แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 121
s-oil ที่ เก่าหลีใต้ หาวิธีการประหยัดน้ำมันในการหาที่จอดรถกลางแจ้ง
เข้าทำกันอย่างไร มาติดตามดูจาก VDO ที่อยู่บน www.youtube.com
(เจอตอนแรกอยู่ที่ bangkok post facebook)
S-oil ชื่อมันก็บอกว่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน
แล้ว PTT หรือ ปตท มีอะไรแปลกๆๆแบบนี้บ้างไหมหนอ
เรียบง่ายแต่มีพลัง
เข้าทำกันอย่างไร มาติดตามดูจาก VDO ที่อยู่บน www.youtube.com
(เจอตอนแรกอยู่ที่ bangkok post facebook)
S-oil ชื่อมันก็บอกว่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน
แล้ว PTT หรือ ปตท มีอะไรแปลกๆๆแบบนี้บ้างไหมหนอ
เรียบง่ายแต่มีพลัง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 122
วันนี้มีเรื่องสองเรื่องมาเล่า
เรื่องแรกเจอะเจอกับ การลงคะแนนเสียง ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อการเลือกตั้งครั้นก่อน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ในการลงคะแนน ออกทางโทรทัศน์ เลยว่า
เครื่องหมาย กากบาท (X) กับเครื่องหมายบวก (+) เป็นเครื่องหมายเดียวกัน
อันนี้คือ ข้อตกลงในการเลือกตั้งระดับชาติ แต่ที่ตลกร้ายคือ
วันนี้ไปบริษัทจดทะเบียนบริษัทหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งเราเองไปแค่เพื่อทานข้าวกลางวันที่บริษัทจัดเลี้ยง
และก็รับของชำรวยก็เดินทางกลับ แต่ทว่า เจ้าหน้าที่ของบริษัทก็เอาบัตรลงคะแนนมาเพื่อให้ลงคะแนน
โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่า ให้เอาปากกาที่เขียนบน White board แบบลบไม่ออกมาให้ลงคะแนน บอกเลยว่า
ทำเครื่องหมายกากบาทในช่องสีเหลี่ยนเท่านั้น หมายใช้ปากกา (เพิ่งเจอะเจอบริษัทนี้บริษัทแรกที่ให้ใช้ปากกาแบบนี้
แถมไม่พอ ปากกาไม่ได้ด้วย) เราเลยบอกไปว่า ทำเครื่องหมายบวกแทนได้ไหม (บอกเลยว่า เรากวน แต่เรารู้ว่า
ทั้งสองเครื่องหมายนั้นสามารถลงคะแนนได้) เจ้าหน้าที่บอกเลยว่า ไม่ได้ เพราะ ระบบไม่อ่าน
อันนี้ฮาไม่ออกเลย มิน่า มันเลยเป็นเรื่องของความวุ่นวาย ที่คิดแล้ว ว่า + กับ x มันแค่หมุนไปแค่ 45 องศา เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่สองนี้ ไม่ตลกเลย เรื่องได้ว่า กรมที่หาเงินให้แก่รัฐ ส่งเช็คมาถึงที่บ้านเขียนลงในหนังสือว่า
เรากรอกปันผลผิด งานนี้เราเชื่อได้ว่า เรากรอกถูกเพราะ เรากรอกส่งสามรอบ ก็ตัวเลขเดียวกันทั้งสามรอบ
แต่เรานึกได้ว่า เราส่งปันผลของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ไปให้ด้วย งานไม่น่าเข้า แต่ในใจคิดเลยว่า
ใช่แน่นอน ว่าตัวนี้ทำให้เราได้คืนเครดิตภาษีน้อยกว่าที่เราขอ
ดังนั้นวันนี้โทรไปหา เจ้าหน้า เขต 29 ที่ดูแล เจ้าหน้าที่บอกเลยว่า เอกสารที่ออกมาเขียนไม่ชัดเจนว่า ยกเว้นภาษีให้บุคคลธรรม เราเลยสวนไปเลยว่า เอ๋มันมีประกาศจากหน่วยงานแห่งนี้ แล้วไม่พอ ยังมีประกาศจากหน่วยงานที่สนับสนุนเรื่องการลงทุน ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทที่ดำเนินการจัดการ ก็ส่งเอกสารให้หน่วยงานภาครัฐนี้อีกต่างหาก กลับกลายเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจไม่ได้อ่าน ก่อนหน้านี้เราได้ยืนยันจาก Call Center ก็ดี หรือเจ้าหน้าที่ที่เขตนี้ (29) บอกเลยว่าไม่ต้องกรอก แต่เราพลาดที่เราส่งเอกสารไปให้ เพราะมันแม็กซ์ไปเป็นพลวง
สุดท้าย คือ เจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่า กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน นี้ได้รับยกเว้น เพียงแค่ ตัวหนังสือในเอกสารไม่บอกว่า ยกเว้นสำหรับบุคคลธรรมดา เป็นระยะเวลา 10 ปี
อนึ่งที่เราไม่ต้องการคืน เงินที่ควรจะได้เพราะว่า มันทานข้าวได้แค่ 2 จาน(1มื้อของผมเท่านั้น)
แต่ผมเสียเวลาทั้งส่งเอกสารคืน และ ต้องยื่นอุทธรณ์ในการตัดสินของเจ้าหน้าที่ที่ผิดพลาด
ทั้งสองเรื่องนี้ มีคำสอนว่า
เราคิดว่าเรารู้ทุกอย่างแต่คนอื่นๆ ไม่รู้ทุกอย่างเหมือนเรา
ต้องทำให้เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเสียเถอะ
เรื่องแรกเจอะเจอกับ การลงคะแนนเสียง ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อการเลือกตั้งครั้นก่อน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ในการลงคะแนน ออกทางโทรทัศน์ เลยว่า
เครื่องหมาย กากบาท (X) กับเครื่องหมายบวก (+) เป็นเครื่องหมายเดียวกัน
อันนี้คือ ข้อตกลงในการเลือกตั้งระดับชาติ แต่ที่ตลกร้ายคือ
วันนี้ไปบริษัทจดทะเบียนบริษัทหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งเราเองไปแค่เพื่อทานข้าวกลางวันที่บริษัทจัดเลี้ยง
และก็รับของชำรวยก็เดินทางกลับ แต่ทว่า เจ้าหน้าที่ของบริษัทก็เอาบัตรลงคะแนนมาเพื่อให้ลงคะแนน
โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่า ให้เอาปากกาที่เขียนบน White board แบบลบไม่ออกมาให้ลงคะแนน บอกเลยว่า
ทำเครื่องหมายกากบาทในช่องสีเหลี่ยนเท่านั้น หมายใช้ปากกา (เพิ่งเจอะเจอบริษัทนี้บริษัทแรกที่ให้ใช้ปากกาแบบนี้
แถมไม่พอ ปากกาไม่ได้ด้วย) เราเลยบอกไปว่า ทำเครื่องหมายบวกแทนได้ไหม (บอกเลยว่า เรากวน แต่เรารู้ว่า
ทั้งสองเครื่องหมายนั้นสามารถลงคะแนนได้) เจ้าหน้าที่บอกเลยว่า ไม่ได้ เพราะ ระบบไม่อ่าน
อันนี้ฮาไม่ออกเลย มิน่า มันเลยเป็นเรื่องของความวุ่นวาย ที่คิดแล้ว ว่า + กับ x มันแค่หมุนไปแค่ 45 องศา เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่สองนี้ ไม่ตลกเลย เรื่องได้ว่า กรมที่หาเงินให้แก่รัฐ ส่งเช็คมาถึงที่บ้านเขียนลงในหนังสือว่า
เรากรอกปันผลผิด งานนี้เราเชื่อได้ว่า เรากรอกถูกเพราะ เรากรอกส่งสามรอบ ก็ตัวเลขเดียวกันทั้งสามรอบ
แต่เรานึกได้ว่า เราส่งปันผลของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ไปให้ด้วย งานไม่น่าเข้า แต่ในใจคิดเลยว่า
ใช่แน่นอน ว่าตัวนี้ทำให้เราได้คืนเครดิตภาษีน้อยกว่าที่เราขอ
ดังนั้นวันนี้โทรไปหา เจ้าหน้า เขต 29 ที่ดูแล เจ้าหน้าที่บอกเลยว่า เอกสารที่ออกมาเขียนไม่ชัดเจนว่า ยกเว้นภาษีให้บุคคลธรรม เราเลยสวนไปเลยว่า เอ๋มันมีประกาศจากหน่วยงานแห่งนี้ แล้วไม่พอ ยังมีประกาศจากหน่วยงานที่สนับสนุนเรื่องการลงทุน ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทที่ดำเนินการจัดการ ก็ส่งเอกสารให้หน่วยงานภาครัฐนี้อีกต่างหาก กลับกลายเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจไม่ได้อ่าน ก่อนหน้านี้เราได้ยืนยันจาก Call Center ก็ดี หรือเจ้าหน้าที่ที่เขตนี้ (29) บอกเลยว่าไม่ต้องกรอก แต่เราพลาดที่เราส่งเอกสารไปให้ เพราะมันแม็กซ์ไปเป็นพลวง
สุดท้าย คือ เจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่า กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน นี้ได้รับยกเว้น เพียงแค่ ตัวหนังสือในเอกสารไม่บอกว่า ยกเว้นสำหรับบุคคลธรรมดา เป็นระยะเวลา 10 ปี
อนึ่งที่เราไม่ต้องการคืน เงินที่ควรจะได้เพราะว่า มันทานข้าวได้แค่ 2 จาน(1มื้อของผมเท่านั้น)
แต่ผมเสียเวลาทั้งส่งเอกสารคืน และ ต้องยื่นอุทธรณ์ในการตัดสินของเจ้าหน้าที่ที่ผิดพลาด
ทั้งสองเรื่องนี้ มีคำสอนว่า
เราคิดว่าเรารู้ทุกอย่างแต่คนอื่นๆ ไม่รู้ทุกอย่างเหมือนเรา
ต้องทำให้เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเสียเถอะ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 123
อันนี้ที่นำเสนอไปเป็นเอกสารของ คปภ ในส่วนของการลงทุน ของกิจการประกันชีวิตและวินาศภัย
ที่ได้ปรับเปลี่ยนในเกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่ปี 2556 แล้ว แต่ผมเพิ่งเจอเอกสารที่อธิบายได้ชัดเจนว่า
อะไรลงทุนได้หรือลงทุนไม่ได้
เพื่อมิให้เพื่อนนักลงทุนในกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตได้มีความรู้
ผมเลยโพสลิงค์ไว้ให้ (link ดังกล่าวเป็น Presentation) ทำความเข้าใจกับมัน
แล้วค่อยๆ แกะจากสิ่งเหล่านี้ แล้วจะรู้ว่า ทำไมปีที่แล้วผมโพสเรื่องอัตราดอกเบี้ยยาวนานมากๆๆ
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเริ่มเฉยๆๆหรือ เป็นช่วงที่มีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น
ขอให้เพื่อนนักลงทุนโชคดีครับ
การประชุมชี้แจงหลักการและสาระสำคัญของประกาศ คปภ. เรื่อง การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิต (3 ก.ค.56)
http://www.oic.or.th/th/eservicepage/do ... 4%2056.pdf
การประชุมชี้แจงหลักการและสาระสำคัญของประกาศ คปภ. เรื่อง การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันวินาศภัย (9 ก.ค. 56)
http://www.oic.or.th/th/eservicepage/do ... 4%2056.pdf
การประชุมชี้แจงรายงานข้อมูลตามแบบรายงานการลงทุนและการประกอบธุรกิจอื่น (15 ส.ค. 56)
http://www.oic.or.th/th/eservicepage/do ... 4%2056.pdf
ที่ได้ปรับเปลี่ยนในเกี่ยวกับการลงทุนตั้งแต่ปี 2556 แล้ว แต่ผมเพิ่งเจอเอกสารที่อธิบายได้ชัดเจนว่า
อะไรลงทุนได้หรือลงทุนไม่ได้
เพื่อมิให้เพื่อนนักลงทุนในกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตได้มีความรู้
ผมเลยโพสลิงค์ไว้ให้ (link ดังกล่าวเป็น Presentation) ทำความเข้าใจกับมัน
แล้วค่อยๆ แกะจากสิ่งเหล่านี้ แล้วจะรู้ว่า ทำไมปีที่แล้วผมโพสเรื่องอัตราดอกเบี้ยยาวนานมากๆๆ
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเริ่มเฉยๆๆหรือ เป็นช่วงที่มีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น
ขอให้เพื่อนนักลงทุนโชคดีครับ
การประชุมชี้แจงหลักการและสาระสำคัญของประกาศ คปภ. เรื่อง การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิต (3 ก.ค.56)
http://www.oic.or.th/th/eservicepage/do ... 4%2056.pdf
การประชุมชี้แจงหลักการและสาระสำคัญของประกาศ คปภ. เรื่อง การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันวินาศภัย (9 ก.ค. 56)
http://www.oic.or.th/th/eservicepage/do ... 4%2056.pdf
การประชุมชี้แจงรายงานข้อมูลตามแบบรายงานการลงทุนและการประกอบธุรกิจอื่น (15 ส.ค. 56)
http://www.oic.or.th/th/eservicepage/do ... 4%2056.pdf
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 124
ตอนนี้ทำไมมั่นใจว่า SET index ไปต่อ
เนื่องจากมองไปข้างหน้ามีอะไรเกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นคือการประมูลคลื่น 1800 จำนวน 25 MHz โดยแบ่งเป็น 12.5MHz จำนวน 2 ใบอนุญาต ใช้งานจริงได้ 10 MHz เท่านั้นอีก 2.5MHz เป็นช่วงคลื่นที่กันคลื่นรบกวน
การประมูล ถ้าดูจากครั้นที่ประมูลคลื่น 2100 นั้น ตอนนั้นเป็นการขอสินเชื่อของแต่ละ Operator จากธนาคาพาณิชย์ต่างๆ
ดังนั้น ถ้าหากประมูลครั้งนี้เดินตามรอยครั้งที่แล้ว ธนาคาพาณิชย์ ดำเนินการตุนสินเชื่อไว้ แต่ในขณะนี้ การระดมเงินฝากก็ดี ไม่ดำเนินการเพราะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และ ยอดหนี้สินครัวเรือนที่สูงทำให้อัตราการออมที่ลดลง ผลดังกล่าว ถ้าหาก ธปท ไม่ออกมาตราการอะไรมาช่วยเหลือ ยอดสินเชื่อไม่นาจะเติบโตได้ นอกเสียจากการกู้ต่างประเทศเพื่อระดมเงินไปปล่อยกู้ต่อ
ถ้ามองในแง่นี้แล้ว มันก็มีเงินไหลเข้ามาอีกระลอก เพื่อการนี้
เนื่องจากมองไปข้างหน้ามีอะไรเกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นคือการประมูลคลื่น 1800 จำนวน 25 MHz โดยแบ่งเป็น 12.5MHz จำนวน 2 ใบอนุญาต ใช้งานจริงได้ 10 MHz เท่านั้นอีก 2.5MHz เป็นช่วงคลื่นที่กันคลื่นรบกวน
การประมูล ถ้าดูจากครั้นที่ประมูลคลื่น 2100 นั้น ตอนนั้นเป็นการขอสินเชื่อของแต่ละ Operator จากธนาคาพาณิชย์ต่างๆ
ดังนั้น ถ้าหากประมูลครั้งนี้เดินตามรอยครั้งที่แล้ว ธนาคาพาณิชย์ ดำเนินการตุนสินเชื่อไว้ แต่ในขณะนี้ การระดมเงินฝากก็ดี ไม่ดำเนินการเพราะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และ ยอดหนี้สินครัวเรือนที่สูงทำให้อัตราการออมที่ลดลง ผลดังกล่าว ถ้าหาก ธปท ไม่ออกมาตราการอะไรมาช่วยเหลือ ยอดสินเชื่อไม่นาจะเติบโตได้ นอกเสียจากการกู้ต่างประเทศเพื่อระดมเงินไปปล่อยกู้ต่อ
ถ้ามองในแง่นี้แล้ว มันก็มีเงินไหลเข้ามาอีกระลอก เพื่อการนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 126
เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปเดินงาน LED Expo 2014 Thailand (http://www.ledexpothailand.com/)จัดงานระหว่างวันที่ 22-24 พ.ค. 2557 ที่ฮอลล์ 7-8 อาคารอิมแพ็ค อารมณ์แบบไปชิวๆๆ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว และ บรรยายความเห็นต่างทางความคิดร้อนแรงอีกวันหนึ่ง
การเดินทางเดี๋ยวนี้ไปอิมแพ็คเมืองทองธานีง่ายกว่าเมื่อก่อนขึ้นโดยมีจุดต่อรถที่สำคัญที่ใช้บริการคืออนุสาวรีย์ มีรถเมล์ 166 (วิ่งไปปากเกร็ดก่อนเข้าเมืองทอง) รถตู้(อันนี้ขึ้นทางด่วนลงอิมแพ็คเลย หรือ ขึ้นอิมแพ็คแล้วลงอนุสาวรีย์เลย) รถสองแถว แต่ทว่าเข้าไปแล้วเดินเอาหน่อยล่ะกัน เพราะจัดงานที่ฮอลล์สุดท้ายของอิมแพ็คเลย เดินเอาเหนื่อยเลยล่ะ
เข้าไปจากฮอลล์ 8 (ฮอลล์สุดท้าย) ก่อนเลยเดินไปเจอเจอะ ผู้ประกอบการในเมืองไทย ผู้ประกอบการจากเมืองจีน เกาหลี เป็นหลัก ในงาน (บอกว่าเข้าผิดทางน่าเข้าทางฮอลล์ 7 เพราะว่า ทางนั้นมีอะไรดีๆกว่าทางเข้าฮอลล์8)
แต่ไม่เป็นไรเข้ามาแล้ว ก็เดินทั่วงานเลยล่ะกัน
ส่วนใหญ่ในงานก็เ้น้นเรื่องหลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงานคือ LED แห่มชื่องานก็บอกแล้วว่าเป็นงาน LED Expo 2014 Thailand แล้วจะมีอย่างอื่นเป็นพระเอกได้ไง เดี๋ยวแย่งซีนกัน
อุปกรณ์ที่แสดงมีตั้งแต่ หลอดไฟฟ้า LED ที่ใช้ในบ้านแบบทดแทนหลอดตะเกียบ หลอดผอม หลอดที่มาทำป้ายโฆษณา (รวมถึงป้ายโฆษณา) Power Supply แผงวงจร ,อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง (เครื่องมือในการติด ประกอบ LED ท่อที่ใช้ในงาน LED) ป้ายไฟจราจร สัญญาณจราจร แต่ที่เจอแล้วสวยงามคือ LED แบบชิปที่มาทำประดับห้องเป็นโคมไฟ อันนี้สวยเหมือนออกมาจากหนังเรื่องอวตารเลย มีอีกชิ้นแต่ไม่เกี่ยวกับ LED คือ การประยุกต์ตัวรับแสงอาทิตย์มาใช้ในอาคาร โดยเอาอะลูมิเนี่ยมมาประกอบกับแผงโซล่าร์เซลล์แล้วหมุนเพื่อให้แสงธรรมชาติสะท้อนเข้าอาคาร เป็นการประหยัดพลังงงาน แผงนี้หมุนไปตามแนวของพระอาทิตย์ได้
ในงานนี้ใครมีนามบัตรได้เปรียบมากๆๆ เพราะแลกแต่นามบัตร มีหนังสือแจกฟรีเหมือนงานทั่วไป
แต่ที่ทำให้หงุดหงิดนิดหน่อย จากเหล่าพริตตี้ในงานคือ น้องๆๆไม่สนใจกล้องแบบ Mirrorless ตัวเล็กๆๆๆเลย (T_T) สนใจแต่กล้อง DSLR อย่างเดียวเลย ขอถ่ายรูปแต่หันหน้าหนีเลย (เนี่ยเป็นข้อสังเกตว่า งานจัดอะไรก็มีพริตตี้ ขนาดงานที่เกี่ยวกับอาหารที่จัดคู่กันก็มีพริตตี้มาโชว์ตัว มาบรรยายสรรพคุณของอาหาร แล้วไซร้งาน LED Expo ไม่ีมีได้ไง แต่มีเฉพาะ บูทใหญ่ๆๆเท่านั้น)
สิ่งที่ได้กลับมาบ้าน หนังสืออ่าน (นิตยสารแจกฟรี 4-5 เล่ม) Catalog สินค้าที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากหลอด LED น้ำเปล่า 1 ขวด ถุงสองใบ แล้วก็ที่สำคัญหลอดไฟ LED แบบ T8 และ T16 ที่มาใช้งานที่บ้าน
ในงานมีการให้ความรู้เรื่องการเปลี่ยนหลอดผอมหรือหลอดไส้(หลอดตะเกียบ)มาใช้งานเป็นหลอด LED
ผมขอเน้นที่หลอดผอมหรือหลอดนีออน
คุณสมบัติของหลอดไฟแบบ LED มันทำมาจาก พลาสติ้ก ทำให้ตกไม่แตก ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องแก้วเคลือบสารพิษแตก แล้วทำให้บาดมือ (คนเก็บขยะจะได้ลดการบาดเจ็บลงด้วย ลดความเสียหายในการจัดส่งสินค้าได้อีก)
ประหยัดไฟเมื่อเทียบกับหลอดผอมแบบเดียว (หลอดไฟฟ้าแบบ LED รับประทาน Watt น้อยกว่า หลอดผอมแบบเดิม)
อายุการใช้งานที่มากกว่า
ที่สำคัญคือ ลดอุปกรณ์ที่ต้องบำรุงรักษาลง หากมีการเปลี่ยนรางของหลอด ทำไมหรือในประเด็นนี้คือ หลอดไฟฟ้าแบบ LED นั้นไม่ต้องการ Ballast และ Starter ในการทำงาน ต่อสายไฟเข้ากับขั้วหลอด เสียบใช้งานได้เลย แต่มีความเสี่ยงเรื่องกระแสไฟฟ้ากระชากหน่อยล่ะกัน ในประเด็นนี้ผู้ใช้งานหากการใช้งานรางเดิม ก็สามารถทำได้สองแนวทาง
คือดักแปลงรางเดิมโดย By pass สายไฟฟ้าไม่ต่อกับ Ballast กับ Starter อันนี้มีความเสี่ยงเรื่องจุดที่ตัดต่อสายเพิ่มเติม ว่าตัดต่อสายและพันเทปดีหรือเปล่า กับอีกแบบคือ ใช้ Ballast แล้วถอด Starter ออกใส่ Protector แทน Starter(วิถีนี้ทาง ฟิลิปป์ แนะนำให้ดำเนินการ โดยราคาของ Protector 50 บาทเท่ากับก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม) แต่ทว่าวิธีหลังประหยัดไฟฟ้าจากหลอดไฟฟ้าอย่างเดียว แต่อุปกรณ์ยังอยู่ครบคือ Ballast กับ Protecter ดังนั้นช่างใจหน่อยละกันว่าท่านจะดำเนินการแบบไหน
งานนี้ถ้าท่านไปเย็นๆๆวันสุดท้าย(เมื่อวานนี้) เหมือนที่ผมไป อาจจะมีการลดราคาของหลอดไฟฟ้าแบบ LED แบบล้างสต๊อก ก็ได้ จากผู้ผลิตบางเจ้าที่มาจัดงาน แบบกระหน่ำมากๆๆ และได้ใจมากๆๆด้วยล่ะ
ผมก็ซื้อหลอดไฟฟ้า LED กลับมาลองใช้งานที่บ้าน (เป็นแบบ T8 และ T16) ลองมาเปลี่ยนที่บ้าง โดยใช้ Ballast กับ Protecter ในชุดรางเดิม เพราะไม่อย่าที่จะปรับปรุงชุดรางเพื่อเกิดความเสี่ยง ยอมประหยัดค่าไฟฟ้าจากพลังงานที่หลอดใช้งานแทน โดยคิดว่าทยอยเปลี่ยนไปเรื่อยๆๆ จากตำแหน่งที่ใช้งานบ่อยๆๆก่อน
ออกจากงานมาเจอฝนตก ก็รอแป๊บรอฝนซ่าแล้วกลับรถตู้ลงอนุสาวรีย์ ก็เจอ ... ซึ่งไม่ออกความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวล่ะกัน ซึ่งผมเดินไปขอทางไป เนื่องจากถือของหนักไม่พอมีเป้หลังอีก เป่าประกาศขอทางไปเรื่อยจนถึงตัวสถานี BTS ก็บอกว่าขอทางเพื่อใช้ BTS เดินทาง ก็ไม่วายเจอปัญหาเรื่องของคนใจร้อนในความคิดเห็นแตกต่าง แต่สุดท้ายก็เดินทางเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เดินไปใช้งาน BTS ได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร
การเดินทางเดี๋ยวนี้ไปอิมแพ็คเมืองทองธานีง่ายกว่าเมื่อก่อนขึ้นโดยมีจุดต่อรถที่สำคัญที่ใช้บริการคืออนุสาวรีย์ มีรถเมล์ 166 (วิ่งไปปากเกร็ดก่อนเข้าเมืองทอง) รถตู้(อันนี้ขึ้นทางด่วนลงอิมแพ็คเลย หรือ ขึ้นอิมแพ็คแล้วลงอนุสาวรีย์เลย) รถสองแถว แต่ทว่าเข้าไปแล้วเดินเอาหน่อยล่ะกัน เพราะจัดงานที่ฮอลล์สุดท้ายของอิมแพ็คเลย เดินเอาเหนื่อยเลยล่ะ
เข้าไปจากฮอลล์ 8 (ฮอลล์สุดท้าย) ก่อนเลยเดินไปเจอเจอะ ผู้ประกอบการในเมืองไทย ผู้ประกอบการจากเมืองจีน เกาหลี เป็นหลัก ในงาน (บอกว่าเข้าผิดทางน่าเข้าทางฮอลล์ 7 เพราะว่า ทางนั้นมีอะไรดีๆกว่าทางเข้าฮอลล์8)
แต่ไม่เป็นไรเข้ามาแล้ว ก็เดินทั่วงานเลยล่ะกัน
ส่วนใหญ่ในงานก็เ้น้นเรื่องหลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงานคือ LED แห่มชื่องานก็บอกแล้วว่าเป็นงาน LED Expo 2014 Thailand แล้วจะมีอย่างอื่นเป็นพระเอกได้ไง เดี๋ยวแย่งซีนกัน
อุปกรณ์ที่แสดงมีตั้งแต่ หลอดไฟฟ้า LED ที่ใช้ในบ้านแบบทดแทนหลอดตะเกียบ หลอดผอม หลอดที่มาทำป้ายโฆษณา (รวมถึงป้ายโฆษณา) Power Supply แผงวงจร ,อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง (เครื่องมือในการติด ประกอบ LED ท่อที่ใช้ในงาน LED) ป้ายไฟจราจร สัญญาณจราจร แต่ที่เจอแล้วสวยงามคือ LED แบบชิปที่มาทำประดับห้องเป็นโคมไฟ อันนี้สวยเหมือนออกมาจากหนังเรื่องอวตารเลย มีอีกชิ้นแต่ไม่เกี่ยวกับ LED คือ การประยุกต์ตัวรับแสงอาทิตย์มาใช้ในอาคาร โดยเอาอะลูมิเนี่ยมมาประกอบกับแผงโซล่าร์เซลล์แล้วหมุนเพื่อให้แสงธรรมชาติสะท้อนเข้าอาคาร เป็นการประหยัดพลังงงาน แผงนี้หมุนไปตามแนวของพระอาทิตย์ได้
ในงานนี้ใครมีนามบัตรได้เปรียบมากๆๆ เพราะแลกแต่นามบัตร มีหนังสือแจกฟรีเหมือนงานทั่วไป
แต่ที่ทำให้หงุดหงิดนิดหน่อย จากเหล่าพริตตี้ในงานคือ น้องๆๆไม่สนใจกล้องแบบ Mirrorless ตัวเล็กๆๆๆเลย (T_T) สนใจแต่กล้อง DSLR อย่างเดียวเลย ขอถ่ายรูปแต่หันหน้าหนีเลย (เนี่ยเป็นข้อสังเกตว่า งานจัดอะไรก็มีพริตตี้ ขนาดงานที่เกี่ยวกับอาหารที่จัดคู่กันก็มีพริตตี้มาโชว์ตัว มาบรรยายสรรพคุณของอาหาร แล้วไซร้งาน LED Expo ไม่ีมีได้ไง แต่มีเฉพาะ บูทใหญ่ๆๆเท่านั้น)
สิ่งที่ได้กลับมาบ้าน หนังสืออ่าน (นิตยสารแจกฟรี 4-5 เล่ม) Catalog สินค้าที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากหลอด LED น้ำเปล่า 1 ขวด ถุงสองใบ แล้วก็ที่สำคัญหลอดไฟ LED แบบ T8 และ T16 ที่มาใช้งานที่บ้าน
ในงานมีการให้ความรู้เรื่องการเปลี่ยนหลอดผอมหรือหลอดไส้(หลอดตะเกียบ)มาใช้งานเป็นหลอด LED
ผมขอเน้นที่หลอดผอมหรือหลอดนีออน
คุณสมบัติของหลอดไฟแบบ LED มันทำมาจาก พลาสติ้ก ทำให้ตกไม่แตก ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องแก้วเคลือบสารพิษแตก แล้วทำให้บาดมือ (คนเก็บขยะจะได้ลดการบาดเจ็บลงด้วย ลดความเสียหายในการจัดส่งสินค้าได้อีก)
ประหยัดไฟเมื่อเทียบกับหลอดผอมแบบเดียว (หลอดไฟฟ้าแบบ LED รับประทาน Watt น้อยกว่า หลอดผอมแบบเดิม)
อายุการใช้งานที่มากกว่า
ที่สำคัญคือ ลดอุปกรณ์ที่ต้องบำรุงรักษาลง หากมีการเปลี่ยนรางของหลอด ทำไมหรือในประเด็นนี้คือ หลอดไฟฟ้าแบบ LED นั้นไม่ต้องการ Ballast และ Starter ในการทำงาน ต่อสายไฟเข้ากับขั้วหลอด เสียบใช้งานได้เลย แต่มีความเสี่ยงเรื่องกระแสไฟฟ้ากระชากหน่อยล่ะกัน ในประเด็นนี้ผู้ใช้งานหากการใช้งานรางเดิม ก็สามารถทำได้สองแนวทาง
คือดักแปลงรางเดิมโดย By pass สายไฟฟ้าไม่ต่อกับ Ballast กับ Starter อันนี้มีความเสี่ยงเรื่องจุดที่ตัดต่อสายเพิ่มเติม ว่าตัดต่อสายและพันเทปดีหรือเปล่า กับอีกแบบคือ ใช้ Ballast แล้วถอด Starter ออกใส่ Protector แทน Starter(วิถีนี้ทาง ฟิลิปป์ แนะนำให้ดำเนินการ โดยราคาของ Protector 50 บาทเท่ากับก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม) แต่ทว่าวิธีหลังประหยัดไฟฟ้าจากหลอดไฟฟ้าอย่างเดียว แต่อุปกรณ์ยังอยู่ครบคือ Ballast กับ Protecter ดังนั้นช่างใจหน่อยละกันว่าท่านจะดำเนินการแบบไหน
งานนี้ถ้าท่านไปเย็นๆๆวันสุดท้าย(เมื่อวานนี้) เหมือนที่ผมไป อาจจะมีการลดราคาของหลอดไฟฟ้าแบบ LED แบบล้างสต๊อก ก็ได้ จากผู้ผลิตบางเจ้าที่มาจัดงาน แบบกระหน่ำมากๆๆ และได้ใจมากๆๆด้วยล่ะ
ผมก็ซื้อหลอดไฟฟ้า LED กลับมาลองใช้งานที่บ้าน (เป็นแบบ T8 และ T16) ลองมาเปลี่ยนที่บ้าง โดยใช้ Ballast กับ Protecter ในชุดรางเดิม เพราะไม่อย่าที่จะปรับปรุงชุดรางเพื่อเกิดความเสี่ยง ยอมประหยัดค่าไฟฟ้าจากพลังงานที่หลอดใช้งานแทน โดยคิดว่าทยอยเปลี่ยนไปเรื่อยๆๆ จากตำแหน่งที่ใช้งานบ่อยๆๆก่อน
ออกจากงานมาเจอฝนตก ก็รอแป๊บรอฝนซ่าแล้วกลับรถตู้ลงอนุสาวรีย์ ก็เจอ ... ซึ่งไม่ออกความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวล่ะกัน ซึ่งผมเดินไปขอทางไป เนื่องจากถือของหนักไม่พอมีเป้หลังอีก เป่าประกาศขอทางไปเรื่อยจนถึงตัวสถานี BTS ก็บอกว่าขอทางเพื่อใช้ BTS เดินทาง ก็ไม่วายเจอปัญหาเรื่องของคนใจร้อนในความคิดเห็นแตกต่าง แต่สุดท้ายก็เดินทางเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เดินไปใช้งาน BTS ได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 127
ลองศึกษาเพิ่มเติม หลอดไฟ LED แบบ T8 ได้ที่นี้
http://www.lighting.philips.co.th/pwc_l ... 1Baht1.pdf
http://www.lighting.philips.co.th/pwc_l ... 1Baht1.pdf
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 128
ขอสังเกตครับ
อย่างแรก ก่อนหน้าที่เกิดเหตุการณ์ ปฏิวัติ มีปัญหาเรื่องเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าว ไม่สามารถจัดหาได้ แต่ตอนนี้จัดหาได้แล้ว ด้วยการกู้เงินจำนวน 9หมื่นล้านบาท
อย่างที่สอง ต่อเนื่องจากโครงการจำนำข้าวคือ เงินไม่มา แถมมีการจัดการเลือกตั้งอีก มันเป็นการประกันเรื่องคะแนนเสียงหรือเปล่า
สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ
เมื่อจัดหนักจัดเต็ม เอาใจประชาชน ด้วยการอัดเม็ดเงินลงมาในระบบทันที แบบไม่รอดช้า เนื่องจากปลดล็อคสิ่งต่างๆที่ล็อคไว้หลายต่อหลายชั้นออกเสียก่อน มาดูกัน
นโยบายที่กู้มา 9 หมื่นล้านบาท มาใช้ในโครงการจำนำข้าวนั้นเป็นนโยบายการคลัง กู้มาใช้ก่อน ทำให้เงินเกิดการไหลเวียนในระบบมากขึ้น จากเดิมที่เงินไม่ไหลเวียนในระบบเหมือนน้ำที่ขังไว้จนเน่า แต่หากมีการไหลเวียนของน้ำเกิดขึ้น น้ำไม่มีการเน่าเกิดขึ้นได้ นอกจากคนไปปล่อยมลพิษลงแหล่งน้ำเท่านั้น
เมื่อเงินไหลเข้าระบบ มีสูตรคำนวณของทางเศรษฐศาสตร์คือ Multiplier (ตัวทวีคูณ) เมื่ออัดเงินเข้าระบบแล้ว เงินนั้นไหลเวียนในระบบได้กี่รอบ นั้นคือ เงินมันขยายตัวจากที่ใส่ไป 9 หมื่นล้านบาทเริ่มต้น ขยายให้เกิดการซื้อสินค้า บริการ และอื่นๆ ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้
อีกตัวที่มาพยุงคือ เงินจากภาษีสรรพาสามิต รถยนต์คันแรกอีก 6 พันล้านบาท อันนี้ กกต เพิ่งจะอนุมัติ จากมติคำขอของรัฐบาลรักษาก่อน ให้สามารถจ่ายโครงการนี้ได้ในเดือน มิย- กค 2557
ที่สังเกตเห็นอีกคือ
คำสั่งมาตอนละครมา แบบกลางๆเรื่องคือประมาณ 2100 น.
ส่วนตอนเย็น 1800 น. เป็นการแถลงการณ์
หวังว่า Mod ไม่หิ้วความเห็นนี้ละ
อย่างแรก ก่อนหน้าที่เกิดเหตุการณ์ ปฏิวัติ มีปัญหาเรื่องเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าว ไม่สามารถจัดหาได้ แต่ตอนนี้จัดหาได้แล้ว ด้วยการกู้เงินจำนวน 9หมื่นล้านบาท
อย่างที่สอง ต่อเนื่องจากโครงการจำนำข้าวคือ เงินไม่มา แถมมีการจัดการเลือกตั้งอีก มันเป็นการประกันเรื่องคะแนนเสียงหรือเปล่า
สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ
เมื่อจัดหนักจัดเต็ม เอาใจประชาชน ด้วยการอัดเม็ดเงินลงมาในระบบทันที แบบไม่รอดช้า เนื่องจากปลดล็อคสิ่งต่างๆที่ล็อคไว้หลายต่อหลายชั้นออกเสียก่อน มาดูกัน
นโยบายที่กู้มา 9 หมื่นล้านบาท มาใช้ในโครงการจำนำข้าวนั้นเป็นนโยบายการคลัง กู้มาใช้ก่อน ทำให้เงินเกิดการไหลเวียนในระบบมากขึ้น จากเดิมที่เงินไม่ไหลเวียนในระบบเหมือนน้ำที่ขังไว้จนเน่า แต่หากมีการไหลเวียนของน้ำเกิดขึ้น น้ำไม่มีการเน่าเกิดขึ้นได้ นอกจากคนไปปล่อยมลพิษลงแหล่งน้ำเท่านั้น
เมื่อเงินไหลเข้าระบบ มีสูตรคำนวณของทางเศรษฐศาสตร์คือ Multiplier (ตัวทวีคูณ) เมื่ออัดเงินเข้าระบบแล้ว เงินนั้นไหลเวียนในระบบได้กี่รอบ นั้นคือ เงินมันขยายตัวจากที่ใส่ไป 9 หมื่นล้านบาทเริ่มต้น ขยายให้เกิดการซื้อสินค้า บริการ และอื่นๆ ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้
อีกตัวที่มาพยุงคือ เงินจากภาษีสรรพาสามิต รถยนต์คันแรกอีก 6 พันล้านบาท อันนี้ กกต เพิ่งจะอนุมัติ จากมติคำขอของรัฐบาลรักษาก่อน ให้สามารถจ่ายโครงการนี้ได้ในเดือน มิย- กค 2557
ที่สังเกตเห็นอีกคือ
คำสั่งมาตอนละครมา แบบกลางๆเรื่องคือประมาณ 2100 น.
ส่วนตอนเย็น 1800 น. เป็นการแถลงการณ์
หวังว่า Mod ไม่หิ้วความเห็นนี้ละ
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 129
ช่วงนี้เหรอครับ ทยอยสะสมหุ้นตัวที่ราคาลงมาในเกณฑทีตั้งตั้งไว้ เข้าพอร์ตอีกครับ
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 130
พักนี้นักลงทุนควรที่หูหนักเข้าไว้
เพื่อข่าวลือ หรือ ข่าวสร้างกระแสมาตอน 15.00 น. ตอนบ่ายสามโมง
แข่งกับแก็งค์ 4 โมงเย็นครับ
โปรดอย่า ส่งต่อ แบ่งปัน หรือ ทำการอะไรที่ทำให้เกิดโหมข่าว
มันทำให้เสียกับเสีย ถ้าหากข่าวนั้นไม่เป็นความจริง
ในห้วงเวลาแบบนี้
โปรดเข้าใจกันตามนี้ครับ
อีกอย่าง ใจนิ่งๆๆ ใจเย็นๆ
เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่าให้มันกระทบใจของเรา
หรือ ทำให้มัน Over load จนตัวเราเอง หรือ ใจของเราสั่นไหว
แค่นี้แหละที่จะบอก
เพื่อข่าวลือ หรือ ข่าวสร้างกระแสมาตอน 15.00 น. ตอนบ่ายสามโมง
แข่งกับแก็งค์ 4 โมงเย็นครับ
โปรดอย่า ส่งต่อ แบ่งปัน หรือ ทำการอะไรที่ทำให้เกิดโหมข่าว
มันทำให้เสียกับเสีย ถ้าหากข่าวนั้นไม่เป็นความจริง
ในห้วงเวลาแบบนี้
โปรดเข้าใจกันตามนี้ครับ
อีกอย่าง ใจนิ่งๆๆ ใจเย็นๆ
เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่าให้มันกระทบใจของเรา
หรือ ทำให้มัน Over load จนตัวเราเอง หรือ ใจของเราสั่นไหว
แค่นี้แหละที่จะบอก
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 131
ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มชัดเจน
กำลังเงินก็มาแล้ว
กำลังใจของนักลงทุนก็กลับมา จากการวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังของดัชนีตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
แต่ในมุมของผม คือ ตอนนี้ทุกคนกล้า เราต้องถอยก่อน คือ ยืนดูอยู่นอกสนาม
สิ่งที่ผมบอกไว้ก่อนหน้านี้ลองอ่านดู (วันที่ 16 พ.ค. 2557) บอกไว้ว่า ผมมองว่าตอนนั้น เป็นจุดที่น่าลงทุน
เพราะสับสนวุ่นวาย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลานั้นแล้ว เวลานี้ทุกอย่างเริ่มชัดเจน เริ่มเป็น Road Map แผนในการเดินทางแล้วไปให้ถึงปลายทางนั้นให้ได้ ถ้าไปไม่ถึง หรือ ล่าช้า มันทำให้ Road Map เสียหรือกระทบไป
สิ่งหนึ่งที่ผมมาคิดทบทวนคือ มันก็แปลกดีเหมือนกัน ที่ Port ของ ผมทำงานในตอนที่ตลาด Side way ออกด้านข้างเสมอ หรือ ตลาดลดลง Port ของผมทำงานได้ดีเอามากๆ แต่พอ ตลาดเป็นกระทิงขวิดที่ไร Port ของผม มักจะทำตัวแบบว่านิ่งสนิท หรือ สวนลงด้วยซ้ำไป มันแปลกแต่จริง
กำลังเงินก็มาแล้ว
กำลังใจของนักลงทุนก็กลับมา จากการวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังของดัชนีตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
แต่ในมุมของผม คือ ตอนนี้ทุกคนกล้า เราต้องถอยก่อน คือ ยืนดูอยู่นอกสนาม
สิ่งที่ผมบอกไว้ก่อนหน้านี้ลองอ่านดู (วันที่ 16 พ.ค. 2557) บอกไว้ว่า ผมมองว่าตอนนั้น เป็นจุดที่น่าลงทุน
เพราะสับสนวุ่นวาย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลานั้นแล้ว เวลานี้ทุกอย่างเริ่มชัดเจน เริ่มเป็น Road Map แผนในการเดินทางแล้วไปให้ถึงปลายทางนั้นให้ได้ ถ้าไปไม่ถึง หรือ ล่าช้า มันทำให้ Road Map เสียหรือกระทบไป
สิ่งหนึ่งที่ผมมาคิดทบทวนคือ มันก็แปลกดีเหมือนกัน ที่ Port ของ ผมทำงานในตอนที่ตลาด Side way ออกด้านข้างเสมอ หรือ ตลาดลดลง Port ของผมทำงานได้ดีเอามากๆ แต่พอ ตลาดเป็นกระทิงขวิดที่ไร Port ของผม มักจะทำตัวแบบว่านิ่งสนิท หรือ สวนลงด้วยซ้ำไป มันแปลกแต่จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 132
ไป Op day ครั้งแรก ก็สังเกตอะไรต่อมิอะไรได้หลายต่อหลายอย่าง
อย่างแรงคือ
1. เรื่องของเวลา ที่ควบคุมไม่ค่อยได้ คือ บริษัทนำเสนอเกินเวลา
ซึ่งในอดีต ตลาด(ห)ลักทรัพย์ให้เวลาแก่บริษัทจดทะเบียนนำเสนอข้อมูลให้แก่นักลงทุนที่สนใจ
นักวิเคราะห์ และผู้ถือหุ้น เป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมง แต่ตอนนี้เหลือ 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง แถมมี
รายการก่อนหน้าด้วย ถ้ารายการก่อนหน้าช้า ทำให้รายการอื่นๆช้าไปด้วย
2. เรื่องของอาหารว่าง ที่มีทุกเบรก ซึ่งจัดไว้ เพียงพอ 30 ท่านเท่านั้น แต่เข้าคิวก่อนเวลา ประมาณ 10-20 นาที
บ้างครั้งก็ไม่พอกันทีเดียว สิ่งนี้แก้ไขด้วยการลงทะเบียนแล้วให้บัตรหรือคูปองในเรื่องการทานเบรก เป็นผลดีทั้งแก่บริษัทจดทะเบียน และ ผู้จัดด้วย ว่ารู้ว่ายอดคนที่ให้ความสนใจมากแค่ไหนด้วย
สิ่งที่ดีคือ บริษัทได้พบนักลงทุนบ่อยขึ้น แต่จริงๆ ควรมีนโยบายที่ให้บริษัทหมุนเวียนมาออกให้ได้ ไม่ใช่มีแต่หน้าประจำมาออก อย่างเดียว
นับว่าไป ณ สถานที่จริงวันนี้ได้ความรู้อะไรมาประมวลผลเพียบเลยละครับ
ขอขอบคุณโครงการดีๆๆแบบนี้ละครับ
อย่างแรงคือ
1. เรื่องของเวลา ที่ควบคุมไม่ค่อยได้ คือ บริษัทนำเสนอเกินเวลา
ซึ่งในอดีต ตลาด(ห)ลักทรัพย์ให้เวลาแก่บริษัทจดทะเบียนนำเสนอข้อมูลให้แก่นักลงทุนที่สนใจ
นักวิเคราะห์ และผู้ถือหุ้น เป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมง แต่ตอนนี้เหลือ 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง แถมมี
รายการก่อนหน้าด้วย ถ้ารายการก่อนหน้าช้า ทำให้รายการอื่นๆช้าไปด้วย
2. เรื่องของอาหารว่าง ที่มีทุกเบรก ซึ่งจัดไว้ เพียงพอ 30 ท่านเท่านั้น แต่เข้าคิวก่อนเวลา ประมาณ 10-20 นาที
บ้างครั้งก็ไม่พอกันทีเดียว สิ่งนี้แก้ไขด้วยการลงทะเบียนแล้วให้บัตรหรือคูปองในเรื่องการทานเบรก เป็นผลดีทั้งแก่บริษัทจดทะเบียน และ ผู้จัดด้วย ว่ารู้ว่ายอดคนที่ให้ความสนใจมากแค่ไหนด้วย
สิ่งที่ดีคือ บริษัทได้พบนักลงทุนบ่อยขึ้น แต่จริงๆ ควรมีนโยบายที่ให้บริษัทหมุนเวียนมาออกให้ได้ ไม่ใช่มีแต่หน้าประจำมาออก อย่างเดียว
นับว่าไป ณ สถานที่จริงวันนี้ได้ความรู้อะไรมาประมวลผลเพียบเลยละครับ
ขอขอบคุณโครงการดีๆๆแบบนี้ละครับ
- Samkok
- Verified User
- โพสต์: 1880
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 133
ขยายวัน oppday เพิ่มก็น่าจะดีนะครับ จะได้มีหลายๆบริษัทมาร่วมงาน Oppday กันมากๆครับ
ร่วมถึงน่าจะช่วยแก้ปัญหาเวลาในแต่วันที่จบไปอย่างรวดเร็วครับ
ร่วมถึงน่าจะช่วยแก้ปัญหาเวลาในแต่วันที่จบไปอย่างรวดเร็วครับ
ในโลกหล้านี้... มีเพียงหนึ่งเดียวที่ฟ้ามิอาจลิขิตได้นั่นก็คือ "ยอดคน"
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 134
Why has the ECB introduced a negative interest rate?
The European Central Bank's mandate is to ensure price stability by aiming for an inflation rate of below but close to 2% over the medium term. Like most central banks, the ECB influences inflation by setting interest rates. If the central bank wants to act against too high inflation, it generally increases interest rates, making it more expensive to borrow and more attractive to save. By contrast, if it wants to counter too low inflation, it reduces interest rates.
Since euro area inflation is expected to remain considerably below 2% for a prolonged period, the ECB's Governing Council has judged that it needs to lower interest rates. The ECB has three main interest rates on which it can act: the marginal lending facility for overnight lending to banks, the main refinancing operations and the deposit facility. The main refinancing rate is the rate at which banks can regularly borrow from the ECB while the deposit rate is the rate banks receive for funds parked at the central bank. All three rates have been lowered.
To maintain a functioning money market in which commercial banks lend to each other, these rates cannot be too close to each other. Since the deposit rate was already at 0% and the refinancing rate at 0.25%, a cut in the refinancing rate to 0.15 % meant the deposit rate was lowered to − 0.10 % to maintain this corridor.
The cut is part of a combination of measures designed to ensure price stability over the medium term, which is a necessary condition for sustainable growth in the euro area.
Do I now have to pay my bank to keep my savings for me? What is the effect of this negative deposit rate on my savings?
There will be no direct impact on your savings. Only banks that deposit money in certain accounts at the ECB have to pay. Commercial banks may of course choose to lower interest rates for savers. At the same time, though, consumers and businesses can borrow more cheaply and this helps stimulate economic recovery.
In a market economy, the return on savings is determined by supply and demand. For example, low long-term interest rates are the result of low growth and an insufficient return on capital. The ECB's interest rate decisions will in fact benefit savers in the end because they support growth and thus create a climate in which interest rates can gradually return to higher levels.
But why punish savers and reward borrowers?
A central bank's core business is making it more or less attractive for households and businesses to save or borrow, but this is not done in the spirit of punishment or reward. By reducing interest rates and thus making it less attractive for people to save and more attractive to borrow, the central bank encourages people to spend money or invest. If, on the other hand, a central bank increases interest rates, the incentive shifts towards more saving and less spending in the aggregate, which can help cool an economy suffering from high inflation. This behaviour is not specific to the ECB; it applies to all central banks.
Isn't it possible for banks to avoid the negative deposit rate? For example, can't they simply decide to hold more banknotes?
If a bank holds more money than is required for the minimum reserves and if it is not willing to lend to other commercial banks, it has only two options: to hold the money on an account at the central bank or to hold it as cash. But holding cash is not cost-free either − not least since the bank needs a very safe storage facility to warehouse the banknotes. So it is unlikely that any bank would choose to do this. The more likely outcome is that banks either lend money to other banks or pay the negative deposit rate.
จาก
http://www.ecb.europa.eu/home/html/faqi ... es.en.html
------------------------------------------------------------------------------
http://www.ecb.europa.eu/stats/monetary ... ex.en.html ดูECB Key interest rates
------------------------------------------------------------------------------
ประเด็นของผมคือ
1. ใครเป็นคนฝากเงินที่ ECB ?
ธนาคารกลางหรือธนาคารพาณิชย์
2. การลดอัตราผลตอบแทนของเงินฝากลงต่ำกว่า 0% นั้น
เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย แต่จริงๆ มันคือ ภาวะชะงักงันของระบบเศรษฐกิจหรือเปล่า
เศรษฐกิจถดถอยจนกระทั่งประชาชนไม่กล้าเอาเงินไปลงทุน และธนาคารก็เอาเงินฝากไว้เหมือนกัน หรือเปล่า
3. เรื่องของ Marginal lending facility ปัจจุบันเหลือ 0.40% อันนี้ถ้าหากคุณเป็นคนที่ลงทุนในสถานบันการเงินเห็นค่านี้แบบนี้คิดว่าควรลงทุนหรือเปล่า
The European Central Bank's mandate is to ensure price stability by aiming for an inflation rate of below but close to 2% over the medium term. Like most central banks, the ECB influences inflation by setting interest rates. If the central bank wants to act against too high inflation, it generally increases interest rates, making it more expensive to borrow and more attractive to save. By contrast, if it wants to counter too low inflation, it reduces interest rates.
Since euro area inflation is expected to remain considerably below 2% for a prolonged period, the ECB's Governing Council has judged that it needs to lower interest rates. The ECB has three main interest rates on which it can act: the marginal lending facility for overnight lending to banks, the main refinancing operations and the deposit facility. The main refinancing rate is the rate at which banks can regularly borrow from the ECB while the deposit rate is the rate banks receive for funds parked at the central bank. All three rates have been lowered.
To maintain a functioning money market in which commercial banks lend to each other, these rates cannot be too close to each other. Since the deposit rate was already at 0% and the refinancing rate at 0.25%, a cut in the refinancing rate to 0.15 % meant the deposit rate was lowered to − 0.10 % to maintain this corridor.
The cut is part of a combination of measures designed to ensure price stability over the medium term, which is a necessary condition for sustainable growth in the euro area.
Do I now have to pay my bank to keep my savings for me? What is the effect of this negative deposit rate on my savings?
There will be no direct impact on your savings. Only banks that deposit money in certain accounts at the ECB have to pay. Commercial banks may of course choose to lower interest rates for savers. At the same time, though, consumers and businesses can borrow more cheaply and this helps stimulate economic recovery.
In a market economy, the return on savings is determined by supply and demand. For example, low long-term interest rates are the result of low growth and an insufficient return on capital. The ECB's interest rate decisions will in fact benefit savers in the end because they support growth and thus create a climate in which interest rates can gradually return to higher levels.
But why punish savers and reward borrowers?
A central bank's core business is making it more or less attractive for households and businesses to save or borrow, but this is not done in the spirit of punishment or reward. By reducing interest rates and thus making it less attractive for people to save and more attractive to borrow, the central bank encourages people to spend money or invest. If, on the other hand, a central bank increases interest rates, the incentive shifts towards more saving and less spending in the aggregate, which can help cool an economy suffering from high inflation. This behaviour is not specific to the ECB; it applies to all central banks.
Isn't it possible for banks to avoid the negative deposit rate? For example, can't they simply decide to hold more banknotes?
If a bank holds more money than is required for the minimum reserves and if it is not willing to lend to other commercial banks, it has only two options: to hold the money on an account at the central bank or to hold it as cash. But holding cash is not cost-free either − not least since the bank needs a very safe storage facility to warehouse the banknotes. So it is unlikely that any bank would choose to do this. The more likely outcome is that banks either lend money to other banks or pay the negative deposit rate.
จาก
http://www.ecb.europa.eu/home/html/faqi ... es.en.html
------------------------------------------------------------------------------
http://www.ecb.europa.eu/stats/monetary ... ex.en.html ดูECB Key interest rates
------------------------------------------------------------------------------
ประเด็นของผมคือ
1. ใครเป็นคนฝากเงินที่ ECB ?
ธนาคารกลางหรือธนาคารพาณิชย์
2. การลดอัตราผลตอบแทนของเงินฝากลงต่ำกว่า 0% นั้น
เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย แต่จริงๆ มันคือ ภาวะชะงักงันของระบบเศรษฐกิจหรือเปล่า
เศรษฐกิจถดถอยจนกระทั่งประชาชนไม่กล้าเอาเงินไปลงทุน และธนาคารก็เอาเงินฝากไว้เหมือนกัน หรือเปล่า
3. เรื่องของ Marginal lending facility ปัจจุบันเหลือ 0.40% อันนี้ถ้าหากคุณเป็นคนที่ลงทุนในสถานบันการเงินเห็นค่านี้แบบนี้คิดว่าควรลงทุนหรือเปล่า
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 136
เมื่อไหร่ผมจะเจอป๊อก 9 บ้างน๊า อยากมีดวงอย่างนี้บ้างจัง สงสัยต้องขยันศึกษาหาความรู้มากขึ้นอีก ^_^miracle เขียน:อยู่ดีๆๆ ก็เจอ เจ้ามือเปิดไพ่เป็น ป๊อก 9 สามเด้งไปแล้ว
ปีนี้มันดวงอะไรของมันล่ะเนี่ย
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 137
มันก็น่าคิดอ่ะ ทำไมเจอป๊อก 9 สามเด้งอ่ะปลูกหุ้นกินผล เขียน:เมื่อไหร่ผมจะเจอป๊อก 9 บ้างน๊า อยากมีดวงอย่างนี้บ้างจัง สงสัยต้องขยันศึกษาหาความรู้มากขึ้นอีก ^_^miracle เขียน:อยู่ดีๆๆ ก็เจอ เจ้ามือเปิดไพ่เป็น ป๊อก 9 สามเด้งไปแล้ว
ปีนี้มันดวงอะไรของมันล่ะเนี่ย
ที่บอกได้คือ 2 เด้งแรกเป็นธุรกิจเรื่องความเสี่ยง
เด้งที่สามเป็นธุรกิจของสวยของงาม
มาพร้อมกัน เลยเป็น สามเด้ง
พักหลังปลูกเอาปันผล ก็ได้น้อย เอา Gain ก็เสี่ยง
พอหันมาก็อ้าว โดนถอนต้นไม้ไปทั้งต้นเลย แบบนี้อดกินลูกเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 138
คุณ miracle ยังโชคดีกว่าผม เพราะเด้งที่3 น่าจะ happy
ส่วนผมเจอเด้ง1 เด้ง 2 แถมเด้ง2 ผมวางเดิมพันไว้หนักด้วย
เจ้ามือรายนี้ดูหน้าซื่อๆ เป็นผู้ดี แต่ใจร้ายชะมัดเลย
ส่วนผมเจอเด้ง1 เด้ง 2 แถมเด้ง2 ผมวางเดิมพันไว้หนักด้วย
เจ้ามือรายนี้ดูหน้าซื่อๆ เป็นผู้ดี แต่ใจร้ายชะมัดเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 139
ผมแค่นักลงทุนคนหนึ่ง มีอะไรก็บ่นไปlukton2000 เขียน:คุณ miracle ยังโชคดีกว่าผม เพราะเด้งที่3 น่าจะ happy
ส่วนผมเจอเด้ง1 เด้ง 2 แถมเด้ง2 ผมวางเดิมพันไว้หนักด้วย
เจ้ามือรายนี้ดูหน้าซื่อๆ เป็นผู้ดี แต่ใจร้ายชะมัดเลย
บ่นตามประสาครับ แต่อย่างไรเสีย มันก็ต้องใจเย็นๆๆ ค่อยดูครับ
ว่างๆๆก็คุยกัน เจอกันตามงานก็แวะทักทายครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 140
วันนี้ห้างคึกคักอย่างมากมาย คนไปดูหนังจากมหกรรมดูหนังสมเด็จพระนเรศวรฟรี
ซึ่งปรากฏการณ์โรงหนังแตก คนแน่นโรงแบบนี้ไม่ได้เกิดมานานหลายเพลาแล้ว
ที่กระแสของหนังก็ไม่ได้แรงอะไร แต่เมื่อตั๋วหนังแจกฟรี เท่านั้นแหละ คนก็อยากดูขึ้นมาทันที
ประชาชนก็แห่ไปรอห้างเปิด เพื่อเอาตั๋วฟรี ซึ่งมันก็เลยเกิดอาการโรงหนังฟรีเวอร์ขึ้น
ไม่เพียงแต่โรงหนังเท่านั้น ร้านอาหารก็ได้อานิจสงฆ์ไปด้วย เนื่องจากเวลาการฉายนั้นเวลา 11.00 น.
หนังเรื่องนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที ดังนั้นหนังเลิกประมาณ 13.45 น. (อาจจะมีโรงที่ฉายตอน 10.00 น.ด้วย ซึ่งไม่ได้ประกาศ เช่น ลิโด เป็นต้น เลิกเอา 12.45 น. ทำให้เรื่องที่ผมไปดูนั้นเลื่อนเวลาเดิมจาก 12.15 น.เป็น 12.45 น. เพราะ ฉายหนังสมเด็จพระนเรศวรก่อน) ไม่เพียงเท่านั้น มันใครที่อดได้ตั๋วฟรี เมื่ออดแล้ว ทำให้หนังเรื่องอื่นๆ มีคนดูเพิ่มขึ้นด้วย
ม้ันเป็นโมเมนตัมที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น หลังจาก วิกฤติการเมืองเมื่อปลายปีที่แล้วมา คนเดินห้างน้อยลง จับจ่ายน้อยลง จำเป็นต้องหาอะไรที่เป็นการจุดติดเครื่องยนต์ดังกล่าวเกิดขึ้น อาจจะเป็นจุดเล็กจุดนี้ก็เป็นไปได้ละ
ซึ่งปรากฏการณ์โรงหนังแตก คนแน่นโรงแบบนี้ไม่ได้เกิดมานานหลายเพลาแล้ว
ที่กระแสของหนังก็ไม่ได้แรงอะไร แต่เมื่อตั๋วหนังแจกฟรี เท่านั้นแหละ คนก็อยากดูขึ้นมาทันที
ประชาชนก็แห่ไปรอห้างเปิด เพื่อเอาตั๋วฟรี ซึ่งมันก็เลยเกิดอาการโรงหนังฟรีเวอร์ขึ้น
ไม่เพียงแต่โรงหนังเท่านั้น ร้านอาหารก็ได้อานิจสงฆ์ไปด้วย เนื่องจากเวลาการฉายนั้นเวลา 11.00 น.
หนังเรื่องนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที ดังนั้นหนังเลิกประมาณ 13.45 น. (อาจจะมีโรงที่ฉายตอน 10.00 น.ด้วย ซึ่งไม่ได้ประกาศ เช่น ลิโด เป็นต้น เลิกเอา 12.45 น. ทำให้เรื่องที่ผมไปดูนั้นเลื่อนเวลาเดิมจาก 12.15 น.เป็น 12.45 น. เพราะ ฉายหนังสมเด็จพระนเรศวรก่อน) ไม่เพียงเท่านั้น มันใครที่อดได้ตั๋วฟรี เมื่ออดแล้ว ทำให้หนังเรื่องอื่นๆ มีคนดูเพิ่มขึ้นด้วย
ม้ันเป็นโมเมนตัมที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น หลังจาก วิกฤติการเมืองเมื่อปลายปีที่แล้วมา คนเดินห้างน้อยลง จับจ่ายน้อยลง จำเป็นต้องหาอะไรที่เป็นการจุดติดเครื่องยนต์ดังกล่าวเกิดขึ้น อาจจะเป็นจุดเล็กจุดนี้ก็เป็นไปได้ละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 141
ช่วงนี้ได้ไปท่องเที่ยวทางอีสานใต้ คือไปบุรีรัมย์ มา
วันที่ไปออกจากกรุงเทพพร้อมเพื่อนด้วย ไปกันตั้งแต่ 8 โมงเช้า
ถึงบุรีรัมย์เอาเที่ยงวันพอดี แวะทานข้าวแถวอำเภอนางรอง
แล้วตรงไปที่เขากระโดม จุดนี้เดินขึ้นเขาได้แค่ครึ่งทางหอบเลย (แสดงว่าไม่ฟิตเท่าไร
มันหมายถึงสังขารที่เริ่มโรยราลงไป) ขึ้นถึงบนเขาลมเย็นๆก็พัดมาโดนตัว เย็นสบาย
ไหว้พระและพักเหนื่อยแล้วเดินไปทางปล่องของภูเขาไฟที่ดับแล้ว เดินไปก็ร้อนนิดหน่อย
แต่มีลมเย็นๆพัดตลอดทาง และวิวก็ดี ทำให้หายเหนื่อย
เดินลงไปทางถนน (ตอนขึ้นนั้นขึ้นทางบันไดนาค)
ออกจากจุดนี้ไปปราสาทเมืองต่า เข้าไปลึกพอควรขับไปเหมือนขับไม่ถึง สิ่งหนึ่งที่เจอะเจอ
ทางเข้าเรียบมากๆๆ ไม่มีหลุมหรือบ่อเลย แถมสองข้างทางเขียวชอ่ำอย่างมากๆๆ ทำให้อากาศไม่ค่อยร้อน
ไปปุ๊บ ก็เข้าฟรี จากนโยบายแบบพิเศษ (เงินค่าเข้าเราและเพื่อนๆให้มัคคุเทศน์เด็กผู้หญิง ที่มาเล่าเรื่องให้ฟัง
พวกเราฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยล่ะ)
วิวปราสาทสวยงามมากๆๆ เป็นวิวในละครด้วยล่ะ (ละครช่องสามคือ สาบพระเพ็ญนั้นเอง)
ออกจากที่นี้ขึ้นเขา ไปปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งอยู่ไม่่ห่างไกลนัก แต่ทว่าเจอปัญหาว่า เขาชันนิดหน่อย
เล่นเอารถติดก๊าซถึงกับเหนื่อนตอนขึ้นไปยังปราสาทพนมรุ้ง เราขับรถไปจอดหลังปราสาทไม่ได้เดินขึ้น
เพราะเย็นแล้ว ทำเวลาหน่อย
ที่นี้ก็วิวดีมากๆๆ แต่ทว่า แบตกล้องที่พกไปด้วยหมด (แบตสำรองและที่ชาร์จนั้นไม่ได้เอาไปด้วย เซ็งเลย)
ออกจากที่นี้เข้าที่พัก แล้วไปทานอาหารแถบอำเภอนางรอง ที่นี้อาหารอร่อย โรงแรมก็ดีด้วย เพิ่งได้นอนโรงแรมแบบห้องหนึ่งมีสองชั้น จุได้ประมาณ 4-6 คนได้เลยล่ะ
วันรุ่งขึ้นก็ไปเที่ยวปราสาทหินพิมาย ที่นี้ก็เข้าฟรีเหมือนกัน แต่อากาศร้อนและมีฝนปรอยๆๆ นิดหน่อย
ทริปนี้ ประหยัดมากๆๆ รวมหมดไม่ถึง 2,000 บาท กินแบบเข้าร้านตลอด หรือ ร้านข้างทางตลอด
วันที่ไปออกจากกรุงเทพพร้อมเพื่อนด้วย ไปกันตั้งแต่ 8 โมงเช้า
ถึงบุรีรัมย์เอาเที่ยงวันพอดี แวะทานข้าวแถวอำเภอนางรอง
แล้วตรงไปที่เขากระโดม จุดนี้เดินขึ้นเขาได้แค่ครึ่งทางหอบเลย (แสดงว่าไม่ฟิตเท่าไร
มันหมายถึงสังขารที่เริ่มโรยราลงไป) ขึ้นถึงบนเขาลมเย็นๆก็พัดมาโดนตัว เย็นสบาย
ไหว้พระและพักเหนื่อยแล้วเดินไปทางปล่องของภูเขาไฟที่ดับแล้ว เดินไปก็ร้อนนิดหน่อย
แต่มีลมเย็นๆพัดตลอดทาง และวิวก็ดี ทำให้หายเหนื่อย
เดินลงไปทางถนน (ตอนขึ้นนั้นขึ้นทางบันไดนาค)
ออกจากจุดนี้ไปปราสาทเมืองต่า เข้าไปลึกพอควรขับไปเหมือนขับไม่ถึง สิ่งหนึ่งที่เจอะเจอ
ทางเข้าเรียบมากๆๆ ไม่มีหลุมหรือบ่อเลย แถมสองข้างทางเขียวชอ่ำอย่างมากๆๆ ทำให้อากาศไม่ค่อยร้อน
ไปปุ๊บ ก็เข้าฟรี จากนโยบายแบบพิเศษ (เงินค่าเข้าเราและเพื่อนๆให้มัคคุเทศน์เด็กผู้หญิง ที่มาเล่าเรื่องให้ฟัง
พวกเราฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยล่ะ)
วิวปราสาทสวยงามมากๆๆ เป็นวิวในละครด้วยล่ะ (ละครช่องสามคือ สาบพระเพ็ญนั้นเอง)
ออกจากที่นี้ขึ้นเขา ไปปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งอยู่ไม่่ห่างไกลนัก แต่ทว่าเจอปัญหาว่า เขาชันนิดหน่อย
เล่นเอารถติดก๊าซถึงกับเหนื่อนตอนขึ้นไปยังปราสาทพนมรุ้ง เราขับรถไปจอดหลังปราสาทไม่ได้เดินขึ้น
เพราะเย็นแล้ว ทำเวลาหน่อย
ที่นี้ก็วิวดีมากๆๆ แต่ทว่า แบตกล้องที่พกไปด้วยหมด (แบตสำรองและที่ชาร์จนั้นไม่ได้เอาไปด้วย เซ็งเลย)
ออกจากที่นี้เข้าที่พัก แล้วไปทานอาหารแถบอำเภอนางรอง ที่นี้อาหารอร่อย โรงแรมก็ดีด้วย เพิ่งได้นอนโรงแรมแบบห้องหนึ่งมีสองชั้น จุได้ประมาณ 4-6 คนได้เลยล่ะ
วันรุ่งขึ้นก็ไปเที่ยวปราสาทหินพิมาย ที่นี้ก็เข้าฟรีเหมือนกัน แต่อากาศร้อนและมีฝนปรอยๆๆ นิดหน่อย
ทริปนี้ ประหยัดมากๆๆ รวมหมดไม่ถึง 2,000 บาท กินแบบเข้าร้านตลอด หรือ ร้านข้างทางตลอด
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 142
เมื่อวานนี้ 23 มิุุถุนายน 2557
มีกระแสข่าวออกมาเรื่องของอียูตัดสัมพันธ์ทางการค้ากับไทย
ในความคิดของผมเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของระยะสั้นเท่านั้น ไม่ใช่ระยะยาว
เนื่องจาก บริษัทเอกชนของอียูนั้นได้ลงทุนในประเทศไทยอย่างยาวนาน
ดังนั้นการตัดความสัมพันธ์ทางค้าขายโดยอ้างเรื่องประชาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องที่อ่อนมากๆ
เพราะ เมื่อหันไปดูประเทศจีนที่อียูนั้นคบค้าสมาคมก็ไม่ได้ปกครองด้วยประชาธิปไตย
จึงทำให้ผมคิดได้ว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาระยะสั้น แล้วทำไมอียูถึงประกาศแบบนั้นมันต้องมีทีมาทีไป
สิ่งที่ผมคิดได้นั้นคือ เรื่องของเศรษฐกิจภายในของอียูที่อ่อนแอตั้งแต่วิกฤติแฮมเบอร์ (ปี 2008)
เป็นต้นมานั้น อียู ได้ลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศเหล่าสมาชิกและปล่อยกู้ประเทศที่มีปัญหา
จนตอนนี้เศรษฐกิจในอียูเองกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืดเลยทีเดียว สิ่งที่ทำได้ให้เศรษฐกิจกลับฟื้นคืนชีพมา
ก็คือทำอย่างไรให้อียูสินค้าภายในกันเอง โดยเงินไม่ไหลออกภายนอกกลุ่ม ก็เริ่มมองเรื่องที่ให้สิทธิ์ประโยชน์ต่างๆ
แล้วหาเรื่องหาราวมาตัดมันซัก ก็แค่นี้เอง
ส่วนของพญาอินทรีย์ก็เหมือนกัน อันนี้มีบทเรียนแล้วตอนปี 2549 (เหตุการณ์ 19 กันยายน)
ครั้นนั้นก็มีข่าวเรื่องพญาอินทรีย์ตัดสัมพันธ์ทางการค้า แต่รอบนี้เล่นเรื่องนั้นไม่ได้อีกแล้ว จึงดำเนินการลดระดับการค้ามนุษย์แทน ซึ่งจริงๆ มันคือการตัดสัมพันธ์ทางการค้า (เล่นบทผู้ร้ายบ้างที่เล่นเป็นบทพระเอกก่อนก็ได้)
นี้คือสิ่งที่ เตือนสตินักลงทุนว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเรา
ปัญหาทางเศรษฐกิจของเราคือ เมื่อแหล่งก๊าซในประเทศไทยหมด กระแสไฟฟ้าของไทยผลิตไม่เพียงพอ(ตอนนี้ทางใต้มีปัญหาเนื่องจากแหล่งกีาซที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียปิดซ่อม) ต้นทุนของการขนส่งภายในประเทศที่สูงมากๆๆ เนื่องจากเราพัฒนาแต่ทางถนนเท่านั้นไม่ได้พัฒนาระบบรางเลย พวกนี้มากกว่าที่ทำให้เราแข่งขันในเวทีโลกมิได้
มีกระแสข่าวออกมาเรื่องของอียูตัดสัมพันธ์ทางการค้ากับไทย
ในความคิดของผมเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของระยะสั้นเท่านั้น ไม่ใช่ระยะยาว
เนื่องจาก บริษัทเอกชนของอียูนั้นได้ลงทุนในประเทศไทยอย่างยาวนาน
ดังนั้นการตัดความสัมพันธ์ทางค้าขายโดยอ้างเรื่องประชาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องที่อ่อนมากๆ
เพราะ เมื่อหันไปดูประเทศจีนที่อียูนั้นคบค้าสมาคมก็ไม่ได้ปกครองด้วยประชาธิปไตย
จึงทำให้ผมคิดได้ว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาระยะสั้น แล้วทำไมอียูถึงประกาศแบบนั้นมันต้องมีทีมาทีไป
สิ่งที่ผมคิดได้นั้นคือ เรื่องของเศรษฐกิจภายในของอียูที่อ่อนแอตั้งแต่วิกฤติแฮมเบอร์ (ปี 2008)
เป็นต้นมานั้น อียู ได้ลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศเหล่าสมาชิกและปล่อยกู้ประเทศที่มีปัญหา
จนตอนนี้เศรษฐกิจในอียูเองกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืดเลยทีเดียว สิ่งที่ทำได้ให้เศรษฐกิจกลับฟื้นคืนชีพมา
ก็คือทำอย่างไรให้อียูสินค้าภายในกันเอง โดยเงินไม่ไหลออกภายนอกกลุ่ม ก็เริ่มมองเรื่องที่ให้สิทธิ์ประโยชน์ต่างๆ
แล้วหาเรื่องหาราวมาตัดมันซัก ก็แค่นี้เอง
ส่วนของพญาอินทรีย์ก็เหมือนกัน อันนี้มีบทเรียนแล้วตอนปี 2549 (เหตุการณ์ 19 กันยายน)
ครั้นนั้นก็มีข่าวเรื่องพญาอินทรีย์ตัดสัมพันธ์ทางการค้า แต่รอบนี้เล่นเรื่องนั้นไม่ได้อีกแล้ว จึงดำเนินการลดระดับการค้ามนุษย์แทน ซึ่งจริงๆ มันคือการตัดสัมพันธ์ทางการค้า (เล่นบทผู้ร้ายบ้างที่เล่นเป็นบทพระเอกก่อนก็ได้)
นี้คือสิ่งที่ เตือนสตินักลงทุนว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเรา
ปัญหาทางเศรษฐกิจของเราคือ เมื่อแหล่งก๊าซในประเทศไทยหมด กระแสไฟฟ้าของไทยผลิตไม่เพียงพอ(ตอนนี้ทางใต้มีปัญหาเนื่องจากแหล่งกีาซที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียปิดซ่อม) ต้นทุนของการขนส่งภายในประเทศที่สูงมากๆๆ เนื่องจากเราพัฒนาแต่ทางถนนเท่านั้นไม่ได้พัฒนาระบบรางเลย พวกนี้มากกว่าที่ทำให้เราแข่งขันในเวทีโลกมิได้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 143
โครงการหุ้นแปะฝาบ้าน เริ่มโครงการปี 2555
โครงการนี้เป็นโครงการที่ผมเริ่มต้นจากการที่เพิ่มทุนบริษัทแห่งหนึ่งแล้วมี
ติ๊กว่าให้หุ้นนั้นเข้า Port ที่โบรกเกอร์หรือ ให้ถอนออกมาเป็นใบหุ้น
ต่อมา โครงการนี้ขยายกลายเป็นโครงการที่ถอนหุ้นออกจาก Port เนื่องจาก
เป็นหุ้นที่ไม่มีต้นทุนเหลืออยู่ คือดำเนินการทำ วิธีคลายเครียด เรโชไปแล้ว
โดยที่ต้นทุนหักลบกับกำไรที่ได้ไปแล้ว เป็นค่าหุ้น รวมกับค่าที่ถอนหุ้นออกจาก Port
มาเป็นใบหุ้น เพื่อให้ไม่มัดมือไม่ต้องไปขายหุ้นตัวนี้อีก รอปันผลมาบ้าน เพื่อเอาเข้าบัญชีต่อไป แถมมีหนังสือเชิญประชุม รายงานประจำปีมาให้อ่านเล่นๆด้วย
สิ่งที่ต้องระวังเรื่องของใบหุ้นนั้นคือ
1. สูญหาย อันนี้ต้องระวังโจรขโมยหน่อย
2. ห้ามพับ ถ้าพับเดี๋ยวมีปัญหาตอนเข้า Port หรือต่อขาย
3. ปันผลมาเป็น เช็ค ถ้าหาก Port มีหุ้นตัวนั้นด้วย ก็แยกมาเป็นเช็ค ส่วนที่ถือใน Por ก็เข้าบัญชีตามที่แจ้งไว้กับ TSD
โครงการนี้เป็นโครงการที่ผมเริ่มต้นจากการที่เพิ่มทุนบริษัทแห่งหนึ่งแล้วมี
ติ๊กว่าให้หุ้นนั้นเข้า Port ที่โบรกเกอร์หรือ ให้ถอนออกมาเป็นใบหุ้น
ต่อมา โครงการนี้ขยายกลายเป็นโครงการที่ถอนหุ้นออกจาก Port เนื่องจาก
เป็นหุ้นที่ไม่มีต้นทุนเหลืออยู่ คือดำเนินการทำ วิธีคลายเครียด เรโชไปแล้ว
โดยที่ต้นทุนหักลบกับกำไรที่ได้ไปแล้ว เป็นค่าหุ้น รวมกับค่าที่ถอนหุ้นออกจาก Port
มาเป็นใบหุ้น เพื่อให้ไม่มัดมือไม่ต้องไปขายหุ้นตัวนี้อีก รอปันผลมาบ้าน เพื่อเอาเข้าบัญชีต่อไป แถมมีหนังสือเชิญประชุม รายงานประจำปีมาให้อ่านเล่นๆด้วย
สิ่งที่ต้องระวังเรื่องของใบหุ้นนั้นคือ
1. สูญหาย อันนี้ต้องระวังโจรขโมยหน่อย
2. ห้ามพับ ถ้าพับเดี๋ยวมีปัญหาตอนเข้า Port หรือต่อขาย
3. ปันผลมาเป็น เช็ค ถ้าหาก Port มีหุ้นตัวนั้นด้วย ก็แยกมาเป็นเช็ค ส่วนที่ถือใน Por ก็เข้าบัญชีตามที่แจ้งไว้กับ TSD
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 144
มีการเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจัีบตาอยู่สองเคสคือ
1. TRUE ที่เพิ่มทุน 10,077,712,886หุ้นที่ระดับราคา 6.45 บาท (ใช้เงินในการเพิ่มทุนถ้าเพิ่มทุนทั้งหมด 65,001,248,114.70 บาท) โดยเพิ่มทุนให้ส่วนของต่างชาิติจำนวน4,429,427,068หุ้น คิดเป็น 28,569,804,588.60
บาท
เหตุการณ์เพิ่มทุนอยู่ในช่วงปลายเดือน สิงหาคม 2557
2. THRE ที่เพิ่มทุน 702,498,972 หุ้นที่ระดับราคา 3 บาท (เพดานการเพิ่มทุนที่ 2,107,496,916.00 บาท)
เพิ่มทุนในส่วนของต่างชาิติจำสวาหดา่ฟหกด่วาหกดดหดหดหกดห,249,486 บาท คิดเป็น 1,053,748,458.00 บาท
เหตุการณ์เพิ่มทุนอยู่ในปลายเดือนสิงหาคม 2557 ถึงต้นเดือน กันยายน 2557
นั้นคือ การเพิ่มทุนระดับที่ว่า นั้นถ้าหากมีเงินไหลเข้ามา ต้องมีพักเงินไว้
หรือ มีการขยายวงเงินสินเชื่อในการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว
ทำให้ช่วงนี้น่าจับตาอย่างยิ่งว่า ค่าเงินบาทเทียบกับหยวน และ เทียบกับ ดอลล่าร์เป็นเช่นไร
เป็นเรื่องที่น่ามองอย่างยิ่ง
สิ่งหนึ่งที่น่ามองไม่ใช่แค่เงินที่มาเพิ่มทุน
คือ ตอนนี้ขาดดุลทางการค้า ซึ่งเคยเกิดยาวนานในช่วง 2535-2539 เลยทีเดียว
แต่ทว่า ประเทศไทยช่วงนั้นก็ได้เงินในการลงทุนมาปิดการขาดดุลทางการค้า
ต้องดูว่า หนังม้วนเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้งหรือไม่
1. TRUE ที่เพิ่มทุน 10,077,712,886หุ้นที่ระดับราคา 6.45 บาท (ใช้เงินในการเพิ่มทุนถ้าเพิ่มทุนทั้งหมด 65,001,248,114.70 บาท) โดยเพิ่มทุนให้ส่วนของต่างชาิติจำนวน4,429,427,068หุ้น คิดเป็น 28,569,804,588.60
บาท
เหตุการณ์เพิ่มทุนอยู่ในช่วงปลายเดือน สิงหาคม 2557
2. THRE ที่เพิ่มทุน 702,498,972 หุ้นที่ระดับราคา 3 บาท (เพดานการเพิ่มทุนที่ 2,107,496,916.00 บาท)
เพิ่มทุนในส่วนของต่างชาิติจำสวาหดา่ฟหกด่วาหกดดหดหดหกดห,249,486 บาท คิดเป็น 1,053,748,458.00 บาท
เหตุการณ์เพิ่มทุนอยู่ในปลายเดือนสิงหาคม 2557 ถึงต้นเดือน กันยายน 2557
นั้นคือ การเพิ่มทุนระดับที่ว่า นั้นถ้าหากมีเงินไหลเข้ามา ต้องมีพักเงินไว้
หรือ มีการขยายวงเงินสินเชื่อในการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว
ทำให้ช่วงนี้น่าจับตาอย่างยิ่งว่า ค่าเงินบาทเทียบกับหยวน และ เทียบกับ ดอลล่าร์เป็นเช่นไร
เป็นเรื่องที่น่ามองอย่างยิ่ง
สิ่งหนึ่งที่น่ามองไม่ใช่แค่เงินที่มาเพิ่มทุน
คือ ตอนนี้ขาดดุลทางการค้า ซึ่งเคยเกิดยาวนานในช่วง 2535-2539 เลยทีเดียว
แต่ทว่า ประเทศไทยช่วงนั้นก็ได้เงินในการลงทุนมาปิดการขาดดุลทางการค้า
ต้องดูว่า หนังม้วนเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้งหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 145
ช่วงนี้ขอเว้นวรรคในการเขียนไว้ก่อน
เพราะตอนนี้มุมมองมีแต่เขียนไม่ออก
และ งานประจำมันล้นมากๆๆ
รอให้งานประจำซ่าก่อนแล้วกลับมาเขียนใหม่อีกรอบ
หรือได้มุมมองอะไรดีๆๆ มาเขียนใหม่ๆครับ
ปล.
ตอนนี้อ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเพราะไม่ได้ขับรถ ใช้บริการ BTS
เดี๋ยวเล่าให้ฟังว่า BTS จากวันที่ผมย้ายมาอยู่ฝั่งธน ลงเรือเพื่อไปขึ้น BTS ที่สะพานตากสิน
ต่อมาเปิดส่วนต่อขยายวงเวียนใหญ่ แล้ว ก็เปิดไปถึงบางหว้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ผมเห็นได้ชัดเจน
เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าใต้ดินที่ผมนานๆใช้ที แต่เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
เพราะตอนนี้มุมมองมีแต่เขียนไม่ออก
และ งานประจำมันล้นมากๆๆ
รอให้งานประจำซ่าก่อนแล้วกลับมาเขียนใหม่อีกรอบ
หรือได้มุมมองอะไรดีๆๆ มาเขียนใหม่ๆครับ
ปล.
ตอนนี้อ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเพราะไม่ได้ขับรถ ใช้บริการ BTS
เดี๋ยวเล่าให้ฟังว่า BTS จากวันที่ผมย้ายมาอยู่ฝั่งธน ลงเรือเพื่อไปขึ้น BTS ที่สะพานตากสิน
ต่อมาเปิดส่วนต่อขยายวงเวียนใหญ่ แล้ว ก็เปิดไปถึงบางหว้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ผมเห็นได้ชัดเจน
เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าใต้ดินที่ผมนานๆใช้ที แต่เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 146
ตอนนี้เป็นช่วงส่งไปรษณียบัตรของฟุตบอลโลกครั้งนี้
ซึ่ง ไปรษณียบัตรนี้เป็นของ บริษัท ไปรษณีย์ ไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจผูกขาดในกิจการไปรษณีย์ ทั้งหมดของประเทศ
หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้น ยังไม่มีบริษัท TOT ,กสท คมนาคม และบริษัทไปรษณีย์ ไทย มีเพียง องค์การโทรศัพท์ ,การสื่อสารแห่งประเทศไทย
ตอนนั้นกิจการไปรษณีย์ไทย และ บริษัท กสท คมนาคม อยู่ภายใต้การสื่อสารแห่งประเทศไทย แต่พอมีการแยกกิจการเท่านั้น พนักงานส่วนใหญ่เลือกที่ไปอยู่ กสท คมนาคม ไม่อยู่กับ กิจการไปรษณีย์ไทย เนื่องจากตอนนั้นกิจการที่เกี่ยวกับการสื่อสารรุ่งเรืองมากๆๆ แต่เมื่อการสื่อสารเปิดเสรี ให้บริษัทสามารถตั้ง Gateway ภายในประเทศ และต่างประเทศได้ ,ไม่ได้ค่าสัมปทานของคลื่นความถี่แล้ว กลายเป็นกิจการ กสท คมนาคม นั้นสู้กิจการของเอกชนไม่ได้ กลับกันกิจการที่ พนักงานมองไม่ดี เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถต่อสู้กับกิจการของต่างชาติ เช่น FedEx เป็นต้นได้ นั้นคือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย ที่เขียนแต่ชื่อมา ก็ส่งได้ แม้นที่อยู่ผิดก็ส่งถูกต้อง ขอให้เคยส่งชื่อนั้นมาแล้ว
เล่าต่อเรื่องไปรษณียบัตรนี้ ไม่ใช่บริษัทเดียวพิมพ์ขาย จำเป็นต้องให้หลายๆแห่งพิมพ์ เนื่องจาก ระยะเวลาที่จำกัด การตรวจนับจำนวนไปรษณียบัตรที่ต้องได้ตามจำนวน ไม่สามารถหายหรือขาดได้ (ประเด็นเรื่องหายนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะ ไปรษณียบัตรเหมือน สิ่งค้าโภคภัณฑ์ คือมีดวงตราไปรษณีย์เรียบร้อยสามารถส่งได้ทันที หน้าตาเหมือนกันทุกบัตร จึงไม่สามารถบอกได้ว่า ผลิต ณ ที่ไหน หรือ ล็อตไหน ลองไปเปิดดู) ซึ่งเมื่อผลิตเสร็จแล้ว บริษัท ไปรษณีย์ไทยก็รับสินค้า ที่ โรงงานผลิตเลย ตรวจนับกันที่จุดนั้นเลย
การผลิตไปรษณียบัตรครั้งละมากๆๆของไทย หากย้อนไปกับไปดูนั้น เป็นตอนที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับกีฬาประเภทเดียวคือ ฟุตบอล โดย หนังสือไทยรัฐ เป็นเจ้าของการส่งไปรษณียบัตรเพื่อลุ้นโชค เกิดทุกๆๆ 2 ปี คือ ฟุตบอลชิงแชปม์แห่งชาติยุโรปและ ฟุตบอลโลก
การผลิตไปรษณียบัตรทำให้กิจการการผลิตนั้นเติบโตในปีที่มีการแข่งขัน ดังนั้น มันเกิดความเข้าใจผิดเรื่องการผลิตไปรษณียบัตรว่าผลิตแค่เจ้าเดียวนั้นไม่ใช่แน่นอน เพราะ พิมพ์พอๆๆกับจำนวนที่เขียนส่งเลย ยิ่งครั้งหลังๆๆ เรียกได้ว่า บริษัท ไปรษณีย์ ไทยได้ออกแบบการส่งให้ง่ายเลย ยกเลิกการเขียนชื่อผู้ส่งข้างหน้าไปรษณีย์ ให้เขียนชื่อผู้ส่งไปด้านหลัง แถม พิมพ์ชื่อที่อยู่ผู้รับเรียบร้อย แล้วเขียนบอกเลยว่า คุณส่งชื่อทีมฟุตบอลทีมไหนที่จะได้แชมป์ในสองรายการที่บอกไป
หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขัน คราวนี้นักเรียน นักศึกษา และเจ้าหน้าที่ของไทยรัฐ คัดแยก ไปรษณียบัตรว่า อันไหนไม่ผิดกติกา อันไหนถูกกติกาที่วางไว้ แล้วเชิญทูตประเทศได้แชมป์หรือตัวแทนมาจับไปรษณียบัตรที่ทายผลถูกต้อง ต่อไป
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ลงสถิติในหนังสือกินเนสบุ๊คในเรื่องการส่งไปรษณียบัตรทายผลการแข่งขันด้านกีฬาไว้
ปีนี้จะทำลายสถิติเก่าที่ทำไว้หรือเปล่าหนอ
ซึ่ง ไปรษณียบัตรนี้เป็นของ บริษัท ไปรษณีย์ ไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจผูกขาดในกิจการไปรษณีย์ ทั้งหมดของประเทศ
หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้น ยังไม่มีบริษัท TOT ,กสท คมนาคม และบริษัทไปรษณีย์ ไทย มีเพียง องค์การโทรศัพท์ ,การสื่อสารแห่งประเทศไทย
ตอนนั้นกิจการไปรษณีย์ไทย และ บริษัท กสท คมนาคม อยู่ภายใต้การสื่อสารแห่งประเทศไทย แต่พอมีการแยกกิจการเท่านั้น พนักงานส่วนใหญ่เลือกที่ไปอยู่ กสท คมนาคม ไม่อยู่กับ กิจการไปรษณีย์ไทย เนื่องจากตอนนั้นกิจการที่เกี่ยวกับการสื่อสารรุ่งเรืองมากๆๆ แต่เมื่อการสื่อสารเปิดเสรี ให้บริษัทสามารถตั้ง Gateway ภายในประเทศ และต่างประเทศได้ ,ไม่ได้ค่าสัมปทานของคลื่นความถี่แล้ว กลายเป็นกิจการ กสท คมนาคม นั้นสู้กิจการของเอกชนไม่ได้ กลับกันกิจการที่ พนักงานมองไม่ดี เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถต่อสู้กับกิจการของต่างชาติ เช่น FedEx เป็นต้นได้ นั้นคือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย ที่เขียนแต่ชื่อมา ก็ส่งได้ แม้นที่อยู่ผิดก็ส่งถูกต้อง ขอให้เคยส่งชื่อนั้นมาแล้ว
เล่าต่อเรื่องไปรษณียบัตรนี้ ไม่ใช่บริษัทเดียวพิมพ์ขาย จำเป็นต้องให้หลายๆแห่งพิมพ์ เนื่องจาก ระยะเวลาที่จำกัด การตรวจนับจำนวนไปรษณียบัตรที่ต้องได้ตามจำนวน ไม่สามารถหายหรือขาดได้ (ประเด็นเรื่องหายนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะ ไปรษณียบัตรเหมือน สิ่งค้าโภคภัณฑ์ คือมีดวงตราไปรษณีย์เรียบร้อยสามารถส่งได้ทันที หน้าตาเหมือนกันทุกบัตร จึงไม่สามารถบอกได้ว่า ผลิต ณ ที่ไหน หรือ ล็อตไหน ลองไปเปิดดู) ซึ่งเมื่อผลิตเสร็จแล้ว บริษัท ไปรษณีย์ไทยก็รับสินค้า ที่ โรงงานผลิตเลย ตรวจนับกันที่จุดนั้นเลย
การผลิตไปรษณียบัตรครั้งละมากๆๆของไทย หากย้อนไปกับไปดูนั้น เป็นตอนที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับกีฬาประเภทเดียวคือ ฟุตบอล โดย หนังสือไทยรัฐ เป็นเจ้าของการส่งไปรษณียบัตรเพื่อลุ้นโชค เกิดทุกๆๆ 2 ปี คือ ฟุตบอลชิงแชปม์แห่งชาติยุโรปและ ฟุตบอลโลก
การผลิตไปรษณียบัตรทำให้กิจการการผลิตนั้นเติบโตในปีที่มีการแข่งขัน ดังนั้น มันเกิดความเข้าใจผิดเรื่องการผลิตไปรษณียบัตรว่าผลิตแค่เจ้าเดียวนั้นไม่ใช่แน่นอน เพราะ พิมพ์พอๆๆกับจำนวนที่เขียนส่งเลย ยิ่งครั้งหลังๆๆ เรียกได้ว่า บริษัท ไปรษณีย์ ไทยได้ออกแบบการส่งให้ง่ายเลย ยกเลิกการเขียนชื่อผู้ส่งข้างหน้าไปรษณีย์ ให้เขียนชื่อผู้ส่งไปด้านหลัง แถม พิมพ์ชื่อที่อยู่ผู้รับเรียบร้อย แล้วเขียนบอกเลยว่า คุณส่งชื่อทีมฟุตบอลทีมไหนที่จะได้แชมป์ในสองรายการที่บอกไป
หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขัน คราวนี้นักเรียน นักศึกษา และเจ้าหน้าที่ของไทยรัฐ คัดแยก ไปรษณียบัตรว่า อันไหนไม่ผิดกติกา อันไหนถูกกติกาที่วางไว้ แล้วเชิญทูตประเทศได้แชมป์หรือตัวแทนมาจับไปรษณียบัตรที่ทายผลถูกต้อง ต่อไป
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ลงสถิติในหนังสือกินเนสบุ๊คในเรื่องการส่งไปรษณียบัตรทายผลการแข่งขันด้านกีฬาไว้
ปีนี้จะทำลายสถิติเก่าที่ทำไว้หรือเปล่าหนอ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 147
ทฤษฏี กับ โลกแห่งความเป็นจริงมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในเรื่องการลงทุน
ทฤษฏีหรือ ผู้เชียวชาญในโลกของการลงทุนนั้น สั่งสอนว่า ผู้สูงอายุควรที่เก็บออมเงินส่วนใหญ่ไว้ในตราสารหนี้ เงินฝากธนาคาร ที่มีความเสี่ยงไม่สูง แต่ผลตอบแทนก็ต่ำ แต่มั่นคง ซึ่งในโลกของความเป็นจริงนั้น
ผู้สูงอายุนั้นรายได้ลดลง เนื่องจากการเกษียณอายุ (ไม่ได้มีเงินจากอาชีพ หรือ จากการขายแรงงานของตัวเอง เพื่อแลกกับเงินอีกแล้ว) มีแต่รายจ่ายกับรายจ่ายเท่านั้น รายจ่ายที่ว่า ตัวที่ใหญ่ที่สุดของ ประชาชนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี คือ ค่ารักษาพยาบาล หรือ การไปพบแพทย์ ซึ่ง ผู้สูงอายุในเมื่อไทย มีภาวะ โรคความดันสูง,โรคเบาหวาน,โรคหัวใจ ,โรคอ้วน เป็นต้น ที่รุมกินโต๊ะอยู่
ดังนั้น การลงทุนในช่วงอายุดังกล่าว ควรที่สามารถลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงได้ด้วย มิฉะนั้น เมื่อรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ทำให้เกิดภาวะ เป็นหนี้สิน ซึ่งเมื่อท่านเหล่านั้นเสียชีวิตไป ภาวะอาจจะตกแก่ลูกหลายของท่านเหล่านั้นได้
นี้คือตัวอย่างหนึ่งที่ดีในเรื่องทฤษฏีที่ร่ำเรียนมานั้น กับ โลกของความเป็นจริงช่างแตกต่างกันจริงๆ
ทฤษฏีหรือ ผู้เชียวชาญในโลกของการลงทุนนั้น สั่งสอนว่า ผู้สูงอายุควรที่เก็บออมเงินส่วนใหญ่ไว้ในตราสารหนี้ เงินฝากธนาคาร ที่มีความเสี่ยงไม่สูง แต่ผลตอบแทนก็ต่ำ แต่มั่นคง ซึ่งในโลกของความเป็นจริงนั้น
ผู้สูงอายุนั้นรายได้ลดลง เนื่องจากการเกษียณอายุ (ไม่ได้มีเงินจากอาชีพ หรือ จากการขายแรงงานของตัวเอง เพื่อแลกกับเงินอีกแล้ว) มีแต่รายจ่ายกับรายจ่ายเท่านั้น รายจ่ายที่ว่า ตัวที่ใหญ่ที่สุดของ ประชาชนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี คือ ค่ารักษาพยาบาล หรือ การไปพบแพทย์ ซึ่ง ผู้สูงอายุในเมื่อไทย มีภาวะ โรคความดันสูง,โรคเบาหวาน,โรคหัวใจ ,โรคอ้วน เป็นต้น ที่รุมกินโต๊ะอยู่
ดังนั้น การลงทุนในช่วงอายุดังกล่าว ควรที่สามารถลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงได้ด้วย มิฉะนั้น เมื่อรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ทำให้เกิดภาวะ เป็นหนี้สิน ซึ่งเมื่อท่านเหล่านั้นเสียชีวิตไป ภาวะอาจจะตกแก่ลูกหลายของท่านเหล่านั้นได้
นี้คือตัวอย่างหนึ่งที่ดีในเรื่องทฤษฏีที่ร่ำเรียนมานั้น กับ โลกของความเป็นจริงช่างแตกต่างกันจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 148
พอดีช่วงนี้มีประสบการณ์เพิ่มทุนกับกิจการในตลาด(ห)ลักทรัพย์ครั้งมากๆๆ
ดังนั้นจึงมีมุมมองในเรื่องนี้เพิ่มเติมขึ้นมาดังนี้
1. ประกาศแรกเรื่องของเอกสารเพิ่มทุน ไม่แน่ใจว่า กลต ได้ตรวจสอบบ้างหรือเปล่าหนอ
หัวใจของเอกสารเพิ่มทุน คือ บริษัทไหน เพิ่มทุน ,ช่วงเวลาที่เพิ่มทุน ,บัญชีที่ใช้ในการเพิ่มทุน(ของบริษัทที่เพิ่มทุน) ,ที่อยู่ในการจัดการเรื่องเอกสาร ,เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ผิดพลาดไม่ได้ แต่ผมก็เจอะเจอประจำคือ บัญชีการเพิ่มทุน ไล่ตั้งแต่ ใช้บัญชีออมทรัพย์ในการเพิ่มทุน จนกระทั่งเดินไปที่เคาร์เตอร์ธนาคารยื่นให้พนักงานดู พนักงานบอกเลยว่า บัญชีดังกล่าว ล็อคเนื่องจากเงินเต็ม ต้องใช้อีกบัญชีหนึ่ง โดยที่บริษัทไม่ได้แจ้ง อ้าวเป็นเรื่องต้องตรวจสอบอยู่พักใหญ่ๆเลย
สิ่งต่อมา มีแต่เลขบัญชี แต่ไม่มีชื่อธนาคารพาณิชย์ที่เปิดบัญชี เคสนี้จงใจหรือเปล่า เพิ่มทุนแต่ไม่อย่าได้เงินของการเพิ่มทุน เอาซิครับ มีแบบนี้ในเมืองไทยด้วย
เอกสารไม่ครบ ไม่ให้เพิ่มทุน ขาดอะไรไม่ได้เลย ประเด็นนี้อ่านดีๆๆล่ะกันว่า ต้องการอะไรบ้าง
อีกประเด็นที่ไม่ควรลืม เพิ่มทุนเกินสิทธิ์ อันนี้หลายต่อหลายครั้งไม่ได้ชี้แจงว่า เกินสิทธิ์ทำอย่างไร ทำให้บ้างครั้งจองเกินไป ก็ไม่ได้หุ้นตามที่เราจองไป เพราะไม่บ่งบอกว่า เกินสิทธิ์ได้เท่าไร
2. ระยะเวลาการจองแบบกระชัดชิด อันนี้ ไปนึกกันเอาเองล่ะกัน ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
บริษัทร้อนเงินหรือเปล่า ลองกลับไปอ่านข้อ 1 ก่อนล่ะกัน ถ้าทำพฤติกรรมตามข้อ 1 แล้วไซร้ บริษัทร้อนเงินจริงหรือ
3. การส่งเอกสาร รู้ๆๆอยู่ว่า ไปรษณีย์ไทยทำงานได้ดีแบบไหนล่ะ ส่งมาก่อนเพิ่มทุนไม่เกิน 4-5 วันทำการนับจากวันเพิ่มทุนวันแรก เรียกได้ว่าไม่ต้องอ่านเอกสารกันเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้น เอกสารนับวันหนาขึ้นเรื่อยๆๆ เรียกได้ว่าไล่แขก ไม่ใช่แขกมาอ่าน แต่ยิ่งหนาเท่าไร ก็ต้องอ่าน เพราะว่า ยิ่งหนาแสดงว่า มันต้องมีอะไรดี (อย่างน้อยมันก็หนักตาชั่ง ตอนชั่งกิโลขายรถเก็บขยะ หรือ เอาไปพับถุงขายล่ะกัน)
เอามาให้คิดกันแค่นี้ล่ะ
ดังนั้นจึงมีมุมมองในเรื่องนี้เพิ่มเติมขึ้นมาดังนี้
1. ประกาศแรกเรื่องของเอกสารเพิ่มทุน ไม่แน่ใจว่า กลต ได้ตรวจสอบบ้างหรือเปล่าหนอ
หัวใจของเอกสารเพิ่มทุน คือ บริษัทไหน เพิ่มทุน ,ช่วงเวลาที่เพิ่มทุน ,บัญชีที่ใช้ในการเพิ่มทุน(ของบริษัทที่เพิ่มทุน) ,ที่อยู่ในการจัดการเรื่องเอกสาร ,เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ผิดพลาดไม่ได้ แต่ผมก็เจอะเจอประจำคือ บัญชีการเพิ่มทุน ไล่ตั้งแต่ ใช้บัญชีออมทรัพย์ในการเพิ่มทุน จนกระทั่งเดินไปที่เคาร์เตอร์ธนาคารยื่นให้พนักงานดู พนักงานบอกเลยว่า บัญชีดังกล่าว ล็อคเนื่องจากเงินเต็ม ต้องใช้อีกบัญชีหนึ่ง โดยที่บริษัทไม่ได้แจ้ง อ้าวเป็นเรื่องต้องตรวจสอบอยู่พักใหญ่ๆเลย
สิ่งต่อมา มีแต่เลขบัญชี แต่ไม่มีชื่อธนาคารพาณิชย์ที่เปิดบัญชี เคสนี้จงใจหรือเปล่า เพิ่มทุนแต่ไม่อย่าได้เงินของการเพิ่มทุน เอาซิครับ มีแบบนี้ในเมืองไทยด้วย
เอกสารไม่ครบ ไม่ให้เพิ่มทุน ขาดอะไรไม่ได้เลย ประเด็นนี้อ่านดีๆๆล่ะกันว่า ต้องการอะไรบ้าง
อีกประเด็นที่ไม่ควรลืม เพิ่มทุนเกินสิทธิ์ อันนี้หลายต่อหลายครั้งไม่ได้ชี้แจงว่า เกินสิทธิ์ทำอย่างไร ทำให้บ้างครั้งจองเกินไป ก็ไม่ได้หุ้นตามที่เราจองไป เพราะไม่บ่งบอกว่า เกินสิทธิ์ได้เท่าไร
2. ระยะเวลาการจองแบบกระชัดชิด อันนี้ ไปนึกกันเอาเองล่ะกัน ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
บริษัทร้อนเงินหรือเปล่า ลองกลับไปอ่านข้อ 1 ก่อนล่ะกัน ถ้าทำพฤติกรรมตามข้อ 1 แล้วไซร้ บริษัทร้อนเงินจริงหรือ
3. การส่งเอกสาร รู้ๆๆอยู่ว่า ไปรษณีย์ไทยทำงานได้ดีแบบไหนล่ะ ส่งมาก่อนเพิ่มทุนไม่เกิน 4-5 วันทำการนับจากวันเพิ่มทุนวันแรก เรียกได้ว่าไม่ต้องอ่านเอกสารกันเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้น เอกสารนับวันหนาขึ้นเรื่อยๆๆ เรียกได้ว่าไล่แขก ไม่ใช่แขกมาอ่าน แต่ยิ่งหนาเท่าไร ก็ต้องอ่าน เพราะว่า ยิ่งหนาแสดงว่า มันต้องมีอะไรดี (อย่างน้อยมันก็หนักตาชั่ง ตอนชั่งกิโลขายรถเก็บขยะ หรือ เอาไปพับถุงขายล่ะกัน)
เอามาให้คิดกันแค่นี้ล่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 149
การแปลงหนี้เปํ็นทุน นั้นมีมาพักใหญ่ๆ แล้ว เป็นการแก้ไขปัญหาของกิจการที่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หากมีทุนเพิ่มเข้าไป หรือ ใส่ให้กิจการ ในรูปแบบเงินสดหรือหุ้นสามัญหรืออย่างอื่นๆ
การแปลงหนี้เป็นทุน ที่ผมได้ประสบพบเจอมีดังต่ไปนี้
1. แบบตรงๆโต้งๆๆ คือ หนี้ที่มีอยู่ ก็กลายร่างเป็นหุ้นสามัญเลย แบบว่า เจ้าหนี้เท่าไร ก็แปลงมูลค่าหนี้เป็นทุนไปเลย
แบบนี้ก็มีให้เห็นเช่น BMCL ปี 2556 เป็นต้น
2. แบบแปลกหนี้เป็นทุน แบบซับซ้อน ซึ่งที่ีผมเจอะเจอมานั้น
2.1 แบบขายมูลค่าหนี้ออก แล้วได้เงินสดกับมาให้กับกิจการ ประเภทนี้ที่เห็นเป็นกิจการที่ดำเนินการในแวดดวงการเงิน เช่น ธนาคาร เป็นต้น
2.2. การออกหุ้นกู้แปลงสภาพ แล้วมี Option แฝงที่ใช้สิทธิ์แปลงมูลค่าหนี้เป็นหุ้นสามัญได้ อันนี้ก็มีออกมาให้เห็นแต่นานมากแล้ว เป็นเคสของ BTS เป็นต้น
2.3 การขายมูลค่าหนี้ออกไป แต่ทว่า Write off ให้เ้จ้าอื่น พร้อมทั้งผู้ที่ซื้อไปมาซื้อหุ้นของบริษัทด้วย อันนี้เป็นแบบซับซ้อนมากๆ เนื่องจาก มีทั้งการขายและการซื้อหุ้นพร้อมกัน ต้องใช้เย็นๆในการแกะแคะเกาหน่อยล่ะกัน
สิ่งที่ได้จากการแปลงหนี้เป็นทุน คือ กำไร หรือ เงินสด ที่พยุงกิจการให้สามารถดำเนินการต่อไปได้
หรือ การโยกย้าย ซ่อนเร้น หนี้สินไปซุกไว้กับกิจการอื่นๆ หรือ ขายขาดให้กิจการอื่นๆก็ได้
ดังนั้นถ้าเจอ กรณีการแปลงหนี้เป็นทุน ใจเย็นๆ มองก่อนเลยว่า กิจการต้องการเงินไปทำอะไร หรือ แปลงหนี้เป็นทุนแล้วกิจการสามารถดำเนินการต่อได้หรือเปล่า โดยที่ไม่เพิ่มทุนต่อไป โดยไม่สิ้นสุด
การแปลงหนี้เป็นทุน ที่ผมได้ประสบพบเจอมีดังต่ไปนี้
1. แบบตรงๆโต้งๆๆ คือ หนี้ที่มีอยู่ ก็กลายร่างเป็นหุ้นสามัญเลย แบบว่า เจ้าหนี้เท่าไร ก็แปลงมูลค่าหนี้เป็นทุนไปเลย
แบบนี้ก็มีให้เห็นเช่น BMCL ปี 2556 เป็นต้น
2. แบบแปลกหนี้เป็นทุน แบบซับซ้อน ซึ่งที่ีผมเจอะเจอมานั้น
2.1 แบบขายมูลค่าหนี้ออก แล้วได้เงินสดกับมาให้กับกิจการ ประเภทนี้ที่เห็นเป็นกิจการที่ดำเนินการในแวดดวงการเงิน เช่น ธนาคาร เป็นต้น
2.2. การออกหุ้นกู้แปลงสภาพ แล้วมี Option แฝงที่ใช้สิทธิ์แปลงมูลค่าหนี้เป็นหุ้นสามัญได้ อันนี้ก็มีออกมาให้เห็นแต่นานมากแล้ว เป็นเคสของ BTS เป็นต้น
2.3 การขายมูลค่าหนี้ออกไป แต่ทว่า Write off ให้เ้จ้าอื่น พร้อมทั้งผู้ที่ซื้อไปมาซื้อหุ้นของบริษัทด้วย อันนี้เป็นแบบซับซ้อนมากๆ เนื่องจาก มีทั้งการขายและการซื้อหุ้นพร้อมกัน ต้องใช้เย็นๆในการแกะแคะเกาหน่อยล่ะกัน
สิ่งที่ได้จากการแปลงหนี้เป็นทุน คือ กำไร หรือ เงินสด ที่พยุงกิจการให้สามารถดำเนินการต่อไปได้
หรือ การโยกย้าย ซ่อนเร้น หนี้สินไปซุกไว้กับกิจการอื่นๆ หรือ ขายขาดให้กิจการอื่นๆก็ได้
ดังนั้นถ้าเจอ กรณีการแปลงหนี้เป็นทุน ใจเย็นๆ มองก่อนเลยว่า กิจการต้องการเงินไปทำอะไร หรือ แปลงหนี้เป็นทุนแล้วกิจการสามารถดำเนินการต่อได้หรือเปล่า โดยที่ไม่เพิ่มทุนต่อไป โดยไม่สิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 150
อำนาจของสื่อสารมวลชน นั้นมีอำนาจทั้งด้านบวกและลบ เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุด
ที่นำสื่อของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร
ปลายปีที่แล้ว ถึง กลางปีนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีคำถามเกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชนอย่างมากมายในเรื่องการเสนอข่าว
แต่อย่างไรเสียเมื่อเรื่องจบไปแล้วสื่อก็สงบลง แต่อย่างไรเสีย สื่อก็มีเรื่องตีกระแส ล่าสุดคือ เรื่องของ สมาคมเทคฯ
จนกระทั่งสมาคมดังกล่าว จำเป็นต้องไม่ให้ Smart Phone ระหว่างการเข้าแข่งขัน เพื่อตัดปํญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้งานสื่อ จนเป็นข่าวเป็นข่าวใหญ่โตในช่วงเวลา 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา
ถึงแม้นว่าสื่อมีบรรยาบรรณสื่อสารมวลชน แต่อย่างไรเสีย บางข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ได้นำเสนอ เมื่อเร็วๆนี้มีการเปิดเผยเรื่องการวิ่งล๊อบปี้สื่อสารมวลชน การให้ข่าวที่ทำให้ผลิตภัณฑ์จากแย่ๆมาดูดี หรือ ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นให้ผู้คนสนใจมากกว่าปกติ หรือ ไม่ให้สื่อทำข่าวในเรื่องเหล่านั้น เพื่อตัดกระแสการต่อต้าน หรือตัดงบโฆษณาลงไป
ถ้าหากเป็นเรื่องใกล้ตัวนักลงทุน ก็ต้องย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนที่มีข่าวลือไม่เป็นมงคลแก่ประเทศชาติ ข่าวสารแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วโดยผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้นการใช้สื่อตอนนี้เป็นดาบสองคม คือ ให้เรารู้ข่าวสาร และการทำลายล้าง ภายในตัวของมันเอง ขึ้นอยู่กับประชาชนที่ใช้สื่อ หูไม่เบา ตรวจสอบการรับสื่อก่อน นั้นเอง
ที่นำสื่อของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร
ปลายปีที่แล้ว ถึง กลางปีนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีคำถามเกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชนอย่างมากมายในเรื่องการเสนอข่าว
แต่อย่างไรเสียเมื่อเรื่องจบไปแล้วสื่อก็สงบลง แต่อย่างไรเสีย สื่อก็มีเรื่องตีกระแส ล่าสุดคือ เรื่องของ สมาคมเทคฯ
จนกระทั่งสมาคมดังกล่าว จำเป็นต้องไม่ให้ Smart Phone ระหว่างการเข้าแข่งขัน เพื่อตัดปํญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้งานสื่อ จนเป็นข่าวเป็นข่าวใหญ่โตในช่วงเวลา 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา
ถึงแม้นว่าสื่อมีบรรยาบรรณสื่อสารมวลชน แต่อย่างไรเสีย บางข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ได้นำเสนอ เมื่อเร็วๆนี้มีการเปิดเผยเรื่องการวิ่งล๊อบปี้สื่อสารมวลชน การให้ข่าวที่ทำให้ผลิตภัณฑ์จากแย่ๆมาดูดี หรือ ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นให้ผู้คนสนใจมากกว่าปกติ หรือ ไม่ให้สื่อทำข่าวในเรื่องเหล่านั้น เพื่อตัดกระแสการต่อต้าน หรือตัดงบโฆษณาลงไป
ถ้าหากเป็นเรื่องใกล้ตัวนักลงทุน ก็ต้องย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนที่มีข่าวลือไม่เป็นมงคลแก่ประเทศชาติ ข่าวสารแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วโดยผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้นการใช้สื่อตอนนี้เป็นดาบสองคม คือ ให้เรารู้ข่าวสาร และการทำลายล้าง ภายในตัวของมันเอง ขึ้นอยู่กับประชาชนที่ใช้สื่อ หูไม่เบา ตรวจสอบการรับสื่อก่อน นั้นเอง