หน้า 6 จากทั้งหมด 12

news06/09/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 06, 2007 1:07 pm
โดย chartchai madman
หาจังหวะเก็บแบงก์ดักงบสวยQ3

โบรกแนะรอจังหวะช้อนหุ้นแบงก์ราคาต่ำ  ดักงบไตรมาส 3 เพราะไตรมาสนี้ปลอดสำรอง  แถมรับเละปันผลวายุภักษ์กว่า 2 พันล้านบาท   ส่วนไตรมาส 4  แม้โดนตั้งสำรองเชิงคุณภาพหนัก หลังแบงก์ชาติส่งสัญญาณให้ตั้งสำรองจบภายในปีนี้  เชื่อแบงก์เล็กส่อแววสำรองเพิ่ม  แต่แบงก์ใหญ่ไม่กระทบ   คัดหุ้นเด่นBBLและKBANK
    นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ในไตรมาส 3/2550 ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะออกมาดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2550 เนื่องจากในไตรมาส 3/2550 ไม่ได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองหนี้เช่นไตรมาส 2/2550 อีกทั้งในไตรมาส 3/2550 ธนาคารบางแห่งจะได้เงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งคาดว่าจะมีเงินปันผลดังกล่าวเข้ามากว่า 2 พันล้านบาท
  สำหรับแนวโน้มหุ้นกลุ่มธนาคารในสัปดาห์หน้าอาจจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ และหากราคาหุ้นปรับลงแรงจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา โดยธนาคารที่น่าสนใจ และแนะนำทยอยซื้อ ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK ประเมินราคาเหมาะสม 91.00 บาท และธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) BBL ราคาเหมาะสม 142.00 บาท
ส่วนไตรมาส 4/2550 หากธนาคารพาณิชย์ต้องตั้งสำรองเชิงคุณภาพเชื่อว่าไม่น่าส่งผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มากเพราะที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวังอยู่แล้ว จึงคาดว่าไม่ต้องตั้งสำรองเพิ่มในส่วนดังกล่าวมากนัก
อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กยังมีความน่าเป็นห่วงในประเด็นการตั้งสำรองเพิ่มมากขึ้น ทั้งการตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS 39 และการตั้งสำรองเชิงคุณภาพ   โดยเฉพาะหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กำหนดให้ธนาคารต้องตั้งสำรองเชิงคุณภาพให้ครบภายในไตรมาส 4/2550 แต่การตั้งสำรองดังกล่าวจะส่งผลดีต่อธนาคารพาณิชย์ในปีหน้า เพราะนอกจากจะมีความพร้อมมากขึ้น  ยังทำให้ปีหน้าไม่มีภาระการตั้งสำรอง รวมทั้งเชื่อว่าปีหน้าสินเชื่อของธนาคารจะเติบโตดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า หากธนาคารพาณิชย์ต้องตั้งสำรองเชิงคุณภาพให้เสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4/2550 อาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคาร  แต่ไม่กระทบต่อรายได้ เนื่องจากการตั้งสำรองเชิงคุณภาพเป็นการตั้งสำรองในกรณีที่พบว่าลูกค้าเริ่มมีผลการดำเนินงานแย่ลง  แม้ว่าจะยังสามารถชำระหนี้ของธนาคารได้ตามปกติ  อย่างไรก็ตามธนาคารใดจะต้องตั้งสำรองมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับการตรวจสอบลูกหนี้ของแต่ละธนาคาร
การตั้งสำรองเชิงคุณภาพไม่กระทบต่อกระแสเงินสดของธนาคาร เพราะลูกค้ายังชำระหนี้ได้ตามปกติ แต่จะทำให้กำไรลดลง  อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวธนาคารได้ดำเนินการมา 2-3 ปีแล้ว จึงไม่น่าส่งผลกระทบมาก นักวิเคราะห์ กล่าว
ก่อนหน้านี้นายชัยวัฒน์  อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด(มหาชน) SCIB ระบุว่า  ธนาคารมีแนวโน้มที่จะจ่ายปันผลงวดเดียวในช่วงสิ้นปี  โดยงดจ่ายปันผลระหว่างกาล เพราะได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS 39 และต้องเตรียมความพร้อมตั้งสำรองเชิงคุณภาพที่ธปท.ส่งสัญญาณว่าจะต้องตั้งสำรองภายในไตรมาส 4/2550 เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีความแข็งแกร่งในปี 2551
BBL(5 ก.ย.)ปิดที่ 117.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 136.99 ล้านบาท และKBANKปิดที่ 78.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 177.40 ล้านบาท
http://www.thunhoon.com/home/default.asp

news07/09/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 07, 2007 1:27 pm
โดย chartchai madman
แบงก์-หลักทรัพย์ควงคู่ปันผล
แบงก์กอดคอหลักทรัพย์แจกปันผลเดือนก.ย.  โบรกคงน้ำหนักลงทุนปานกลาง
 

โดยเฉพาะแบงก์ราคาหุ้นมีลุ้นปรับตัวดีกว่าตลาด  รับอานิสงส์เชื่อมั่น-การลงทุนฟื้น  ขณะที่สินเชื่อ 7 เดือนแรกไปได้สวย  แถมมีดีแจกปันผลครึ่งปี  แนะหาจังหวะเก็บแบงก์ใหญ่ SCB-BBLและKBANK  ส่วนกลุ่มหลักทรัพย์วอลุ่มกระเตื้องไตรมาส3/2550   คัดคู่หูหุ้นเด็ดPHATRAและKEST
   
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน) ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปานกลาง  เชื่อว่าหากมีการเลือกตั้งเรียบร้อย และภาครัฐกระตุ้นการขยายตัวเศรษฐกิจต่อเนื่อง  จะทำให้ความเชื่อมั่นและการลงทุนกลับมา หุ้นกลุ่มนี้จะกลับมา Outperform ได้อีกครั้ง   สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ KBANK, SCB, BBL แนะนำหาจังหวะเข้าซื้อ  
   
สำหรับธนาคารขนาดกลาง การเข้าลงทุนใน GECAL ของ BAY ทำให้ธนาคารมีบริการสินเชื่อเช่าซื้อที่ครบวงจร และมีเงินกองทุนแข็งแกร่ง  ในส่วนหุ้นที่มีปันผลระหว่างกาลมี KK (ปันผล 1 บาท XD 22 ส.ค.50 กำหนดจ่าย 7 ก.ย.50),  BBL (ปันผล 1 บาท XD 6 ก.ย.50 กำหนดจ่าย 27 ก.ย.50),  ส่วน KBANK (ปันผล 0.50 บาท XD 10 ก.ย.50 กำหนดจ่าย 27 ก.ย.50)
   
อย่างไรก็ตาม  ในเดือนก.ย.นี้เป็นช่วงของการขึ้น XD(ผู้ซื้อมีมีสิทธิรับเงินปันผล) ทำให้กลุ่มธนาคารจะทรงๆ ถึงดีขึ้น  ส่วนแรงกดดันดอกเบี้ยไม่มี  สิ่งที่น่ากังวลของกลุ่มคือ NPLเพราะไตรมาส2/2550ของทั้งกลุ่มสูงขึ้น
   
จึงคาดว่าความกังวลถึงผลกระทบดังกล่าวคงมีต่อถึงช่วงไตรมาสสาม และ NPL มีแนวโน้มสูงขึ้นได้บ้าง กลุ่มลูกค้าที่ธนาคารติดตามผลกระทบต่อไปคือ กลุ่มส่งออกที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเนื่องจากอาจได้รับผลกระทบจากบาทแข็งค่ามากกว่ากลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (Sub-prime loan) ในสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารระมัดระวังปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
   
ธปท.ระบุว่า มีธนาคารพาณิชย์ไทย 4 แห่งลงทุนใน CDOs (Collateralized Debt Obligations) รวมมูลค่า 715 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 0.6% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการลงทุนใน CDOs ที่เป็นตลาดซับไพรม์โลนไม่ถึง 0.1% ไม่กระทบต่อธนาคารโดยรวมมากนัก
   
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาการขยายตัวสินเชื่อ 7 เดือนแรกของกลุ่มธนาคารยังคงขยายตัวได้ แต่อยู่ในอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อน โดยสินเชื่อ 7 เดือนแรกสุทธิโต 3%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งธนาคารที่สินเชื่อโตมากกว่ากลุ่มคือ SCB รองลงมา KBANK และ BBL ซึ่งทั้ง 3 รายเป็นผู้นำด้าน Retail, SME และ Corporate ตามลำดับ  หากสินเชื่อยังคงโตต่อเนื่อง พอร์ตที่เพิ่มขึ้นทำให้ NPL ไม่น่าจะสูงขึ้น กลับกันหากสินเชื่อไม่โต เมื่อเกิดปัญหาจะเห็น NPL เพิ่มขึ้นได้ไวกว่า
   
ดังนั้นทั้งปีฝ่ายวิจัยคาดว่าสินเชื่อของระบบน่าจะโตได้ในประมาณ 4% อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงน่าจะเอื้อต่อการขยายสินเชื่อช่วงครึ่งปีหลัง และในการลงทุนเรายังคงเน้นให้เลือกลงทุนในธนาคารที่มีอัตราการกันสำรองสูง    

ส่วนกลุ่มหลักทรัพย์ให้น้ำหนักลงทุนปานกลางเช่นกัน ซึ่งวอลุ่มดีขึ้นทำให้กลุ่มหลักทรัพย์ดูดีขึ้นและไตรมาสสามมีแนวโน้มดีขึ้น แต่การลงทุนยังต้องระมัดระวังเนื่องจากอนาคตอัตราค่าคอมมิสชั่นที่จะเรียกเก็บจากลูกค้ามีแนวโน้มลดลง โดยอัตราค่าคอมมิชชั่นมีแนวโน้มจะปรับเข้าใกล้ระดับ 0.20% นอกจากนี้ ต้องระวังปัจจัยต่างประเทศที่อาจเข้ามากระทบเป็นช่วงๆ แม้จะมีข่าวบวกคือเรื่องการเลือกตั้งปลายธ.ค. โบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 3 อันดับแรกใน 9 เดือนที่ผ่านมาคือ KEST, PHATRA แล ASP โดยหากราคาอ่อนตัวลง PHATRA และ BLS จะน่าสนใจ  

นอกจากนี้ หุ้นที่มีปันผลระหว่างกาลคือ  KEST (ปันผล 0.20 บาท XD แล้วเมื่อ 20 ส.ค.50 กำหนดจ่าย 31 ส.ค.50) และ  PHATRA (ปันผล 1 บาท XD 6 ก.ย.50 กำหนดจ่าย 25 ก.ย.50)
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 679&ch=225

news07/09/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 07, 2007 2:12 pm
โดย chartchai madman
เอ็กซิมแบงก์กัดฟัน ขายหนี้เน่า8.7พันล้าน

โพสต์ทูเดย์ เอ็กซิมแบงก์ เริ่มขายเอ็นพีแอล 8.7 พันล้านบาท เริ่มประมูลเดือน ต.ค. นี้


นายอภิชัย บุญธีรวร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กล่าวว่า ธนาคารจะเสนอขายหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ทั้งสิ้น 8.7 พันล้านบาท โดยเอ็นพีแอลที่ออกขายมากกว่า 80% เป็นหนี้ที่มีหลักประกัน

ทั้งนี้ หากนักลงทุนสนใจสามารถลงทะเบียนขอข้อมูลได้ในวันที่ 14 ก.ย. 2550 และยื่นประมูลภายในวันที่ 29 ต.ค. 2550 ก่อนจะมีการประกาศผลการประมูลในวันที่ 5 พ.ย. 2550

การขายเอ็นพีแอลครั้งนี้ เป็นความพยายามของธนาคารในการแก้ไขปัญหาเอ็นพีแอลควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพในการปล่อยสินเชื่อและลดการเกิดเอ็นพีแอลในอนาคต โดยการจัดตั้งฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อขึ้นใหม่เมื่อกลางปีที่ผ่านมาเพื่อจัดทีมงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะในการวิเคราะห์และตรวจสอบฐานะการเงินของลูกค้าอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ นายอภิชัย กล่าว

ก่อนหน้านี้ เอ็กซิมแบงก์แต่งตั้ง บริษัท เบเคอร์ ทิลลี่ คอร์ปอเรท แอ็ดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) ซึ่งได้รับเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระในกระบวนการเสนอขายหนี้เอ็นพีแอลของธนาคารเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189917

news07/09/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 07, 2007 2:14 pm
โดย chartchai madman
เอกชนเชียร์แบงก์รัฐซื้อหนี้ อุ้มผู้ประกอบการ-รายย่อย

โพสต์ทูเดย์ เอกชนเชียร์แนวคิด บีบธนาคารรัฐซื้อหนี้เสีย ช่วยรายย่อย


แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ เปิด เผยว่า ข้อเสนอจากคณะกรรมาธิการ การคลัง การธนาคาร สนช. ให้สถาบันการเงินของรัฐรับซื้อหนี้เงินต้นของ ลูกหนี้บัญชีดำเครดิตบูโรที่มีอยู่ 1.76 แสนล้านบาท และนำมาบริหารจัด การเพื่อให้กลุ่มลูกหนี้ได้มีสิทธิใน การกู้เงินจากสถาบันการเงิน เป็นโครงการที่ดีน่าสนับสนุน เพราะจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกหนี้รายย่อยได้

ผู้ประกอบเองก็อยากจะขายหนี้เอ็นพีแอลด้วย ยิ่งจะซื้อเฉพาะเงินต้นไม่รวมดอกเบี้ย ผู้ประกอบการยิ่งได้ประโยชน์ แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นแนวคิดที่ดี แต่เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะเอ็นพีแอลในระบบน่าจะมีประมาณแสนล้านบาท ทำให้รัฐต้องใช้เงินมากในการจะเข้ามาซื้อ ประกอบกับหนี้เสียที่เหลืออยู่ในปัจจุบันเป็นหนี้ที่ตามเก็บได้ยากมาก จึงเป็นห่วงว่าธนาคารของรัฐจะติดตามทวงหนี้ไม่ได้ และต้องแบกภาระค่าใช้จ่าย

เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ คนขายน่ะแฮปปี้ ส่วนคนซื้อจะเจ๊งเอา หนี้ที่เหลือตามเก็บยาก แถมเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน แต่ถ้ารัฐจะทำจริงๆ ก็ต้องซื้อหนี้ในราคาลด ไม่ใช่ซื้อตามเงินต้น แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวจากธนาคารต่างชาติรายหนึ่ง กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อ และผู้ขาย ถ้าตกลงราคาได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ห่วงว่าแนวคิดนี้จะเป็น การผลักภาระไปให้ธนาคารรัฐ เพราะลูกหนี้เอ็นพีแอลมี 2 ประเภท คือ คนที่ใช้เงินเกินตัว บัตรเครดิต 15 ใบ กับคนที่โชคร้ายจริงๆ เป็นหนี้เสียเพราะตกงาน ซึ่งลูกหนี้กลุ่มนี้ถ้าติดต่อ ลูกหนี้กลุ่มนี้ได้ ธนาคารก็ประนอมหนี้ให้อยู่แล้ว

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานกรรมาธิการฯ กล่าวว่า จะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะถ้าเป็นเรื่องของคนนับแสนๆ คนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐต้องเข้าไปแก้ไขให้คนเหล่านั้นพ้นพงหนาม และการซื้อหนี้เสียกลุ่มนี้ก็ไม่ควรซื้อเต็มวงเงิน แต่ต้องซื้อลดตามคุณภาพหนี้ จากนั้นรัฐบาลก็ชดเชยความ เสียหายให้หากตามหนี้ขาดไปจากที่ซื้อมาในระยะเวลาที่กำหนด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189921

news07/09/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 07, 2007 2:16 pm
โดย chartchai madman
ส่งจำนำทองบุกถึงตลาดสด

โพสต์ทูเดย์ พ่อค้าแม่ขายฮิตจำนำทอง แบงก์ไทยเครดิต ลุยสร้าง ผู้ชำนาญการ ทุ่มอุปกรณ์พิสูจน์ทอง เปิดสาขาใกล้ตลาด


นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย กล่าวว่า ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายเป็นธนาคารเพื่อชาวบ้าน เน้นเปิดสาขาที่เป็นแหล่งชุมชนใกล้ตลาดสด กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า เพราะจากการทำวิจัยพบว่าคนกลุ่มนี้ 80% มีรายได้ไม่พอ กับรายจ่าย

ในจำนวนนี้เกือบ 36% จะหาแหล่งเงินมาจับจ่ายใช้สอยด้วยการนำของมาจำนำ ซึ่งตรงกับผลิตภัณฑ์ สินเชื่อทองแลกเงิน ที่ธนาคาร ไทยเครดิตเพื่อรายย่อยให้บริการ รับจำนำทอง

ทั้งนี้ เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าธนาคารได้เปิดสาขาย่อยตลาดห้วยขวางเป็นสาขาแรก โดยมีเป้าหมายจะขยายสาขาภายในสิ้นปีนี้อีก 2 สาขา และเพิ่มเป็น 10 สาขาในปีหน้า ซึ่งสาขานครปฐมจะเป็นสาขาต่างจังหวัดแห่งแรก

สาเหตุที่ธนาคารเลือกตลาดห้วยขวางเป็นแห่งแรก เพราะจำนวนประชากรในเขตห้วยขวางมีมากกว่า 7.6 หมื่นครอบครัว และมีจำนวน พ่อค้าแม่ค้าบริเวณตลาดที่เป็น ขาประจำและขาจรอีกประมาณ 1 พันราย ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายของธนาคาร นายมงคล กล่าว

นอกจากปัจจัยเรื่องทำเลที่ตั้งของสาขาแล้ว ธนาคารยังได้สำรวจความชื่นชอบดารา นักแสดงของพ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่ จากนั้นก็จะมาคัดเลือกพนักงานที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับดารา นักร้องที่พ่อค้าแม่ค้าชื่นชอบ เพื่อส่งไปประจำยังสาขานั้นๆ เพื่อสร้างจุดดึงดูดลูกค้า เช่น กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเขตห้วยขวางจะชื่นชอบ ไมค์ ภิรมย์พร, แอ๊ด คาราบาว และต่าย อรทัย นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง

นายมงคล กล่าวว่า หลังจากให้บริการสินเชื่อทองแลกเงิน ปรากฏว่ามีลูกค้าใช้บริการจำนำทองแล้ว 60 ราย คิดเป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเดือน ต.ค. จะมีลูกค้าจำนำทองมากขึ้น เพราะเป็นช่วงเปิดเทอม โดยสิ้นปีนี้ตั้งเป้ายอดให้กู้เฉพาะรับจำนำทองรวมทั้งสิ้น 90 ล้านบาท

ทั้งนี้ ไทยเครดิตให้เงินกู้ขั้นต่ำรายละ 1 พันบาท - 1 แสนบาท ยกเว้นสำนักงานใหญ่ ที่ตึกไทยประกันชีวิต ธนาคารได้เพิ่มวงเงินกู้เป็นรายละ 6 แสนบาท เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มนักธุรกิจที่ชอบสะสมทองระยะเวลาการชำระคืน 2 เดือน แต่ลูกค้าสามารถต่อสัญญากู้ได้ตลอด คิดดอกเบี้ยเดือนละ 0.99%

ทั้งนี้ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อยจะรับจำนำเฉพาะทองรูปพรรณและทองแท่ง ที่มีเปอร์เซ็นต์ทอง 93.5% ขึ้นไป ไม่รับจำนำ พระเลี่ยมทอง หรือทองที่ประดับเพชร พลอย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189915

news07/09/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 07, 2007 2:20 pm
โดย chartchai madman
ยันอุ้มธ.ทหารไทย ไอเอ็นจีคุยดีบีเอส

โพสต์ทูเดย์ ฉลองภพ ยืนยันเงินเพิ่มทุนได้ก่อนสิ้นปีแน่ แม้เจรจาเพิ่มทุนไม่มีความคืบหน้า โยน ไอเอ็นจี เจรจา ดีบีเอส ใครถือหุ้นใหญ่


นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ถึงตอนนี้การเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย 3.5 หมื่นล้านบาทยังไม่มีความคืบหน้า แต่ขอยืนยันว่ากระทรวงการคลังสนับสนุนการเพิ่มทุนของธนาคารเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง และจะสามารถเพิ่มทุนได้ทันภายในเดือน ธ.ค.นี้

สำหรับการเจรจาของพันธมิตรใหม่นั้น นายฉลองภพ กล่าวว่า ยังไม่รับทราบผลการเจรจาระหว่างบริษัท ไอเอ็นจี กรุ๊ป ที่สนใจซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย แทนธนาคารดีบีเอส สิงคโปร์ เพราะเป็นเรื่องของทั้งคู่ที่ต้องเจรจากันเองว่าใครจะเป็นผู้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยขั้นตอนอยู่ในรายละเอียด จึงไม่สามารถตอบอะไรได้

รอให้เรียบร้อยและทราบรายละเอียดทั้งหมดก่อน จะบอกให้รู้ ทั้งหมดแน่ แต่ตอนนี้ยังพูดอะไร ไม่ได้ เพราะเรื่องยังไม่จบ แต่ก็ยืนยันว่าจะเพิ่มทุนได้ทัน ธ.ค.นี้ นายฉลองภพ กล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การสรุปเพิ่มทุนทหารไทยต้องเลื่อนออกจากกำหนดเดิมในเดือน ก.ย.เป็นเดือน ต.ค.นี้ เนื่องจากการเจรจาของบริษัท ไอเอ็นจี ยังไม่ได้ ข้อยุติ ทั้งในแง่ที่จะเข้ามาถือหุ้นในธนาคารแทนดีบีเอสและราคา

รมว.คลังเป็นห่วงว่าทางดีบีเอสจะไม่ยอมให้ไอเอ็นจีเข้ามาถือหุ้นแทน และอาจจะถูกฟ้องร้องตามมาที่หลังว่าทำให้การลงทุนของดีบีเอสเกิดความเสียหาย เพราะความ ไม่เป็นธรรมของนโยบายกระทรวงการคลัง แหล่งข่าวเปิดเผย

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า นอกจากนี้ รมว.คลังยังเป็นห่วงผลการดำเนินการในปีนี้ว่าจะมีผลขาดทุนสูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพราะผลการสำรองตามมาตรฐานบัญชี IAS39 ซึ่งจะทำให้ถูกโจมตีจากทางการเมือง และประชาชนผู้เสียภาษีว่าทางการใส่เงินเข้าไปจำนวนมาก แต่ก็หายไปเพราะต้องนำไปล้างผลขาดทุน

ธนาคารทหารไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการจัดทำแผนการเสริมความแข็งแกร่งของเงินกองทุน ซึ่งขณะนี้ยังไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้แผนการดำเนินการทั้งหมด จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2550
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189934

news07/09/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 07, 2007 2:33 pm
โดย chartchai madman
ต้นทุนของการ แทรกแซงค่าเงิน

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางของประเทศในเอเชียใช้วิธีการแทรกแซงค่าเงิน โดยการซื้อเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมากเพื่อต่อสู้กับการแข็งค่าของเงินสกุลตนเอง


ในช่วงทั้งปี 2549 ที่ผ่านมา เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศในเอเชียเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 14 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
การแทรกแซงค่าเงิน ทำให้เกิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ในระดับเศรษฐกิจมหภาคนั้น การแทรกแซงค่าเงินทำให้เกิดต้นทุนโดยมีผลกระทบ 2 ด้าน
กล่าวคือ หนึ่ง การออกพันธบัตรของธนาคารกลางจำนวนมากเพื่อมาดูดสภาพคล่อง จะทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น
สอง หากไม่สามารถดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินได้หมด ก็อาจจะทำให้เกิดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะในรูปราคาสินค้าทั่วไปที่เพิ่มขึ้น หรือราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น เช่น อสังหาริมทรัพย์
นอกจากนั้นยังมีต้นทุนที่เกิดขึ้นกับธนาคารกลางเอง อันเนื่องมาจากการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งเป็นภาระทางการเงินของธนาคารกลาง และยังเป็นภาระกึ่งการคลังของรัฐบาลและประเทศ (Quasifiscal costs of Intervention)
เนื่องจากท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลก็ต้องรับภาระหรือความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้น
หากธนาคารกลางจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปการฟื้นฟูฐานะของธนาคารกลาง การเพิ่มทุน และช่วยจ่ายดอกเบี้ยของพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารกลาง ซึ่งกฎหมายว่าด้วยการดำเนินกิจกรรมธนาคารกลาง ก็มักจะระบุให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือธนาคารกลางหากมีความจำเป็น

ต้นทุนของธนาคารกลางจะเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะ

ประการแรก เกิดจากการที่ธนาคารกลางต้องลดผลกระทบอันเกิดจากการแทรกแซงค่าเงิน และสะสมเงินสำรองระหว่างประเทศด้วยการดูดซับสภาพคล่องของเงินในระบบเศรษฐกิจ

ประการที่สอง เป็นผลกระทบต่องบดุล ผลกำไร/ขาดทุน อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ในการแทรกแซงค่าเงินเพื่อทำให้เงินสกุลตนเองไม่แข็งนั้นจะทำให้ต้องซื้อเงินตราต่างประเทศเข้ามาเรื่อยๆ จนระดับเงินสำรองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนเป็นสัดส่วนที่สูงมาก ต่อระดับทุนของธนาคารกลางเอง ซึ่งจะทำให้งบดุลของธนาคารกลางมีความเสี่ยงสูงขึ้นตามอัตราแลกเปลี่ยน (Leveraged)

จากการศึกษาของธนาคาร HSBC พบว่า ต้นทุนอันเนื่องมาจากการสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มสูงขึ้นถึงระดับที่ยากจะจัดการได้ ในประเทศอินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย สิงคโปร์ มีต้นทุนรวมเฉลี่ยที่ประมาณ 4% ต่อ GDP

นอกจากนั้น การถือสินทรัพย์ทางการเงินจำนวนมากทำให้ธนาคารกลางมีความเสี่ยงมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยโลก

ในขณะที่ portfolio ของเงินทุนสำรองฯ เพิ่มขนาดขึ้นมาก ธนาคารกลางจะบริหารเงินทุนสำรองฯ ในลักษณะที่เป็น liquidity reserve manager เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาสภาพคล่อง น้อยลง

แต่จะต้องบริหารในลักษณะที่เป็น asset manager โดยปรับองค์ประกอบของสกุลเงินตราต่างประเทศให้เหมาะสม ซึ่งในช่วงนี้คงต้องลดเงินดอลลาร์สหรัฐลง ปกติการแทรกแซงเพื่อไม่ให้ค่าเงินของตนแข็งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐทำให้ธนาคารกลางต้องซื้อดอลลาร์สหรัฐ แต่การขายเงินดอลลาร์ของสหรัฐออกเพื่อซื้อเงินตราต่างประเทศสกุลอื่นๆ เข้ามาแทน ทำให้การรักษาเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนทำได้ยากขึ้น

วิธีการลดต้นทุนในงบดุลของธนาคารกลางจากการสะสมเงินทุนสำรองฯ ที่ได้จากการแทรกแซงค่าเงินสามารถทำได้หลายวิธี

วิธีหนึ่งคือ เลี่ยงการแทรกแซงในตลาดทันที (spot) ไปซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward and Swap Market) เช่น ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ขณะที่จีนและเกาหลีก็เริ่มใช้วิธีการนี้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นในการออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่อง

และวิธีการลดต้นทุนในการแทรกแซงค่าเงินอื่นๆ ที่นิยมใช้กัน ได้แก่

หนึ่ง ลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศ

สอง จำกัดเงินทุนไหลเข้าประเทศ

สาม เร่งเปิดให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ

สี่ ปล่อยให้ค่าเงินแข็งขึ้นโดยไม่แทรกแซง

http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189952

news07/09/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 07, 2007 6:44 pm
โดย chartchai madman
"นายแบงก์-โบรกเกอร์" เชื่อบาทกลับมาแข็งแตะ 33 แนะจับตาซับไพรม์-รัฐบาลใหม่

โดย ผู้จัดการออนไลน์
7 กันยายน 2550 18:14 น.

 "นายแบงก์-โบรกเกอร์" เชื่อเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า คาดหากการส่งออกยังโตต่อเนื่อง และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เงินบาทมีโอกาสแตะ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เชื่อแบงก์ชาติอาจจะเข้าแทรกแซงอย่างแน่นอน แนะจับตาปัญหาซับไพรม์-ปัจจัยการเมืองในประเทศ
     
      นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวในการอภิปราย เงินบาท....Where are you วันนี้(7 ก.ย.) โดยระบุว่า ทิศทางค่าเงินบาทคงจะเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับเงินสกุลภูมิภาค โดยอิงเงินหยวนจีนและเงินเยนญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าเงินหยวนจีนจะแข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 7 เนื่องจากสหรัฐกดดัน เพื่อแก้ปัญหาขาดดุลการค้า ส่วนเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 5 - 6 จากปัญหากู้ยืมเงินสกุลเยนใช้จำนวนมาก โดยประเมินว่า เงินบาทจะแข็งค่าประมาณร้อยละ 50 ของการแข็งค่าทั้ง 2 เงินสกุล แต่มีอีกหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม เช่น ปัญหาซับไพรม์ ซึ่งยังไม่มีแนวโน้มจะมีข้อยุติเกี่ยวกับปัญหา และถ้ารุนแรงจะกระทบทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องโลกตึงตัว โดยต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ ซึ่งเชื่อว่าหากเฟดลดดอกเบี้ยปริมาณมากจะแก้ปัญหาซับไพร์มได้
     
      นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ หากการเมืองไม่ชัดเจนและรัฐบาลใหม่มีนโยบายไม่ชัดเจนเพียงพอ ก็จะมีผลทำให้เงินบาทเปลี่ยนทิศทางอ่อนค่าลง
     
      ด้านนายทรงพล ชีวปัญญาโรจน์ ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนขึ้นอยู่กับสถานการณ์และปัจจัยที่มากระทบ โดยขณะนี้สภาพตลาดมีความเปราะบางมาก หากรัฐวิสาหกิจเร่งคืนหนี้ต่างประเทศตามนโยบายของกระทรวงการคลังเงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าลง โดยแต่ละวันมีปริมาณการซื้อขายเงินดอลลาร์เฉลี่ย 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
     
      อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเงินบาทไตรมาส 4 มีโอกาสปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้ เพราะจะมีรายได้จากภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮ ซีซั่น บวกกับไตรมาส 4 การส่งออกมีโอกาสขยายตัวสูง จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากขึ้น โดยเงินบาทถ้าไม่มีปัญหาซับไพรม์ เงินบาทมีโอกาสแตะ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
     
      ทั้งนี้ แนะนำให้ภาครัฐวางนโยบายการใช้จ่ายของภาครัฐให้ดี และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือกระทรวงการคลังออกพันธบัตรระดมเงินบาทจากประชาชน เพื่อลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือ เมกะโปรเจกต์ แทนการกู้เงินจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการประชุมเฟด 18 ก.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นตัวชี้ถึงความชัดเจนของปัญหาซับไพรม์สหรัฐ
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000105907

อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 8:18 am
โดย wattae
เชียร์เก็บBBL-SCB-KBANK รับพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก

ข่าวหุ้น SECTION W 10/09/2007 04:11:44

โบรกเกอร์เชียร์สะสมหุ้นแบงก์กรุงเทพ-ไทยพาณิชย์-กสิกร  เชื่อปีหน้าผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูง2%ต้อนรับพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ขณะที่ธนชาต-ทิสโก้-เกียรตินาคินเสี่ยงผู้ฝากโยกเงินหนีตายเข้าซบกองทุนรวม ประกันภัย ตราสารหนี้ แนะเพิ่มดอกเบี้ยหวังรักษาฐานลูกค้า
นายวรวัฒน์ สายสุพัฒน์ผล นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย จำกัด(มหาชน)หรือ KGI กล่าวว่าหลังจากพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือBBL ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด(มหาชน)หรือSCB และธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)หรือKBANK ในขณะเดียวกันจะทำให้แบงก์ขนาดเล็กเช่นธนาคารธนชาต  จำกัด(มหาชน)หรือ TBANK ธนาคาร ทิสโก้จำกัด(มหาชน) หริอ TISCOและธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด(มหาชน)หรือ KK ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวของลูกค้าที่จะมีการโย้กย้ายเงินฝากไปยังแบงก์ที่มีความน่าเชื่อถือและมั่นคงมากกว่า
"เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ทุกแบงก์ต้องมีการปรับตัว แบงก์ใหญ่ได้ประโยชน์เนื่องจากลูกค้าเงินฝากจะเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลทำให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงกว่า 2% ขณะที่แบงก์เล็กคนจะมองว่าไม่มั่นคง ทำให้ต้นทุนในการรักษาฐานลูกค้าของแบงก์อาจจะสูงกว่าแบงก์ใหญ่ ดังนั้นสิ่งที่แบงก์เล็กต้องทำคือการปรับกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าให้ฝากเงินต่อโดยเฉพาะการเพิ่มดอกเบี้ย       แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการซื้อขายตัวเงินด้วย"นายวรวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้สำหรับแหล่งเงินทุนใหม่ที่ลูกค้าน่าจะมีการโยกย้ายเงินฝากไปน่าจะเป็นกองทุนรวม เงินฝากประกันหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งถือว่าจะได้ประโยชน์จากพ.ร.บ.ฉบับนี้โดยเฉพาะแบงก์ขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้ง2ทาง
สำหรับหุ้นกลุ่มแบงก์ในขณะนี้ยังถือว่าไม่ค่อยน่าสนใจเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง สินเชื่อขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ การสำรองIAS39สูงทำให้บางแบงก์ขาดทุน ส่วนต่างดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น  แต่เชื่อว่าในไตรมาสแรกของปี51หุ้นแบงก์จะเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจมาก โดยเฉพาะช่วงก่อนการเลือกตั้งที่จะมีแรงแกร็งกำไรสูง KGIจึงแนะนำให้ซื้อ ถือและรอให้ปัจจัยหลายอย่างมีความชัดเจนมากขึ้นทั้งความเชื่อมั่นจากรัฐบาลใหม่จะกลับมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น ดอกเบี้ยลดลงจูงใจให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้น
ด้านนักวิเคราะห์จากบล.กิมเอ็ม ประเทศไทย จำกัด(มหาชน)หรือKIMBNG กล่าวว่าเชื่อว่าพ.ร.บ.ดังกล่าวงจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของแบงก์เพราะการส่งเงินเข้ากองทุนก็ยังคงเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้เชื่อว่าจะทำให้เกิดความกังวลต่อผู้ฝากเงินและมีการโยกย้ายเงินไปยังแบงก์ขนาดใหญ่และกองทุนต่าง  ๆ  ที่มีความน่าสนใจกว่าแบงก์ขนาดเล็ก เนื่องจากแบงก์ใหญ่จะมีฐานเงินออมสูงและส่วนใหญ่เป็นบัญชีที่มีเงินต่ำกว่า 1ล้านบาท
"แบงก์เล็กยังไงก็เสียเปรียบต้องแข่งขันกันจากดอกเบี้ยทั้งTISCO TBANKและKKโดยเฉพาะKK ที่เชื่อว่าจะมีปัญหามากที่สุดเพราะเป็นแบงก์ที่มีแต่ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ไม่มีฐานลูกค้ารายย่อยเลย ในขณะที่TISCและTBANKเริ่มมีการปรับตัว เปิดสาขาย่อยและเพิ่มบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กแก่ลูกค้ารายย่อยมากขึ้น" นักวิเคราะห์กล่าว
สำหรับธุรกิจกองทุน ตราสารหนี้จะเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ฝากเงินจะหันมาให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเดิมแบงก์มีดอกเบี้ยต่ำแต่มีความปลอดภัยในการฝากสูง  แต่หลังจากนี้ไปการประกันเงินฝากเพียง  1  ล้านบาทจะทำให้คนไม่คิดที่จะฝากเงินกับแบงก์แต่หันไปพี่งกองทุนที่มีดอกเบี้ยมากกว่า   สำหรับหุ้นกลุ้มแบงก์ที่มีความน่าสนใจเห็นว่า SCB และBBL แม้ช่วงนี้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง แต่เชื่อว่าต้นปี 51 ผลประกอบการจะโตขึ้น ถือว่าเป็นปีที่น่าลงทุนในกลุ่มแบงก์

news10/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 7:26 pm
โดย chartchai madman
ธอท.รับรีไฟแนนซ์หนี้รอบสองชุบชีวิตพวกติดบ่วงบัตรเครดิต

แบงก์อิสลามเตรียมเปิดตัวโครงการสินเชื่อรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตรอบสอง ต.ค.นี้ คิดอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ตั้งเป้าอนุมัติวงเงินปล่อยกู้กว่า 1,000 ล้านบาท ระบุเปิดตัวโครงการแรกลูกค้าแห่ใช้บริการล้นหลาม แถมหนี้เสียต่ำ เผยอนุมัติสินเชื่อ 860 ล้านบาท แต่มีเอ็นพีแอลแค่ 2 หมื่นบาท  

นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ รักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมเปิดโครงการสินเชื่อปรับโครงสร้างหนี้ (รีไฟแนนซ์) บัตรเครดิตรอบสอง หลักจากที่ธนาคารได้เปิดโครงการดังกล่าวครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2550 ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก และยอดสินเชื่อปล่อยเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 500 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 15% ต่อปี เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สูงกว่า ส่งผลให้ยอดอนุมัติสินเชื่อเพื่อรีไฟแนนซ์ที่ผ่านมามีสูงถึง 860 ล้านบาท และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าธนาคารและลูกค้าทั่วไป ธนาคารจึงมีแนวคิดที่จะออกสินเชื่อนี้ใหม่ในช่วงเดือนตุลาคม 2550 โดยตั้งเป้าวงเงินอนุมัติที่ 1,000 ล้านบาท
               
โครงการสินเชื่อเพื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตที่ธนาคารได้ออกไปเมื่อช่วงต้นปีและได้ปิดโครงการไปแล้วนั้น ยอมรับว่าได้รับความสนใจเป็นจำนวนมากและประสบความสำเร็จมาก โดยยอดอนุมัติวงเงินสินเชื่อดังกล่าวอยู่ที่ 860 ล้านบาทสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาขอสินเชื่อจะเป็นชาวพุทธสูงถึง 90% ดังนั้น โดยมีลูกหนี้ที่เข้ามาขอสินเชื่อทั้งหมดประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าของธนาคารและลูกค้าทั่วไป จึงออกสินเชื่อนี้อีกครั้งในช่วงเดือนหน้า ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าจะตั้งเป้าสินเชื่อสูงกว่าโครงการแรกเป็น 1,000 ล้านบาท เพราะเชื่อว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากแน่นอน นายธีรศักดิ์ กล่าว

สำหรับรูปแบบของสินเชื่อที่จะออกรอบใหม่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาอยู่ แต่ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดที่ชัดเจนได้ โดยหลักเกณฑ์เบื้องต้นในส่วนของการคิดอัตราดอกเบี้ยคาดว่าน่าจะออกมาในรูปแบบขั้นบันไดเป็นหลัก และผู้ที่มาขอสินเชื่อจะต้องมีเงินเดือนผ่านบัญชีธนาคารโดยไม่จำเป็นต้องเป็นธนาคารอิสลาม เพราะธนาคารจะได้ทำการหักเงินชำระหนี้ผ่านบัญชีในแต่ละเดือนเลย แต่ถ้าลูกค้าที่ชำระหนี้ผ่านธนาคารอิสลามก็จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่างๆ

ส่วนหนี้ที่ไม่เกิดรายได้ (NPL) ของโครงการดังกล่าว ขณะนี้มีเพียง 1 รายเท่านั้น คิดเป็นวงเงินประมาณ 20,000 บาท ซึ่งยอมรับว่าลูกหนี้รายนี้ไม่มีความสามารถชำระเงินจริงๆ ส่วนอีก 20 รายอยู่ในขั้นแนวโน้มว่าจะเป็น NPL แต่ทั้งนี้เห็นว่าไม่น่ากังวล เพราะ 20 รายนี้อยู่ในกรณีที่ผ่อนชำระไม่ตรงระยะเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งธนาคารเองได้ดูแลลูกหนี้กลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้กลายไปเป็น NPL ในอนาคตได้  
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16

news10/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 7:39 pm
โดย chartchai madman
ออมสิน โละขายเอ็นพีเอ-นำร่อง 6 จังหวัด 10-21 ก.ย.

โดย ผู้จัดการออนไลน์
10 กันยายน 2550 10:07 น.

      แบงก์ออมสินขนเอ็นพีเอ 175 รายการ ขายตรงในงาน สัปดาห์บ้านและที่ดิน ธนาคารออมสิน ประเดิมนำร่อง 10-21 ก.ย.นี้ ใน 6 จังหวัด 56 สาขาภาคใต้ พร้อมโปรโมชันพิเศษส่วนลด 10-15%
     
      นายยงยุทธ ตะริโย รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินจึงได้จัดงาน สัปดาห์บ้านและที่ดิน ธนาคารออมสิน ด้วยการนำสินทรัพย์ประเภทสินทรัพย์รอการขาย(NPA)ของธนาคารจำนวน 175 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 81 ล้านบาท มาจำหน่าย ณ สาขาของธนาคารออมสิน ด้วยเงื่อนไขเฉพาะสำหรับผู้ซื้อจะได้รับส่วนลด 10-15% พร้อมรับสิทธิยื่นกู้สินเชื่อเคหะภายใต้เงื่อนไขพิเศษ ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์ หรือต้องการที่อยู่อาศัย รวมถึงที่ดินเปล่า ได้มีทางเลือกในการพิจารณาซื้อทรัพย์สินประเภทดังกล่าวได้เพิ่มขึ้น
     
      สำหรับงานดังกล่าวจะจัดนำร่องเป็นครั้งแรกในช่วงระหว่างวันที่ 10-21 กันยายน 2550 ที่ธนาคารออมสินรวม 56 สาขา ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา และ สตูล ส่วนครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 8-19 ตุลาคม 2550 ที่ธนาคารออมสินรวม 61 สาขา ในพื้นที่ ภาคกลางและภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดนครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี และ ตราด
     
      รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเงื่อนไขพิเศษที่ธนาคารออมสินมอบให้ผู้ซื้อนอกเหนือจากส่วนลด 10-15% แล้ว ผู้ซื้อสามารถยื่นขอสินเชื่อเคหะได้ โดยธนาคารให้วงเงินสินเชื่อ 100% ของราคาซื้อ แบ่งเป็น 90% เพื่อซื้อทรัพย์ และอีก 10% สำหรับปรับปรุงซ่อมแซมทรัพย์ ซึ่งผู้ซื้อสามารถเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% เป็นเวลา 3 ปีได้ด้วย อีกทั้ง ธนาคารจะยกเว้นค่าธรรมเนียมยื่นขอสินเชื่อ และค่าธรรมเนียมประเมินหลักทรัพย์ นอกจากนี้ ผู้ซื้อสามารถยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้ออุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้านได้อีกในวงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท
     
      อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านสินเชื่อของธนาคารที่อยู่ในระดับดี ทำให้สินทรัพย์รอการขายของธนาคารออมสินมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินในระบบ โดยในช่วงที่ผ่านมา สามารถจำหน่ายทรัพย์ได้แล้วกว่า 50 รายการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายในปี 2550 จะจำหน่ายเอ็นพีเอได้ 30 % ของจำนวนทั้งหมดที่นำออกมาจำหน่าย ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้ให้กับธนาคารต่อไป
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000106496

news10/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 8:01 pm
โดย chartchai madman
สศค.ฟันธงดอกเบี้ยขาขึ้นได้เห็นแน่ไตรมาส3ปีหน้า

โพสต์ทูเดย์ สศค. ฟันธง ดอกเบี้ยไทยมีโอกาส ขึ้นได้ไตรมาส 3 ปี 2551


นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษา ด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ภายในปีนี้อัตราดอกเบี้ยในประเทศสามารถปรับลดลงได้อีก หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดการแย่งเงินในระบบทำให้อัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในปลายไตรมาส 3 ปี 2551

ขณะที่นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน เชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2551 จึงจะกลับมาพิจารณาแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง หากไม่มีเหตุการณ์ที่มา กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ยังปรับลดลงได้อีก เพราะที่ผ่านมาลดแต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากแล้วทำไมไม่ลดดอกเบี้ยเงินกู้ นายกอบศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายสมชัย ยังกล่าวแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนว่า โอกาสที่ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่จะกดดันให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ทั่วโลก และสำหรับประเทศไทยที่มีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาจำนวนมาก แต่ไม่สามารถนำไปบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพก็จะยิ่งทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นอีก

ทั้งนี้ หากสหรัฐยังคงมีปัญหา ทางเศรษฐกิจอยู่ ค่าเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับสกุลอื่นจะอ่อนค่าลงอย่าง ต่อเนื่อง ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=190482

news10/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 8:03 pm
โดย chartchai madman
คลังการันตีเลิกคุ้มครองเงินฝากไม่โกลาหล

โพสต์ทูเดย์ คลังยันแก้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ลูกค้าไม่ตื่นย้ายบัญชี หลังแบงก์เล็ก-ใหญ่ เร่งปรับตัว หันเพิ่มศักยภาพผลดำเนินงาน


แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่กำลังเสนอเข้าที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะไม่ทำให้เกิดกระแสการโยกบัญชี เพราะผู้ที่มีเงินฝากต่ำกว่า 1 ล้านบาท ยังจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐ ส่วนบัญชีเงินฝากสูงกว่า 1 ล้านบาทมีไม่มาก โดยประเมินว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะไม่ถอนเงินจากธนาคารพาณิชย์มาอยู่ที่ธนาคารรัฐ เพราะถือเป็นลูกค้าคนละกลุ่ม

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การแก้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นี้เป็นเพราะต้องการให้สถาบันการเงินปรับตัว เนื่องจากในอนาคตธนาคารจะไม่สามารถแข่งขันเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อล่อใจให้คนมาฝากอีก แต่ประชาชนจะให้ความสำคัญที่เรื่องของผลการดำเนินงานที่มีความมั่นคง การปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพ และมีความโปร่งใสในการบริหารงาน

เบื้องต้นยังไม่จำเป็นต้องแก้ พ.ร.บ.ธนาคารออมสิน ที่เป็นธนาคารแห่งเดียวที่รัฐคุ้มครองเงินฝาก 100% เพราะคนที่เลือกฝากเงินกับออมสินเป็นคนละกลุ่มที่เลือกฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ แหล่งข่าวเปิดเผย

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สำหรับธนาคารเล็กไม่จำเป็นต้องควบรวมกิจการกันเพื่อความอยู่รอด แต่ต้องให้ความสำคัญเรื่องผลการดำเนินงานและแข่งขันบริการที่ดี และต่อไปหากธนาคารใดประกาศขึ้นดอกเบี้ยสูงๆ ลูกค้าอาจจะมองได้ว่าธนาคารนี้มีปัญหาก็ได้ เพราะคนจะเลือกที่จะฝากเงินกับธนาคารที่มั่นคงเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ในร่าง พ.ร.บ. จะเปิดให้สถาบันการเงินปรับตัวประมาณ 4 ปี โดยทยอยลดการค้ำประกันจาก 100 ล้านบาทในปีที่ 1 เหลือ 50 20 และ 10 ล้านบาท ในปีที่ 2 3 และ 4 ในปีที่ 5 จึงเริ่มคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน โดยแต่ละปีกระทรวงการคลังจะออกเป็นพระราชกฤษฎีกา เพื่อประกาศให้ประชาชนรู้ว่าในปีนี้รัฐจะคุ้มครองเงินฝากประชาชนที่ระดับเท่าใด

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า บัญชีเงินฝากที่มีเงินสูงกว่า 1 ล้านบาท ในทุกสถาบันการเงิน มีจำนวน 8.8 แสนบัญชี คิดเป็นวงเงิน 4.82 ล้านล้านบาท ขณะที่วงเงินฝากที่มียอดต่ำกว่า 1 ล้านบาท ทุกสถาบันการเงิน มีทั้งสิ้น 70.43 ล้านบัญชี วงเงิน 1.72 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังและ ธปท. เตรียมจัดสัมมนาเพื่อเร่งทำความเข้าใจต่อสาธารณชนหลังจากที่ร่าง พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝากผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ก่อนจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=190477

news10/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 8:05 pm
โดย chartchai madman
ลีสซิงแข่งดุ หลังกรุงศรีฯบุก รายเล็กเหนื่อย

โพสต์ทูเดย์ ซีเอฟจี ศรีสวัสดิ์ ปรับแผนใหม่ รับสภาพหมดสิทธิ์แข่งกับจีอีฯ หลังถูกธนาคารกรุงศรีฯ ซื้อ


แหล่งข่าวจากบริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง กล่าวว่า การที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้เข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโตลีส ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก เพราะนอกจากมีต้นทุนการเงินที่ต่ำแล้ว ยังได้สาขาทั่วประเทศเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

ทั้งนี้ เมื่อบริษัท จีอีฯ เข้าไปรวมกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาแล้ว บริษัทคงลำบากขึ้น และไม่สามารถไปแข่งขันกับบริษัท จีอีฯ ได้ ดังนั้น แผนธุรกิจในขณะนี้ คือ ต้องรักษาส่วนแบ่งตลาด และอัตรากำไรระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากให้อยู่ในระดับ 20% เหมือนเดิม

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างปรับแผนธุรกิจใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการแข่งขันในปัจจุบัน เพราะหลังจากที่กลุ่มเอไอจี คอนซูมเมอร์ ไฟแนนซ์ กรุ๊ป อิงค์ (ซีเอฟจี) เข้ามาซื้อกิจการของบริษัท ศรีสวัสดิ์ อินเตอร์เนชั่นแนล(1991) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทก็คาดว่าจะเปิดตัว ซีเอฟจี ศรีสวัสดิ์ อย่างเป็นทางการได้ในไตรมาส 3 แต่ขณะนี้คงต้องเลื่อนการเปิดตัวออกไปเป็นช่วงต้นปีหน้าแทน เพื่อเตรียมความพร้อมให้มากขึ้นกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบริษัทยังคงทำธุรกิจตามปกติอยู่ เพียงแต่ไม่ได้ทำตลาดมากขึ้นเท่านั้น

นายรัตนชัย นันทปราโมทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวลิสซิ่ง กล่าวว่า ธุรกิจจำนำทะเบียนรถเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนด้านดอกเบี้ยในอัตราที่ดี ซึ่งหลังจากที่บริษัทได้เปิดตัวโครงการ NAVA EXPRESS ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรกับดีลเลอร์ขายรถยนต์ท้องถิ่นโดยตรงในการหาลูกค้าให้กับบริษัทโดยเฉพาะ เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ได้งานจำนำทะเบียนรถเพิ่มขึ้นมาก และได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 13.5% ในปัจจุบัน

บริษัทจะหยุดปล่อยกู้รถป้ายแดงก่อน โดยหันมาเน้นรถมือสองอย่างเดียว นายรัตนชัย กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=190520

news11/09/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 11, 2007 2:43 pm
โดย chartchai madman
แผนแม่บทการเงินเอื้อรายย่อยกู้ง่ายขึ้น

โพสต์ทูเดย์ ธปท.ถกแบงก์กำหนดแผน แม่บทสถาบันการเงินไทยให้มุ่งสนับสนุน เอสเอ็มอี-รายย่อย-ครัวเรือน เข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น


นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในการหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ เพื่อจัดทำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 ที่จะนำมาใช้ในปี 2551-2556 ว่า ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางการมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพของระบบธนาคารให้รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ การจัดทำแผนแม่บทในด้านอุปสงค์นั้นจะเน้นไปที่การเข้าถึงบริการทางการเงินของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ธุรกิจขนาดเล็ก ครัวเรือน รายย่อย ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินเหมือนธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถระดมเงินผ่านระบบการเงินได้หลายรูปแบบ เพราะสถาบันการเงินมีข้อจำกัดด้านความเสี่ยงของการปล่อยกู้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่ดีพร้อมประกอบการพิจารณา

สำหรับด้านอุปทานต้องพิจารณาการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก และธนาคารพาณิชย์ของรัฐว่าควรปรับตัวอย่างไรให้รองรับความต้องการของสินเชื่อรายย่อย โดยจะเปิดช่องให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ สามารถควบรวมกิจการกับธนาคารพาณิชย์อื่น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขัน

ทั้งนี้ แผนแม่บทเฟส 2 จะเพิ่มการวางโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเงิน ด้วยการจัดสร้างระบบประวัติข้อมูลลูกค้าสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ เพียงพอที่จะให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจในการพิจารณาปล่อยกู้ เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อที่มากขึ้นในระยะ ต่อไป ที่สำคัญเพิ่มการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และสามารถส่งผ่านความเสี่ยงให้สอดคล้องพัฒนาตลาดการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (ซีเคียวริไทเซชัน) รวมทั้งดูให้ครอบคลุมทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน

นอกจากนี้ ธปท.จะปรับปรุงระเบียบกฎเกณฑ์ของทางการที่ไม่จำเป็นและล้าสมัย เพื่อช่วยลดต้นทุนของสถาบันการเงินด้วย

คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวต่อที่ประชุมเรียกร้องให้ ธปท.มองภาพรวมของตลาดการเงิน ตลอดจนมองไปข้างหน้าทิศทางของตลาดการเงินโลก และควรต้องนำแผนแม่บทระบบสถาบันการเงินโลกมาพิจารณา เพื่อนำมาปรับใช้สำหรับสถาบันการเงินไทย

นายมาร์คัส เฮอรี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ในฐานะประธานสมาคมธนาคารต่างประเทศ กล่าวว่า การหารือกันนับเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ สถาบันการเงินได้รับทราบแนวคิดของ ธปท. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่าง พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝาก การบริหารความเสี่ยง การทำให้ลูกค้ารายย่อยเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น ตลอดจนการตอบแทนสังคม

นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธาน กรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าว ว่า ธปท.ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการให้มากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=190681

news11/09/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 11, 2007 3:00 pm
โดย chartchai madman
ธปท.ผุดมาสเตอร์แพลน2 เพิ่มความแข็งแกร่งแบงก์ โดย กระแสหุ้น

แบงก์ชาติระดมสมองจัดทำมาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 คาดแล้วเสร็จไตรมาสแรกปีหน้า ระบุเนื้อหาสำคัญเน้นลดต้นทุน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้สถาบันการเงิน และแนวทางเปิดเสรีในอนาคต ด้าน คุณหญิงชฎา แนะใช้แผนแม่บทฯโลกพิจารณาประกอบ

ดร.บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายหลังการร่วมประชุมระดมสมองนักวิชาการและผู้บริหารธนาคารพาณิชย์เพื่อหารือการร่างแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2(มาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2) ว่า
ในที่ประชุมวันนี้เห็นด้วยกับแนวทาง 3 ประการในแผนมาสเตอร์แพลน ที่ธปท.ร่างไว้คือ
1. การลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นทางการเงิน เช่นลดมาตรการต่างๆ ของทางการ
2. การเปิดให้มีการแข่งขันทางการเงินอย่างเสรีมากขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงเงื่อนเวลาที่จะเปิดเสรีและประโยชน์ที่จะสถาบันการเงินไทยจะได้จากการที่ผู้เล่นรายใหม่เข้ามา และ
3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในที่ประชุมจะเห็นด้วยกับ 3 แนวทางดังกล่าว แต่ก็ยังมีอีก 3 ประเด็นที่ยังมีการถกเถียงและพูดคุยกันคือ 1. เรื่องการปรับตัวของสถาบันการเงินในช่วงต่อไปที่จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดการเงินในระยะต่อไป เพื่อที่จะได้ปรับตัวได้ทัน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กที่จะต้องปรับตัวมากเป็นพิเศษ

2. ปัญหาความไม่ทั่วถึงในการให้บริการทางการเงินแก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะเอสเอ็มอีและภาคครัวเรือนที่ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสถาบันการเงิน ซึ่งที่ประชุมมองว่าหากยังมีข้อจำกัดนี้อยู่โอกาสที่ระบบการเงินจะสนับสนุนการโตของเศรษฐกิจจะเกิดได้ไม่เต็มที่ และ 3. การเชื่อมต่อมาสเตอร์แพลนฉบับ 2 กับแผนพัฒนาตลาดทุนและแผนพัฒนาอื่นๆ ด้วยการสร้างเครื่องมือเพื่อการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินให้มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตลาดรองเช่น ตลาดแปรสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์(ซีเคียวรีไทร์เซชั่น) เป็นต้น

จากนี้ไปเราจะนำประเด็นต่างๆ ที่คุยกันในวันนี้มาแยกแยะ และจะมีผู้แทนจากสถาบันการเงินเข้ามาร่วมประชุมกับธปท.เป็นระยะ และจะเร่งทำแผนให้เสร็จในไตรมาส 1 ปีหน้า'ดร.บัณฑิต กล่าว

ด้านคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม อดีตประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะคณะกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังการหารือเรื่องแผนแม่บท เพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินของไทย ประจำปี 25512555 ว่า โดยทั่วไปเห็นด้วยกับแผนแม่บทของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ยังเห็นว่าแผนแม่บทที่ธนาคารแห่งประเทศไทย นำมาให้พิจารณายังไม่เป็นแผนแม่บท ที่ทำให้เห็นภาพรวมในการพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ครบถ้วน

เนื่องจากยังเป็นแผนที่ครอบคลุมเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ควรต้องนำแผนแม่บทระบบสถาบันการเงินโลกมาพิจารณา เพื่อนำมาปรับใช้สำหรับระบบสถาบันการเงินของไทยด้วย

ด้านนายวิชิต สุรพงศ์ชัย ประธานกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การหารือเกี่ยวกับแผนการพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบสถาบันการเงินของไทย และนำไปสู่การระดมความคิดเห็น อย่างไรก็ตามมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการให้มากขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO

news15/09/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 15, 2007 12:41 pm
โดย chartchai madman
ดันรัฐแก้ปัญหาแบงก์อ่อนแอ

โพสต์ทูเดย์ ประสาร กระทุ้งรัฐรีบ แก้ปัญหาธนาคารฐานะอ่อนแอก่อนคลอดกฎหมายประกันเงินฝาก


นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ทางการควรจะรีบจัดการกับปัญหาที่คั่งค้างของธนาคารพาณิชย์บางราย ก่อน พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากจะมีผลบังคับใช้ เพราะหลังจากคลอดกฎหมายนี้ออกมาแล้ว ถ้ายังไม่รีบแก้ไขปัญหาที่ค้างคาของธนาคารบางราย จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในธนาคารแห่งนั้น และสุดท้ายอาจลุกลามไปยังสถาบันการเงินแห่งอื่นๆ ในระบบ อย่างไรก็ดีปัจจุบันระบบสถาบันการเงินไทยโดยรวมก็เข้มแข็งกว่าเดิมมาก

นายประสาร กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนจะคุ้มครองเงินฝากจำนวนเท่าใด แต่ที่แน่นอนคือสถาบันการเงินต้องปรับตัว สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงินมากขึ้น และเปิดเผยข้อมูลให้แก่ผู้ฝากเงินมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะปัจจุบันธนาคารต่างๆ ก็เปิดเผยข้อมูลอย่างละเอียดให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ฝากเงินอยู่แล้ว

สำหรับผู้ฝากเงินควรพิจารณาความเสี่ยงของสถาบันการเงินให้มากขึ้น ซึ่งสามารถดูได้จากการปรับตัวของอัตรา ผลตอบแทน ของตราสารหนี้ประเภทด้อยสิทธิในตลาดรอง ผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้นมาก อาจสะท้อนความเสี่ยงที่มากขึ้นของสถาบันการเงิน เหมือนที่ดูจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (ค่าพีอี) หุ้นของธนาคารพาณิชย์

นายประสาร กล่าวว่า หลังทางการเลิกคุ้มครองเงินฝาก จะได้เห็นสถาบันการเงินเสนอผลิตภัณฑ์ด้านเงินฝากที่หลากหลายและมีลูกเล่นมากขึ้นด้วย เช่น เงินฝาก ส่วนที่เกิน 1 ล้านบาทจะได้รับดอกเบี้ย ที่สูงล่อใจ

นายหยกพร ตันติเศวตรัตน์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า หลังมี พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากน่าจะมีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินลง จากปัจจุบันที่คิดอัตรา 0.4% เพราะเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง ด้านพฤติกรรมผู้ฝากเงินหลังประกาศใช้กฎหมายนี้ ยังไม่อาจคาดเดาได้ อาจเป็นไปได้ที่ผู้ฝากเงินในธนาคารขนาดใหญ่จำนวนมากจะกระจายเงินฝากไปยังธนาคารขนาดเล็ก หรืออาจจะยังเลือกฝากกับธนาคารใหญ่เพื่อความมั่นใจ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=191592

news15/09/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 15, 2007 2:40 pm
โดย chartchai madman
แบงก์ใหญ่เฮ! รับรัฐล้มกู้เจบิค
แบงก์ใหญ่รับอานิสงส์รัฐเตรียมกู้เงินในประเทศสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วง  หลังเจบิกยึกยักปล่อยกู้   พร้อมข่าวเฟดลดดอกเบี้ยกู้วิกฤติซับไพรม์


หนุนราคาหุ้นพุ่งพรวดทั้งกลุ่ม  นักวิเคราะห์มองหากรัฐใช้เงินกู้ในประเทศช่วยกระตุ้นสินเชื่อพุ่ง  แต่ไม่มากเพราะเป็นโครงการใหญ่ทยอยระดมทุน  เชื่อแบงก์ที่คิดดอกเบี้ยต่ำได้ประโยชน์สูง    
   
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า วานนี้(11 ก.ย.)ราคาหุ้นของธนาคารขนาดใหญ่ปรับขึ้นมาทั้งกลุ่ม  ส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากข่าวที่รัฐบาลเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่มีมูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท และสายสีม่วงมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท โดยไม่รอเงินกู้จากธนาคารเพื่อความร่วมมือแห่งประเทศญี่ปุ่น(เจบิก) แต่อาจจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ และจากเงินกองทุนน้ำมัน แม้ว่าสัดส่วนเงินลงทุนดังกล่าวน่าจะมาจากกองทุนน้ำมันมากกว่าการกู้จากธนาคารก็ตามเนื่องจากธนาคารอาจคิดอัตราดอกเบี้ยแพงกว่า
               
อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนดังกล่าวแม้จะส่งผลดีต่อการขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในปีหน้า แต่เป็นจำนวนสินเชื่อที่ไม่สูงมากนักเพราะแม้จะเป็นโครงการใหญ่ แต่จะเป็นการทยอยระดมทุน  จึงไม่น่าจะเข้ามาในปีหน้าทั้งหมด  ส่วนธนาคารที่จะได้รับผลดีนั้นคาดว่าจะเป็นธนาคารที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด  ซึ่งจะได้รับประโยชน์มากกว่า
               
นอกจากนี้ การปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์คาดว่าจะมาจากการรอผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมในวันที่ 18 กันยายน นี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือปัญหาการขาดสภาพคล่องในซับไพรม์ แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อสถาบันการเงิน
               
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) SCB โดยให้ราคาเหมาะสมปี 2551 อยู่ที่ 90.00 บาท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK ให้ราคาเหมาะสม 90.00 บาท และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) BBL ให้ราคาเหมาะสม 150.00 บาท
               
ส่วนธนาคารที่มองว่าปีหน้าจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจคือ SCB เนื่องจากธนาคารมีนโยบายเร่งการเติบโต แต่ในปีนี้เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย  จึงไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย แต่ถ้าปีหน้าภาวะเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติเชื่อว่า SCB จะกลับมาตั้งเป้าเติบโตในอัตราสูงเช่นต้นปีนี้
               
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์แห่งหนึ่งกล่าวว่า การที่รัฐบาลจะใช้เงินกู้ในประเทศเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้า จะส่งผลดีต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่   ทำให้เมื่อวานนี้(11ก.ย.)หุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับขึ้นมาเพราะข่าวดังกล่าว  อีกทั้งที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับลดลงไปมากแล้ว จึงทำให้มีความน่าสนใจ เพราะมีโอกาสปรับขึ้นสูง
               
โครงการรถไฟฟ้าเป็นโครงการขนาดใหญ่ หากจะส่งผลดีต่อสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ปีหน้าน่าจะกระจายไปทุกธนาคารเล็กและใหญ่
นักวิเคราะห์ กล่าว
               
อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ ได้แก่ BBL ให้ราคาเหมาะสมปี 2551 อยู่ที่ 142.00 บาท KBANK ราคาเหมาะสม 91.00 บาท และ SCB ที่ราคาเหมาะสม 91.00 บาท แม้ว่าสินเชื่อไตรมาส 3/2550 จะยังไม่เห็นสัญญาณการเติบโตมาก  แต่เชื่อว่าสินเชื่อจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/2550 และหากมีการเลือกตั้งจะทำให้มีการลงทุนและความต้องการใช้สินเชื่อมากขึ้น  ส่วนอัตราดอกเบี้ยปีนี้จะปรับลดลงได้อีกหรือไม่คงจะต้องดูสัญญาณจากทางการ

BBL(11 ก.ย.)ปิดที่ 114.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 591.65 ล้านบาท,KBANKปิดที่ 75.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 98.32 ล้านบาท และSCB ปิดที่ 74.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 125.81 ล้านบาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 761&ch=223

news17/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 17, 2007 1:41 pm
โดย chartchai madman
ไอเอ็นจีรุกฮุบทหารไทย

โพสต์ทูเดย์ ไอเอ็นจี รุกเสนอเงื่อนไขที่มิอาจปฏิเสธ ขอซื้อหุ้นแบงก์ทหารไทยจากคลังในราคางาม แลกถือ หุ้นใหญ่คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ


แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง ได้เรียกนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาหารือในทางปฏิบัติ และข้อกฎหมายหากกระทรวงการคลังจะขายหุ้นธนาคารทหารไทยที่ถืออยู่ 3.8 พันล้านหุ้น หรือ 31.2% ให้กับทาง บริษัท ไอเอ็นจี กรุ๊ป หลังจากทางพันธมิตรรายนี้เสนอขอซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยเกิน 25% เพื่อความมั่นคงของธนาคาร

ไอเอ็นจี กรุ๊ป ต้องการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารแทนกระทรวงการคลัง และได้ยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นจากคลังในราคาดี โดยตอนนี้กำลังเจรจาเงื่อนไขว่าจะเป็นการทยอยซื้อหุ้น หรือซื้อครั้งเดียว ซึ่ง รมว.คลัง เห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดูดี เมื่อเทียบกับทางเลือกเดิมที่กระทรวงการคลังจะถือหุ้นไว้ไม่น้อยกว่า 25% เพราะไอเอ็นจีเป็นกลุ่มสถาบันการเงินที่มีความแข็งแกร่งด้านการเงินมาก แหล่งข่าวเปิดเผย

แหล่งเปิดเผยว่า การขายหุ้นทหารไทยให้ไอเอ็นจี กรุ๊ป ทำให้กระทรวงการคลังไม่ต้องขายหุ้นรัฐวิสาหกิจพื้นฐานดีหาเงิน 7-8 พันล้านบาท เพื่อรักษาสิทธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตอบคำถามสาธารณชนได้ยาก

อีกทั้งการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจจำนวนมากต้องใช้เวลาขอตามขั้นตอนและขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะทำให้การเพิ่มทุนไม่ทันภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ฐานะของธนาคารมีปัญหาเงินกองทุน

นอกจากนี้ นายฉลองภพเห็นว่าการขายหุ้นทหารไทยให้กับไอเอ็นจีเป็นการแก้ไขปัญหาธนาคารทหารไทยในระยะยาว มีการบริหารเป็นมืออาชีพ เพราะที่ผ่านมาธนาคารทหารไทยขาดทุนสะสมถึง 6 หมื่นล้านบาท มีหนี้เสีย 5 หมื่นล้านบาท

อีกประเด็นหนึ่งคือ นายฉลองภพได้รับรายงานว่า ในปี 2550 นี้ ธนาคารทหารไทยอาจจะขาดทุนมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินการรอบครึ่งปี 2550 ขาดทุนไปแล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท จึงเป็นห่วงว่าหากต้องใส่เงินเพิ่มทุนเข้าไปอีก จะตอบคำถามให้กับสาธารณชนไม่ได้

ตอนนี้กระทรวงการคลังกำลังต่อรองราคาขายหุ้นทหารไทยให้กับไอเอ็นจี เพื่อให้ได้ราคาสูงหรือได้ราคาที่ใกล้กับราคาที่เคยลงทุนมากที่สุด เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งหากบรรลุข้อตกลงกันได้ ก็ต้องเสนอแนวทางดังกล่าวให้ผู้ถือหุ้นกลุ่มทหารไทยเห็นชอบแนวทางดังกล่าวด้วยว่าเห็นชอบหรือไม่ ก่อนจะรายงานให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ แหล่งข่าวเปิดเผย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ใส่เงินเพิ่มทุนในธนาคารทหารไทยไปแล้ว 3 หมื่นล้านบาท และไม่เคยได้รับเงินปันผล นอกจากนี้ราคาหุ้นในตลาดก็ต่ำกว่าราคาที่ซื้อมาก ทำให้ราคาหุ้นที่ถืออยู่ตอนนี้มีมูลค่าแค่ 1 หมื่นกว่าล้านบาท

แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิด รมว.คลัง กล่าวว่า หลังจากนายฉลองภพหารือกับนางธาริษาแล้ว ก็ได้สั่งการให้นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ประสานงานกับนายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการธนาคารทหารไทย ให้เร่งเจรจาสรุปรายละเอียดเงื่อนไขกับไอเอ็นจี กรุ๊ป ให้ได้เร็วที่สุด

นายฉลองภพ กล่าวว่า การเพิ่มทุนทหารไทย 3.5 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขกับกลุ่มไอเอ็นจี ยังไม่เสร็จ คาดว่าจะแถลงรายละเอียดภายในเดือน ต.ค. และเงินเพิ่มทุนจะเข้ามาก่อนสิ้นปีแน่นอน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=191900

news17/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 17, 2007 7:36 pm
โดย chartchai madman
คลังเข็นพ.ร.บ.เงินตราเข้าครม.อีกครั้งพรุ่งนี้ มั่นใจไร้ปัญหา

17 กันยายน พ.ศ. 2550 15:38:00

คลังเตรียมเข็นพ.ร.บ.เงินตราเข้าสู่ที่ประชุมครม.อีกครั้งวันพรุ่งนี้มั่นใจผ่านการพิจารณาทั้งครม.และสนช. ส่วนพ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากเตรียมเปิดรับฟังความเห็นประชาชนใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่ากระทรวงการคลังเตรียมนำร่าง พ.ร.บ.เงินตราเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งวันพรุ่งนี้ หลังจากถอนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวออกจาก สนช.ก่อนหน้านี้ โดยได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ แล้ว และหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบจะเสนอต่อ สนช.ในวันที่ 19 กันยายน ต่อไป พร้อมกับ พ.ร.บ.สถาบันการเงิน ซึ่งน่าจะผ่านการพิจารณาจาก สนช.ได้ เพราะกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สนช.ได้ประสานงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด

ส่วน พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากคงต้องเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น และทำให้ประชาชนผู้ฝากเงินเข้าใจมากขึ้น ซึ่งคงต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ สำหรับรายละเอียดของวงเงินค้ำประกันเงินฝากนั้น จะสามารถแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯได้

ส่วนแนวทางการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้ก่อสร้างรถไฟฟ้านั้น ดร.ฉลองภพ กล่าวว่า วันนี้จะหารือกับกระทรวงพลังงาน เพื่อคำนวณสูตรในการนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ให้ชัดเจน เพื่อแบ่งเขตว่าค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะมีเฉพาะในส่วนพื้นที่ผู้ใช้น้ำมันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปี แต่การเริ่มต้นก่อสร้างต้องใช้เงินภายในประเทศ เพราะมีสภาพคล่องเพียงพอ ซึ่งทางสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กำลังพิจารณาแหล่งเงินกู้

เล็งเปิดทางต่างชาติถือหุ้นสถาบันกาเรงินเกิน25%

ดร.ฉลองภพ กล่าวถึงกรณีที่ต่างชาติต้องการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสถาบันการเงินไทยเกินกว่า 25% ว่า สามารถทำได้ในระยะปานกลาง เพราะการที่ต่างชาติจะเข้ามาถือหุ้นในสถาบันการเงินของไทยก็ต้องการควบคุมการบริหารงานในสถาบันการเงินไทยอยู่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการคลังที่ไม่ต้องการถือหุ้นเป็นจำนวนมากในสถาบันการเงินไทย

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของต่างชาติต้องทำให้สถาบันการเงินแข็งแกร่งและสามารถเพิ่มมูลค่าได้ กระทรวงการคลังจึงจะให้ถือหุ้นข้างมากได้แต่เป็นเรื่องในระยะปานกลาง และต้องมีการเจรจากันในรายละเอียดให้รอบคอบก่อน

ส่วนกรณีของธนาคารสินเอเชีย ที่ต่างชาติต้องการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในขณะนี้ คงไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะธนาคารสินเอเชียไม่ใช่ธนาคารที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ โดยจะทำได้ก็ต่อเมื่อกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่มีผลบังคับใช้เสียก่อน ซึ่งกฎหมายนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในวันพุธที่ 26 กันยายนนี้ และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจาก สนช.
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/1 ... sid=102925

news18/09/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 18, 2007 5:40 pm
โดย chartchai madman
KTB เด่นสุดกลุ่มแบงก์ ชิงเค้กปล่อยกู้รถไฟฟ้า

กรุงไทย ราศีจับ รับผลดีมากสุดถ้ารัฐบาลหันกู้เงินในประเทศสร้างรถไฟฟ้า นายแบงก์มองมีสิทธิเป็นแกนนำปล่อยสินเชื่อ เพราะมีสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐ แถมให้ดอกเบี้ยต่ำได้ ส่วน BBL KBANK SCB รับส้มหล่นปล่อยกู้แทน TMB ที่มีปัญหาเงินกองทุน-สภาพคล่องไม่พอ ด้านโบรกเกอร์เชียร์ซื้อยกกลุ่มระยะยาว


นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านลูกค้าธุรกิจและปฏิบัติการ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่รัฐบาลเตรียมกู้เงินในประเทศเพื่อนำมาทำโครงการรถไฟฟ้า เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อธนาคารขนาดใหญ่ที่เคยปล่อยกู้ให้กับภาครัฐอยู่ก่อน เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ซึ่งในส่วนของ TMB ขณะนี้ยังมีปัญหาเรื่องเงินกองทุน และอยู่ระหว่างเตรียมการเพิ่มทุน อาจจะทำให้การปล่อยสินเชื่อค่อนข้างตรึงตัว ดังนั้น ผลดีอาจจะไปตกอยู่กับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งอื่นแทน

ส่วนใหญ่สินเชื่อภาครัฐจะเป็นแบงก์ใหญ่ที่ได้ไป เพราะมีความคุ้นเคยกับลูกค้าและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเพราะเคยปล่อยสินเชื่อให้กันมาก่อน น้อยมากที่จะไปแบงก์อื่น นอกจากว่า หาก TMB ตึงๆ เรื่องเงินปล่อยสินเชื่อ เพราะอยู่ระหว่างเพิ่มทุน ลูกค้าอาจโยกไปหาแบงก์ใหญ่แห่งอื่นแทน นายเลอศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวคงไม่ได้ส่งผลดีต่อนครหลวงไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากธนาคารมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อให้กับภาครัฐน้อยมากเมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมทั้งหมด เนื่องจากนครหลวงไทยไม่ใช่ธนาคารของภาครัฐ ประกอบกับฐานลูกค้าเดิมของแบงก์ส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงมีความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มนี้มากกว่า

ด้านนายปรีชา ภูขำ รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB กล่าวว่า ธนาคารมีความพร้อมที่จะปล่อยสินเชื่อให้แก่โครงการภาครัฐ โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลมีแผนจะใช้เงินกู้ภายในประเทศก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าแทน และเชื่อว่าทุกธนาคารก็มีความพร้อมเช่นกัน เพราะปัจจุบันในระบบธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องรวมกันสูงถึง 3-4 แสนล้านบาท

สภาพคล่องเรา มีเพียงพอให้รัฐบาลกู้ได้ แต่ตอนนี้รัฐยังไม่ได้เข้ามาเจรจากับเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้กันไว้ว่าจะปล่อยให้เท่าไหร่ ส่วนทั้งระบบตอนนี้มีอยู่ประมาณ 3-4 แสนล้านบาท นายปรีชากล่าว

อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้ธนาคารจะมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับโครงการของภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นล้านบาท โดยล่าสุดธนาคารปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาทแล้ว อย่างไรก็ตามหากคิดเป็นยอดสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นสุทธิอาจจะยังไม่มากนัก เนื่องจากเร็วๆนี้กองทุนน้ำมันและกระทรวงการคลังได้ชำระหนี้รวมกันคิดเป็นเงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท

เรายังเชื่อว่าสิ้นปีเราจะปล่อยสินเชื่อโครงการภาครัฐได้เพิ่มขึ้น 5 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดคงค้างสินเชื่อ 1.1 แสนล้านบาท และเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีรัฐบาลจะเข้ามาทยอยขอสินเชื่อกับธนาคาร ซึ่งน่าจะมีทั้งสินเชื่อระยะสั้น 2-3 เดือน และสินเชื่อระยะยาว 1-2 ปีขึ้นไป นายปรีชา กล่าว

นายปรีชา กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเร่งเดินหน้าลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งหากไม่มีโครงการดังกล่าวจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมความเชื่อมั่นของนักธุรกิจมากขึ้น เพราะขณะนี้นักธุรกิจยังไม่กล้าจะเดินหน้าลงทุน เนื่องจากยังไม่มั่นใจปัญหาทางการเมืองว่าจะคลี่คลายลงเมื่อใด ขณะเดียวกันก็ยังคงรอดูว่านโยบายของรัฐบาลชุดใหม่จะให้น้ำหนักกับเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า หากรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศเพื่อนำไปก่อสร้างรถไฟฟ้า คาดว่าธนาคารกรุงไทยน่าจะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก เนื่องจากธนาคารถือเป็นแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ ที่สำคัญ หากกู้เงินจากธนาคารดังกล่าวรัฐก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกลงกว่ากู้นอกประเทศ ทั้งนี้ ยอมรับว่ารัฐบาลกู้เงินในประเทศกับธนาคารพาณิชย์ถือว่าเป็นผลดี เพราะจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวดี

ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารกรุงไทยเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นแหล่งเงินกู้ให้รัฐบาลเพียงรายเดียวแน่นอน เพราะอาจจะเกิดความเสี่ยงกับตัวธนาคารได้ ดังนั้น สิ่งที่น่าจะเห็นคือการกู้ร่วมเพื่อลดความเสี่ยง ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์อันเนื่องจากข่าวดังกล่าว คงต้องดูรูปแบบการกู้ของรัฐบาลเป็นหลักว่าเมื่อกู้เงินแล้วจะกระทบตัวแหล่งเงินกู้หรือไม่

นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า แหล่งเงินกู้ในประเทศเพื่อสร้างรถไฟฟ้าน่าจะได้จากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในประเทศเป็นหลัก โดยมีธนาคารกรุงไทย (KTB) เป็นตัวเลือกแรกในการพิจารณา รองลงมาคือ ธนาคารกรงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB

ทั้งนี้ การที่ธนาคารเหล่านี้ได้รับเลือกเป็นแหล่งเงินกู้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารที่ได้รับผลดีจากการเป็นแหล่งเงินกู้ให้รัฐบาล มองว่าหุ้นเหล่านี้มีความน่าสนใจและน่าลงทุนอยู่แล้ว โดยเฉพาะในระยะยาว
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16

news19/09/07

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 19, 2007 9:07 pm
โดย chartchai madman
ครม.ผ่านฉลุยพ.ร.บ.เงินตรา  

โดย ข่าวสด
วัน พุธ ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550 08:50 น.

นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.ย. มีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.เงินตรา ภายหลังจากถอนร่างดังกล่าวออกจากการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาก่อนหน้านี้ เพื่อนำมาสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสาระสำคัญในการแก้ไขกฎหมายและรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชน โดยที่ประชุมเห็นชอบแก้ไขมาตราที่ว่าด้วยการโอนสินทรัพย์จากบัญชีสำรองพิเศษเข้าบัญชีทุนสำรองเงินตรา เพื่อการนำออกใช้ซึ่งธนบัตร โดยมีสาระสำคัญเพื่อยกเลิกไม่ใช้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถโอนสินทรัพย์จากบัญชีสำรองพิเศษเข้าเป็นสินทรัพย์ในบัญชีทุนสำรองเงินตรา เพื่อใช้ในการหนุนหลังการนำออกใช้ธนบัตร

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุม ครม.ว่าขณะนี้ฐานะสินทรัพย์ของ ธปท. มีอยู่ประมาณ 4 หมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าดีมาก ไม่ต้องห่วงอะไร ดังนั้นจึงควรตัดข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้อำนาจ ธปท. โอนสินทรัพย์จากบัญชีสำรองพิเศษเข้าเป็นสินทรัพย์ในบัญชีทุนสำรองเงินตราออก และเตรียมเสนอให้ สนช.พิจารณาในเร็วๆ นี้ นายโชติชัย กล่าว
http://news.sanook.com/economic/economic_184108.php

news20/09/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 20, 2007 8:15 pm
โดย chartchai madman
นายแบงก์ระบุธปท.ไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยตามเฟด

20 กันยายน พ.ศ. 2550 15:55:00

"ชาติศิริ"ระบุธปท.ไม่จำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามเฟด เนื่องจากตลาดการเงินไทย-สหรัฐไม่สัมพันธ์กัน มั่นใจไม่กระทบค่าเงินบาท-เงินทุนไหลเข้า ขณะที่ธปท.รับ"ซับไพร์ม"กระทบเศรษฐกิจไทยระยะสั้น

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.50% ก็ไม่จำเป็นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะต้องลดลงตามในการประชุมวันที่ 10 ตุลาคมนี้ เนื่องจากตลาดการเงินไทยและสหรัฐไม่ได้สัมพันธ์กัน

นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าการที่เฟดลดดอกเบี้ยไม่มีผลกระทบต่อค่าเงินบาทและเงินทุนไหลเข้า เพราะการที่เฟดลดดอกเบี้ยครั้งนี้ เป้าหมายคือแก้ปัญหาซับไพร์ม มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ดี และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากปัจจัยการเมืองดีขึ้น บวกกับการส่งออกที่ขยายตัวดี ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ด้านนายยรรยง ไทยเจริญ ผู้บริหารทีม ทีมนโยบายเงินทุนและดุลการชำระเงิน สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังขยายตัว 4-5% แม้การบริโภคครึ่งปีแรกจะชะลอตัวลง แต่เชื่อว่าการบริโภคไตรมาส 4 จะปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเลือกตั้งปลายปีนี้ การเพิ่มเงินเดือนข้าราชการร้อยละ 4 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2550 การใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล และการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติการเพิ่มค่าลดหย่อนดอกเบี้ยซื้อบ้านจาก 50,000 บาท เป็น 100,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นยังมีปัจจัยที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทย คือ ปัญหาซับไพร์ม ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางอ่อนค่าลง และกระทบค่าเงินบาทให้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องมาถึงภาคการส่งออกของไทย ทำให้ส่งออกน้อยลง ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงตาม
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังมีแนวโน้มทรงตัวระดับสูง รวมทั้งความไม่สมดุลของภาวะเศรษฐกิจโลก และยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=184421

news21/09/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 3:31 pm
โดย chartchai madman
ธปท.ชี้แบงก์ขึ้นดอกฝากไม่กระทบเงินกู้ เผยคนไทยหนี้พุ่ง-แนะเตรียมรับความเสี่ยงดอกเบี้ย  

โดย ข่าวสด
วัน ศุกร์ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550 09:17 น.

นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารพาณิชย์บางแห่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามไปด้วย เนื่องจากมองว่าการปรับขึ้นครั้งนี้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะรักษาฐานลูกค้าของธนาคารบางแห่งไว้ ไม่ได้ปรับขึ้นพร้อมกันทั้งหมด จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

นางสาวนิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า เนื่องจากตลาดคาดการณ์ล่วงหน้าว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันลงอีก ทำให้ธนาคารพาณิชย์บางแห่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงเร็ว แต่ปรากฏว่าผลการประชุมกนง. เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์จึงต้องปรับอัตรดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการออกพันธบัตร 8.9 หมื่นล้านบาทของธปท. จนทำให้ธนาคารพาณิชย์ขาดสภาพคล่อง

นอกจากนี้กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ถือว่าเป็นไปตามที่คาดไว้ประมาณ 0.25-0.5% ส่วนที่หลายฝ่ายเกรงว่าการลดดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น เบื้องต้นยังไม่เห็นความผิดปกติของการไหลเข้าและออกของเงิน ค่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพ เพราะส่วนหนึ่งตลาดได้ปรับตัวไปรอตั้งแต่แรก และยังไม่จำเป็นต้องออกมาตรการดูแลค่าเงินบาทมารองรับเพิ่มเติม เพราะเท่าที่มีอยู่ยังใช้ได้ ไม่มีปัญหา

ดอกเบี้ยของไทยอยู่ที่ประมาณ 3.25% ซึ่งไม่ถือว่าต่ำหรือสูงจนผิดปกติ เมื่อเทียบกับประเทศอังกฤษและสหรัฐ อยู่ที่ 5.75% และ 4.75% ตามลำดับ แต่มีความเหมาะสมกำลังดีกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยยืนยันยังไม่เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาไทยมาก นางสาวนิตยา กล่าว

ด้านนายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) คงพิจารณาจากสภาพคล่องของเงินไหลเข้าและออกภายในของธนาคารเองว่าเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของแต่ละธนาคารจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพราะต้องการเงิน ขณะที่ธนาคารบางแห่งไม่ต้องการเงิน ก็ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับสภาพคล่องของระบบที่ยังมีอยู่มาก แต่เป็นเรื่องของธนาคารบางแห่งที่มีสภาพคล่องน้อย

นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา เศรษฐกรอาวุโส ส่วนเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธปท. เปิดเผยในบทความ ความมั่งคั่งและหนี้สินครัวเรือนไทย : การบริหารความเสี่ยงและการเข้าถึงบริการทางการเงินว่า ปัจจุบันภาพรวมงบดุลครัวเรือนมีความแข็งแกร่งมั่นคง แต่บางครัวเรือนในกลุ่มที่มีรายได้น้อยมีสัดส่วนหนี้ที่ค่อนข้างสูง มีการกู้ยืมที่มากเกินไปส่งผลให้ครัวเรือนต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวสูงขึ้นด้วย
http://news.sanook.com/economic/economic_185036.php

news21/09/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 7:41 pm
โดย chartchai madman
กทม.+15แบงก์ชวนออมพอเพียง

โดย Post Digital 21 กันยายน 2550 14:42 น.

ผู้ว่าฯ กทม.ลงนามร่วม 15 ธนาคารชวนประชาชน เปิดบัญชีเงินฝากออมเพื่อชีวิตพอเพียง ตามแนวทางพระราชดำริ

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุบเทพมหานคร (กทม.) ได้ลงนามร่วมกับ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย ในบันทึกความร่วมมือระหว่าง กทม.กับธนาคาร 15 แห่ง และสหกรณ์ออมทรัพย์กรุงเทพมหานคร ด้วยการจัดตั้งบัญชีเงินออมเพื่อชีวิตพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะเริ่มในวันนี้ ( 21ก.ย.) เพื่อให้ประชาชนเปิดบัญชีเงินฝากภายใต้ชื่อ บัญชีเงินออมเพื่อชีวิตพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงปฏิบัติเพื่อสร้างวินัยในการเก็บออมเงินให้เกิดความมั่นคงของชีวิต

ทั้งนี้ ผู้ฝากเงินจะได้รับสมุดเงินฝากที่ออกแบบเป็นพิเศษ เป็นภาพประวัติศาสตร์แห่งความจงรักภักดีของปวงพสกนิกรชาวไทย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และจะรณรงค์ให้ฝากเงินอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2551 จะรวบรวมจำนวนผู้ฝากเงิน ขึ้นกราบบังคมทูลทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=192894

news22/09/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 22, 2007 12:08 pm
โดย chartchai madman
ทหารไทย-กรุงศรีจุกฝากกู้ลดฮวบ

โพสต์ทูเดย์ แบงก์อาการหนัก สินเชื่อลด เงินฝากพุ่ง ทหารไทย- กรุงศรีฯ จุกกว่าใคร เงินฝาก-สินเชื่อลดหลายหมื่นล้าน


รายงานตัวเลขสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย สิ้นงวดวันที่ 31 ส.ค. มีทั้งสิ้น 4.93 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1.56 หมื่น ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปีประมาณ 3.86 หมื่นล้านบาท

ขณะที่เงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในเดือน ส.ค. มียอดคงค้างทั้งสิ้น 6.08 ล้านล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน 2.02 หมื่นล้านบาท และ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน 1.5 แสนล้านบาท

ธนาคารทหารไทยมียอดเงินฝากและสินเชื่อลดลงมากสุด เงินฝาก ในเดือน ส.ค.มีทั้งสิน 4.9 แสนล้าน บาท ลดลงจากเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา 1.2 หมื่นล้านบาท แต่หากพิจารณาจากยอดเงินฝากในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 7.8 หมื่นล้านบาท

ขณะยอดสินเชื่อเดือน ส.ค.มีทั้งสิ้น 4.6 แสนล้านบาท ลดลง 4.6 พัน ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า และสินเชื่อรอบ 8 เดือนนั้นลดลงถึง 4.9 หมื่นล้านบาท

ผู้บริหารธนาคารได้ระบุว่า เป็นผลมาจากนโยบายปรับคุณภาพสินทรัพย์ การไม่เน้นปล่อยสินเชื่อ และมีการชำระคืนหนี้จากลูกค้ารายใหญ่

ด้านธนาคารกรุงศรีอยุธยา มียอดเงินฝากในเดือน ส.ค.ทั้งสิ้น 5.13 แสนล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน 1.4 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อพิจารณา ยอดเงินฝาก 8 เดือน ปรากฏว่าลดลงถึง 4.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่สินเชื่อ ในเดือน ส.ค.มีทั้งสิ้น 4.1 แสนล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 5.8 พัน ล้านบาท ลดลงในช่วง 8 เดือนแรกถึง 2.2 หมื่นล้านบาท อันดับสามคือ ไทยธนาคาร ที่เงินฝากเดือน ส.ค.ลดลง 1.6 พันล้านบาท ทำให้ 8 เดือนแรกเงินฝากลด 1.9 หมื่นล้านบาท

นางเยาวลักษณ์ พูลทอง ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ยอดสินเชื่อเติบโตลดลงจากสาเหตุหลักของการตัดหนี้สูญไปบางส่วน อีกทั้งปีนี้ธนาคารมุ่งปรับปรุงและเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ภายหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น และการตั้งเป้าหมายเติบโตด้านธนาคารเพื่อรายย่อยค่อนข้างสูงในปีต่อๆ ไป

ถ้าดูงบการเงินรวม ซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของบริษัทในเครือ คือ เอวายซีแอล ที่ธนาคารเพิ่งตั้งขึ้นต้นปีนี้ จะเห็นว่าสินเชื่อลดลงไม่มากนัก ส่วนอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากถือว่าธนาคารมีสภาพคล่องส่วนเกินในระดับสูงมาโดยตลอด ปีก่อนอยู่ที่ 80% ปีนี้มีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 90%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=192976

news24/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 24, 2007 2:32 pm
โดย chartchai madman
กลุ่มธนาคารเด่น KBANK SCB BAY
ถ้าย้อนไปดูบรรยากาศการลงทุนในสัปดาห์ที่แล้ว ในช่วงต้นสัปดาห์จะเห็นว่า SET แกว่งตัวแคบๆ กลุ่มธนาคาร under perform แต่กลุ่มน้ำมันขยับขึ้นตลอดเพราะ sentiment การลงทุนในต่างประเทศสถาบันการเงินลงจากปัญหาซับไพร์มและราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่สุดท้าย SET ก็กลับมาพุ่งขึ้นในช่วงวันสุดท้ายของสัปดาห์นำโดยกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน ปริมาณการซื้อขายก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ นักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมาซื้ออย่างมีนัยสำคัญ เราได้แนะนำ Follow Buy ไปเมื่อวันศุกร์ว่าถ้า SET สามารถทะลุ 820จุดได้ หลังจากที่เราแนะนำ wait and see มาเกือบๆ 3สัปดาห์ ในที่สุด SET ก็เลือกทางขึ้น เราคิดว่าตลาดยังมี Gap ให้ขึ้นต่อยังคงแนะนำ"ซื้อ" ต่อเป็นวันที่ 2 แนวต้าน 840จุด แนวรับ 805 จุด

กลุ่มธนาคาร หลังจากกลุ่มนี้เงียบเหงามานานปล่อยให้กลุ่มน้ำมันโชว์ฟอร์มสวยมาตลอด เมื่อวันศุกร์เป็นวันแรกที่เราเห็นสัญญาณการกลับมาคึกคักของกลุ่ม BANK แล้ว โดยสามารถปรับตัวขึ้นได้เป็นอันดับสองรองจากกลุ่มพลังงาน และปริมาณการซื้อขายเข้ามาคึกคักมากขึ้นด้วย สำหรับในกลุ่มนี้เราขอแนะนำ 3 ตัว ได้แก่ KBANK SCB และ BAY สำหรับ KBANK เราเห็นตัวเลขการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มลูกค้า SME และกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัย เป็นไปตามเป้าหมายที่ทางธนาคารตั้งเป้าไว้ ในทางเทคนิค KBANK มีสัญญาณการเป็นขาขึ้นชัดเจนให้ราคาเป้าหมายที่ 85 บาท SCB ถึงแม้จะมีการปรับลดเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อปี 2550 ลงเป็น 13-15% แต่จากอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 13.7% และปริมาณการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ 80% จะทำให้ธนาคารสามารถดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่นไปอีกหลายปีโดยไม่ต้องเพิ่มทุน ในทางเทคนิค SCB มี pattern คล้ายกับ KBANK เราให้ราคาเป้าหมายที่ราคา 85 บาท ส่วน BAY จุดเด่นจะอยู่ที่การได้พันธมิตรกลุ่ม GE จะทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงมีความแข็งแกร่ง และการได้พอร์ตสินเชื่อของ GECAL และ TSS มาจะช่วยให้พอร์ตสินเชื่อของ BAY เพิ่มขึ้น 18% ในปีนี้ ให้เป้าหมายที่ 29 บาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 889&ch=229

news24/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 24, 2007 2:35 pm
โดย chartchai madman
หนี้เสียรถ-บ้านพุ่ง100%
หนี้เสีย รถ-อสังหาฯ มาแรงแซงหน้าบัตรเครดิต เจเอ็มที แห่งเดียวไล่ล่าคนชักดาบ 3 แสนราย มูลหนี้ 1.5 หมื่นล้าน ทวงหนี้รุ่งทวงคืนรับเน็ตๆ 25%


นายปิยะ พงษ์อัชา ผู้อำนวยการ บริหารหนี้สิน บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2550 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในธุรกิจการเงิน ทั้งสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงิน เพิ่ม สูงขึ้น 100% โดยเฉพาะหนี้ในกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ และหนี้บัตรเครดิต มีอัตราการเพิ่มสูง

ตอนนี้หนี้เสียจากรถยนต์และภาคอสังหาริมทรัพย์ถือว่าเป็นหนี้ใหม่ แต่เพิ่มสูงมากเป็น 100% ที่ทางสถาบันการเงินนำมาว่าจ้างให้ดำเนินการ และตอนนี้ธุรกิจนี้เติบโตอย่างมาก นายปิยะ กล่าว

นายปิยะ กล่าวว่า ในปีก่อนบริษัทมีหนี้ที่ติดตามอยู่ 8 พันล้านบาท ตอนนี้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.5 หมื่นล้านบาท มี ลูกหนี้ในการดูแลทั้งหมด 3 แสนราย

ในจำนวนนี้แบ่งเป็นหนี้เสียจากบัตรเครดิต 7 พันล้านบาท หนี้เสียจากรถยนต์และการเคหะ 7 พันล้านบาท และอีกประมาณ 1-2% ที่เหลือเป็นหนี้จากธุรกิจการค้า

ทั้งนี้ ทางบริษัทจะคิดค่าบริการในการติดตามทวงหนี้ในอัตรา 25% ของมูลหนี้ที่ติดตามทวงคืนมาได้ โดยในปัจจุบันธุรกิจติดตามทวงหนี้เติบโตสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 30-50% ขณะที่ปัจจุบันมีบริษัทติดตามทวงหนี้อยู่กว่า 100 บริษัท แต่ที่ได้มาตรฐานมีเพียง 40 บริษัท เท่านั้น ที่มีภาพลักษณ์และระบบการจัดการข้อมูลที่ดี รักษาความลับลูกค้า

นายอติพัฒน์ อัศวจินดา ผู้ อำนวยการฝ่ายบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เป็นไปได้ ที่ลูกหนี้สินเชื่อรถยนต์จะไม่ชำระหนี้ แต่สินเชื่อบ้านมีโอกาสยากมาก เพราะเป็นสิ่งที่คนจะรักษาไว้สุดชีวิต

อย่างไรก็ดี ในภาวะเศรษฐกิจ แบบนี้ ลูกหนี้ก็อาจชำระล่าช้าไปบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ขณะนี้อัตราการ เพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอลจากสินเชื่อบ้าน ไม่ได้เพิ่มขึ้นจนผิดปกติ

แหล่งข่าวจากธนาคารธนชาตเปิดเผยว่า เท่าที่ประเมินตัวเลขการเป็นหนี้เสียนั้น ยอมรับว่าสินเชื่อรถยนต์และบ้านมีสัดส่วนการผิดนัดชำระมากขึ้น เนื่องจากรายได้ส่วนบุคคลจำกัดแต่รายจ่ายสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจที่ ซบเซา หลายรายยอมเสียประวัติเครดิตและยอมจ่ายค่าปรับแต่ยังชำระอยู่ เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในปีหน้า

นายรุ่งโรจน์ จรัสวิจิตรกุล หัวหน้าบริหารการขายทางกรุงเทพสายสินเชื่อรายย่อย ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า หากเจ้าหนี้มุ่งแต่ปล่อยสินเชื่ออย่างเดียว โดยไม่ดูหรือวิเคราะห์ความสามารถที่แท้จริงของลูกหนี้ ก็อาจกลายเป็นหนี้เอ็นพีแอล
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 890&ch=227

news24/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 24, 2007 6:50 pm
โดย chartchai madman
แบงก์พาณิชย์ดิ้นหนีตายดึงต่างชาติถือหุ้น-เร่งเพิ่มทุนรับกฎเหล็ก

24 กันยายน พ.ศ. 2550 06:55:00

ภาพการหนีตายของธนาคารพาณิชย์ในปีนี้เห็นได้ชัดเจน จากความพยายามเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์หลายต่อหลายแห่ง ตั้งแต่ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ไล่ขึ้นมาถึงขนาดกลาง ส่วนแบงก์ใหญ่ ยังอยู่รอดได้หายห่วง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดีลแรกที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนและมีความก้าวหน้าในการทำธุรกิจมากที่สุด ต้องยกนิ้วให้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่ได้พันธมิตรสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอย่างจีอี แคปปิตอล เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งจนล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา จีอีได้เพิ่มทุนก้อนสุดท้ายเข้ามาอีก 2.6 พันล้านบาท และมีสัดส่วนการถือหุ้นคิดเป็น 34.92%

 ที่ต้องยกนิ้วให้กับความรวดเร็วในการดำเนินการก็เพราะหลังจากดีลของธนาคารกรุงศรีอยุธยาแล้ว ยังมีดีลการเพิ่มทุนอีกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นธนาคารทหารไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารไทยธนาคาร และล่าสุดการขายหุ้นของธนาคารกรุงเทพที่ถืออยู่ในธนาคารสินเอเซีย แต่ยังไม่มีดีลไหนที่จบลงได้อีกเลย!!!

อุปสรรคของการเพิ่มทุนโดยปกติแล้ว อาจจะมาจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ความไม่ชัดเจนทางการเมือง อำนาจในการบริหารงาน ภายหลังการถือหุ้น หรือแนวโน้มผลตอบแทนในรูปกำไรจากการลงทุน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนมีผลต่อดีลการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งในขณะนี้ จึงต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

สำหรับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปีนี้ ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ขาดสารหล่อลื่น ฟันเฟืองต่างๆ ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ กระทบต่อผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ ทั้งในรูปผลกำไร อัตราการขยายตัวของสินทรัพย์ จนกระทั่งหนี้เน่า ทั้งหนี้ใหม่และหนี้เก่าที่ไปไม่รอดย้อนกลับมาซบอกแบงก์อีกรอบ แต่ภาวะเรือเกลือเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความกดดันทางการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาล้อมกรอบธนาคารพาณิชย์ที่ต้องหืดขึ้นคอซ้ำสอง

กฎเกณฑ์ที่กดดันให้เกิดการเพิ่มทุนแล้วเสร็จภายในปีนี้ คงหนีไม่พ้นเกณฑ์การตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีสากลหรือไอเอเอส 39 มาตรฐานการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บาเซิล 2) ที่จะเริ่มใช้ในปี 2551 และการจัดชั้นหนี้เชิงคุณภาพที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องตั้งสำรองหนี้จัดชั้นให้ครบ 100% ภายในสิ้นปีนี้ นั่นหมายถึงการใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลเพื่อตั้งสำรองให้ได้ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด

ผลลัพธ์คือการเรียกหาความช่วยเหลือจากผู้ถือหุ้น และด้วยโจทย์ที่ต้องเพิ่มทุนให้สำเร็จภายในปีนี้ จึงเห็นความพยายามวิ่งจนขาแทบขวิดของเหล่าแม่ทัพนายพลและเถ้าแก่ของธนาคารพาณิชย์แต่ละราย ในการเข้าออกประตูวังบางขุนพรหมและประตูรั้วกระทรวงการคลัง ด้วยหวังว่าจะสามารถเจรจาผ่อนผันและต่อรองเงื่อนไขต่างๆ ที่ล็อกคอตัวเองอยู่

ธนาคารทหารไทยและธนาคารไทยธนาคารเป็นตัวอย่างของธนาคารพาณิชย์ ที่ต้องเร่งเพิ่มทุนให้ได้เพื่อเสริมเงินกองทุนไม่ให้ต่ำกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด เพราะนั่นอาจจะหมายถึงการเข้าแทรกแซงกิจการจากธปท.ได้ ในขณะนี้ธนาคารไทยธนาคารอยู่ระหว่างการรอเม็ดเงินเพิ่มทุนรอบที่ 2 จากกลุ่มทีพีจี นิวบริดจ์อีกจำนวน 7 พันล้านบาท เพื่อเสริมเงินกองทุนให้อยู่ที่ 14% จากปัจจุบันอยู่ที่ 9.17% แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทำให้การเพิ่มทุนรอบนี้อาจจะไม่เป็นไปตามที่กำหนดได้

ส่วนธนาคารทหารไทยเมื่อธนาคารดีบีเอสสิงคโปร์ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะไม่เพิ่มทุนให้ในครั้งนี้ จะต้องหาพันธมิตรรายใหม่เข้ามา นั่นก็คือไอเอ็นจีกรุ๊ป ซึ่งจะต้องรอคำตอบจากกระทรวงการคลังที่อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 30% และฐานะเจ้ากระทรวงจะตัดสินใจอย่างไร

เช่นเดียวกับธนาคารสินเอเซีย ที่ธนาคารกรุงเทพต้องขายหุ้นสัดส่วน 19.26% ออกให้หมดภายในสิ้นปีนี้ ตามหลักเกณฑ์ของธปท.เรื่องหนึ่งสถาบันการเงินหนึ่งสถานะ (one presence) แม้ว่าจะมีนักลงทุนที่สนใจเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่างธนาคารซีไอเอ็มบีของประเทศมาเลเซีย และธนาคารอินดัสเตรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า (ICBC) จากประเทศจีนแล้วก็ตาม แต่ยังติดปัญหาว่ากระทรวงการคลังก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เช่นกัน

 ขณะเดียวกันสัดส่วนการถือหุ้นต่างชาติที่มี 21.78% เกือบเต็มเพดานต่างชาติที่มี 25% แล้ว เป็นอีกอุปสรรคที่นักลงทุนรายใหม่ไม่สามารถเข้ามาถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญตามความต้องการได้ เพราะเป็นธนาคารที่มีสถานะแข็งแกร่งจึงขาดเหตุผลที่กระทรวงการคลังจะอนุญาตขยายเพดานการถือหุ้นต่างชาติได้

นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนต้องการสัดส่วนการถือหุ้นที่มีนัยยะต่ออำนาจในการบริหารกิจการและส่งผ่านนโยบายได้สำเร็จ

 ซึ่งถือเป็นปัญหาเดียวกันกับธนาคารธนชาตที่แม้ว่าจะได้ข้อสรุปจากทางธนาคารโนวาสโกเทียแล้วว่า จะเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 49% แต่ในขณะนี้สามารถถือได้แค่สัดส่วน 24.98% เท่านั้น แต่ความหวังเหล่านี้ ต้องฝากไว้กับ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน หากคลอดออกมาเมื่อไหร่จะเป็นใบเบิกทางให้สามารถขยายเพดานนักลงทุนต่างชาติได้ทันที แต่ทั้งนี้จะทันกับความต้องการเม็ดเงินเพิ่มทุนเพื่อเสริมเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกกำหนดให้แล้วเสร็จไว้ในปีนี้หรือไม่

นอกจากเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ธนาคารพาณิชย์ยังต้องเผชิญกับกฎเกณฑ์อื่นๆ อย่างมาตรฐานการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บาเซิล 2) ที่จะเริ่มใช้ในปี 2551 รวมทั้ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากที่ต้องลุ้นว่าจะประกาศใช้ได้ทันรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ ประเด็นเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่ทางการล้วนมุ่งหวังว่าจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบการเงินไทยก็จริง แต่ช่วงเวลาที่ประกาศใช้เกณฑ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในภาวะบ้านเมืองยังมีปัญหา ความกดดันของธนาคารพาณิชย์คือการปรับตัวให้สอดคล้องมาตรการดังกล่าวและมีผลต่อการดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในระยะจากนี้ไป

นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ให้ความเห็นว่า ณ จุดนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางของระบบธนาคารพาณิชย์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับธนาคารบางแห่ง แต่ในบางแห่ง ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ถึงจะเห็นผลกระทบ อย่างการใช้บาเซิล 2 ในปีหน้าจึงจะบังคับใช้ซึ่งธนาคารก็มีความพร้อม

อย่างไรก็ตามประเทศไทยไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ หากจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจะต้องดูแลให้ดี การสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงไม่ควรผลีผลาม หรือเร็วเกินไป หากเร็วเกินไปก็น่าเป็นห่วง

นายตัน คองคูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เห็นด้วยกับมาตรการของทางการนั้นดีต่อภาคธนาคารโดยรวม เป็นการสร้างสนามแข่งขันที่มีความเท่าเทียมกัน เช่น ธนาคารควรจะต้องเข้มแข็งถ้าทุนไม่พอก็ต้องรู้ตัวเองว่า จะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของเงินกองทุน เพื่อทำให้ตัวเองเข้มแข็งและแข่งขันได้ด้วยความเท่าเทียมกัน ไม่เช่นนั้น ถ้าในภาคธนาคารมีผู้เล่นรายใดอ่อนแออยู่และเกิดปัญหาขึ้นมาก็จะไม่มีปัญหาแค่ตัวผู้เล่นที่อ่อนแอ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมและนักลงทุนที่อยู่ไกลในต่างประเทศเมื่อได้รับข่าวสารว่าผู้เล่นรายใดในภาคธนาคารไทยเกิดปัญหาย่อมกระทบทุกคนในระบบ

"มาตรฐานต่างๆ ที่ออกมาเป็นสิ่งสำคัญช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมแบงก์และสถาบันการเงินต่างๆโดยรวม และทางแบงก์เราได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ อยู่แล้ว ส่วนต้นทุนที่เกิดขึ้นหรือเพิ่มขึ้นเนื่องจากมาตรการทำให้อุตสาหกรรมแข็งแกร่งดีขึ้น ย่อมเป็นต้นทุนที่ธนาคารควรรับและควรทำ เพราะการปรับปรุงกฎระเบียบบางอย่างให้เกิดประสิทธิภาพมาตรฐานแข็งแกร่งขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมแบงก์โดยรวมและตัวเราแข็งแกร่ง ไม่อยากให้มีแบงก์อ่อนแออีก เพราะนอกจากแบงก์อ่อนแอจะแย่แล้ว อาจจะสร้างปัญหาให้กับคนอื่นโดยรวมแย่ตามไปด้วย"

ด้าน ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในส่วนของ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากนั้น อยากฝากให้ทางการคิดให้ทะลุก่อนบังคับใช้ เพราะต้องเผื่อทางออกไว้ด้วย เมื่อมีการบังคับใช้จริง ถ้าบังคับเร็วเกินไปแล้วหากเกิดผลที่ไม่คาดคิดขึ้นมาจะมีทางออกอย่างไร โดยเฉพาะหากเกิดปัญหากับสถาบันการเงินหนึ่งแล้วอาจจะลุกลามไปสถาบันการเงินอื่นได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่ากระทรวงการคลังและธปท.ได้คิดตลอดสายหรือยัง เพราะการประกันเงินฝากในจำนวนจำกัดก็ถือว่าถูกต้อง แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นด้วย เช่น การให้ข้อมูล การทำความเข้าใจระหว่างธนาคารพาณิชย์และผู้ฝาก รวมทั้งต้องมีทางเลือกให้ผู้ฝากด้วย ในเรื่องช่องทางการออมอื่นๆ

อย่างไรก็ตามในเรื่องแผนแม่บททางการเงินฉบับที่ 2 ธปท.ได้ขอตัวแทนจากธนาคารเข้าไปเพื่อดูว่า ยังมีเรื่องใดที่ต้องปรับแก้ไข เพราะวัตถุประสงค์หนึ่งหรือต้องการลดอุปสรรคในการบังคับใช้ให้มากที่สุด แต่ตลาดการเงินอยู่นอกเหนือจาก ธปท. เพราะหลักใหญ่ๆ อยู่ที่กระบวนการยุติธรรม การบังคับคดี และข้อมูลเครดิต ซึ่งธปท.ส่งให้กระทรวงการคลังและกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้พิจารณา

"เรื่องการสร้างมาตรฐานสากลถือเป็นเรื่องที่ดีในปลายทาง แต่ต้องทำเรื่องต้นทางด้วย อย่างไอเอเอส 39 เป็นเรื่องมาตรฐานทางบัญชีเป็นเรื่องปลายทาง แต่เรื่องสำคัญคือเรื่องข้อมูลเครดิตที่มีการเรียกร้องให้เอาออกจากเครดิตบูโร ทั้งที่ในปี 2540 เกิดวิกฤติเพราะระบบธนาคารขาดข้อมูลที่ดี เท่ากับว่าเรากำลังเดินถอยหลังกลับไปหรือเปล่า"

 เขากล่าวว่า ความต้องการผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโร เพื่อปลดล็อกบัญชีดำลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จำนวน 10-15 ล้านราย มูลหนี้รวม 1.76 แสนล้านบาท เพื่อให้ลูกหนี้ดังกล่าวมีสิทธิกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ว่า การปลดล็อกดังกล่าวจะทำให้ธนาคารไม่มีข้อมูลในการตัดสินใจและจะไม่กล้าปล่อยสินเชื่อในที่สุด

"เป็นเรื่องที่อันตรายมาก หากทำให้ระบบเสีย ปกติ ตลาดเครดิตที่สำคัญในการแยกคนที่มีเครดิตและไม่มีเครดิต ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ข้อมูลเหล่านี้หากถูกทำลายจะแยกไม่ออก เพราะมีการทำลายระบบข้อมูล และตลาดจะไม่ทำงาน ตลาดก็พัง เพราะตลาดตัดสินใจได้ยาก การมองข้างเดียวแล้วลบข้อมูลออก แบงก์ก็แยกไม่ได้"

ในขณะที่การสร้างมาตรฐานสากลกำลังเป็นโจทย์จากทางการที่ตอบได้ยากเย็นอยู่แล้ว การปรับตัวของระบบธนาคารพาณิชย์จากนี้ไปขึ้นอยู่กับการวางรากฐานกฎเกณฑ์ที่กำหนดโดยทางการ ดังนั้นระบบธนาคารพาณิชย์ในระยะต่อไปจะแข็งแรงจริงหรือไม่ คำตอบคงไม่สามารถวัดจากความสามารถในการอยู่รอดของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ความเหมาะสมทั้งเงื่อนไขกฎเกณฑ์และระยะเวลาในการบังคับใช้ เป็นกุญแจสำคัญที่จะสร้างระบบสถาบันการเงินให้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินหน้าตามทิศทางที่ต้องการได้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=185287

news24/09/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 24, 2007 7:43 pm
โดย chartchai madman
แนะจับตาเงินทุนไหลเข้าหลังเฟดลดดอกเบี้ย

โดย Post Digital 24 กันยายน 2550 10:39 น.

ประธาน ส.อ.ท.แนะจับตาเงินทุนไหลเข้าในตลาดหุ้น-ส่งออก 3-4 เดือนข้างหน้า หลังเฟดใช้ยาแรงลดดอกเบี้ย 0.50 % แก้ปัญหาซับไพร์ม

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.50% จะทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นให้มีความคึกคักอีกครั้ง ซึ่งต้องจับตาว่าจะมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นระดับไหน แต่มั่นใจธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังจะสามารถดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวระดับเดียวกับภูมิภาค โดยค่าเงินบาทที่ภาคเอกชนอยากเห็น คือ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับตัวเลขการส่งออกเดือนสิงหาคมที่ขยายตัวถึงร้อยละ 17.9 นั้น ไม่ถือว่าเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงมากหากเปรียบเทียบกับตัวเลขส่งออกครึ่งปี 2550 แต่ถ้าเทียบกับเดือนกรกฎาคมขยายตัวร้อยละ 5.9 ถือว่าอยู่ในอัตราที่สูง แต่ตัวเลขเมื่อเดือนกรกฎาคมมีความผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าการส่งออกทั้งปีน่าจะโตร้อยละ 12.5 โดยยังต้องจับตาการส่งออกในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า เนื่องจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ของสหรัฐส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐให้ชะลอตัว และการที่เฟดลดดอกเบี้ย 0.50 %เป็นสัญญาณเตือนให้ต้องระมัดระวังภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=193332