VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1741

โพสต์

ดำ เขียน:ขอชวนคุยบ้างครับ ประเด็นราคาน้ำมัน

เท่าที่ติดตามข้อมูล ฝั่ง Supply ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอหรือลดกำลังการผลิตในขณะที่ราคาน้ำมันดิบลดลงมาแถวๆ 40-50 USD นี้เลยครับ แถมยังจะมีกำลังการผลิตกลับมาใหม่เพิ่มขึ้นจากที่เคยหยุดไปอีก นี่ยังไม่รวมถึงพวกการผลิตโดยเทคโนโลยีใหม่ๆ พวก Sand Oil, Shale Oil อีกครับ มองดูแล้วเหมือนกับว่าเหล่าผู้ผลิตทั้งหลายเห็นอนาคตว่า น้ำมันกำลังจะกลายเป็นสินค้าล้าสมัยที่มีความต้องการน้อยลงๆ ในระยะยาว ใครมีเท่าไหร่จึงรีบพยายามเอาออกมาขาย

แนวโน้มนึงที่อ่านเจอในข่าวก็คือ เค้ามีแผนจะเพิ่ม Value Add ให้มากขึ้น แทนที่จะขายเป็นน้ำมันดิบก็จะหันไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปลายน้ำอื่นๆ มากขึ้นครับ
ตรงนี้ผมว่าในกรณีของ shale oil นี่ ได้ยินมาว่าพอน้ำมันดิบลงมาที่ราคาต่ำ ๆ การจะไปขุดนำ shale oil มาใช้อาจจะไม่คุ้มค่านะครับ

ผมเองยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ ว่าจริง ๆ แล้วที่โอเปค เค้าไม่ยอมลดกำลังการผลิตลง นั่นเป็นเพราะเค้าต้องการจะ บีบผู้ผลิต shale oil ให้ตายหรือเปล่านะครับ

ผมว่าดีไม่ดีมันก็อาจจะกระทบไปถึงพวกเอทานอล ฯลฯ ทำให้การนำพลังงานทางเลือกมาใช้ไม่คุ้มค่า และยังคงต้องใช้น้ำมันกันต่อไป
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1742

โพสต์

leky เขียน:ตรงนี้ผมว่าในกรณีของ shale oil นี่ ได้ยินมาว่าพอน้ำมันดิบลงมาที่ราคาต่ำ ๆ การจะไปขุดนำ shale oil มาใช้อาจจะไม่คุ้มค่านะครับ

ผมเองยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ ว่าจริง ๆ แล้วที่โอเปค เค้าไม่ยอมลดกำลังการผลิตลง นั่นเป็นเพราะเค้าต้องการจะ บีบผู้ผลิต shale oil ให้ตายหรือเปล่านะครับ

ผมว่าดีไม่ดีมันก็อาจจะกระทบไปถึงพวกเอทานอล ฯลฯ ทำให้การนำพลังงานทางเลือกมาใช้ไม่คุ้มค่า และยังคงต้องใช้น้ำมันกันต่อไป
ประเด็นนึงคือ การขุดเจาะน้ำมันแบบ Conventional นับวันจะยิ่งมีต้นทุนสูงขึ้นเนื่องจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ แต่สำหรับเทคโนโลยีใหม่แบบ Shale Oil นับวันจะยิ่งมีต้นทุนถูกลงเรื่อยๆ อีกอย่างคือแบบ Conventional ต้นทุนหลักเป็น Fixed Cost แต่ Shale Oil เท่าที่เข้าใจ ต้นทุนหลักเป็น Variable Cost ทำให้ความยืดหยุ่นในการผลิตมีสูงกว่าครับ (ดังนั้นโอกาสที่จะฆ่าให้ตายเป็นไปได้ยากครับ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้นจนน่าจูงใจ Shale Oil ก็จะกลับมาได้อีกในเวลาไม่นาน)

ส่วนพวกสินค้าเกษตรพลังงานน่าจะเป็นห่วงครับ เพราะความน่าสนใจคงลดลงไปมากทีเดียว และอาจเป็นแบบถาวรด้วยครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1743

โพสต์

พูดถึงความเห็นคนส่วนใหญ่ บางครั้งมันก็ "ผิดหมู่" เหมือนกันนะครับ

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องทีวีดิจิตัล ถ้าใครยังจำกันได้ ตอนที่กำลังจะมีข่าวเรื่องการประมูล หุ้นตัวไหนที่มีข่าวว่าจะประมูล วิ่งกันแหลก

มาถึงตอนนี้คงเห็นกันแล้วว่า บทสรุปเบื้องต้น เป็นอย่างไร
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1744

โพสต์

leky เขียน:พูดถึงความเห็นคนส่วนใหญ่ บางครั้งมันก็ "ผิดหมู่" เหมือนกันนะครับ

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องทีวีดิจิตัล ถ้าใครยังจำกันได้ ตอนที่กำลังจะมีข่าวเรื่องการประมูล หุ้นตัวไหนที่มีข่าวว่าจะประมูล วิ่งกันแหลก

มาถึงตอนนี้คงเห็นกันแล้วว่า บทสรุปเบื้องต้น เป็นอย่างไร
ผมนึกถึงเรื่องฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีในหนังสือแก่นฯ เลยครับ

แต่ผมคิดว่ามันเป็นเพราะอะไรที่มันเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน มันก็ประเมินการเติบโตได้ยาก จินตนาการที่ไม่มีความรู้เป็นพื้นฐานมันก็จะได้เวลาทำงาน สุดท้ายฟองสบู่ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งแม้แต่หุ้นที่เมื่อเวลาผ่านไปจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้ชนะ ในช่วงแรกนั้นราคาก็จะขึ้นไปเกินจริงอยู่มากเหมือนกัน และก็จะเจอการปรับฐานแรงๆ เพียงแต่สุดท้ายมันก็สะท้อนการเติบโตของมันตามพื้นฐานระยะยาว ในบ้านเราเร็วๆ นี้ก็อย่างเช่น ทีวีดิจิตัลที่ อ.ว่า กับพวกพลังงานทางเลือก

จะว่าไปในช่วงที่กำลังเกิดฟองสบู่ หุ้นที่ราคาขึ้นไปแรงที่สุด ผมมีข้อสังเกตว่ามันไม่ใช่หุ้นที่มีศักยภาพที่จะเติบโตสูงสุดในเชิงพื้นฐานนะครับ แต่เป็นหุ้นที่มีโครงสร้างการถือหุ้นและขนาดบริษัทที่เอื้อต่อการที่ทำให้ราคาหุ้นสามารถขึ้นได้มากและรวดเร็ว
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1745

โพสต์

อย่างกรณีของทีวีดิจิตัล ผมว่านะ

1) ทีวีดั้งเดิม 3, 5, 7, 9 พวกนี้ คงไม่เหมือนเดิม เพราะมีคู่แข่งมาแย่งเค้กมากขึ้น หมดยุคเสือนอนกิน

2) ทีวีเจ้าใหม่ รายใหญ่ที่มี content พวกนี้น่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น ค่าโฆษณา กลุ่มบนกับกลุ่มนี้ต่างกันมากนะครับ หลักแสนกับหลักหมื่น ผมว่าตอนนี้คนไทยยังไม่ชินกับช่องใหม่ๆ แล้วยังมีความเหลื่อมล้ำเรื่องเลขช่องที่ทำให้คนจำได้ง่าย ถ้าช่องว่างนี้ถูกแก้ไข ผมว่าพวกเจ้าใหญ่น่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ถ้าจะดีจนแซงกลุ่มข้างบนคงต้องใช้เวลา และคงจะแซงแต่ช่องที่อยู่ท้าย ๆ ของกลุ่ม 1

3) ทีวีเจ้าใหม่ รายเล็กที่ไม่มี content หรือทีมงานของตัวเอง พวกนี้เหนื่อยหนัก ถ้าสายป่านไม่ยาว หรือประมูลมาแพง คงลำบากมาก อาจจะมีกรณีแบบทีวีพูลอีกก็ได้ หรือไม่ก็ต้องหาผู้ร่วมทุน
"Become a risk taker, not a risk maker"
syj
Verified User
โพสต์: 4241
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1746

โพสต์

เรื่อง digital TV ผมว่า ทาง Intuch มองขาดนะครับ
ที่ยอมไม่สู้ราคา ผมก็เห็นด้วยเพราะ มันจะไม่เหมือนเดิม
ช่องเยอะ ตัวหารเยอะ รอเก็บศพดีกว่า

อีกอย่าง ส่วนมาก รายการมันเหมือนหรือคล้ายๆ กัน
เหมือนลอกกันมา มีที่ไม่ลอกและโดดเด่นอยู่ไม่กี่ช่อง
แต่ผมแทบไม่ได้ดูพวก 3,5,7,9 อีกเลยนะครับ 555+

ต้องสร้างความแตกต่าง เจาะกลุ่ม Niche เพราะถ้าไปท้าชน
3 กับ 7 ยากมากครับ เพราะคนส่วนใหญ่ยังติด 3 กับ 7
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1747

โพสต์

ผมก็เคยสนใจหุ้นทีวีดิจิตอลครับ ทุกวันนี้ก็ยังติดตามอยู่ห่างๆ

ช่อง 3 ผมว่าปัญหาหลักไม่ใช่เรื่องรายได้ แต่เป็นเรื่องต้นทุน จากเดิมเสียค่าสัมปทาน (ใบอนุญาต?) อัตราต่ำมาก แต่ตอนนี้พอเป็นดิจิตอลค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมโหฬาร แถมดันไปประมูลมาตั้ง 3 ช่อง

ช่อง 9 อันนี้อ่วม โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

ช่องใหม่ๆ ที่เด่นๆ ก็ เวิร์คพอยต์ RS อันนี้รายได้คงเพิ่มขึ้นแน่จะเร็วจะมากแค่ไหนเท่านั้น แต่ต้นทุนก็ตามมาด้วยเช่นกัน โชคดีที่ประมูลมาเป็นแบบ SD แต่ผมยังประเมินกำไรระยะยาวไม่ออกครับ

GRAMMY อันนี้ประมูลมา 2 ช่อง หนักหน่อย คงต้องขายสมบัติเก่าเพื่อปรับโครงการให้เรียบร้อยก่อน
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1748

โพสต์

syj เขียน:เรื่อง digital TV ผมว่า ทาง Intuch มองขาดนะครับ
ที่ยอมไม่สู้ราคา ผมก็เห็นด้วยเพราะ มันจะไม่เหมือนเดิม
ช่องเยอะ ตัวหารเยอะ รอเก็บศพดีกว่า

อีกอย่าง ส่วนมาก รายการมันเหมือนหรือคล้ายๆ กัน
เหมือนลอกกันมา มีที่ไม่ลอกและโดดเด่นอยู่ไม่กี่ช่อง
แต่ผมแทบไม่ได้ดูพวก 3,5,7,9 อีกเลยนะครับ 555+

ต้องสร้างความแตกต่าง เจาะกลุ่ม Niche เพราะถ้าไปท้าชน
3 กับ 7 ยากมากครับ เพราะคนส่วนใหญ่ยังติด 3 กับ 7
เห็นด้วยเรื่องกลยุทธ์ของ INTUCH ครับ มันสะท้อนถึงการประเมินความเสี่ยงของผู้บริหารด้วย

ส่วนเรื่องที่ว่า ช่องใหม่ๆ ไม่ควรท้าชนตลาด Mass ควรไปจับตลาด Niche ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นครับ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ โดยปกติผู้ซื้อสื่อโฆษณาเค้าจัดสื่อทีวีเป็นสื่อสำหรับกลุ่มเป้าหมายระดับ Mass ครับ เนื่องจากว่าต้นทุนการซื้อสื่อมันแพง จึงเหมาะกับกลุ่มลูกค้า Mass ดังนั้นช่อง Niche ผมมองว่าสุดท้ายจะไม่รอดครับ หรืออย่างน้อยถ้ารอดก็ไม่คุ้มค่าการลงทุน แต่อาจสนองความต้องการของเจ้าของช่องในด้านอื่นๆ มากกว่า
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1749

โพสต์

เห็นด้วยครับว่ากลุ่ม Niche นี่ฐานคนดูน้อย อาจจะไม่คุ้มค่า ถ้าอยากจะหาลูกค้าเฉพาะกลุ่มจริง ๆ ผมว่าไปเอาทีวีดาวเทียมซักช่องแล้วทำอาจจะดีกว่าครับ ดูอย่างช่องป้าเช็งครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าอยู่ได้ :D

เพียงแต่เจ้าใหญ่นี่ ผมว่าระยะยาว ๆ ค่าโฆษณาน่าจะดีขึ้น อาจจะไม่เท่าช่องหลัก แต่ถ้าได้เกิน 5 หมื่น ช่วงเวลาดี ๆ ใกล้ ๆ แสน เฉลี่ย ๆ กันไป ก็น่าจะเป็นโอกาสครับ

เพียงแต่ต้องใช้เวลาครับ ผมเองยอมรับเลยว่าทุกวันนี้จำไม่ค่อยได้เลยครับ ว่าช่องไหนเลขอะไร

แต่ราคาหุ้นของพวกรายใหม่ก็เป็นอีกเรื่องนะครับ เพราะบางตัวราคาก็ไม่ถูกครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1750

โพสต์

leky เขียน:เห็นคุณลูกหินพูดถึงเรื่องหุ้นรพ. ผมเลยอยากจะแชร์หน่อยครับ

อันนี้เป็นมุมมองของผมนะครับ อาจจะเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาด้วย

ผมว่าประเด็นที่หุ้นรพ.กลายเป็นหุ้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็น Super stock นั้น ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเกิดจากเมกาเทรนด์จริงแต่ส่วนหนึ่งผมคิดว่ามันก็มีกระแสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ อาจจะเรียกได้ว่า 1+1 มันไม่ใช่เท่ากับ 2 แต่มันกลายเป็น 3 หรือ 4

ผมเองทันเห็นหุ้นรพ.ที่สมัยหนึ่ง ตลาด "ไม่เอา" บางตัวเจอหนี้จากยุคปี 40 ทันเห็น CPALL สมัยที่ยังเป็น CP7-11 ตัวหลังนี้ตอนนั้นผมยังคิดอยู่เลยว่าทำไมคนถึงไม่เล่นกัน ตัวเองก็เคยซื้อที่ 46 บาท น่าจะ low มากในตอนนั้น แต่ตอนนั้นเป็นมุมของคนที่ "เล่นหุ้น" นะครับ

จริงอยู่ครับ แนวโน้มของคนไทยเข้าสู่ภาวะผู้สูงอายุ ตรงนี้เป็นเมกาเทรนด์แน่ ๆ แบบในญี่ปุ่นหรือบางประเทศ

แต่สิ่งที่ต้องระวังไว้อย่างหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเห็นคนพูดถึงกันซักเท่าไหร่ก็คือ "โครงสร้างของลักษณะการจ่ายเงินของผู้ป่วยในรพ.เอกชน" ครับ

ต้องเข้าใจนิดหนึ่งครับ ว่าถ้าจะดูที่การเติบโตจากการสร้างรพ.แห่งหนึ่งแล้วค่อย ๆ ทำให้มีคนไข้เข้ามารักษาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั้น กรณีแบบนี้ทำได้ "ไม่ง่าย" นักครับ ผมว่าเติบโตปีละ 10% ก็ถือว่าเก่งแล้วครับ ถ้าเอาแบรนด์เป็นจุดเสริมหาคนไข้ต่างชาติเข้ามา ผมว่าตัวเลขก็คงดีกว่านี้ไม่มากนัก ยังไม่นับว่าจริง ๆ รพ.นี่แหละครับ ยอดผู้ใช้บริการขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ผมเคยคุยกับแพทย์ท่านหนึ่งที่อยู่รพ.เอกชนในยุคปี 40 เค้าบอกว่า รพ.คนไข้น้อยมาก ดูสิ้นหวังมากครับ

ถ้าเราย้อนไปดู ผมว่ารพ.เอกชนเจ้าใหญ่ ๆ ทุกวันนี้ที่รายได้ดูโตมาก ส่วนหนึ่งเลยเพราะเค้าใช้วิธีซื้อกิจการครับ รวมถึงการควบรวม การซื้อกิจการที่แบรนด์ด้อยกว่า เปลี่ยนเป็นแบรนด์ที่มันดูดีกว่า แต่ทีมหมอยังเป็นชุดเดิม ส่วนค่ารักษานี่ผมไม่แน่ใจว่าจะอัพตามมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้ครับ เป็นกลยุทธที่ทำให้กำไรดูเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างแท้จริง

ถ้าย้อนมาดูเรื่องลักษณะโครงสร้างทางรายได้ที่ผมบอกไป สิ่งที่จะทำให้รพ.ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงจากการที่มีผู้สูงอายุมากขึ้นก็คือ คนไข้กลุ่มที่เรียกกว่ากลุ่มเงินสดครับ หมายถึงควักเงินจ่ายเอง ไม่ได้ใช้ประกันชีวิตหรือสิทธิ์การรักษาอย่างอื่น ๆ

ที่ผมต้องบอกอย่างน้้นก็เพราะว่าทุกวันนี้โครงสร้างทางรายได้ของรพ.แต่ละโรงมันมีความแตกต่างกันครับ บางรพ.เน้นกลุ่มคนไข้ประกันสังคม บัตรทอง ซึ่งตรงนี้มาร์จิ้นต่ำ เน้นการบริหารต้นทุน เพราะได้เงินจากรัฐมาก้อนใหญ่ แต่ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เงินเหลือ

บางรพ.สัดส่วนคนไข้กลุ่มที่เบิกค่ารักษาจากประกันชีวิตกับเงินสด สัดส่วนใกล้เคียงกัน ซึ่งในส่วนของกลุ่มประกันชีวิตนั้น ส่วนหนึ่งเป็นประกันที่ทำส่วนตัว แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งก็ใหญ่ไม่แพ้กันก็คือประกันกลุ่มที่มาจากบ.ต่าง ๆ ที่คุ้มครองพนักงาน ซึ่งทำให้คนไข้จำนวนไม่น้อย ใช้สิทธิ์ประกันตรงนี้แทนที่จะเป็นพวกบัตรทอง ประกันสังคม

นั่นก็แปลว่าสิทธิตรงนี้มันมีความไม่แน่นอนอยู่ครับ เช่นถ้าย้ายที่ทำงานเค้าอาจจะไม่มีสิทธิ์ตรงนี้แล้ว กลายเป็นประกันสังคม แนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปรพ.อื่นก็มีครับ หรือแม้แต่ประกันส่วนตัว ถ้าวันหนึ่งจ่ายไม่ไหว หรือประกันครอบคลุมโรคค่าใช้จ่ายสูงไม่ได้ สุดท้ายก็ไปรพ.รัฐหรือกลับไปใช้สิทธิ์ขั้นพื้นฐานคือ บัตรทองและประกันสังคมครับ

ผมเข้าใจว่าการที่เศรษฐกิจดีขึ้น ธุรกิจต่าง ๆ ก็ยอมควักเงินทำประกันให้พนักงานด้วยเช่นกันครับ หรือบางบ.ก็มีงบตรงนี้ให้พนักงานไปเลยซึ่งก็มักจะเป็นบ.ใหญ่ ๆ บางบ.ก็ใช้สองอย่างเพื่อลดความเสี่ยง

ถ้าย้อนกลับมาดู คนที่จะเดินเข้ารพ.เอกชนแล้วจ่ายเงินได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งสิทธิ์การรักษาต้องเป็นคนที่ "มีเงินเก็บ" พอสมควร เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว ผมว่ากว่าครึ่งถ้าเจอความเจ็บป่วยที่รุนแรงและใช้ค่าใช้จ่ายสูงมากจริง ๆ มัก "สู้ไม่ไหว" ครับ ยกตัวอย่างเช่นต้องนอน ICU ซึ่งค่าใช้จ่ายตกวันละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท ถ้าต้องยาวนานต่อเนื่องและสิทธิ์ที่ครอบคลุมอยู่ไม่พอ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะต้องขอไปรักษาตามสิทธิขั้นพื้นฐานครับ

ซึ่งถ้าย้อนกลับมาดูอีกครั้ง จะเห็นว่ากลุ่มคนสูงอายุโดยเฉพาะที่อายุเกิน 70 ปี นี่แหละครับ คือกลุ่มที่มีความเสี่ยง เสี่ยงที่จะมีค่าใช้จ้ายที่สูง และที่สำคัญเสี่ยงที่จะไม่มีสิทธิ์อะไรอย่างอื่นนอกจากสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน ในกรณีที่เงินเก็บมีไม่มาก เพราะในกรณีประกันชีวิต ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยครอบคลุมอายุที่เกิน 70 ยกเว้นจ่ายเบี้ยมากจริง หรือประกันสังคมซึ่งผมว่าก็ยังไม่น่าจะครอบคลุมนานขนาดนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ ๆ ก็คือ ในอนาคต รพ.รัฐมีคนไข้เยอะขึ้นแน่ ๆ ครับ ด้วยเหตุผลว่า คนสูงอายุไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเงินก็ต้องไปรพ.รัฐ เพราะถ้ามีเงินค่าใช้จ่ายก็ต่ำกว่า เพียงแต่ต้องทนกับคนไข้ที่เยอะกว่า ถ้าไม่มีเงินก็ใช้สิทธิข้าราชการ บัตรทอง

ส่วนรพ.เอกชน การเติบโตก็คงยังมีครับ เพราะถ้าโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่รุนแรง คนก็ยังอยากไป แต่จะโตมาก ๆ เลยนั้นผมยอมรับว่าไม่แน่ใจ ยกเว้นว่าคนไทย "โดยรวม" รวยขึ้นมาก เงินเก็บเยอะมาก แต่การที่คนไทยมีแนวโน้มมีลูกลดลง บางครั้งมันก็อาจจะมีผลถ้าตัวหารค่าใช้จ่ายด้านการเจ็บป่วยของพ่อแม่ก็ลดลงตาม

แต่อย่างน้อยถ้าการลงทุนของรพ.เอกชนลดลง ค่าเสื่อมถูกตัดออกน้อยลง EPS ก็คงดีขึ้นในอนาคต แต่ PE จะยืนที่จุดสูง ๆ แบบเดิมหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง

สิ่งที่อาจจะเป็นตัวเร่งให้รพ.เอกชนโตได้ ผมมองว่าต้องเป็นนโยบายระดับใหญ่ ๆ เลยครับ เช่น

1) ยกเลิกบัตรทอง ให้คนไทยทำประกันชีวิต ซึ่งก็แน่นอนว่าจะไปรพ.รัฐหรือเอกชนก็ได้ ซึ่งผมว่าคงเกิดขึ้นได้ยาก
2) คนที่มีสิทธิ์การรักษาอื่น เช่น ข้าราชการ สามารถไปรักษาที่รพ.เอกชนได้ และเบิกได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้ แต่รพ.เอกชนหลายแห่งมองว่าไม่ค่อยคุ้ม เนื่องจากการเบิกเป็นราคากลาง รพ.ห้าดาวค่ารักษาแพงกว่าราคากลางมาก

สิ่งที่อาจจะเป็นตัวถ่วง

1) บุคลากรขาดแคลน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งตรงนี้มันก็เริ่มเกิดขึ้นแล้วนะครับ
2) แนวโน้มการฟ้องร้องสูงขึ้น ทำให้มีการตรวจมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการมารพ.ของคนไข้สูงขึ้น

มองอีกมุมหนึ่ง ยิ่งรพ.เอกชนโตมาก รพ.รัฐอาจจะแย่ลงเพราะบุคลากรสมองไหล

มองอีกมุมหนึ่ง รพ.เอกชนโตขึ้น แต่ผู้ใช้บริการอาจจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น ไม่ใช่เป็นลักษณะของ economy of scale แบบธุรกิจอื่น ๆ

ที่ต้องระวังคือ กับดักเรื่องความรู้สึกของรายได้ที่โตขึ้นมากของหุ้นในกลุ่มนี้ จากการซื้อและควบรวมกิจการ ซึ่งถ้าเมื่อไหร่หยุดซื้อ รายได้จะไม่โตก้าวกระโดดแบบเดิม

ที่ต้องระวังอีกเรื่องหนึ่งก็คือ "ค่าพรีเมี่ยม" ที่ตลาดให้กับหุ้นกลุ่มนี้ ถ้าวันหนึ่งค่าพรีเมี่ยมนั้นลดลง เช่นมุมมองว่าอุตสาหกรรมนี้ไม่โตแบบก้าวกระโดดแบบเมื่อก่อน

บางครั้งอาจจะทำให้เราได้หุ้นดี แต่ไม่ใช่การลงทุนที่ดีครับ โดยเฉพาะการซื้อหุ้นที่ราคาสูงครับ
ขอบคุณพี่ leky สำหรับมุมมองธุรกิจโรงพยาบาล ครับ
ผมคุ้นๆว่า ปีเตอร์ ลินช์ ก็ชอบลงทุนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเหมือนกัน ใช่รึเปล่านะครับพี่
(แต่ลุงแก ก็คงชอบทุกตัว ที่มัน Growth ได้)
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1751

โพสต์

เรามาช่วยกันหน่อยดีมั๊ยครับ

ขอคนละตัวหุ้นที่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็น

ซุปเปอร์สต๊อกในอีกห้าถึงสิบปีข้างหน้า

ผิดถูกไม่ว่ากัน
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1752

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:เรามาช่วยกันหน่อยดีมั๊ยครับ

ขอคนละตัวหุ้นที่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็น

ซุปเปอร์สต๊อกในอีกห้าถึงสิบปีข้างหน้า

ผิดถูกไม่ว่ากัน
เป็นข้อเสนอที่ท้าทายสุดๆ ไปเลยครับ
ผู้น้อยขอยืนแอบฟังอยู่หลังเสานะครับ ยอมรับตามตรงว่ามือไม่ถึงครับ :oops:
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1753

โพสต์

ดำ เขียน:
Nevercry.boy เขียน:เรามาช่วยกันหน่อยดีมั๊ยครับ

ขอคนละตัวหุ้นที่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็น

ซุปเปอร์สต๊อกในอีกห้าถึงสิบปีข้างหน้า

ผิดถูกไม่ว่ากัน
เป็นข้อเสนอที่ท้าทายสุดๆ ไปเลยครับ
ผู้น้อยขอยืนแอบฟังอยู่หลังเสานะครับ ยอมรับตามตรงว่ามือไม่ถึงครับ :oops:
เรามาสร้างตระแกรงกันก่อนมั๊ยศิษย์พี่ แล้วค่อยร่อน
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1754

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:เรามาสร้างตระแกรงกันก่อนมั๊ยศิษย์พี่ แล้วค่อยร่อน
ที่จริงก็แอบไปคิดตามอยู่เหมือนกันนะครับ Super Stock ระยะยาวเนี่ย ว่ามีตัวไหนในโพยเราที่พอจะเข้าข่ายรึเปล่า อิอิ

แต่กลัวจะเป็นเหมือนนักเตะอบต. มาเตะโชว์ให้บาร์ซ่า มาดริด ดูดิครับ :oops:
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1755

โพสต์

เลือกตะแกรงนี่พอไหวครับ ลองเริ่มคิดเล่นๆ ก่อน

- น่าจะเป็นหุ้นค่อนข้างโนเนม เพื่อให้มีแต้มต่อด้านราคาพอควร + ยังไม่สะท้อนประสิทธิภาพตลาด

- ขนาดธุรกิจค่อนข้างเล็กเทียบกับขนาดตลาด และตลาดรวมต้องมีโอกาสขยายใหญ่ขึ้นได้อีกมากๆ จะดีมากถ้ามีตลาด AEC เป็นกลุ่มเป้าหมายในอนาคต

- เป็นธุรกิจที่ขยายได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องอาศัยเงินลงทุนมากๆ

- เป็นธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากขนาด ยิ่งขยาย อัตรากำไรยิ่งโต

- ยิ่งโตยิ่งได้เปรียบคู่แข่งขึ้นเรื่อยๆ

- ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการเงินอย่างเหมาะสม เพื่อให้เงินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

- โครงสร้างผู้ถือหุ้นมี Free Float พอประมาณ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1756

โพสต์

เพิ่มเติมครับ

- ผู้ถือหุ้นใหญ่ควรเป็นผู้บริหารด้วย และมีทัศนคติคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ที่สำคัญมีความซื่อสัตย์ และใช้ประโยชน์จากสื่อให้เป็น

- ธุรกิจไม่ขึ้นกับปัจจัยภายนอกหรือภาวะเศรษฐกิจมากนัก


เท่าที่ลองไล่ดูหุ้นในโพยของตัวเองตอนนี้ มีแค่ตัวเดียวเองที่พอจะมีลุ้นถ้ามีพัฒนาการภายใน 1-2 ปีจากนี้ให้เห็นได้ชัดเจนก่อนครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1757

โพสต์

ผมเอา criteria กลาง ๆ มาให้ดูนะครับ
เอาคุณสมบัติก่อนของหุ้นและนักลงทุนในกลุ่มนี้

1. growth stocks are companies that grow substantially faster than others.
2. growth investors buy companies that are trading higher than their current intrinsic worth - but this is done with the belief that the companies' intrinsic worth will grow and therefore exceed their current valuation.

สำหรับเกณฑ์กลั่นกรองเบื้องต้นคือ

1. Strong Historical Earnings Growth? ประเด็นนี้จะเป็นปัญหาข้อจำกัดของ growth stock ที่เพิ่งเริ่มเพราะขาดประวัติผลงานในอดีตย้อนหลัง แต่หากเป็น growth stock ที่มี runway ยาวนานไปอีกไกลเพราะอยู่ในคลื่น megatrend ก็ไม่เป็นปัญหาซื้อตรงไหน ก็อยู่ในช่วงที่โตอยู่

2. Strong Forward Earnings Growth? projected five-year growth rate of at least 10-12%, although 15% or more is ideal. ขึ้นอยู่กลับขนาด และ stages of industry growth ตรงนี้ต้องอาศัยความรู้ในอุตสาหกรรมจึงจะวิเคราะห์ภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมและของบริษัทได้ออก เพราะต้องพยากรณ์อนาคตได้ คาดการณ์ได้ด้วย

3. Is Management Controlling Costs and Revenues? focuses specifically on pre-tax profit margins หมายความว่า กำไรและยอดขายจะโตไปด้วยกันในอนาคตได้ บริษัทต้องมีความสามารถในการสร้างความได้เปรียบการแข่งขัน ในการสร้างรายได้ และควบคุมต้นทุนได้มีประสิทธิภาพ มี economy of scale และ economy of scope นั้นเอง ทำให้มี margin สูงกว่าคู่แข่งขัน ซึ่งต้องดูผลงานอย่างน้อย 5 ปี
4.Can Management Operate the Business Efficiently? ซึ่งเราจะดูผ่านความสามารถในการบริหารผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้นคือ roe โดย roe ต้องสม่ำเสมอและสูงกว่าคู่แข่งขันไม่น้อยกว่า 5 ปี

5. Can the Stock Price Double in Five Years อันนี้สำคัญ หมายความว่าในระยะยาว ราคาหุ้นต้องสะท้อนกำไรที่เติบโตด้วย อย่างน้อยเท่าตัวใน 5 ปี เพราะตรรกะคือ
remember that with a growth rate of 10%, a stock's price would double in seven years. So the rate growth investors are seeking is 15% per annum, which yields a doubling in price in five years

รายละเอียดเพิ่มเติมครับ
http://www.investopedia.com/university/ ... cking4.asp
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1758

โพสต์

พอเราได้ criteria แล้ว เราก็ลองให้คะแนน เช่น 1-10 ใน criteria ดังกล่าว และมีเหตุผลอย่างไร มีข้อมูลสนับสนุนหรือไม่ หรือเป็นการใช้คว่ามเห็นในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เราเห็นจดแข็งและจุดอ่อน ของ growth stock ดังกล่าว เพื่อประเมินคุณภาพกับราคาที่เหมาะสมของแต่ละคนได้ครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1759

โพสต์

ผมว่าโจทย์หินมากครับ :D

ถ้าหาได้อาจจะ "รวยทั้งห้อง" :cheers: :cheers: :cheers:

ประเด็นมันอยู่ที่ว่าหุ้นที่อยู่ในตลาดเมืองไทย ส่วนใหญ่เลยมันค่อนข้างอิงกับสภาวะเศรษฐกิจ บางตัวก็เป็นสินค้าคอมโม บางทีกำไรในบางปีก็อาจจะตกลงไปบ้าง ถ้าจะยึดตาม criteria ตามที่คุณ chaitorn บอกจะเหลือหุ้นน้อยลงมาก ซึ่งบางตัวที่โดนตัดออกไปก็อาจจะยังเป็นหุ้นที่ดี

หุ้นที่ผ่านด่านอรหันต์มาได้ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ราคา ณ วันนี้ จะซื้อได้หรือไม่ หมายถึงว่าจะได้ของถูก หรือของราคาเหมาะสม หรือยังเป็นของแพง

ยังไงเดี๋ยวต้องลองหาดูครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1760

โพสต์

ขออภัยครับ ไม่ได้ใช้เว็บโพสต์รูปนานแล้ว อาจจะดูลำบากหน่อย

ตัวนี้น่าจะพอไหว แต่ปีนี้อาจจะตกลงไปบ้าง แต่ราคาหุ้นก็ลงมาพอสมควรครับ

ถ้าจะเอาแบบที่คุณ chaitorn บอกว่าราคาต้องขึ้นไป 1 เท่าใน 3-5 ปี ในความเห็นส่วนตัวก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ เพราะราคาหุ้นก็ลงมาจากตรงใกล้ ๆ แถวนั้น

น่าคิคครับ :D
งวดงบการเงิน
ณ วันที่ งบปี 54
31/12/2554 งบปี 55
31/12/2555 งบปี 56
31/12/2556 งบปี 57
31/12/2557 ไตรมาส2/58
30/06/2558
บัญชีทางการเงินที่สำคัญ
สินทรัพย์รวม 20,678.00 25,801.00 35,941.68 44,312.82 45,589.88
หนี้สินรวม 12,556.71 15,941.10 23,225.30 28,611.19 29,292.17
ส่วนของผู้ถือหุ้น 8,121.29 9,859.89 12,716.38 15,701.62 16,297.70
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว 5,836.72 7,041.43 9,589.55 12,329.32 13,151.20
รายได้รวม 30,502.43 36,969.30 42,830.23 51,208.59 27,215.29
กำไรสุทธิ 2,005.36 2,679.47 3,068.48 3,313.33 1,553.86
กำไรต่อหุ้น (บาท) 0.34 0.38 0.32 0.27 0.12
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ
ROA(%) 16.34 15.61 13.39 11.51 11.10
ROE(%) 27.93 29.80 27.18 23.32 22.05
อัตรากำไรสุทธิ(%) 6.57 7.25 7.16 6.47 5.71
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1761

โพสต์

ตัวนี้ไม่เป๊ะ ซะทีเดียวแต่ตัวเลขหลายอย่างก็น่าสนใจ เคยดูห่าง ๆ นะ เผลอแป๊บเดียว มันไปไกลกว่าที่เราเคยดู
งวดงบการเงิน
ณ วันที่ งบปี 55
31/12/2555 งบปี 56
31/12/2556 งบปี 57
31/12/2557 ไตรมาส1/58
31/03/2558
บัญชีทางการเงินที่สำคัญ
สินทรัพย์รวม 701.36 731.51 777.18 854.21
หนี้สินรวม 128.67 107.57 82.64 93.12
ส่วนของผู้ถือหุ้น 572.68 623.92 694.54 757.80
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว 200.00 200.00 200.00 200.00
รายได้รวม 788.96 889.96 1,014.30 318.14
กำไรสุทธิ 93.52 129.63 148.41 62.16
กำไรต่อหุ้น (บาท) 0.66 0.65 0.74 0.31
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ
ROA(%) 21.14 22.31 23.01 25.46
ROE(%) 22.32 21.67 22.51 24.65
อัตรากำไรสุทธิ(%) 11.85 14.57 14.63 19.54
ค่าสถิติสำคัญ
ณ วันที่ 28/12/2555 27/12/2556 30/12/2557 28/07/2558
ราคาล่าสุด(บาท) 8.65 6.20 8.25 12.40
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 1,730.00 1,240.00 1,650.00 3,113.21
วันที่ของงบการเงินที่ใช้คำนวณค่าสถิติ 30/09/2555 30/09/2556 30/09/2557 31/03/2558
P/E (เท่า) 19.75 10.62 12.01 17.82
P/BV (เท่า) N/A 2.10 2.50 4.11
มูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น (บาท) N.A. 2.96 3.30 3.37
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน(%) N/A 4.03 4.24 2.18
"Become a risk taker, not a risk maker"
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1762

โพสต์

ขอร่วมสนุกด้วยคนครับ 555
ผมเจอ 2 ตัวที่เข้าข่ายครับอยู่ในกลุ่ม........ Mega trend ด้วย
บางครั้งหากมองระยะสั้น ๆ ก็อาจหลุดรอดสายตาไปบ้าง 555 เพราะบางช่วงเป็นช่วงต่อ S-curve เพื่อโตต่อจากการขยายสาขา จากการปรับปรุง Product ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่ม Margin จากการพัฒนาศูนย์จำหน่ายเพิ่มเติม เป็นต้น
ผมจะทำการเปรียบเทียบกันเพื่อให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน โดยใช้ข้อมูลรายปี 2010 ถึง 2014 นะครับ เพื่อให้เห็นการเปรียบเทียบเป็นรายปีต่อเนื่องกันได้
1. Strong Historical Earnings Growth ตัวแรก Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 1,881 ล้านบาท มาเป็น 4,884 ล้านบาท กำไรโต 159.65% เฉลี่ยปีละ 51.93%
แต่ตัวที่สอง Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 2,816 ล้านบาท มาเป็น 7,234 ล้านบาท กำไรโต 156.89% เฉลี่ยปีละ 51.38%
ข้อแรก ผ่านเกณฑ์ทั้งคู่ได้คะแนนเต็ม 10 คะแนน
2. Strong Forward Earnings Growth ดูจากข้อมูลในอดีตแล้ว ในอีก 5 ปีข้างหน้า ตัวแรกผมก็ยังคิดว่าน่าจะโตได้ในระดับ 15% ได้ เพราะยังมีการลงทุนขยายสาขาออกไปภูมิภาค และมีรูปแบบการขยายสาขา 4 แบบพอควร มีการทำ Model ใหม่สาขาใหม่ที่ขนาดเล็กลง เจาะกลุ่มลูกค้าที่มี Margin สูงขึ้นเพื่อแก้ไขจุดอ่อน มีการลดต้นทุนการดำเนินการลงตามโครงการลงทุนต่าง ๆ ตัวที่สอง ก็น่าจะทำได้ เพราะมีความสามารถในการบริหารอัตรากำไรและลดค่าใช้จ่ายได้ดีมาก และยังมีการขยายสาขารูปแบบใหม่ ๆ ที่มีขนาดเล็กลง ผ่านปั้มน้ำมันต่าง ๆ มากขึ้น เป็นต้น
ข้อสอง ผ่านเกณฑ์ทั้งคู่ได้คะแนนเต็ม 10 คะแนนเช่นกัน
3. Is Management Controlling Costs and Revenues? focuses specifically on pre-tax profit margins ผมดูผ่าน 3 ตัวเลข Ratio ที่สำคัญเพื่อลด Bias
Ratio ค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ตัวแรกปรับตัวสูงขึ้นจาก 6.40% เป็น 6.65% โตใน 5 ปี 0.25% เหตุผลเพราะมีการพัฒนา Model ใหม่ ๆ ตามที่เล่าให้ฟัง ในขณะที่ตัวสองทำได้ดีมาก เนื่องจากในอดีตไป Takeover คู่แข่งขันมาได้ ทำให้มี Room ในการปรับลดค่าใช้จ่ายจากการทำ Synergy ร่วมกันมากขึ้น ค่าใช้จ่ายจากรายได้จาก 17.64% ลงมาเหลือ 16.61% หรือลดลง 1.03%
Ratio การเติบโตของรายได้ ตัวแรกปรับตัวจาก 88,663 ล้านบาท ขึ้นไปเป็น 142,531 ล้านบาท โต 60.76% เฉลี่ยโตปีละ 12.152% ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ขณะที่ตัวสอง รายได้โตจาก 93,609 ล้านบาท เป็น 138,964 ล้านบาท โต 53.37% เฉลี่ยปีละ 10.674% ผ่านเกณฑ์เช่นกัน
Ratio ถัดไปคือ กำไรขั้นต้น ตัวแรกปรับตัวดีขึ้นจาก 9.12% มาเป็น 10.62% ดีขึ้น 1.5% ขณะที่ตัวสอง ปรับตัวดีขึ้นมากจาก 10.90% มาเป็น 21.04% ดีขึ้นถึง 10.14% เกือบเท่าหนึ่ง
ดูแล้ว ตัวสองทำได้ดีกว่ามาก ข้อนี้ ตัวสอง ได้ 10 คะแนน ตัวแรกได้ 8 คะแนน แต่แนวโน้มการปรับปรุงนั้น ผมคิดว่าตัวแรกจะมี Room ที่ปรับปรุงได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมาจากฐานที่ต่ำกว่า ขณะที่ตัวสอง แนวโน้มการรักษาระดับการทำกำไรขั้นต้น น่าจะยากลำบากมากขึ้นเพราะอยู่ในระดับที่สูงพอควร
4. Can Management Operate the Business Efficiently ดูผ่าน ROE
ตัวแรก โตจาก 21% มาเป็น 41.04% สูงขึ้น 20.04% สุดยอดมาก ๆ โตเท่าหนึ่ง ในขณะที่ตัวสองโตจาก 14.67% มาเป็น 18.28% หรือสูงขึ้น 3.61% ดังนั้น การเติบโตของผลกำไรของตัวแรกก็คือ หากสามารถปรับปรุงการเพิ่มเร่งยอดขายเพิ่มราคาและ ลดค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มMargin ได้อีก จะทำให้กำไรจะโตสูงขึ้นจากอัตราเร่งของ ROE ที่ดีกว่า ประกอบกับ ตัวแรกเริ่มมีการใช้เงินกู้จาก D/E 0.15% มาเป็น 0.44% จะทำให้ได้ประโยชน์จากการ Leverage เงินกู้มาช่วยในการขยายงานโดยไม่ทำให้ต้นทุนเงินทุน Wacc แย่ลง เพราะผลตอบแทนที่เข้ามาใหม่ สูงกว่าต้นทุนการกู้มาก ในขณะที่ตัวสอง Conservative กว่า จากเดิมไม่มีหนี้เงินกู้ แต่มากู้มากขึ้นเพื่อมา Takeover คู่แข่งขัน ทำให้ D/E สูงขึ้นไปถึง 1.55% เพิ่งทะยอดลดลงเหลือ 0.26% ครับ
ประสิทธิภาพด้านนี้ ตัวแรกได้ 10 คะแนน ตัวสองได้ 7 คะแนนนะครับ
5. Can the Stock Price Double in Five Years ตรงนี้สำคัญมาก ตัวแรก ราคาหุ้นที่ปรับฐานแล้ว จาก 5 ปีที่แล้วอยู่ที่ 8.5 บาทต่อหุ้น มาเป็น 36.25 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 326.47% หรือ 3 เด้งกว่า ๆ ใน 5 ปี ในขณะที่ตัวสูง ราคาอยู่ที่ 90.75 บาทต่อหุ้น ขึ้นมาเป็น 237 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 161.16% หรือ 1 เด้งครึ่งตัวสองมีการเพิ่มทุนด้วยทำให้มี Dilution Effect ส่วนหนึ่งครับ ข้อนี้ผ่านเกณฑ์ทั้งคู่ครับ ได้คะแนนเต็ม 10 คะแนนทั้งคู่
สรุปแล้ว ทั้ง 2 ตัวผ่านเกณฑ์ทั้งคู่นะครับ คะแนนใกล้เคียงกันมาก ๆ ก็อยู่ที่ราคาที่เหมาะสมว่าตัวใดจะน่าสนใจกว่ากันครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1763

โพสต์

คุณ chaitorn ครับ สุดดดดยอดดดครับ

:cheers: :cheers: :cheers:
"Become a risk taker, not a risk maker"
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1764

โพสต์

1. Strong Historical Earnings Growth ตัวแรก Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 1,881 ล้านบาท มาเป็น 4,884 ล้านบาท กำไรโต 159.65% เฉลี่ยปีละ 51.93%
แต่ตัวที่สอง Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 2,816 ล้านบาท มาเป็น 7,234 ล้านบาท กำไรโต 156.89% เฉลี่ยปีละ 51.38%
ขออภัยพิมพ์ผิด
1. Strong Historical Earnings Growth ตัวแรก Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 1,881 ล้านบาท มาเป็น 4,884 ล้านบาท กำไรโต 159.65% เฉลี่ยปีละ 39.91% โตใน ๔ ปี
แต่ตัวที่สอง Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 2,816 ล้านบาท มาเป็น 7,234 ล้านบาท กำไรโต 156.89% เฉลี่ยปีละ 39.22% โตใน ๔ ปีเช่นกัน
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1765

โพสต์

แหม มันช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ ครับ

ไว้ผมมาด้วยครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1766

โพสต์

ผมอ่านหนังสือของปีเตอร์ลินซ์กำลังทบทวนอยู่
มีประเด็นการดู growth stock ที่น่าสนใจคือ
เช่น ช่วง internet boom มาก ๆ จนเราไม่แน่ใจการเติบโตและการทำกำไรในอนาคต เป็นสิ่งที่ทำให้ อ. warren buffett ไม่ค่อยสนใจหุ้นพวกเทคโนโลยี เพราะคาดการณ์ลำบากในอนาคต เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ปีเตอร์ลินซ์จึงให้มองธุรกิจรอบข้างแทนก็ได้

ตัวอย่างเช่น หาก internet boom มาก อาจมีธุรกิจที่ใช้ internet มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนโดยเอา it มาใช้มากขึ้น บริษัทที่ออกแบบและติดตั้งจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของinternet เป็นต้น

เป็นธุรกิจที่ใช้ internet เปิดช่องทางการขายใหม่ ๆ เช่น geico เอามาใช้เปิดช่องทางการขายประกัน เป็นต้น

เป็นธุรกิจออกแบบ software application ที่ได้รับความนิยม เช่น window ของไมโครซอฟท์ แม้ธุรกิจ hardware จะแข่งขันตัดราคามาก ทำให้ขายได้มาก แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ต้องใช้ os มาจัดการ บริษัทที่ทำ้เรื่องนี้ได้ดีก็จะได้ประโยชน์มาก เป็นต้น

ธุรกิจที่เติบโตจึงอาจอยู่ที่กิจการรอบข้างกับธุรกิจที่เติบโตโดดเด่น แต่แข่งขันรุนแรงมากจนอาจคาดเดาผู้ชนะได้ยาก และอาจจะมีความเสี่ยงในการลงทุนและยังไม่มีกำไรให้เห็นชัดเจน หรือกำไรแนวโน้มอาจลดลงด้วย ทางเลือกเราอาจเลือกธุรกิจอื่นที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจที่เราสนใจก็ได้นะครับ

Tv digital ผมเห็น psi โตเอาโตเอา เป็นต้น ระบบขนส่งรถไฟฟ้า อสังหาที่ใกล้กับรถไฟฟ้าก็บูมตามมา รถไฟรางคู่ ทำให้การขนส่งทางรางมีประสิทธิภาพขึ้น เราอาจเห็นการขนย้ายสินค้าอาหารที่ได้รับความนิยมเคลื่อนย้ายดีขึ้น สายการบิน low cost ทำให้การท่องเที่ยวบูมขึ้น พลังงานทดแทน ธุรกิจที่เอาของเสียมาเป็นวัตถุดิบได้ประโยชน์มากขึ้นเพราะต้นทุนต่ำมาก เป็นต้น

ดังนั้นเราอย่าลืมมอง supply chain ที่เกี่ยวข้องด้วย เราอาจเจอกับหุ้น growth stock ได้เช่นกันครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1767

โพสต์

เดาหุ้นกันมันส์ล่ะทีนี้

ใครเดาถูก ไปทำการบ้านต่อ มีแจ๊กพ็อตแตกกันมั่งล่ะ :mrgreen:
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1768

โพสต์

ตอนขับรถผมนั่งคิดไปตลอดว่าสองตัวนี้คือหุ้นตัวไหน

มาถึงตอนนี้ผมค่อนข้างจะมั่นใจเกือบ 100% จริงอย่างที่คุณ chaitorn ว่าครับ มันเป็น S curve และดูสะดุดไปจริง ๆ

ตัวที่สองนี่ ผมไปใช้บริหารบ่อยครับ เห็นอาการสะดุดมาได้พักใหญ่ ๆ แล้ว แต่ก่อนแจกคูปองส่วนลด คนรีบมาเพราะอยากได้คูปอง รวมถึงผมด้วยเพราะไม่เคยแจกมาก่อน ตอนหลังชักแจกถี่ จนผมเข้าใจแล้วว่าเค้าคงต้องการกระตุ้นยอดขายที่มันดูนิ่งลงไป ผลที่ตามมาก็คือ หลัง ๆ ใช้วิธีแจกคูปองก็ดึงคนได้ไม่มากเหมือนเก่า แต่ถี่หนักกว่าเก่า

แต่ดูราคาหุ้นตัวที่สองนี่ ยอมรับว่าหนักไม่น้อย จนชักจะไม่แน่ใจจริง ๆ ว่ามันใกล้จะถึงหัวตัว S แล้วหรือเปล่า ตัวเลขอาจจะไม่หวือหวาแบบเมื่อก่อน

ส่วนตัวแรกที่ราคามันกระชากขึ้นมาก ก็เพราะราคาของดีลด้วย แต่กำไรก็ดีขึ้นจริง ๆ ตัวนี้เคยได้ยินคุณ NB พูดถึง อาจจะเป็นหุ้นที่คุณ NB น่าจะรู้จักดีครับ ล่าสุดเหมือนเค้าจะปล่อยหุ้นออกมาบ้าง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องครับ

คำใบ้

1) ไม่มีถุง

2) ถุงเขียว

:D
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1769

โพสต์

ไม่มีใครสน ALDI LIDL เมืองไทย บ้างหรอคับ ;p
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1770

โพสต์

พูดถึงเมกาเทรนด์ มันอาจจะไม่เกี่ยวกับ super stock นะครับ

เพียงแต่มีหุ้นตัวหนึ่งที่ทำผลิตภัณฑ์ตัวนี้ แต่ผมคิดว่าสัดส่วนของรายได้ส่วนนี้ยังไม่น่าจะมากนัก และยังไม่รู้จริง ๆ ว่าในอนาคตมันจะมีนัยยะมากน้อยแค่ไหน ผลิตภัณฑ์ที่ว่าคือ 3D printer ครับ ผมคิดว่าในอนาคตน่าจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นมาก แต่บ.ที่ผลิตจะได้ประโยชน์หรือแค่ห้ำหั่นราคากันเองหรือเปล่า อันนี้ผมยังไม่แน่ใจครับ

ลองเข้าไปดูตามนี้ครับ

http://www.pwc.com/us/en/technology-for ... ting.jhtml

http://3dprintingsystems.com/10-trends- ... -printing/
"Become a risk taker, not a risk maker"