หน้า 5 จากทั้งหมด 14

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 05, 2009 12:12 am
โดย miracle
ส่วนเรื่องของ SMK กับ SCSMG นั้น
ขอร้องว่า เรื่องพวกควบรวมหรือข่าวพวก take over
คนรับข่าวต้องหูหนักล่ะครับ ว่า มันเป็นไปได้หรือไม่
ทั้งด้านกลยุทธ์ และ ยุทธวิธี

เพราะการควบแต่ละครั้ง มันมีค่าใช้จ่ายที่มากอยู่เเหมือนกัน
ทั้งพนักงานต้องใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า เราโดนปลดออกไหม
อนาคตเป็นอย่างไง พนักงานก็ไม่มีใจทำงานกันแล้ว แบบนี้องค์กรแย่ไประยะหนึ่ง และกว่าทำให้วัฒนธรรมองค์กรทั้งสองมารวมกันได้ ก็ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งหลังควบรวมได้
ถ้า 1+1 >2 อันนี้ถือว่าดีมาก
1+1=2 อันนี้ธรรมดา
1+1<2 เห็นได้โดยมากหลังจากควบแล้ว
:)

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 05, 2009 10:42 am
โดย อะไรดีละ
miracle เขียน:ส่วนเบ็ดเตร็ดนั้น
แยกให้ดูแล้วว่า ตัวไหนเป็นตัวไหน
มองว่าโดยรวมโตแค่ 9% นั้นมันก็โต
แต่ตัวที่โตริงๆๆ คือตัวไหนล่ะ ในตัวนี้

ถ้าเอาประกันภัยรถยนต์ทั้งหมดเทียบกับประกันภัยเบ็ดเตร็ดทั้งหมด
เหมือนเอา เขาทรายไปชกกับไมด์ ไทสัน เพราะขนาดของตลาดมันก็ต่างกัน
แต่ถ้าหากเอาภาพเล็กมาเทียบกันแล้ว คือประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ กับ ประกันเบ็ดเตร็ดพวกประกันสุภาพ มาเทียบกัน แบบนี้ค่อยสมน้ำสมเนื้อหน่อย
เพราะ คนมันไม่ทำก็ได้ ทำก็ดี

:)
ประกันสุขภาพ และ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล  โตพอๆ กันที่ 19-20 เปอร์เซนต์  ซึ่งเป็นระดับที่สูงมาก
แต่จากตารางก็จะเห็นว่า  2 ตัวนี้รวมกันยังไม่ถึงครึ่งของ ประกันภัยเบ็ดเตล็ดด้วยซ้ำไป  และไม่ถึง 1 ใน 4 ของเบี้ยประกันภัยรถยนต์
ว่าง่ายๆ ก็คือ  ผมเห็นด้วยว่าประกันภัย 2 เรื่องนี้  เติบโตสูงครับ  แต่จะแซงหน้าประกันภัยรถยนต์.... ผมประเมินว่ายังอีกไกล  
และ ตัวเลขในตารางมันก็แสดงเช่นนั้นจริงๆ  

ประกันภัยภาคสมัครใจ  ... ต้องทำภาคบังคับด้วยครับ
คนทีทำประกันรถยนต์....จะรู้กันอยู่แล้วครับ  
:wink:

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 05, 2009 11:21 am
โดย นักดูดาว
ท่าทางคุณ miracle จะมีหุ้นเด็ดในใจที่ทำประกันสุขภาพ ไม่ทราบว่าเป็นหุ้นตัวไหนครับ

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 05, 2009 11:56 am
โดย miracle
ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมล่ะกัน
ประภัยสุขภาพและประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลนั้น
มันต้องดูทั้งประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ควบคู่กัน

เพราะประกันประเภทนี้ สามารถทำได้จากบริษัทที่ดำเนินกิจการประกันชีวิตและประกันวินาศภัย มันเป็นส่วนที่เลื่อมล้ำกันอยู่

ผมไม่ได้บอกว่า ดูจากส่วนของประกันวินาศภัยอย่างเดียวน่ะครับ

อันนี้เป็นภาพใหญ่ ไม่ใช่ภาพเล็ก

และอีกอย่างหนึ่ง % การเติบโตหากมองจากด้านประกันวินาศภัยอย่างเดียว
พวกประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลก็โตมากในปีนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกด้วย

:)

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 05, 2009 2:41 pm
โดย อะไรดีละ
เบี้ยประกันภัย 2 อย่างนั้น  (ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และ สุขภาพ)
สำหรับประกันชีวิตในส่วนกรมธรรม์เพิ่มเติมอยู่ที่  1.2 หมื่นล้าน  
สำหรับ บ.ประกันภัยอยู่ที่ราว 7 พันล้านบาท  รวมกันก็ 1.9 หมื่นล้าน ในรอบครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
แล้วเบี้ยประกันรถยนต์อยู่ที่ 3.2 หมื่นล้าน....
ช่วยอธิบายหน่อยสิครับ  ว่ามันใหญ่กว่าเบี้ยประกันรถยนต์ได้อย่างไร

คุณ miracle เกือบทำให้ผมเข้าใจผิดไป....แต่ก็ขอบคุณที่ทำให้ผมเข้าหาตัวเลขจนเข้าใจชัดเจนได้ครับ  
:wink:

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 05, 2009 5:30 pm
โดย อะไรดีละ
เพิ่มให้อีกนิดในสัญญาเพิ่มเติมส่วนของประกันกลุ่ม  ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นประกันสุขภาพกลุ่ม...อีกราว 5 พันล้านบาท...
รวมๆ แล้ว  เบี้ยประกันสุขภาพ และ อุบัติเหตุส่วนบุคคล  ตกอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้าน ซึ่งนับรวมทุกบ.ประกันชีวิต และ วินาศภัยทุกแห่งรวมกัน  
เมื่อเทียบกับ เบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่ 3.2 หมื่นล้าน  
แล้วมันใหญ่กว่าได้ยังไงหรือครับ  
:roll:

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 05, 2009 9:47 pm
โดย miracle
http://www.oic.or.th/downloads/statisti ... 0652-1.pdf

ตารางคือตารางเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงนี้
ประกันภัยรถยนต์ 31.9 พันล้านบาท
แบ่งเป็นภาคสมัครใจ 26 พันล้านบาท
ภาคบังคับ 5 พันล้านบาท

ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล 4.8 พันล้านบาท
ประกันภัยสุขภาพ 1.7 พันล้าน
รวมกันได้ 6.2 พันล้านบาท

http://www.oic.or.th/downloads/statisti ... 0652-1.pdf

ตารางนี้บอกว่า
สัญญาเพิ่มเติม
อุบัติเหตุ 3.2พันล้านบาท
สุขภาพ 9.6 พันล้านบาท
สัญญากลุ่ม
อุบัติเหตุ 624 ล้านบาท
สุขภาพ 2.7 ล้านบาท

ทั้งหมดรวม 16.1 พันล้านบาท

รวมทั้งหมด(อุบัติเหตุส่วนบุคคลและสุขภาพ) 22 พันล้านบาท
ตามอยู่ 9 พันล้านบาท

ถ้าเป็นแบบนี้ผมให้ข้อมูลผิดไป

:)

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 05, 2009 9:48 pm
โดย miracle
ผมให้ข้อมูลครบถ้วนสำหรับตัวนี้แล้วล่ะครับ
หาแหล่งอ้างอิงเรียบร้อยแล้ว

:)

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 7:06 am
โดย chaitorn
อัฟเดท ข้อมูลอุตสาหกรรมของประกันภัยครับ ดูตัวหลัก ๆ จาก p/BV   แล้วจึงค่อยไปดูความสามารถการทำกำไร เป็นการประเมินมูลค่าของบริษัทประกันภัยจากทรัพย์สินที่เป็นส่วนของผุ้ถือหุ้นเทียบกับราคาตลาดปัจจุบัน  :lol:
จำนวนหุ้นล้านหุ้น market price market cap equity book p/BV
bui 20 12.3 246 495 24.75 0.5
nki 30 64 1920 1852 61.73 1.04
insure 10 52 520 213 21.3 2.44
tsi 31.04 7 217.28 395 12.73 0.55
smk 20 71 1420 1445 72.25 0.98
nsi 13.9 12.5 173.75 612 44.03 0.28
charan 6 58.5 351 556 92.67 0.63
tic 23.5 9.6 225.6 465 19.79 0.49
bki 50.7 239 12117.3 11397 224.79 1.06
scsmg 90.89 29.25 2658.53 1498 16.48 1.77
ayud 250 15 3750 5359 21.44 0.7
tvi 151.5 2.38 360.57 628 4.15 0.57
thre 1187.35 5.2 6174.22 2262 1.91 2.73
mti 59 53.75 3171.25 3581 60.69 0.89
tip 300 14 4200 3327 11.09 1.26

ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ของ p/BV 1.06 เท่า

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 7:13 am
โดย chaitorn
สภาพคล่องของบริษัทประกันภัย ที่สะท้อนจากทรัพย์สินที่เป็นเงินสดและเงินฝากกับสถาบันการเงินเช่นฝากประจำกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเงินสำรองไว้จ่ายค่าเสียหายด้วย ซึ่งดูในรูปสัดส่วนของเงินสดต่อหุ้น

จำนวนหุ้นล้านหุ้น  cash cash/share
bui 20 168 8.4
nki 30 282 9.4
insure 10 273 27.3
tsi 31.04 35.5 1.14
smk 20 1538 76.9
nsi 13.9 298 21.44
charan 6 400 66.67
tic 23.5 515 21.91
bki 50.7 980 19.33
scsmg 90.89 352 3.87
ayud 250 558 2.23
tvi 151.5 410 2.71
thre 1187.35 502 0.42
mti 59 946 16.03
tip 300 1468 4.89

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 7:20 am
โดย chaitorn
เงินลงทุนในหุ้นสามัญต่อหุ้นของแต่ละบริษัท ยังไม่รวมหน่วยลงทุน ซึ่งต้องไปแยกรายละเอียดจากงบการเงินอีกครั้งครับ ดูว่าการลงทุนในหุ้นสามัญต่อจำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียนเป็นอย่างไร

จำนวนหุ้นล้านหุ้น เงินลงทุนในstock stockต่อหุ้น
bui 20 203 10.15
nki 30 506 16.87
insure 10 27 2.7
tsi 31.04 38 1.22
smk 20 345 17.25
nsi 13.9 22 1.58
charan 6 172 28.67
tic 23.5 124 5.28
bki 50.7 8862 174.79
scsmg 90.89 9 0.1
ayud 250 1144 4.58
tvi 151.5 240 1.58
thre 1187.35 651 0.55
mti 59 552 9.36
tip 300 916 3.05

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 7:25 am
โดย chaitorn
หากคิดเฉพาะเงินลงทุนสุทธิที่ไปหาผลประโยชน์ทั้งในรูปหุ้นสามัญ หน่วยลงทุน พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ เป็นต้น

เงินลงทุนสุทธิต่อหุ้นของแต่ละบริษัทเป็นอย่างไรกันบ้าง

จำนวนหุ้นล้านหุ้น net investment เงินลงทุนสุทธิต่อหุ้น
bui 20 226 11.3
nki 30 2192 73.07
insure 10 122 12.2
tsi 31.04 438 14.11
smk 20 3852 192.6
nsi 13.9 919 66.12
charan 6 194 32.33
tic 23.5 410 17.45
bki 50.7 11126 219.45
scsmg 90.89 2310 25.42
ayud 250 5464 21.86
tvi 151.5 968 6.39
thre 1187.35 3264 2.75
mti 59 3041 51.54
tip 300 6056 20.19

หมายเหตุ tic ใช้จำนวนหุ้น เท่ากับ 23.5 ล้านหุ้น เพราะ มีส่วนของหุ้นบุริมสิทธิ์ 4.5 ล้านหุ้น รวมกับหุ้นสามัญ 19 ล้านหุ้น จึงเป็น 23.5 ล้านหุ้น

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 8:47 am
โดย นักดูดาว
คุณ chaitorn คิดอย่างไรกับ AYUD ครับ ขอความเห็นด้วย ราคานี้พอจะลงทุนได้กำไรซักกี่ %

หุ้นอีกตัวที่ผมมองอยู่คือ NKI ขอความเห็นด้วยเช่นกันครับ

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 9:12 am
โดย chaitorn
หุ้น Ayud

ผลงานในอดีต

ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญ (ณ วันที่ 05/10/09)


  30/06/09 31/12/08 31/12/07 31/12/06 31/12/05
สินทรัพย์ (ล้านบาท)  6,539.13 6,348.46 6,711.94 6,478.82 6,656.41
หนี้สิน (ล้านบาท)  1,179.73 1,097.08 1,148.04 1,154.79 1,178.88
ส่วนผู้ถือหุ้น (ล้านบาท) 5,359.40 5,251.38 5,563.90 5,324.03 5,477.54
ทุนที่เรียกชำระแล้ว (ล้านบาท) 250.00 250.00 250.00 250.00 250.00
รายได้ (ล้านบาท) 592.99 1,221.26 1,322.31 1,340.49 992.52
กำไร / ขาดทุน (ล้านบาท) 128.97 356.56 407.10 360.48 214.13
ผลกำไรต่อสินทรัพย์ (%)* 5.65 6.73 7.06 6.36 3.55
ผลกำไรต่อส่วนผู้ถือหุ้น (%)* 5.75 6.59 7.48 6.67 4.05
อัตรากำไรสุทธิ (%) 21.75 29.20 30.79 26.89 21.57

สังเกตดู ตรงส่วนของผู้ถือหุ้น ไม่ขยับเลย อยู่ที่ระดับประมาณ 5300 ถึง 5500 ล้านบาท

และมูลค่าหุ้นปัจจุบัน กลับไปสู่พื้นฐานเดิม เมื่อปี 05 เลยครับ

ตรงนี้ต้องดูว่า บริษัทจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างไร

สิ่งที่พอคาดหวัง ก็คือ การทำ Bacassurance กับ Bay หากจริงจัง และธนาคารให้ความร่วมมือด้วย

ตัวนี้จึงจะน่าสนใจ เห็นว่าเริ่มทดลองโฆษณาประชาสัมพันธ์บางสาขาแล้ว

ราคาตรงนี้ PBV อยู่ 0.7 เท่า ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะคาดหวังในส่วนของ Dividend ในระดับค่อนข้างสูงได้ แต่จะคาดหวังส่วนต่าง ผมว่าต้องดูการเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานการเติบโตในอนาคตก่อนครับ แต่ถ้าพื้นฐานเปลี่ยนแปลง คงต้องดูไตรมาสถัด ๆ ไปด้วย

นอกจากนี้ที่ผ่านมา พอร์ตของบริษัทเน้นตราสารหนี้มาก ต้องระวังเรื่อง Yield Curve ที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นด้วย อ่าจขาดทุนส่วนต่างเงินลงทุนได้ครับ

ผมคิดว่า Upside น่าจะขึ้นไปประมาณ 1 เท่าของมูลค่าทางบัญชีได้ในอนาคต หากปรับเปลี่ยนพื้นฐานได้ครับ

คงต้องติดตามผลงานไตรมาสถัด ๆ ไปดูนะครับ

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 9:23 am
โดย chaitorn
nki ก็น่าสนใจครับ

ข้อมูลในอดีต

ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญ (ณ วันที่ 05/10/09)


  30/06/09 31/12/08 31/12/07 31/12/06 ** 31/12/05 **
สินทรัพย์ (ล้านบาท)  3,422.88 3,307.76 3,462.25 3,442.18 3,063.96
หนี้สิน (ล้านบาท)  1,569.97 1,519.61 1,387.95 1,545.28 1,254.14
ส่วนผู้ถือหุ้น (ล้านบาท) 1,852.92 1,788.16 2,074.30 1,876.08 1,691.19
ทุนที่เรียกชำระแล้ว (ล้านบาท) 300.00 300.00 300.00 300.00 279.43
รายได้ (ล้านบาท) 849.97 1,438.98 1,500.98 1,425.10 1,237.42
กำไร / ขาดทุน (ล้านบาท) 81.77 119.37 331.96 184.38 173.68
ผลกำไรต่อสินทรัพย์ (%)* 5.36 5.26 9.85 7.14 7.39
ผลกำไรต่อส่วนผู้ถือหุ้น (%)* 7.89 6.18 16.81 10.34 10.79
อัตรากำไรสุทธิ (%) 9.62 8.30 22.12 12.94 14.04

แต่หาดูตรงส่วนของผู้ถือหุ้น ตั้งแต่มีการเพิ่มทุนแล้ว จะพบว่า ไม่มีการขยายตัวอีกเช่นกันครับ ส่วนผู้ถือหุ้น เคยขึ้นไปถึง 2074 ล้านบาท ปัจจุบัน อยู่ที่ 1852 ล้านบาท

และราคาขณะนี้ขึ้นไปเท่ากับค่าเฉลี่ยของตลาดแล้วคือ PBV 1.05 เท่า ราคาจึงไม่ได้ถูก แต่ก็ไม่แพงเกินไป

ราคาตรงนี้คงต้องคาดหวังอนาคตการเติบโตเหมือนกันครับ ต้องดุว่าการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ จะข่วยสร้างการเจริญเติบโตของเบี้ยประกันภัยมากน้อยเพียงใดครับ

แต่หากเทียบกับ Ayud แล้ว Ayud น่าสนใจกว่าตรง PBV ต่ำกว่า อย่างน้อย หากพลาด ก็ยังมีปันผลจ่ายปีละ 2 ครั้ง และมี Margin of Safety ที่มากกว่า และยังมี Story การปรับเปลี่ยนพื้นฐานในอนาคตกับ ธนาคาร Bay ที่ให้ลุ้นให้ติดตามได้ครับ

ดังนั้นความเห็นผมเบื้องต้นนะครับ Ayud ยังมี Upside แต่ Nki ค่อนข้างจะเต็มมูลค่าแล้วครับ

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 8:16 pm
โดย chaitorn
เมื่อดูความถูกแพงของหุ้นแล้ว

คราวนี้มาดูคุณภาพของการทำกำไร ซึ่งผมลองนำข้อมูลจากเซทเทรดมาให้ดูเปรียบเทียบกับความสามารถของการทำกำไร

ทั้งในสวนที่เป็น กำไรจากการดำเนินงาน ที่สะท้อนจาก อาร์โอเอ และอาร์โออี ล่าสุด

และความสามารถการทำกำไรในรอบ 6 เดือน โดยดูจากการเปลี่ยนแปลง มูลค่าบัญชีต่อหุ้น (ส่วนของผู้ถือหุ้น หารด้วยจำนวนหุ้นที่จดทะเบียน) แล้วบวกกลับการจ่ายปันผลในรอบ 6 เดือน เพื่อดูความสามารถการทำกำไรที่แท้จริง

ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวของมูลค่าทางบัญชีนั้น ต้องไปดูรายละเอียดด้วย เพราะหุ้นบางตัวแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นทางบัญชีค่อนข้างมาก แต่อาจมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ หรือการทำรายการพิเศษ จึงต้องไปแกะงบการเงินรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยครับ

Name price ROA ROE change NAV per share % NAV per price
bui 12.3 3.5 4.59 1.94 15.79%
nki 64 5.36 7.89 5.66 8.84%
insure 52 -3.63 -8.26 0.54 1.04%
tsi 7 -7.97 -15.22 -2.02 -28.82%
smk 67 3.27 10.2 9.05 13.51%
nsi 13 3.67 9.44 4.83 37.15%
charan 58.5 3.95 3.85 4.2 7.18%
tic 9.95 -0.99 -9.43 3.05 30.65%
bki 239 5.43 6.41 49.79 20.83%
scsmg 30.75 -10.71 -26.29 0.29 0.94%
ayud 15 5.65 5.75 0.78 5.20%
tvi 2.38 -0.75 -3.17 0.63 26.47%
thre 5.15 13.14 20.9 0.33 6.41%
mti 54 4.54 6.77 4.28 7.93%
tip 14.1 5.32 12.04 1.15 8.16%

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 8:26 pm
โดย miracle
6เดือนตัวแทนรับ1.9หมื่นล.


วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552
คปภ.เผย 6 เดือนแรกตัวแทนประกันชีวิตทำเงินเข้ากระเป๋า 1.92 หมื่นล้านบาท
แหล่งข่าวจากส่วนวิจัยและสถิติ ฝ่ายวางแผนและพัฒนาระบบการตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า 6 เดือนแรกตัวแทนประกันชีวิตได้รับผลตอบแทนจากการขายประกันรวมทั้งสิ้น 1.92 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.13% แยกเป็นรายได้ของตัวแทนประกันชีวิตและนายหน้า 1.37 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,012.39 ล้านบาท หรือ 7.94% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และรายได้ของผู้บริหารตัวแทนประกันชีวิต 5,498.22 ล้านบาท ลดลง 1.29% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2551 คาดว่าปีนี้ตัวแทนทั้งระบบจะมีรายได้ถึง 4 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่มีรายได้ 3.88 หมื่นล้านบาท
นายบรรยง วิทยวีรศักดิ์ นายกสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กล่าวว่า อาชีพตัวแทนประกันชีวิตหากมีความเป็นมืออาชีพสามารถทำรายได้เข้ากระเป๋าถึง 1 ล้านบาทภายใน 1 ปี แต่ถ้าไม่มีความเป็นมืออาชีพก็จะหลุดออกจากอาชีพ โดยค่านายหน้าที่บริษัทประกันชีวิตจ่ายให้กับตัวแทน 6 เดือนแรก 1.3 หมื่นล้านบาทนั้นรวมค่านายหน้าที่ขายผ่านธนาคารด้วย สัดส่วน 50:50

รายได้ค่านายหน้าจะมีความแตกต่างกันตามลักษณะของกรมธรรม์ ถ้าเป็นกรมธรรม์ที่คุ้มครองตลอดชีพจะได้รับค่านายหน้า 40% ถ้าเป็นกรมธรรม์สะสมทรัพย์ 15-20 ปี จะได้รับค่านายหน้า 20-30% ถ้ากรมธรรม์ที่มีอายุ 10 ปีลงไป จะได้รับค่านายหน้า 5% 10% และ 20% นายบรรยง กล่าว

นายบรรยง กล่าวว่า ปีนี้ตัวแทนมือสมัครเล่นหลุดออกไปจากอาชีพเฉลี่ยเดือนละ 30% เนื่องจากกฎเกณฑ์ของคปภ. ที่กำหนดหลักสูตรให้ต้องเข้ารับการอบรมขั้นต่ำ 6 ชั่วโมง ทำให้ตัวแทนที่มีอาชีพอื่นเป็นอาชีพหลักไม่มีเวลาเข้าอบรมจึงออกจากวงการ เหลือเพียงตัวแทนที่ยึดอาชีพขายประกันเป็นอาชีพหลัก ซึ่งกลุ่มนี้เข้ารับการอบรมเต็มที่ ทั้งหลักสูตรที่คปภ.กำหนด และความรู้ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์การเงิน เพื่อยกระดับขึ้นเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน แข่งขันกับช่องทาง การขายผ่านธนาคารหรือแบงก์แอสชัวรันส์

ตัวแทนทั่วประเทศ 3.5 แสนคน มี 10% ที่สามารถให้คำปรึกษาวางแผนการเงินให้แก่ลูกค้าแผน นายบรรยง กล่าว

นายบรรยง กล่าวว่า ส่วน ผู้บริหารตัวแทนจะมีรายได้จากการสร้างตัวแทนใหม่และรักษา ให้ลูกค้าเก่าต่ออายุกรมธรรม์ ซึ่งปีนี้ตัวแทนใหม่ลดลงทำให้รายได้ของ ผู้บริหารตัวแทนลดลง

http://www.posttoday.com/finance.php?id=70234

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 8:26 pm
โดย miracle
โบรกฯต่างชาติหวั่นคปภ.ให้ถือหุ้น25%


วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552
โบรกเกอร์ต่างชาติเครียดถูกลดสัดส่วนหุ้น ถือได้ไม่เกิน 25% ร้องคปภ.ขอให้เหมือนเดิม
แหล่งข่าวจากบริษัทนายหน้าประกันภัย เปิดเผยว่า ทางบริษัทนายหน้าประกันหรือโบรกเกอร์ที่มีต่างชาติถือหุ้น กำลังมีความกังวลเกี่ยวกับประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่กำหนดให้ต่อไปนี้บริษัทโบรกเกอร์ต้องมีผู้ถือหุ้นคนไทยไม่น้อยกว่า 75% ซึ่งเท่ากับว่าต่างชาติจะถือหุ้นได้เพียง 25% เท่านั้น ขณะที่ของเดิมสมัยที่เป็นกรมการประกันภัยได้ให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึง 49%
เรื่องนี้คิดว่าทางคปภ. ที่ย้ายมาอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ต้องการทำให้เหมือนกับการที่ต่างชาติมาถือหุ้นในแบงก์พาณิชย์ได้ไม่เกิน 25% หากเกินกว่านั้นก็ต้องขออนุมัติเป็นรายๆ ไป ซึ่งเรื่องนี้เราอยากให้เป็นเหมือนเดิมมากกว่า ในเมื่อนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนอย่างถูกต้องเปิดเผยสามารถตรวจสอบได้แล้ว ก็ควรทำให้อยู่บนดินเหมือนเดิม อย่าผลักดันให้ใครมาถือหุ้นแทนหรือเป็นนอมินีอีก ซึ่งเรื่องนี้คงต้องมีการหารือไปยังคปภ.อีกครั้ง แหล่งข่าวเปิดเผย

นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ นายกสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย กล่าวว่า ทางสมาคมจะทำหนังสือไปยังสมาชิกเพื่อสอบถามว่า ได้รับผลกระทบจากการประกาศ หรือข้อบังคับของคปภ.เรื่องใดบ้าง และมีข้อเสนออย่างไร เพื่อนำข้อสรุปที่ได้เสนอให้คปภ.พิจารณาอีกครั้ง

http://www.posttoday.com/finance.php?id=70233

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 8:27 pm
โดย miracle
คปภ.คลอดแบบมาตรฐานประกันบำนาญ


วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552
คปภ.ระดมความเห็นเอกชน ออกกรมธรรม์มาตรฐานประกันบำนาญ
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะทำงานกำหนดตารางบำนาญไทยได้สรุปหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายสำหรับการคำนวณอัตราเบี้ยประกันชีวิต ตลอดจนแบบและข้อความของการประกันชีวิตแบบบำนาญเสร็จแล้ว โดยอยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมจากบริษัทประกันชีวิตทั้งหมด ก่อนที่จะสรุปและออกประกาศบังคับใช้เป็นกรมธรรม์มาตรฐานสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญให้ได้เร็วที่สุด
สำหรับแบบประกันชีวิตแบบบำนาญนั้น ได้กำหนดลักษณะของกรมธรรม์ไว้ว่า ต้องมีการจ่ายเงินเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ การจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญจะจ่ายตามการทรงชีพและหรือจ่ายโดยรับรองจำนวนงวดในการจ่ายที่แน่นอน

นอกจากนี้ ต้องมีการกำหนดช่วงอายุการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญ โดยมีอายุเริ่มอย่างน้อยตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไปและต้องจ่ายเงินบำนาญถึงอายุ 85 ปีขึ้นไป

ดังนั้น เรื่องการกำหนดผลประโยชน์ กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในช่วงการรับบำนาญ เช่น ไม่เกินเบี้ยประกันภัยสะสมหักด้วยผลประโยชน์สะสมที่จ่ายให้ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว หรือไม่เกินจำนวน 20% ของเบี้ยประกันภัยชำระครั้งเดียว เป็นต้น และในขณะที่ช่วงรับเงินบำนาญนั้น จะไม่สามารถเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัยได้ แต่สามารถเวนคืนกรมธรรม์ ช่วงก่อนรับเงินบำนาญหรือกู้เงินตามเงื่อนไขกรมธรรม์ช่วงก่อนรับเงินบำนาญได้

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สิ่งสำคัญที่ผู้เอาประกันบำนาญควรรู้ คือ กรณีที่บริษัทจะไม่คุ้มครอง หากไม่เปิดเผยความจริงหรือแถลงความเท็จ บริษัทสามารถบอกเลิกสัญญาภายใน 2 ปี นับจากวันทำสัญญา รวมถึงการฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี หรือถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตาย โดยผู้เอาประกันภัยต้องพิสูจน์การมีชีวิตช่วงรับบำนาญด้วยตัวเอง

http://www.posttoday.com/finance.php?id=70232

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 8:39 pm
โดย chaitorn
คราวนี้ ดูการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นทางบัญชี ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงที่ใกล้ที่สุด เทียบกับ ราคาหุ้นปัจจุบันแล้ว มีผลตอบแทนเฉพาะไตรมาส 2 เทียบกับราคาหุ้น เป็นอย่างไร

จะเห็นได้ว่า บางตัวมีการปรับเปลี่ยนแปลงในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ 2 ไตรมาสรวมกันครับ

พวกที่ถือหุ้นสามัญจำนวนมากในไตรมาส 2 จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหุ้นทางบัญชีที่เปลี่ยนแปลงมาก และทำให้ผลตอบแทนรวมใน 2 ไตรมาสพลิกฟื้นมากเลยครับ

Name price change NAV per share Q2 % NAV per price
bui 12.3 2.42 19.67%
nki 64 4.9 7.66%
insure 52 1.69 3.25%
tsi 7 -2.09 -29.86%
smk 67 5.44 8.12%
nsi 13 3.56 27.38%
charan 58.5 5.4 9.23%
tic 9.95 1.18 11.86%
bki 239 42.27 17.69%
scsmg 30.75 0.92 2.99%
ayud 15 0.6 4.00%
tvi 2.38 0.6 25.21%
thre 5.15 0.23 4.47%
mti 54 3.86 7.15%
tip 14.1 0.81 5.74%

เป็นการเปลี่ยนแปลงเทียบกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

% change set 38.46
% change set 50 43.35

รอลุ้นไตรมาส 3 เพราะ ดัชนีหุ้นยังปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ดังนี้

% change set 20.01
% change set 50 18.86

หากเทียบกับ สิ้นปี

% change set 59.36
% change set 50 61.64

มาลุ้นว่า การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหุ้นทางบัญชีในไตรมาส 3 จะเป็นอย่างไรกันบ้างครับ อีกไม่นานคงได้รู้กันครับ




:lol:

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 8:54 pm
โดย chaitorn
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... =413340202
ครึ่งปีแรกประกันทุ่มลงทุน1.025ล้านล้านบาท

 
‘ชีวิต’ได้ดอกผล 2.7%/‘วินาศภัย’ยังแย่วูบต่อได้แค่ 1.7%

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) รายงานสถิติธุรกิจประกันภัยในช่วง 6 เดือน แรกปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.2552) พบว่า ธุรกิจประกันภัยทั้งระบบมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1.107 ล้านล้านบาท โดยที่ส่วนใหญ่ยังเป็นสินทรัพย์ของธุรกิจประกันชีวิตมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 87.07% ของสินทรัพย์ทั้ง หมด ด้วยมูลค่าทั้งสิ้น 964,238.747 ล้านบาท ส่วนธุรกิจประกันวินาศภัยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 143,219.685 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียง 12.93% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด

ขณะที่สินทรัพย์ลงทุนของธุรกิจประกันภัยทั้งระบบในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.025 ล้านล้านบาท โดยที่ส่วนใหญ่กว่า 90% เป็นสินทรัพย์ลงทุนของธุรกิจประกันชีวิต หรือเป็นเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 916,952.641 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่มีสินทรัพย์ลงทุนจำนวน 820,370.873 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจประกันวินาศภัยมีสินทรัพย์ลงทุนเพียง 10% ด้วยจำนวน 108,375.440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.22% จากช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่มีสินทรัพย์ลงทุนจำนวน 107,073.516 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่าสถานการณ์การลงทุน ของธุรกิจประกันวินาศภัยเพิ่มกระเตื้องขึ้นมาก จากช่วงไตรมาสแรกที่สินทรัพย์ด้อยค่าลงจากปีก่อน

สำหรับการลงทุนของธุรกิจประกันชีวิต ในช่วงครึ่งปีแรก 2552 ปรากฏว่า สามารถหาผลตอบแทนจากการลงทุนสุทธิได้ทั้งสิ้น 23,097.684 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 ที่มีรายได้จากการลงทุนสุทธิ 20,938.815 ล้านบาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยได้ 2.7% โดยที่นอกเหนือจากหลักทรัพย์ที่วางไว้กับนายทะเบียนในสัดส่วน 0.05% ของสินทรัพย์ลงทุน ของธุรกิจประกันชีวิตทั้งหมด หรือเป็นเงินรวม 497.849 ล้านบาทแล้ว ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการลงทุนในพันธบัตรมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 63.26% ของสินทรัพย์ลงทุนของธุรกิจประกันชีวิตทั้งหมด หรือเป็นเม็ดเงินจำนวน 580,069.853 ล้านบาท รองลงมา 11.04% เป็นหุ้นกู้ และหุ้นกู้แปลงสภาพ คิดเป็นเงินจำนวน 101,191.447 ล้านบาท, เงินให้กู้ยืม 7.73% หรือคิดเป็นมูลค่า 70,887.145 ล้านบาท, ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตั๋วแลกเงิน 7.67% เป็นคิดเป็นเงินจำนวน 70,365.960 ล้านบาท, หุ้นทุน 5.65% เป็นคิดเป็นเงินจำนวน 51,762.598 ล้านบาท

เงินสดและเงินฝากสถาบันการเงิน 2.29% เป็นเงินจำนวน 20,957.544 ล้านบาท, หน่วยลงทุน 1.24% เป็นมูลค่า 11,375.912 ล้านบาท, เงินลงทุนอื่น 0.62% เป็น เงินจำนวน 5,649.856 ล้านบาท, ตั๋วเงินคลัง 0.45% เป็นเงินจำนวน 4,148.042 ล้านบาท และที่เหลือแบ่งเป็นสลากออมทรัพย์จำนวน 31 ล้านบาท และเป็น ใบสำคัญแสดงสิทธิ์การซื้อหุ้นสามัญ หรือหุ้นกู้ หรือหน่วยลงทุน จำนวน 15.436 ล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนการลงทุนของธุรกิจประกันวินาศภัยในช่วงครึ่งปีแรก 2552 ยังคงได้ผลตอบแทนที่ลดลงต่อเนื่อง แม้ว่าสินทรัพย์ลงทุนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ตาม โดยมีสินทรัพย์ลงทุนทั้งสิ้น 108,375.440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.22% เมื่อเทียบกับ 107,073.516 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2551 สามารถหาผลตอบแทนจากการลงทุนสุทธิได้ 1,856.131 ล้านบาท ลดลง 12.92% เมื่อเทียบกับที่สามารถหาได้ 2,131.419 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2551 คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยได้เพียง 1.7%

โดยที่การลงทุนของธุรกิจประกันวินาศภัย นอกเหนือจากส่วนของหลักทรัพย์ที่วางไว้กับนายทะเบียนในสัดส่วน 0.84% ของสินทรัพย์ลงทุนของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งหมด หรือเป็นเงินรวม 914.180 ล้านบาทแล้ว ส่วนใหญ่ลงทุนในพันธบัตรมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 23.26% ของสินทรัพย์ลงทุนของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งหมด ด้วยมูลค่าทั้งสิ้น 25,202.846 ล้านบาท รองลงมา 20.28% เป็นเงินสดและเงินฝากสถาบันการเงินจำนวน 21,983.235 ล้านบาท, เป็นหุ้นทุน 19.28% มูลค่า 20,894.799 ล้านบาท, หุ้นกู้-หุ้นกู้แปลงสภาพ 11.28% มูลค่า 12,225.655 ล้านบาท, หน่วยลงทุน 9.55% มูลค่า 10,346.070 ล้านบาท, ตั๋วสัญญาใช้เงิน-ตั๋วแลกเงิน 7.14% เป็นเงินจำนวน 7,735.921 ล้านบาท, เงินให้กู้ยืม 4.13%เป็นเงินจำนวน 4,471.187 ล้านบาท, ตั๋วเงินคลัง 3.91% มูลค่า 4,236.958 ล้านบาท, เงินลงทุนอื่น 0.21%เป็นจำนวน 229.988 ล้านบาท, 0.09% เป็นสลากออมทรัพย์ มูลค่า 101.913 ล้านบาท และอีก 0.03% ที่เหลือเป็นใบสำคัญแสดงสิทธิ์การซื้อหุ้นสามัญ หรือหุ้นกู้ หรือหน่วยลงทุน มูลค่า 32.689 ล้านบาท ตามลำดับ

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 9:14 pm
โดย นักดูดาว
miracle เขียน:คปภ.คลอดแบบมาตรฐานประกันบำนาญ

สำหรับแบบประกันชีวิตแบบบำนาญนั้น ได้กำหนดลักษณะของกรมธรรม์ไว้ว่า ต้องมีการจ่ายเงินเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ การจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญจะจ่ายตามการทรงชีพและหรือจ่ายโดยรับรองจำนวนงวดในการจ่ายที่แน่นอน

นอกจากนี้ ต้องมีการกำหนดช่วงอายุการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญ โดยมีอายุเริ่มอย่างน้อยตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไปและต้องจ่ายเงินบำนาญถึงอายุ 85 ปีขึ้นไป
ต้องกำหนดอะไรใหม่เหรอครับ ของบริษัทที่ผมขายอยู่ก็มีแบบบำนาญนี่ครับ หรือจะปรับมาตรฐานใหม่ให้ตรงกันทุกบริษัท?  ของเราชำระเบี้ยจนถึงอายุ 60ปี เริ่มจ่ายตั้งแต่ 60 ถึง 99 ครับ  

จริงอยู่ที่ว่าเอกชนเกษียณที่อายุ 55 แต่ก็น่าจะมีบำเหน็จและเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วยไม่ใช่หรือครับ

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 11:52 pm
โดย miracle
นักดูดาว เขียน:
ต้องกำหนดอะไรใหม่เหรอครับ ของบริษัทที่ผมขายอยู่ก็มีแบบบำนาญนี่ครับ หรือจะปรับมาตรฐานใหม่ให้ตรงกันทุกบริษัท?

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 07, 2009 7:11 am
โดย chaitorn
กำลังใจส่วนหนึ่ง ที่ทำให้มีนักลงทุน ลงทุนกับหุ้นประกันภัย เพราะความสามารถหนึ่งที่ผ่านมา คือความสามารถในการจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงภาวะวิกฤตที่ผ่านมา ก็ยังสามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ ในอัตราที่สูงกว่า พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอีกด้วย

มาดูกันว่า หุ้นประกันภัยตัวใดที่จ่ายปันผลได้ดี ไม่พ่ายแพ้ต่อภาวะวิกฤตที่ผ่านมาครับ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่ผู้ลงทุนได้รับชัดเจนที่สุด มากกว่าการเปลี่ยนแปลงมูลค่าทางบัญชี ซึ่งยังไม่ค่อยสะท้อนกับส่วนต่างของราคาเท่าที่ควรครับ เพราะหุ้นประกันภัยก็ยังเทรดกันประมาณ 1 เท่าทางบัญชี ไม่มีพรีเมียมเท่าที่ควร ยกเว้นบางตัวเท่านั้น แต่ค่าเฉลี่ยประมาณ 1.06 เท่าครับ

Name price dividendบาทต่อหุ้น yield
bui 12.3 0.7 5.69%
nki 64 3.5 5.47%
insure 52 0 0.00%
tsi 7 0.25 3.57%
smk 67 2.85 4.25%
nsi 13 0 0.00%
charan 58.5 4 6.84%
tic 9.95 0 0.00%
bki 239 12 5.02%
scsmg 30.75 0 0.00%
ayud 15 0.85 5.67%
tvi 2.38 0 0.00%
thre 5.15 0.36 6.99%
mti 54 0 0.00%
tip 14.1 1 7.09%

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 07, 2009 9:02 pm
โดย miracle
8เดือนเบี้ยประกันชีวิตพุ่ง24%


วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552
โพสต์ทูเดย์ คนไทยหันออมเงินผ่านประกันชีวิตในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว หนุนเบี้ยพุ่งสวนกระแส
แหล่งข่าวจากสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2552 มีประชาชนซื้อประกันชีวิตระยะยาวคิดเป็นเบี้ยประกัน 3.62 หมื่นล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 24%
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มประชาชนที่ซื้อประกันชีวิตระยะสั้นแบบชำระเบี้ยครั้งเดียว หรือซิงเกิลพรีเมียม ที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงมาก จำนวน 1.91 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 28%

ขณะเดียวกันมีลูกค้าต่ออายุเพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยอยู่ในอัตรา 86% จากงวดเดียวกันของปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 84% เป็นเบี้ยต่ออายุของลูกค้าเก่าทั้งสิ้น 1.08 แสนล้านบาท

รวมเบี้ยทุกประเภท 1.63 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% ถือว่าเบี้ยประกันทุกประเภทเติบโตอย่างมาก ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตเพื่อสร้างหลักประกันให้กับตัวเองและครอบครัว แหล่งข่าวเปิดเผย

นางวรางค์ เสรฐภักดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต กล่าวว่า ลูกค้าสนใจซื้อประกันแบบชำระเบี้ยครั้งเดียวเข้ามามากในช่วงเดือนส.ค. เนื่องจากพลาดหวังจากการซื้อพันธบัตรไทยเข้มแข็ง ซึ่งผลตอบแทนของกรมธรรม์ชำระเบี้ยครั้งเดียวอยู่ในระดับกว่า 3%

นายเยินฮีคัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามซัมซุงประกันชีวิต เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันชีวิตของไทยยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากบริษัทประกันแต่ละรายต่างก็พัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานในด้านต่างๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่องทางการจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับบริษัทจะทำการกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีด้วยการจัดแข่งขัน โดยตัวแทนที่สามารถขายเบี้ยประกันลูกค้ารายใหม่ได้ 4 แสนบาท จะได้ไปดูงานด้านประกันชีวิตที่สำนักงานใหญ่ ประเทศเกาหลี

ช่วงต้นปีคาดหวังว่าเบี้ยรับรวมของทั้งปีจะเติบโตไม่ถึง 10% แต่ปัจจุบันโตเกิน 10% ไปแล้ว และไม่ว่าจะวิ่งไปถึงไหน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าลูกค้าเห็นความสำคัญของการสร้างหลักประกันให้กับตัวเองและครอบครัวมากขึ้น นายเยิน กล่าว

นายสตีเฟ่น แอปเปิ้ลยาร์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต หรือเอเอซีพี กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะใช้งบประมาณ 40 ล้านบาท นำมาทำการโฆษณาสร้างชื่อของบริษัทอีกครั้งเพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงปลายปี ซึ่งตามปกติยอดขายจะเข้ามามากในช่วงไตรมาสสุดท้าย คาดว่าจะทำให้เบี้ยใหม่มีถึง 6,500 ล้านบาทตามที่วางเป้าหมายไว้
http://www.posttoday.com/finance.php?id=70419

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 07, 2009 9:03 pm
โดย miracle
การเมืองวุ่นคงเครดิตไทยประกันฯ


วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552
โพสต์ทูเดย์ สถาบันจัดอันดับเอสแอนด์พี หวั่นการเมืองไม่นิ่ง คงอันดับเครดิตไทยประกันชีวิต A- เชื่อฐานะการเงินยังดีเอาตัวรอดได้
นางวรางค์ เสรฐภักดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า ทางสถาบันจัดอันดับเครดิต สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือเอสแอนด์พี ได้จัดอันดับเครดิตทางการเงินประจำปี 2552 ให้แก่บริษัท โดยคงอันดับที่ A- และเครดิตสำหรับภูมิภาคอาเซียนที่ระดับ axAA- ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของธุรกิจคนไทย สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นบริษัทที่มีสถานะทางการเงินและการตลาดแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย แม้ว่าการแข่งขันของธุรกิจในปัจจุบันจะรุนแรง
อย่างไรก็ตาม การที่เอสแอนด์พีจัดอันดับเครดิตทางการเงินที่ A- มุมมองเชิงลบ เป็นผลมาจากมุมมองเครดิตประเทศอยู่ที่มุมมองเชิงลบ อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งในฐานะที่บริษัทมีเงินลงทุนและธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ภายในประเทศ ทำให้เชื่อว่าบริษัทอาจถูกผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองได้ แต่ทางเอสแอนด์พีคาดว่าบริษัทยังคงจะสามารถรักษาโครงสร้างทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีผลการดำเนินงานที่ดีได้

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยมีเบี้ยประกันรับที่เกิดจากธุรกิจใหม่ 6,744 ล้านบาท เติบโต 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เบี้ยประกันรับปีต่อไป 14,786 ล้านบาท เติบโต 9% และเบี้ยประกันรับรวม 21,530 ล้านบาท เติบโต 15%

ทั้งนี้ บริษัทมีเครือข่ายและส่วนแบ่งทางการตลาดที่เข้มแข็ง จากจำนวนบุคลากรฝ่ายขายประมาณ 5 หมื่นคนทั่วประเทศ ขณะเดียวกันบริษัทมีโครงสร้างการลงทุนที่ดี มีเงินกองทุนเพียงพอกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2551 มีเงินกองทุน 10,350 ล้านบาท เงินสำรองประกันชีวิตพร้อมจ่ายคืนผู้เอาประกันในทุกกรณี 115,240 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/finance.php?id=70417

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 07, 2009 10:29 pm
โดย chaitorn
เมื่อดู การประเมินมูลค่าหุ้นทางบัญชี การเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นทางบัญชี และ ความสามารถในการทำกำไรแล้ว

คราวนี้ มาดูการเปลี่ยนแปลงของราคาเมื่อเทียบกับศักยภาพของหุ้นประกันภัย โดยใช้ข้อมูล ราคา ณ สิ้นปี 2551 เทียบกับ ปัจจุบัน 7 กันยายน 2552 (ข้อมูลราคาปัจจุบัน) ดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงราคากันอย่างไรบ้างครับ

ชื่อหุ้น ราคาปัจจุบัน ราคา สิ้นปี 2551 %เปลี่ยนแปลง
bui  12.3 11  11.81%
nki 64 54 18.51%
insure 52 52 0.00%
tsi 7 10 -30%
smk 67 60 11.66%
nsi 13.5 8.1 66.66%
charan 58.5 63.50 -7.87%
tic 9.95 8.1 22.83%
bki 239 186 28.49%
scsmg 30.25 26 16.34%
ayud 15 10.70 40.18%
tvi 2.38 2 19.00%
thre 5.10 4.90 4.08%
mti 53.75 37 45.27%
tip 14.1 12.1 16.52%

ส่วนใหญ่เริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว มีเพียง 2 ตัว ติดลบสีแดงอยู่ 1 ตัวที่อยู่ไฟเหลือง ไม่ขึ้นไม่ลง ส่วนที่เหลือ ปรับตัวสูงขึ้นเป็นสีเขียวหมดแล้วครับ
:lol:

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 08, 2009 6:25 am
โดย chaitorn
http://www.oic.or.th/th/statistics/inner.php
   1. การดำรงเงินกองทุนของบริษัทประกันภัย

   1.1 คำนิยาม
      เงินกองทุน หมายถึง ทรัพย์สินส่วนที่เกินกว่าหนี้สินของบริษัทตามราคาประเมินทรัพย์สินและ หนี้สินของบริษัทที่ประเมินตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535
   1.2 ข้อกำหนดในการดำรงเงินกองทุนตามกฎหมาย
1.2.1 บริษัทประกันชีวิต
      บริษัทต้องดำรงไว้ซึ่งเงินกองทุนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละสองของเงินสำรองประกันภัย แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้านบน
   1.2.2 บริษัทประกันวินาศภัย
      บริษัทต้องดำรงไว้ซึ่งเงินกองทุนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของเบี้ยประกันภัยสุทธิที่ได้รับทั้งหมด สำหรับปีปฏิทินที่ล่วงแล้ว แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ต่ำกว่าสามสิบล้านบาท

   2. การจัดสรรทรัพย์สินให้เพียงพอกับเงินสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้และสำรองค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันวินาศภัย
   2.1 ทรัพย์สินที่ต้องจัดสรรไว้ ประกอบด้วย
     
   (1)
    พันธบัตร
     
   (2)
    ตั๋วเงินคลัง
     
   (3)
    บัตรภาษีของกระทรวงการคลัง
     
   (4)
    หุ้นทุน
     
   (5)
    หุ้นกู้ - หุ้นกู้แปลงสภาพ
     
   (6)
    ตั๋วสัญญาใช้เงิน - ตั๋วแลกเงิน
     
   (7)
    หน่วยลงทุน
     
   (8)
    ใบสำคัญแสดงสิทธิการซื้อหุ้นสามัญ - หุ้นกู้ - หน่วยลงทุน
     
   (9)
    เงินให้กู้ยืม
     
   (10)
    เงินลงทุนให้เช่าซื้อรถ
     
   (11)
    เงินลงทุนให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่ง
     
   (12)
    เงินสด
     
   (13)
    เงินฝากสถาบันการเงิน
     
   (14)
    เงินค้างรับจากการประกันภัยต่อ
     
   (15)
    เบี้ยประกันภัยค้างรับจากการรับประกันภัยโดยตรง
     
   (16)
    รายได้จากการลงทุนค้างรับ
     
   (17)
    เงินสมทบค้างรับตามมาตรา 10 ทวิ วรรค 7 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
     
   (18)
    ลูกหนี้เงินทดรองจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 10 ทวิ วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535

   ทรัพย์สินตาม (1) ถึง (18) ให้ถือราคาตามประกาศนายทะเบียนว่าด้วยการประเมินราคาทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัท ซึ่งออกตามความในมาตรา 37(2) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535
   2.2 เงินสำรองฯประกอบด้วย
      (1) เงินสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้
      (2) สำรองค่าสินไหมทดแทน และค่าสินไหมทดแทนค้างจ่าย
      (3) เงินถือไว้จากการประกันภัยต่อ หมายถึง เงินสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ในกรณีที่มีการเอาประกันภัย ต่อกับผู้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยในต่างประเทศ
   2.3 ทรัพย์สินที่ต้องจัดสรรไว้ = เงินสำรองฯ

   3. การวิเคราะห์อัตราส่วนสภาพคล่องของบริษัทประกันวินาศภัย
   โดยการเปรียบเทียบระหว่างสินทรัพย์สภาพคล่องต่อสำรองค่าสินไหมทดแทน และค่าสินไหมทดแทนค้างจ่าย
   3.1 สินทรัพย์สภาพคล่อง ประกอบด้วย
     
   (1)
    พันธบัตร
     
   (2)
    ตั๋วเงินคลัง
     
   (3)
    บัตรภาษีของกระทรวงการคลัง
     
   (4)
    หุ้นทุนที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
     
   (5)
    หุ้นกู้ - หุ้นกู้แปลงสภาพ
     
   (6)
    หน่วยลงทุน
     
   (7)
    ใบสำคัญแสดงสิทธิการซื้อหุ้นสามัญ - หุ้นกู้ - หน่วยลงทุน
     
   (8)
    ตั๋วสัญญาใช้เงิน - ตั๋วแลกเงิน
     
   (9)
    หุ้นทุนที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ
     
   (10)
    เงินสด
     
   (11)
    เงินฝากสถาบันการเงิน
      สินทรัพย์ตาม (1) - (11) ต้องปราศจากภาระผูกพันใด ๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่ที่วางไว้กับนายทะเบียน
   3.2 สำรองค่าสินไหมทดแทน และค่าสินไหมทดแทนค้างจ่าย มีดังนี้
      3.2.1 สำรองค่าสินไหมทดแทน ประกอบด้วย
     
   -
    ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่ได้มีการรายงานให้บริษัททราบ (Incurred but not reported claims : IBNR) ให้บริษัทจัดสรรไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.5 ของเบี้ยประกันภัยรับสุทธิย้อนหลังสิบสองเดือน
     
   -
    ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่ได้ตกลงราคา
      3.2.2 ค่าสินไหมทดแทนค้างจ่าย หมายถึง ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นแล้ว และตกลงราคาแล้วแต่บริษัทยังไม่ได้จ่าย
      3.2.3 สำรองค่าสินไหมทดแทน และค่าสินไหมทดแทนค้างจ่าย ต้องเป็นค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นจากการรับประกันภัยโดยตรง (ก่อนหักการประกันภัยต่อ)

   3.3 บริษัทประกันวินาศภัยต้องมีอัตราส่วนสภาพคล่องตามมาตรฐานไม่ต่ำกว่า 100%

      อัตราส่วนสภาพคล่อง = (สินทรัพย์สภาพคล่อง / สำรองค่าสินไหมทดแทนและค่าสินไหมทดแทนค้างจ่าย) x 100

   4. การวิเคราะห์อัตราส่วนสินทรัพย์ลงทุนต่อเงินสำรองประกันภัยของบริษัทประกันชีวิต
      4.1 สินทรัพย์ลงทุน ประกอบด้วย
     
   (1)
    พันธบัตร
     
   (2)
    ตั๋วเงินคลัง
     
   (3)
    บัตรภาษีของกระทรวงการคลัง
     
   (4)
    หุ้นทุน
     
   (5)
    หุ้นกู้-หุ้นกู้แปลงสภาพ
     
   (6)
    ตั๋วสัญญาใช้เงิน-ตั๋วแลกเงิน
     
   (7)
    หน่วยลงทุน
     
   (8)
    ใบสำคัญแสดงสิทธิการซื้อหุ้นสามัญ - หุ้นกู้ - หน่วยลงทุน
     
   (9)
    เงินให้กู้ยืม
     
   (10)
    เงินลงทุนให้เช่าซื้อรถ
     
   (11)
    เงินลงทุนให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่ง
     
   (12)
    เงินฝากสถาบันการเงินประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลา
     
   (13)
    เงินฝากธนาคารประเภทเงินฝากออมทรัพย์
     
      4.2 เงินสำรองประกันภัย หมายถึง เงินสำรองประกันภัยที่บริษัทประกันชีวิตจะต้องจัดสรรจากเบี้ยประกันภัยไว้ เป็นเงินสำรองประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังมีความผูกพันอยู่ตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

      4.3 บริษัทประกันชีวิตต้องมีอัตราส่วนสินทรัพย์ลงทุนต่อเงินสำรองประกันภัยตามมาตรฐานไม่ต่ำกว่า 100%

      อัตราส่วนสินทรัพย์ลงทุน = (สินทรัพย์ลงทุน / เงินสำรองประกันภัย) x 100

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 08, 2009 6:30 am
โดย chaitorn
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... =413340270
ห้ามประกันกองทุนขาดลงทุน



> กฎใหม่คปภ.สกัดปัญหาฐานะการเงินลาม

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า คปภ. ได้ออกประกาศนายทะเบียนใหม่ล่าสุด เรื่องการเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิต และประกันวินาศภัยเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยและพระราช บัญญัติประกันชีวิตที่กำหนดให้บริษัทประกันภัยที่อยู่ระหว่างดำเนินการตาม โครงการหรือแก้ไขฐานะเงินกองทุนจะดำเนินการขยายธุรกิจไม่ได้จนกว่าจะสามารถ ดำรงเงินกองทุนได้ครบถ้วนตามกฎหมาย ซึ่งการเพิ่มความเสี่ยงในการลง ทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งของการขยายธุรกิจ โดยประกาศใหม่เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา

สำหรับประเภทการลงทุนที่ถือว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับบริษัทประกันภัย ในส่วนประกันชีวิตมี 14 ประเภท ประกันวินาศภัยมี 13 ประเภท ประกอบ การลงทุนในตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทจำกัดที่ได้รับการจัดอันดับความน่า เชื่อถือต่ำกว่า AA หรือเทียบเท่า, การลงทุนในตั๋วเงินที่มีธนาคาร องค์กรหรือรัฐวิสาหกิจ บริษัทประกันชีวิต บริษัทจำกัดที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า AA หรือเทียบเท่าเป็นผู้สั่งจ่าย เป็นผู้ออก เป็นผู้รับรอง เป็นผู้อาวัลหรือเป็นผู้ค้ำประกันโดยไม่มีข้อจำกัดความรับผิด

การลงทุนในตั๋วเงินที่ธนาคารต่างประเทศเป็นผู้รับอาวัลหรือเป็นผู้ค้ำ ประกัน, การลงทุนในบัตรเงินฝากของบริษัท เงินทุน, การลงทุนในหุ้นบริษัทจำกัดหรือหน่วยลงทุน

การลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ กว่า AA หรือเทียบเท่า, การลงทุนในอนุพันธ์, การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, การให้กู้ยืม ไม่รวมการให้กู้ยืมเงินตามกรมธรรม์, การ ให้เช่าทรัพย์สินแบบลีสซิ่ง, การให้เช่าซื้อรถ, การประกอบกิจการให้บริการด้านงาน สนับสนุนแก่บุคคลอื่น (back office) การ ลงทุนนอกราชอาณาจักร ขณะที่การรับอาวัลตั๋วเงินเป็นเงื่อนไขเฉพาะบริษัทประกันชีวิตไม่มีในประกัน วินาศภัย

หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 08, 2009 6:31 am
โดย chaitorn
โบรกเกอร์ชู‘ฝีมือเคลม’โค่นแบงก์

http://www.siamturakij.com/home/news/di ... =413340274
โบรกเกอร์ยอมรับพ่ายเกมแบงก์เสียฐานลูกค้าอื้อเยอะสุดประกันพื้นฐานทั้ง รถยนต์-พีเอ-ไฟ แนะโชว์ฝีมือในการทำเคลมเหนือแบงก์ สร้างศรัทธาลูกค้า ควบคู่แนะนำกรม ธรรม์ปิดความเสี่ยงลูกค้าครบทุกด้าน ชี้แบงก์ขายประกันมุ่งค่าคอมมิสชั่นมากกว่าผลประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับ

นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ นายก สมาคมนายหน้าประกันภัย (โบรกเกอร์) เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ

ของนายหน้าในขณะนี้คือการแข่งขันจากธนาคารที่ขายประกันภัยผ่านสาขาธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันส์) มากขึ้น สามารถชิงกลุ่มลูกค้าประกันภัยพื้นฐานทั้งประกันชีวิต ประกันวินาศภัยไปได้มาก ในส่วนประกันวินาศภัย อาทิ ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัย อุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย เป็นต้น

“แบงก์เริ่มทำธุรกิจขายประกันภัยมากขึ้นกว่าอดีต ผู้บริโภคซื้อผ่านแบงก์แอสชัว รันส์เยอะขึ้นเช่นกัน ผมมองว่าการแข่งขันไม่น้อยลง แต่ยังหวังว่าขนาดใหญ่จะใหญ่ขึ้น ความต้องการลูกค้ามีมากขึ้นเป็นจุดที่ทำให้นายหน้าแย่งลูกค้าจากแบงก์ได้ ยกตัวอย่างเมื่อลูกค้ามีความต้องการสินค้าที่มีความซับซ้อนขึ้น โบรกเกอร์สามารถเข้าไปรองรับนำเสนอได้ตรงตามความต้องการมากกว่าแบงก์ เพราะเรามีความรู้และเข้าใจแบบประกันมากกว่าพนักงานแบงก์”

อย่างไรก็ดี ในการรับมือการแข่งขันจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ นายหน้าประกันภัยควรต้องปรับปรุงตัวเอง หาฐานลูกค้าของตัวเองและยึดฐานลูกค้านั้นๆ ไว้ให้ได้ เช่น ลูกค้าธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าธนาคารจะต้อง ซื้อประกันผ่านธนาคาร แต่หากนายหน้าแสดง ความสามารถในการให้บริการโดยเฉพาะด้าน ค่าสินไหมทดแทนซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของธนาคารและเป็นหน้าที่หลักของโบรกเกอร์ หากทำให้ลูกค้าได้รับบริการด้านเคลมที่ดีจะทำให้ลูกค้าไว้วางใจเพราะ ปัจจุบันลูกค้ามีอำนาจต่อรองมากกว่าธนาคาร

“ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ดีขึ้นกว่าอดีตเยอะ แต่หลายคนยังไม่เข้าใจบทบาท ของโบรกเกอร์โดยเฉพาะนายหน้าบุคคลธรรมดา เป็นภารกิจที่เราต้องทำต่อไปผ่านทางสมาชิกสมาคมฯ”

นายนิพันธ์ เสมสันทัด กรรมการสมาคมนายหน้าประกันภัย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งหวังค่าคอมมิสชั่นจากการขายประกันภัยมาก กว่าเสนอความคุ้มครองที่ครอบคลุมให้กับลูกค้า ดั่งกรณีลูกค้าเอสเอ็มอีที่ขอสินเชื่อกับธนาคารและต้องทำประกันผ่านธนาคาร ทางธนาคารจะเสนอขายประกันอัคคีภัยให้ลูกค้ามากกว่าที่จะให้ลูกค้าทำประกัน ความเสี่ยงภัยทุกชนิด (All Risk) เนื่องจากประกัน อัคคีภัยค่าคอมมิสชั่นสูงกว่าอยู่ที่ 23% ขณะที่ All Risk อยู่ที่ 18% โดยไม่สนใจว่าลูกค้าไม่ได้รับความคุ้มครองครอบคลุมความเสี่ยงเนื่องจาก กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยมีความคุ้มครองน้อยกว่า