VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1261
แต่ยอมรับว่าปีนี้ทำใจแต่เนิ่น ๆ แล้วครับ ว่าผลตอบแทนอาจจะไม่ดีเท่าปีที่แล้ว เพราะหุ้นที่ถืออยู่หลายตัววิ่งแรง ๆ มาตั้งแต่ปีที่แล้ว คงไปได้อีกไม่ไกลมากนักในสภาพตลาดแบบนี้ หุ้นใหม่ ๆ ที่น่าจะดีก็มีอยู่ไม่มากนัก แต่ก็รอดูจังหวะไปเรื่อย ๆ ครับ ถ้าผลตอบแทนไม่จูงใจก็เลือกที่จะอยู่เฉย ๆ ดีกว่าครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1262
เอาข่าวมาฝากพี่ๆ เพื่อนๆ ห้องนี้ก่อนหนีไปนอนต่อครับว่า หุ้นที่เกี่ยวกับนโยบาย หรือเงินสนับสนุนจากภาครัฐ รอซื้อครึ่งปีหลังก็ได้อ่ะครับ เพราะเม็ดเงินจริงๆถึงจะลงมา
รัฐก็รีบเบิกจ่ายเงินแล้ว แต่มันช้าตรงที่ มีหลายงานมากที่อั้นมาจากหลายปีก่อน (เงินพอหรือเปล่า อันนี้ไม่ได้ถาม -"-)
หุ้นที่เกี่ยวข้องทั้งหลายแหล่ กว่าจะได้เงินจริงๆ ก็ครึ่งปีหลังอ่ะคับ ใครตกรถ ก็รอดูงบQนี้เถอะครับ หึหึหึ
ปล.ช่วงนี้ผมก็เงียบๆเรื่องหุ้นครับ สาเหตุก็
เลี้ยงเด็กฮ่ะ
ขอตัวไปนอนก่อนครับ อีกสามชั่วโมงอาจต้องตื่นขึ้นมาอีก T_T
รัฐก็รีบเบิกจ่ายเงินแล้ว แต่มันช้าตรงที่ มีหลายงานมากที่อั้นมาจากหลายปีก่อน (เงินพอหรือเปล่า อันนี้ไม่ได้ถาม -"-)
หุ้นที่เกี่ยวข้องทั้งหลายแหล่ กว่าจะได้เงินจริงๆ ก็ครึ่งปีหลังอ่ะคับ ใครตกรถ ก็รอดูงบQนี้เถอะครับ หึหึหึ
ปล.ช่วงนี้ผมก็เงียบๆเรื่องหุ้นครับ สาเหตุก็
เลี้ยงเด็กฮ่ะ
ขอตัวไปนอนก่อนครับ อีกสามชั่วโมงอาจต้องตื่นขึ้นมาอีก T_T
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1263
ผมว่าถ้าหมายถึงหุ้นรับเหมานี่ ราคาตอนนี้มันไปไกลกว่างานแล้วนะครับromee เขียน:เอาข่าวมาฝากพี่ๆ เพื่อนๆ ห้องนี้ก่อนหนีไปนอนต่อครับว่า หุ้นที่เกี่ยวกับนโยบาย หรือเงินสนับสนุนจากภาครัฐ รอซื้อครึ่งปีหลังก็ได้อ่ะครับ เพราะเม็ดเงินจริงๆถึงจะลงมา
รัฐก็รีบเบิกจ่ายเงินแล้ว แต่มันช้าตรงที่ มีหลายงานมากที่อั้นมาจากหลายปีก่อน (เงินพอหรือเปล่า อันนี้ไม่ได้ถาม -"-)
หุ้นที่เกี่ยวข้องทั้งหลายแหล่ กว่าจะได้เงินจริงๆ ก็ครึ่งปีหลังอ่ะคับ ใครตกรถ ก็รอดูงบQนี้เถอะครับ หึหึหึ
ปล.ช่วงนี้ผมก็เงียบๆเรื่องหุ้นครับ สาเหตุก็
เลี้ยงเด็กฮ่ะ
ขอตัวไปนอนก่อนครับ อีกสามชั่วโมงอาจต้องตื่นขึ้นมาอีก T_T
เรื่องเลี้ยงเด็กนี่ เด็กเล็ก หรือเด็ก ๆ แบบผู้ใหญ่ครับ แต่ถ้าตื่นอีกสามชม. น่าจะเด็กแบเบาะ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1264
ช่วงนี้คลื่นลมแรงจริง ๆ ครับ เล่นเอา "ปลา" ของผมกระเด็นออกจากเรือตกลงไปในทะเลไม่น้อยเลยทีเดียว
หุ้นที่ถืออยู่หลายตัวเคยขึ้นไปพีค ๆ แต่ที่ไม่ขายก็เพราะรู้สึกว่าราคามันก็ยังไม่ได้แพง
ตอนนี้กำไรเลยหายไปพอควรครับ แต่หุ้นที่เคยหมายตาไว้มันก็ลงมาในราคาที่อยากได้ซะด้วย แต่ upside เทียบกับหุ้นเก่าก็น่าจะมากกว่า ถ้าจะรอตัวเก่ากลับไปที่เดิม
ตัดสินใจลำบากจริง ๆ ครับ
หุ้นที่ถืออยู่หลายตัวเคยขึ้นไปพีค ๆ แต่ที่ไม่ขายก็เพราะรู้สึกว่าราคามันก็ยังไม่ได้แพง
ตอนนี้กำไรเลยหายไปพอควรครับ แต่หุ้นที่เคยหมายตาไว้มันก็ลงมาในราคาที่อยากได้ซะด้วย แต่ upside เทียบกับหุ้นเก่าก็น่าจะมากกว่า ถ้าจะรอตัวเก่ากลับไปที่เดิม
ตัดสินใจลำบากจริง ๆ ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1267
หุ้นที่ท่านผู้นำ leky หมายตา ขอ hint หน่อยสิครัชleky เขียน:ช่วงนี้คลื่นลมแรงจริง ๆ ครับ เล่นเอา "ปลา" ของผมกระเด็นออกจากเรือตกลงไปในทะเลไม่น้อยเลยทีเดียว
หุ้นที่ถืออยู่หลายตัวเคยขึ้นไปพีค ๆ แต่ที่ไม่ขายก็เพราะรู้สึกว่าราคามันก็ยังไม่ได้แพง
ตอนนี้กำไรเลยหายไปพอควรครับ แต่หุ้นที่เคยหมายตาไว้มันก็ลงมาในราคาที่อยากได้ซะด้วย แต่ upside เทียบกับหุ้นเก่าก็น่าจะมากกว่า ถ้าจะรอตัวเก่ากลับไปที่เดิม
ตัดสินใจลำบากจริง ๆ ครับ
ส่วนตอนนี้ผมหนีเข้า Bunker แล้วครับ
ตลาด sideway นักเกร็งลำไย เล่นอยากแบบ อ.NB ว่าไว้
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1268
หลาย ๆ ครั้งจุดที่เป็น จุด cover ไม่ว่าจะเป็นจุด cover short หรือ long ก็ตาม ผมมักจะใช้ โวลุ่ม มาเป็นตัวช่วยยืนยันสัญญาณกลับตัว อ.โอนีลเองก็ใช้จุดนี้ในการประดิษฐ์ distribution days ขึ้นมา (น้องก้อง อ่านคัมภีร์เล่มส้มแล้วมาเสริมจุดนี้ก็ดีนะ)
กองทุนเวลาเข้าซื้อนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อแบบ Program กล่าวคือ ซื้อ SET50 โดยมีสัดส่วนซื้อไม่เท่ากันในแต่ละตัว แต่เป็นไปได้ยากที่ หุ้นตัวใดตัวหนึ่งใน SET50 จะผ่านการซื้อแบบ program ไปได้ ดังนั้น ใครจะเทรดอย่างไรย่อมต้องเหลือร่องรอยไว้ให้เราติดตาม
เมื่อตลาดเกิด correction มันมีความจำเป็นที่จะต้อง short SET ลงมา แต่อาจมี (นลท. รายใหญ่ ทั้งในประเทศและนอกประเทศถือโอกาศปรับพอร์ต) แต่กองทุนจะปรับดัชนีมากกว่า จนพอใจถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดการ cover short หุ้นของตัวเอง และเนื่องจากพอร์ตใหญ่การทำ SAP (Short Against Port) รายตัวจึงไม่ง่าย ดังนั้นการคิดส่วนกลับของ distribution days
โดยผมแอบตั้งชื่อว่า accommodation days (copyright by Neverycry.boy)
สัก 3-4 วัน ผมชอบที่จะจินตนาการว่ามันเป็นจุดกลับตัวครับ
ส่วนมันจะพลิกกลับไปกลับมารึเปล่า พลิกแล้วพลิกอีก เฮ้อ จนใจ
กองทุนเวลาเข้าซื้อนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อแบบ Program กล่าวคือ ซื้อ SET50 โดยมีสัดส่วนซื้อไม่เท่ากันในแต่ละตัว แต่เป็นไปได้ยากที่ หุ้นตัวใดตัวหนึ่งใน SET50 จะผ่านการซื้อแบบ program ไปได้ ดังนั้น ใครจะเทรดอย่างไรย่อมต้องเหลือร่องรอยไว้ให้เราติดตาม
เมื่อตลาดเกิด correction มันมีความจำเป็นที่จะต้อง short SET ลงมา แต่อาจมี (นลท. รายใหญ่ ทั้งในประเทศและนอกประเทศถือโอกาศปรับพอร์ต) แต่กองทุนจะปรับดัชนีมากกว่า จนพอใจถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดการ cover short หุ้นของตัวเอง และเนื่องจากพอร์ตใหญ่การทำ SAP (Short Against Port) รายตัวจึงไม่ง่าย ดังนั้นการคิดส่วนกลับของ distribution days
โดยผมแอบตั้งชื่อว่า accommodation days (copyright by Neverycry.boy)
สัก 3-4 วัน ผมชอบที่จะจินตนาการว่ามันเป็นจุดกลับตัวครับ
ส่วนมันจะพลิกกลับไปกลับมารึเปล่า พลิกแล้วพลิกอีก เฮ้อ จนใจ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1269
ความรู้ผมยังอ่อนด้อยครับkongkiti เขียน:หุ้นที่ท่านผู้นำ leky หมายตา ขอ hint หน่อยสิครัชleky เขียน:ช่วงนี้คลื่นลมแรงจริง ๆ ครับ เล่นเอา "ปลา" ของผมกระเด็นออกจากเรือตกลงไปในทะเลไม่น้อยเลยทีเดียว
หุ้นที่ถืออยู่หลายตัวเคยขึ้นไปพีค ๆ แต่ที่ไม่ขายก็เพราะรู้สึกว่าราคามันก็ยังไม่ได้แพง
ตอนนี้กำไรเลยหายไปพอควรครับ แต่หุ้นที่เคยหมายตาไว้มันก็ลงมาในราคาที่อยากได้ซะด้วย แต่ upside เทียบกับหุ้นเก่าก็น่าจะมากกว่า ถ้าจะรอตัวเก่ากลับไปที่เดิม
ตัดสินใจลำบากจริง ๆ ครับ
ส่วนตอนนี้ผมหนีเข้า Bunker แล้วครับ
ตลาด sideway นักเกร็งลำไย เล่นอยากแบบ อ.NB ว่าไว้
ใครสนใจ dd ไปตามอ่าน page ท่าน Sehju กันได้เลยครับ
https://goo.gl/JXEYVc
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1271
เห็นพี่โจ ลูกอีสาน แจ้งว่า Q1/2558 จะจัดในวันอาทิตย์ที่ 31 พค. 58
อยากไปเหมือนกันครับ เผื่อจะได้เจอเพื่อนๆ นลท.ดูบ้าง เพื่อนๆ ล้มหายตายจากสนามลงทุนไปหลายคน
แต่ผมย้ายกลับบ้านมาเปิดร้านอยู่ที่ตรัง ว่าจะลองชวนเพื่อนดู ถ้ามีเพื่อนไปคงได้ลองไปสังสรรดูบ้าง
อยากไปเหมือนกันครับ เผื่อจะได้เจอเพื่อนๆ นลท.ดูบ้าง เพื่อนๆ ล้มหายตายจากสนามลงทุนไปหลายคน
แต่ผมย้ายกลับบ้านมาเปิดร้านอยู่ที่ตรัง ว่าจะลองชวนเพื่อนดู ถ้ามีเพื่อนไปคงได้ลองไปสังสรรดูบ้าง
low risk High return!
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1273
ไม่ได้ไป แต่ฝากคำถามเหมือนเดิมได้ป่ะครับ วานคนใจดี และหน้าตาดีช่วยถามแล้วพิมพ์บอกกลับมาให้ทีนะคับ
1.ถามพี่ๆทั้งสองคนอ่ะครับ ว่าเวลา valuation ราคาหุ้น ดูยังไงอ่ะครับ...คือช่วงสามปีหลังของผมเนี่ยะ มีหลายครั้งที่เลือกหุ้นที่storyดี แต่ไปซื้อราคาสูงเกือบทุกที แล้วมันก็จะย่อลงมาให้ใจเสีย....และสังเกตดูว่าท้ายสุด มันก็จะมาแถวราคาเดิม (อาจจะใช้เวลาบ้าง)
ซึ่งผมก็ได้กำไร แค่ตรงจุดที่เข้าไปถัวตอนมันลงมา
พี่โจกับพี่ตี้วิเคราะห์ valuation ยังไงอ่ะครับ ว่าถ้าstoryดี แต่มันแพงไปแล้ว, เช่นดูจาก P/BV, Mkcap, หรือวิเคราะห์จากstoryว่างาน หรือจุดที่จะเร่งให้ราคาพุ่ง จะเข้ามาจริงมั้ย?...(ถ้าเป็นศัพท์ของพี่หมอ Leky ก็เรียกว่า trigger point ป่ะครับ)
2.ถามพี่ตี้ครับ เห็นว่าพอร์ตพี่ตี้จะเน้นโฟกัสแล้วจัดหนักๆ เลยอยากรู้ว่าเวลาเลือกหุ้นนี่ยะ ได้มาจากแหล่งใหน เช่นข่าวทันหุ้น, สนพ.กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวในset, ก๊วนหุ้นบอก, พรายกระซิบครับ
นึกออกได้แค่นี้ละคับ ไปเข้ากะดึก เลี้ยงเด็กต่อละฮ่ะ
1.ถามพี่ๆทั้งสองคนอ่ะครับ ว่าเวลา valuation ราคาหุ้น ดูยังไงอ่ะครับ...คือช่วงสามปีหลังของผมเนี่ยะ มีหลายครั้งที่เลือกหุ้นที่storyดี แต่ไปซื้อราคาสูงเกือบทุกที แล้วมันก็จะย่อลงมาให้ใจเสีย....และสังเกตดูว่าท้ายสุด มันก็จะมาแถวราคาเดิม (อาจจะใช้เวลาบ้าง)
ซึ่งผมก็ได้กำไร แค่ตรงจุดที่เข้าไปถัวตอนมันลงมา
พี่โจกับพี่ตี้วิเคราะห์ valuation ยังไงอ่ะครับ ว่าถ้าstoryดี แต่มันแพงไปแล้ว, เช่นดูจาก P/BV, Mkcap, หรือวิเคราะห์จากstoryว่างาน หรือจุดที่จะเร่งให้ราคาพุ่ง จะเข้ามาจริงมั้ย?...(ถ้าเป็นศัพท์ของพี่หมอ Leky ก็เรียกว่า trigger point ป่ะครับ)
2.ถามพี่ตี้ครับ เห็นว่าพอร์ตพี่ตี้จะเน้นโฟกัสแล้วจัดหนักๆ เลยอยากรู้ว่าเวลาเลือกหุ้นนี่ยะ ได้มาจากแหล่งใหน เช่นข่าวทันหุ้น, สนพ.กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวในset, ก๊วนหุ้นบอก, พรายกระซิบครับ
นึกออกได้แค่นี้ละคับ ไปเข้ากะดึก เลี้ยงเด็กต่อละฮ่ะ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1274
เป็นคำถามที่น่าสนใจทีเดียวครับ อยากจะแชร์ความเห็นในข้อ 2 ครับ
ผมว่าเป็นคำถามที่ตอบยากมากครับ จะว่าไปผมลองคิดดูว่า ถ้ามีคนถามผม ๆ จะตอบอย่างไร ที่ผมพอจะนึกออกก็คือ ซื้อด้วยเหตุผลใดก็ขายด้วยเหตุผลนั้นแล้วกันครับ ที่ตอบแบบนี้เพราะมันตอบได้หลายแบบมากครับ เพราะหุ้นหลายตัวถูกซื้อมาด้วยเหตุผลไม่เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น อย่างผมชอบหุ้น PE ต่ำ ๆ เช่น บวกลบตรง 10 ทีนี้บางทีหุ้นมันขึ้นมาคิดเป็น capital gain ที่เยอะแล้วบางทีเป็น 50-100% ก็มี แต่ PE มันก็ยังไม่สูง เช่น ไม่เกิน 20 เราจะขายหรือไม่ บางครั้งก็ทำใจยาก เพราะเราก็รู้สึกว่า PE มันก็ไม่สูงมาก และก็อีกเช่นกัน พอช่วงที่ตลาดปรับฐาน หุ้นมันก็ไหลลงบางทีเป็น 30-40% ก็มี
ผมว่าแม้แต่หุ้นที่ PE สูงก็คงจะเหมือน ๆ กัน เพียงแต่ถ้า PE ตั้งต้นมันสูงมาก ผมก็เชื่อว่าเวลาลงมันอาจจะไหลลงแรงกว่า ยกตัวอย่างเช่น หุ้นพลังงานที่มีข่าวลือเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ลงมาจากพีคเกือบ 50%
สรุปเลยเหมือนไม่มีกฎอะไรตายตัว แต่ถ้ามันขึ้นมาแรง ๆ แบบมาก ๆ ในระยะเวลาที่สั้น มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า มันอาจจะแพงเกินไป ถ้าไปดูใน canslim จะมีอยู่ข้อหนึ่งที่เขียนไว้ว่าถ้าหุ้นขึ้นมาแรง ๆ ภายในเวลาสั้น ๆ ให้ขายทิ้งโดยไม่สนใจเหตุผล ผมคิดว่าจริง ๆ มันคงจะมีเหตุผลนะครับ เช่น โดยทั่วไปพื่นฐานของหุ้นมันไม่น่าจะเปลี่ยนในระยะเวลาอันรวดเร็ว ยกเว้นจริง ๆ เช่น ได้ลูกค้ารายใหญ่ ฯลฯ หรือราคามัน under value มาก แล้วมีคนแห่กันเข้าไปเห็นคุณค่าหรือแห่ตามรายใหญ่ก็แล้วแต่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องพยายามหาเหตุที่จะทำให้มันขึ้นมาแรง ๆ แบบนั้น โดยเฉพาะเรื่องพื้นฐานของหุ้น
ผมว่าเป็นคำถามที่ตอบยากมากครับ จะว่าไปผมลองคิดดูว่า ถ้ามีคนถามผม ๆ จะตอบอย่างไร ที่ผมพอจะนึกออกก็คือ ซื้อด้วยเหตุผลใดก็ขายด้วยเหตุผลนั้นแล้วกันครับ ที่ตอบแบบนี้เพราะมันตอบได้หลายแบบมากครับ เพราะหุ้นหลายตัวถูกซื้อมาด้วยเหตุผลไม่เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น อย่างผมชอบหุ้น PE ต่ำ ๆ เช่น บวกลบตรง 10 ทีนี้บางทีหุ้นมันขึ้นมาคิดเป็น capital gain ที่เยอะแล้วบางทีเป็น 50-100% ก็มี แต่ PE มันก็ยังไม่สูง เช่น ไม่เกิน 20 เราจะขายหรือไม่ บางครั้งก็ทำใจยาก เพราะเราก็รู้สึกว่า PE มันก็ไม่สูงมาก และก็อีกเช่นกัน พอช่วงที่ตลาดปรับฐาน หุ้นมันก็ไหลลงบางทีเป็น 30-40% ก็มี
ผมว่าแม้แต่หุ้นที่ PE สูงก็คงจะเหมือน ๆ กัน เพียงแต่ถ้า PE ตั้งต้นมันสูงมาก ผมก็เชื่อว่าเวลาลงมันอาจจะไหลลงแรงกว่า ยกตัวอย่างเช่น หุ้นพลังงานที่มีข่าวลือเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ลงมาจากพีคเกือบ 50%
สรุปเลยเหมือนไม่มีกฎอะไรตายตัว แต่ถ้ามันขึ้นมาแรง ๆ แบบมาก ๆ ในระยะเวลาที่สั้น มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า มันอาจจะแพงเกินไป ถ้าไปดูใน canslim จะมีอยู่ข้อหนึ่งที่เขียนไว้ว่าถ้าหุ้นขึ้นมาแรง ๆ ภายในเวลาสั้น ๆ ให้ขายทิ้งโดยไม่สนใจเหตุผล ผมคิดว่าจริง ๆ มันคงจะมีเหตุผลนะครับ เช่น โดยทั่วไปพื่นฐานของหุ้นมันไม่น่าจะเปลี่ยนในระยะเวลาอันรวดเร็ว ยกเว้นจริง ๆ เช่น ได้ลูกค้ารายใหญ่ ฯลฯ หรือราคามัน under value มาก แล้วมีคนแห่กันเข้าไปเห็นคุณค่าหรือแห่ตามรายใหญ่ก็แล้วแต่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องพยายามหาเหตุที่จะทำให้มันขึ้นมาแรง ๆ แบบนั้น โดยเฉพาะเรื่องพื้นฐานของหุ้น
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1275
ช้าไปนิดติดธุระ ได้สำรองอันดับสอง อีกแล้วsyj เขียน:ผมไปครับ ถ้าจองได้นะครับดำ เขียน:ปกติ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในห้องนี้ มีใครไปมีตติ้งภาคใต้กันบ้างมั้ยอ่ะครับ?
Q ก่อนก็สำรอง #2 ไม่ได้ไป ...
ชีวิตนี้คงได้เป็นแค่ ตัวสำรอง
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1276
คุยเรื่องนี้ต่อ หลายวันก่อนอินเตอร์เน็ตใช้ไม่ค่อยได้ครับleky เขียน:เป็นคำถามที่น่าสนใจทีเดียวครับ อยากจะแชร์ความเห็นในข้อ 2 ครับ
ผมว่าเป็นคำถามที่ตอบยากมากครับ จะว่าไปผมลองคิดดูว่า ถ้ามีคนถามผม ๆ จะตอบอย่างไร ที่ผมพอจะนึกออกก็คือ ซื้อด้วยเหตุผลใดก็ขายด้วยเหตุผลนั้นแล้วกันครับ ที่ตอบแบบนี้เพราะมันตอบได้หลายแบบมากครับ เพราะหุ้นหลายตัวถูกซื้อมาด้วยเหตุผลไม่เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น อย่างผมชอบหุ้น PE ต่ำ ๆ เช่น บวกลบตรง 10 ทีนี้บางทีหุ้นมันขึ้นมาคิดเป็น capital gain ที่เยอะแล้วบางทีเป็น 50-100% ก็มี แต่ PE มันก็ยังไม่สูง เช่น ไม่เกิน 20 เราจะขายหรือไม่ บางครั้งก็ทำใจยาก เพราะเราก็รู้สึกว่า PE มันก็ไม่สูงมาก และก็อีกเช่นกัน พอช่วงที่ตลาดปรับฐาน หุ้นมันก็ไหลลงบางทีเป็น 30-40% ก็มี
ผมว่าแม้แต่หุ้นที่ PE สูงก็คงจะเหมือน ๆ กัน เพียงแต่ถ้า PE ตั้งต้นมันสูงมาก ผมก็เชื่อว่าเวลาลงมันอาจจะไหลลงแรงกว่า ยกตัวอย่างเช่น หุ้นพลังงานที่มีข่าวลือเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ลงมาจากพีคเกือบ 50%
สรุปเลยเหมือนไม่มีกฎอะไรตายตัว แต่ถ้ามันขึ้นมาแรง ๆ แบบมาก ๆ ในระยะเวลาที่สั้น มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า มันอาจจะแพงเกินไป ถ้าไปดูใน canslim จะมีอยู่ข้อหนึ่งที่เขียนไว้ว่าถ้าหุ้นขึ้นมาแรง ๆ ภายในเวลาสั้น ๆ ให้ขายทิ้งโดยไม่สนใจเหตุผล ผมคิดว่าจริง ๆ มันคงจะมีเหตุผลนะครับ เช่น โดยทั่วไปพื่นฐานของหุ้นมันไม่น่าจะเปลี่ยนในระยะเวลาอันรวดเร็ว ยกเว้นจริง ๆ เช่น ได้ลูกค้ารายใหญ่ ฯลฯ หรือราคามัน under value มาก แล้วมีคนแห่กันเข้าไปเห็นคุณค่าหรือแห่ตามรายใหญ่ก็แล้วแต่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องพยายามหาเหตุที่จะทำให้มันขึ้นมาแรง ๆ แบบนั้น โดยเฉพาะเรื่องพื้นฐานของหุ้น
ส่วนตัวเวลาซื้อขายหุ้น ผมเองเรื่องซื้อที่ราคาต่ำนั้นไม่ค่อยมีปัญหา เพราะจะชอบหุ้นแนวแบบนี้อยู่แล้ว แต่ในขาของการขายนั้น ยอมรับว่า เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกันครับ มีทั้งขายได้พีค ขายหมู ส่วนหนึ่งเพราะหุ้นบางตัวเล่นกันวันสองวัน ช่วงที่มันกระชากขึ้นมาเราก็ไม่ได้ดู มารู้ทีหลัง แล้วก็พยายามจะหาดูว่ามันขึ้นมาเพราะอะไร สุดท้ายไม่ทันทำอะไรมันก็ลงไปแล้ว
ผมว่าการที่จะขายหุ้นนั้น มองไปที่สองมิติน่าจะดีกว่าครับ
1) มิติแรก คือตัวเรา ผมเชื่อว่าคำถามนี้ ถ้าไปคุยกับดร.นิเวศน์หรืออ.สุมาอี้ คำตอบที่น่าจะแทงได้เลยน่าจะเป็นคำตอบที่ว่า ถ้ากำไรยังเติบโต พื้นฐานยังไม่เปลี่ยนก็ถือไปเรื่อย ๆ ยกเว้นว่ากำไรลดลง พื้นฐานเปลี่ยน ก็ขายทิ้ง แต่ถ้าไปคุยกับนักเทคนิคก็จะเป็นอีกแบบ แม้แต่วีไอเองก็มีวิธีการอีกหลายแบบ ฉะนั้นผมว่าตัวเราเองนี่แหละครับ กำหนดรูปแบบ วิธีการ ปรัชญาของการซื้อขายหุ้น
2) มิติที่สอง คือ หุ้นที่เราถืออยู่ ผมยังคงมีความเชื่อว่า หุ้นแต่ละตัวมันมี "นิสัย" ไม่เหมือนกันครับ นั่นแปลว่า เราต้องเข้าใจธรรมชาติข้อนี้ของหุ้นแต่ละตัวให้ถ่องแท้ เช่น หุ้นบางตัวเคยสังเกตไหมครับ ว่ามันไม่ค่อยวิ่งไปถึงเป้าที่โบรกให้ไว้เลย ถึงแม้ว่าดูแล้วมันมักจะมี upside ให้เห็นบ่อย ๆ เช่น หุ้นในกลุ่มปตท. หุ้นโฮลดิ้งสื่อสารยักษ์ใหญ่ หุ้นธนาคารใหญ่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วบทวิเคราะห์เหล่านั้น มักจะไม่ได้ประเมินธุรกิจไกลมากเป็นปี ๆ ยกเว้นถ้าเราถือนานมากจริง ๆ มันก็อาจจะไปถึงได้ หรืออย่างเช่น หุ้นบางตัวที่ผลประกอบการมักมีรายการ "เรื่องที่คาดไม่ถึง" เช่น หุ้นแก๊ส หุ้นยางมะตอยน้ำ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ธุรกิจดูเติบโต แต่บางครั้งราคาหุ้นมันกลับไม่ไปไหน เพราะจะโดตเตะตัดขาด้วยเรื่อง ขาดทุนสต๊อกบ้าง ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนบ้าง ขาดทุนทางอนุพันธ์บ้าง บางทีหุ้นวิ่ง ๆ อยู่ เจอเรื่องแบบนี้เข้าไปก็หัวปัก เข้าทำนองต้อง "เผื่อใจ" ไว้เสมอว่า "ชีวิตมีความไม่แน่นอน"
นอกจากนั้น การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของหุ้นบางตัว ก็หาสาเหตุมาอธิบายทางพื้นฐานไม่ได้ หรือถ้าจะพูดกันแบบ "ไม่เหนียม" ก็น่าจะบอกว่า น่าจะมีมือที่มองไม่เห็นบงการอยู่เบื้องหลัง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อราว ๆ 2-3 ปีก่อน มีหุ้นโครงงานสื่อสารใน MAI ตัวหนึ่ง วิ่งขึ้นมาตั้งแต่ไม่ถึงสองบาท วันดีคืนดีก็มีบทวิเคราะห์ของโบรกแห่งหนึ่งออกมาแบบว่า รายได้จะทะลัก upside บาน วันที่บทวิเคราะห์ออก หุ้นเปิดเกือบซิลลิ่ง มันน่าแปลกตรงที่ผมเองก็เห็นพวกบทวิเคราะห์หุ้นที่มี upside สูง ๆ มาพอสมควร แต่ก็ไม่เคยเห็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบ "ตรูไม่ซื้อไม่ได้แล้ว" แบบเปิดมาเกือบลิ่งแบบนี้มาก่อน เอหรือเค้าจะจับมือกันทำอะไรหรือเปล่านี่ ไอ้เราก็นะ มองแบบคนที่เคยเก็งกำไรมาก่อน คิดในใจว่า สมมติถ้าเรามีหุ้น พรุ่งนี้ถ้าไม่มีเวลาดู คงตั้งขาย ATO ไปเลย เพราะราคาหุ้นก็ขึ้นมาก่อนนั้นแล้วถ้าจำไม่ผิดรวม ๆ ก็น่าจะ 8 บาท เพราะส่วนตัวเท่าที่เห็นหุ้นซิลลิ่งวันที่สองมักจะไปได้ไม่ไกล แต่ระยะยาวจะไปต่อหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ผิดคาด ถ้าจำไม่ผิด วันถัดมากดไปอีกหนึ่งซิลลิ่ง ถึงตอนนี้เริ่มมีมุมมองว่าพื้นฐานของหุ้นตัวนี้ควรเทรดที่ PE สูง หลังจากนั้นโครงการของบ.เริ่มมีปัญหา เก็บเงินจากรัฐไม่ได้ ราคาก็ค่อย ๆ ซึมลง เรื่องนี้ผมต้องการจะเล่าให้ฟังว่า บางครั้ง บางเรื่อง มันก็อาจจะไม่ต้องมีเหตุผล แต่มองตาก็เข้าใจว่ามันน่าจะเกิดจากอะไร และก็พยายามอย่าได้ไปปวดหัวหาเหตุผลครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1277
แต่ถ้าเราลองมานั่งคิด ทำไมเราถึงกลัวเวลาขายหุ้น ทั้ง ๆ ที่หุ้นบางตัวก็มีกำไรเยอะมาก นั่นก็เพราะเรากลัวคำว่า "ขายหมู" นั่นเองครับ
ผมเคยอ่านหนังสือคัมภีร์หุ้น ของคุณโสภณ เค้าเขียนเรื่องการขายหุ้นที่ทำให้ผมได้ข้อคิดที่ดีเรื่องหนึ่งคือ จริง ๆ แล้วเราต้องขอบคุณคนที่เค้ามารับหุ้นจากเรานะครับ เพราะถ้าเค้าไม่มาซื้อต่อจากเรา เราก็คงขายหุ้นไม่ได้ การเป็นคู่ค้าที่ดี จริงอยู่ถึงแม้เราจะรู้สึกว่าเราขายหุ้นแพงให้เค้า เราก็ควรจะมีความรู็สึกให้เค้าได้มีโอกาสได้กำไรบ้าง จะมากจะน้อยก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมลองคิดแบบนี้ ก็รู้สึกว่ามันช่วยเราได้มากครับ ถ้ามันจะขายหมูไปบ้าง ก็ถือว่าให้คนที่เค้าซื้อต่อจากเราเค้ามีโอกาสบ้าง แบบนี้ก็สบายใจดีครับ
ผมเคยอ่านหนังสือคัมภีร์หุ้น ของคุณโสภณ เค้าเขียนเรื่องการขายหุ้นที่ทำให้ผมได้ข้อคิดที่ดีเรื่องหนึ่งคือ จริง ๆ แล้วเราต้องขอบคุณคนที่เค้ามารับหุ้นจากเรานะครับ เพราะถ้าเค้าไม่มาซื้อต่อจากเรา เราก็คงขายหุ้นไม่ได้ การเป็นคู่ค้าที่ดี จริงอยู่ถึงแม้เราจะรู้สึกว่าเราขายหุ้นแพงให้เค้า เราก็ควรจะมีความรู็สึกให้เค้าได้มีโอกาสได้กำไรบ้าง จะมากจะน้อยก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมลองคิดแบบนี้ ก็รู้สึกว่ามันช่วยเราได้มากครับ ถ้ามันจะขายหมูไปบ้าง ก็ถือว่าให้คนที่เค้าซื้อต่อจากเราเค้ามีโอกาสบ้าง แบบนี้ก็สบายใจดีครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1278
อ.ครับ ผมขอแค่ซื้อแล้วไม่ "ติดดอย" ก็พอ ถ้ามีโอกาสได้ "ขายหมู" มันทุกตัวในพอร์ต ผมคงสบายใจมากเลยครับleky เขียน:แต่ถ้าเราลองมานั่งคิด ทำไมเราถึงกลัวเวลาขายหุ้น ทั้ง ๆ ที่หุ้นบางตัวก็มีกำไรเยอะมาก นั่นก็เพราะเรากลัวคำว่า "ขายหมู" นั่นเองครับ
ผมเคยอ่านหนังสือคัมภีร์หุ้น ของคุณโสภณ เค้าเขียนเรื่องการขายหุ้นที่ทำให้ผมได้ข้อคิดที่ดีเรื่องหนึ่งคือ จริง ๆ แล้วเราต้องขอบคุณคนที่เค้ามารับหุ้นจากเรานะครับ เพราะถ้าเค้าไม่มาซื้อต่อจากเรา เราก็คงขายหุ้นไม่ได้ การเป็นคู่ค้าที่ดี จริงอยู่ถึงแม้เราจะรู้สึกว่าเราขายหุ้นแพงให้เค้า เราก็ควรจะมีความรู็สึกให้เค้าได้มีโอกาสได้กำไรบ้าง จะมากจะน้อยก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมลองคิดแบบนี้ ก็รู้สึกว่ามันช่วยเราได้มากครับ ถ้ามันจะขายหมูไปบ้าง ก็ถือว่าให้คนที่เค้าซื้อต่อจากเราเค้ามีโอกาสบ้าง แบบนี้ก็สบายใจดีครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1279
งานสัมนาของพี่เวบ ได้มีโอกาสไปวันอาทิตย์ รวม8เทพอสูรมังกรฟ้า ทั้งรุ่นใหม่ และรุ่นเดอะ
คุณพี่ kongkiti สรุปได้ดีครับ
จิ้มเบาๆ
แน่นอนมีในส่วนของพี่โจ นายกสมาคม ท่านได้แชร์ตอนซื้อ SF (หลายปีมากละ และก็ขายไปหมดแล้ว)
ซื้อไปแล้ว ลงต่อเกือบ10%ก็ไม่ตกใจ ไม่คัทลอส เพราะวิเคราะห์มาดีแล้ว
พอผ่านไปสักพัก ก็ซื้อเพิ่มอีก แล้วราคาก็ไม่เคยลงมาถึงจุดที่ซื้อเลย (ฆ่าควาย อย่าเสียดายเกลือ เคาะขวาโลด อย่ายึกยักถ้าตัดสินใจดีแล้ว)
พี่โจ พูดช่วงเช้าแป็บเดียว แล้วก็กลับทันที...เลยจะมาแชร์ส่วนของช่วงบ่าย ที่ผมชอบมากๆก็ช่วงคุณชาย มโมภาศ (คนขายของ) อันนี้สุดยอดมากครับ มีแค่กระดาษ3แผ่น แต่เนื้อหาเข้มข้นมากๆ
เป็นหลักการตอนเข้าซื้อ DCC และมีการสวิตซ์หุ้นไปซื้อ modern ว่าเขาคิดยังไง และใช้หลักเกณอะไรในการสวิตซ์
(พี่ชายได้เน้นว่า ควรใช้กับมือเก่าหน่อย มือใหม่อย่าพึ่ง เพราะโอกาสความผิดพลาดก็มีมากขึ้น เหมือนการโยนเหรียญสี่ครั้ง จะให้ทายถูกทั้งสี่ครั้ง ย่อมยากกว่าการโยนเหรียญแค่สองครั้ง)
พี่ชายได้บอกว่า ชีวิตจริงการเปรียบเทียบธุรกิจแบบ apple <-> apple มันไม่ได้มีตลอด
บางครั้งต้องเปรียบเทียบแบบ apple <->กล้วย แล้วควรจะเทียบยังไง
-ช่วงปี2550ซื้อเพราะมีข่าวว่า CEO รุ่งโรจน์ แสงศาสตรา (ที่พึ่งเข้ามาใหม่) บอกว่าอีก2ปี จะมีmk cap หมื่นล้าน
-บริษัทที่มีการเปลี่ยนผบห. และกลุ่มผถห. มีโอกาสที่ดีที่ธุรกิจจะพลิกฟื้น (singerก็เป็นอีกเคสจากของพี่ฉัตรชัย) DCC จากกลุ่ม Fin1 มาเป็นกลุ่มแสงศาสตรา
-มีแผนงานชัดเจนว่าจะลดต้นทุนให้ได้ต่ำสุด เพราะธุรกิจนี้ใครลดต้นทุนน้อยสุด คนนั้นชนะ
-ดูตัวเลข ทั้งยอดขาย กำไรขั้นต้น กำไรสุทธิ ROE ปันผล เมื่อเทียบกับตัวอื่นในตลาด(RCI, TGCI, UMI) DCCชนะหมด
-ดูตัวเลขย้อนหลัง3ปี 2007-2009 ก็ดีและเติบโตตลอด เลยเข้าซื้อช่วงนั้น แถว14บาท
-ไปขายแถวๆ25บาท และได้เข้าmodern ก็ที่ราคาเดียวกัน
สาเหตุที่เข้าmodern เพราะเมื่อเทียบทั้ง rev/sh, eps, pe, pbv, ev/ebitda, ebitda/sh bv/sh div/sh ดีกว่า DCCหมดเลย ยกเว้นแค่ ROEเท่านั้นที่DCC ดีกว่า
-และเมื่อดูคุณภาพของ modern ก็พบว่า ยอดขายในการขายเข้าโครงการคอนโดและสำนักงาน ยังดีอยู่มากๆในช่วงปีนั้น
-อีกเรื่องก็ราคาของ DCC สูงกว่าช่วงก่อน subprimeแล้ว, แต่modernราคายังต่ำกว่า ตอนก่อน subprime อีก
-และท้ายสุดราคาของ modern ก็พุ่งทะยานไปสูงกว่า DCC มากมายนัก
สรุปในส่วนของพี่ชาย
*เฝ้าดูว่าผบห.พูดแล้วทำได้จริงป่าว
* เรียนรู้ที่จะรับข้อมูลข่าวสารจากข่าวต่างๆ
*ให้วิเคราะห์เอง ทั้งเชิงคุณภาพ และเชิงตัวเลขปริมาณ
*มีโอกาสในตลาดหุ้นเสมอ
*การสลับตัวที่ถูกต้อง มักให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น (แต่ก็เสี่ยงมากขึ้น)
*ลงทุนในความรู้ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว
ท้ายนี้ ต้องขอบคุณวิทยากรทุกท่านและพี่เวบจริงๆครับ ถ้าไม่ใช่พี่เวบผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่า จะเป็นใครที่จัดงานได้เนื้อหาเข้มข้นขนาดนี้
ปล.ถ้าผมตกหล่นข้อมูลตรงใหน รบกวนท่านอื่นๆแก้ไขให้ทีนะครับ
ปล.2 ไว้วันอื่น จะมาแปะของพี่หมอพงศักดิ์ครับ อันนี้สุดติ่งกระดิ่งแมวมากครับ มีสอน valuationหุ้นด้วยฮ่ะ
คุณพี่ kongkiti สรุปได้ดีครับ
จิ้มเบาๆ
แน่นอนมีในส่วนของพี่โจ นายกสมาคม ท่านได้แชร์ตอนซื้อ SF (หลายปีมากละ และก็ขายไปหมดแล้ว)
ซื้อไปแล้ว ลงต่อเกือบ10%ก็ไม่ตกใจ ไม่คัทลอส เพราะวิเคราะห์มาดีแล้ว
พอผ่านไปสักพัก ก็ซื้อเพิ่มอีก แล้วราคาก็ไม่เคยลงมาถึงจุดที่ซื้อเลย (ฆ่าควาย อย่าเสียดายเกลือ เคาะขวาโลด อย่ายึกยักถ้าตัดสินใจดีแล้ว)
พี่โจ พูดช่วงเช้าแป็บเดียว แล้วก็กลับทันที...เลยจะมาแชร์ส่วนของช่วงบ่าย ที่ผมชอบมากๆก็ช่วงคุณชาย มโมภาศ (คนขายของ) อันนี้สุดยอดมากครับ มีแค่กระดาษ3แผ่น แต่เนื้อหาเข้มข้นมากๆ
เป็นหลักการตอนเข้าซื้อ DCC และมีการสวิตซ์หุ้นไปซื้อ modern ว่าเขาคิดยังไง และใช้หลักเกณอะไรในการสวิตซ์
(พี่ชายได้เน้นว่า ควรใช้กับมือเก่าหน่อย มือใหม่อย่าพึ่ง เพราะโอกาสความผิดพลาดก็มีมากขึ้น เหมือนการโยนเหรียญสี่ครั้ง จะให้ทายถูกทั้งสี่ครั้ง ย่อมยากกว่าการโยนเหรียญแค่สองครั้ง)
พี่ชายได้บอกว่า ชีวิตจริงการเปรียบเทียบธุรกิจแบบ apple <-> apple มันไม่ได้มีตลอด
บางครั้งต้องเปรียบเทียบแบบ apple <->กล้วย แล้วควรจะเทียบยังไง
-ช่วงปี2550ซื้อเพราะมีข่าวว่า CEO รุ่งโรจน์ แสงศาสตรา (ที่พึ่งเข้ามาใหม่) บอกว่าอีก2ปี จะมีmk cap หมื่นล้าน
-บริษัทที่มีการเปลี่ยนผบห. และกลุ่มผถห. มีโอกาสที่ดีที่ธุรกิจจะพลิกฟื้น (singerก็เป็นอีกเคสจากของพี่ฉัตรชัย) DCC จากกลุ่ม Fin1 มาเป็นกลุ่มแสงศาสตรา
-มีแผนงานชัดเจนว่าจะลดต้นทุนให้ได้ต่ำสุด เพราะธุรกิจนี้ใครลดต้นทุนน้อยสุด คนนั้นชนะ
-ดูตัวเลข ทั้งยอดขาย กำไรขั้นต้น กำไรสุทธิ ROE ปันผล เมื่อเทียบกับตัวอื่นในตลาด(RCI, TGCI, UMI) DCCชนะหมด
-ดูตัวเลขย้อนหลัง3ปี 2007-2009 ก็ดีและเติบโตตลอด เลยเข้าซื้อช่วงนั้น แถว14บาท
-ไปขายแถวๆ25บาท และได้เข้าmodern ก็ที่ราคาเดียวกัน
สาเหตุที่เข้าmodern เพราะเมื่อเทียบทั้ง rev/sh, eps, pe, pbv, ev/ebitda, ebitda/sh bv/sh div/sh ดีกว่า DCCหมดเลย ยกเว้นแค่ ROEเท่านั้นที่DCC ดีกว่า
-และเมื่อดูคุณภาพของ modern ก็พบว่า ยอดขายในการขายเข้าโครงการคอนโดและสำนักงาน ยังดีอยู่มากๆในช่วงปีนั้น
-อีกเรื่องก็ราคาของ DCC สูงกว่าช่วงก่อน subprimeแล้ว, แต่modernราคายังต่ำกว่า ตอนก่อน subprime อีก
-และท้ายสุดราคาของ modern ก็พุ่งทะยานไปสูงกว่า DCC มากมายนัก
สรุปในส่วนของพี่ชาย
*เฝ้าดูว่าผบห.พูดแล้วทำได้จริงป่าว
* เรียนรู้ที่จะรับข้อมูลข่าวสารจากข่าวต่างๆ
*ให้วิเคราะห์เอง ทั้งเชิงคุณภาพ และเชิงตัวเลขปริมาณ
*มีโอกาสในตลาดหุ้นเสมอ
*การสลับตัวที่ถูกต้อง มักให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น (แต่ก็เสี่ยงมากขึ้น)
*ลงทุนในความรู้ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว
ท้ายนี้ ต้องขอบคุณวิทยากรทุกท่านและพี่เวบจริงๆครับ ถ้าไม่ใช่พี่เวบผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่า จะเป็นใครที่จัดงานได้เนื้อหาเข้มข้นขนาดนี้
ปล.ถ้าผมตกหล่นข้อมูลตรงใหน รบกวนท่านอื่นๆแก้ไขให้ทีนะครับ
ปล.2 ไว้วันอื่น จะมาแปะของพี่หมอพงศักดิ์ครับ อันนี้สุดติ่งกระดิ่งแมวมากครับ มีสอน valuationหุ้นด้วยฮ่ะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1281
พี่น้องครับ
ขอสารภาพว่า ช่วงตลาด Sideway จะลงก็ไม่ลงหนักๆ จะขึ้นก็ไม่ผ่านซักที
แอบไปเล่นสายเกร็งลำไย มาครับ
(เริ่มจาก VI แต่ขอไปฝึกวิชาเกร็งลำไย หน่อย)
ผลคือ...
ไม่ work เลยครับ เสียสุขภาพจิต
ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เสียเวลาสุดๆ
หลังจากไปงาน แมงเม่า 1,000 ครั้ง จึงได้คิด
ว่าเรานี่แค่ เม่า 500 ครั้งเอง
คาดว่า จะเม่าอีกซัก 500 ครั้ง
น่าจะเลิกเจ็บปวดครับ
ตอนนี้กลับมารวมสติ คิดใหม่ ทำใหม่ ครับ
ตั้งใจไปดวงจันทร์แล้วครับ ไม่มัวมองแต่นิ้วมือละ
ขอสารภาพว่า ช่วงตลาด Sideway จะลงก็ไม่ลงหนักๆ จะขึ้นก็ไม่ผ่านซักที
แอบไปเล่นสายเกร็งลำไย มาครับ
(เริ่มจาก VI แต่ขอไปฝึกวิชาเกร็งลำไย หน่อย)
ผลคือ...
ไม่ work เลยครับ เสียสุขภาพจิต
ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เสียเวลาสุดๆ
หลังจากไปงาน แมงเม่า 1,000 ครั้ง จึงได้คิด
ว่าเรานี่แค่ เม่า 500 ครั้งเอง
คาดว่า จะเม่าอีกซัก 500 ครั้ง
น่าจะเลิกเจ็บปวดครับ
ตอนนี้กลับมารวมสติ คิดใหม่ ทำใหม่ ครับ
ตั้งใจไปดวงจันทร์แล้วครับ ไม่มัวมองแต่นิ้วมือละ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1282
กลับมาที่งานสัมมนา เม่า
ไม่แน่ใจว่า พี่ๆ ห้องนี้ได้อ่าน โพสของพี่หมอพงษ์ศักดิ์กันรึยัง
มันสุดยอดมากๆ เลย
https://www.facebook.com/pongsak.thamma ... 75?fref=nf
ไม่แน่ใจว่า พี่ๆ ห้องนี้ได้อ่าน โพสของพี่หมอพงษ์ศักดิ์กันรึยัง
มันสุดยอดมากๆ เลย
https://www.facebook.com/pongsak.thamma ... 75?fref=nf
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1283
เป็นธรรมดาครับ ที่คนมักจะอยากเล่นเก็งกำไร แต่บทสรุปมันมักจะทำให้เรากลายเป็น "เกร็งกำไร" และจบด้วย "เกรงกำไร"
มันอาจจะด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เช่น มันน่าตื่นเต้นมาก มันน่าจะทำได้ไม่ยาก ใคร ๆ เค้าก็ทำกัน
ยิ่งตลาดช่วงที่ผ่านมาดีมาก หุ้นหลายตัวแค่ข่าวไม่กี่บรรทัด หุ้นมันก็วิ่งขึ้นไปมาก แม้แต่หุ้นที่ขึ้นด้วยเรื่องของปัจจัยพื้นฐานจริง ๆ ก็วิ่งขึ้นไปได้มากเหมือนกันแบบมีแรงบวก
พอเรามีหุ้นลักษณะดังกล่าว ที่วิ่งขึ้นไปแรงมาก ๆ แล้วเราไม่ได้ขาย พอตลาดเริ่มปักหัว หุ้นมันก็ลงอย่างแรง เพราะอารมณ์ตลาดเปลี่ยน กำไรหดหาย ยิ่งเป็นหุ้นเล่นข่าว ที่ตัวเนื้อแท้ของกิจการยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แบบนี้ยิ่งดิ่งลงแรง
สิ่งที่ตามมาก็คือ ภาวะจิตใจที่รู้สึกว่า "ก่อนหน้านี้ทำไมตรูไม่ขายหุ้นนั้นทิ้งฟะ" ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้เราเริ่มมีความคิดว่า การถือหุ้นยาว ๆ มันอาจจะไม่ใช่คำตอบ มันต้อง hit & run บางครั้งมันเลยอาจจะทำให้เรารู้สึกว่าการเก็งกำไรถือหุ้นแค่ชั่วสั้น ๆ มันน่าจะเป็นคำตอบ
แต่ในความเป็นจริง เราอาจจะเห็นและจำในสิ่งที่มันเป็นเรื่องบวกครับ เช่นดูหุ้นตัวหนึ่งวิ่งขึ้น แล้วเราคิดว่าถ้าเรามีหุ้นตัวนี้เราจะซื้อ พอมันวิ่งขึ้นจริง เราก็จะจำว่า "นั่นไง" "ว่าแล้วต้องไปแล้วก็ไปจริง"
ผมว่าในความเป็นจริง เราอาจจะผิดมากกว่าถูกก็ได้ครับ เพียงแต่เรามักจะชอบจำของที่ถูกและเป็นเรื่องบวก ทีนี้พอมันบ่อยเข้าเราก็เลยอยากเก็งกำไรเข้าไปจริง ๆ
ที่กล้าบอกแบบนี้เพราะคิดว่าตัวเองก็เคยเป็นน่ะครับ แต่หลัง ๆ ที่เน้นไปหลายครั้งว่า รู้สึกไม่คุ้มครับ เหนื่อย ยิ่งเปลี่ยนหุ้นใหม่ก็ต้องเจอความเสี่ยงใหม่อีกต่างหาก
หลัง ๆ เลยมองว่าถือหุ้นตัวเดิมแต่นานหน่อย มองผลตอบแทนสูง ๆ เช่นหวัง upside 30% ขึ้นไป ทำได้หรือไม่ได้อีกเรื่องหนึ่งนะครับ ถ้ามันวิ่งขึ้นไปมากกว่านั้น ถ้าราคาไม่โอเวอร์จนเกินไปก็ปล่อยให้มันไปต่อ พร้อมกับคอบตรวจสอบเรื่องราวของบ. ถ้ามันจะปักหัวกำไรหายไปบ้างถ้าคิดว่าอยากขายก็ขายครับ แต่ทำแบบนี้มันเหนื่อยน้อยกว่าเล่นสั้นที่หวังกำไรครั้งและ 10-15% ครับ
มันอาจจะด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เช่น มันน่าตื่นเต้นมาก มันน่าจะทำได้ไม่ยาก ใคร ๆ เค้าก็ทำกัน
ยิ่งตลาดช่วงที่ผ่านมาดีมาก หุ้นหลายตัวแค่ข่าวไม่กี่บรรทัด หุ้นมันก็วิ่งขึ้นไปมาก แม้แต่หุ้นที่ขึ้นด้วยเรื่องของปัจจัยพื้นฐานจริง ๆ ก็วิ่งขึ้นไปได้มากเหมือนกันแบบมีแรงบวก
พอเรามีหุ้นลักษณะดังกล่าว ที่วิ่งขึ้นไปแรงมาก ๆ แล้วเราไม่ได้ขาย พอตลาดเริ่มปักหัว หุ้นมันก็ลงอย่างแรง เพราะอารมณ์ตลาดเปลี่ยน กำไรหดหาย ยิ่งเป็นหุ้นเล่นข่าว ที่ตัวเนื้อแท้ของกิจการยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แบบนี้ยิ่งดิ่งลงแรง
สิ่งที่ตามมาก็คือ ภาวะจิตใจที่รู้สึกว่า "ก่อนหน้านี้ทำไมตรูไม่ขายหุ้นนั้นทิ้งฟะ" ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้เราเริ่มมีความคิดว่า การถือหุ้นยาว ๆ มันอาจจะไม่ใช่คำตอบ มันต้อง hit & run บางครั้งมันเลยอาจจะทำให้เรารู้สึกว่าการเก็งกำไรถือหุ้นแค่ชั่วสั้น ๆ มันน่าจะเป็นคำตอบ
แต่ในความเป็นจริง เราอาจจะเห็นและจำในสิ่งที่มันเป็นเรื่องบวกครับ เช่นดูหุ้นตัวหนึ่งวิ่งขึ้น แล้วเราคิดว่าถ้าเรามีหุ้นตัวนี้เราจะซื้อ พอมันวิ่งขึ้นจริง เราก็จะจำว่า "นั่นไง" "ว่าแล้วต้องไปแล้วก็ไปจริง"
ผมว่าในความเป็นจริง เราอาจจะผิดมากกว่าถูกก็ได้ครับ เพียงแต่เรามักจะชอบจำของที่ถูกและเป็นเรื่องบวก ทีนี้พอมันบ่อยเข้าเราก็เลยอยากเก็งกำไรเข้าไปจริง ๆ
ที่กล้าบอกแบบนี้เพราะคิดว่าตัวเองก็เคยเป็นน่ะครับ แต่หลัง ๆ ที่เน้นไปหลายครั้งว่า รู้สึกไม่คุ้มครับ เหนื่อย ยิ่งเปลี่ยนหุ้นใหม่ก็ต้องเจอความเสี่ยงใหม่อีกต่างหาก
หลัง ๆ เลยมองว่าถือหุ้นตัวเดิมแต่นานหน่อย มองผลตอบแทนสูง ๆ เช่นหวัง upside 30% ขึ้นไป ทำได้หรือไม่ได้อีกเรื่องหนึ่งนะครับ ถ้ามันวิ่งขึ้นไปมากกว่านั้น ถ้าราคาไม่โอเวอร์จนเกินไปก็ปล่อยให้มันไปต่อ พร้อมกับคอบตรวจสอบเรื่องราวของบ. ถ้ามันจะปักหัวกำไรหายไปบ้างถ้าคิดว่าอยากขายก็ขายครับ แต่ทำแบบนี้มันเหนื่อยน้อยกว่าเล่นสั้นที่หวังกำไรครั้งและ 10-15% ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1285
มันเป็นแหล่งชุมนุมมังกรซ่อนกายครับb4solid เขียน:แหม ไม่น่าเอากระทู้ดีๆ มาซ่อนไว้ที่นี่เลยนะครับ
เสียดายอีกหลายคนไม่ได้อ่าน
ยินดีด้วยครับที่หลงเข้ามาโรงเตี๊ยมแห่งนี้ นับว่ามีวาสนาร่วมกันครับ คารวะก่อน 3 จอก
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1287
ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ ถ้ากิจการเป็นCommon company ผมจะตัดสินใจขายเมื่อถึงfair value หรือ อยู่ดีๆก็มีข่าวปัจจัยบวกนิดหน่อยแต่ราคาขึ้นไปแรงมาก ส่วนถ้ากิจการเป็นSuper company ผมจะถือนานตราบเท่าที่เค้ายังดีอยู่ พวกCommon company ช่วงนี้เห็นหลายตัวแค่มีข่าวดีๆนิดเดียวราคาก็พุ่งไปไกล
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็กลับมาสู่จุดที่มันควรจะอยู่
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็กลับมาสู่จุดที่มันควรจะอยู่
จงเตือนตนไม่ให้หลงไปกับตลาดกระทิง และ มีสติกับตลาดหมี
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1288
ยินดีกับพี่ syj น่าจะได้ไป meeting นะครับรอบนี้ เห็นมีึคนสละสิทธิ์ไปสองท่านแหนะ
ขอปรึกษา อ.leky เกี่ยวกับหุ้นหิ่งห้อยหน่อยครับ ผมยังกำหิ่งห้อยอยู่ในแน่นไม่ยอมปล่อยจนหิ่งห้อยแสงริบหรี่ลง ไม่รู้ว่ามันพักผ่อนหรือมันแก่ไปจนจวนจะตายแล้ว >,,<
ขอปรึกษา อ.leky เกี่ยวกับหุ้นหิ่งห้อยหน่อยครับ ผมยังกำหิ่งห้อยอยู่ในแน่นไม่ยอมปล่อยจนหิ่งห้อยแสงริบหรี่ลง ไม่รู้ว่ามันพักผ่อนหรือมันแก่ไปจนจวนจะตายแล้ว >,,<
low risk High return!
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1289
จริงๆแล้วจากลิ้งที่พี่ kongkiti ยกมาก็2/3ของเนื้อหาที่พี่หมอพงษ์ศักดิ์พูดแล้วนะครับ
อันแรกก็ทำไมช่วงนี้พี่หมอสนใจหุ้นพลังงานทางเลือกเพราะ อนาคตอีก3ปี เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำและโตยาก เพราะเราพึ่งการส่งออกถึง60-70% เลยไปหาหุ้นที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
และแผนพลังงานแห่งชาติก็เอาพลังงานทดแทนจาก 5% -> 25%
Stock seletion
-ศักยภาพ ต้องเคยทำสำเร็จมาก่อน จู่ๆโดดเข้ามาทำ ไม่ง่าย
มีบุคลากร
กลยุทธการทำธุรกิจ, บริหารความเสี่ยง
connection
-อนาคต โอกาศการเติบโต, เทคโนโลยี่(ดีจริงมั้ย), นโยบายรัฐ(เปลี่ยนไปมาป่าว), ความเหมาะสมของประเทศ(พลังงานชีวมวลเหมาะสุด)
-Key sucess factor ของบริษัทนั้นๆคืออะไร
-การประเมินราคา อย่าจ่ายแพงเกิ๊นนนน
มาดูส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์ก็จะมี factor ดังนี้
PPA, สายส่ง, ผังเมือง, คุณภาพของแผง, ผลตอบแทนการลงทุน
ส่วนของการ valuation โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์
ที่ 100Mwatts มูลค่าการลงทุน 6000ลบ.
ดอกเบี้ย5%
ระยะเวลาคืนหนี้10ปี
D/E 3/1
โดยปกติแล้ว Capacity factorของระบบโซลาเซลล์อยู่ที่ 17% ก็คูณกับชั่วโมงของวัน จะได้ 24*17%= 4.08ชั่วโมง/วัน
ก็จะได้หน่วยผลิต 100,000Kwh * 4.08 = 408,000Kwh/day
ถ้ามองเป็นปีก็คูณ 365วัน = 148,920,000 Kwh/yr
รายได้ตอนนี้เป็นรัฐรับซื้อ25ปีที่ 5.66บาท/Kwh ก็คูณเข้าไปจะได้รายได้ต่อปี
แต่ แผงโซลาเซลล์มันมีการเสื่อมคุณภาพด้วย ก็ต้องคำนวนลดทอนลงไป โดยปีแรกจะลดไป 2.5% ปีถัดๆไปจะลดทอน 0.7%ถึง25ปี
เช่นปีแรก 148,920,000 * 97.5% (ลดทอนไป2.5%ของปีแรก) =145,197,100 Kwh/yr
ปีถัดไปก็เอา 145,197,100 * 96.8% (ลดทอนไป 0.7%)
แล้วเอามาคูณกับค่า FIT 5.66 ก็จะได้รายได้ปีแรกที่ 821,815,020บาท
หักค่าเสื่อม25ปี ก็เอามูลค่าโครงการ 6,000 จากด้านบน มี25ปี(เลื่อนขึ้นไปดูกันนะฮ่ะ) จะได้ปีละ240ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายส่วนดูแลบำรุงรักษาปีละ 25ล้าน มี25ปี(ถามIR)
หาดอกเบี้ยจ่าย (ถามIR โดยจะมีแค่10ปีตามด้านบน)
ก็จะได้ EBT และNP ของแต่ละปี
และก็มาหา DCF !!!!!
โดยคิด WACC ออกมาได้ 7% (เผื่อไว้ว่าถ้าดอกเบี้ยจะแพงขึ้นเป็น7%)
และ equity value => NP + DP + Debt repayment = FCF each year
FCF each year/discount rate
Equity value = 4.3พันล้าน
หรือ1MW = 4.3ล้านบาท (หลายคนบอก รอบรรทัดนี้ บรรทัดเดียวแหละ จะเขียนไรมาเยอะแยะนัก )
คือผมรู้สึกเลย ว่าพี่หมอ ถ้าอยากลงทุนกับธุรกิจใหนก็ตาม ต้องรู้ลึก รู้จริงกับมันสุดๆ และวิเคราะห์ได้สุดๆมาก
ปล.ถ้าเขียนแล้วอ่านยากไป ก็ขออภัยด้วยครับ ตัวเลขก็เยอะ
ปล.2 บทวิเคราะห์AOT
ของพี่หมอครับ...ลองไปอ่านดูฮ่ะ เห็นว่าแกซื้อแถวๆ40บาทช่วงก่อนน้ำท่วม แล้วก็ไปขายแถวๆ200บาท
เพื่อเอาเงินเข้าร้านสะดวกซื้อ ซึ่งแกก็บ่นเสียดาย จะย้ายทำม๊ายยย (เซียนยังมีอาการขายหมู )
ปล.3 ใครอ่านแล้วชอบ ช่วยกด+ ให้ด้วยละกันคับ เผื่อสุดสัปดาห์จะเอาวิธีคำนวนดวงดาว(เทียมไทยคม) ของขงเบ้ง เอ้ยพี่หมอพงษ์ศักดิ์ มาลงครับ
เอา"กระดิ่งแมว"มาแชร์แล้วกันคับกลับมาที่งานสัมมนา เม่า
ไม่แน่ใจว่า พี่ๆ ห้องนี้ได้อ่าน โพสของพี่หมอพงษ์ศักดิ์กันรึยัง
มันสุดยอดมากๆ เลย
https://www.facebook.com/pongsak.thamma ... 75?fref=nf
อันแรกก็ทำไมช่วงนี้พี่หมอสนใจหุ้นพลังงานทางเลือกเพราะ อนาคตอีก3ปี เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำและโตยาก เพราะเราพึ่งการส่งออกถึง60-70% เลยไปหาหุ้นที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
และแผนพลังงานแห่งชาติก็เอาพลังงานทดแทนจาก 5% -> 25%
Stock seletion
-ศักยภาพ ต้องเคยทำสำเร็จมาก่อน จู่ๆโดดเข้ามาทำ ไม่ง่าย
มีบุคลากร
กลยุทธการทำธุรกิจ, บริหารความเสี่ยง
connection
-อนาคต โอกาศการเติบโต, เทคโนโลยี่(ดีจริงมั้ย), นโยบายรัฐ(เปลี่ยนไปมาป่าว), ความเหมาะสมของประเทศ(พลังงานชีวมวลเหมาะสุด)
-Key sucess factor ของบริษัทนั้นๆคืออะไร
-การประเมินราคา อย่าจ่ายแพงเกิ๊นนนน
มาดูส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์ก็จะมี factor ดังนี้
PPA, สายส่ง, ผังเมือง, คุณภาพของแผง, ผลตอบแทนการลงทุน
ส่วนของการ valuation โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์
ที่ 100Mwatts มูลค่าการลงทุน 6000ลบ.
ดอกเบี้ย5%
ระยะเวลาคืนหนี้10ปี
D/E 3/1
โดยปกติแล้ว Capacity factorของระบบโซลาเซลล์อยู่ที่ 17% ก็คูณกับชั่วโมงของวัน จะได้ 24*17%= 4.08ชั่วโมง/วัน
ก็จะได้หน่วยผลิต 100,000Kwh * 4.08 = 408,000Kwh/day
ถ้ามองเป็นปีก็คูณ 365วัน = 148,920,000 Kwh/yr
รายได้ตอนนี้เป็นรัฐรับซื้อ25ปีที่ 5.66บาท/Kwh ก็คูณเข้าไปจะได้รายได้ต่อปี
แต่ แผงโซลาเซลล์มันมีการเสื่อมคุณภาพด้วย ก็ต้องคำนวนลดทอนลงไป โดยปีแรกจะลดไป 2.5% ปีถัดๆไปจะลดทอน 0.7%ถึง25ปี
เช่นปีแรก 148,920,000 * 97.5% (ลดทอนไป2.5%ของปีแรก) =145,197,100 Kwh/yr
ปีถัดไปก็เอา 145,197,100 * 96.8% (ลดทอนไป 0.7%)
แล้วเอามาคูณกับค่า FIT 5.66 ก็จะได้รายได้ปีแรกที่ 821,815,020บาท
หักค่าเสื่อม25ปี ก็เอามูลค่าโครงการ 6,000 จากด้านบน มี25ปี(เลื่อนขึ้นไปดูกันนะฮ่ะ) จะได้ปีละ240ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายส่วนดูแลบำรุงรักษาปีละ 25ล้าน มี25ปี(ถามIR)
หาดอกเบี้ยจ่าย (ถามIR โดยจะมีแค่10ปีตามด้านบน)
ก็จะได้ EBT และNP ของแต่ละปี
และก็มาหา DCF !!!!!
โดยคิด WACC ออกมาได้ 7% (เผื่อไว้ว่าถ้าดอกเบี้ยจะแพงขึ้นเป็น7%)
และ equity value => NP + DP + Debt repayment = FCF each year
FCF each year/discount rate
Equity value = 4.3พันล้าน
หรือ1MW = 4.3ล้านบาท (หลายคนบอก รอบรรทัดนี้ บรรทัดเดียวแหละ จะเขียนไรมาเยอะแยะนัก )
คือผมรู้สึกเลย ว่าพี่หมอ ถ้าอยากลงทุนกับธุรกิจใหนก็ตาม ต้องรู้ลึก รู้จริงกับมันสุดๆ และวิเคราะห์ได้สุดๆมาก
ปล.ถ้าเขียนแล้วอ่านยากไป ก็ขออภัยด้วยครับ ตัวเลขก็เยอะ
ปล.2 บทวิเคราะห์AOT
ของพี่หมอครับ...ลองไปอ่านดูฮ่ะ เห็นว่าแกซื้อแถวๆ40บาทช่วงก่อนน้ำท่วม แล้วก็ไปขายแถวๆ200บาท
เพื่อเอาเงินเข้าร้านสะดวกซื้อ ซึ่งแกก็บ่นเสียดาย จะย้ายทำม๊ายยย (เซียนยังมีอาการขายหมู )
ปล.3 ใครอ่านแล้วชอบ ช่วยกด+ ให้ด้วยละกันคับ เผื่อสุดสัปดาห์จะเอาวิธีคำนวนดวงดาว(เทียมไทยคม) ของขงเบ้ง เอ้ยพี่หมอพงษ์ศักดิ์ มาลงครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 1290
ดูเป็นลักษณะ ซึม ๆ แบบเป็นไข้เรื้อรังมากกว่าครับ แบบนี้คนอาจจะอึดอัด เพราะไม่ลงแรง แต่ก็ลงสลับกระตุก แต่รวม ๆ ดูเหมือนจะไปในทางลงมากกว่า แต่ก็จะเห็นได้ว่ายื้อกันอยู่ตรง 1500 นี่แหละครับดำ เขียน:อ.leky ครับ ช่วงนี้ตลาดปล่อยข่าวร้ายเป็นชุดๆ แทบทุกวัน ทั้งข่าว local ข่าว inter ทั้งเรื่องจริงมั่ง ทั้งมโนเอามั่ง
ทำ Stress Test ครั้งนี้ ดูสิว่าตลาดจะแข็งแกร่งได้แค่ไหน
วันก่อนผมลองสกรีนผลประกอบการ Q1 จริง ๆ ยังดูไม่หมด แต่รู้สึกเลยว่า เทียบกับที่เคยทำมาหลายปี แทบไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเลย พวกกำไรโตขึ้น ราคาหุ้นก็ไม่ถูก พวกกำไรแย่ลงราคาหุ้นก็ไม่ถูก
"Become a risk taker, not a risk maker"