คัดหุ้นเด็ดจาก 11 เซียน ซื้อเก็บช่วง SET ร่วง
เก็บตกงานสัมมนา eFinanceThai.com รวมตัว 11 เซียนวงการหุ้นไทยร่วมคุยหลากประเด็น ส่วนใหย่มองหุ้นไทยช่วงสั้นมีสิทธิร่วง เหตุได้รับแรงกดดันจากแรงขายของต่างชาติ จากปัจจัยปัญหาตลาดซับไพร์มของสหรัฐฯ - Yen Carry Trade รอบนี้มีโอกาสดิ่งลึก 750-700 จุด
แนะให้ใช้เป็นจังหวะเก็บหุ้น แบ่ง 3 กลุ่มลงทุนตามใจชอบ หุ้นพื้นฐานดีแนะ EGCO-TSTH-TISCO-PTTCH-RATCH หุ้นเสี่ยงสูงต้องเล่น TVO-TK-BTC-TWP ส่วนหุ้นเก็งกำไรต้องลุย UKEM-ASCON-PRIN-EMC-W1-MCS-EWC แถมด้วยตัวอื่นอีกเพียบ
หลายคนคงอิ่มเอมใจกับงานสัมมนาของ eFinanceThai.com ประจำไตรมาส 3/50 ที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลายคนที่ไปร่วมงานนี้คงได้หุ้นเด็ดจากบรรดาเซียนในวงการกลับบ้านและซื้อเข้าพอร์เรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้ที่พลาดไม่ต้องเสียใจ เพราะเราได้ไปตามเก็บคำบอกเล่าของนักวิเคราะหืชั้นครูทั้ง 11 ท่านมาฝาก ซึ่งในช่วงเช้านั้นเป็นการพูดคุยถึงภาพรวมตลาดหุ้น กูรูส่วนใหญ่ยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นๆมีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาเรื่อย เนื่องจากได้รับปัจจัยกดดันจากปัญหาตลาดซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา และ Yen Carry Trade ของญี่ปุ่น มองเลวร้ายที่สุดมีสิทธิ์ลงไปลึกที่ 750-700 จุด และการเลือกตั้งจะเป็นตัวชี้ชะตาว่าตลาดหุ้นจะขึ้นลงได้ถึง 200 จุด
ส่วน 5 เซียนเทคนิค แบ่งกลยุทธ์เล่นเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ หุ้นพื้นฐานดีถือได้ยาวหน่อย แนะ EGCO-TSTH-TISCO-PTTCH-RATCH-KBANK และตัวอื่นๆอีกมากมาย กลุ่มสอง คือ หุ้นที่มีความเสี่ยงสูง แนะ TVO-TK-BTC-TWP แถมตัวอื่นอีกเพียบ กลุ่มสุดท้ายเป็นหุ้นเก็งกำไร แนะ UKEM-ASCON-PRIN-EMC-W-MCS-EWC-AMC-W1 และตัวอื่นๆ
****บล.นครหลวงไทย ประเมิน SET Index ครึ่งหลังปีนี้อยู่ที่ 800-936 จุด ชู ADVANC- STEC-SATTEL
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังปี 2550 มีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวน แต่บรรยากาศการลงทุนจะเริ่มดีขึ้นในช่วงปลายปี เพราะเชื่อว่านักลงทุนคงจะเข้ามาเล่นหุ้นเพื่อรอรับข่าวการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
ส่วน SET Index ปีนี้ประเมินไว้ที่ 800-936 จุด โดยแนะนำให้นักลงทุนเลือกซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น กลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะต้องเลือกลงทุนในระยะยาวๆ เพราะหุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังคงมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ผลตอบแทนในเกณฑ์ดี
'ใน Q3/50 ดัชนีฯ มีโอกาสปรับลดลง ซึ่งจะตรงกันข้ามกับช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งปัจจัยที่เข้ามากระทบด้วย เพราะใน Q3/50 นี้ปัจจัยภายนอกประเทศจะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมาก โดยเฉพาะเรื่องซับไพร์ม ซึ่งมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่Q4/50 จะดีขึ้นเพราะจะได้รับปัจจัยบวกจากภายในประเทศสนับสนุน อีกอย่าง P/E ตลาดหุ้นไทยยังคงถูกก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่ดึงดูดนักลงทุนได้' นายสุกิจ กล่าว
นอกจากนี้ ถ้าหากประเมินหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่ยังคงน่าสนใจ มีความคิดเห็นว่าหุ้นของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) บริษัท
ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) (STEC) บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) (SATTEL) มีความโดดเด่นและน่าลงทุนมากที่สุด เนื่องจากหุ้นดังกล่าวแนวโน้มการดำเนินธุรกิจยังคงมีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะ ADVANC ซึ่งมีความได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจสื่อสาร เนื่องจากครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด รวมทั้งยังมีรายได้จากค่าคอนเน็คชั่นชาร์จค่อนข้างมาก และมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ซึ่งน่าจะจ่ายเงินปันผลได้ไม่ต่ำกว่า 6 บาท/หุ้น ส่วนราคาเป้าหมายให้ไว้ที่ 100 บาท/หุ้น
ด้าน STEC ถึงแม้ว่าในอดีตจะมีปัจจัยลบจากการทำงานที่สนามบินสุวรรณภูมิเข้ามากระทบ แต่ปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันยังคงมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างในอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญงานด้านวิศวกรเป็นอย่างดี รวมทั้งการรับงานยังคงมีมาร์จิ้นที่สูงอีกด้วย
'ตามปัจจัยพื้นฐานของ STEC ไม่ได้เลวร้าย แต่จะมีปัจจัยเสี่ยงจากอดีต หลังจากที่เข้าไปรับงานที่สุวรรณภูมิ ซึ่งเรื่องนี้แก้ไขยังไม่จบ แต่ STEC การรับงานมาร์จิ้นที่ดีเป็นผู้เชี่ยวชาญงานก่อสร้างโรงกลั่น โรงไฟฟ้า ก็ถือได้ว่ายังคงน่าสนใจ' นายสุกิจ กล่าว
ในขณะที่ SATTEL หลังจากที่มีการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย ซึ่งที่ผ่านมาก็จะทำให้ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น แต่แนวโน้มของกำไรยังคงไม่ดีนัก เพราะการให้เช่าสัญญาณดาวเทียมยังขยายตัวช้า แต่หาก SATTEL สามารถเจรจากับลูกค้าจากประเทศจีนและอินเดียได้ก็จะเป็นปัจจัยบวกสำหรับ SATTEL ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีขึ้นในอนาคต ประเมินว่าคงจะไม่มีภาพความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับบริษัทจดทะเบียนอย่างชัดเจน เนื่องจากบทเรียนในอดีตคงจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ได้รับจากการเข้าไปแทรกแซงบจ.รวมทั้งบทเรียนต่างๆ ที่เกิดขึ้นคงจะเป็นตัวอย่างให้กับรัฐบาลชุดใหม่ได้
นอกจากนี้ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) (ITV) นับได้ว่าเป็นอนุสรณ์ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดใหม่
'คิดว่าในเรื่องของความสัมพันธ์ที่ชัดเจน อาจจะไม่เห็นเพราะบทเรียนที่ผ่านมาน่าจะเป็นตัวที่บอกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต หลังจากเป็นบทเรียนแล้วคงคิดว่าไม่กล้าทำเหมือนรัฐบาลชุดที่ผ่านมา และเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ความสัมพันธ์เกี่ยวกับหุ้นคงไม่ชัดเจนเหมือนรัฐบาลชุดก่อน' นายสุกิจ กล่าว
****บล.พัฒนสิน ฟันธง! หุ้นไทยจะพักฐาน 2-3 สัปดาห์ แนะลุยพลังงาน แบงก์ ไฟฟ้า เมื่อดัชนีฯต่ำกว่า 800 จุด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.พัฒนสิน เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ว่า เคลื่อนไหวไปตามเรื่อง Yen Carry Trade หรือ การเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยมองว่าค่าเงินเยนจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 116 เยนต่อดอลลาร์ และจะกลับมาอยู่ระดับที่เหมาะสม 120-122 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐแต่หากปรับลงไปต่ำกว่า 114 เยน ให้นักลงทุนในระยะสั้นชะลอการซื้อขายหลักทรัพย์ออกไปก่อนเพื่อรอความชัดเจน
โดยในระยะสั้นมองว่าหุ้นไทยขณะนี้ยังอ้างอิงกับแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ มีโอกาสที่จะลงไปที่ระดับ 800-780 จุดอีกครั้ง สำหรับปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยมาจากเรื่องการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนและอัตราการเติบโตของตลาดหุ้นที่ยังช้ากว่าตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
ส่วนปัจจัยบวกมาจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่น่าจะโต 4% - 5% ส่วนเรื่องตลาดซับไพร์มสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายกังวลมองว่าจะกระทบจีพีดีไทยเพียง 0.4% โดยมองต่อจากนี้หากตลาดฯกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้น ดัชนีฯ มีโอกาสแตะระดับที่ 1000 จุดเพราะแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศยังมีเข้ามาและเชื่อว่าหากความกังวลของตลาดซับไพร์มสหรัฐฯ หยุดลงหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นได้
นอกจากนี้ มองว่าจากนี้ ดัชนีฯจะมีการพักฐานประมาณ 2-3 สัปดาห์โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ควรรอให้ดัชนีฯ ต่ำกว่า 800 จุด แล้วเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานกับธนาคาร โดยเน้นกลุ่มพลังงานเป็นหลัก อย่าง PTT -TOP -RRC โดยในกรณีของ RRC กับ ATC นั้นให้เลือกลงทุนเพราะต่อไปในอนาคตจะมีการควบรวมกัน
อย่างไรก็ดี ยังมีหุ้นอีกหลายตัวที่น่าสนใจ อย่าง IRP โดยมองว่าปีนี้บริษัทจะโต 30-40% หุ้นไฟฟ้า อย่าง EGCO -RATCH เพราะได้รับประโยชน์จากการประมูลโรงไฟฟ้าในปีนี้ ส่วนหุ้นธนาคาร เหมาะแก่การลงทุนในระยะยาวเพราะเชื่อว่าปีหน้าจะกลับมาดีอีกครั้ง กลุ่มเรือที่น่าสนใจ คือ TTA กับ PSL โดยให้ติดตามค่าระวางเรือกับจำนวนเรือของแต่ละบริษัทเป็นหลัก โดยกลยุทธ์การลงทุนให้ลงทุนแบบเก็งกำไร เพราะราคาปรับขึ้นมาสูงแล้ว หุ้นหลักทรัพย์ที่น่าสนใจ คือ BLS- KEST โดยแนะนำให้เข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
****SYRUS มองสิ้นปี SET INDEX แตะ 875 จุด ระบุตลาดซับไพร์ม-แครี่เทรด ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
นางสาวสิรินัฏฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน) SYRUS เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยขณะนี้ กำลังอยู่ในช่วงการปรับฐาน โดยมองปีนี้ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นมาถึงระดับ 875 จุด ส่วนปีหน้าดัชนีฯ มีโอกาสไปถึง 960 จุด โดยปัจจัยบวกที่จะมาสนับสนุน คือ ดุลการค้าของจีนและนโยบายดูแล ค่าเงินหยวน ที่ไม่ต้องการให้แข็งค่าเกินไปจึงต้องระบายเงินออกนอกประเทศ เช่นเดียวกับญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ อัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในเอเชียที่ยังสูงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกันโดยเชื่อว่าปัจจัยเรื่องYen Carry Trade ไม่ได้กดดันตลาดหุ้นไทยมากนัก ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าดัชนีฯตลาดหุ้นไทย จะปรับฐานอีกนานแค่ไหนแต่มองว่าในสัปดาห์หน้าดัชนีฯ ยังพักฐานต่อ โดยมองแนวรับดัชนีฯ อยู่ที่ 812 จุด โดยปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทย คือ การเมืองเพราะสังเกตได้จากหลังจากศาลตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย ดัชนีฯปรับตัวดีขึ้นมาตลอดซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ได้ว่าตลาดหุ้นไทยยังผูกพันกับการเมือง
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ แรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศการลงประชามติวันที่ 19 ส.ค. 2550 โดยมองว่าหากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นโครงการเมกะโปรเจ็ก จะมีอย่างแน่นอนและการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) 23-24 ส.ค. นี้
ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ มองว่า จะไม่ปรับตัวลงรุนแรงเพราะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ และการจ้างงานยังอยู่ในเกณฑ์ดีส่วนความกังวลเรื่องตลาดซับไพร์ม เชื่อว่าทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะใช้นโยบายลดดอกเบี้ยเข้ามากระตุ้นให้ฟื้นตัว
โดยแนะนำหลักทรัพย์ที่น่าสนใจในช่วงนี้ คือ RRC กับ ATC โดยเน้นให้ลงทุนในตัว RRC เพราะเมื่อเปรียบเทียบราคาทั้งสองตัวแล้ว ATC จะต้องสูงกว่า RRC 2.95 เท่า โดยขณะนี้ RRC อยู่ที่ 24.40 บาทต่ำกว่าราคาเปรียบเทียบคือ 25.25 บาท แต่ปัจจัยเสี่ยงของ RRC คือ เรื่องเวลาเพราะต้องรอถึงช่วงปลายปีจะได้ข้อสรุปการควบรวมของทั้งสองบริษัทอย่างเป็นทางการโดยประเมินราคาพื้นฐานของ ATC ไว้ที่ 81 บาท RRC 27.50 บาทและหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่น่าสนใจ คือ RATCHเพราะจะได้ประโยชน์จากการประมูลโรงไฟฟ้า โดยคาดว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นอีก 3บาท หรือ 6.2% เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน โดยประเมินราคาพื้นฐานของRATCH ไว้ที่ 52 บาท
นอกจากนี้ ยังมี ROJANA ที่มองเป็นหุ้นเด่นเพราะมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการอีโคคาร์ ที่ทางบริษัท ฮอนด้า จะเข้ามารุกตลาดรถขนาดเล็กในไทยอย่างเต็มตัวและจะใช้พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวโดยประเมินราคาพื้นฐานของ ROJANA ไว้ที่ 18 บาท
ส่วนหุ้นเด่นตัวสุดท้าย ที่แนะนำคือ TCAPเพราะที่ผ่านมาผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดี นอกจากนี้ยังมีกำไรจากการขาย TBANKให้กับ ธนาคารโนวาสโกเทีย และมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลมาโดยตลอดโดยประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 22 บาท
****บล.เกียรตินาคิน ชี้หุ้นไทยยังผันผวน ด้านกิมเอ็ง ระบุการเลือกตั้งจะชี้ชะตาตลาดหุ้นเดือนพ.ย.มีสิทธิขึ้น-ลง 200 จุด
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวถึงแนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยว่า ตลาดหุ้นไทยจะยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทำให้ตลาดไทยยังอึมครึมและยังมีความผันผวนตามตลาดหุ้นในภูมิภาค และส่งผลให้ในสัปดาห์หน้า ตลาดฯยังคงอยู่ในช่วงปรับฐาน จากความกังวลใน 2 เรื่อง คือ ปัญหาสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ปล่อยให้แก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ของสหรัฐอมเริกา (ซับไพรม์)
รวมถึงความกังวลที่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะเป็นแรงดึงดูดให้นักลงทุนที่เคยกู้เงินเยนจากญี่ปุ่นไปลงทุนรีบนำเงินเยนมาชำระหนี้เร็วขึ้น (Yen Carry Trade ) อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้มองว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย คือ ปัจจัยทางการเมือง โดยเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวจากการที่ไทยจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปี ซึ่งหากเศรษฐกิจดีก็จะสะท้อนมายังตลาดหุ้นให้ปรับตัวดีขึ้นด้วย
ส่วนหุ้นที่บริษัทแนะนำได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาทิ BBL- KBANK- SCB- BAY รวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้ง อาทิ BEC - MCOT ส่วนหุ้นสื่อสารจะมี
ADVANC -DTAC-TRUE สำหรับกลุ่มยานยนต์จะเป็น AH-STANLY กลุ่มขนส่งจะเป็น BABF -THAI-AOT กลุ่มโรงไฟฟ้าจะมี EGCO-RATH ส่วนกลุ่มพลังงานจะมี TOP-TPILP-ATC-RRC-IRPC
ด้านนายพงษ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ KEST กล่าวว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ นักลงทุนควรจะเล่นหุ้นไปตามภาวะตลาดฯ ในลักษณะลงซื้อ-ขึ้นขาย ดังนั้นถึงแม้ว่าต่างชาติจะเทขายก็ไม่ควรจะตื่นตระหนก โดยการตัดสินใจซื้อขายให้พิจารณาจากราคาหุ้นเป็นหลักว่าควรจะเข้าซื้อ-ขายหรือไม่
ทั้งนี้ ประเด็นที่น่าสนใจ จะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เพราะจะเป็นช่วงการเลือกตั้ง และคาดว่าจะมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นได้อีก 200 จุด หรืออาจปรับลดลงได้อีก 200 จุด หากเป็นพรรคอื่นที่ประชาชนไม่ยอมรับ
สำหรับหุ้นที่แนะนำได้แก่ THAI-DTAC-RATCH ซึ่งหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ไม่ได้มีพื้นฐานโดดเด่นเป็นที่หนึ่ง แต่อาจอยู่ในอันดับรองลงมา มีนักลงทุนคาดหวังน้อย และราคาหุ้นมีโอกาสขึ้นหรือลงได้ แต่มองว่าโอกาสขึ้นมีสูงกว่า โดยเฉพาะ THAI บริษัทมองว่ามีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 50-60 บาทได้
****บล.ธนชาต พยากรณ์หุ้นไทยมีสิทธิ์ดิ่งลึก 750-700 จุด
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต เปิดเผยว่า SET INDEX ในครึ่งปีหลัง ของปี 2550 มีโอกาสปรับตัวลดลง เนื่องจากมองว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ จะเริ่มไหลออกจากตลาดหุ้นไทย หลังจากที่กระแสเงินลงทุนมีเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างหนาแน่นและต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรกของปี ตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค.-26 ก.ค.2550 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิไปกว่า 136,000 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2549 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 120,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิไปมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา จึงอาจมีการโยกย้ายไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่มีความน่าลงทุนมากกว่า โดยเฉพาะในตลาดหุ้นจีน ซึ่งถือว่ามีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังไม่มีปัญหาความผันผวนของค่าเงินมากนัก ซึ่งหากมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาดหุ้นไทยเมื่อใด ก็จะส่งผลกระทบให้ดัชนีฯปรับลงไปแรง เนื่องจากไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีมาช่วยพยุง โดยมองว่าดัชนีมีโอกาสมีโอกาสดิ่งลงไปลึกถึง 750-700 จุดได้
'ให้สังเกตุในประเด็นที่ว่าที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับตัวขึ้นช้า และถือว่าปรับขึ้นในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย ที่ดิ้งห่างดัชนีตลาดหุ้นไทยกว่า 1,000 จุด ซึ่งก็มาจาก ภาวะการณ์ในประเทศไทย ทั้งด้านปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองที่ไม่นิ่ง และภาวะเศรษฐกิจขยายตัวในระดับต่ำ ซึ่งเห็นได้ชัดจากการเติบโตของกำไรของ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่ออกมาไม่ดีนัก เช่น RRC ที่อัตรากำไรออกมาไม่ดีเท่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทั้งที่น่าจะได้รับผลดีจากค่าการกลั่นที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง'นายแสงธรรม กล่าว
ทั้งนี้ นักลงทุนควรจะรอซื้อหุ้นเมื่อดัชนีฯปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 750 จุด เนื่องจากเป็นจังหวะที่ดี ที่จะได้ซื้อหุ้นที่มีราคาถูกและปัจจัยพื้นฐานดี นอกจากนี้ หากนักลงทุนจะรอให้ดัชนีฯปรับตัวขึ้น คงจะมีโอกาสเป็นไปได้น้อย เนื่องจากมองว่าดัชนีฯหุ้นไทยได้ปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดแล้วที่ 895 จุด ดังนั้น หลังจากนี้ อาจต้องจับตาดูว่าดัชนีฯจะปรับตัวลดลงไปลึกเพียงใด
***บล.ฟาร์อีสท์ ชี้ PS-LIVE -BLS ยังน่าสน เหตุเทคนิคแจ่ม ราคาเป็นขาขึ้น
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ เปิดเผยว่า ขณะนี้นักลงทุนยังคงกังวลกับตลาดซับไพร์มสหรัฐฯ รวมไปถึงภาวะเยน แครี่ เทรด ซึ่งคาดว่าจะมีความเป็นไปได้สูงที่ทางธนาคารกลางญี่ปุ่นจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น เพราะที่ผ่านมาค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นมาก จาก 124 เยนต่อดอลลาร์ จนล่าสุดมาอยู่ที่ 118 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิออกจากตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้
โดยคาดว่าสัปดาห์นี้ ประเมินแนวรับไว้ที่ 820 จุด และมีโอกาสที่จะรีบาวน์ได้ โดยปลายปีนี้ดัชนีฯมีโอกาสรีบาวน์ขึ้นไปแตะที่ระดับ 940 จุด
อย่างไรก็ตาม ได้มองหลักทรัพย์ที่น่าสนใจในช่วงนี้ คือ TISCO เพราะมองว่าตัวบริษัทมีการลงทุนที่หลากหลาย โดยมองแนวต้านไว้ที่ 28.75 บาท และ ATC แนะนำให้หาจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ส่วนหุ้นระยะกลางแนะนำ PTTCH มองแนวต้านไว้ที่ 125 บาท แนวรับ 105 บาท, PS แนะให้เล่นเก็งกำไร แนวต้านที่ 8.50 บาท แนวรับที่ 7.65-7.60 บาท หุ้นหลักทรัพย์ BLS มองแนวต้านที่ 26.50-28 บาท ส่วนแนวรับที่ 23 บาท
ด้านหุ้นเก็งกำไร แนะนำ LIVE แนวต้านที่ 4.80 บาท และ EMC แนวต้านที่ 4.08 บาท แนะนำควรเข้าลงทุนในสัปดาห์นี้เท่านั้น
***บล.เอเซียพลัส แนะหุ้นเด็ดน่าเก็บเข้าพอร์ต EGCO THAI BROCK EMC-W1 และ UKEM เหตุสตอรี่น่าสนใจ
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า หุ้นที่น่าสนใจและเหมาะสำหรับการลงทุน ประกอบด้วย บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด
(มหาชน) (EGCO) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) บริษัท บ้านร็อคการ์เด้น จำกัด (มหาชน) (BROCK) บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) (EMC-W1) และ บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน) (UKEM)
โดย EGCO ถือได้ว่าเป็นหุ้นพื้นฐานที่มีความปลอดภัยและมีรายได้จากโรงไฟฟ้า BLCP1, 2 รวมทั้งน้ำเทิน 2 เข้ามาสนับสนุนด้วย โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 140 บาท และให้แนวรับไว้ที่ 117 บาท ให้แนวต้านไว้ที่ 125 บาท
ด้าน THAI ประเมินว่า Q3/50-Q4/50 จะเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮด์ซีซั่นของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่ง THAI คงจะได้รับอานิสงส์จึงเหมาะสำหรับการลงทุน โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 53.30 บาท และให้แนวรับไว้ที่ 46 บาท ให้แนวต้านไว้ที่ 48 บาท
นอกจากนี้ หุ้นที่เหมาะสำหรับลงทุนในระยะปานกลางคือ BROCK เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง มีมาร์จิ้นสูงที่สุดในกลุ่ม โดยมีมาร์จิ้นอยู่ที่ 33% นอกจากนี้ในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยให้แนวรับทางเทคนิคไว้ที่ 1.30 บาท ให้แนวต้านไว้ที่ 1.50 บาท ส่วนราคาเป้าหมายไว้ที่ 1.68 บาท
สำหรับ หุ้นที่เหมาะเล่นเก็งกำไรคือ EMC-W1 โดยให้แนวรับไว้ที่ 2.80 บาท ให้แนวต้านไว้ที่ 3 บาท ให้แนวต้านไว้ที่ 3.30 บาท และมีจุดตัดขาดทุนอยู่ที่ 2.70 บาท ส่วน UKEM เป็นหุ้นเก็งกำไรที่น่าสนใจ เพราะตามสัญญาณทางเทคนิคราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะไปได้ต่อ โดยให้แนวรับไว้ที่ 1.90 บาท แนวต้าน 2.10 บาท แนวต้านถัดไป 2.40 บาท และมีจุดตัดขาดทุนอยู่ที่ 1.80 บาท
นายภูวดล กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังปีนี้น่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัว ซึ่งมีโอกาสจะปรับลดลงมาแตะแนวรับที่ 800 จุด หลังจากที่ผ่านมาดัชนีฯ ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากแล้ว รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติยังเป็นฝ่ายขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง
***บล.บัวหลวง เชื่อแม้ซัพไพรม์ยังไม่ใช่วิกฤติแต่หุ้นไทยยังไร้ปัจจัยบวกจึงจะลงต่อ แนะลดความเสี่ยงลงทุนไม่เกิน 20%
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ภาพรวมทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในระยะนี้ยังจะได้รับผลกดดันจากต่างประเทศเป็น สำคัญซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยจะยังไม่พื้นตัวอย่างชัดเจนโดยเฉพาะจากปัญหาเรื่องสินเชื่อสำหรับผู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำหรือที่เรียกกันว่าซัพไพรม์
อย่างไรก็ตามประเมินว่าเรื่องซัพไพรม์นี้ในความเป็นจริงยังไม่ได้รุนแรงมาก เพราะในประเทศสหรัฐอเมริกาสินเชื่อสำหรับผู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำมีเพียง 20%ของยอดสินเชื่อทั้งระบบ และจาก20%นี้มีเพียง 10% ที่เป็นหนี้เสียโดยเทียบได้เพียง 2-3% เท่านั้น ของหนี้เสียในประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้นสิ่งที่จะกระทบประเทศไทยนอกเหนือจากผลประกอบการของธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะเกิดขึ้นในทางอ้อมมากกว่าทางตรงโดยเป็นเรื่องค่าเงินบาทที่จะแข็งขึ้น
อย่างไรก็ตามในภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังถือว่าได้รับรู้ปัจจัยบวกไปหมดแล้ว เว้นแต่ในระยะสั้นอาจจะปรับขึ้นได้บ้างจากการที่ 21-22 สิงหาคมจะมีสินค้าในตลาดหุ้นตัวใหม่คือ ETF ที่จะกระตุ้นในทางจิตวิทยาการลงทุนได้
ทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุนควรลดสัดสวนการลงทุนในหุ้นก่อนโดยในช่วงนี้ลงทุนในพันธบัตรเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 2.9% แต่มีความเสี่ยงต่ำมาก หรืออาจจะไม่ลงทุนเลยก็ได้
โดยแนะนำให้ลงทุนได้ไม่เกิน 20%ของวงเงินทั้งหมดที่มีเว้นแต่หุ้นที่พื้นฐานดีมากๆและพร้อมจะถือในระยะยาวจริงๆ
สำหรับหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนแบ่งเป็น 3 ประเภทได้แก่ 1.หุ้นพื้นฐานดีลงทุนระยะยาว 2.หุ้นน่าสนใจมีความเสี่ยงไม่สูงมาก 3.หุ้นเก็งกำไรต้องระมัดระวังสูงดังนี้
1.หุ้นพื้นฐานดีลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 2-3 เดือน หรือมากกว่านั้น เช่น บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือTSTH ให้ซื้อเก็บรอรับการขยายตัวของกิจการในอนาคต ให้ถือยาวระยะ 2 ปีเพราะราคาหุ้นจะไม่ปรับขึ้นเร็ว แต่ในเชิงพื้นฐานแทบไม่มีความเสี่ยงเลย,บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC ให้ซื้อเก็บ ถือไว้ 6-9 เดือน เพราะในอนาคตผลประกอบการจะได้รับผลดีจากกการเป็นผู้วางท่อแก๊สให้ปตท. ส่วนบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP และ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ก็มีแนวโน้มที่จะมีผลประกอบการในระยะยาวดีกว่าปัจจุบันมากเช่นกันแต่เรื่องราคาเป้าหมายในระยะสั้นอาจยังไม่สามารถสรุปได้
2.หุ้นน่าสนใจมีความเสี่ยงไม่สูงมากเช่น บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO ที่ในด้านพื้นฐานจะได้รับผลดีจากความต้องการถั่วเหลืองในจีนที่จะมากขึ้น และปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองในสหรัฐฯที่ลดลงให้ราคาที่เหมาะสม 16 บาท คาดหวังอัตราปันผล 8% ของราคาหุ้น และ บริษัทฐิติกร จำกัด (มหาชน)หรือ TK ที่มีมูลค่าทางบัญชีต่ำเพียง 0.9 เท่าจากที่ควรจะซื้อ-ขายอยู่ที่ 1.5 เท่า เพราะสามารถขยายธุรกิจเช่าซื้อจักรยานยนต์ได้มากจากคู่แข่งที่ลดลง ให้ราคาที่เหมาะสม 9 บาท
3.หุ้นเก็งกำไร ถ้าภายใน 1 สัปดาห์ไม่ปรับขึ้นหรือได้กำไรควรขายตัดขาดทุนทันที ดังนี้ บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON ให้ราคาที่เป้าหมายที่แนวต้าน 9 บาท ราคาพื้นฐานที่ 10 บาท และ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN ให้ราคาที่เป้าหมายที่ 5.40 บาท
***ASL แนะเก็บ PTTCH-RATCH-SPALI-TSTH-BTC-MCS
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซันเปิดเผยว่า ภาพรวมทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในสัปดาห์นี้ยังมีโอกาสปรับฐานต่อและจะเป็นการปรับลงแรงอย่างชัดเจนไปทดสอบที่ 820 จุดได้ ซึ่งหากหลุดบริเวณนี้ไปก็อาจปรับลงต่อได้อีก ส่วนในระยะยาวประมาณ 2 เดือนตามสัญญาณทางเทคนิคมีโอกาสปรับลงถึงบริเวณ 800 จุดโดยอาจสูงหรือต่ำกว่านี้ได้ 10 จุด ทั้งนี้เป็นเพราะปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะการเมืองจะมีประเด็นที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายหลังแกนนำ นปก.มีแนวโน้มว่าจะประกันตัวออกมาเพิ่มอีกหลายคน
ด้านค่าเงินบาทของไทยก็เป็นอีกปัจจัยที่เอื้อต่อการขายหุ้นทำกำไรสำหรับนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากกลไกของค่าเงินนั้น เงินบาทมีการแข็งค่ามากแล้ว จึงมีสัญญาณอ่อนตัวลงตามปกติ แต่รัฐบาลก็ยังให้น้ำหนักและมีการวางมาตรการต่างๆออกมาช่วยเหลืออีกทางดังนั้นถ้านักลงทุนต่างชาติขายหุ้นในระยะนี้ก่อนที่ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวก็ย่อมจะได้ผลตอบแทนในรูปเงินเหรียญสหรัฐมากที่สุด
ส่วนปัจจัยจากนอกประเทศที่มีความสำคัญคือลักษณะแรงขายที่ต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติก็ยังแสดงให้เห็นว่านโยบายการลงทุนของเหล่ากองทุนเก็งกำไรจากต่างประเทศจะยังไม่มีการเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่มแต่เป็นการชะลอพอร์ต ป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาซัพพรามอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงค่าเงินที่อ่อนลงหากเทียบกับประเทศอื่นๆทั่วโลกทำให้กองทุนหรือสถาบันการเงินที่กู้เงินจากประเทศญี่ปุ่นที่เคยให้ผลตอบแทนสูงเพราะ(Yen Carry Trade)มีดอกเบี้ยต่ำหรือแทบไม่มีต้นทุนต้องกันเงินไว้ส่วนหนึ่งโดยการขายหุ้นออกมาเนื่องจากผลตอบแทนที่ได้อาจจะไม่คุ้มกับความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของค่าเงินซึ่งประเมินว่าหากค่าเงินเยนลดลงต่ำกว่า 117เยนต่อเหรียญสหรัฐก็จะเป็นผลให้นักลงทุนทั้วโลกที่กู้เงินเยนเพราะดอกเบี้ยต่ำ(Yen Carry Trade)จะเกิดการขายลดความเสี่ยงรอบใหม่อีกครั้ง
ด้านค่าเงินบาทของไทยก็เป็นอีกปัจจัยที่เอื้อต่อการขายหุ้นทำกำไรสำหรับนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากกลไกของค่าเงินนั้น เงินบาทมีการแข็งค่ามากแล้วจึงมีสัญญาณอ่อนตัวลงตามปกติ แต่รัฐบาลก็ยังให้น้ำหนักและมีการวางมาตรการต่างๆออกมาช่วยเหลืออีกทางดังนั้นนักลงทุนที่ขายหุ้นในระยะนี้ก่อนที่ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวจะได้ผลตอบแทนในรูปเงินสหรัฐมากที่สุด
นอกจากนี้ยังพบสถิติอีกว่าแนวโน้มผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรองอเมริกาเริ่มลดลงลงซึ่งบ่งชี้ว่าเงินจากตลาดหุ้นในอเมริกาจะยังไหลออกไปยังการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าดังนั้นในส่วนของตลาดหุ้นอื่นทั้วโลกและตลาดหุ้นไทยก็จะได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกันด้วย
อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าหากตลาดหุ้นไทยมีการปรับลดลงรุนแรงแล้วก็น่าจะมีทิศทางพื้นตัวขึ้นได้โดยคาดว่าจะเป็นช่วงสัปดาห์ที่2 ของเดือนกันยายนและถือเป็นจังหวะสำหรับการลงทุนด้วยเพราะหลังจากนั้นดัชนีฯมีโอกาสปรับขึ้นแรงจากความคลายกังวลในปัจจัยลบต่างๆและยังคาดว่าในช่วงดังกล่าวค่าP/Eของหุ้นโดยส่วนใหญ่จะเริ่มกลับมาอยู่ในระดับน่าสนใจลงทุนหรือประมาณ12 เท่า(หุ้นสำคัญๆโดยรวมไม่ใช่ P/Eของ SET) จากปัจจุบันอยู่ที่ 16 เท่า
สำหรับหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนในระยะนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ 1.หุ้นพื้นฐานดีลงทุนระยะยาว 2.หุ้นน่าสนใจมีความเสี่ยงไม่สูงมาก 3.หุ้น เก็งกำไรต้องระมัดระวังสูงดังนี้
1.หุ้นพื้นฐานดีเช่น บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ราคาเป้าหมายให้ที่ 50 บาท ,บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด(มหาชน) หรือ RRC ราคาเป้าหมายให้ที่ 27 บาท, บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ PTTCH ราคาเป้าหมายให้ที่ 120 บาท โดยกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่จะมีความน่าสนใจในเดือนสิงหาคม
และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANKที่มีการปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 93 บาท, บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)หรือ SPALI ที่มีปันผลสูงมากคิดเป็น 7%ของมูลค่าหุ้นในปัจจุบัน , บริษัท ทาทา สตีล(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH ให้ราคาเป้าหมายที่ 2 บาทกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่จะมีความน่าสนใจเหมาะแก่การลงทุนในเดือนกันยายน
2.หุ้นน่าสนใจมีความเสี่ยงไม่สูงมากเช่น บริษัท ค้าเหล็กไทย จำกัด (มหาชน)หรือ TMT ราคาเป้าหมายให้ที่ 4.50-4.80 บาท และ บริษัท บางปะกงเทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ BTC ราคาเป้าหมายให้ที่ 2.00 บาท
3.หุ้นเก็งกำไรต้องระมัดระวังสูงควรซื้อขายเป็นรอบสั้นในระยะ 1 เดือน ดังนี้ ใบสำคัญแสดงสิทธิ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC-W1ราคาเป้าหมายให้ที่ 3.50 บาท, ใบสำคัญแสดงสิทธิ บริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์จำกัด (มหาชน) หรือ CSP-W1ราคาเป้าหมายให้ที่ 1.00 บาท,ใบสำคัญแสดงสิทธิ บริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด (มหาชน) หรือ AMC-W1ราคาเป้าหมายให้ที่ 2.30 บาทและบริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS ราคาเป้าหมายให้ที่ 4.00 บาท
***UOBKH แนะเก็บของช่วงดัชนี 780-800 จุด ชี้ EIC PAE TWP เป็นหุ้นจิ๋วเทคนิคแจ่ม
นายสิทธิพร เจนในเมือง รักษาการผู้อำนวยการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนาของ eFinanceThai.com เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ในช่วงที่ดัชนีฯปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จะมีแนวรับที่แข็งแกร่งในช่วง 780-800 จุด ซึ่งถือเป็นจังหวะทยอยซื้อสะสมหุ้นได้ แต่สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ตอยู่แล้ว ก็ควรตัดสินใจขายตั้งแต่ช่วงที่ดัชนีหลุดแนวรับ 830 จุด
สำหรับหุ้นเก็งกำไรที่บริษัทแนะนำ มี 3 กลุ่มคือ 1.หุ้นเก็งกำไรในระยะยาว พื้นฐานดี ได้แก่ บริษัท อุตสาหกรรม อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) (EIC) หากพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 6 บาทในปีนี้ ดังนั้น นักลงทุนสามารถทยอยซื้อได้ตั้งแต่แนวรับ 4.80 บาท ถึง 3 บาท RATCH ราคาน่าจะปรับขึ้นไปถึง 65 บาทในปีนี้ หรือในช่วงสั้นๆ ที่ระดับ 50-51 บาท แนวรับอยู่ที่ 45 บาท
2. หุ้นเก็งกำไรในระยะปานกลาง ได้แก่ UKEM แนวรับที่ 1.90 -1.80 บาท ราคาเป้าหมายในระยะปานกลางน่าจะได้เห็นที่ 2.20-2.40 บาท และมีโอกาสที่ปีนี้ราคาจะปรับขึ้นไปถึง 2.80-3 บาท บริษัท ไทยไวร์โพรดัคท์ จำกัด (มหาชน) (TWP) ราคาเป้าหมาย 20.20 บาท แต่หากราคาต่ำกว่า 19 บาทให้ตัดขาดทุน
3. หุ้นเก็งกำไระยะสั้น ได้แก่ บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (PTL) เป็นหุ้นที่น่าสนใจ เพราะสัญญาณทางเทคนิคกระโดดมาก ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 8 บาท และอาจจะมีโอกาสทำนิวไฮที่ 12 บาท ซื้อได้ที่แนวรับ 6 บาท หรือ 6.20 บาท บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (PAE) แนวรับ 1.20 บาท แนวต้าน 1.40 บาท ถึง 1.50 บาท บริษัท อีสเทิร์นไวร์ จำกัด (มหาชน) (EWC) เป้าหมายปีนี้ 20 บาท ซื้อเก็งกำไรได้ในระดับราคาปัจจุบัน และ บริษัท สามชัย สตีล อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (SAM) มีแนวรับที่ 6 บาท แนวรับถัดไป 5.80 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 8 บาท แนวต้านถัดไป 8.50 บาท
http://www.efinancethai.com/