Thai VI

ครับ น้อมรับไว้ครับ

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกที่ผมสร้างต้นฉบับส่งโรงพิมพ์จากโปรแกรม PageMaker ด้วยตนเองก็เลยยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร (อุปสรรคเยอะมั่กๆ) ที่ผ่านมาผมใช้ Word มีปัญหาเรื่องความละเอียดของรูปภาพ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมพิสูจน์อักษรเอง ถ้ามีอีกคนที่ไม่ใช่คนเขียนเองพิสูจน์อักษรให้จะทำให้ได้มุมมองที่คนที่เป็นเขียนเองอาจจะมองข้ามไป คิดว่าเล่มต่อไปคงต้องมีแล้วครับ

อีกอย่างหนึ่งไม่บอกว่าพิมพ์ครั้งที่เท่าไร
จำนวนเท่าไร อันนี้ควรจะบอกไว้ครับ
เพราะว่าถ้ามีการปรับปรุงจะได้รู้ว่าปรับปรุงนี้เกิดขึ้นหลังจากการพิมพ์ไปกี่ครั้งครับ
และจะเป็นการให้เครดิตกับนักเขียนด้วยครับ
ว่าเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือแล้วพิมพ์จำนวนครั้งมากและจำนวนหนังสือที่พิมพ์มากไปด้วยครับ

อันนี้อยากจะบอกคนซื้อหนังสือเหมือนกันว่า ในวงการหนังสือมีการยกเมฆตัวเลขเหล่านี้กันอย่างกว้างขวางเพื่อกระตุ้นยอดขาย ตอนเลือกซื้อหนังสืออย่าไปให้ความสำคัญเลยครับ

ไม่เป็นไรครับ
เล่มแรกก็เป็นแบบนี้กันล่ะครับ
ต้องให้พวกหนอนหนังสือมาติติงครับถึงได้รู้ข้อบกพร่องไปใช้กับเล่มอื่นๆๆต่อไปครับ

จะอ่านจบเล่มแล้วเดี๋ยวจะมีคำถามมาเป็นกองครับ


by the way
ผมเพิ่งจะรู้ว่าพี่จบ ป.ตรี วิศวะ จุฬาแถมเกียรตินิยมอันดับสอง มิน่าถึงได้เก่งทางการเงิน เดินตามใครหรือเปล่าครับพี่

ผมรีบจัดการโอนเงินไปให้แล้วครับ 201 บาท
พร้อมแจ้งรายละเอียดที่ [email protected] เรียบร้อยแล้วครับ

โอนให้เรียบร้อยแล้วครับ 7/8/49 ธนาคารกรุงเทพ จำนวนเงิน 200.89 ครับ

ถ้าเป็นเงินเบิกเกินบัญชี, เงินกู้ระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี, หนี้สินระยะยาวอื่นที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี, และ ภาษีเงินได้บุคคลค้างจ่าย รายการพวกนี้ต้องนับอยู่ใน Changes in Working Capital หรือเปล่าครับ ขอบคุณครับ

BenjaMinburee เขียน:ถ้าเป็นเงินเบิกเกินบัญชี, เงินกู้ระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี, หนี้สินระยะยาวอื่นที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี, และ ภาษีเงินได้บุคคลค้างจ่าย รายการพวกนี้ต้องนับอยู่ใน Changes in Working Capital หรือเปล่าครับ ขอบคุณครับ

หนี้สินที่มีดอกเบี้ย หรือมีดอกเบี้ยแอบแฝง ให้ถือว่าเป็นหนี้สิน

หนี้สินที่ไม่มีดอกเบี้ยให้ถือว่าเป็น Working Capital

ฉะนั้น เป็นเงินเบิกเกินบัญชี, เงินกู้ระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี, หนี้สินระยะยาวอื่นที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี ไม่ใช่ WC แต่ ภาษีเงินได้บุคคลค้างจ่าย เป็น WC ครับ

สั่ง 2 เล่มครับ
โอนเงินเข้าบัญชีธ.กรุงเทพฯ จำนวน 400.04 บาท วันที่ 7 ส.ค. 2549 เวลาประมาณ 18.29 น.ครับ ที่อยู่ส่ง E-mail ไปแล้วครับ
 :D

แล้วถ้าเปลี่ยนแปลง
จากชำระหนี้เป็นงวดๆๆแล้วชำระหนี้เป็นครั้งเดียวในสองปีข้างหน้าละครับ
caseนี้จะนับหนี้ก้อนหนี้เป็นอะไรครับ

miracle เขียน:แล้วถ้าเปลี่ยนแปลง
จากชำระหนี้เป็นงวดๆๆแล้วชำระหนี้เป็นครั้งเดียวในสองปีข้างหน้าละครับ
caseนี้จะนับหนี้ก้อนหนี้เป็นอะไรครับ

รายการเรียกว่าอะไรครับ ถ้าเป็นการชำระเงินต้นสถาบันการเงินก็ให้ถือว่าเป็นหนี้เพราะเงินกู้สถาบันการเงินเป็นเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ย

สั่ง 1 เล่มครับ โอนเงินเข้าไปแล้วครับ
200.01 บาท แจ้งอีเมลล์เรียบร้อยแล้วครับ

ในนามของทีมงานฯ ขอขอบคุณคุณสุมาอี้เป็นอย่างมากครับ
ที่ได้กรุณาแบ่งส่วนรายได้จากค่าหนังสือ
เพื่อเป็นค่าบำรุงเว็บไซต์ thaivi.com



ขอให้หนังสือขายได้ล้านเล่มเร็วๆ นะครับ

ได้รับหนังสือพร้อมลายเซนต์เรียบร้อยแล้วครับ

ได้หนังสือมาแล้วครับ เร็วดีจังเลย

มี note สั้นๆ พร้อมลงชื่อ มาด้วย

ขอบคุณครับ

ขอซื้อหนังสือครับ
โอนเงินไปแล้ว 201.05 บาท ธนาคารกรุงเทพ 9 สค เวลา 9.48 น.
จัดส่ง
อิทธิชัย วัชรีคุปต์
286 ซ. จรัญ 46  ถ. จรัญสนิทวงศ์ บางยี่ขัน บางพลัด กทม. 10700
โทร  01-6944386

ขอบคุณครับ

ผมขอแจ้งการโอนเงินเพื่อซื้อหนังสือ วัดมูลค่าหุ้น ด้วยตัวคุณเอง จำนวน 1 เล่ม ครับ (ส่ง mail ไปแล้วครับ)

 ทั้งนี้ผมได้โอนเงินผ่านทางตู้ ATM ของธนาคารกรุงเทพ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2549 เวลา 12.22น.

 จำนวนเงิน 200.27 บาท เข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.กรุงเทพ  เลขที่ 1620749901 เรียบร้อยแล้ว

ถ้าจัดส่งแล้ว ช่วยแจ้งด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ

ได้รับแล้ว รีบอ่านจนจบคร่าวๆไปหนึ่งรอบ

อยากให้กว้างกว่านี้(หน้ากระดาษ) จะได้ไม่ต้องพลิกบ่อย

ส่วนเนื้อหาชอบมาก  กำลังหาหนังสือในด้านนี้อ่าน

พยายามตามหาจากหลายเล่ม

เป็นหนังสือที่ดีมากครับ

ไหนๆก็มีคน comment เรื่องรูปแบบหนังสือแล้ว ขอหน่อยนะครับท่าน

เท่าที่รื้อเจอตอนนี้ ผมมีหนังสือที่ออกแบบยาวๆแบบหนังสือท่านสุมาอี้ แบบนี้อยู่หนึ่งเล่ม แต่ยาวกว่าเยอะหน่อยนึงและกว้างกว่านิดหน่อย ชื่อ ความงามคือความรัก ศิลปะคำกลอน ของ อ.ประเทือง เอมเจริญ หน้าหนึ่งก็มีกลอน 1 บท ผมว่าก็เหมาะดีนะครับ

ส่วนหนังสือท่านสุมาอี้ ผมอ่านไปได้หน่อยนึงแล้ว จะว่าเล็กไปก็ไม่ใช่ จะว่าใหญ่ก็ไม่ หนามั้ยก็ไม่ ผมว่ามันแปลกๆ ดูดึงดูดดี ฟอร์ตก็สวย เนื้อหาก็เยี่ยม แต่เวลาหยิบอ่าน สำหรับผมมันไม่ถนัดมือครับ และใช้แรงในการพลิกอ่านมากกว่าปกติ เพราะเนื้อหาอยู่ติดสันในหนังสือมากไปครับ และมีพื้นที่ในการใช้มือยึดจับน้อยไปครับ

อย่างไรก็ขอให้หนังสือ ขายดีๆ นะครับ ขอบคุณครับ

ความล่าช้าที่ซีเอ็ดดูจะยืดเยื้อครับ ตอนนี้ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการไปฝากขายที่ร้านหนังสือจุฬาฯ ก่อน ใครอยากดูเล่มจริงก่อนตัดสินใจไปหาซื้อได้แล้วครับที่ร้านหนังสือจุฬาฯ ทั้งที่สยามฯ และศาลาพระเกี้ยว มีวางจำหน่ายแล้วครับ ถ้าหาไม่เจอถามเจ้าหน้าที่ได้

เรียนถามคุณ สุมาอี้

ผมโอนเงิน เมลแจ้ง และได้รับเมลตอบรับ ทั้งหมดในวันที่1 สิงหา
ตอนนี้ยังไม่ได้รับหนังสือเลยครับ

ไม่ทราบว่าผิดปกติหรือเปล่าครับ

ผมชื่อ ณฐพล ที่โอนเงินไป 201.10 บาทครับ

munata เขียน:เรียนถามคุณ สุมาอี้

ผมโอนเงิน เมลแจ้ง และได้รับเมลตอบรับ ทั้งหมดในวันที่1 สิงหา
ตอนนี้ยังไม่ได้รับหนังสือเลยครับ

ไม่ทราบว่าผิดปกติหรือเปล่าครับ

ผมชื่อ ณฐพล ที่โอนเงินไป 201.10 บาทครับ

ของคุณณฐพล ผมส่งไปให้แล้วครับ มีบางท่านเหมือนกันที่หนังสือไปถึงค่อนข้างช้า รอดูอีกสัก 2 วันนะครับ ถ้ายังไม่ได้รบกวนแจ้งผมอีกทีครับ

พี่สุมาอี้ครับ
caseที่ถามคือucomครับพี่
เล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตกครับ
ว่าผมจะวัดมันอย่างไงล่ะเนี่ย
ถ้าจะเอาไตรมาสนี้เป็นตัววัดล่ะพี่
เพราะว่าสินทรัพย์มันโดนขายไปแล้วในส่วนของบริษัทลูก
เหลือแต่tacเป็นส่วนใหญ่

เจองบกำไรขาดทุน กำไรไม่ใช่จากการดำเนินงานปกติแต่มาจากบริษัทย่อย
งานนี้ต้องหาพารามากินแล้ววัดครับ

Posted: Mon Aug 07, 2006 9:04 pm    Post subject:  

--------------------------------------------------------------------------------

BenjaMinburee wrote:
ถ้าเป็นเงินเบิกเกินบัญชี, เงินกู้ระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี, หนี้สินระยะยาวอื่นที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี, และ ภาษีเงินได้บุคคลค้างจ่าย รายการพวกนี้ต้องนับอยู่ใน Changes in Working Capital หรือเปล่าครับ ขอบคุณครับ


หนี้สินที่มีดอกเบี้ย หรือมีดอกเบี้ยแอบแฝง ให้ถือว่าเป็นหนี้สิน

หนี้สินที่ไม่มีดอกเบี้ยให้ถือว่าเป็น Working Capital

ฉะนั้น เป็นเงินเบิกเกินบัญชี, เงินกู้ระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี, หนี้สินระยะยาวอื่นที่ถึงกำหนดชำระใน1ปี ไม่ใช่ WC แต่ ภาษีเงินได้บุคคลค้างจ่าย เป็น WC ครับ
[/quote]

คือผมยังไม่ชัวร์นะครับพี่สุมาอี้ ในหนังสือที่แสดงการหามูลค่าหุ้น มาม่า ตรง WC ปี 48 ตรงหนี้สินอื่น แสดงไว้ (222)ล้านบาท
ผมลองบวกดูแล้วถ้าจะให้ได้เท่ากับในหนังสือ ต้องเอา ส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี 11.8 ล้านบาท มารวมด้วย ดังนั้น WC จริงๆ ต้องเป็น (210)ล้านบาทหรือเปล่าครับ เพราะ ส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี 11.8 ล้านบาท ไม่ใช่ WC
                                  ขอบคุณครับที่ตอบคำถามผมหลายครั้ง

มีผู้ถามเกี่ยวกับตัวเลขในตัวอย่าง TF เยอะมาก ได้โอกาสตอบทีเดียวเลย...

1. เรื่อง normalized EBIT
กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยในงบเท่ากับ 840 แต่ผมทำ normalize ด้วยการรวมเฉพาะรายการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัทจริงๆ เท่านั้น ได้แก่

รายได้จากการขาย -ต้นทุนขาย -ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร -ค่าตอบแทนกรรมการ

= 5063-3971-485-6 = 600 ล้าน

ดังนั้น normalized EBIT จึงเป็น 600 เท่านั้น มิใช้ 840

ภาษี 118 ล้าน ดังนั้น NOPAT ปรับปรุงแล้วจึงเป็น 600-118 = 482 ล้าน


2.เรื่อง WC
ใช้ครับจริงๆ ควรเป็น (210) อย่างที่ทักท้วงมา ผมหลุดไปดันเอาหนี้สินกำหนดชำระภายใน 1 ปีไปรวมด้วย

3.เรื่องหนี้สินของบริษัท
ที่จริง TF มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยอยู่ ที่ถูกต้องจึงต้องนำมูลค่าหนี้เหล่านั้นมาลบจากมูลค่าบริษัทก่อนจึงจะได้มูลค่าหุ้นด้วย แต่ในหนังสือไม่ได้ทำเพราะหนี้สินที่มีดอกเบี้ยเหล่านั้นมีมูลค่ารวมกันน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้น เป็นการ simplified ครับ ผมไม่อยากคิดละเอียดด้วยการหักนี้ออกให้ดูเพราะไม่อยากให้ตัวอย่างซับซ้อนเกินไป อะไรที่มีค่าน้อยในการวัดมูลค่าหุ้นเราตัดทิ้งไปได้เลยครับ เราไม่ได้ทำบัญชี การวัดมูลค่าหุ้นมิใช่วิศวกรรมฐานยิงจรวด

เรียน พี่สุมาอี้
ผมได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้วครับ เร็วดีจัง
ขอบคุณครับ

ได้รับหนังสือแล้วครับ ขอบคุณมากครับ  :D

1.อยากถามว่าทำไมเวลาเศรษฐกิจดีราคาสินค้า commodity เช่นทองคำ น้ำมัน ปิโตร จะต้องขึ้นด้วย ขอคำอธิบาย
2.ถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับตามเงินเฟ้อ ทำไมเมื่อก่อนดอกเบี้ยตั้ง 16 % เงินเฟ้อไม่น่าจะสูงขนาดนั้น อยากทราบว่าทำไมหลายปีก่อนประเทศไทยถึงมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึงขนาดนั้น

วันนี้ไปหาซื้อที่ SE-ED , CPN พระราม 2 ยังไม่มีเลยครับ
ขากลับบ้านเลยแวะโอนเงินที่ ATM SCB แถวบางบอนครับเวลา 20.05
โอนไป 200.03 บาท Mail ที่อยู่ไปให้แล้วนะครับ

hongvalue เขียน:1.อยากถามว่าทำไมเวลาเศรษฐกิจดีราคาสินค้า commodity เช่นทองคำ น้ำมัน ปิโตร จะต้องขึ้นด้วย ขอคำอธิบาย
2.ถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับตามเงินเฟ้อ ทำไมเมื่อก่อนดอกเบี้ยตั้ง 16 % เงินเฟ้อไม่น่าจะสูงขนาดนั้น อยากทราบว่าทำไมหลายปีก่อนประเทศไทยถึงมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึงขนาดนั้น

เศรษฐกิจดีการผลิตก็จะมาก ความต้องการใช้วัตถุดิบก็จะมากตามไปด้วย น้ำมัน เหล็ก ปิโตร จึงมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ส่วนทองคำนั้นไม่แน่เสมอไป เพราะทองคำถูกใช้ในอุตสาหกรรมน้อยมาก ทองคำขึ้นด้วยปัจจัยอย่างอื่นมากกว่า

ถ้าธนาคารกลางไม่ได้เข้ามาควบคุมอัตราการดอกเบี้ย ดอกเบี้ย (nominal interest rate) จะปรับตามความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับเงินเฟ้อในอนาคต แต่ปกติแล้วธนาคารกลางเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจึงไม่ได้ขึ้นกับเงินเฟ้อ แต่ขึ้นอยู่กับว่าธนาคารต้องการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำหรือสูงเพื่อ influence ตลาด

หลังลอยตัวค่าเงินบาท ธนาคารขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินทุนไม่ให้ไหลออก ซึ่งได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะในเวลาอย่างนั้นผู้ให้กู้ห่วงเงินต้นมากกว่าดอกเบี้ยมากครับ

หนังสือ วัดมูลค่าหุ้น ด้วยตัวเอง ผมลองไปหาดูตามร้านขายหนังสือต่าง ๆ แล้วไม่เห็นมีขายเลยครับ ไม่ทราบว่าพอจะหาซื้อจากที่ไหนได้บ้างครับ
[email protected]