บทเรียน/ สิ่งที่ได้เรียนรู้
ผมลองนึกดูว่า ที่ผ่านมาลงทุนยังไง เห็นอะไรมาบ้าง พบว่า
- การลงทุนให้ประสบความสำเร็จไม่ได้มีวิธีเดียว มีหลายวิธีที่สำเร็จได้ แนวทางใครแนวทางมัน
- หลังวิกฤตย่อมมีโอกาส แต่ก่อนจะมีโอกาสต้องรอดจากวิกฤต และเมื่อโอกาสมาถึงเราต้องกล้า
- อย่าให้ความสำคัญกับผลตอบแทนการลงทุนมากจนเกินไป ความสม่ำเสมอและระยะเวลาการลงทุนต่างหากที่สำคัญมากกว่า
- และข้อสังเกตอื่นๆที่น่าสนใจ
การลงทุนให้สำเร็จไม่ได้มีวิธีเดียว
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า น่าจะมีแนวทางการลงทุนอันเดียวที่ดีที่สุด ที่เหมาะกับทุกคน ต้องลงทุนแบบนี้ถึงจะดี ลงทุนแบบอื่นๆนั้นไม่ดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงรู้ว่า จริงๆแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะคนเรานั้นต่างกัน
ทางที่ประสบความสำเร็จ
ไม่ได้มีทางเดียว
แต่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักมีแนวทางเป็นของตัวเอง
บางคนเก่งหุ้น Cyclical บางคนชอบหุ้นถูกมีตัวเร่ง บางคนหุ้นฟื้นตัว บ้างก็หุ้นประมูลงาน บางคนชอบ Super Stock
บางคนเก่ง Commodities บางคนเก่ง Arbitrage บางคนเก่งทุกอย่างเลย
![:bow:](https://cdn.jsdelivr.net/gh/s9e/emoji-assets-twemoji@11.2/dist/svgz/1f647.svgz)
หรือบางคนก็ใช้ Technical ใช้ Fund Flow ประกอบ
เรื่องการบริหารพอร์ต บางคนก็ชอบถือนานหลายปี บางคนถือไม่นานมากหุ้นขึ้นก็ขายเปลี่ยนตัว บางคนถือแค่ไม่กี่หุ้น
แต่บางคนก็ชอบกระจายหลายหุ้น หรือบางคนอาจจะเหมาะลงทุนในกองทุนดัชนีโดยไม่ต้องเลือกหุ้นเลยก็ยังได้
ไม่มีใครถูกใครผิด แนวทางไหนไม่สำคัญ
ที่สำคัญคือเราต้องแน่ใจว่าเรารู้เรื่องเหล่านั้นจริงๆ
(มีนักลงทุนฝีมือดีท่านนึงเคยกล่าวว่า แมวสีไหนไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอแล้ว)
ดังนั้น เรา
ไม่จำเป็นต้องเก็บหุ้นเด็ดทุกตัว เอา
แค่ไม่กี่ตัวที่เราเข้าใจได้ก็พอแล้ว
ผมเองพลาดหุ้นเด็ดไปตั้งเยอะ
บางตัวก็เป็นโอกาสที่ดีซึ่งผมก็เสียดายเหมือนกัน :( แต่ส่วนใหญ่ไม่ลงทุนเพราะยังไม่เข้าใจพอ และบางตัวก็ไม่ใช่แนวที่ถนัด :oops:
หุ้นที่ผม
ไม่เคยลงทุนเช่น AIT BANPU BGH BH BLA BOL CPF CPN DSGT GFPT ILINK IRP KH MINT PB PDI PS PTT PTTEP
SAT SCIB SCNYL SIS SNC SPALI SSF STPI SVI TICON TNH TOP TPAC TTA UEC UMS UVAN WG
ตลอด 4 ปีที่ลงทุนมา กว่า 80% ของผลตอบแทนการลงทุนเกิดจากหุ้นหลักๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น (4-5 ตัว)
ส่วนผลงานอีก 20% ที่เหลือเกิดจากหุ้นจำนวนมากกว่าที่ผมลองซื้อขายบ่อยๆแบบเก็งกำไร ซึ่งช่วงหลังผมพยายามทำให้น้อยลง
ที่ผ่านมาสไตล์การลงทุนหลักที่ผมใช้คือเน้นลงทุนน้อยตัว (Focus) ถ้าภาวะปกติ ผมจะเลือกหุ้นคุณภาพที่มี DCA + Growth
ยกเว้นถ้าเกิดวิกฤตเหมือนปีที่แล้ว ผมจะเลือกหุ้นถูก + ฟื้นตัว + DCA
ส่วนนักลงทุนท่านอื่นๆก็มีแนวทางของเค้า มีผลงานการลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงๆมากมาย
ต้องรอดจากวิกฤต และเมื่อโอกาสมาถึงต้องกล้า
การลงทุนที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมมี
โชคอยู่มากพอควร (จะเรียกว่าฟลุ๊คบ้างก็ได้) แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ผลตอบแทนที่คิดเป็นเม็ดเงินส่วนใหญ่ของผมเกิดขึ้นในปี 2009 เหมือนมีคนเคยบอกว่า
โอกาสใหญ่ๆของคนเรามีแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิต เมื่อมันมาถึงเราต้องกล้า แต่ไม่ใช่อยู่ๆก็กล้า เราต้องศึกษาต้องเห็นมาก่อน
ตอนผมอ่าน ตีแตก อ่านบทความ ผมทั้งดีใจและเสียใจ เสียใจที่โอกาสดีๆแบบตอนนั้น มันผ่านไปแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาอีก
ผมพอรู้เรื่องราวของหุ้นเรือ หุ้นปี 2003 ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่า
ถ้าโอกาสครั้งหน้ามาถึงผมต้องไม่พลาด
แต่เนื่องจากโอกาสจะมาหลังวิกฤต ดังนั้นก่อนจะมีโอกาสได้
เราต้องรอดจากวิกฤตซะก่อนเพราะถ้าพลาดเราอาจไม่ได้แก้ตัวอีก
(ที่จริงปี 2008 ผลตอบแทนผมก็ติดลบ 30% ไม่รู้จะเรียกว่ารอดดีรึเปล่า :oops: )
ดังคำกล่าวว่า
ถ้าเรารู้ว่าเราจะตายที่ไหน ก็อย่าไปที่นั้น
ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าโอกาสขาดทุนครั้งใหญ่เกิดได้ยังไง เราก็อาจจะพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง
เท่าที่ผมเห็น
โอกาสขาดทุนครั้งใหญ่มักจะเกิดจาก
การลงทุนในหุ้นคุณภาพต่ำหรืองั้นๆในเวลาทองของธุรกิจนั้น และ
การใช้ Margin ที่มากเกินไป หรือทั้งสองอย่างรวมกัน :vm:
อีกอย่างคือ
การลงทุนหุ้นคุณภาพดีในราคาที่แพงเกินไป เช่น PE 40 เท่าบนกำไรปกติ (ที่ผ่านมา VI น้อยคนที่จะลงทุนแบบนี้)
หรือแม้แต่
การลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นที่ร้อนแรง เช่น ลองนึกถึงตลาดหุ้นจีนตอนก่อนวิกฤตที่ PE 40 เท่าดู
(ไม่ต้องพูดถึงหุ้นปั่น หรือการเล่นเก็งกำไร Futures ซึ่งนักลงทุนทุกคนควรรู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสหมดตัวได้ทุกเมื่อ)
ดูเหมือนผมจะพูดย้อนหลังใครก็พูดได้ (แต่ใครจะพูดย้อนหน้าได้ล่ะ
![Evil or Very Mad :evil:](./images/smilies/icon_evil.gif)
)
ปลายปี 2008 - ต้นปี 2009 ทุกคนรู้ว่าหุ้นถูก แต่ไม่ค่อยมีคนกล้า
(ไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวหุ้น ซึ่งไม่เคยตระหนักถึง ไม่สนใจด้วยว่า โอกาสมาถึงแล้ว และผ่านไปแล้ว)
แต่
ลงมือทำจริงมันไม่ง่ายเลย นอกจากจะเอาหลักเหตุผล หลัก VI มาสู้ทุกทางแล้ว
ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องมี
ความมั่นคงทางอารมณ์มากๆ และต้องมีความเชื่อมั่นในหลักการที่ใช้อย่างมาก
(ช่วงนั้นก็ไปงานสัมมนาบ่อยๆ อ่านบทความอาจารย์บ่อยๆหลายๆรอบ)
จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว อันนี้หลายคนเคยได้ยิน
แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับรู้สึก
โลภไปกลัวไป โดยเฉพาะ
เคาะซื้อไปใจสั่นไป :?
VI รุ่นใหม่ที่พลาดปี 2009 ก็ไม่ต้องเสียดายมาก ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว
วิกฤตหน้ายังมีอีกแน่นอน :twisted: แต่ไม่รู้เมื่อไหร่
อาจจะปีเดียวหรืออาจจะ 10 ปีก็ได้ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆคือต้องเอาตัวรอดให้ได้ด้วย
(แต่ต่อให้ไม่ต้องมีวิกฤตเลยก็ยังได้ ถ้าเราลงทุนตามหลักไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอไปเรื่อยๆ ก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน
เพราะ
ระยะเวลาต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน)
ขอมาต่ออีกทีซักอาทิตย์หน้านะครับ :)
(ไม่นึกว่าการเขียนจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย นับถือคนที่เค้าเขียนบทความให้ความรู้บ่อยๆจริงๆครับ
![:bow:](https://cdn.jsdelivr.net/gh/s9e/emoji-assets-twemoji@11.2/dist/svgz/1f647.svgz)
)