VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1651

โพสต์

ดำ เขียน:
leky เขียน:แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หุ้นตัวที่ได้กำไรมาก ๆ ส่วนใหญ่เลย ตอนแรกที่ซื้อเราไม่คิดว่ามันจะได้กำไรมากขนาดนั้นนะครับ หลายตัวซื้อไปเราก็คอย monitor ไปเรื่อย ๆ ถ้ายังมีเรื่องดี ๆ กำไรยังดี ๆ ก็ถือดูต่อไปเรื่อย ๆ
แล้ว อ.พอจะมองเห็นจุดร่วมของหุ้นแต่ละตัวที่เข้าข่ายที่ว่านี้มั้ยครับ ว่ามันคืออะไร

เท่าที่ผมนึกออกจากรายชื่อหุ้นที่ อ.เล่ามา น่าจะเป็น ปันผลใช้ได้ P/E ค่อนข้างต่ำ สภาพคล่องค่อนข้างน้อย และแนวโน้มกำไรในอนาคตใช้ได้ครับ
ถ้าให้ผมพยายามนึกว่า ปัจจัยร่วมของหุ้นพวกนี้ รวมถึงหุ้นที่ได้กำไรมากกว่า 50% คืออะไร ส่วนใหญ่น่าจะหนีไม่พ้นเรื่องตามข้อข้างล่างนี้ครับ

1) ซื้อหุ้นที่ราคาค่อนข้างต่ำ

2) วอลุมการซื้อขาย ณ ที่ราคานั้น มักจะเบาบาง bid offer น้อย บางครั้งถึงขนาดห่าง ๆ ถ้าเป็นหุ้นใหญ่อาจจะเจอปรากฎการณ์นี้ยากหน่อย

3) หุ้นมักจะเจอเรื่องร้าย ๆ อะไรบางอย่าง เช่น หุ้นถังแก๊สที่ออร์เดอร์จากแอฟริกาหายไป, หุ้นสิ่งพิมพ์ที่กำไรจากบ.ลูกไอทีลดลง, หุ้นหลอดไฟกับหุ้นสีรถจักรยานยนต์ที่โดนเรื่องน้ำท่วมเล่นงานทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมตกต่ำ

4) หุ้นต้องมีตัวเร่งกลับ เช่น หุ้นถังแก๊สที่ออร์เดอร์กลับมาเหมือนเดิมพร้อมขยายกำลังการผลิต หุ้นสิ่งพิมพ์ที่มีแสตมป์จากร้านสะดวกซื้อ หุ้นหลอดไฟที่มี LED

จริง ๆ แล้วการใช้เกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งอาจจะบอกอะไรไม่ได้ครับ เช่น PE ในหุ้นบางตัวอาจจะ NA เพราะขาดทุนก็ได้ เพียงแต่ถ้าเรามีอะไรให้อ้างอิงหลายอย่างความเสี่ยงมันก็จะลดลง แม้กระทั่ง yield ก็ทำให้การลงของราคาหุ้นถูกจำกัดลงเพราะคนที่อยากซื้อหุ้นเพราะได้เงินปันผลจะเข้ามารับหุ้น หรือหุ้นบางตัวผบห.ส่งสัญญาณซื้อหนัก บางตัว PB ต่ำกว่า 1

ผมเข้าใจว่าคุณดำเองน่าจะเคยติดตามหุ้นขายสินค้าไอทีที่เป็นบ.ลูกของหุ้นสิ่งพิมพ์

ลองกลับไปย้อนนึกดูถึงตอนที่หุ้นตัวนี้อยู่ที่แถว ๆ ราคา 3 บาทดูครับ จริงอยู่หุ้นเคยลงไปต่ำกว่า 3 บาท แต่ก็ช่วงสั้น ๆ ช่วงก่อนที่จะฟื้นกลับมาจะเห็นได้ว่าวอลุมการซื้อขายต่อวันก็ไม่ได้มากมายนัก และหลาย ๆ ครั้งที่ตลาดลงหนัก ๆ หุ้นก็มักจะยังยืนเหนือ 3 บาทได้ รวมถึงช่วงที่งบออกมายังไม่ดี ก็แทบจะไม่ลงไปมากกว่านี้ กรณีแบบนี้บางครั้งถ้าเราดูตัวเลขบางอย่างมันก็อาจจะตัดสินไม่ได้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1652

โพสต์

อีกประเด็นหนึ่งที่อ. Howard Marks บอกไว้ที่สำคัญก็คือ

การจะเป็นนลท.ชั้นยอด นอกจากจะต้องมีความรู้แล้ว ศิลปะกับจิตวิทยาก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะการตัดสินใจที่แตกต่างจากคนหมู่มาก การอยู่ในสภาพตลาดที่ขึ้นมาก (โลภไม่ขาย) หรือลงมาก (กลัวไม่กล้าซื้อ)

ถ้าเป็นหนังสือของอ.ชาย ค่าย รร.สอนเล่นหุ้น เค้าก็จะบอกว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"

เพราะถ้าเรามีจินตนาการ เราจะพอคาดเดาได้ว่า ภาพในอนาคตของหุ้นตัวนั้นน่าจะเป็นยังไง โดยใช้ข้อมูลในปัจจุบัน การปะติดปะต่อของข้อมูลที่ไม่ชัดเจนแล้วพยายามคาดการณ์เรื่องของอนาคต โดยมีความรู้เป็นพื้นฐานของจินตนาการ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1653

โพสต์

leky เขียน:ผมเข้าใจว่าคุณดำเองน่าจะเคยติดตามหุ้นขายสินค้าไอทีที่เป็นบ.ลูกของหุ้นสิ่งพิมพ์

ลองกลับไปย้อนนึกดูถึงตอนที่หุ้นตัวนี้อยู่ที่แถว ๆ ราคา 3 บาทดูครับ จริงอยู่หุ้นเคยลงไปต่ำกว่า 3 บาท แต่ก็ช่วงสั้น ๆ ช่วงก่อนที่จะฟื้นกลับมาจะเห็นได้ว่าวอลุมการซื้อขายต่อวันก็ไม่ได้มากมายนัก และหลาย ๆ ครั้งที่ตลาดลงหนัก ๆ หุ้นก็มักจะยังยืนเหนือ 3 บาทได้ รวมถึงช่วงที่งบออกมายังไม่ดี ก็แทบจะไม่ลงไปมากกว่านี้ กรณีแบบนี้บางครั้งถ้าเราดูตัวเลขบางอย่างมันก็อาจจะตัดสินไม่ได้ครับ
พูดถึงหุ้นตัวนี้ ก็อยากลองชวน อ.มาร่วมวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์ธุรกิจครับ ที่จริงตอนนั้นผมสนใจหุ้นที่ขายสินค้าไอที เพราะมองว่าอนาคตยังไงก็ขายได้ แต่สนใจที่ทำค้าส่งนะครับ เพราะค้าปลีกท่าจะแย่ แข่งกันขายจนไม่เหลือมาร์จิ้นแล้ว พบว่าในตลาดมีเข้าข่ายน่าสนใจ 2 ตัว โดยที่ทั้ง 2 ตัวใช้กลยุทธ์เพื่อรับมือกับช่วงฟื้นตัวของธุรกิจต่างกัน

ตัวนึง เปลี่ยน CEO ดันรุ่นลูกขึ้นมารับช่วง เน้นทำธุรกิจเดิม แต่เข้ามาจัดการด้านต้นทุนด้านบริหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (ขอไม่รวมถึงการขยายไปตลาดเพื่อนบ้าน กับบ.ลูกที่ทำงานระบบนะครับ เพราะรายได้ยังไม่มีนัยสำคัญ)

ส่วนอีกตัวนึง พยายามเพิ่มรายได้ โดยนำสินค้ายี่ห้อใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด รวมทั้งแตกไปยังธุรกิจใหม่ที่ไม่ค่อยใกล้เคียงกับธุรกิจเดิม
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1654

โพสต์

ขอต่อเรื่องหุ้นไอทีครับ

หลังจากที่ทั้ง 2 บริษัทเลือกกลยุทธ์ที่ต่างกัน ที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นก็สะท้อนต่างกันด้วยครับ

หุ้นตัวที่เลือกขยายตลาด มีสตอรี่ใหม่ๆ ราคาหุ้นช่วงแรกขยับขึ้นสะท้อนความคาดหวังล่วงหน้า จาก 4 บาทต้นๆ วิ่งไป 7 บาท จากนั้นราคาค่อยๆ ร่วงลงมาเรื่อยๆ จนงบ Q1 ออกมาแย่กว่าที่คาด ราคาก็กลับมาที่ 4 บาทต้นๆ อีกครั้ง

ส่วนหุ้นอีกตัวที่เลือกการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ราคาหุ้นช่วงที่ตัวแรกวิ่งแรงๆ ตัวนี้ราคาหงอยมาก แต่พองบ Q1 ออกมาว่าฟื้นตัวได้ดี ราคาก็วิ่งจาก 3 บาทต้นๆ ไปถึงเกือบ 5 บาทเมื่อไม่นานมานี้
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1655

โพสต์

เรื่องนี้สอนให้ผมรู้ว่า

- คำกล่าวที่ว่าราคาหุ้นเป็นตัวสะท้อนอนาคต 3-6 เดือนนั้นไม่จริง ที่จริงคือหลายครั้งราคาหุ้นจะสะท้อนความคาดหวังล่วงหน้า แต่หากสิ่งที่คาดไว้ไม่เป็นจริง ราคาก็พร้อมจะกลับลงมาที่เดิม

- EPS คือเจ้ามือตัวจริง (อย่างที่ท่านนายกโจได้กล่าวไว้) ถึงแม้ว่านักลงทุนจะไม่คาดหวังไว้ล่วงหน้า อาจเนื่องจากผู้บริหารไม่ได้ให้ข้อมูลที่สร้างความตื่นเต้นใดๆ แก่นักลงทุน แต่เมื่อความจริงปรากฏว่ากำไรเติบโต ราคาหุ้นก็จะสะท้อนความเป็นจริงนั้นออกมาในที่สุด
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1656

โพสต์

leky เขียน:ขอนึกก่อนนะครับ เท่าที่จำได้อ. Howard Marks แกพูดไว้อยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญทีเดียวครับ เรื่องการคาดการณ์

1) ภาพใหญ่ เช่น สภาวะเศรษฐกิจ อันนี้คาดการณ์ยากเพราะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง ซึ่งหมายความรวมไปถึงการจับจังหวะของตลาดจากปัจจัยเหล่านี้ อย่าไปยึดติดกับการคาดการณ์เรื่องพวกนี้มากนัก เพราะแม้แต่ผู้รู้ก็อาจจะไม่ได้วิเคราะห์ได้เก่งจริง หมายถึง อาจจะบังเอิญถูกซักครั้ง แต่ผิดมากกว่านั้น

ตรงนี้ทำให้เราตีความไปได้ถึง ความเสี่ยงของภาพใหญ่ ตีความยาก ควบคุมยาก

2) ภาพเล็ก หมายถึง การโฟกัสไปที่ตัวธุรกิจเอง อันนี้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องน้อยกว่า โอกาสถูกต้องมากกว่า ซึ่งนั่นก็ทำให้การควบคุมความเสี่ยงทำได้ง่ายขึ้น
ความเสี่ยงน่าจะหมายถึง อะไรที่คาดการณ์ได้ยาก ขึ้นกับปัจจัยภายนอกมาก ควบคุมได้ยาก ไม่แน่นอนสูง ไม่มีรูปแบบชัดเจน
ดังนั้น การบริหารจัดการความเสี่ยง ก็ต้องเลือกธุรกิจที่ เดาทางได้ ไม่ค่อยขึ้นกับปัจจัยภายนอก ควบคุมได้ง่าย มีรูปแบบซ้ำๆ หรือมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ ใช่มั้ยครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1657

โพสต์

ดำ เขียน: ความเสี่ยงน่าจะหมายถึง อะไรที่คาดการณ์ได้ยาก ขึ้นกับปัจจัยภายนอกมาก ควบคุมได้ยาก ไม่แน่นอนสูง ไม่มีรูปแบบชัดเจน
ดังนั้น การบริหารจัดการความเสี่ยง ก็ต้องเลือกธุรกิจที่ เดาทางได้ ไม่ค่อยขึ้นกับปัจจัยภายนอก ควบคุมได้ง่าย มีรูปแบบซ้ำๆ หรือมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ ใช่มั้ยครับ
จะว่าแบบนั้นก็ได้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1658

โพสต์

พูดถึงหุ้นไอทีสองตัวที่ว่า ผมเองก็ดูห่าง ๆ มาตั้งแต่มันลงมาใหม่ ๆ เลยนะครับ ตั้งแต่เจ้าที่โดนน้ำท่วมแล้วต้องขาดทุนเพราะโทรศัพท์แบล็คเบอร์รี่ ต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ

สิ่งที่ได้เรียนรู้ก็คือ ตอนที่หุ้นลงมาใหม่ ๆ มีนลท.เข้าไปรับเป็นจำนวนไม่น้อยครับ ส่วนหนึ่งเพราะคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องชั่วคราวบ้าง บ้างก็อาจจะมองว่าหุ้นลงมาจากยอดพอสมควร แต่อาจจะลืมมองไปว่าหุ้นก็ขึ้นมาจากฐานมากกว่ามาก

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านมาเรื่อย ๆ ก็คือ อุตสาหกรรมสินค้าไอทีย่ำแย่อย่างแท้จริง คนที่เพิ่งเข้าไปรับตอนหุ้นไหลลงมาส่วนหนึ่งก็ขายตัดขาดทุน หุ้นไหลลงมาเรื่อย ๆ

จะว่าไปแล้ว การที่หุ้นตัวหนึ่งมีราคาที่ต่ำและไม่ค่อยมีการซื้อขาย มันอธิบายได้ว่าคนที่ตัดใจขายตัดขาดทุนได้ขายออกมาเกือบจะหมดแล้ว จะเหลือก็แต่คนที่ยอมติดหุ้นที่ระดับราคาต่าง ๆ ราคาหุ้นที่ต่ำมากเกิดจากไม่ค่อยมีใครอยากจะขายแล้ว ซึ่งในบางครั้งถึงจะมีข่าวร้ายเข้ามาซ้ำเติมหุ้นก็อาจจะไม่ค่อยลง

สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้มาก็คือ หุ้นที่ลงมาต่ำ ๆ ต่อให้ต่ำแค่ไหน ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเร่งให้หุ้นกลับขึ้นไปได้ ก็ไม่ควรซื้อ เพราะเราอาจจะได้หุ้นที่เรียกว่า "ถูกเรื้อรัง" ยกตัวอย่างเช่น หุ้นสิ่งทอที่ชื่อไทยแต่เจ้าของเป็นแขก

หุ้นไอทีที่คุณดำพูดถึงนั้น จะว่าผบห.ไม่ส่งสัญญาณว่าจะฟื้นก็คงไม่ถูกซะทีเดียวครับ ถ้าลองไปอ่านรายงานการประชุมเมื่อต้นปี เค้าเกริ่น ๆ ไว้แล้วครับว่าปีนี้คิดว่าจะดีขึ้น เพียงแต่ไม่ได้บอกตัวเลขให้น่าตื่นเต้นเท่านั้นครับ

แต่ผบห.บ.นี้ค่อนข้างดีครับ บริหารไม่ดีก็ขอโทษขอโพยผถห.ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1659

โพสต์

อ.leky ครับ การวิเคราะห์ว่าราคาหุ้นที่ขึ้นลงนั้นเกิดจากพื้นฐานจริงๆ หรือเป็นเพราะปัจจัยระยะสั้นอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับพื้นฐานนี่แทบจะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายผลตอบแทนการลงทุนเลยนะครับ

ส่วนใหญ่ตอนที่ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่มากเท่าไหร่ ก็มักจะมองกันว่าไม่เกี่ยวกับพื้นฐาน เป็นเรื่องปกติที่ราคาหุ้นจะแกว่งขึ้นลงบ้าง แต่พอราคาเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นๆ ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะลังเลว่าเอ๊ะ! หรือมันมีอะไรที่เราไม่รู้ แต่มีอินไซด์รู้รึเปล่า?

บางคนมีความทนทานสูง ทนจนราคาหุ้นกลับมาสู่ภาวะปกติตามเดิม ไม่ตัดสินใจผิดพลาดไปเหมือนบางคนที่ทนได้น้อยกว่า

แต่อีกมุมนึง ความทนทานสูงแต่ที่จริงพื้นฐานมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ก็กลับกลายเป็นเสียราคา แทนที่จะไหวตัวทันแต่เนิ่นๆ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1660

โพสต์

พอดีคุณดำถามผมเรื่องปัจจัยร่วมที่หุ้นจะขึ้นได้มาก ๆ ที่ผมเคยลงทุนมา

มองในมุมกลับกัน ผมมาคิดว่าแล้วที่ผมผิดพลาดมันมีปัจจัยร่วมอะไรบ้าง เอาเท่าที่ผมนึกออกนะครับ หุ้นส่วนหนึ่งยังคงได้กำไร ส่วนหนึ่งก็ทำให้ขาดทุนจริง ๆ ไปเลย เท่าที่พอจำได้ก็ตามนี้ครับ
หุ้นระบบไอทีที่ไปรับงานรับเหมาอินเตอร์เน็ต ตัวนี้เคยหมายมั่นปั้นมือมาก ซื้อจนมีสัดส่วนเยอะที่สุดในพอร์ต แต่สุดท้าย ทนความผันผวนของกำไรขาดทุนไม่ไหว บวกกับสภาพตลาดที่ไม่เป็นใจ ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง สุดท้ายขายตัดขาดทุน ทั้ง ๆ ที่บ.กำลังรับโครงการอินเตอร์เน็ตของรัฐ บทสรุป หลังจากที่ขายไปเกือบราคาจะ low ในรอบนั้น หุ้นก็ขึ้นไปน่าจะประมาณ 10 เด้ง :wall: :wall: :wall:

ข้อผิดพลาดก็คือ ใจเอนเอียงไปตามสภาวะตลาดมากเกินไป ศึกษาไม่ละเอียด ไม่รู้ว่าโครงการใหม่นี้แหละคือตัวเร่งชั้นดี
หุ้นคอนโดหรูริมน้ำ ตอนที่ซื้อเพราะมองว่ามียอดรอโอนสูง ผถห.ใหม่ซื้อที่ราคาสูงกว่าราคาตลาดมาก ส่วนผบห.รับตรงราคาต่ำกว่านั้นเลยซื้อที่ราคาใกล้ ๆ ผบห. แต่ด้วยตลาดที่ผันผวนหุ้นลงไปเยอะมาก ลบไปประมาณ 30% ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาจากก้นประมาณ 20% ตอนนั้นเกิดอารมณ์อยากเล่นรอบเพราะมองว่าหุ้นเด้งขึ้นมาเยอะ เลยขายออกมาก่อน เพราะเห็นว่าหุ้นมีลักษณะแบบนี้หลายครั้ง คือขึ้นแรง ๆ แล้วปรับฐาน สุดท้ายรอบนี้หุ้นไม่ลงแต่ขึ้นต่อมาเรื่อย ๆ จนเกินราคาทุน การขายเล่นรอบครั้งนี้กลายเป็นขายขาดทุนจริง ๆ :wall: ยังดีที่ผมมีหุ้นตัวนี้ไม่มากนัก และเป็นการขายหุ้นที่ต้องขาดทุน ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจขายขาด ที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายราว ๆ ปีครึ่งมาแล้ว

ข้อผิดพลาดก็คือ จงอย่าคิดเล่นรอบและประวัติศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดิม ๆ
หุ้นลูกถ้วยไฟฟ้า ซื้อที่ราคาค่อนข้างต่ำ เพราะมองว่าบ.ย่อยเพิ่มกำลังการผลิตหอกลั่นน้ำมันปาล์มใหม่ รวมถึงโรงงานลูกถ้วยแห่งใหม่ที่ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างมาก แต่หลังจากนั้นตลาดไม่ดีหุ้นลบไปเกือบ 20% ก่อนจะกลับขึ้นมา พร้อม ๆ กับกำไรของบ.แม่ที่ดีขึ้นเพราะโรงงานแห่งใหม่ หลังจากที่หุ้นขึ้นมาได้ 1 เด้ง ด้วยความที่ว่าได้ข่าวเรื่องน้ำมันปาล์มทำให้คิดว่าบ.อาจจะขาดทุนจากบ.ย่อย เพราะเดิมบ.ย่อยนี้ก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว จึงมีความคิดอยากขายก่อนที่งบจะออกแล้วค่อยกลับไปรับคืน ที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ หลังจากขายไปตอนเช้า ตอนบ่ายหุ้นก็วิ่งอย่างแรง พร้อมกับข่าวบ.จะเอาบ.ย่อยเข้าตลาด บวกกับแผนทางธุรกิจอีกหลายอย่าง จริงอยู่ผมได้กำไร 1 เด้ง แต่ขาดทุนกำไรไป 4-5 เด้ง :wall: :wall: :wall:

ข้อผิดพลาดก็คือ ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเล่นรอบ
หุ้นเฟอร์นิเจอร์เหล็กที่มีข่าวว่าจะทำพลังงาน ตอนนั้นเห็นหุ้นลงมาค่อนข้างมาก อ่านบทวิเคราะห์ของโบรกแห่งหนึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะฟื้น วันที่ตั้งซื้อเข้าไปไม่ได้เช็คว่าบ.ออกงบการเงินวันนี้เลยไม่ได้ยกเลิกออร์เดอร์ทั้ง ๆ ที่งบออกมาไม่ดี สุดท้ายรับหุ้นไปเต็ม ๆ ถือไปถือมายังไม่พบแสงสว่าง วันหนึ่งเลยลองโทรเข้าไปคุยกับ IR เลยทราบข้อเท็จจริงมาว่า ก่อนหน้านี้ที่บ.กำไรดีเพราะงานโครงการจากอุตสาหกรรมพวกเหมืองแร่ เหมืองถ่านหิน แต่ตอนนี้อุตสาหกรรมพวกนี้แย่ตามราคาตลาดโลก ทำให้บ.ได้รับงานน้อยลงไปด้วย พอได้ฟังดังนั้น เลยรู้สึกไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ก็รู้สึกว่า ทำไมเราไม่โทรมาคุยกับเค้าก่อนวะนี่ สุดท้ายหุ้นตัวนี้ขายคัทลอสของจริงเพราะมองว่าพื้นฐานเปลี่ยน แต่เป็นหุ้นที่ต้องขายคัทลอสด้วยเหตุผลที่พื้นฐานไม่เป็นไปอย่างที่คิดตัวล่าสุดที่เกิดขึ้นแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว

ข้อผิดพลาดก็คือ ไม่ศึกษาหุ้นให้ละเอียดเพียงพอ จะว่าไปถ้าเห็นข่าวว่างบออกมาไม่ดีก็ไม่ควรจะตั้งซื้อหุ้นไว้แล้ว
หุ้นโรงแรมราชประสงค์ที่แปลว่าช้าง ตอนนั้นมีกีฬาสีตรงสี่แยกราชประสงค์ รร.โดนปิดไปเป็นเดือน ถือเป็นที่สุดของที่สุด worse case บ.มีแผนรุกรร.ประหยัด ตอนที่ซื้อหุ้นได้ราคาโคตรจะต่ำ 2.2-2.3 บาท แถมยังได้ W ฟรีอีก ตอนแรกว่าจะถืออย่างน้อยซักปี แต่ตอนนั้นมีข่าวการวิเคราะห์เรื่องการเลือกตั้ง ประมาณว่าถ้าพรรคหนึ่งกลับมา ปัญหาจะไม่จบ สุดท้ายด้วยความกลัวตลาดจะแย่เลยขายหุ้นทิ้งหลังพรรค ๆ นั้นได้รับชัยชนะ แต่ผลสุดท้าย ตลาดกลับรับข่าวว่า ข่าวร้ายทางการเมืองได้คลี่คลายไปแล้ว แล้วหุ้นรร.ของผมก็ไม่กลับมารับผมอีกเลย จริงอยู่ผมยังคงได้กำไร แต่ก็เสียโอกาสไปไม่ใช่น้อย :wall: :wall: :wall:

ข้อผิดพลาดก็คือ มันก็เรื่องเดิม ๆ อย่าเล่นรอบ อย่าจับจังหวะตลาด :wall: :wall: :wall:
หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคส์ที่ไม่ได้เล่นคนเดียว ตอนที่ซื้อหุ้น เดิมกำไรของบ.ไม่ค่อยดีนัก เพราะมาร์จิ้นต่ำ แต่มีอยู่ Q นึงที่งบออกมาดีมาก ตอนนั้นก็จินตนาการว่าทั้งปีน่าจะดี บวกกับผบห.อยู่ ๆ มาออก op day ก่อนวันปิดงบไม่กี่วัน พร้อมกับบอกว่า ยอดออร์เดอร์ที่อัพเดทเมื่อคืนดีมาก และเราก็ไม่ได้รับผลกระทบจากสึนามิที่ญี่ปุ่น วันที่งบออกตอนเช้าราคาหุ้นขยับขึ้นไป ตอนนั้นมโนไปเองว่าสงสัยข้อสอบรั่วงบน่าจะออกมาดี ก็ผบห.เค้าบอกมาแบบนั้น สุดท้ายก็เลยไล่ราคากับเค้าด้วย พอบ่ายงบออกกลายเป็นหน้ามือเป็นหลังตีน บ.ขาดทุนซะงั้น หลังจากนั้นหุ้นก็ค่อย ๆ ซึมลงเรื่อย ๆ จบที่การคัทลอส ขาดทุนค่อนข้างมาก

ข้อผิดพลาดก็คือ จงอย่าเชื่อลมปากของผบห.มากจนเกินไป และการไล่ราคาหุ้นที่ขึ้นไปสูง ถ้าสิ่งที่ออกมาไม่เป็นไปอย่างที่คิด ศรนั้นก็จะย้อนมาเล่นงานตัวเราเอง จำไว้ MOS MOS MOS

จะว่าไปพัฒนาการที่เกิดขึ้นกับตัวผมในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็คือ ความคิดเรื่องการพยายามเล่นรอบหรือจับจังหวะตลาดหายไปค่อนข้างมาก จำนวนตัวหุ้นที่มีการซื้อขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สังเกตได้ว่าใบเสร็จจากโบรกน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

ปรัชญาการลงทุนที่เน้นป้องการการขาดทุน ให้ความสำคัญกับ downside เป็นอันดับแรก ทำให้บางครั้งแม้ว่าพื้นฐานของหุ้นจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด แต่บางครั้งก็ยังสามารถทำกำไรกับหุ้นตัวนั้นได้ในระดับ 10-20% เนื่องจากโดนภาพรวมของตลาดดึงขึ้นไป

ทุกวันนี้มีหุ้นที่ถือว่าติดอยู่บ้าง แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนไม่มากนัก บางตัวก็ยังจ่ายเงินปันผลในระดับ 3-4% ราคาหุ้นนิ่ง ๆ ไม่ค่อยไปไหน

ส่วนสิ่งที่อยากจะพัฒนาขึ้นไปอีก ไม่ได้เน้นที่เรื่องผลตอบแทนที่สูง แต่ต้องการที่จะฝึกจิตใจให้นิ่งยิ่งขึ้น ไม่ร้อนรนยามตลาดหุ้นลง ไม่โลภยามตลาดหุ้นขึ้น ซื้อหุ้นด้วยความสุข ลงทุนจำนวนน้อยครั้งแต่ผิดพลาดน้อย
"Become a risk taker, not a risk maker"
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1661

โพสต์

ดำ เขียน:อ.leky ครับ การวิเคราะห์ว่าราคาหุ้นที่ขึ้นลงนั้นเกิดจากพื้นฐานจริงๆ หรือเป็นเพราะปัจจัยระยะสั้นอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับพื้นฐานนี่แทบจะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายผลตอบแทนการลงทุนเลยนะครับ

ส่วนใหญ่ตอนที่ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่มากเท่าไหร่ ก็มักจะมองกันว่าไม่เกี่ยวกับพื้นฐาน เป็นเรื่องปกติที่ราคาหุ้นจะแกว่งขึ้นลงบ้าง แต่พอราคาเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นๆ ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะลังเลว่าเอ๊ะ! หรือมันมีอะไรที่เราไม่รู้ แต่มีอินไซด์รู้รึเปล่า?

บางคนมีความทนทานสูง ทนจนราคาหุ้นกลับมาสู่ภาวะปกติตามเดิม ไม่ตัดสินใจผิดพลาดไปเหมือนบางคนที่ทนได้น้อยกว่า

แต่อีกมุมนึง ความทนทานสูงแต่ที่จริงพื้นฐานมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ก็กลับกลายเป็นเสียราคา แทนที่จะไหวตัวทันแต่เนิ่นๆ
ขออนุญาตแสดงความเห็นกระทู้นี้ครับ

เพราะความที่นายตลาดมีอารมณ์ที่ผันผวนตามสิ่งกระตุ้นทั้งหลาย ซึ่งบางเรื่องก็กระทบกับพื้นฐานจริง แต่บางเรื่องก็ไม่ใช่

ในหนังสือของ อ. Howard marks คือ the most importance thing จึงให้ความสำคัญกับราคาที่เข้าซื้ออย่างมาก

เพราะทรัพย์สินที่แม้มีคุณภาพดีมาก แต่ลงทุนในราคาที่สูงเกินควร ก็อาจเป็นการลงทุนที่แย่ได้
ในขณะที่ทรัพย์สินที่มีคุณภาพไม่ดีนัก แต่ถูกขายในราคาที่ลดลงมากจนต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ก็อาจเป็นการลงทุนที่ดีได้ตามข้อความนี้ครับ อาจารย์ ดำ

For a value investor, price has to be the starting point. It has been demonstrated time and time again that no asset is so good that it can't become a bad investment if bought at too high a price. And there are few assets so bad that they can't be a good investment when bought cheap enough.

ถ้าหากเราซื้อได้ถูกราคาจริง ยังไงในระยะยาวก็ยังเป็นการลงทุนที่เราสามารถอดทนรอคอยได้ เพราะยังให้ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับคุณค่าที่แท้จริงนั้นเอง

ปัญหาที่ทำให้เรากังวลและอดทนไม่พอ เพราะเราก็อาจไม่แน่ใจว่าราคาที่เราเข้าซื้อมันเป็นราคาที่มีส่วนลดหรือ mos มากพอหรือไม่ เพราะแม้จะเป็นทรัพย์สินที่ดีมาก แต่หากซื้อราคาสูงไป ก็ไม่คุ้มกับการลงทุนในอนาคตครับ ทำให้เราหวั่นไหวมากเมื่อราคามันตกลงมาก

อาจารย์บัฟเฟท มาต่อยอดแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่่ ด้วยการลงทุนในทรัพย์สินที่มีคุณภาพดีต่อเนื่องในระยะยาว แต่ท่านก็ให้ความสำคัญกับราคาที่เข้าซื้อที่เหมาะสม ท่านจึงมักเข้าซื้อในช่วงที่หุ้นธุรกิจดังกล่าวเกิดปัญหาระยะสั้นที่ไม่กระทบกับพื้นฐานระยะยาว และราคาตกลงมาก ซึ่งท่านคงศึกษาหุ้นดังกล่าวไว้ล่วงหน้า และรอคอยด้วยความอดทนให้ราคามันตกลงมาถึงจุดเข้าซื้อที่เหมาะสมเมื่อมีเหตุการณ์พิเศษนั้นเองครับ ทำให้ท่านสามารถถือหุ้นต่อไปได้ในระยะยาวโดยไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของราคาระยะสั้นนั้นเอง
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1662

โพสต์

มีหนังสือมาแนะนำครับ

Benjamin Graham and the Power of Growth Stocks: Lost Growth Stock Strategies from the Father of Value Investing

by Frederick K. Martin CFA (Author), Nick Hansen (Author), Scott Link (Author), Rob Nicoski (Author)

Use a master’s lost secret to pick growth companies bound for success

In 1948, legendary Columbia University professor Benjamin Graham bought a major stake in the Government Employees Insurance Corporation. In a time when no one trusted the stock market, he championed value investing and helped introduce the world to intrinsic value. He had a powerful valuation formula.

Now, in this groundbreaking book, long-term investing expert Fred Martin shows you how to use value-investing principles to analyze and pick winning growth-stock companies―just like Graham did when he acquired GEICO.

Benjamin Graham and the Power of Growth Stocks is an advanced, hands-on guide for investors and executives who want to find the best growth stocks, develop a solid portfolio strategy, and execute trades for maximum profitability and limited risk. Through conversational explanations, real-world case studies, and pragmatic formulas, it shows you step-by-step how this enlightened trading philosophy is successful. The secret lies in Graham’s valuation formula, which has been out of print since 1962―until now. By calculating the proper data, you can gain clarity of focus on an investment by putting on blinders to variables that are alluring but irrelevant.

This one-stop guide to growing wealth shows you how to:

Liberate your money from the needs of mutual funds and brokers
Build a reasonable seven-year forecast for every company considered for your portfolio
Estimate a company’s future value in four easy steps
Ensure long-term profits with an unblinking buy-and-hold strategy
This complete guide shows you why Graham’s game-changing formula works and how to use it to build a profitable portfolio. Additionally, you learn tips and proven techniques for unlocking the formula’s full potential with disciplined research and emotional control to stick by your decisions through long periods of inactive trading. But even if your trading approach includes profiting from short-term volatility, you can still benefit from the valuation formula and process inside by using them to gain an advantageous perspective on stock prices.

Find the companies that will grow you a fortune with Benjamin Graham and the Power of Growth Stocks.
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1663

โพสต์

เป็นหนังสือที่ฉีกมุมมองบางอย่างของ อาจารย์ใหญ่แห่งวอลล์สตรีท โดยอธิบายว่าหุ้นเติบโตเพียงตัวเดียวในพอร์ทของแกรม คือ Geico เพียงตัวเดียว สร้างกำไรมากกว่าทุกตัวที่ อจ.แกรม ซื้อ ๆ ขาย ๆ รวม ๆ กัน ตลอดชีวิตการลงทุนของแก

อ่านสนุกมาก ๆ เล่มนึงครับ

From the Back Cover

Benjamin Graham is the father of value investing, but his greatest investment success came from one growth stock that increased his net worth more than all his other investments combined. Benjamin Graham and the Power of Growth Stocks helps you rediscover the legendary economist’s forgotten growth-investing strategy through a cutting-edge approach to capturing profits in today’s volatile markets.

Inside, leading investment manager Fred Martin shares the investing approach that was founded on Graham’s long-lost valuation formula. Martin’s method lets you accurately and confidently value growth companies for a buy-and-hold strategy that mitigates risk and positions your portfolio for superior long-term returns. Benjamin Graham and the Power of Growth Stocks puts everything you need at your fingertips, including:

Effective guidance and techniques for zeroing in on the critical factors of making good investment decisions
The three key rules for creating a margin of safety when investing in growth companies
Tips for identifying the hidden “barriers” and “handcuffs” that signal doom for a company’s growth
Insightful best practices and pitfalls to avoid from the author’s personal experience
Graham’s most useful and straightforward treatise on growth-stock investing―in its entirety―for the first time since 1962

If you want your wealth to serve you―not your broker and mutual funds―start acquiring the dream-team companies for your portfolio today withBenjamin Graham and the Power of Growth Stocks.

About the Author

Frederick K. Martin is the president and chief investment officer of Disciplined Growth Investors, which currently manages more than $2.5 billion of assets for institutions and individuals.
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1664

โพสต์

เอาข้อผิดพลาดของผมมา share ให้ฟังบ้าง

หุ้นอิเลคโทรนิคส์ตัวหนึ่ง คือ kce ผมศึกษามาอย่างดี มีกลยุทธ์ทำ เป็น multi layer หลายชั้น แต่ช่วงต้นของเสียจะมากทำให้ผลงานแย่มากเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน draco สุดท้ายทนรวยไม่ไหว เพราะไม่รู้ว่าเขาจะพัฒนาได้สำเร็จหรือไม่ ตัวนี้เมื่อทำสำเร็จผลประกอบการดีขึ้นเยอะเพราะคู่แข่งขันน้อยราย ราคาขึ้นไปหลายเด้งเลย

Supali หุ้นที่ริเริ่มทำคอนโดเป็นจุดเด่นของผู้พัฒนาบริษัทแรก ๆ แต่เพราะไม่แน่ใจในพฤติกรรมผู้บริโภคว่าจะเปลี่ยนจากแนวราบเป็นคอนโดหรือไม่ ตอนนั้น supali เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ๆ ราคาจึงต่ำมาก ซื้อแล้วไม่แน่ใจว่าเราคิดถูกหรือไม่ ต่อมามีการทำรถไฟฟ้า ทำให้คนนิยมอยู่คอนโดมากขึ้น

Cpall เป็นหุ้นที่ผมเฉียดรวยที่สุด ลงทุนตัวเดียวเกือบ 100% เพราะผมดูการเติบโตของการขยายสาขาที่เกิดจากการเปลี่ยนระบบทำเองเป็นให้แฟรนไชส์ และให้เช่าแทนที่จะซื้อที่ดินเป็นของตนเอง แต่เพราะกลัวใจเจ้าสัวโดนข้อมูลจากเวปเขย่าจนใจเสีย ที่เจ้าสัวเอาเงิน cpall ไปลงทุน lotus เมืองจีนที่ขาดทุนมานาน ทำให้ไม่กล้าทนถือครับ

ความผิดพลาดที่ผ่านมา ผมถือเป็นบทเรียนที่ดี ทำให้เราได้ขยายขอบข่ายความรู้มากขึ้น และพยายามลดข้อผิดพลาดลง

ในอดีตเข้าซื้อถูกราคา แต่ไม่มั่นใจในตัวธุรกิจเพราะขาดประสบการณ์ อ่านข้อมูลเวปมากไป 555โดยเฉพาะข่าวร้าย ๆ ทำให้ใจเสีย

ปัจจุบันศึกษาธุรกิจมาอย่างดี แต่ eco สูงจึงมักเข้าซื้อที่ราคาสูงเกินไป ไม่อดทนรอคอย ทำให้ได้ผลตอบแทนไม่ดี

ตอนนี้ปรับสมดุลย์ใหม่การลงทุนใหม่ ศึกษาธุรกิจอย่างดีและอยู่ใน watchlist มากขึ้น และเข้าซื้อรอคอยในราคาเหมาะสมขึ้น จะรอดูผลต่อไปครับว่าจะยังมีข้อผิดพลาดอะไร :mrgreen:
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1665

โพสต์

chaitorn เขียน:เอาข้อผิดพลาดของผมมา share ให้ฟังบ้าง

หุ้นอิเลคโทรนิคส์ตัวหนึ่ง คือ kce ผมศึกษามาอย่างดี มีกลยุทธ์ทำ เป็น multi layer หลายชั้น แต่ช่วงต้นของเสียจะมากทำให้ผลงานแย่มากเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน draco สุดท้ายทนรวยไม่ไหว เพราะไม่รู้ว่าเขาจะพัฒนาได้สำเร็จหรือไม่ ตัวนี้เมื่อทำสำเร็จผลประกอบการดีขึ้นเยอะเพราะคู่แข่งขันน้อยราย ราคาขึ้นไปหลายเด้งเลย

Supali หุ้นที่ริเริ่มทำคอนโดเป็นจุดเด่นของผู้พัฒนาบริษัทแรก ๆ แต่เพราะไม่แน่ใจในพฤติกรรมผู้บริโภคว่าจะเปลี่ยนจากแนวราบเป็นคอนโดหรือไม่ ตอนนั้น supali เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ๆ ราคาจึงต่ำมาก ซื้อแล้วไม่แน่ใจว่าเราคิดถูกหรือไม่ ต่อมามีการทำรถไฟฟ้า ทำให้คนนิยมอยู่คอนโดมากขึ้น

Cpall เป็นหุ้นที่ผมเฉียดรวยที่สุด ลงทุนตัวเดียวเกือบ 100% เพราะผมดูการเติบโตของการขยายสาขาที่เกิดจากการเปลี่ยนระบบทำเองเป็นให้แฟรนไชส์ และให้เช่าแทนที่จะซื้อที่ดินเป็นของตนเอง แต่เพราะกลัวใจเจ้าสัวโดนข้อมูลจากเวปเขย่าจนใจเสีย ที่เจ้าสัวเอาเงิน cpall ไปลงทุน lotus เมืองจีนที่ขาดทุนมานาน ทำให้ไม่กล้าทนถือครับ

ความผิดพลาดที่ผ่านมา ผมถือเป็นบทเรียนที่ดี ทำให้เราได้ขยายขอบข่ายความรู้มากขึ้น และพยายามลดข้อผิดพลาดลง

ในอดีตเข้าซื้อถูกราคา แต่ไม่มั่นใจในตัวธุรกิจเพราะขาดประสบการณ์ อ่านข้อมูลเวปมากไป 555โดยเฉพาะข่าวร้าย ๆ ทำให้ใจเสีย

ปัจจุบันศึกษาธุรกิจมาอย่างดี แต่ eco สูงจึงมักเข้าซื้อที่ราคาสูงเกินไป ไม่อดทนรอคอย ทำให้ได้ผลตอบแทนไม่ดี

ตอนนี้ปรับสมดุลย์ใหม่การลงทุนใหม่ ศึกษาธุรกิจอย่างดีและอยู่ใน watchlist มากขึ้น และเข้าซื้อรอคอยในราคาเหมาะสมขึ้น จะรอดูผลต่อไปครับว่าจะยังมีข้อผิดพลาดอะไร :mrgreen:
ยอดเยี่ยมมาก ๆ ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1666

โพสต์

คุณ NB ครับ เล่มนี้มีแปลเป็นไทยแล้วนะครับ ว่าจะสอยมาอยู่ครับ

https://www.se-ed.com/product/%E0%B8%A8 ... 6169229209
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1667

โพสต์

หนังสือของอ. Howard Marks นี่ ผมอ่านผ่านไปแต่ละหน้า ได้แต่พยักหน้าในใจแทบจะทุกหน้า

เรื่องหลายเรื่องเราก็พอจะรู้มาบ้างแล้ว แต่เค้าสรุปให้เราเห็นภาพ กลับมาทบทวนความผิดพลาดหลาย ๆ อย่าง

ผมว่าเป็นหนังสือเล่มนึงที่แทบจะเรียกได้ว่ามีแต่เนื้อ ๆ เลยครับ ผมว่าถ้าใครยังไม่เข้าใจคำว่า MOS ถ้าลองไปอ่านดูจะเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1668

โพสต์

leky เขียน:คุณ NB ครับ เล่มนี้มีแปลเป็นไทยแล้วนะครับ ว่าจะสอยมาอยู่ครับ
สอยเลยครับ จารย์หมอเล็ก คนเขียนเค้าก็เป็น ผบห. กองทุนที่มีฝีมือมากๆ คนนึงครับ

อ่านสนุกครับ ผมแนะนำ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1669

โพสต์

leky เขียน:พอดีคุณดำถามผมเรื่องปัจจัยร่วมที่หุ้นจะขึ้นได้มาก ๆ ที่ผมเคยลงทุนมา

มองในมุมกลับกัน ผมมาคิดว่าแล้วที่ผมผิดพลาดมันมีปัจจัยร่วมอะไรบ้าง เอาเท่าที่ผมนึกออกนะครับ หุ้นส่วนหนึ่งยังคงได้กำไร ส่วนหนึ่งก็ทำให้ขาดทุนจริง ๆ ไปเลย เท่าที่พอจำได้ก็ตามนี้ครับ
อ่าน Case Study ของ อ.เรื่องนี้แล้วทำให้เห็นว่า การพยายามกะเก็ง คาดเดา ความคิดของตลาดนั้นเป็นเรื่องที่มีโอกาสผิดพลาดได้มากจริงๆ ครับ บางทีเรามองดีตลาดกลับมองร้าย บางทีเราว่าร้ายตลาดกลับมองว่าดีเพราะชัดเจนแล้วซะงั้น
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1670

โพสต์

chaitorn เขียน:
ดำ เขียน:For a value investor, price has to be the starting point. It has been demonstrated time and time again that no asset is so good that it can't become a bad investment if bought at too high a price. And there are few assets so bad that they can't be a good investment when bought cheap enough.
คำกล่าวนี้ผมเองไม่แน่ใจนะครับว่ามันจะเป็นจริงได้เสมอไปรึเปล่า เพราะ Asset บางอย่างดูเหมือนว่ามันจะหมดอนาคตไปแล้ว ยิ่งเวลานานไปมูลค่ามันยิ่งถดถอย คือธุรกิจมันล้าสมัยไปแล้วอ่ะครับ
ส่วน Asset ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าระยะสั้นอาจแพงไปมาก แต่ถ้ามองกันยาวๆ พอที่จะให้มูลค่ามันสะท้อนออกมา สุดท้ายก็น่าจะกำไรอยู่ดีรึเปล่าครับ เข้าทำนองหุ้นที่มีเวลาเป็นเพื่อน
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1671

โพสต์

chaitorn เขียน:ความผิดพลาดที่ผ่านมา ผมถือเป็นบทเรียนที่ดี ทำให้เราได้ขยายขอบข่ายความรู้มากขึ้น และพยายามลดข้อผิดพลาดลง

ในอดีตเข้าซื้อถูกราคา แต่ไม่มั่นใจในตัวธุรกิจเพราะขาดประสบการณ์ อ่านข้อมูลเวปมากไป 555โดยเฉพาะข่าวร้าย ๆ ทำให้ใจเสีย

ปัจจุบันศึกษาธุรกิจมาอย่างดี แต่ eco สูงจึงมักเข้าซื้อที่ราคาสูงเกินไป ไม่อดทนรอคอย ทำให้ได้ผลตอบแทนไม่ดี

ตอนนี้ปรับสมดุลย์ใหม่การลงทุนใหม่ ศึกษาธุรกิจอย่างดีและอยู่ใน watchlist มากขึ้น และเข้าซื้อรอคอยในราคาเหมาะสมขึ้น จะรอดูผลต่อไปครับว่าจะยังมีข้อผิดพลาดอะไร :mrgreen:
ถ้าคุยกันเรื่องความผิดพลาดนี่ ของถนัดผมเลยครับ แหะ แหะ...

หุ้นที่ผิดพลาดที่สุดของผมคือ หุ้นนักร้อง น้องรัก (จำได้คุ้นๆ ว่าเคยสารภาพบาปในห้องนี้ทีนึงแล้ว) อุตส่าห์ขุดเจอชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นคนแรกๆ เลย ตั้งแต่งบยังเน่าอยู่ จนต้องไปตาม CEO คนเก่าที่เป็นชาวฝรั่งเศสกลับมากู้สถานการณ์กิจการเก่าแก่เกือบร้อยปีแห่งนี้ไม่ให้เจ๊งไปซะก่อน ตอนนั้นซื้อมาเพราะเห็นความพยายามจะเปลี่ยน Biz Model บางอย่าง แต่ผมทนพิษบาดแผล Hamburger Syndrome ไม่ไหว ซื้อไปเฉลี่ย 2 บาทกลางๆ ขายทิ้งตอน 1 บาทต้นๆ สุดท้ายก็อย่างที่เห็น เมื่อทุกอย่างกลับมาดี จนดีเกินกว่าที่มองไว้แต่แรกซะอีก แต่หุ้นขึ้นกลับไม่มีเราซะแล้ว :wall: :wall: :wall: :'O :'O :'O

เห็นด้วยเลยครับว่า การลงทุนที่ดีจะต้องมองอนาคตธุรกิจให้ขาด เป็นการมองเชิงกลยุทธ์ มองโมเดลธุรกิจ ไม่ใช่กำไรทีละไตรมาส ถ้าส่วนนี้ยิ่งชัดเจน อนาคตยิ่งมีแนวโน้มเติบโตได้มากเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าความวิตกกังวลต่อความผันผวนของราคาจะลดน้อยลงไปอย่างมาก
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1672

โพสต์

leky เขียน:หนังสือของอ. Howard Marks นี่ ผมอ่านผ่านไปแต่ละหน้า ได้แต่พยักหน้าในใจแทบจะทุกหน้า

เรื่องหลายเรื่องเราก็พอจะรู้มาบ้างแล้ว แต่เค้าสรุปให้เราเห็นภาพ กลับมาทบทวนความผิดพลาดหลาย ๆ อย่าง

ผมว่าเป็นหนังสือเล่มนึงที่แทบจะเรียกได้ว่ามีแต่เนื้อ ๆ เลยครับ ผมว่าถ้าใครยังไม่เข้าใจคำว่า MOS ถ้าลองไปอ่านดูจะเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นครับ
ถ้า อ.หมายถึงฉบับแปล ผมขอชื่นชมคุณ WEB ผู้แปลอย่างมากเลยครับ เป็นคนที่แปลหนังสือแนวลงทุนที่ดีที่สุดคนนึงในประเทศไทยแล้ว เพราะเหมือนกับว่าไม่ได้แปลแบบแค่แกะออกจากต้นฉบับ แต่เหมือนกับว่าอ่านต้นฉบับจนอิน แล้วค่อยถ่ายทอดใจความออกมาเป็นภาษาไทยอีกทีครับ คนแปลระดับนี้เท่าที่ผมอ่านมาหาได้ยากจริงๆ ครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1673

โพสต์

เคยได้ยินคุณ WEB โพสต์ไว้ว่าหนังสือจะขายยากครับ แต่ก็ตั้งใจจะทำต่อ

ผมว่าที่อาจจะขายยากเพราะด้วยเนื้อหาซึ่งเหมาะกับคนที่ชั่วโมงบินสูงแล้ว แต่ถ้าคนมือใหม่ ๆ บางทีเปิดขึ้นมาอาจจะอ่านไม่ค่อยเข้าใจ

ในขณะที่หนังสือในท้องตลาดนั้น แค่หน้าปกก็เรียกร้องความสนใจได้มากกว่า ทั้งคำโฆษณาที่หน้าปก เช่น รวยหุ้นด้วยวิธีง่าย ๆ หรือทำเงินล้าน อะไรทำนองนั้นครับ

แต่ถ้าอยากอ่านหนังสือที่เขียนเรื่อง "ตัวเร่งราคาหุ้น" ผมก็แนะนำหนังสือกุญแจ 5 ดอกของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ของคุณ WEB เช่นกันครับ จะมีอยู่บทหนึ่งที่เขียนไว้ค่อนข้างชัดเจนครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1674

โพสต์

ว่าแต่ช่วงนี้ข้อมูลฝั่ง Dark Side ในห้องเงียบๆ ไปนะครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1675

โพสต์

leky เขียน:เคยได้ยินคุณ WEB โพสต์ไว้ว่าหนังสือจะขายยากครับ แต่ก็ตั้งใจจะทำต่อ

ผมว่าที่อาจจะขายยากเพราะด้วยเนื้อหาซึ่งเหมาะกับคนที่ชั่วโมงบินสูงแล้ว แต่ถ้าคนมือใหม่ ๆ บางทีเปิดขึ้นมาอาจจะอ่านไม่ค่อยเข้าใจ

ในขณะที่หนังสือในท้องตลาดนั้น แค่หน้าปกก็เรียกร้องความสนใจได้มากกว่า ทั้งคำโฆษณาที่หน้าปก เช่น รวยหุ้นด้วยวิธีง่าย ๆ หรือทำเงินล้าน อะไรทำนองนั้นครับ
เล่ม แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (The Most Important Thing Illuminated) นี้ ผมมองว่าเป็นเล่มที่เหมาะกับคนที่ลงทุนผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้พอสมควรแล้ว เพราะเวลาอ่านจะเหมือนได้ย้อนเวลาหาอดีตถึงความผิดพลาดหรือเหตุการณ์ที่เคยได้เจอะเจอจริงๆ กับตัวเอง พอเป็นแบบนี้อ่านแล้วจะได้อารมณ์ร่วมมาก ซึ่งถ้าสำหรับมือใหม่อาจนึกภาพตามไม่ออก

อย่างว่าแหละครับ เรื่องความเสี่ยง ความผิดพลาด จิตวิทยานี่ ถ้าไม่เจอเข้ากับตัวเองก็ยากที่จะเข้าใจได้จริงๆ หนังสือส่วนใหญ่ก็เน้นแต่ด้านกำไร ด้านบวก

ส่วนประเด็นที่ว่าหนังสือขายยาก บางทีต้องให้คุณ WEB ถ่ายรูปสตูดิโอ แล้วเอามาลงคั่นไว้แต่ละบท แล้วเพิ่มขนาดฟอนต์ให้ใหญ่กว่านี้ซัก 2-3 เบอร์ อาจพอช่วยได้ครับ :8)
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1676

โพสต์

ทำไมผมถึงปรับเปลี่ยนเป้าของการลงทุนที่อาจจะไม่เน้นไปที่ผลตอบแทนที่ต้องได้มาก ๆ

คือต้องออกตัวก่อนว่า พอร์ตผมไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรนะครับ

เพียงแต่ทุกวันนี้ผมอยู่ได้โดยไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้าเคยอ่านโพสต์เก่า ๆ ที่ผมเคยโพสต์เอาไว้ ผมเคยแจกแจงไว้แล้วว่าค่าใช้จ่ายหนัก ๆ ในชีวิตคนเรามันมีอะไรบ้าง เรื่องหนี้ผมไม่มี เรื่องค่ารักษาพยาบาลอันนี้ผมเกาะภรรยาไว้อยู่ :D เพราะภรรยาผมรับราชการมีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลซึ่งก็รวมตัวผมเข้าไปด้วย รวมถึงลูกจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ

เรื่องเงินที่มีอยู่เพียงพอที่จะส่งลูกจนจบการศึกษา ผมเองไม่ได้มีความคิดว่าเราจะต้องส่งต่อเงินของเราให้ลูกของเราในจำนวนมาก ๆ ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าลูกของเรารู้ว่าเรารวยมาก (ผมยังไม่ได้รวยมากนะครับ อันนี้สมมติ) เค้าจะไม่มีแรงจูงใจในชีวิต ไม่มีความทะเยอทะยาน ซึ่งถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ คนเราก็ยากจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ บางคนอาจจะแย่ไปถึงขนาด "หนักไม่เอา เบาไม่สู้" งานอะไรก็ไม่อยากจะทำ แต่ถ้าวันหนึ่งผมเกิดมีเงินมากจริง ๆ ผมก็คงจะไม่บอกเค้า แต่เค้าคงจะรู้จากผมในวันที่ผมยกให้เค้าเท่านั้น

ผมเองประเมินตัวเองเป็นระยะ ๆ ว่าตลาดเวลาที่ผ่านมา ผมพอจะเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้หรือผมแค่อยู่ถูกที่ถูกเวลาแบบที่อ. Howard บอก ผมคิดว่าผมน่าจะพอเอาตัวรอดได้ ซึ่งถ้าผมไม่ได้เน้นไปในเรื่องผลตอบแทนมาก ๆ แต่ขอแค่พอเหมาะสม เพียงแต่ผมใช้เงื่อนไขของเวลาเข้ามาช่วย หมายถึงเราลงทุนให้นานขึ้น วันหนึ่งเป้าหมายมันก็คงจะไปถึงได้ เพียงแต่จะช้าจะเร็วเท่านั้น

อาชีพของผมเอง ทำให้ผมเห็นคนเจ็บป่วยทุกวัน บางครั้งมันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากจะเลือกชีวิตในบั้นปลายเป็นแบบไหน คนไข้บางคนเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย คนไข้บางคนไม่ได้ร่ำรวยอะไร แถมยังมีโรคประจำตัว แต่ก็ยังสามารถพายเรือไปไหนมาไหนได้ทั้ง ๆ ที่อายุเกือบ 90 ปี ตรงนี้มันเห็นได้ชัดเจนว่า "เงินไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง"

ยามที่เราร้อนรนตอนตลาดหุ้นมันลง กำไรหายไปก้อนใหญ่ บางครั้งกำไรกลายเป็นขาดทุน ยามที่เราร้อนรนตอนที่หุ้นขึ้นมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่หุ้นขึ้น แต่ก็แปลก เราก็ยังกังวลว่า "กลัวจะขายหมู" ความอิจฉาริษยายามที่เห็นคนอื่นกำไรมากกว่า การเปรียบเทียบกับคนอื่นทำให้ร้อนรุ่ม สรุปแล้ว "เราลงทุนไปเพื่อสร้างฐานะพร้อมกับสร้างความทุกข์ใช่หรือไม่ ???"

ผมว่าในชีวิตของเรา "คำว่าการลงทุน" มันคงไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเรื่องเงินเพียงอย่างเดียวครับ แต่มันหมายถึง การลงทุนในตัวเรา เช่น การศึกษาหาความรู้ในเรื่องต่าง ๆ การเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ การรักษาสุขภาพ กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย การลงทุนในคนรอบตัว การให้การศึกษาแก่บุตร การแบ่งเวลามาสอนให้เค้าเป็นคนที่เก่งและดี การดูแลบิดามารดา

และสิ่งที่ผมว่าคนเราทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ควรจะทำก็คือ การแบ่งปันเพื่อสังคม จะทำอะไรก็ได้ที่เป็นการเสียสละ แบ่งปันเพื่อให้สังคมดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงิน ไม่จำเป็นว่าจะต้องร่ำรวยแล้ว ทุกคนสามารถทำได้

ถ้าดูจากที่ผมพยายามแจกแจงในหลาย ๆ เรื่อง ตัวผมเองในบางเรื่องก็ยังไม่ได้ทำ บางเรื่องก็ทำแล้วไม่ต่อเนื่อง หลัง ๆ ผมเลยมองว่าการที่เราปล่อยผ่านเวลาให้มันผ่านไปเรื่อย ๆ แล้วผลัดมันไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งเราอาจจะไม่ได้เริ่มในสิ่งที่เราอยากจะทำเลยก็ได้ เพราะชีวิตมันคือเรื่องที่ไม่แน่นอน

เป้าหมายในการลงทุนผมตั้งเอาไว้สูง ๆ เนื้อแท้ไม่ได้ต้องการเงินมากมายขนาดนั้น เพราะยังไงก็ตามถ้าผมเกิดเดินไปถึงจุด ๆ นั้นได้จริง ๆ ผมก็คงดำเนินชีวิตไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก แต่ที่ยังอยากจะตั้งเป้าไว้แบบนั้นก็เพราะ อยากรู้ว่าเราจะทำได้หรือเปล่า เพียงแต่ผมจะไม่ทุ่มถึงขนาดมองข้ามสิ่งรอบข้างอย่างอื่นที่เราควรจะทำครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1677

โพสต์

ดำ เขียน: ส่วนประเด็นที่ว่าหนังสือขายยาก บางทีต้องให้คุณ WEB ถ่ายรูปสตูดิโอ แล้วเอามาลงคั่นไว้แต่ละบท แล้วเพิ่มขนาดฟอนต์ให้ใหญ่กว่านี้ซัก 2-3 เบอร์ อาจพอช่วยได้ครับ :8)
ผมว่าไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่า การโชว์รายชื่อผถห.ใหญ่ ลงหน้าปกหนังสือครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1678

โพสต์

leky เขียน:ยามที่เราร้อนรนตอนตลาดหุ้นมันลง กำไรหายไปก้อนใหญ่ บางครั้งกำไรกลายเป็นขาดทุน ยามที่เราร้อนรนตอนที่หุ้นขึ้นมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่หุ้นขึ้น แต่ก็แปลก เราก็ยังกังวลว่า "กลัวจะขายหมู" ความอิจฉาริษยายามที่เห็นคนอื่นกำไรมากกว่า การเปรียบเทียบกับคนอื่นทำให้ร้อนรุ่ม สรุปแล้ว "เราลงทุนไปเพื่อสร้างฐานะพร้อมกับสร้างความทุกข์ใช่หรือไม่ ???"
ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ อ.
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1679

โพสต์

ตอนนี้คนรอบตัวที่เล่นหุ้น เค้าเป็นยังไงกันบ้างครับ พอดีคนรอบตัวผมไม่ค่อยมีคนเล่นหุ้น ผมหมายถึงคนทั่ว ๆ ไปนะครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นวีไอครับ

1) ติดหุ้นพร้อมกับอาการเซ็ง บางคนอาจจะเริ่มบอกว่า ไม่น่ามาเล่นหุ้นเลย ตลาดหุ้นไทยเล่นยาก

2) ยังคงช้อนซื้อไปเรื่อย ๆ มองว่านี่คือโอกาส

3) หนีออกจากตลาดไปชั่วคราว รอให้ตลาดดี ๆ ค่อยกลับมาใหม่

4) คัท คัท คัทอย่างเดียว พร้อมเห็นด้วยกับข้อ 1 ไม่น่ามาเล่นหุ้นเลย
"Become a risk taker, not a risk maker"
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1680

โพสต์

คนรอบๆตัวผมไม่ค่อยมีใครเล่นหุ้นเลยครับ แต่จากการดูตามโซเซียลต่างๆ ผมคิดว่าคนทั่วไปคงทะยอยดู รับไปบางส่วน แต่ก็ไม่ได้มั่นใจมากๆเหมือนก่อน ผมคิดว่าถ้าหลุด 1400 แล้วลงมายืนนิ่งๆตรงไหนได้สักครึ่งเดือน โดยไม่มีการลงแรงๆอีก ผมว่าคงมีคนทะยอยเข้ามาเรื่อยๆครับ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนถือเงินสดกันเยอะพอควรครับ แต่ของจริงไม่รู้จะเป็นไงครับ ได้แต่เดาครับ :roll: