มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 152
แค่แนวคิดเริ่มแรกก็น่าติดตามแล้ว
ขอรอคอยด้วยใจระทึกพลัน :lol:
ขอรอคอยด้วยใจระทึกพลัน :lol:
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
- wit163
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 153
เพิ่งเริ่มต้น เองครับ ยังไม่มีงานการกำลังหาอยู่
ที่บ้านเกิด จังหวัดเลย
ไปที่อื่นก็ ไหนจะค่า ต่างๆ
สนใจมาได้ VI ซักระยะแล้ว
จะศึกษาเรียนรู้ต่อไป
ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีดีครับ
ที่บ้านเกิด จังหวัดเลย
ไปที่อื่นก็ ไหนจะค่า ต่างๆ
สนใจมาได้ VI ซักระยะแล้ว
จะศึกษาเรียนรู้ต่อไป
ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีดีครับ
17544 หมีซักผ้า: มืดมนไม่มีวันจบ (ระยะเพาะปลูก : โรยถั่ว)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 154
กระทู้ในตำนาน
รอฟังด้วยคนครับ :\/:
รอฟังด้วยคนครับ :\/:
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
-
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 155
เริ่มต้นลงทุนยังไง ?
ผมเพิ่งจะลงทุนมาเต็ม 4 ปีเองครับ ผมยังมือใหม่มากๆ
ยังต้องเรียนรู้ ยังต้องลองผิดลองถูกอีกเยอะ :oops:
ตอนเริ่มจะซื้อหุ้น ผมรู้ว่าผมไม่ได้เก่ง ประสบการณ์ลงทุนก็แทบไม่มี
เวลาก็ไม่มีเพราะต้องทำงาน ข่าวสารต่างๆก็รู้ช้ากว่าคนอื่น
แถมยังค่อนข้างขี้เกียจ(อันนี้เป็นปัญหาหนักสุด ห้ามลอกเลียนแบบ )
แทบไม่เคยโทรหา IR หรือ company visit เลย
ดังนั้นด้วยข้อจำกัดต่างๆ ผมจึงไม่ค่อยได้คิดอะไรใหม่ๆ หรือเริ่มต้นหาหุ้นด้วยตัวเองเลย
พูดง่ายๆคือ ผมอาศัยลอกการบ้านเอาจากอาจารย์และพี่ๆที่เค้าศึกษามาแล้ว
ผมศึกษาเอาจากคนเก่งๆทั้งหลายนั่นแหละครับ เช่น ไปสัมมนาบ่อยๆ อ่าน thaivi อ่านหนังสือ
จากนั้นผมก็มาเลือกลงทุนเองอีกที เรียกได้ว่าผมทำการบ้านของการบ้านของคนอื่นอีกทีครับ
อย่างน้อยเราก็ต้องเข้าใจในกิจการและวิเคราะห์ตามหลัก VI เองตามปกติด้วย
(ส่วนสไตล์การลงทุนแต่ละคนก็ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเอง)
และต้องคิดด้วยตัวเองอีกทีก่อนตัดสินใจ เพราะถ้าพลาดจะได้ไม่โทษคนอื่น แต่ถ้ากำไรต้องชมเค้านะครับ
ซึ่งส่วนใหญ่มีหุ้นน้อยตัวที่ผมจะซื้อ
(การแห่ซื้อตามเซียนโดยไม่มีความรู้เป็นเรื่องอันตรายมากๆนะครับ)
ผมจะมองหาโอกาสที่ง่ายๆชัดๆ ซึ่งนานๆจะเจอที ปีๆเจอ 1 2 ทีก็พอแล้วครับ บางตัวก็อยู่หลายปี
เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะอยู่เฉยๆไม่ค่อยทำอะไร แต่ก็จะติดตามข่าวสารไปเรื่อยๆ
โดยเฉพาะเรื่องราวของหุ้นที่อยู่ในความสนใจของเรา ที่เหลือก็อ่านหนังสือบ้างไปตามเรื่องตามราว
ในพอร์ตก็มีหุ้นหลักๆ 2-3 ตัว ระหว่างปีก็มีแบ่งเงินบางส่วนมาลองผิดลองถูกบ้าง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามภาษาคนมือใหม่
นี่คือผลงานการลงทุนที่ผ่านมาของผม
2006 +58.6%
2007 +31.6%
2008 -30.7%
2009 +369.3%
คราวหน้าผมจะลองเล่าถึงประสบการณ์ลงทุนบ้าง เท่าที่นึกออกครับ
ผมเพิ่งจะลงทุนมาเต็ม 4 ปีเองครับ ผมยังมือใหม่มากๆ
ยังต้องเรียนรู้ ยังต้องลองผิดลองถูกอีกเยอะ :oops:
ตอนเริ่มจะซื้อหุ้น ผมรู้ว่าผมไม่ได้เก่ง ประสบการณ์ลงทุนก็แทบไม่มี
เวลาก็ไม่มีเพราะต้องทำงาน ข่าวสารต่างๆก็รู้ช้ากว่าคนอื่น
แถมยังค่อนข้างขี้เกียจ(อันนี้เป็นปัญหาหนักสุด ห้ามลอกเลียนแบบ )
แทบไม่เคยโทรหา IR หรือ company visit เลย
ดังนั้นด้วยข้อจำกัดต่างๆ ผมจึงไม่ค่อยได้คิดอะไรใหม่ๆ หรือเริ่มต้นหาหุ้นด้วยตัวเองเลย
พูดง่ายๆคือ ผมอาศัยลอกการบ้านเอาจากอาจารย์และพี่ๆที่เค้าศึกษามาแล้ว
ผมศึกษาเอาจากคนเก่งๆทั้งหลายนั่นแหละครับ เช่น ไปสัมมนาบ่อยๆ อ่าน thaivi อ่านหนังสือ
จากนั้นผมก็มาเลือกลงทุนเองอีกที เรียกได้ว่าผมทำการบ้านของการบ้านของคนอื่นอีกทีครับ
อย่างน้อยเราก็ต้องเข้าใจในกิจการและวิเคราะห์ตามหลัก VI เองตามปกติด้วย
(ส่วนสไตล์การลงทุนแต่ละคนก็ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเอง)
และต้องคิดด้วยตัวเองอีกทีก่อนตัดสินใจ เพราะถ้าพลาดจะได้ไม่โทษคนอื่น แต่ถ้ากำไรต้องชมเค้านะครับ
ซึ่งส่วนใหญ่มีหุ้นน้อยตัวที่ผมจะซื้อ
(การแห่ซื้อตามเซียนโดยไม่มีความรู้เป็นเรื่องอันตรายมากๆนะครับ)
ผมจะมองหาโอกาสที่ง่ายๆชัดๆ ซึ่งนานๆจะเจอที ปีๆเจอ 1 2 ทีก็พอแล้วครับ บางตัวก็อยู่หลายปี
เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะอยู่เฉยๆไม่ค่อยทำอะไร แต่ก็จะติดตามข่าวสารไปเรื่อยๆ
โดยเฉพาะเรื่องราวของหุ้นที่อยู่ในความสนใจของเรา ที่เหลือก็อ่านหนังสือบ้างไปตามเรื่องตามราว
ในพอร์ตก็มีหุ้นหลักๆ 2-3 ตัว ระหว่างปีก็มีแบ่งเงินบางส่วนมาลองผิดลองถูกบ้าง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามภาษาคนมือใหม่
นี่คือผลงานการลงทุนที่ผ่านมาของผม
2006 +58.6%
2007 +31.6%
2008 -30.7%
2009 +369.3%
คราวหน้าผมจะลองเล่าถึงประสบการณ์ลงทุนบ้าง เท่าที่นึกออกครับ
- vi_tal signs
- Verified User
- โพสต์: 631
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 156
อยากฟังตอนต่อไป :oops:
มันจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 159
แถวนี้พอมีที่ว่างมั๊ย ... ขอเบียดด้วยคน
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 160
ไม่ได้เข้ามาเป็นอาทิตย์ เห็นกระทู้นี้วิ่งเร็วมาก
เกือบตกรถซะแล้ว ขอนั่งฟังอีกซักคนครับ
เกือบตกรถซะแล้ว ขอนั่งฟังอีกซักคนครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- BABY TERMITE
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 162
ต้องเร่งสปีดเล่าแล้วล่ะครับ คนชมหนาตาขึ้นเรื่อยๆแล้ว นายตลาดก็เริ่มหงุดหงิดฟาดงวงฟาดงาแล้ว เผื่อจะได้ฟังประสบการณ์จริงตอนโดนนายตลาดฟาดเมื่อปี 51 ครับ
ปลวกน้อยคอยวันเติบใหญ่
- jacksatit
- Verified User
- โพสต์: 189
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 163
โอ้ว...อันนี้โดนใจจริงๆครับ ขอบคุณมาก[L] เขียน: ผมจะมองหาโอกาสที่ง่ายๆชัดๆ ซึ่งนานๆจะเจอที ปีๆเจอ 1 2 ทีก็พอแล้วครับ บางตัวก็อยู่หลายปี
เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะอยู่เฉยๆไม่ค่อยทำอะไร แต่ก็จะติดตามข่าวสารไปเรื่อยๆ
โดยเฉพาะเรื่องราวของหุ้นที่อยู่ในความสนใจของเรา ที่เหลือก็อ่านหนังสือบ้างไปตามเรื่องตามราว
- vi_tal signs
- Verified User
- โพสต์: 631
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 165
ขอถามคำถามนึงนะครับพี่ [L]
ลักษณะการลงทุนของพี่ เป็นลักษณะสไตล์ไหนเหรอครับ :oops:
ลักษณะการลงทุนของพี่ เป็นลักษณะสไตล์ไหนเหรอครับ :oops:
มันจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 166
บทเรียน/ สิ่งที่ได้เรียนรู้
ผมลองนึกดูว่า ที่ผ่านมาลงทุนยังไง เห็นอะไรมาบ้าง พบว่า
- การลงทุนให้ประสบความสำเร็จไม่ได้มีวิธีเดียว มีหลายวิธีที่สำเร็จได้ แนวทางใครแนวทางมัน
- หลังวิกฤตย่อมมีโอกาส แต่ก่อนจะมีโอกาสต้องรอดจากวิกฤต และเมื่อโอกาสมาถึงเราต้องกล้า
- อย่าให้ความสำคัญกับผลตอบแทนการลงทุนมากจนเกินไป ความสม่ำเสมอและระยะเวลาการลงทุนต่างหากที่สำคัญมากกว่า
- และข้อสังเกตอื่นๆที่น่าสนใจ
การลงทุนให้สำเร็จไม่ได้มีวิธีเดียว
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า น่าจะมีแนวทางการลงทุนอันเดียวที่ดีที่สุด ที่เหมาะกับทุกคน ต้องลงทุนแบบนี้ถึงจะดี ลงทุนแบบอื่นๆนั้นไม่ดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงรู้ว่า จริงๆแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะคนเรานั้นต่างกัน
ทางที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีทางเดียว แต่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักมีแนวทางเป็นของตัวเอง
บางคนเก่งหุ้น Cyclical บางคนชอบหุ้นถูกมีตัวเร่ง บางคนหุ้นฟื้นตัว บ้างก็หุ้นประมูลงาน บางคนชอบ Super Stock
บางคนเก่ง Commodities บางคนเก่ง Arbitrage บางคนเก่งทุกอย่างเลย หรือบางคนก็ใช้ Technical ใช้ Fund Flow ประกอบ
เรื่องการบริหารพอร์ต บางคนก็ชอบถือนานหลายปี บางคนถือไม่นานมากหุ้นขึ้นก็ขายเปลี่ยนตัว บางคนถือแค่ไม่กี่หุ้น
แต่บางคนก็ชอบกระจายหลายหุ้น หรือบางคนอาจจะเหมาะลงทุนในกองทุนดัชนีโดยไม่ต้องเลือกหุ้นเลยก็ยังได้
ไม่มีใครถูกใครผิด แนวทางไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเราต้องแน่ใจว่าเรารู้เรื่องเหล่านั้นจริงๆ
(มีนักลงทุนฝีมือดีท่านนึงเคยกล่าวว่า แมวสีไหนไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอแล้ว)
ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องเก็บหุ้นเด็ดทุกตัว เอาแค่ไม่กี่ตัวที่เราเข้าใจได้ก็พอแล้ว ผมเองพลาดหุ้นเด็ดไปตั้งเยอะ
บางตัวก็เป็นโอกาสที่ดีซึ่งผมก็เสียดายเหมือนกัน :( แต่ส่วนใหญ่ไม่ลงทุนเพราะยังไม่เข้าใจพอ และบางตัวก็ไม่ใช่แนวที่ถนัด :oops:
หุ้นที่ผมไม่เคยลงทุนเช่น AIT BANPU BGH BH BLA BOL CPF CPN DSGT GFPT ILINK IRP KH MINT PB PDI PS PTT PTTEP
SAT SCIB SCNYL SIS SNC SPALI SSF STPI SVI TICON TNH TOP TPAC TTA UEC UMS UVAN WG
ตลอด 4 ปีที่ลงทุนมา กว่า 80% ของผลตอบแทนการลงทุนเกิดจากหุ้นหลักๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น (4-5 ตัว)
ส่วนผลงานอีก 20% ที่เหลือเกิดจากหุ้นจำนวนมากกว่าที่ผมลองซื้อขายบ่อยๆแบบเก็งกำไร ซึ่งช่วงหลังผมพยายามทำให้น้อยลง
ที่ผ่านมาสไตล์การลงทุนหลักที่ผมใช้คือเน้นลงทุนน้อยตัว (Focus) ถ้าภาวะปกติ ผมจะเลือกหุ้นคุณภาพที่มี DCA + Growth
ยกเว้นถ้าเกิดวิกฤตเหมือนปีที่แล้ว ผมจะเลือกหุ้นถูก + ฟื้นตัว + DCA
ส่วนนักลงทุนท่านอื่นๆก็มีแนวทางของเค้า มีผลงานการลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงๆมากมาย
ต้องรอดจากวิกฤต และเมื่อโอกาสมาถึงต้องกล้า
การลงทุนที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมมีโชคอยู่มากพอควร (จะเรียกว่าฟลุ๊คบ้างก็ได้) แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ผลตอบแทนที่คิดเป็นเม็ดเงินส่วนใหญ่ของผมเกิดขึ้นในปี 2009 เหมือนมีคนเคยบอกว่า
โอกาสใหญ่ๆของคนเรามีแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิต เมื่อมันมาถึงเราต้องกล้า แต่ไม่ใช่อยู่ๆก็กล้า เราต้องศึกษาต้องเห็นมาก่อน
ตอนผมอ่าน ตีแตก อ่านบทความ ผมทั้งดีใจและเสียใจ เสียใจที่โอกาสดีๆแบบตอนนั้น มันผ่านไปแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาอีก
ผมพอรู้เรื่องราวของหุ้นเรือ หุ้นปี 2003 ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่า ถ้าโอกาสครั้งหน้ามาถึงผมต้องไม่พลาด
แต่เนื่องจากโอกาสจะมาหลังวิกฤต ดังนั้นก่อนจะมีโอกาสได้ เราต้องรอดจากวิกฤตซะก่อนเพราะถ้าพลาดเราอาจไม่ได้แก้ตัวอีก
(ที่จริงปี 2008 ผลตอบแทนผมก็ติดลบ 30% ไม่รู้จะเรียกว่ารอดดีรึเปล่า :oops: )
ดังคำกล่าวว่า ถ้าเรารู้ว่าเราจะตายที่ไหน ก็อย่าไปที่นั้น
ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าโอกาสขาดทุนครั้งใหญ่เกิดได้ยังไง เราก็อาจจะพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง
เท่าที่ผมเห็น โอกาสขาดทุนครั้งใหญ่มักจะเกิดจาก การลงทุนในหุ้นคุณภาพต่ำหรืองั้นๆในเวลาทองของธุรกิจนั้น และ
การใช้ Margin ที่มากเกินไป หรือทั้งสองอย่างรวมกัน :vm:
อีกอย่างคือ การลงทุนหุ้นคุณภาพดีในราคาที่แพงเกินไป เช่น PE 40 เท่าบนกำไรปกติ (ที่ผ่านมา VI น้อยคนที่จะลงทุนแบบนี้)
หรือแม้แต่ การลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นที่ร้อนแรง เช่น ลองนึกถึงตลาดหุ้นจีนตอนก่อนวิกฤตที่ PE 40 เท่าดู
(ไม่ต้องพูดถึงหุ้นปั่น หรือการเล่นเก็งกำไร Futures ซึ่งนักลงทุนทุกคนควรรู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสหมดตัวได้ทุกเมื่อ)
ดูเหมือนผมจะพูดย้อนหลังใครก็พูดได้ (แต่ใครจะพูดย้อนหน้าได้ล่ะ )
ปลายปี 2008 - ต้นปี 2009 ทุกคนรู้ว่าหุ้นถูก แต่ไม่ค่อยมีคนกล้า
(ไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวหุ้น ซึ่งไม่เคยตระหนักถึง ไม่สนใจด้วยว่า โอกาสมาถึงแล้ว และผ่านไปแล้ว)
แต่ลงมือทำจริงมันไม่ง่ายเลย นอกจากจะเอาหลักเหตุผล หลัก VI มาสู้ทุกทางแล้ว
ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องมีความมั่นคงทางอารมณ์มากๆ และต้องมีความเชื่อมั่นในหลักการที่ใช้อย่างมาก
(ช่วงนั้นก็ไปงานสัมมนาบ่อยๆ อ่านบทความอาจารย์บ่อยๆหลายๆรอบ)
จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว อันนี้หลายคนเคยได้ยิน
แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับรู้สึก โลภไปกลัวไป โดยเฉพาะเคาะซื้อไปใจสั่นไป :?
VI รุ่นใหม่ที่พลาดปี 2009 ก็ไม่ต้องเสียดายมาก ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว วิกฤตหน้ายังมีอีกแน่นอน :twisted: แต่ไม่รู้เมื่อไหร่
อาจจะปีเดียวหรืออาจจะ 10 ปีก็ได้ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆคือต้องเอาตัวรอดให้ได้ด้วย
(แต่ต่อให้ไม่ต้องมีวิกฤตเลยก็ยังได้ ถ้าเราลงทุนตามหลักไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอไปเรื่อยๆ ก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน
เพราะระยะเวลาต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน)
ขอมาต่ออีกทีซักอาทิตย์หน้านะครับ :)
(ไม่นึกว่าการเขียนจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย นับถือคนที่เค้าเขียนบทความให้ความรู้บ่อยๆจริงๆครับ )
ผมลองนึกดูว่า ที่ผ่านมาลงทุนยังไง เห็นอะไรมาบ้าง พบว่า
- การลงทุนให้ประสบความสำเร็จไม่ได้มีวิธีเดียว มีหลายวิธีที่สำเร็จได้ แนวทางใครแนวทางมัน
- หลังวิกฤตย่อมมีโอกาส แต่ก่อนจะมีโอกาสต้องรอดจากวิกฤต และเมื่อโอกาสมาถึงเราต้องกล้า
- อย่าให้ความสำคัญกับผลตอบแทนการลงทุนมากจนเกินไป ความสม่ำเสมอและระยะเวลาการลงทุนต่างหากที่สำคัญมากกว่า
- และข้อสังเกตอื่นๆที่น่าสนใจ
การลงทุนให้สำเร็จไม่ได้มีวิธีเดียว
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า น่าจะมีแนวทางการลงทุนอันเดียวที่ดีที่สุด ที่เหมาะกับทุกคน ต้องลงทุนแบบนี้ถึงจะดี ลงทุนแบบอื่นๆนั้นไม่ดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงรู้ว่า จริงๆแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะคนเรานั้นต่างกัน
ทางที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีทางเดียว แต่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักมีแนวทางเป็นของตัวเอง
บางคนเก่งหุ้น Cyclical บางคนชอบหุ้นถูกมีตัวเร่ง บางคนหุ้นฟื้นตัว บ้างก็หุ้นประมูลงาน บางคนชอบ Super Stock
บางคนเก่ง Commodities บางคนเก่ง Arbitrage บางคนเก่งทุกอย่างเลย หรือบางคนก็ใช้ Technical ใช้ Fund Flow ประกอบ
เรื่องการบริหารพอร์ต บางคนก็ชอบถือนานหลายปี บางคนถือไม่นานมากหุ้นขึ้นก็ขายเปลี่ยนตัว บางคนถือแค่ไม่กี่หุ้น
แต่บางคนก็ชอบกระจายหลายหุ้น หรือบางคนอาจจะเหมาะลงทุนในกองทุนดัชนีโดยไม่ต้องเลือกหุ้นเลยก็ยังได้
ไม่มีใครถูกใครผิด แนวทางไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเราต้องแน่ใจว่าเรารู้เรื่องเหล่านั้นจริงๆ
(มีนักลงทุนฝีมือดีท่านนึงเคยกล่าวว่า แมวสีไหนไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอแล้ว)
ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องเก็บหุ้นเด็ดทุกตัว เอาแค่ไม่กี่ตัวที่เราเข้าใจได้ก็พอแล้ว ผมเองพลาดหุ้นเด็ดไปตั้งเยอะ
บางตัวก็เป็นโอกาสที่ดีซึ่งผมก็เสียดายเหมือนกัน :( แต่ส่วนใหญ่ไม่ลงทุนเพราะยังไม่เข้าใจพอ และบางตัวก็ไม่ใช่แนวที่ถนัด :oops:
หุ้นที่ผมไม่เคยลงทุนเช่น AIT BANPU BGH BH BLA BOL CPF CPN DSGT GFPT ILINK IRP KH MINT PB PDI PS PTT PTTEP
SAT SCIB SCNYL SIS SNC SPALI SSF STPI SVI TICON TNH TOP TPAC TTA UEC UMS UVAN WG
ตลอด 4 ปีที่ลงทุนมา กว่า 80% ของผลตอบแทนการลงทุนเกิดจากหุ้นหลักๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น (4-5 ตัว)
ส่วนผลงานอีก 20% ที่เหลือเกิดจากหุ้นจำนวนมากกว่าที่ผมลองซื้อขายบ่อยๆแบบเก็งกำไร ซึ่งช่วงหลังผมพยายามทำให้น้อยลง
ที่ผ่านมาสไตล์การลงทุนหลักที่ผมใช้คือเน้นลงทุนน้อยตัว (Focus) ถ้าภาวะปกติ ผมจะเลือกหุ้นคุณภาพที่มี DCA + Growth
ยกเว้นถ้าเกิดวิกฤตเหมือนปีที่แล้ว ผมจะเลือกหุ้นถูก + ฟื้นตัว + DCA
ส่วนนักลงทุนท่านอื่นๆก็มีแนวทางของเค้า มีผลงานการลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงๆมากมาย
ต้องรอดจากวิกฤต และเมื่อโอกาสมาถึงต้องกล้า
การลงทุนที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมมีโชคอยู่มากพอควร (จะเรียกว่าฟลุ๊คบ้างก็ได้) แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ผลตอบแทนที่คิดเป็นเม็ดเงินส่วนใหญ่ของผมเกิดขึ้นในปี 2009 เหมือนมีคนเคยบอกว่า
โอกาสใหญ่ๆของคนเรามีแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิต เมื่อมันมาถึงเราต้องกล้า แต่ไม่ใช่อยู่ๆก็กล้า เราต้องศึกษาต้องเห็นมาก่อน
ตอนผมอ่าน ตีแตก อ่านบทความ ผมทั้งดีใจและเสียใจ เสียใจที่โอกาสดีๆแบบตอนนั้น มันผ่านไปแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาอีก
ผมพอรู้เรื่องราวของหุ้นเรือ หุ้นปี 2003 ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่า ถ้าโอกาสครั้งหน้ามาถึงผมต้องไม่พลาด
แต่เนื่องจากโอกาสจะมาหลังวิกฤต ดังนั้นก่อนจะมีโอกาสได้ เราต้องรอดจากวิกฤตซะก่อนเพราะถ้าพลาดเราอาจไม่ได้แก้ตัวอีก
(ที่จริงปี 2008 ผลตอบแทนผมก็ติดลบ 30% ไม่รู้จะเรียกว่ารอดดีรึเปล่า :oops: )
ดังคำกล่าวว่า ถ้าเรารู้ว่าเราจะตายที่ไหน ก็อย่าไปที่นั้น
ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าโอกาสขาดทุนครั้งใหญ่เกิดได้ยังไง เราก็อาจจะพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง
เท่าที่ผมเห็น โอกาสขาดทุนครั้งใหญ่มักจะเกิดจาก การลงทุนในหุ้นคุณภาพต่ำหรืองั้นๆในเวลาทองของธุรกิจนั้น และ
การใช้ Margin ที่มากเกินไป หรือทั้งสองอย่างรวมกัน :vm:
อีกอย่างคือ การลงทุนหุ้นคุณภาพดีในราคาที่แพงเกินไป เช่น PE 40 เท่าบนกำไรปกติ (ที่ผ่านมา VI น้อยคนที่จะลงทุนแบบนี้)
หรือแม้แต่ การลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นที่ร้อนแรง เช่น ลองนึกถึงตลาดหุ้นจีนตอนก่อนวิกฤตที่ PE 40 เท่าดู
(ไม่ต้องพูดถึงหุ้นปั่น หรือการเล่นเก็งกำไร Futures ซึ่งนักลงทุนทุกคนควรรู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสหมดตัวได้ทุกเมื่อ)
ดูเหมือนผมจะพูดย้อนหลังใครก็พูดได้ (แต่ใครจะพูดย้อนหน้าได้ล่ะ )
ปลายปี 2008 - ต้นปี 2009 ทุกคนรู้ว่าหุ้นถูก แต่ไม่ค่อยมีคนกล้า
(ไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวหุ้น ซึ่งไม่เคยตระหนักถึง ไม่สนใจด้วยว่า โอกาสมาถึงแล้ว และผ่านไปแล้ว)
แต่ลงมือทำจริงมันไม่ง่ายเลย นอกจากจะเอาหลักเหตุผล หลัก VI มาสู้ทุกทางแล้ว
ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องมีความมั่นคงทางอารมณ์มากๆ และต้องมีความเชื่อมั่นในหลักการที่ใช้อย่างมาก
(ช่วงนั้นก็ไปงานสัมมนาบ่อยๆ อ่านบทความอาจารย์บ่อยๆหลายๆรอบ)
จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว อันนี้หลายคนเคยได้ยิน
แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับรู้สึก โลภไปกลัวไป โดยเฉพาะเคาะซื้อไปใจสั่นไป :?
VI รุ่นใหม่ที่พลาดปี 2009 ก็ไม่ต้องเสียดายมาก ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว วิกฤตหน้ายังมีอีกแน่นอน :twisted: แต่ไม่รู้เมื่อไหร่
อาจจะปีเดียวหรืออาจจะ 10 ปีก็ได้ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆคือต้องเอาตัวรอดให้ได้ด้วย
(แต่ต่อให้ไม่ต้องมีวิกฤตเลยก็ยังได้ ถ้าเราลงทุนตามหลักไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอไปเรื่อยๆ ก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน
เพราะระยะเวลาต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน)
ขอมาต่ออีกทีซักอาทิตย์หน้านะครับ :)
(ไม่นึกว่าการเขียนจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย นับถือคนที่เค้าเขียนบทความให้ความรู้บ่อยๆจริงๆครับ )
- centrady
- Verified User
- โพสต์: 243
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 167
ขอบคุณ คุณ L ครับ
รอฟังต่อนะครับ
รอฟังต่อนะครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 175
สุดยอดจริง ๆ ครับ
งานเขียนของพี่ ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยครับ
ขอบคุณมาก ๆ ครับ
รอฟังต่อ :cheers:
ปล. ขอรวบรวมคำคมของพี่ไปไว้ในกระทู้เก่า ที่ผมเคยตั้งไว้นะครับ
ไม่ได้อัพเดทนานแล้วครับ
งานเขียนของพี่ ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยครับ
ขอบคุณมาก ๆ ครับ
รอฟังต่อ :cheers:
ปล. ขอรวบรวมคำคมของพี่ไปไว้ในกระทู้เก่า ที่ผมเคยตั้งไว้นะครับ
ไม่ได้อัพเดทนานแล้วครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 177
ไม่ได้เข้ามาอ่าน อาทิตย์หนึง กลายเป็นกระทู้ยอดเยียมแล้ว
สุดยอดครับคุณ [แอล]
สุดยอดครับคุณ [แอล]
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 166
- ผู้ติดตาม: 0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
โพสต์ที่ 179
ขอบคุณมากครับ
บทความดี จริงๆ
ผมก็มือใหม่ เพิ่งทำงานได้ไม่ถึงปี
สนใจตั้งแต่ปี 3 เล่นไป 15,000 ขาดทุน กำไร ไปๆมาๆ เท่าทุน
แล้วหยุดไปสองปี (มีดูดัชนีบ้าง ดูราคาหุ้นที่เคยลงทุนบ้าง)
เพิ่งได้ฤกษ์มาลงทุนเดือนนี้แหละครับ (น่าจะลงตั้งแต่ปีที่แล้ว T_T)
รออ่านครับ!
บทความดี จริงๆ
ผมก็มือใหม่ เพิ่งทำงานได้ไม่ถึงปี
สนใจตั้งแต่ปี 3 เล่นไป 15,000 ขาดทุน กำไร ไปๆมาๆ เท่าทุน
แล้วหยุดไปสองปี (มีดูดัชนีบ้าง ดูราคาหุ้นที่เคยลงทุนบ้าง)
เพิ่งได้ฤกษ์มาลงทุนเดือนนี้แหละครับ (น่าจะลงตั้งแต่ปีที่แล้ว T_T)
รออ่านครับ!