ธรรมะ ธรรมชาติ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
อ่องอ๋า
Verified User
โพสต์: 174
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1531

โพสต์

สถาปนิกต่างดาว เขียน:[quote="เด็กใหม่ไฟแรงพี่ RONNAPUM ครับ
แล้วถ้าเราหาหนทางที่จะไม่ต้องให้มีกิเสศ ไม่ดีกว่าหรือครับ
อาทิเช่น
ให้กองทุนรวมบริหารแทน
หรือ หาหุ้นที่ไม่ต้องติดตามใกล้ชิด
หรือ...................................?????

ผมมาลองคิดดู
พระภิกษุ สายวัดป่า
ท่านจะสละบ้าน ไปอยู่วัด เพื่อปฏิบัติ
จะได้ไม่มีเรื่องโลกเข้ามาให้ใจวุ่นวาย
.............
เคยได้ฟังมาจากพระอาจารย์ที่นับถือมากที่สุดท่านหนึ่ง
ท่านบอกว่า
หากเราใกล้เรื่องทางโลกมากเกินไป เรื่องทางธรรมเราก็จะยากมากขึ้น
..............
รอฟังพี่ๆนะครับ
ข้างล่างนี้
อีหนูตีแตก อ่องอ๋าเขาเขียนไว้ พอตอบได้ส่วนนึง

พอกลับมาจะลงทุนอีกครั้ง ก็เริ่มมองโลกและตลาดหุ้นเปลี่ยนไป
หากจะกลับไปเล่นหุ้นแบบเดิม ใจมันจะโดนความโลภครอบงำทุกวัน วันละหลายชั่วโมง เงินที่ได้มาก็เป็นการจ้องจะได้จากคนอื่น เพราะมันไม่ได้เกิดจากการเติบโตของกิจการ แล้วมันจะมาจากไหนนอกจากเปลี่ยนมือกันเฉย ๆ
[/quote]โอ๊ะ !  :shock:
เพิ่งเห็นว่าโดนพาดคอ เอ๊ย..! พาดพิง
หนูยอมรับเลยค่ะ ว่าหลังจากกลับมาดูหุ้นเพื่อการลงทุนอีกครั้ง
ลองอยู่นิ่ง ๆ แล้วดูตัวเอง พบว่าสมาธิคลาย กำลังใจตกค่ะ
แสดงให้เห็นว่า ความโลภมันคอยคุกคามอยู่ตลอดจริง ๆ

แต่จะขอยกตัวอย่างของพระโสดาบันหลายองค์ที่ท่านก็ยังคงมีกิจการงานอยู่
ท่านก็สามารถทำงานนั้น ๆ ไปด้วยได้ หลายท่านก็เป็นเศรษฐี เช่น พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น

ท่านเหล่านั้นยังคงหาเงิน และยังคงมีความโลภค่ะ แต่ไม่มากเท่าปุถุชน
หนูเลยสรุปเอาจากความเข้าใจว่า
หากจะปฏิบัติโดยลงทุนในตลาดหุ้น ก็ต้องทำเหมือนการทำธุรกิจ
คือมองหาการเติบโตของธุรกิจในบริษัทหรือหุ้นที่เราซื้อเป็นหลัก

แต่ต้องระมัดระวังให้จงหนัก สำรวมอินทรีย์อยู่เสมอ อย่าให้มันโลภออกนอกลู่นอกทาง

ท้ายที่สุดหนูก็กะว่าจะ เลือกหุ้นตัวดี ๆ ซัก ๔-๕ ตัว ใส่เงินไปเรื่อย ๆ
ดูสภาพกิจการบ้าง ไม่บ่อยนัก แล้วผลจะเป็นอย่างไรก็อย่างนั้น

อันนี้หนูคิดเองนะคะ เพราะเห็นว่าจะทำให้เรากันตัวเองจากความโลภในระดับหนึ่ง เกรงว่าถ้าทำมากกว่านี้ เงินที่ได้มาจะไม่คุ้มกับที่เราเสียไป

แต่ถ้าหากเราหวังจะได้ผลเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงระดับพระอนาคามีขึ้นไป และหวังการลงทุนได้ดอกผลด้วย มันก็เหมือนกับทางขนานที่ไม่มีวันจะบรรจบกันได้ค่ะ เพราะท่านเหล่านั้น ไม่ค่อยมีความอยากจะอยู่บนโลกกันแล้ว ยกเว้นแต่ว่าเป็นการลงทุนก่อนที่ท่านจะได้มรรคผล นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผิดถูกอย่างไร ขอคำแนะนำจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ด้วยค่ะ  :oops:  :o
อีหนูตีแตก
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1532

โพสต์

ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับมัชฌิมาปฎิปทา

๑ เป็นทางสายกลาง
  มัชฌิมาปฏิปทา หรือ อริยสัจ ข้อสุดท้าย คือ มรรค
  ที่ควรสังเกตุคือ ความเป็นทางสายกลาง นั้นเป็นเพราะไม่เข้าไปข้องแวะที่สุด ๒ อย่าง
  ๑.๑ กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุข
  ๑.๒ อัตตกิลมถานุโยค การประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตัวเอง

๒ เป็นทางดับกรรม
  ข้อสำคัญในที่นี้ ก็คือ ต้องไม่เข้าใจว่า เป็นการสิ้นเวรสิ้นกรรมอย่างที่เข้าใจกันทั่วๆไป ซึ่งเป็นเรื่องแคบๆ ต้องไม่เข้าใจว่าจะหมดกรรมได้โดยไม่ทำกรรมหรือไม่ทำอะไร ซึ่งเป็นลัทธินิครนถ์ไป
  ประการแรก  จะเห็นว่า การที่จะดับกรมหรือสิ้นกรรมได้ ก็คือต้องทำ และทำอย่างเอาจริงเอาจังเสียด้วย แต่คราวนี้ทำตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา เลิกการกระทำที่ผิดพลาด
  ประการที่สอง ที่ว่าดับกรรม หรือสิ้นกรรม ไม่ใช่หมายความว่าอยู่เฉยๆ เลิก ไม่ทำอะไรทั้งหมด แตต่หมายความว่า เลิกทำอะไรอย่างปุถุชน เปลี่ยนเป็นทำอย่างอริยบุคคล
  อธิบายง่ายๆว่า ปุถุชนทำอะไรด้วยอุปาทาน มีความยึดมั่นในความดีความชั่วที่เกี่ยวข้องกับตัวฉันของฉัน ผลประโยชน์ของฉัน ในรูปใดรูปหนึ่ง
  การกระทำของปุถุชนจึงเรียกตามศัพท์ว่า กรรม
  ดับกรรม  คือ เลิกการกระทำต่างๆด้วยความยึดมั่นในความดีชั่วที่เกี่ยวข้องกับตัวฉันของฉัน ผลประโยชน์ของฉัน เมื่อไม่มีดีมีชั่วที่ยึดมั่นไว้กับตัว ทำอะไรก็ไม่เรียกว่า กรรม
  พระอริยบุคคลไม่ทำชั่ว เพราะหมดเหตุหมดปัจจัยที่จะทำชั่ว (ไม่มีโภะ โทสะ โมหะ ที่จะทำอะไรเพื่อให้ตัวฉันได้ ฉันเป็น) ทำแต่ความดี แต่ที่ว่าดีก็ว่าตามที่ปรากฏยอมรับของโลก ไม่ได้ยึดว่าเป็นดีของฉัน หรือดีที่จะให้ฉันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
  เมื่อปุถุชนบำเพ็ญประโยชน์อะไรสักอย่าง ก็จะไม่เพียงการทำตามความหมายและวัตถุประสงค์เท่านั้น แต่ย่อมจะหวังผลประโยชน์ตอบแทนอะไรสักอย่าง ถ้าไม่มี ก็อาจจะละเอียดลงมาเป็นชื่อเสียงเกียรติคุณของฉัน  หรือละเอียดลงมาอีก ก็อาจจะเอาพอให้รู้สึกอุ่นๆภูมิๆว่า เป็นความดีของฉัน
 
 ๓ เป็น.......

 ๙ล๙

 สรุปบางส่วน จากพุทธธรรม โดย พระธรรปิฎก
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1533

โพสต์

หนูเลยสรุปเอาจากความเข้าใจว่า
หากจะปฏิบัติโดยลงทุนในตลาดหุ้น ก็ต้องทำเหมือนการทำธุรกิจ
คือมองหาการเติบโตของธุรกิจในบริษัทหรือหุ้นที่เราซื้อเป็นหลัก

แต่ต้องระมัดระวังให้จงหนัก สำรวมอินทรีย์อยู่เสมอ อย่าให้มันโลภออกนอกลู่นอกทาง

ท้ายที่สุดหนูก็กะว่าจะ เลือกหุ้นตัวดี ๆ ซัก ๔-๕ ตัว ใส่เงินไปเรื่อย ๆ
ดูสภาพกิจการบ้าง ไม่บ่อยนัก แล้วผลจะเป็นอย่างไรก็อย่างนั้น

อันนี้หนูคิดเองนะคะ เพราะเห็นว่าจะทำให้เรากันตัวเองจากความโลภในระดับหนึ่ง เกรงว่าถ้าทำมากกว่านี้ เงินที่ได้มาจะไม่คุ้มกับที่เราเสียไป

ผมเห็นด้วยกับพี่อ่องอ๋าครับ

ผมว่าการลงทุนในหุ้นนี่มันก็แปลกครับ
เมื่อไหร่ที่เราไม่โลภเรากลับได้ผลตอบแทนดี-ดีมาก
แต่เมื่อไหร่ที่เราหมกมุ่นคาดหวังและตั้งใจมากๆ เราจะมีแค่ความเครียด
ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เคยดีเลยครับ
ไม่ทราบว่า พี่ๆเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกันไม๊ครับ
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1534

โพสต์

Dech เขียน:
คำแนะนำ 3 ข้อที่ควรทราบครับพี่

1. ที่นี่คนเยอะนะครับ ปกติก็เยอะอยู่แล้ว ยิ่งหลวงพ่อไม่ได้มานานแล้ว ผมคาดเองว่าคนจะมากเป็นพิเศษ (แต่ก็ไม่แน่ครับ)
2. ถ้าขับรถมาเอง แนะนำให้มาถึงก่อน 7.30 จะดีมากครับ เพราะจะหาที่จอดใกล้ๆได้ครับ ไม่อย่างนั้นจะ หงุดหงิดกับการจอดรถครับ และจะหาที่นั่งในศาลาข้างในได้ครับ (ถ้าต้องการ)
3. ขากลับ สำหรับผู้นำรถมาเองให้ทำใจไปก่อน เรื่องรถจะติดทางกลับ เพราะต่างคนต่างเวลามา แล้วเมื่อหลวงพ่อกลับ ทุกคนก็กลับพร้อมๆกับหลวงพ่อครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1535

โพสต์

smith_sanguan เขียน: ผมจะไปฟังธรรมครับ ต้องปฎิบัติตัวอย่างไรครับ
1. 7.30 อันนี้พอดีใช้ไม๊ครับ แฟนบอกให้ไปถึง 7.00 ผมบอก7.30 ก็พอ
2. นั่งไหนดีครับ ไม่มีคำถาม ครั้งแรก ขอดูๆก่อน
3.ต้องนำอะไรไปมั้งครับ ต้องเอาข้าวไปไม๊ มีข้าวกินไม๊ ควรนำอะไรไปเองไม๊ น้ำ หรือของจำเป็นใดๆ ยากันยุง ออกค่าย หรือเป่านี้
4.ลงทางด่วนแจ้งวัฒนะเลี้ยวซ้ายไปยังไงต่อครับ มาจากพระรามหก
ขอบคุณครับ
ไปถึง 7 โมงจะดีกว่าครับ 7.30 ครึ่งก็ยังดีกว่า 8 ครับ เพราะคนน่าจะเยอะแล้วครับ 5555
ข้อดีของการไปสายก็มีนะครับ คือไม่ต้องนั่งรอนานครับ

นั่งริมวงนอกรอบศาลาดีครับ นั่งบนเก้าอี้ นั่งด้านในเขาให้นั่งพื้นครับ ด้านซ้ายหรือขวาก็ได้

ไม่ต้องเอาอะไรไปก็ได้ครับ เอาตัวมาได้เพียงพอแล้วครับ
มีข้าวปลา อาหารให้กินได้ มีคนมาทำให้กินครับ
มีของแจงกลับบ้านอีกด้วย
ถ้าแบบเดิมๆก็มีข้าวต้มหมู กาแฟ ขนม อะไรเพียบครับ อิ่ม

แต่ถ้าจะเอาของไปถวายหลวงพ่อ เอาของแห้งต่างๆได้ครับ
พวกของใช้ต่างๆนะครับ ถ้ามีเยอะหลวงพ่อก็เอาไปถวายวัดอื่นๆทางอีสานต่อครับ
เขาจะวางกองๆไว้แล้วถวายสุดท้ายครั้งเดียวรวมกัน
หลังหลวงพ่อเทศน์เสร็จ เพราะมาถึงหลวงพ่อก็นั่งพักหน่อยแล้วเทศน์เลยครับ ไม่มีเวลาไปถวายทีละคนครับ คนเยอะครับ

แผนที่ไม่เคยลงทางด่วนครับ ปกติผมวิ่งเลียบคลองประปามาเรื่อยๆ ถึงแจ้งวัฒนะแล้ว เลี้ยวขวา
แล้วจะเจอโลตัส ถัดไปหน่อยเป็น bigc ซอยเลยไปติดกับ bigc เลี้ยวซ้าย
เข้าซอยไปครับ ตรงไปประมาณ 500 เมตร เจอป้อมยาม เลี้ยวขวา
ถ้ารถเยอะก็ตรงไปอีกซอยสองซอยค่อยเลี้ยขวาก็ได้ครับ ถนนถึงกันหมด

แผนที่ก็ตามนี้ครับ


รูปภาพ

ปกติสำหรับผมจะไปถึงช่วง 7 โมงครับ จอดเลยไปหน่อย ไม่ได้จอดในศาลา
ไว้ออกง่ายๆครับ แล้วเดินกลับมาที่ศาลาเอากระเป๋ามาจองที่นั่ง ริมนอกศาลา
ไปทานข้าวต้มหรืออะไรที่เขานำมาให้ แล้วทำบุญสบทบทุนกับเขาครับ

กินเสร็จไปเข้าคิว เขาแจงหนังสือและ cd หลวงพ่อ คนละชุด
น่าจะเริ่มแจงประมาณ 8 โมง หรือ 7.30 จำไม่ได้แล้วครับ
แล้วก็ทำบุญตามกล่องต่างๆที่เขาเตรียมไว้ ทั้งของหลวงพ่อ
และร่วมทำบุญของวัดอื่นๆที่ศาลาลุงชินเตรียมไว้ครับ

เขาจะหยุดแจงประมาณ 8.30 ครับ แล้วแจงใหม่อีกรอบหลังหลวงพ่อเทศน์เสร็จ สำหรับผู้มาไม่ทันรอบแรกครับ
แล้วก็กลับมานั่งอ่านหนังสือที่ได้รับมา รอหลวงพ่อเทศน์ครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
manhaha
Verified User
โพสต์: 89
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1536

โพสต์

4.ลงทางด่วนแจ้งวัฒนะเลี้ยวซ้ายไปยังไงต่อครับ มาจากพระรามหก
ขอบคุณครับ


พอลงจากทางด่วน(แจ้งวัฒนะ)แล้วให้ชิดขวาขึ้นสะพานข้ามไปอีกฝั่งของถนนแจ้งวัฒนะครับ
แล้วขับตรงไปเรื่องๆ ก็จะเจอ Big C ครับ
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1537

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1538

โพสต์

พอดี ผมได้ไฟล์ธรรมมะมาจากอีเมล จากลูกศิษย์ หลวงพ่อมาครับ ไปๆมาๆยังไงไม่รู้ ไปอยู่ในวง ใครอยากได้ PM อีเมล์มาครับ ฟรี โหลดฟรี อ่านฟรีครับ :D
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1539

โพสต์

ขอก๊อปมาไว้ในกระทู้นี้อีกน๊ะครับ พี่ป้อม

ยึดติด โดย
พระไพศาล วิสาโล

สุด .. ได้เลขท้าย ๓ ตัวมาจากหลวงพ่อ เลยแทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าถูกเผง ได้มา ๖๐๐ บาท เขาดีใจมาก เที่ยวอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่าถูกหวย แต่พอรู้ว่า คอนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ก็แทงหวย ๓ ตัวถูกเหมือนกัน แต่ได้เงินมากกว่าคือ ๒ , ๐๐๐ บาท เพราะแทงมากกว่า สุดเลยยิ้มไม่ออก หงอยไปทั้งวัน แถมยังโมโหตัวเองที่แทงน้อยไป

ใจ .. ไปเที่ยวไนท์บาซ่า เห็นผ้าพื้นเมืองลายงาม ราคา ๕๐๐ บาท แต่เธอต่อได้ ๓๕๐ บาทจึงคว้าผ้าผืนนั้นกลับโรงแรมด้วยความดีใจ แต่พอรู้ว่าไก่เพื่อนร่วมห้องก็ซื้อผ้าแบบเดียวกันมา แต่ได้ราคาถูกกว่า คือ ๓๐๐ บาท ใจก็หุบยิ้มทันที ไม่รู้สึกโปรดปรานผ้าของตนอีกต่อไป

แม้เราจะมี " โชค " หรือได้ของดีที่ถูกใจ
แต่หากไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเมื่อใด
สุขก็อาจกลายเป็นทุกข์ทันที หากรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่า ได้ของดีกว่า
หรือได้ของที่ถูกกว่า ส่วนของดีที่เราได้มากลับด้อยคุณค่าไปถนัดใจ

บางครั้งอาจทำให้เราทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ได้ของนั้นมาด้วยซ้ำ
ที่จริงไม่ต้องไปเทียบกับของคนอื่นก็ได้
เพียงแค่เห็นของรุ่นใหม่วางขายหรือโฆษณาตามสื่อต่างๆ
ก็เกิดความไม่พอใจในของเดิมที่มีอยู่ทันที
ทั้งๆ ที่มันก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรรบกวนใจ
ยกเว้นข้อเดียวคือ มันสู้ของใหม่ที่วางขายไม่ได้
ทั้งๆ ที่มีของดีอยู่กับตัว แต่คนเราแทนที่จะพอใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์
เพียงเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งดีกว่า (หรือมากกว่า) ที่ตัวเองยังไม่มี

แต่เมื่อใดก็ตามที่ของชิ้นนั้นเกิดมีอันเป็นไป
เช่นทำตกหล่นหรือถูกขโมยไป เราก็จะกลับมาเห็นคุณค่าของมัน
และนึกเสียใจที่เสียมันไป จะกินจะนอนก็ยังนึกถึงมันด้วยความเสียดาย
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใน กรณีที่เป็นสิ่งของเท่านั้น
แต่ยังเกิดกับกรณีที่เป็นคนด้วย เช่น คนรัก หรือแม้แต่พ่อแม่และลูก

ผู้คนจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าหรือมีความสุขกับคนใกล้ชิด
เพราะไปนึกเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขามีพ่อแม่ คนรัก หรือลูกที่ดีกว่าเรา
แต่วันใดที่เราเสียเขาไป เราถึงจะกลับมาเห็นคุณค่าของเขา
และเศร้าโศกเสียใจจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว
เฝ้าหวนคำนึงถึงวันคืนเก่าๆ ที่เขาเคยอยู่กับเรา

คนเรามักทุกข์เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี หรืออาลัยในสิ่งที่สูญเสียไป
พูดให้ครอบคลุมกว่านั้นก็คือ
ทุกข์เพราะใจยังติดยึดอยู่กับอนาคตและอดีต
อนาคตและอดีตที่ว่ามิได้หมายถึง
สิ่งดีๆ ที่ยังไม่มีหรือที่เสียไปเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ (คาดว่า) รออยู่ข้างหน้า
เช่นอุปสรรค และสิ่งไม่พึงปรารถนาที่พานพบ คำต่อว่า หรือการกระทำที่น่ารังเกียจ

คำตำหนิติเตียนไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้
หากเราไม่เก็บเอาคิดซ้ำคิดซาก คำพูดเหล่านั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว
แต่ที่ยังบาดใจเราอยู่ก็เพราะเราไม่ยอมปล่อยวางมันต่างหาก
ยิ่งคิดคำนึงถึงมันมากเท่าไรก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองมากเท่านั้น

การเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง ทรยศ หักหลัง ก็เช่นกัน
แม้เป็นอดีตไปนานแล้ว แต่เราก็ยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ดังกล่าว
ไม่ใช่เพราะเขายังทำเช่นนั้นกับเราอยู่
แต่เป็นเพราะเราชอบย้อนภาพอดีต
กลับมาฉายซ้ำในใจอย่างไม่ยอมเลิกรา
ย้อนแต่ละทีก็เหมือนกับกรีดแผลลงไปที่ใจ
หยุดย้อนอดีตเมื่อใดใจก็หายเจ็บเมื่อนั้น

อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึง
แต่จะมาถึงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้
แต่บ่อยครั้งเรากลับยึดมั่นสำคัญหมายอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ว่ามันจะต้องเกิด ขึ้นแน่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นเรื่องแง่ลบด้วยแล้ว
เรามักจะวาดภาพไปในทางเลวร้าย
แล้วก็ยึดมันเอาไว้ไม่ให้คลาดไปจากใจ ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์

ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นตึกไปหาหมอ เพื่อฟังผลตรวจโรค
พอหมอบอกว่า พบก้อนมะเร็งระยะที่สองในปอดของเขา
เขาก็ถึงกับทรุด เข่าอ่อนเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านก็กินไม่ได้
นอนไม่หลับ ซึมไปเป็นเดือน

ส่วนหญิงผู้หนึ่ง ป่วยกระเสาะกระแสอยู่นานหลายสัปดาห์
แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ตับ
จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ ๑๒ วัน เธอก็สิ้นใจ
ทั้งสองกรณีไม่ได้ทรุดฮวบเพราะโรคมะเร็งเล่นงาน
แต่เป็นเพราะใจเสีย ทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย
ใจก็นึกภาพอนาคตของตัวเองไปในทางเลวร้าย
ยิ่งผู้ป่วยรายที่สองด้วยแล้ว
เธอนึกไปถึงวันตายของตัวเองเลยทีเดียว
แถมยังปรุงแต่งไปในทางที่มืดมน
เท่านั้นไม่พอเธอยังหมกมุ่นกับภาพดังกล่าวไม่หยุดหย่อน
ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดขึ้น ผลก็คือถูกความทุกข์ท่วมทับจนมิอาจทานทนต่อไปได้

บ่อยครั้งเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
เช่น การสอบไม่ติดหรือตกงาน
โดยตัวมันเองไม่ก่อปัญหาแก่เรา มากเท่ากับใจที่ปรุงแต่งไปล่วงหน้า
ว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะลำบากยากแค้นเพียงใด แล้วจะอยู่ดูโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจพบว่าที่แท้เราตีตนก่อนไข้ไปเอง
เพราะปัญหาต่างๆ ที่ตามมาไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด
สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ปรุงแต่งเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น
กับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บางครั้งเราก็ปรุงแต่งให้เลวร้ายเกินจริง
เช่น อยู่รีสอร์ตคนเดียวกลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ
ก็ปรุงแต่งไปทันทีว่าถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนจะมาทำร้าย
เห็นคู่รักกำลังคุยอย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มในร้านอาหาร
ก็คิดไปทันทีว่า เธอกำลังนอกใจ

การคิดปรุงแต่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้น
เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เราหลงยึดว่ามันเป็นเรื่องจริง
เราก็กำลังก่อทุกข์ให้กับตัวเอง
แถมยังสามารถสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นได้ด้วย

วัยรุ่นนั่งกินอาหารอยู่หน้าร้าน เผอิญขี้นกหล่นใส่หัว
แต่เขากลับคิดว่าเจ้าของร้านถ่มน้ำลายใส่หัว
จึงทะเลาะกับเจ้าของร้านอย่างรุนแรง
สักพักก็ออกจากร้านแล้วกลับมาพร้อมกับพวกอีกหลายคน
ควักปืนออกมายิงกราด
ถูกภรรยาเจ้าของร้านซึ่งกำลังท้อง ๕ เดือนตายคาที่
กลายเป็นฆาตกรที่ถูกตำรวจหมายหัวทันที

การยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
เป็นที่มาอีกประการหนึ่งของความทุกข์
ทีแรกเราเป็นฝ่ายปรุงแต่งมันขึ้นมา
แต่เผลอเมื่อใดมันก็กลับมาเป็นนายเรา
สามารถผลักใจของเราไปสู่ความทุกข์
และชักนำชีวิตของเราไปในทางเสื่อมได้ง่ายๆ

กี่ครั้งกี่หนที่เราทำร้ายตัวเองและทำร้ายซึ่งกันและกัน
เพียงเพราะหลงเชื่อ ความคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมา
พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาเอง
แต่เป็นความจริงแท้ๆ จะไม่ก่อปัญหา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความทุกข์แก่เรา
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ อยู่ในขณะนี้
เช่น รถเ?ีย เงินไม่พอใช้ ทะเลาะกับคนรัก ลูกคบเพื่อนไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า
แต่ถ้าเรามัวแต่นึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะทำอะไร ก็กวาดเอาปัญหาต่างๆ มาครุ่นคิดด้วย
ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย เช่น กำลังทำงานอยู่
ก็ไปกังวลถึงรถ ถึงลูก ถึงพ่อแม่ แล้วยังห่วงคู่รักอีก
อย่างนี้แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร

ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม
แต่เมื่อใดที่เรากวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมจิตใจ
ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ไข
ก็เตรียมตัวกลุ้มได้เลย นี้เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่ง

อันที่จริงแม้มีปัญหาแค่เรื่องเดียว
แต่ถ้าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา ก็ทำให้คลั่งได้
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเล็กแต่ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ
เช่น หมกมุ่นกับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้าวันแล้ววันเล่า
ก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือถึงกับทำร้ายตัวเองได้

การยึดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจ
บางครั้งก็ไปไกลถึงขนาดไปกวาดเอาปัญหาของคนอื่น
มาเป็นของเราเสียเอง เช่น เพื่อนมาปรึกษาปัญหาชีวิต
ก็เลยเอาปัญหาของเขามาเป็นของตนด้วย
จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

เท่านั้นยังไม่พอบางคนถึงกับแบกปัญหาของประเทศมาไว้กับตัว
เลยเป็นเดือนเป็นแค้นกับสถานการณ์บ้านเมือง
ทะเลาะกับใครไปทั่วที่คิดต่างจากตน
สุดท้ายก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมืองไป

การยึดติดที่ลึกไป กว่านั้นคือ การยึดติดในตัวตน
สาเหตุที่เราทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา
ก็เพราะเรายึดติดในความคิดของเรา

ความสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็น " ความคิดของฉัน "
สะท้อนถึงความยึดติดในตัวตน
หรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ยึดติดใน " ตัวกู ของกู "

นอกจากความคิดแล้ว เรายังยึดติดสิ่งต่างๆ อีกมากมายว่า
เป็นตัวฉันของฉัน อาทิ สิ่งของ บุคคล ชุมชน ประเทศ ศาสนา
มีอะไรมากระทบกับสิ่งนั้น ก็เท่ากับว่ากระทบ " ตัวฉัน "
ด่าว่ารถของฉัน ก็เท่ากับด่าฉันด้วย
วิจารณ์ศาสนาของฉันก็เท่ากับวิจารณ์ฉันด้วย

เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งของสูญหาย คนรักจากไป
เราจึงอดหวนนึกถึงไม่ได้ เพราะใจยังยึดว่าเป็นของฉันอยู่
จึงยังมีเยื่อใยที่ดึงให้ใจย้อนระลึกถึงอยู่เสมอ
เวลาให้ของแก่ใครไป ความยึดติดในของชิ้นนั้นก็ยังมีอยู่
จึงเฝ้าดูว่าเขาจะใช้ของชิ้นนั้นหรือไม่
ถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่เขาไม่ได้ใช้ของ " ของฉัน "
ญาติโยมหลายคนจึงไม่สบายใจที่พระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย

ยึดติดในตัว ตนอีกอย่างคือการยึดมั่นสำคัญหมายว่า
ฉันเก่ง ฉันหล่อ ฉันเป็นส.ส. ฯลฯ ไปไหนก็อดตัวพองไม่ได้
อยากแสดงบารมีให้ใครรู้ว่า " นี่กูนะ "
อยู่ที่ใดก็ต้องการให้คนชื่นชม สรรเสริญ เคารพ นบไหว้
แต่ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าว ก็จะโมโหขุ่นเคือง
จนอาจคำรามว่า " รู้ไหมว่ากูเป็นใคร ?"
ยิ่งเจอคำวิจารณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่

การ ยึดติดใน " ตัวกู ของกู หรือนี่กูนะ " เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ นานัปการ
นำไปสู่การกระทบกระทั่งขัดแย้งและทำร้ายกัน
ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดบีบคั้นภายใน
เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ใช่แต่เท่านั้น แม้ได้สิ่งที่พึงปรารถนา
ก็ยังทุกข์เพราะได้ไม่สมใจ หรือทุกข์ที่คนอื่นได้มากกว่า

ที่น่าแปลกก็คือเราไม่ได้ยึดเอาแค่สิ่งดีๆ ที่ถูกใจ
ว่าเป็นตัวกูของกูเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจ
เราก็ยังยึดเป็นตัวกูของกูอีกเช่นกัน
เช่น ความเจ็บปวด เมื่อเกิดกับกาย
แทนที่จะเห็นว่า กายปวดเท่านั้น กลับไปยึดเอาว่า " ฉันปวด "
ความปวดเป็นของฉัน

เมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับใจ
ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่า " ฉันโกรธ " ความโกรธเป็นของฉัน
ความยึดมั่นดังกล่าวรุนแรงชนิดที่ใจไม่ยอมไปไหน
มัวจดจ่อวนเวียนอยู่กับความปวดหรือความโกรธนั้นๆ อย่างเดียว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเผลอของใจ
รู้ทั้งรู้ว่ายึดแล้วทุกข์แต่ก็ยังยึดเพราะขาดสติ
ถ้าใจมีสติ ก็จะไม่เผลอยึดต่อไป

ความปวดความโกรธยังมีอยู่ก็จริง แต่คราวนี้มันทำอะไรจิตใจไม่ได้
เพราะใจไม่โดดเข้าไปให้ความปวดความโกรธเผาลน
เหมือนกองไฟที่ยังลุกไหม้อยู่
แต่ตราบใดที่เราไม่โดดเข้าไปในกองไฟ
หากถอยออกมาห่างๆ เป็นแค่ผู้สังเกตเฉยๆ ไฟก็ทำอะไรเราไม่ได้

สติช่วยให้ใจแยกออกมาอยู่ห่างๆ
จากความเจ็บปวดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
กลายเป็น " ผู้ดู " มิใช่ " ผู้ปวด " หรือ " ผู้โกรธ "
จากความยึดติดกลายเป็นการปล่อยวาง

การปล่อยวางดังกล่าว
คือ หัวใจของการเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งหลาย
เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว
ความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากความยึดติด
ยึดติดอดีตกับอนาคต ยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
ยึดติดปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
รวมทั้งยึดเอาปัญหาต่างๆ มาเป็นของตน
ที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตน
เมื่อใดที่ปล่อยวางจากความยึดติดดังกล่าวได้
ความทุกข์ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้อีกต่อไป

สติช่วยให้เรารู้ตัวเมื่อเผลอไปอาลัยอาวรณ์ในอดีต หรือวิตกกังวลกับอนาคต
พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่า
เผลอไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว
คอยทักท้วงใจไม่ให้หลงเชื่อความคิดปรุงแต่ง
เพราะตระหนักว่า ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คิด
ในยามที่เผลอกวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจจนหนักอึ้ง

สติช่วยให้เราแก้ปัญหาเป็นเปลาะๆ เป็นเรื่องๆ
ไม่เอาปัญหาใดมาครุ่นคิดหากยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้
เวลาพักผ่อน ก็พักผ่อนเต็มที่
เมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ก็ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่
ไม่มามัวตีโพยตีพาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจว่า " ทำไมถึงต้องเป็นฉัน ?"

ความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา
แต่อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือรู้สึกอย่างไรกับมันต่างหาก

แม้ปัญหาจะหนัก แต่ถ้าเริ่มต้นจากการยอมรับมันว่า
เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
ไม่ปฏิเสธผลักไสมันหรือก่นด่าชะตากรรม
ตั้งสติให้ได้แล้วหาทางแก้ไขมัน
แต่ขณะที่มันยังไม่หายไปไหน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

ไม่หวนนึกถึงอดีตอันผาสุก หรือปรุงแต่งอนาคตไปในทางเลวร้าย
ขณะเดียวกันก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับปัญหา
หากปล่อยวางมันบ้าง ความสุขก็หาได้ไม่ยาก

นายทหารผู้หนึ่งไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานที่ทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์ของตนมาก่อน
พอไปถึงประโยคแรกที่กราบทูลก็คือ " หนักครับ ช่วงนี้แย่มากเลยครับ "
ว่าแล้วเขาก็ทูลเล่าปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิต

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังอยู่นาน
แทนที่จะตรัสแนะนำหรือปลอบใจ
พระองค์กลับรับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า ยื่นมือสองข้าง
แล้วพระองค์ก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางบนฝ่ามือของเขา
" นั่งอยู่นี่แหละ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา "

รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในตำหนัก
นายทหารนั่งในท่านั้นอยู่นาน จาก ๑๐ นาทีเป็น ๒๐ นาที
สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เสด็จออกมา
เขาเริ่มเหนื่อย มือและขาเริ่มสั่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ
จนประคองแทบไม่ไหว พอสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จกลับมา
ก็ทรงถามว่า " เป็นไง ?"

คำตอบของเขาคือ " หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว "
" อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ ?"
สมเด็จรับสั่ง " ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี
มันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง "

กระดาษที่เบาหวิว แต่หากถือไว้นานๆ
ไม่ยอมปล่อย ก็กลายเป็นของหนักไปได้
แต่ปัญหาถึงจะใหญ่โตเพียงใด
ถ้าไม่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้

ใช่หรือไม่ว่าหินก้อนใหญ่จะกลายเป็นของหนัก
และสร้างทุกข์ให้แก่เราก็ต่อ เมื่อเราแบกมันเอาไว้เท่านั้น
เมื่อมีสติรักษาใจ รู้เท่าทันความคิด ไม่เผลอยึดติดจนจิตหนักอึ้ง
แม้งานจะยาก อุปสรรคจะเยอะ ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
คัดลอกจาก...ยึดติด [สารคดี กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑]
โดย พระไพศาล วิสาโล
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1540

โพสต์

สรุป ไม่ได้ไป ป่วยครับ จนวันนี้ ยังไม่หายป่วย พี่แม็กบอก เอ็งไม่มีบุญ 555 สงสัยจะไม่มีบุญ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1541

โพสต์

เด็กใหม่ไฟแรง เขียน:มีผู้ใหญ่บอกผมว่า
คนลงทุนในหุ้น
โดยเฉพาะต้องติดตามใกล้ชิด หาหุ้น วิเคราะห์งบ
คอยตามผลประกอบการ ไป opp day
ยากที่จะก้าวหน้าในการภาวนา
เพราะสิ่งมากระทบมีมากเกินไป
สู้หาทางสงบไม่ได้
.....................
เว้นเสียแต่ว่า เราไม่มีทางเลือก
ต้องลงทุน ต้องติดตาม เพราะเป็นการเลี้ยงชีพ
การตามดูจิตก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
......................
พี่ๆมีความเห็นอย่างไรครับ
ช่วยติแนะด้วยครับ
เป็นความสังสัยที่เหมือนกันครับ
แต่ถ้าลงทุนแบบไม่ต้องใกล้ชิดมากมาย  แล้วมีเวลาไปหาความสงบ คงไม่เป็นไรมังครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1542

โพสต์

smith_sanguan เขียน:สรุป ไม่ได้ไป ป่วยครับ จนวันนี้ ยังไม่หายป่วย พี่แม็กบอก เอ็งไม่มีบุญ 555 สงสัยจะไม่มีบุญ
เป็นอะไรเหรอครับ
หายเร็วๆครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1543

โพสต์

san เขียน:


เป็นความสังสัยที่เหมือนกันครับ
แต่ถ้าลงทุนแบบไม่ต้องใกล้ชิดมากมาย
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1544

โพสต์

พี่พอใจ  ยังคงใจดีเสมอมานะครับ
ขอบคุณครับ  ที่มาแนะนำ
: )
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1545

โพสต์

หายแล้วครับ เป็นหวัด ธรรมดา กินยาก็หาย แต่กินยา ก็ง่วงนอนเยอะครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1546

โพสต์

smith_sanguan เขียน:หายแล้วครับ เป็นหวัด ธรรมดา กินยาก็หาย แต่กินยา ก็ง่วงนอนเยอะครับ
:8) จะว่าไปยาแก้แพ้ พวกลดน้ำมูก สมัยนี้กินแล้วไม่ง่วงแล้วนะ
     ตัวที่ดีที่สุดที่น้องๆหมอในเวบนี้แนะนำผมไว้คือ
     clarinase
     ยานี้ดีมากลดทั้งน้ำมูกทั้งคัดจมูก
     ถ้าลดน้ำมูกอย้างเดียวไม่มีอาการคัดจมูกก็ finafex
     คราวหน้าเป็นหวัดอีก
     กรุณาปรึกษาน้องหมอที่เป็นแฟนซะดีๆ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1547

โพสต์

por_jai เขียน:
:8) จะว่าไปยาแก้แพ้ พวกลดน้ำมูก สมัยนี้กินแล้วไม่ง่วงแล้วนะ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1548

โพสต์

[quote="smith_sanguan"]
ปรึกษาแล้วครับ

คาลิเนส กินตอนกลางวัน คู่ กับเทลฟาส

กลางคืน น้องหมอให้กินแอกติเฟสครับ ผมกินครึ่งเม็ด หลับไป 8-10 ชั่วโมงครับ บอกจะได้พักผ่อนเยอะๆ ตอนแรกกินไป เม็ดเต็มเรียบร้อย นอน สองทุ่ม ตื่นหกโมงเช้า เลย ขอลด เป็นครึ่งเม็ด :D

มือหายยังครับ พี่ป้อม
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
jverakul
Verified User
โพสต์: 1959
ผู้ติดตาม: 1

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1549

โพสต์

พี่พอใจคร้าบ  

ขอรายงานผลการทดลอง  

ตอนนี้ผมอ่านกระทู้จบหนึ่งรอบแล้วครับ  ทำให้ได้รู้จักว่าในห้องนี้มีกูรูอยู่ค่อนข้างเยอะ  

อาทิ เช่น  พี่พอใจ, พี่สถาปนิกต่างดาว, พี่กล้วยไม้ขาว, พี่คนเรือหก, คุณ Ronnapum,คุณสมิทธิ  ฯลฯ

ส่วนการดูจิตของผมนั้น เห็นอารมณ์โกรธเป็นบางครั้ง, ช่วงนี้จะติดเบื่องาน แต่จิตยังดูไม่ทันว่าเบื่อ  ฟุ้งซ่านก็นานครั้ง

การฟังไฟล์ของลพ.ปราโมทย์  ก็ประมาณ  10 กว่าไฟล์  บางครั้งรู้ว่าฟัง บางครั้งก็ฟังเพื่อให้นอนหลับสบาย

ก่อนหน้านี้ผมจะชอบอ่านหนังสือของท่านพุทธทาส  แต่ยังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ (อาจจะต้องขอความอนุเคราะห์จากพี่สถาปนิกต่างดาว )

ปัญหาที่เจอตอนนี้คือไม่มีความพยายามในการปฏิบัติเท่าไหร่  สวดมนต์ก็ไม่ต่อเนื่อง ทำอาทิตย์เว้นอาทิตย์  ยังหลงไปกับสภาวะที่มากระทบบ่อยๆ แตู่ดูหรือรุ้ไม่ทัน

คงจะต้องหาวิธีการให้เหมาะสมกับตัวเองครับ  คิดว่าต้องปฏิบัติตอนทำงานเพราะเท่าที่สังเกตุดู  วันๆ หนึ่งจะเจอสภาวะต่างๆ เยอะมาก แต่รู้ไม่ทันเท่านั้นเอง  (หรือผมอาจจะคิดไปเองก็ได้) :roll:

ผมมีข้อสังเกตุเกี่ยวกับพี่พอใจอย่างหนึ่งนะครับว่า ตั้งแต่ผมอ่านกระทู้หน้าแรกจนกระทั่งจบในวันนี้  ผมรู้สึกว่าพี่พอใจขึ้นบรรไดได้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้วครับ  และผมก็มีข้อสังเกตุอีกอย่างหนึ่งว่าที่พี่พอใจไม่ต้องทำสมถะ (หรือสมาธิ) เพราะว่าพี่พอใจได้สมถะมาตั้งนานแล้ว  จากการเล่นกีฬา  

ข้อสังเกตุสุดท้ายนี้  ผมดูมาจากตัวผมเองด้วยครับเพราะถ้ามีช่วงไหนผมไม่ออกกำลังกายติดต่อกันนานเกิน 1 อาทิตย์  เวลาตื่นนอนตอนเช้าจะรู้สึกเพลียเหมือนนอนไม่พอ  ทั้้งที่นอนมากกว่า 8 ชั่วโมง
และจะมีอาการง่วงนอนตอนบ่ายๆ เวลาที่นั่งอยู่เฉยๆ  ทำให้ต้องเคลื่อน
ไหวอยู่ตลอด   :!:

จบการรายงานครับ  

ปล.ผมคงต้องเพิ่มเวลาในการฟังไฟล์ของลพ. ให้มากขึ้นด้วยครับ
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
jverakul
Verified User
โพสต์: 1959
ผู้ติดตาม: 1

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1550

โพสต์

เอาธรรมะมาฝากครับ

หลวงพ่อชา - “คนเลี้ยงไก่”

มีคนเลี้ยงไก่  2 คน

คนที่  1 ทุกเช้าจะ เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ แล้วก็เก็บ "ขี้ ไก่"
ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!!  แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่า ไว้ในโรงเรือน
เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน  ทั้งบ้านก็ เหม็นหึ่ง ไปด้วยกลิ่นขึ้ไก่ !!! คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น!!!

คนเลี้ยงไก่คนที่  2 เอาตะกร้า เข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ เก็บ "ไข่ไก่" ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน
เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือเขาก็
เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก.....

ในชีวิตของเรา  พวกเรา เป็นคนเก็บ "ไข่ไก่" หรือ เก็บ"ขี้ไก่"

เรา เป็นคนเก็บ "ขี้ไก่" โดย เฝ้าแต่เก็บเรื่องร้ายๆ แย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา และมี
ความทุกข์ตลอดเวลาที่ คิดถึงมัน!!!

หรือเราเป็นคนที่เก็บ "ไข่ไก่" เราจดจำสิ่งที่ดีๆที่เกิดในชีวิตของเรา และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน!!

คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคน เก็บ "ขี้ไก่"
เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจ ฯลฯ มักจะติดอยู่ในใจ
ของเรานานเท่านาน

ถ้าเราอยากมีความสุขใน ชีวิต เลือกเก็บ "ไข่ไก่" กับชีวิต
ทิ้ง "ขี้ไก่" ไปเถอะ ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที ...
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1551

โพสต์

ผม เลือกไม่ได้ที่จะบังคับ ให้ เก็บ ขี้ไก่ หรือไข่ไก่ บางครั้งก็เก็บขี้ บางครั้งก็เก็บไข่ไก่ แต่ก็พยายาม รู้ว่าเก็บขี้ไก่ บางครั้งก็เก็บไข่ไก่ เหม็นก็บ่อย หอมไข่เจียวก็บ่อย ตอนนี้จะเก็บอะไรก็ช่างมัน ให้มันเก็บไป ทำไปนานๆ ก็เคยชิน เหม็นก็ไม่เที่ยง หอมก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็หอม เดี๋ยวก็เหม็น ปล่อยวาง

ตอนนี้ ผมตีกอล์ฟ 3 วัน ยกเวท 2 วัน พัก สองวัน เหนื่อย ง่วงหลับ

ช่วงเครียดๆ นอนไม่หลับ ก็รู้ว่าไม่หลับ ไม่หลับก็ช่างมัน อย่าไปสนใจมัน แอบมองห่างๆ จ้องมันมาก มันก็ไม่หลับ ไม่จ้อง แอบๆมองเดี๋ยวมันก็หลับ

นอนมากแล้ว ตื่นมายังเพลีย ไม่รู้อันนี้ต้องถามหมอ

ฟังไปเรื่อยครับ เบื่อก็พัก ว่างก็ฟัง ปฎิบัติไป สวดมนต์บ่อยๆ เริ่มจาก น้อยไปมาก เอา 5 นาทีพอ ครับ ทุกวัน 5นาที ไม่ทำให้ตื่นสายครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1552

โพสต์

กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
jverakul
Verified User
โพสต์: 1959
ผู้ติดตาม: 1

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1553

โพสต์

smith_sanguan เขียน: นอนมากแล้ว ตื่นมายังเพลีย ไม่รู้อันนี้ต้องถามหมอ

ฟังไปเรื่อยครับ เบื่อก็พัก ว่างก็ฟัง ปฎิบัติไป สวดมนต์บ่อยๆ เริ่มจาก น้อยไปมาก เอา 5 นาทีพอ ครับ ทุกวัน 5นาที ไม่ทำให้ตื่นสายครับ
ขอบคุณครับคุณสมิทธิ  ส่วนเรื่องการตื่นนอนแล้วเพลียนั้น ผมสังเกตุดูตัวเองหลายครั้งแล้วครับ  เหมือนคล้ายว่าถ้าไม่ได้ออกกำลังกายนานๆ พลังมันจะหดหาย หรืออาจจะทำให้ไม่มีสมาธิในการนอน หรือ จิตฟุ้งซ่านระหว่างการนอน ทำให้หลับไม่ลึก  ก็เป็นได้ครับ  

por_jai เขียน: ล่นกีฬาก็เป็นเรื่องในชีิวิตประจำวัน
อาศัยดูจิตได้สบาย
อย่างตอนวิ่งหลายๆรอบสวนลุม
มันก็รู้สึกปวด มีเวทนาเกิดขึ้นมากมาย
แต่วิ่งไปเจอสาวๆสวยๆอยู่ข้างหน้า
เราส่งสายตาไปดู
จิตส่งออกไปแล้ว
เอ้ารู้ตัว
ถอนสายตาออกมา
เอ..เมื่อกี๊ปวดขาจะตาย แล้วตอนที่เราละสายตาไปดูนั้น
เวทนามันหายไปไหนได้หว่า
อ้อ..รู้แล้วว่าถ้าจิตมันไม่ไปจับตัวปวดไว้ มันก็ไม่ปวดนะ
อือม...เราหายปวดเพราะเหตุบังเอิญ
แต่ถ้าเราฝึกจนแยกได้เองไม่ต้องอาศัยเหตุบังเอิญบ้างเล่า
อือม...น่าสนใจนะ ใครว่าศาสนาน่าเบื่อ...ฮ่า...

ตอนเล่นแบด
แบดคู่ใช่ไหม
สมัยก่อนตีแพ้ทีไร
ในใจโทษเืพื่อนทุ๊กที
หงุดหงิดมันว่าง่ายๆแค่นี้ทำไมเล่นให้เสียได้
ที่จริงหงุดหงิดนี่ก็เป็นน้องชายโทสะนี่แหละครับ
หลวงพ่อสอนว่า โทสะนี่คือ ไม่ชอบ ผลักออก
ราคะนี่คือ ชอบ รวบเข้า
พอรู้ทันมัน มันก็เสร็จเรา
เดี๋ยวนี้เล่นแพ้ หงุดหงิดเห็นทัน แม้นเห็นไม่ทัน
ก็มีศีลคุมไว้มั่น
เล่นชนะ ตัวดีใจมันก็แว่บ ก็ทันบ้างไม่ทันบ้าง ตามประสา
มีคนยอมมาเล่นกับเรา ก็พอใจแล้วครับ
ขอบคุณครับพี่พอใจ  ที่ชี้แนะ เดี๋ยวผมจะไปทดลองปฏิบัติดู  แล้วจะมารายงนผลการทดลองเป็นระยะครับ
ปล.ผมก็ชอบเล่นแบดนะครับ  ทุกวันนี้ก็อาศัยแบดเป็นการออกกำลังกาย  โดยมีคู่ซ้อมเป็นกำแพง
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1554

โพสต์

นานๆ ถามทีครับ   ถามใครดีหว่า

เดี๋ยวพี่พอใจก็เข้ามาช่วยตอบเองครับ  อิอิอิ

พี่ครับ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง  นี่  ถ้ามีสติ กำกับมันจะเป็นยังไง ครับ....
ความโลภ ความโกรธ ความหลง  นี่ จะยังสัมฤทธิ์ผล มั๊ยครับ
ถ้าเรารู้  แล้วปล่อยมัน  แค่ตาม  แล้วมันเกิดอาละวาดขึ้นมา  เราก็แค่รู้ว่ามันอาละวาด   ถัดจากนี้ ทำยังไงต่อครับ  เกิดมันอาละวาดไม่หยุดละครับ  เหมือนในร่างกายมี 2 คน  ทำยังไงต่อดีครับ  
คนนึงมันก็รู้  แค่ตามดู ไม่สนใจ
อีกคนนึงมันก็อาละวาดไปเรื่อย  
....งง ป่าวครับ พี่

ปล ผมยังปกติดีครับ  ไม่ต้องห่วงครับ
อิอิอิ
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1555

โพสต์

[quote="san"]นานๆ ถามทีครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1556

โพสต์

smith_sanguan เขียน:
อยากตอบครับ ผิดให้พี่ป้อมมาแก้ :D
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มีสติ ขาดฉับ ยังไม่หมดเหตุก็เกิดมาใหม่ มีสติก็ตัดฉับ มันก็จะเกิด ฉับเกิด ฉับเกิด ฉับเกิด จนกว่าจะหมดเหตุ หรือ เห็นความจริง ว่ามันไม่ใช้ตัวเรา มันก็จะย้อมเราไม่ได้ แต่ถ้าแพ้ ก็โดนย้อม หรือ สัมฤทธิ์ผล ครับ

มันอาละวาดไม่หยุด เดี๋ยวมันก็หายบ้าเองครับ ถ้ามันจะย้อมเราแล้ว เดินหนี หรือใช้สมาถะกดก่อน ไม่ไหวอีก ศีล5ครับ ห้ามขาด พอหาย ค่อยเจอกันใหม่ฝากไว้ก่อน เจอกันใหม่ก็ มาเลย คราวที่แล้วแพ้ มันก็จดจำสภาวะได้ ก็เคยเจอมาแล้ว เหมือนเล่นเกมส์ครับ เล่นหลายๆรอบก็ จะชนะ แล้วก็จำได้ แล้วก็เลิกเล่นเกมส์ เพราะไม่รู้จะเล่นทำไม
:8) เอาไป3ตัว :bow:  :bow:  :bow:
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1557

โพสต์

:8) เพิ่งฟังเมื่อครู่
     มาแถมให้
     หลวงพ่อว่าศีลนั้นเหมือนดิน
     ดินไม่ดีปลูกอะไรไม่ได้
     ไม่ว่าต้นสติ ต้นสมาธิ ต้นปัญญา
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
smith_sanguan
Verified User
โพสต์: 3348
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1558

โพสต์

ช่วงนี้ราคะมาเยี่ยมบ่อยครับ :D
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1559

โพสต์

smith_sanguan เขียน:ช่วงนี้ราคะมาเยี่ยมบ่อยครับ :D
อากาศดีมังครับ
ฝนตกบ่อยๆ  เกี่ยวป่าวครับ
อิอิอิ
หรือว่าไปอยู่ในที่  ที่สาวๆเยอะครับ
:D
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ธรรมะ ธรรมชาติ

โพสต์ที่ 1560

โพสต์

เริ่มดูเนตในเรื่องของธรรมมะ
อืมม  มีดีหลายที่ครับ

น่าสนใจครับ
หน้าฝนนี่  หัดดีที่สุดครับ
จริงๆดูจิต ทุกวันก็ดีที่สุดครับ   เวลาไหนก็ได้  เพื่อกระตุ้นเตือนตัวเราเอง
แต่ว่าก็ยังยึดติดอยู่ครับ  ปล่อยได้ไม่เท่าไร
ดูสิว่า  ช่วงเวลาที่ดีสำหรับการหัดด้านธรรมะในช่วง 4 เดือนข้างหน้านี้  จะเป็นยังไงครับ
เอาไว้ผานไปแล้ว ค่อยมาเล่าให้ฟังครับ
ระหว่างการฝึกตัวตน  คงไม่เล่าอะไรครับ

นอกจากยึดศีลเป็นตัวตั้งพื้นฐาน  
ดู ตามจิตเป็นหลัก
การปล่อยวาง
อะไรที่ควรทำมีอีกเท่าไรครับ

วานผู้รู้แนะนำด้วยครับ  ผมรู้น้อยครับ

วันนึง มีพระรูปนึง ไปกล่าวโทษพระอีกรูปนึงให้หลวงพ่อฟัง
หลวงพ่อ ท่านแนะนำสั้นๆว่า  ดูตัวเรา อย่าไปดูคนอื่น

ใกล้เข้ามาแล้วครับ อีกไม่นาน

ผมยังต้องหาเหตุผลเพื่อเข้าข้างตัวเอง  เพื่อที่จะยืดระยะเวลาการฝึกตัวตน  ให้ไปเริ่ม ณ. วันเข้าพรรษา
มนุษย์  หนอ มนุษย์

หลวงพี่ บอกว่า ผมเป็นมนุษย์ขี้เหม็น
หลวงพี่ท่านนี้ จบมหิดล
ท่านเลือกแล้ว ทางที่ท่านเลือก ท่านผ่องใส
....
ว่างๆ ไปเยี่ยมหลวงพี่ กับ หลวงพ่อ ดีกว่าครับ

เมื่อไรขี้จะหายเหม็นหว่า......
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ