VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1621
สำหรับ tmill ผมเห็นตรงกับคุณ leky ทั้งหมดเลยครับ ความเคลื่อนไหวหุ้นแปลกๆ ลากขึ้นมา 2 รอบแล้วนะครับ บริษัทน่าจะดีแต่ไม่ค่อยน่าไว้ใจครับ บริษัทขายสินค้าแพงกว่าต่างประเทศ แต่ลูกค้าเชื่อถือในคุณภาพที่สูงกว่า สรุปถ้าลงมา 3 ต้นๆน่าสนใจครับ ตอนนี้เฉยๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1622
ราคาตรงนั้นเป็นราคาที่่ผบห.เค้าซื้อเก็บเลยนะครับ ตั้งแต่ราว ๆ ปีก่อนตรง 3 บาทต้น ๆ รู้สึกว่าจะมีต่ำกว่า 3 บาทด้วยครับ แต่จำได้ว่าวอลุมตรงนั้นมีการซื้อขายน้อยมากครับลูกหิน เขียน:สำหรับ tmill ผมเห็นตรงกับคุณ leky ทั้งหมดเลยครับ ความเคลื่อนไหวหุ้นแปลกๆ ลากขึ้นมา 2 รอบแล้วนะครับ บริษัทน่าจะดีแต่ไม่ค่อยน่าไว้ใจครับ บริษัทขายสินค้าแพงกว่าต่างประเทศ แต่ลูกค้าเชื่อถือในคุณภาพที่สูงกว่า สรุปถ้าลงมา 3 ต้นๆน่าสนใจครับ ตอนนี้เฉยๆครับ
ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวเรื่องทำโรงไฟฟ้าผ่านทางนสพ.หุ้น ซึ่งบ.ก็ออกมาปฏิเสธ รอบที่มีข่าวที่ว่าก็ขึ้นไปถึง 5 บาท แล้วก็ไหลลงมา ที่แปลกก็คือ บ.ออกมาปฏิเสธข่าวตั้งแต่เช้า แต่หุ้นก็ยังบวกแรงได้ต่อก่อนจะตกลงมา
พอไปนึกถึงสิ่งที่อัศวินแห่งรัตติกาลพูดถึงการให้ข่าวในนสพ.หุ้น ก็นะ มันก็เห็น ๆ กันว่าเหตุการณ์แบบนี้มันมีมาแทบจะนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ผมคาใจมาก ๆ จนถึงทุกวันนี้ว่า หน่วยงานทางราชการมองว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่ปล่อยให้เกิดขึ้นได้ โดยไม่ถือกว่ามีความผิด หรือว่ามันไม่มีกฎหมายข้อไหนระบุเอาไว้
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1623
ใช่เลยครับ ดูพฤติกรรมแล้ว บอกว่าไม่รู้กันคงไม่ใช่แล้วครับ แต่สงสัยตลาดหลักทรัพย์เมืองไทยมันใหญ่มากมั่งครับ เลยจับอะไรใครไม่ค่อยได้ ลองให้อำนาจผมตรวจสอบทุกโบรกสิครับ วันเดียวก็รู้แล้วครับ หุ้นแบบนี้ถึงต้องต่อราคาเยอะๆหน่อยนะครับ เอ๋เดี๋ยวไม่ใช่เค้ามาอ่านกระทู้นี้รู้แผนเราหมดเลย 

-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1625
ความเห็นผมเกี่ยวกับธุรกิจเกษตรก็คือ
หุ้นผลิตผลทางการเกษตรต้องระวังหน่อย เพราะเป็น commodity ขึ้นกับ demand และ supply ของตลาด เดาไม่ง่าย เช่น กลุ่มเรือ เหล็ก น้ำมัน เดาราคาสินค้ายากมาก ผันผวนมาก
และที่สำคัญ ปัญหาความเสี่ยงในเรื่องดินฟ้าอากาศทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ รวมถึงภัยธรรมชาติจะส่งผลกระทบอย่างมาก
ถ้ามีการส่งอออก ก็จะเจอเรื่องค่าเงินของคู่แข่งขันเข้ามากระทบ
บางประเทศก็มักมีการสนับสนุนราคาเพื่อการส่งออก ทำให้ราคาบิดเบือนพอควร
คนจะเล่นจึงต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเก่งพอควรในเรื่องวัฏจักรครับ
แต่บางบริษัทที่ทำธุรกิจนี้เริ่มหาทางรถความเสี่ยงโดยการลงทุนเพิ่มเติม เช่น
เอาของเสียมาทำธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งมีความเสี่ยงน้อย เพราะสัญญาซื้อขายกับกฟผ หรือ กฟภ จะเป็นสัญญาแบบ firm contract และยังได้ค่า adder มาช่วยด้วย และโรงงานพวกนี้ส่วนใหญ่จะได้ boi ทำให้ลดภาษีกำไรหลายปี นอกจากนี้โรงไฟฟ้าพวกนี้มักทำแบบผลิตไฟฟ้าบวกไอน้ำ พอผลิตแบบ firm ทำให้ขาย by product เป็นไอน้ำเพิ่มเติมได้้ด้วย แทนที่จะบำบัดเป็นต้นทุน ก็เอามาใช้ประโยชน์ทั้งหมด
นอกจากนี้ ผลิตผล by product ของผลผลิตเกษตร ก็มาทำธุรกิจน้ำมันเอทานอลซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง
บางบริษัทแทนที่จะจำหน่ายเป็นผลผลิตที่เป็นวัตถุดิบ ก็มาทำการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่ม หรือทำนวตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ซื้อลูกค้่ของตนเอง ทำให้ขายสินค้าได้ราคาที่ดีกว่าคู่แข่งขัน สร้าง brand ที่ดี
ถ้าผมจะเปรียบเทียบให้เห็นก็คือธุรกิจน้ำมัน
น้ำมันเป็น commodity ราคาจะผันผวนมาก
จึงมีการทำแปรรูปเป็นปิโตรเคมีแทนการเผาเป็นเชื้อเพลิงที่มีมูลค่าต่ำสุด มากลั่นเพิ่มเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลึกขึ้น ยิ่งลง downstream มาก ก็ยิ่งสร้างมูลค่าสูงขึ้นมาก ยิ่งมีนวตกรรมมาก ๆ ก็จะทำให้สร้างตลาดใหม่ๆที่มีคู่แข่งขันน้อย เป็น niche market มากขึ้น ขายได้ราคาดีขึ้น เช่น scc เริ่มทำนวตกรรมปิโตรเคมีชนิดพิเศษ high value added วางเป็น kpi ของบริษัทให้โตทุกปี ทำให้ประสิทธิภาพกำไรดีขึ้นต่อเนื่อง
ผมคิดว่่าธุรกิจเกษตรที่หันมาเพิ่มมูลค่าเพิ่ม สร้างนวตกรรม และหา recurring income เพื่อลดความผันผวนของรายได้ที่เป็น commodity ที่เป็นหลักเดิม โดยการทำ supply chain ครบวงจรมากเท่าใด ต้นทุนต่ำลงมาก จะช่วยลดความเป็นวัฏจักรสินค้า และทำให้มีโอกาสการเติบโตที่แน่นอนมากขึ้น พวกนี้จะน่าสนใจกว่่าทำธุรกิจที่ใครก็เข้ามาทำได้ครับ
หุ้นผลิตผลทางการเกษตรต้องระวังหน่อย เพราะเป็น commodity ขึ้นกับ demand และ supply ของตลาด เดาไม่ง่าย เช่น กลุ่มเรือ เหล็ก น้ำมัน เดาราคาสินค้ายากมาก ผันผวนมาก
และที่สำคัญ ปัญหาความเสี่ยงในเรื่องดินฟ้าอากาศทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ รวมถึงภัยธรรมชาติจะส่งผลกระทบอย่างมาก
ถ้ามีการส่งอออก ก็จะเจอเรื่องค่าเงินของคู่แข่งขันเข้ามากระทบ
บางประเทศก็มักมีการสนับสนุนราคาเพื่อการส่งออก ทำให้ราคาบิดเบือนพอควร
คนจะเล่นจึงต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเก่งพอควรในเรื่องวัฏจักรครับ
แต่บางบริษัทที่ทำธุรกิจนี้เริ่มหาทางรถความเสี่ยงโดยการลงทุนเพิ่มเติม เช่น
เอาของเสียมาทำธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งมีความเสี่ยงน้อย เพราะสัญญาซื้อขายกับกฟผ หรือ กฟภ จะเป็นสัญญาแบบ firm contract และยังได้ค่า adder มาช่วยด้วย และโรงงานพวกนี้ส่วนใหญ่จะได้ boi ทำให้ลดภาษีกำไรหลายปี นอกจากนี้โรงไฟฟ้าพวกนี้มักทำแบบผลิตไฟฟ้าบวกไอน้ำ พอผลิตแบบ firm ทำให้ขาย by product เป็นไอน้ำเพิ่มเติมได้้ด้วย แทนที่จะบำบัดเป็นต้นทุน ก็เอามาใช้ประโยชน์ทั้งหมด
นอกจากนี้ ผลิตผล by product ของผลผลิตเกษตร ก็มาทำธุรกิจน้ำมันเอทานอลซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง
บางบริษัทแทนที่จะจำหน่ายเป็นผลผลิตที่เป็นวัตถุดิบ ก็มาทำการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่ม หรือทำนวตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ซื้อลูกค้่ของตนเอง ทำให้ขายสินค้าได้ราคาที่ดีกว่าคู่แข่งขัน สร้าง brand ที่ดี
ถ้าผมจะเปรียบเทียบให้เห็นก็คือธุรกิจน้ำมัน
น้ำมันเป็น commodity ราคาจะผันผวนมาก
จึงมีการทำแปรรูปเป็นปิโตรเคมีแทนการเผาเป็นเชื้อเพลิงที่มีมูลค่าต่ำสุด มากลั่นเพิ่มเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลึกขึ้น ยิ่งลง downstream มาก ก็ยิ่งสร้างมูลค่าสูงขึ้นมาก ยิ่งมีนวตกรรมมาก ๆ ก็จะทำให้สร้างตลาดใหม่ๆที่มีคู่แข่งขันน้อย เป็น niche market มากขึ้น ขายได้ราคาดีขึ้น เช่น scc เริ่มทำนวตกรรมปิโตรเคมีชนิดพิเศษ high value added วางเป็น kpi ของบริษัทให้โตทุกปี ทำให้ประสิทธิภาพกำไรดีขึ้นต่อเนื่อง
ผมคิดว่่าธุรกิจเกษตรที่หันมาเพิ่มมูลค่าเพิ่ม สร้างนวตกรรม และหา recurring income เพื่อลดความผันผวนของรายได้ที่เป็น commodity ที่เป็นหลักเดิม โดยการทำ supply chain ครบวงจรมากเท่าใด ต้นทุนต่ำลงมาก จะช่วยลดความเป็นวัฏจักรสินค้า และทำให้มีโอกาสการเติบโตที่แน่นอนมากขึ้น พวกนี้จะน่าสนใจกว่่าทำธุรกิจที่ใครก็เข้ามาทำได้ครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1626
ช่วงหุ้นตกนั้น ผมคิดว่าเป็นโอกาสในการทดสอบความโลภและความกลัวได้ดีทีเดียว ต้องขอบคุณหุ้นตก ๆ ในขณะนี้ครับkongkiti เขียน:ผมยังต้องศึกษาอีกมากครับพี่ lekyleky เขียน:ระดับน้อง kongkiti ยังต้องพึ่งโพยอีกหรือครับkongkiti เขียน: 2. พี่ๆ มีหุ้นไหน เข้าเขต Strike Price แล้วช่วยแจกโพยหน่อยนะคับ
อยากได้นางฟ้าตกสวรรค์ เริ่มมีร่วงลงมารึยังอ่ะคับ
ช่วงนี้ผมหน้ามืด ตาลาย คล้ายจะเป็นลม เริ่มแดงทั้งตลาด![]()
![]()
ผมว่าที่เราเห็นแดง ๆ หุ้นบางตัวมันก็พอซื้อได้นะครับ แต่จะต่อราคาให้มี MOS แค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ที่เห็นแดง ๆ ถ้าต้องเลือก "ม้าตัวที่แข็งแรงที่สุด" เราจะเลือกตัวไหน
ถ้าเราไม่คิดอะไรมากนะ ซื้อแล้วทิ้ง ๆ มันไป "เดี๋ยวมันก็ผ่านไปอีกครั้งครับ"
โพยของคุณลูกหินนี่ ถ้าตีความดี ๆ หุ้นบางตัวก็บอกถึงปัจจัยลบที่ดูแล้วควรหลีกเลี่ยง บางตัวก็ก้ำกึ่ง แต่การจะเขียนโพยแบบนี้ได้นี่ ต้องรู้กว้างรู้รอบทีเดียวครับ นับถือครับ
แต่ก็ ปัญหาของผมคือ รอไม่ไหวมากกว่า
ขายทีไรมันวิ่งทุกตัว![]()
ตัวไหมขายมันลงเอาๆ![]()
ปล. พี่ๆ ท่านไหนเคยมองหุ้นผลิตแป้งข้าวสาลี ไหมครัช
เทคนิคผมในช่วงนี้คือ เลือกหุ้นที่มีการจ่ายปันผลที่สูงกว่าฝากประจำนอกจากเป็นหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานแล้ว และมี mos ระยะยาวที่สูงพอควร
เพราะปัญหาคือผมถือเงินสดไม่ค่อยได้ เนื่องจากพอวิเคราะห์ทีใร ทำใจกับผลตอบแทนเงินฝากระยะสั้นที่ประมาณ 2% ต่อปีไม่ไหว เพราะหาก cash ตือหุ้นตัวหนึ่ง ขณะนี้ pe ของ cash ก็สูงถึงกว่า 50 เท่าไปแล้ว
นอกจากนี้ผมจะประเมินความเสี่ยง limit downsize แต่ละตัวว่าหากลงมา เช่น -10%-20% แล้ว มูลค่าที่ลดลงจากราคาระยะสั้นจะอยู่ระดับเท่าไร เช่น หลักหมื่น หลักแสน เป็นต้น ระดับนี้เรามีกำลังรับไหวและทนถือได้ไหม หากไม่ไหว ก็อย่าทุ่มตัวใดตัวหนึ่งมากไป กระจายไปลงหุ้นตัวอื่นบ้างเพื่อความสบายใจ
หากยังมีหุ้นไม่น่าสนใจเลย ผมก็อาจเลือกพวก defensive stock เช่น กองทุนอสังหาฯ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นต้น ที่มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ราคาหุ้นโตตามผลประกอบการด้วย สถาพคล่องดูจากปริมาณซื้อขายและขนาดกองทุนที่ใหญ่ใช้ได้ เป็นที่พักเงินก่อน เพราะถือไปเรายังได้เงินปันผลที่สูงกว่าประจำลดค่าเสียโอกาสเงินเป็นต้น
วิธีนี้ผมเห็นว่่ามันช่วยให้เราอดทนถือได้นานขึ้น กะวนกะวายน้อยลง และมีสติในการดูข้อมูลรอบคอบ และลด bias ในการเปิดรับข้อมูลเป็นกลางได้มากขึ้นครับ เพราะเราได้วางแผนเรื่อง downside risk ไว้แต่ต้นแล้ว ทำให้ทนถือรอ upside ให้ราคาหุ้นสะท้อนพื้นฐานได้ในอนาคตเมื่อโอกาสมาถึงครับ
มา share กันครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1627
อ่านเพลินเลยครับ อ.ชัยธร
ลืมความเศร้าเรื่องหุ้นตกไปชั่วขณะ
ขอร้องไห้แป๊ป
ลืมความเศร้าเรื่องหุ้นตกไปชั่วขณะ
ขอร้องไห้แป๊ป
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1628
แสดงว่าคุณ chaitorn มองที่ downside risk เป็นอันดับแรกก่อนใช่ไหมครับ
ตรงนี้ผมเห็นด้วยจริง ๆ ครับ จะว่าไปตอนนี้ในความเห็นของผม หุ้นที่มีลักษณะ new low หรือค่อนข้างจะ low มีให้เห็นหลายตัวทีเดียว ซึ่งการมองที่เงินปันผลนั้นก็เป็นโมเดลหนึ่งที่ผมเคยใช้กับหุ้น EASON เมื่อตอนปีที่มีน้ำท่วม เนื่องจากหุ้นราคาต่ำ ผลตอบแทนเงินปันผลน่าจะได้มากกว่า 5% และมีทีท่าว่าจะได้มากขึ้นในปีนั้น บทสรุปของหุ้นตัวนี้นอกจากจะได้เงินปันผลที่มากแล้ว กำไรที่โตขึ้นก็ทำให้หุ้นขึ้นไปหลายสิบ% ครับ
นอกจากนั้น ในหุ้นหลายตัวที่อาจจะเป็นสินค้าคอมโมหรือโดนปัจจัยลบอะไรบางอย่าง ผมว่าก็น่าสนใจ "ถ้าเราสามารถ" ซื้อแล้วรอได้ครับ หรืออย่างหุ้นที่มีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจที่มีแนวโน้มจะดีขึ้น
จะว่าไปแล้วส่วนใหญ่ที่เป็นความผิดพลาดของเราก็คือ เรามักจะทนเห็นราคาหุ้นลงไม่ได้นั่นเอง ทำให้เกิดความกลัว กระวนกระวายไม่มีความสุข
ในความเห็นผม ถ้าเราวิเคราะห์มาดีแล้ว ก็จงอย่าไปทุกข์ร้อนอะไรกับมันมากครับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับ
ผมเองเป็นคนที่ลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ และเงินก็มักจะอยู่ในหุ้นแทบจะ 100% ยกเว้นบางช่วงที่อาจจะน้อยลงบ้างแต่ก็มักจะไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งถ้าคนภายนอกเห็นเค้าก็จะมองว่ามันเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก
แต่ที่ผมอยู่กับมันได้ ไม่ใช่เพราะผมมีความมั่นใจสูงอะไรมากมายขนาดนั้นครับ เพียงแต่ผมยึดหลัก ไม่พยายามไปซื้อหุ้นที่ราคาสูง ๆ โดยเฉพาะพวกที่ทำราคา high ถึงแม้ธุรกิจจะดียังไงก็ตาม ถึงแม้ว่ากำไรที่บ.ทำได้มีโอกาสจะมากขึ้นก็ตาม เพราะยังไงเสีย ถ้ามันไม่เป็นไปตามคาด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ราคาที่ลงมาอย่างรุนแรงเช่นกัน
ฉะนั้นหุ้นที่ผมเลือกจะเป็นลักษณะที่ลงมาในราคาที่ค่อนข้างต่ำหน่อย ยิ่ง low ยิ่งดี ยิ่งวอลุมการซื้อขายน้อยยิ่งดี ยิ่งตลาดลงแล้วยังยืนอยู่ได้ยิ่งดี ยิ่งมีตัวเร่งที่กำลังจะทำงานยิ่งดีมาก ๆ แบบนี้เราจะไม่เสี่ยงครับ เพียงแต่แนวทางวิธีแบบนี้มันต้องมีความอดทนที่จะรอครับ ซึ่งอาจจะต่างกับหุ้นที่กำลังขึ้นไปในลักษณะราคา high เรื่อย ๆ
จริงอยู่ช่วงตลาดกระทิงจัด ผลตอบแทนอาจจะไม่เริดมาก ๆ แต่ผมเชื่อว่าระยะยาวก็ไม่ขี้เหร่ครับ เพราะยามตลาดกระทิงจัด มันคือกระแสของการเก็งกำไร หุ้นอะไรก็พร้อมที่จะขึ้นได้ และไม่ต้องพยายามหาเหตุผลว่ามันขึ้นเพราะอะไรครับ
ถ้าใครเคยลองไปนั่งดูการซื้อขายหุ้นในห้องค้า ซึ่งผมเคยไปนั่งเล่นเมื่อสมัยสิบกว่าปีก่อน จะเข้าใจครับ ว่าคนที่เก็งกำไรก็คือเก็งกำไรจริง ๆ ครับ บางครั้งแค่หุ้นกระพริบ ๆ ขึ้นไปหลาย ๆ ช่องเค้าก็พร้อมจะโดดตามครับ
ในความเป็นจริง ตัวผมเองก็ใช้วิธีลงทุนหลากหลายครับ ขึ้นอยู่กับว่าจะเจอหุ้นที่น่าสนใจแบบไหน
ส่วนในเรื่องของเงินที่อยู่ในหุ้นมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นนั้น ผมมีวิธีบริหารจัดการในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินมาก ๆ ผมไม่เกี่ยงที่จะต้องขายหุ้นทิ้งครับ เพราะถือคติว่าการทิ้งเงินไว้กินดอกเบี้ยในธนาคารนั้นได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าครับ ถ้าจำเป็นจริง ๆ ที่ต้องใช้เงินด่วนและมาก อย่างมากผมก็ใช้บัตรเครดิตครับ
ถ้าบัตรมีวงเงินมากมันก็มีประโยชน์ทั้งในแง่รูดไปก่อนหรือจะกดเงินสด แต่ในความเป็นจริงยังไม่เคยต้องใช้ครับ เพียงแต่คิดทางหนีทีไล่ไว้เฉย ๆ
ทีนี้พอพอร์ตเราโตขึ้น กำไรมันเยอะกว่าต้นทุนมาก เราจะยิ่งไม่ต้องกังวลอะไรกับมันมากนัก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ระวังนะครับ
ตรงนี้ผมเห็นด้วยจริง ๆ ครับ จะว่าไปตอนนี้ในความเห็นของผม หุ้นที่มีลักษณะ new low หรือค่อนข้างจะ low มีให้เห็นหลายตัวทีเดียว ซึ่งการมองที่เงินปันผลนั้นก็เป็นโมเดลหนึ่งที่ผมเคยใช้กับหุ้น EASON เมื่อตอนปีที่มีน้ำท่วม เนื่องจากหุ้นราคาต่ำ ผลตอบแทนเงินปันผลน่าจะได้มากกว่า 5% และมีทีท่าว่าจะได้มากขึ้นในปีนั้น บทสรุปของหุ้นตัวนี้นอกจากจะได้เงินปันผลที่มากแล้ว กำไรที่โตขึ้นก็ทำให้หุ้นขึ้นไปหลายสิบ% ครับ
นอกจากนั้น ในหุ้นหลายตัวที่อาจจะเป็นสินค้าคอมโมหรือโดนปัจจัยลบอะไรบางอย่าง ผมว่าก็น่าสนใจ "ถ้าเราสามารถ" ซื้อแล้วรอได้ครับ หรืออย่างหุ้นที่มีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจที่มีแนวโน้มจะดีขึ้น
จะว่าไปแล้วส่วนใหญ่ที่เป็นความผิดพลาดของเราก็คือ เรามักจะทนเห็นราคาหุ้นลงไม่ได้นั่นเอง ทำให้เกิดความกลัว กระวนกระวายไม่มีความสุข
ในความเห็นผม ถ้าเราวิเคราะห์มาดีแล้ว ก็จงอย่าไปทุกข์ร้อนอะไรกับมันมากครับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับ
ผมเองเป็นคนที่ลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ และเงินก็มักจะอยู่ในหุ้นแทบจะ 100% ยกเว้นบางช่วงที่อาจจะน้อยลงบ้างแต่ก็มักจะไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งถ้าคนภายนอกเห็นเค้าก็จะมองว่ามันเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก
แต่ที่ผมอยู่กับมันได้ ไม่ใช่เพราะผมมีความมั่นใจสูงอะไรมากมายขนาดนั้นครับ เพียงแต่ผมยึดหลัก ไม่พยายามไปซื้อหุ้นที่ราคาสูง ๆ โดยเฉพาะพวกที่ทำราคา high ถึงแม้ธุรกิจจะดียังไงก็ตาม ถึงแม้ว่ากำไรที่บ.ทำได้มีโอกาสจะมากขึ้นก็ตาม เพราะยังไงเสีย ถ้ามันไม่เป็นไปตามคาด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ราคาที่ลงมาอย่างรุนแรงเช่นกัน
ฉะนั้นหุ้นที่ผมเลือกจะเป็นลักษณะที่ลงมาในราคาที่ค่อนข้างต่ำหน่อย ยิ่ง low ยิ่งดี ยิ่งวอลุมการซื้อขายน้อยยิ่งดี ยิ่งตลาดลงแล้วยังยืนอยู่ได้ยิ่งดี ยิ่งมีตัวเร่งที่กำลังจะทำงานยิ่งดีมาก ๆ แบบนี้เราจะไม่เสี่ยงครับ เพียงแต่แนวทางวิธีแบบนี้มันต้องมีความอดทนที่จะรอครับ ซึ่งอาจจะต่างกับหุ้นที่กำลังขึ้นไปในลักษณะราคา high เรื่อย ๆ
จริงอยู่ช่วงตลาดกระทิงจัด ผลตอบแทนอาจจะไม่เริดมาก ๆ แต่ผมเชื่อว่าระยะยาวก็ไม่ขี้เหร่ครับ เพราะยามตลาดกระทิงจัด มันคือกระแสของการเก็งกำไร หุ้นอะไรก็พร้อมที่จะขึ้นได้ และไม่ต้องพยายามหาเหตุผลว่ามันขึ้นเพราะอะไรครับ
ถ้าใครเคยลองไปนั่งดูการซื้อขายหุ้นในห้องค้า ซึ่งผมเคยไปนั่งเล่นเมื่อสมัยสิบกว่าปีก่อน จะเข้าใจครับ ว่าคนที่เก็งกำไรก็คือเก็งกำไรจริง ๆ ครับ บางครั้งแค่หุ้นกระพริบ ๆ ขึ้นไปหลาย ๆ ช่องเค้าก็พร้อมจะโดดตามครับ
ในความเป็นจริง ตัวผมเองก็ใช้วิธีลงทุนหลากหลายครับ ขึ้นอยู่กับว่าจะเจอหุ้นที่น่าสนใจแบบไหน
ส่วนในเรื่องของเงินที่อยู่ในหุ้นมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นนั้น ผมมีวิธีบริหารจัดการในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินมาก ๆ ผมไม่เกี่ยงที่จะต้องขายหุ้นทิ้งครับ เพราะถือคติว่าการทิ้งเงินไว้กินดอกเบี้ยในธนาคารนั้นได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าครับ ถ้าจำเป็นจริง ๆ ที่ต้องใช้เงินด่วนและมาก อย่างมากผมก็ใช้บัตรเครดิตครับ

ทีนี้พอพอร์ตเราโตขึ้น กำไรมันเยอะกว่าต้นทุนมาก เราจะยิ่งไม่ต้องกังวลอะไรกับมันมากนัก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ระวังนะครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1630
ผมชักจะสงสัยแล้ว ว่านับวันห้องหาดใหญ่ คนจะเข้ามากกว่าห้องกลางของเวบซะแล้วมั้ง
ส่วนเรื่องการดูdownside หรือดูว่าหุ้นตกจนเกือบสะเด็ดน้ำหรือยัง... พี่หมอ leky, chaitorn, พี่ลูกหินดูยังไงอ่ะครับ

ส่วนเรื่องการดูdownside หรือดูว่าหุ้นตกจนเกือบสะเด็ดน้ำหรือยัง... พี่หมอ leky, chaitorn, พี่ลูกหินดูยังไงอ่ะครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1631
ท่าจะจริงครับ 555 ผมว่าคนคงเบื่อ ๆ น่ะครับ ห้องร้อยคนส่วนใหญ่ก็คุยหุ้นตัวเดียวกัน ห้องรวมบางครั้งมันก็เหมือนเป็นหัวข้อ ๆ ไปromee เขียน:ผมชักจะสงสัยแล้ว ว่านับวันห้องหาดใหญ่ คนจะเข้ามากกว่าห้องกลางของเวบซะแล้วมั้ง![]()
ส่วนเรื่องการดูdownside หรือดูว่าหุ้นตกจนเกือบสะเด็ดน้ำหรือยัง... พี่หมอ leky, chaitorn, พี่ลูกหินดูยังไงอ่ะครับ
แต่ห้องนั่งเล่น มันเหมือนเราเข้ามา อยากคุยอะไรก็คุย แล้วแต่ว่าตอนนั้นสนใจหรือมีอะไรที่เป็นกระแส สมาชิกเดิม ๆ รู้นิสัยใจคอ พื้นฐานในระดับหนึ่ง
ส่วนเรื่องดู downside นี่ มันไม่มีการดูอะไรที่เป็นเกณฑ์ตายตัวเลยครับ และมันก็ต้องย้อนกลับมาถามตัวเองก่อนเลยว่าต้องการ MOS แค่ไหน
บางครั้งตัวเลข PE PB Yield ก็พอใช้ได้แต่ไม่ทุกกรณี
บางทีผมก็ดูแบบอ้อม ๆ เช่นหุ้นตัวหนึ่งมีเหตุการณ์เลวร้ายสุด ๆ ตกจาก 20 เหลือ 10 บาท แต่พื้นฐานกำลังจะดีขึ้นแบบนี้ก็น่าสนใจ เพราะหุ้นเจอกับ worse case ไปแล้วและกำลังจะดีขึ้น ตัวอย่างที่น่าจะใกล้เคียงก็ตอนที่ซื้อ หุ้นน้ำมันชื่อ "ระดับโลก" ที่ 53 บาท ที่ร่วงลงมาจาก 60 กว่าบาท เพราะมองว่าราคาน้ำมันลงมารับข่าวขาดทุนสต๊อกมาพอแล้ว นอกจากนั้นก็ได้ปันผลเป็นของแถม
บางทีก็ดูแบบกำปั้นทุบดิบไปเลย หุ้นแทบจะไม่ค่อยลง วอลุมซื้อขายน้อย ๆ stress test ผ่านอะไรทำนองนั้น เช่นตอนซื้อหุ้นถังแก๊สตรง 24 บาท
พูดง่าย ๆ ว่าต้องพลิกแพลงเอาครับ แต่ถ้าทำบ่อย ๆ มันจะรู้สึกได้เองครับ ว่าแบบไหนน่าจะโอเคครับ
ไม่รู้คนอื่นมีวิธียังไงนะครับ ต้องลองฟัง ๆ ดูครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1632
เรื่อง downside risk ที่ต่ำ ผมมี 2 มุมมองleky เขียน:ท่าจะจริงครับ 555 ผมว่าคนคงเบื่อ ๆ น่ะครับ ห้องร้อยคนส่วนใหญ่ก็คุยหุ้นตัวเดียวกัน ห้องรวมบางครั้งมันก็เหมือนเป็นหัวข้อ ๆ ไปromee เขียน:ผมชักจะสงสัยแล้ว ว่านับวันห้องหาดใหญ่ คนจะเข้ามากกว่าห้องกลางของเวบซะแล้วมั้ง![]()
ส่วนเรื่องการดูdownside หรือดูว่าหุ้นตกจนเกือบสะเด็ดน้ำหรือยัง... พี่หมอ leky, chaitorn, พี่ลูกหินดูยังไงอ่ะครับ
แต่ห้องนั่งเล่น มันเหมือนเราเข้ามา อยากคุยอะไรก็คุย แล้วแต่ว่าตอนนั้นสนใจหรือมีอะไรที่เป็นกระแส สมาชิกเดิม ๆ รู้นิสัยใจคอ พื้นฐานในระดับหนึ่ง
ส่วนเรื่องดู downside นี่ มันไม่มีการดูอะไรที่เป็นเกณฑ์ตายตัวเลยครับ และมันก็ต้องย้อนกลับมาถามตัวเองก่อนเลยว่าต้องการ MOS แค่ไหน
บางครั้งตัวเลข PE PB Yield ก็พอใช้ได้แต่ไม่ทุกกรณี
บางทีผมก็ดูแบบอ้อม ๆ เช่นหุ้นตัวหนึ่งมีเหตุการณ์เลวร้ายสุด ๆ ตกจาก 20 เหลือ 10 บาท แต่พื้นฐานกำลังจะดีขึ้นแบบนี้ก็น่าสนใจ เพราะหุ้นเจอกับ worse case ไปแล้วและกำลังจะดีขึ้น ตัวอย่างที่น่าจะใกล้เคียงก็ตอนที่ซื้อ หุ้นน้ำมันชื่อ "ระดับโลก" ที่ 53 บาท ที่ร่วงลงมาจาก 60 กว่าบาท เพราะมองว่าราคาน้ำมันลงมารับข่าวขาดทุนสต๊อกมาพอแล้ว นอกจากนั้นก็ได้ปันผลเป็นของแถม
บางทีก็ดูแบบกำปั้นทุบดิบไปเลย หุ้นแทบจะไม่ค่อยลง วอลุมซื้อขายน้อย ๆ stress test ผ่านอะไรทำนองนั้น เช่นตอนซื้อหุ้นถังแก๊สตรง 24 บาท
พูดง่าย ๆ ว่าต้องพลิกแพลงเอาครับ แต่ถ้าทำบ่อย ๆ มันจะรู้สึกได้เองครับ ว่าแบบไหนน่าจะโอเคครับ
ไม่รู้คนอื่นมีวิธียังไงนะครับ ต้องลองฟัง ๆ ดูครับ
ครั้งหนึ่ง scc เคยลงจาก 300 กว่าบาท ลงมาเหลือต่ำกว่า 100 บาทเมื่อปี 2551 ตอนนั้น คนเข้าซื้อที่ราคา 100 บาทกว่า ๆ จำนวนมาก ไม่คิดว่าราคาหุ้นชั้นดี จะตกต่ำกว่า 100 บาทได้ แต่มันก็ลงมาให้เห็น ๆ แม้ mos ที่เราคำนวนจะสูงมากพอ แต่ระยะสั้น เวลาทำ new low มันก็ลงได้อีก สุดท้ายวันนี้มันขึ้นมา 500 กว่าบาทในเวลาไม่ถึง 10 ปี ใครดูประวัติ scc เราก็เห็นชัดว่าเวลาลงไป สุดท้ายมันจะกลับมาได้เสมอ เพราะคุณภาพคนสุดยอดมาก ๆ และธุรกิจมีเป้าหมายและกลยุทธ์ชัดเจน
ขณะที่เราเห็น banpu แม้ผู้บริหารจะเก่งมาก แต่วางกลยุทธ์หลักไป focus ธุรกิจต้นน้ำอย่างเดียวในอดีตคือ ถ่านหินเป็นหลัก และขายธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นปิโตรเคมี โรงไฟฟ้าออกไป เพราะคิดว่าการเน้นความเชี่ยวชาญด้านเดียวจะดีกว่าเชื่อฝรั่งที่ปรึกษามากไป 555 เอาเงินกำไรไปซื้อกิจการต่างประเทศทั้งอินโด ออสเตรเลีย และจีน ราคาเคยขึ้นไปถึงเกือบ 800 บาท แต่วันนี้ราคาทำ new low ลงมาถึง 200 กว่าบาทที่เป็น new low แตก par เหลือ 1 บาท จาก 10 บาท เพราะมีคดีฟ้องร้องโรงไฟฟ้า หงสา และ ราคาถ่านหินยังตกต่ำเป็นเวลานานมาก
วันนี้กำลังแก้เกม หันไปทำธุรกิจ downsteam โรงไฟฟ้าที่มีรายได้แน่นอนมากขึ้นมาชดเชยกับราคาถ่านหินที่ยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว
อะไรก็เกิดได้ครับ แม้ downside จะต่ำแล้ว ก็ไม่ใช่ระยะสั้นจะไม่ตกต่ำกว่า
บางตัวก็ยังnew low อยู่ไม่ฟื้นแม้จะลงทุนหลายปี
บางตัว new low สักพัก พอกลยุทธ์มาถูกทาง ผลงานดีวันดีคืน ราคาหุ้นก็กลับมาทำ new high ใหม่ เป็นสถิติใหม่ที่สูงสุดทีเดียวครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1633
สำหรับผมมักเลือกหุ้นที่เติบโต แข็งแกร่ง ปันผลดี ราคาถูก ปราศจากฝรั่งถือ และdonwsideจำกัด (ฝรั่งที่หมายถึง ไม่รวมพาร์เนอร์ที่เข้ามาถือยาวแล้วไม่ซื้อๆขายๆนะครับ) และเมื่อผมขายหุ้นไปแล้ว หุ้นทุกตัวที่ขายไปจะต้องขึ้นต่อในระยะยาวเท่านั้น และผลประกอบการก็ต่อดีต่อในระยะยาวด้วย ถ้าผิดจากนี้ ผมจะถือว่าเราลงทุนผิดพลาดถึงแม้จะได้กำไรก็ตาม ส่วนเหตุผลที่ขายก็เพราะว่า ถ้าผมประเมินมูลค่าแล้ว สรุประยะสั้นขึ้นมาเร็วไป เราเจอตัวใหม่ที่มี upside ดีกว่า โตกว่า ถูกกว่า แข็งแกร่งใกล้เคยเดิม และโตในระยะยาว ผมก็จะไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนตัว และไม่ยึดติดใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะผูกพันแค่ไหน หรือถือมานานเท่าใด ผมจะใช้เหตุผลเป็นหลักเท่านั้นครับ ส่วนหุ้นตัวอื่นๆที่ศึกษา เพราะผมชอบเรียนรู้ทุกๆอย่าง ผมคิดว่าเราอาจจะไม่ได้ทำอะไรกับหุ้นเหล่านั้นเลย แต่มันได้ความรู้ ความเข้าใจและประสบการ์ณครับ โดยหุ้นที่กล่าวมาทั้งหมด ผมไม่เคยซื้อตัวไหนถึง 1% ของพอร์ตเลยครับ และส่วนใหญ่ถึงรู้ว่าน่าจะขึ้นแต่ก็ชอบนั่งดูเฉยๆครับ ส่วนตลาดโดยรวมที่ตกมากในช่วงนี้ ผมขอสรุปแบบงูๆปลาๆตามที่ผมคิดดังนี้นะครับ เศรษฐกิจเราแย่มานานแล้ว แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ตํ่า ผู้คนดิ้นรนที่จะหาผลตอบแทนที่ดีกว่า กระแสคนประสบความสำเร็จมีมาก การยอมรับอาชีพนักลงทุนในสังคมกว้างขว้างขึ้น เด็กรุ่นใหม่กล้าเสี่ยงในตลาดมากขึ้น เงินจึงไหลเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ (ทั้งหมดในทุกกลุ่มที่เข้ามาลงทุน ผมเห็นใจผู้สูงอายุส่วนใหญ่ที่ไม่มีความรู้และไม่มีทางเลือก เพราะเดิมทำงานเก็บเงินแล้วคิดว่าถ้ามีสัก 5 ล้าน กินดอกสัก 5-6% คงพอให้สามารถดำรงชีพตอนแก่ได้ แต่ตอนนี้เหมือนว่าจำเป็นต้องลงทุน เพราะถ้าไม่ทำเงินหมดก่อนตายแน่) ซึ่งไม่ว่าฝรั่งจะขายยังไง หุ้นก็ตกไม่มากและกลับขึ้นมาได้ทุกครั้ง ด้วยเงินที่ไหลเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ตลาดเรามีวิวัฒนาการเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ซึ่งเมื่อก่อนถ้าฝรั่งขายเยอะๆวันไหนหุ้นตกที 5-10% ได้เลย แต่ตอนนี้ฝรั่งมีผลลดลงเรื่อยๆ เพราะมวลชนไทยเราอยู่ด้วยความหวังที่มากขึ้น มั่นใจขึ้น และคิดว่าตลาดเรามีเสถียรภาพ และผมคิดว่ากองทุนต่างชาติเค้าก็ได้ลองทั้งซื้อทั้งขายเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเรามาสักพักใหญ่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมามีผู้รู้ออกมาเตือนกันหลายรอบว่าหุ้นเราแพง แต่ทุกคนกลับทำนิ่งเฉย รวมถึงโบรกที่ประเมินผลประกอบการว่าเราจะโตเท่านั้นเท่านี้ต่อปี pe ในอนาคตไม่แพงเท่าไร เป็นราคาที่เหมาะสม ดัชนีจะไป 1700 ซึ่งผมพอเข้าใจได้ว่าเป็นรายได้ของเขา ซึ่งเขาไม่อยากให้คนหายไป อยากให้ทุกๆคนมาช่วยกันจ่ายค่าหัวคิวให้ทุกๆวัน ซึ่งตอนหลังๆดัชนีเริ่มไปต่อไม่ได้ เริ่มมีคนได้คนเสียสลับกันไป แต่ทุกคนอยากได้เท่าเดิม เลยเข้าไปเสี่ยงมากขึ้น หาหุ้นที่ได้ผลตอบแทนเร็วๆ นั้นก็คือหุ้นตัวเล็กๆในตลาด mai นั้นเอง เพราะในช่วงแรกปราศจากกองทุนและฝรั่ง หุ้นมาร์เก็ตแค็ปเล็กเงินเข้านิดๆหน่อยๆก็วิ่งขึ้นสบาย แต่เมื่อหุ้นขึ้นไปมากและไปต่อไม่ไหว มันก็มีอยู่ทางเดียวคืออยู่กับที่แล้วก็ลงมา ซึ่งมันได้สร้างความเสียหายมากขึ้น ผู้คนเริ่มมั่นใจน้อยลง มูลค้าซื้อขายของตลาดค่อยๆลดลง และนี่เป็นช่วงเวลาที่ฝรั่งรอค่อย มูลค่าซื้อขายในปัจจุบันของเขาเริ่มมีผลกับตลาด เมื่อเราแข็งแรงทุบยังไงก็ไม่ลง ตอนนี้เรากำลังลดลงเรื่อยๆ เค้าก็เริ่มกลับมาโจมตีเราอีกครั้ง เพราะเหตุผลที่เค้ามาก็เพราะผลประโยชน์ ถ้าไม่ได้ประโยชน์เค้าไม่สนเพราะประเทศเราเล็กมาก ตอนนี้ผมคงจับตาดูไปเรื่อยๆ และรอจนกว่าเงินบาทอ่อนมากพอ และดัชนีลงมาจนนิ่ง และมูลค่าซื้อขายต่อวันลดลงจนเรียกว่าซบเซา ผมจึงจะพิจารณาปรับพอร์ตอีกทีนึงครับ ส่วนเหตุผลที่ผมไม่ลงทุนในหุ้นที่กองทุนหรือฝรั่งถือกันมากๆเพราะว่า ประเทศเราเล็ก ถ้าเค้าจะเอาเราลง เค้าสามารถขายขาดทุนได้โดยไม่สนอะไรเท่าไร เรียกว่าทุบเพื่อเก็บของก็ได้ครับ เพราะเค้าคุ้ม ตอนนี้ผมจับตาดูอยู่ว่าจะเกิดกระแสคนแห่ไปถอนกองทุนหรือไม่ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าเกิด เพราะผ่านเข้ามาช่วงปลายปีแล้ว เงินใหม่ที่จะซื้อเพื่อลดภาษีคงทะยอยไหลเข้า รวมถึงพฤติกรรมและความคิดของผู้คนที่เปลี่ยนไป เป็นการถือกองทุนแล้วไม่ดูเลย เก็บเป็นเงินออมระยะยาวมีมากขึ้นมาก โดยผมคิดว่าดัชนีในกรณีเลวร้ายสุดไม่น่าหลุด 1200 จุดครับ แต่ที่เป็นไปได้มากสุดน่าจะอยู่ที่ 1350 จุด
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1635
Downside risk ที่ต่ำ มาจากคำสอนของ อาจารย์ warren buffett นั้นเอง
คำว่าอย่าขาดทุน ถ้าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา ก็คือ อย่าประมาท
ดังนั้น นัยสำคัญของคำว่า ขาดทุน เราต้องไปหาเหตุที่มาที่ทำให้เราขาดทุนได้ เกิดจากอะไร เราก็จะต้องไม่เดินไปทางนั้นนั่นเอง
เมื่อเรารู้เหตุที่ทำให้เราขาดทุนคืออะไร เราก็ตั้งศีลเหมือน ศีล 5 นั้นเอง เราต้องมีวินัยให้ชัดในเรื่องนี้
เช่น ต้องไม่ไปเล่นกับนายตลาด เพราะนายตลาดที่เก่งระยะสั้นก็จะเล่นกับเราในระยะสั้นเช่นกัน
ไม่ลงทุนเหมือนการพนัน ต้องลงทุนเสมือนเราเป็นเจ้าของธุรกิจที่อาจต้องถือหุ้นนั้นตลอดไป ไม่ขายก็ได้ เป็นต้น
แล้วเราก็ค่อยไปหามรรควิธีที่จะทำให้เรามีกำไร ที่ตรงข้ามกับขาดทุนนั้นเอง
สรุปคือ ซื้อหุ้นที่คุณภาพดี ในราคาที่ต่ำกว่่มูลค่าแท้จริง มี mos ที่พอนั้นเองครับ
คำว่าอย่าขาดทุน ถ้าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา ก็คือ อย่าประมาท
ดังนั้น นัยสำคัญของคำว่า ขาดทุน เราต้องไปหาเหตุที่มาที่ทำให้เราขาดทุนได้ เกิดจากอะไร เราก็จะต้องไม่เดินไปทางนั้นนั่นเอง
เมื่อเรารู้เหตุที่ทำให้เราขาดทุนคืออะไร เราก็ตั้งศีลเหมือน ศีล 5 นั้นเอง เราต้องมีวินัยให้ชัดในเรื่องนี้
เช่น ต้องไม่ไปเล่นกับนายตลาด เพราะนายตลาดที่เก่งระยะสั้นก็จะเล่นกับเราในระยะสั้นเช่นกัน
ไม่ลงทุนเหมือนการพนัน ต้องลงทุนเสมือนเราเป็นเจ้าของธุรกิจที่อาจต้องถือหุ้นนั้นตลอดไป ไม่ขายก็ได้ เป็นต้น
แล้วเราก็ค่อยไปหามรรควิธีที่จะทำให้เรามีกำไร ที่ตรงข้ามกับขาดทุนนั้นเอง
สรุปคือ ซื้อหุ้นที่คุณภาพดี ในราคาที่ต่ำกว่่มูลค่าแท้จริง มี mos ที่พอนั้นเองครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1636
ต่อนะครับ พิมพ์ยาวกลัวค้างนะครับ
ผมวางแผนมา 2 ปีแล้วครับ เข้าโหมดป้องกันตัว โดยผมหลบเข้ามาอยู่ในหุ้นเติบโต ปันผลดี ราคาถูก แข็งแกร่งและไม่มีฝรั่งถือ เพราะผมจำตอนซับพรามได้ หุ้นใหญ่ลง 5 เด้ง ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม ผมจึงเลือกหุ้นที่ ถ้าดัชนีลง 4 เท่า หุ้นผมจะต้องลงไปแค่เท่าเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าเกิดขึ้นผมจะปรับพอร์ตทันที เหมือนตอนซับพรามที่ผมขาย becl ไป 18 บาทแล้วเข้า aot 19 บาท ถึงหุ้นจะตกต่อจนถึง 15 บาทแต่ผมกลับนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวจนแฟนผมบอกว่าบ้าหรือเปล่า ขาดทุนแล้วยังอารมณ์ดีอยู่ได้ (ไม่ค่อยรู้จักใครเลยนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าครับ) และถ้ากลับสู่สภาวะปกติ ผลตอบแทนคงจะดีมากครับ ซึ่งผมใช้วิธีเก็บเกี่ยวความรู้และประเมินมูลค้าหุ้นอยู่เสมอ และรอโอกาสไปเรื่อยๆ แต่สรุปแล้วครั้งนี้ผมคงไม่ได้ทำอะไรมากกว่า เพราะผมคาดว่าดัชนีคงไม่ตกลงหลายๆเท่า นอกจากมีเหตุการ์ณที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่ผมชอบเตรียมพร้อมในทุกสถานะการ์ณนะครับ เวลาเกิดเหตุขึ้นจะได้มีสติครับ เวลาตลาดขาขึ้นผลตอบแทนผมก็พื้นๆ เวลาตลาดลงผมก็ขอผลตอบแทนพื้นๆเช่นกัน ผมต้องการอยู่ในตลาดไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นผมจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้นอีกหน่อย ผมพอใจในสิ่งที่ได้ครับ ส่วนการลงทุนถ้าหุ้นที่ผมถือผมประเมินแล้วว่า3-5 ปีขึ้นไปได้อีก 1 เท่า ระยะสั้นจะลงยังไงผมก็ไม่สนใจ จะเอาเวลาไปค่อยตรวจสอบและทบทวนว่า หุ้นที่เราถือจะมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ ถ้าไม่มีก็อยู่เฉยๆครับ แชร์กันประมาณนี้นะครับ
ผมวางแผนมา 2 ปีแล้วครับ เข้าโหมดป้องกันตัว โดยผมหลบเข้ามาอยู่ในหุ้นเติบโต ปันผลดี ราคาถูก แข็งแกร่งและไม่มีฝรั่งถือ เพราะผมจำตอนซับพรามได้ หุ้นใหญ่ลง 5 เด้ง ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม ผมจึงเลือกหุ้นที่ ถ้าดัชนีลง 4 เท่า หุ้นผมจะต้องลงไปแค่เท่าเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าเกิดขึ้นผมจะปรับพอร์ตทันที เหมือนตอนซับพรามที่ผมขาย becl ไป 18 บาทแล้วเข้า aot 19 บาท ถึงหุ้นจะตกต่อจนถึง 15 บาทแต่ผมกลับนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวจนแฟนผมบอกว่าบ้าหรือเปล่า ขาดทุนแล้วยังอารมณ์ดีอยู่ได้ (ไม่ค่อยรู้จักใครเลยนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าครับ) และถ้ากลับสู่สภาวะปกติ ผลตอบแทนคงจะดีมากครับ ซึ่งผมใช้วิธีเก็บเกี่ยวความรู้และประเมินมูลค้าหุ้นอยู่เสมอ และรอโอกาสไปเรื่อยๆ แต่สรุปแล้วครั้งนี้ผมคงไม่ได้ทำอะไรมากกว่า เพราะผมคาดว่าดัชนีคงไม่ตกลงหลายๆเท่า นอกจากมีเหตุการ์ณที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่ผมชอบเตรียมพร้อมในทุกสถานะการ์ณนะครับ เวลาเกิดเหตุขึ้นจะได้มีสติครับ เวลาตลาดขาขึ้นผลตอบแทนผมก็พื้นๆ เวลาตลาดลงผมก็ขอผลตอบแทนพื้นๆเช่นกัน ผมต้องการอยู่ในตลาดไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นผมจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้นอีกหน่อย ผมพอใจในสิ่งที่ได้ครับ ส่วนการลงทุนถ้าหุ้นที่ผมถือผมประเมินแล้วว่า3-5 ปีขึ้นไปได้อีก 1 เท่า ระยะสั้นจะลงยังไงผมก็ไม่สนใจ จะเอาเวลาไปค่อยตรวจสอบและทบทวนว่า หุ้นที่เราถือจะมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ ถ้าไม่มีก็อยู่เฉยๆครับ แชร์กันประมาณนี้นะครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1637
เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ ในอดีตที่ผมเจ็บหนักๆ เกือบทุกครั้งก็ด้วยสาเหตุนี้เอง เรียกว่า ทนพิษบาดแผลไม่ไหวleky เขียน:จะว่าไปแล้วส่วนใหญ่ที่เป็นความผิดพลาดของเราก็คือ เรามักจะทนเห็นราคาหุ้นลงไม่ได้นั่นเอง ทำให้เกิดความกลัว กระวนกระวายไม่มีความสุข
อันนี้ถือเป็นเคล็ดวิชาได้เลยครับ ผมเองก็พยายามใช้แนวทางนี้อยู่ครับ ส่วนที่ทำตามได้ยากที่สุดสำหรับผมคือ ความอดทน ครับleky เขียน:ฉะนั้นหุ้นที่ผมเลือกจะเป็นลักษณะที่ลงมาในราคาที่ค่อนข้างต่ำหน่อย ยิ่ง low ยิ่งดี ยิ่งวอลุมการซื้อขายน้อยยิ่งดี ยิ่งตลาดลงแล้วยังยืนอยู่ได้ยิ่งดี ยิ่งมีตัวเร่งที่กำลังจะทำงานยิ่งดีมาก ๆ แบบนี้เราจะไม่เสี่ยงครับ เพียงแต่แนวทางวิธีแบบนี้มันต้องมีความอดทนที่จะรอครับ ซึ่งอาจจะต่างกับหุ้นที่กำลังขึ้นไปในลักษณะราคา high เรื่อย ๆ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1638
อ่านแล้วรู้สึกเหมือนนอนหลับอยู่แล้วมีคนเขย่าแรงๆ ให้ตื่นเลยครับchaitorn เขียน:Downside risk ที่ต่ำ มาจากคำสอนของ อาจารย์ warren buffett นั้นเอง
คำว่าอย่าขาดทุน ถ้าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา ก็คือ อย่าประมาท
ดังนั้น นัยสำคัญของคำว่า ขาดทุน เราต้องไปหาเหตุที่มาที่ทำให้เราขาดทุนได้ เกิดจากอะไร เราก็จะต้องไม่เดินไปทางนั้นนั่นเอง
เมื่อเรารู้เหตุที่ทำให้เราขาดทุนคืออะไร เราก็ตั้งศีลเหมือน ศีล 5 นั้นเอง เราต้องมีวินัยให้ชัดในเรื่องนี้
เช่น ต้องไม่ไปเล่นกับนายตลาด เพราะนายตลาดที่เก่งระยะสั้นก็จะเล่นกับเราในระยะสั้นเช่นกัน
ไม่ลงทุนเหมือนการพนัน ต้องลงทุนเสมือนเราเป็นเจ้าของธุรกิจที่อาจต้องถือหุ้นนั้นตลอดไป ไม่ขายก็ได้ เป็นต้น
แล้วเราก็ค่อยไปหามรรควิธีที่จะทำให้เรามีกำไร ที่ตรงข้ามกับขาดทุนนั้นเอง
สรุปคือ ซื้อหุ้นที่คุณภาพดี ในราคาที่ต่ำกว่่มูลค่าแท้จริง มี mos ที่พอนั้นเองครับ
นับวันห้องนี้ยิ่งจะกลายเป็นแหล่งชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ขึ้นทุกทีๆ เสี่ยวเอ้ออย่างผมงี้ยกน้ำชา เช็ดโต๊ะ แทบไม่ทันเลยครับ เยี่ยมจริงๆ

กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1639
คุณลูกหิน
หลักการนี้มัน vi แจกตัง ไม่ใช่ vi ทมิฬ

ผมได้คำเฉลยแนวคิดของอาจารย์ ลูกหินที่หาคำตอบให้อาจารย์ kongkiti ได้ชัดเจนครบถ้วนแล้ว ว่าทำไมทุกครั้งที่อาจารย์ kongkiti ขายหุ้นออกไปทุกที ราคาจึงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไม่ลดลงและเมื่อผมขายหุ้นไปแล้ว หุ้นทุกตัวที่ขายไปจะต้องขึ้นต่อในระยะยาวเท่านั้น และผลประกอบการก็ต่อดีต่อในระยะยาวด้วย ถ้าผิดจากนี้ ผมจะถือว่าเราลงทุนผิดพลาดถึงแม้จะได้กำไรก็ตาม
หลักการนี้มัน vi แจกตัง ไม่ใช่ vi ทมิฬ



Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1640
มันส์มากครับ ทั้ง จารย์หมอเล็ก จารย์น้องชัยธร พี่ลูกหิน ศิษย์พี่ดำ หมอโรมี่ ยังมีจอมยุทธหนุ่มอย่างคุณก้องอีก อ้อยังมีเสี่ยสายชล คุณอ๊อดตี้อีก และอีกหลายๆๆๆๆท่านดำ เขียน:
นับวันห้องนี้ยิ่งจะกลายเป็นแหล่งชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ขึ้นทุกทีๆ เสี่ยวเอ้ออย่างผมงี้ยกน้ำชา เช็ดโต๊ะ แทบไม่ทันเลยครับ เยี่ยมจริงๆ
นี่ต้องยกเครดิตให้ ซือแป๋ ดร.วัน แกสุดยอดข้าวเกรียบรวยเพื่อน จิงๆ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1641
สุดยอดมากเลยครับ เป็นแนวคิดที่ผมจะนำไปประยุกต์ต่อครับลูกหิน เขียน:ต่อนะครับ พิมพ์ยาวกลัวค้างนะครับ
ผมวางแผนมา 2 ปีแล้วครับ เข้าโหมดป้องกันตัว โดยผมหลบเข้ามาอยู่ในหุ้นเติบโต ปันผลดี ราคาถูก แข็งแกร่งและไม่มีฝรั่งถือ เพราะผมจำตอนซับพรามได้ หุ้นใหญ่ลง 5 เด้ง ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม ผมจึงเลือกหุ้นที่ ถ้าดัชนีลง 4 เท่า หุ้นผมจะต้องลงไปแค่เท่าเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าเกิดขึ้นผมจะปรับพอร์ตทันที เหมือนตอนซับพรามที่ผมขาย becl ไป 18 บาทแล้วเข้า aot 19 บาท ถึงหุ้นจะตกต่อจนถึง 15 บาทแต่ผมกลับนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวจนแฟนผมบอกว่าบ้าหรือเปล่า ขาดทุนแล้วยังอารมณ์ดีอยู่ได้ (ไม่ค่อยรู้จักใครเลยนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าครับ) และถ้ากลับสู่สภาวะปกติ ผลตอบแทนคงจะดีมากครับ ซึ่งผมใช้วิธีเก็บเกี่ยวความรู้และประเมินมูลค้าหุ้นอยู่เสมอ และรอโอกาสไปเรื่อยๆ แต่สรุปแล้วครั้งนี้ผมคงไม่ได้ทำอะไรมากกว่า เพราะผมคาดว่าดัชนีคงไม่ตกลงหลายๆเท่า นอกจากมีเหตุการ์ณที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่ผมชอบเตรียมพร้อมในทุกสถานะการ์ณนะครับ เวลาเกิดเหตุขึ้นจะได้มีสติครับ เวลาตลาดขาขึ้นผลตอบแทนผมก็พื้นๆ เวลาตลาดลงผมก็ขอผลตอบแทนพื้นๆเช่นกัน ผมต้องการอยู่ในตลาดไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นผมจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้นอีกหน่อย ผมพอใจในสิ่งที่ได้ครับ ส่วนการลงทุนถ้าหุ้นที่ผมถือผมประเมินแล้วว่า3-5 ปีขึ้นไปได้อีก 1 เท่า ระยะสั้นจะลงยังไงผมก็ไม่สนใจ จะเอาเวลาไปค่อยตรวจสอบและทบทวนว่า หุ้,นที่เราถือจะมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ ถ้าไม่มีก็อยู่เฉยๆครับ แชร์กันประมาณนี้นะครับ



มันต้อง comparative เป็น dynamic ไม่ใช่ ตรงแบบไม่ยืดหยุ่น สายกลางนั้นเอง
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1642
อื้อหืม ตื่นมาก็เจอหลักคิดของรุ่นใหญ่แต่ละคน
น่าเสียดายนะฮ่ะ ถ้าพี่โจไม่ติดว่าเปนนายกสมาคม และคนรู้จักท่านเยอะขนาดนี้ ผมว่าแกคงอดไม่ได้ ต้องมาพิมพ์แจมแล้วละ รวมถึงพี่เก่าแก่คนอื่นๆ (ด้วยความเคารพและคิดถึง ผมคิดว่าพี่โจก็เข้ามาอ่านแน่ๆฮ่ะ
)
ปล.พี่nevercry ผมเปนหมอ ก้ได้แค่หมอนวดไทย จับเส้น ศิษย์วัดโพธ์แค่นั้นละคับ
น่าเสียดายนะฮ่ะ ถ้าพี่โจไม่ติดว่าเปนนายกสมาคม และคนรู้จักท่านเยอะขนาดนี้ ผมว่าแกคงอดไม่ได้ ต้องมาพิมพ์แจมแล้วละ รวมถึงพี่เก่าแก่คนอื่นๆ (ด้วยความเคารพและคิดถึง ผมคิดว่าพี่โจก็เข้ามาอ่านแน่ๆฮ่ะ

ปล.พี่nevercry ผมเปนหมอ ก้ได้แค่หมอนวดไทย จับเส้น ศิษย์วัดโพธ์แค่นั้นละคับ

You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1643
เห็นด้วยกับพี่ NB ทุกอย่างเลยครับ สุดยอดจริงๆNevercry.boy เขียน:มันส์มากครับ ทั้ง จารย์หมอเล็ก จารย์น้องชัยธร พี่ลูกหิน ศิษย์พี่ดำ หมอโรมี่ ยังมีจอมยุทธหนุ่มอย่างคุณก้องอีก อ้อยังมีเสี่ยสายชล คุณอ๊อดตี้อีก และอีกหลายๆๆๆๆท่านดำ เขียน:
นับวันห้องนี้ยิ่งจะกลายเป็นแหล่งชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ขึ้นทุกทีๆ เสี่ยวเอ้ออย่างผมงี้ยกน้ำชา เช็ดโต๊ะ แทบไม่ทันเลยครับ เยี่ยมจริงๆ
นี่ต้องยกเครดิตให้ ซือแป๋ ดร.วัน แกสุดยอดข้าวเกรียบรวยเพื่อน จิงๆ


How not to be your own worst enemy
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1644
คุณ romee ครับ ตำแหน่ง "รุ่นใหญ่" ผมไม่ขอรับนะครับromee เขียน:อื้อหืม ตื่นมาก็เจอหลักคิดของรุ่นใหญ่แต่ละคน
น่าเสียดายนะฮ่ะ ถ้าพี่โจไม่ติดว่าเปนนายกสมาคม และคนรู้จักท่านเยอะขนาดนี้ ผมว่าแกคงอดไม่ได้ ต้องมาพิมพ์แจมแล้วละ รวมถึงพี่เก่าแก่คนอื่นๆ (ด้วยความเคารพและคิดถึง ผมคิดว่าพี่โจก็เข้ามาอ่านแน่ๆฮ่ะ)
ปล.พี่nevercry ผมเปนหมอ ก้ได้แค่หมอนวดไทย จับเส้น ศิษย์วัดโพธ์แค่นั้นละคับ

เรื่องท่านนายกโจ ผมไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว แต่ก็นับถือในหลาย ๆ ด้านครับ โดยเฉพาะเรื่องการวางตัว ไม่ให้มีส่วนได้ส่วนเสียกับตำแหน่งที่ท่านได้รับ เช่น เรื่องการขอไม่ไป visit บ.ต่าง ๆ ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีครับ ทั้ง ๆ ที่จะว่าไปแล้วคุณโจจะไม่ทำก็คงไม่มีใครว่าอะไร

ผมเห็นด้วยกับคุณลูกหินครับ ว่าโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยน่าจะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว นลท.มีความรู้มากขึ้น เงินเหลือมากขึ้น สถาบันแข็งแกร่งขึ้น มีทั้ง LTF กองทริกเกอร์ ฯลฯ ทำให้เดี๋ยวนี้ฝรั่งทุบหุ้นไทยลงไม่ค่อยได้ ถ้าไม่ได้เป็นการขายแบบบ้าคลั่งจริง ๆ แบบตอนปี 51
ถ้าใครสนใจเรื่องของ downside risk ผมแนะนำให้ไปอ่านหนังสือ แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า The Most Important Thing Illuminated ที่คุณดำเคยเล่าให้ฟังครับ Howard Marks ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดและดีมากครับ แต่ถ้าอ่านจนจบอาจจะสงสัยเหมือนผมและเหมือนกับที่น้อง romee ถามว่า แล้ว downside risk นี่จะเอาเท่าไหร่ และดูยังไง ในหนังสือเองก็ไม่ได้บอกไว้เช่นกันครับ ซึ่งผมตีความเอาเองว่า มันเป็น "ศิลปะและความพอใจส่วนบุคคล" ครับ
ส่วนที่คุณลูกหินบอกถึงเรื่องการเก็งกำไรใน MAI นั้น มองอีกมุมหนึ่ง ผมว่าทุกวันนี้นลท.มีความสับสนอยู่มาก โดยเฉพาะ ถ้าหุ้นขึ้นแล้วขายได้กำไรคือเราคิดถูกต้อง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ครับ เหมือนที่อ. Howard Marks พูดไว้หนึ่งบทเต็ม ๆ ว่า "บางครั้งการแยกแยะว่าใครเป็นนลท.ชั้นเซียนกับนลท.ที่แค่ยืนถูกที่ถูกเวลาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์"
เราจึงไม่ต้องแปลกใจครับ ที่หุ้นตัวหนึ่งที่มีข่าวอะไรก็ตาม บ.ยังไม่ทันจะทำเรื่องนั้นเลย หุ้นก็วิ่งขึ้นไป คนที่เข้าไปซื้อแล้วขายได้กำไรก็เกิดอาการหลงผิดว่า "ตรูคิดถูกต้อง" ถ้าเราสังเกตดี ๆ สุดท้ายพอข่าวซาลง ราคาหุ้นก็อาจจะกลับไปอยู่ที่เดิมครับ
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะเสนอก็คือ บางครั้งเราอาจจะต้องมีมุมมองของการเป็นผบห.ด้วยครับ ธุรกิจทำโครงการอะไรก็แล้วแต่ มันต้องการเวลาที่จะให้เห็นผล กว่าจะสะท้อนออกมาเป็นกำไร เป็นราคาหุ้น ทุกอย่างต้องใช้เวลา บางเรื่องก็เป็นปี แต่ทุกวันนี้เราใจร้อนกันเกินไปครับ แค่ข่าวเราก็เข้าซื้อ แค่กำไรยังไม่โตทันใจเราก็ขายแล้ว ผมว่านี่ก็เป็นจุดผิดพลาดอีกจุดหนึ่งครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1645
ผมว่าอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ "การมีโพยหุ้นในใจ"
การมีโพยหุ้นในใจนั้น ในความหมายของผมคือเป็นหุ้นที่มี story บางอย่างที่น่าสนใจมาก สามารถทำให้รายได้ กำไร ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยยะสำคัญ คำว่า story ถ้าตีความให้แคบและชัดเจนขึ้นก็คือ การมี "ตัวเร่ง" นั่นเองครับ
รวมถึงการมีราคาที่เราอยากได้คร่าว ๆ ไว้
ยกตัวอย่างเช่น กรณีหุ้นก่อสร้างที่ขยายไปทำโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่พม่า แบบนี้เราอ่านข่าวแล้วเราก็รู้สึกว่ามันเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อหุ้นตัวนี้แน่ แต่วันที่ข่าวออกหุ้นก็บวกขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว แต่ถ้าไปดูเนื่อหาจริง ๆ แล้ว กว่าโครงการจะแล้วเสร็จก็ใช้เวลาอีกหลายปี
ถ้าผมสนใจหุ้นตัวนี้ผมก็อาจจะลิสต์ไว้เป็นโพยหุ้นในใจ เพียงแต่ราคาหรือเวลาในตอนนี้มันยังไม่เหมาะสมที่จะซื้อ แต่ถ้าวันหนึ่งราคาหุ้นเกิดลงมาในระดับที่ผมตั้งไว้คร่าว ๆ ในใจ วันนั้นค่อยเจอกันก็คงไม่สายจนเกินไปครับ เพราะเวลาที่ผ่านไปในตลาดหุ้น สามารถที่จะเกิดเหตุการณ์อะไรได้ตลอด ตลาด panic จากอะไรก็แล้วแต่ ตรงนี้ก็คือโอกาสครับ
แต่ถ้าสมมติเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แล้วหุ้นที่เราสนใจมันไม่ลงมาให้เราซื้อ ผมก็จะไม่เสียดายอะไรครับ
การมีโพยหุ้นในใจนี้ ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง เราจะมีลิสต์หุ้นที่น่าสนใจอยู่เป็นสิบตัว วันหนึ่งเราตกรถคันนี้ เราก็จะมีคันใหม่มารับเราเรื่อย ๆ ไม่ต้องมาเสียดายครับ โอกาสอยู่ที่เรามองอยู่ที่เราหาครับ
การมีโพยหุ้นในใจนั้น ในความหมายของผมคือเป็นหุ้นที่มี story บางอย่างที่น่าสนใจมาก สามารถทำให้รายได้ กำไร ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยยะสำคัญ คำว่า story ถ้าตีความให้แคบและชัดเจนขึ้นก็คือ การมี "ตัวเร่ง" นั่นเองครับ
รวมถึงการมีราคาที่เราอยากได้คร่าว ๆ ไว้
ยกตัวอย่างเช่น กรณีหุ้นก่อสร้างที่ขยายไปทำโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่พม่า แบบนี้เราอ่านข่าวแล้วเราก็รู้สึกว่ามันเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อหุ้นตัวนี้แน่ แต่วันที่ข่าวออกหุ้นก็บวกขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว แต่ถ้าไปดูเนื่อหาจริง ๆ แล้ว กว่าโครงการจะแล้วเสร็จก็ใช้เวลาอีกหลายปี
ถ้าผมสนใจหุ้นตัวนี้ผมก็อาจจะลิสต์ไว้เป็นโพยหุ้นในใจ เพียงแต่ราคาหรือเวลาในตอนนี้มันยังไม่เหมาะสมที่จะซื้อ แต่ถ้าวันหนึ่งราคาหุ้นเกิดลงมาในระดับที่ผมตั้งไว้คร่าว ๆ ในใจ วันนั้นค่อยเจอกันก็คงไม่สายจนเกินไปครับ เพราะเวลาที่ผ่านไปในตลาดหุ้น สามารถที่จะเกิดเหตุการณ์อะไรได้ตลอด ตลาด panic จากอะไรก็แล้วแต่ ตรงนี้ก็คือโอกาสครับ
แต่ถ้าสมมติเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แล้วหุ้นที่เราสนใจมันไม่ลงมาให้เราซื้อ ผมก็จะไม่เสียดายอะไรครับ
การมีโพยหุ้นในใจนี้ ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง เราจะมีลิสต์หุ้นที่น่าสนใจอยู่เป็นสิบตัว วันหนึ่งเราตกรถคันนี้ เราก็จะมีคันใหม่มารับเราเรื่อย ๆ ไม่ต้องมาเสียดายครับ โอกาสอยู่ที่เรามองอยู่ที่เราหาครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1646
ไม่อยากจะบอกว่าหลังปี 40 ผมเคยเห็น SCC ที่ 100 บาท พาร์ 10 หุ้นลงมาจาก 1000 บาทchaitorn เขียน: ครั้งหนึ่ง scc เคยลงจาก 300 กว่าบาท ลงมาเหลือต่ำกว่า 100 บาทเมื่อปี 2551 ตอนนั้น คนเข้าซื้อที่ราคา 100 บาทกว่า ๆ จำนวนมาก ไม่คิดว่าราคาหุ้นชั้นดี จะตกต่ำกว่า 100 บาทได้ แต่มันก็ลงมาให้เห็น ๆ แม้ mos ที่เราคำนวนจะสูงมากพอ แต่ระยะสั้น เวลาทำ new low มันก็ลงได้อีก สุดท้ายวันนี้มันขึ้นมา 500 กว่าบาทในเวลาไม่ถึง 10 ปี ใครดูประวัติ scc เราก็เห็นชัดว่าเวลาลงไป สุดท้ายมันจะกลับมาได้เสมอ เพราะคุณภาพคนสุดยอดมาก ๆ และธุรกิจมีเป้าหมายและกลยุทธ์ชัดเจน
ขณะที่เราเห็น banpu แม้ผู้บริหารจะเก่งมาก แต่วางกลยุทธ์หลักไป focus ธุรกิจต้นน้ำอย่างเดียวในอดีตคือ ถ่านหินเป็นหลัก และขายธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นปิโตรเคมี โรงไฟฟ้าออกไป เพราะคิดว่าการเน้นความเชี่ยวชาญด้านเดียวจะดีกว่าเชื่อฝรั่งที่ปรึกษามากไป 555 เอาเงินกำไรไปซื้อกิจการต่างประเทศทั้งอินโด ออสเตรเลีย และจีน ราคาเคยขึ้นไปถึงเกือบ 800 บาท แต่วันนี้ราคาทำ new low ลงมาถึง 200 กว่าบาทที่เป็น new low แตก par เหลือ 1 บาท จาก 10 บาท เพราะมีคดีฟ้องร้องโรงไฟฟ้า หงสา และ ราคาถ่านหินยังตกต่ำเป็นเวลานานมาก
วันนี้กำลังแก้เกม หันไปทำธุรกิจ downsteam โรงไฟฟ้าที่มีรายได้แน่นอนมากขึ้นมาชดเชยกับราคาถ่านหินที่ยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว

เคยเห็น BANPU ราคา 20 บาท พาร์ 10 ลงมาจากหลักร้อยบาท

แต่ก็เข้าใจครับ ว่า ณ เวลานั้น เพิ่งเรียนจบ ความรู้ด้านการลงทุนมีจำกัด ยังติดการเล่นหุ้นมากกว่าการลงทุน รายได้ก็จำกัดเพราะเพิ่งรับราชการ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1647
ต่อครับ
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หุ้นตัวที่ได้กำไรมาก ๆ ส่วนใหญ่เลย ตอนแรกที่ซื้อเราไม่คิดว่ามันจะได้กำไรมากขนาดนั้นนะครับ หลายตัวซื้อไปเราก็คอย monitor ไปเรื่อย ๆ ถ้ายังมีเรื่องดี ๆ กำไรยังดี ๆ ก็ถือดูต่อไปเรื่อย ๆ
อย่างกรณีหุ้นถังแก๊สตอนซื้อ 24 บาท คิดว่าได้ซัก 40 บาทก็หรูมากแล้ว แต่หุ้นก็ขึ้นไปถึง 70 กว่าบาท
หุ้นสีรถจักรยานยนต์ ที่ซื้อเพราะเงินเหลือ แบบว่าไม่รู้จะซื้ออะไรดี แต่ตรวจสอบข่าวแล้วว่าไม่โดนกระทบเรื่องน้ำท่วม ปันผลน่าจะขึ้นไปมากกว่า 5% อย่างมากก็กินปันผล ตอนขายถ้าจำไม่ผิดก็กลับได้เกือบหนึ่งเด้ง
หุ้นสิ่งพิมพ์ ตอนซื้อเพราะเห็นปันผลดี ราคานิ่ง ๆ ไม่ค่อยมีการซื้อขาย ธุรกิจสิ่งพิมพ์ดี แต่โดนกระหน่ำขายเพราะลูกแย่ หุ้นกลับมาได้กำไรบวกปันผลบวกปันผลหุ้นก็น่าจะเกินหนึ่งเด้ง
หุ้นหลอดไฟ ซื้อเพราะเห็นว่าราคาลงมาเยอะ ปันผลดี กะว่าคงอยู่กับมันแป๊บเดียว สุดท้ายทั้งปันผล กำไร หุ้นปันผล W กำไรน่าจะมากกว่า 3 เด้ง ตอนนี้น่าจะอยู่กับมันเกิน 3 ปีแล้ว ก็มีขายไปลดความเสี่ยงลง
คือผมเองไม่ใช่พวกที่ซื้อหุ้นได้ 5-10 เด้งครับ มีเด้งเล็ก ๆ บ้าง ที่เหลือก็ประปราย แต่หลัก ๆ คือ พยายามจะไม่ให้ขาดทุนมากกว่าครับ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ามันอาจจะสำคัญมากกว่าด้วยซ้ำ
ตรงกันข้าม ถ้าเป็นหุ้นที่บางครั้งเราหมายมั่นปั้นมือมาก กะว่าน็อคแน่ ๆ กลับไม่เข้าวิน ถึงจะไม่ขาดทุน แต่ก็กำไรในระดับที่ไม่ได้อยู่ในความทรงจำอะไร บางตัวสร้างปัญหาก็มี แต่ก็เอาตัวรอดมาได้ครับ
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หุ้นตัวที่ได้กำไรมาก ๆ ส่วนใหญ่เลย ตอนแรกที่ซื้อเราไม่คิดว่ามันจะได้กำไรมากขนาดนั้นนะครับ หลายตัวซื้อไปเราก็คอย monitor ไปเรื่อย ๆ ถ้ายังมีเรื่องดี ๆ กำไรยังดี ๆ ก็ถือดูต่อไปเรื่อย ๆ
อย่างกรณีหุ้นถังแก๊สตอนซื้อ 24 บาท คิดว่าได้ซัก 40 บาทก็หรูมากแล้ว แต่หุ้นก็ขึ้นไปถึง 70 กว่าบาท
หุ้นสีรถจักรยานยนต์ ที่ซื้อเพราะเงินเหลือ แบบว่าไม่รู้จะซื้ออะไรดี แต่ตรวจสอบข่าวแล้วว่าไม่โดนกระทบเรื่องน้ำท่วม ปันผลน่าจะขึ้นไปมากกว่า 5% อย่างมากก็กินปันผล ตอนขายถ้าจำไม่ผิดก็กลับได้เกือบหนึ่งเด้ง
หุ้นสิ่งพิมพ์ ตอนซื้อเพราะเห็นปันผลดี ราคานิ่ง ๆ ไม่ค่อยมีการซื้อขาย ธุรกิจสิ่งพิมพ์ดี แต่โดนกระหน่ำขายเพราะลูกแย่ หุ้นกลับมาได้กำไรบวกปันผลบวกปันผลหุ้นก็น่าจะเกินหนึ่งเด้ง
หุ้นหลอดไฟ ซื้อเพราะเห็นว่าราคาลงมาเยอะ ปันผลดี กะว่าคงอยู่กับมันแป๊บเดียว สุดท้ายทั้งปันผล กำไร หุ้นปันผล W กำไรน่าจะมากกว่า 3 เด้ง ตอนนี้น่าจะอยู่กับมันเกิน 3 ปีแล้ว ก็มีขายไปลดความเสี่ยงลง
คือผมเองไม่ใช่พวกที่ซื้อหุ้นได้ 5-10 เด้งครับ มีเด้งเล็ก ๆ บ้าง ที่เหลือก็ประปราย แต่หลัก ๆ คือ พยายามจะไม่ให้ขาดทุนมากกว่าครับ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ามันอาจจะสำคัญมากกว่าด้วยซ้ำ
ตรงกันข้าม ถ้าเป็นหุ้นที่บางครั้งเราหมายมั่นปั้นมือมาก กะว่าน็อคแน่ ๆ กลับไม่เข้าวิน ถึงจะไม่ขาดทุน แต่ก็กำไรในระดับที่ไม่ได้อยู่ในความทรงจำอะไร บางตัวสร้างปัญหาก็มี แต่ก็เอาตัวรอดมาได้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1648
อ.leky อ่านเล่มนี้จบแล้วใช่มั้ยครับ ผมงี้รออ่านการวิเคราะห์และมุมมองของอ.ที่มีต่อหนังสือเล่มนี้อยู่นานเลยleky เขียน:ถ้าใครสนใจเรื่องของ downside risk ผมแนะนำให้ไปอ่านหนังสือ แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า The Most Important Thing Illuminated ที่คุณดำเคยเล่าให้ฟังครับ Howard Marks ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดและดีมากครับ แต่ถ้าอ่านจนจบอาจจะสงสัยเหมือนผมและเหมือนกับที่น้อง romee ถามว่า แล้ว downside risk นี่จะเอาเท่าไหร่ และดูยังไง ในหนังสือเองก็ไม่ได้บอกไว้เช่นกันครับ ซึ่งผมตีความเอาเองว่า มันเป็น "ศิลปะและความพอใจส่วนบุคคล" ครับ
สำหรับผมขอแบ่งการมอง Downside Risk เป็น 2 ส่วนครับ
ส่วนแรก คือ Risk จากตัวกิจการ ส่วนนี้พอจะจัดการได้โดยการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของกำไรและความเสี่ยงในอนาคตโดยไม่ Bias
ส่วนที่ 2 คือ Risk จากราคาหุ้นระยะสั้น ส่วนนี้ยากถึงยากที่สุด เพราะมีสารพัดปัจจัยมาเกี่ยวข้องที่ส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งถ้าจะมองหาตัวช่วย ก็อาจจะเป็นอย่างที่ อ.เคยว่าไว้ คือ เลือกหุ้นในราคาที่ค่อนข้างต่ำหน่อย ยิ่ง low ยิ่งดี ยิ่งวอลุ่มการซื้อขายน้อยยิ่งดี ยิ่งตลาดลงแล้วยังยืนอยู่ได้ยิ่งดี
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1649
แล้ว อ.พอจะมองเห็นจุดร่วมของหุ้นแต่ละตัวที่เข้าข่ายที่ว่านี้มั้ยครับ ว่ามันคืออะไรleky เขียน:แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หุ้นตัวที่ได้กำไรมาก ๆ ส่วนใหญ่เลย ตอนแรกที่ซื้อเราไม่คิดว่ามันจะได้กำไรมากขนาดนั้นนะครับ หลายตัวซื้อไปเราก็คอย monitor ไปเรื่อย ๆ ถ้ายังมีเรื่องดี ๆ กำไรยังดี ๆ ก็ถือดูต่อไปเรื่อย ๆ
เท่าที่ผมนึกออกจากรายชื่อหุ้นที่ อ.เล่ามา น่าจะเป็น ปันผลใช้ได้ P/E ค่อนข้างต่ำ สภาพคล่องค่อนข้างน้อย และแนวโน้มกำไรในอนาคตใช้ได้ครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1650
ขอนึกก่อนนะครับ เท่าที่จำได้อ. Howard Marks แกพูดไว้อยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญทีเดียวครับ เรื่องการคาดการณ์ดำ เขียน:อ.leky อ่านเล่มนี้จบแล้วใช่มั้ยครับ ผมงี้รออ่านการวิเคราะห์และมุมมองของอ.ที่มีต่อหนังสือเล่มนี้อยู่นานเลยleky เขียน:ถ้าใครสนใจเรื่องของ downside risk ผมแนะนำให้ไปอ่านหนังสือ แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า The Most Important Thing Illuminated ที่คุณดำเคยเล่าให้ฟังครับ Howard Marks ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดและดีมากครับ แต่ถ้าอ่านจนจบอาจจะสงสัยเหมือนผมและเหมือนกับที่น้อง romee ถามว่า แล้ว downside risk นี่จะเอาเท่าไหร่ และดูยังไง ในหนังสือเองก็ไม่ได้บอกไว้เช่นกันครับ ซึ่งผมตีความเอาเองว่า มันเป็น "ศิลปะและความพอใจส่วนบุคคล" ครับ
สำหรับผมขอแบ่งการมอง Downside Risk เป็น 2 ส่วนครับ
ส่วนแรก คือ Risk จากตัวกิจการ ส่วนนี้พอจะจัดการได้โดยการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของกำไรและความเสี่ยงในอนาคตโดยไม่ Bias
ส่วนที่ 2 คือ Risk จากราคาหุ้นระยะสั้น ส่วนนี้ยากถึงยากที่สุด เพราะมีสารพัดปัจจัยมาเกี่ยวข้องที่ส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งถ้าจะมองหาตัวช่วย ก็อาจจะเป็นอย่างที่ อ.เคยว่าไว้ คือ เลือกหุ้นในราคาที่ค่อนข้างต่ำหน่อย ยิ่ง low ยิ่งดี ยิ่งวอลุ่มการซื้อขายน้อยยิ่งดี ยิ่งตลาดลงแล้วยังยืนอยู่ได้ยิ่งดี
1) ภาพใหญ่ เช่น สภาวะเศรษฐกิจ อันนี้คาดการณ์ยากเพราะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง ซึ่งหมายความรวมไปถึงการจับจังหวะของตลาดจากปัจจัยเหล่านี้ อย่าไปยึดติดกับการคาดการณ์เรื่องพวกนี้มากนัก เพราะแม้แต่ผู้รู้ก็อาจจะไม่ได้วิเคราะห์ได้เก่งจริง หมายถึง อาจจะบังเอิญถูกซักครั้ง แต่ผิดมากกว่านั้น
ตรงนี้ทำให้เราตีความไปได้ถึง ความเสี่ยงของภาพใหญ่ ตีความยาก ควบคุมยาก
2) ภาพเล็ก หมายถึง การโฟกัสไปที่ตัวธุรกิจเอง อันนี้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องน้อยกว่า โอกาสถูกต้องมากกว่า ซึ่งนั่นก็ทำให้การควบคุมความเสี่ยงทำได้ง่ายขึ้น
"Become a risk taker, not a risk maker"