่คาดกัน ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจต้องมีการปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยของ Fed โดยคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/51 และตามทฤษฎีแล้ว ดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยให้มูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นทันที
สำหรับประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ นายสมบัติมองว่าไม่น่าจะต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของปีที่ 858 จุด โดยหวังว่าน่าจะไปยืนอยู่ที่ 860-900 จุดได้ในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม แนวรับสำคัญคือที่ 680 711 จุด หากหลุดจากนี้ก็อาจเรียกได้ว่า เข้าสู่ภาวะวิกฤติที่อาจสั่นคลอนความรู้สึกของนักลงทุนและตลาดอย่างมาก
ต่างชาติหวังรัฐบาลใหม่เร่งสร้างความเชื่อมั่นเป็นลำดับแรก
นายคีธ เนรูด้า หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล. ยูบีเอส (ประเทศไทย) มองว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯจะลงไปเหลือ 2-2.5% อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางการเมืองของไทยเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุน ซึ่งที่สำคัญรัฐบาลชุดใหม่จะต้องทำก่อนเป็นลำดับแรกอาจไม่ใช่การเร่งให้เกิดโครงการใหม่ ๆ แต่เป็นเรื่องของการสร้างความน่าเชื่อถือ และดำเนินนโยบายต่าง ๆ อย่างมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังค้างอยู่เดิมและสร้างความไม่ไว้วางใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ อาทิ พ.ร.บ.ธุรกิจต่างด้าว และมาตรการกันสำรอง 30%
ส่วนเป้าของดัชนีตลาดหุ้นไทยจากเดิมที่ตั้งไว้ 1,080 จุด ก็ลดลงเหลือ 950 จุด ทั้งนี้ภาคการส่งออกที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมาไม่ได้สะท้อนอยู่ในดัชนีตลาดหุ้นไทย เพราะหุ้นกลุ่มที่นำตลาดคือกลุ่มพลังงาน และทาง บล. ยูบีเอสหวังที่จะเห็นหุ้นกลุ่มอื่น อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนมาเป็นผู้กำหนดทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบ้าง
ผู้นำเศรษฐกิจไทยต้องนิ่งและกล้าตัดสินใจพาประเทศให้พ้นวิกฤติ
ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหา Subprime เป็นสิ่งที่ลุกลากไปมากกว่าที่คาดกันไว้ แม้ในครั้งแรกทางการสหรัฐฯจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องออกมาตรการพิเศษเพิ่มเติม แต่ในขณะนี้กลับเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม โดยส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหานี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะจึงจะเห็นผลที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามหากปัญหาครั้งนี้เป็นปัญหาเศรษฐกิจก็คงจะใช้เวลาไม่นานในการแก้ปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องของวิกฤติสถาบันการเงินจะต้องใช้เวลานานในการแก้ไขเพราะปัญหาจะลึกซึ้งกว่าที่คาดไว้ และมีความเป็นไปได้ที่ FOMC จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมากกว่า 1%
ดร.กอบศักดิ์ยังคาดหวังที่จะเห็นรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศทำให้การลงทุนเกิดขึ้นให้ได้ เพราะเศรษฐกิจไทยไม่สามารถพึ่งพิงการส่งออกได้อีกต่อไป อีกทั้งการกระตุ้นการบริโภคของภาคประชาชนในภาวะที่ราคาน้ำมันแพงย่อมทำได้ยาก ขณะที่ผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศควรต้องมีศักยภาพในการตัดสินใจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นในการนำพาประเทศฟันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะเศรษฐกิจโลกมีปัญหาและส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังประเทศไทย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx