หน้า 5 จากทั้งหมด 30
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 11:02 am
โดย naris
killyz เขียน:ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ
รบกวนอีกคำถาม พี่ช่วยเล่าประสบการณ์หุ้นที่พี่นริศตีแตกกับหุ้นตีพี่นริศแตก อะไรที่ทำให้พี่มองขาดและทำให้พี่มองพลาดไป
เราต้องตีกรอบของคำว่าตีแตกก่อนครับว่า ต้องการผลตอบแทนที่เท่าไหร่ และในระยะเวลานานแค่ไหน ถ้าคำว่าตีแตกแล้วได้ผลประกอบการ10%ตลอดชีวิตพี่ว่าทุกคนคงหาได้ไม่ยาก แต่ถ้าจะเอาสัก100%ต่อปีนี่ มันจะมีจังหวะเวลาที่ซื้อและระยะเวลาการถือครองเข้ามาเกี่ยวข้องกับผลตอบแทน
เช่นถ้าต้องการ100%ต่อปี หรือ8.33%ต่อเดือน ถามว่าตีแตกนี่ใช้อะไรเป็นตัววัดครับว่ามันจะไปถึงแน่. เพราะถ้าเป็นการเก็งกำไรคงจะไม่มีความมั่นใจมากนักอาจ50:50 แถมถ้าพลาดจากเดือนกลายเป็ฯสองเดือนเพราะตลาดไม่อำนวย ผลตอบแทนจะลดลงครึ่งหนึ่งทันที
โดยส่วนตัวพี่คิดว่า การตีแตกหุ้นที่ชัวร์ๆ100%ไม่พลาดเลยไม่มี ทุกอย่างจะมีpopเข้ามาเกี่ยวข้องและพี่จะเทียบกับผลตอบแทนที่คิดว่าได้ และถ้าพลาดมีMOSมากแค่ไหน
เช่นถ้ามีการทำtenderซื้อหุ้นคืน เราวิเคราะห์ความเสี่ยงแล้วน่าจะเป็นไปได้90% และมีผลตอบแทนได้อีก15% น่าจะจบภายใน3เดือน และถ้าพลาด ไม่ได้เทรนเดอร์ จะมีผลตอบแทนจากการทำกำไรปกติ10%ต่อปี พี่จะเอาความน่าจะเป็นทั้งสองตัวมารวมกันและดูว่าเราได้มากแค่ไหนครับ
ส่วนหุ้นบางตัวที่พี่มั่นใจมากๆ เพราะมันถูกมากๆ มีMOSมากๆ ก็มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวจากประสบการณ์การมองธุรกิจขาดหรือไม่ ที่ผ่านมาพี่ถึงใช้ลักษณะทะยอยเพิ่มจำนวนการถือครองไปเรื่อยๆครับ เท่าที่ตนเองรู้และคำนวนผลประกอบการแล้ว ผลตอบแทนได้เท่าที่เราพอใจ
เช่นเอาหุ้นสามตัวหลักของพี่ตอนนี้(80%ของพอร์ต) สองตัวแรกแสดงผลทางประสิทธิภาพของบริษัทเขาระดับหนึ่งแล้ว คือTNH SIS
เมื่อตอนที่พี่ซื้อTNHครั้งแรก ตอนแรกราคาประมาณ4บาทนิดๆ ผลประกอบการตอนนั้น กำไรไตรมาสหนึ่งประมาณ15ล้านบาท สามปีผ่านมา กำไรตอนนี้เฉลี่ยไตรมาสละ45ล้านบาท และมองว่าอนาคตอีก5ปี เขาน่าจะทำได้ถึง70ล้านบาทต่อไตรมาส(ถ้าปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง)
ส่วนSiSตอนที่เริ่มซื้อประมาณราคา3นิดๆ สองปีที่แล้วกำไรไตรมาสละประมาณ25-30ล้านบาท ตอนนี้กำไรไตรมาสละ50-60ล้านบาท และมองว่าอีก5ปีข้างหน้า เขาน่าจะทำกำไรได้ถึง100ล้านอัพต่อไตรมาส ซึ่งก็ต้องรอวันพิสูจน์ ส่วนอีกบริษัทที่ยังไม่แสดงผลในเชิงกำไร พี่ซื้อไปครึ่งปีที่ผ่านมาทุนราวๆ49บาท คือAHC ซึ่งไตรมาสที่ผ่านมาขาดทุน และกำไรปีที่แล้ว66ล้านบาท แต่ผมมองว่าอีก3ปีกำไรน่าจะได้200ล้านต่อปี
ส่วนที่ล้มเหลวไว้ว่างจะมาเขียนต่อภาคสองครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 1:16 pm
โดย killyz
ขอบคุณมากครับสำหรับคำตอบ :)
พี่นริศใช้ตะแกรงแบบไหนในการหาหุ้น (TNH,SIS,AHC) เจอก่อนคนส่วนมาก
เพราะหุ้นก็มีเยอะแยะมากมาย ทำไมถึงมาติดใจกับสามตัวนี้ก่อน
ผมมาเจอก็ตอนราคาขึ้นไปไกลแล้ว อยากได้แต่ MOS น้อย เลยได้แต่มองรอให้รถลงมารับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 2:05 pm
โดย naris
pongo เขียน:พี่นริศครับ ตอนนี้พี่มีการประเมินทิศทางการลงทุนสำหรับปีหน้าหรือยังครับ
ว่ากลุ่มไหนที่น่าลงทุน ผมมองว่าส่งออกน่าจะพอไปได้
เพราะเศรษฐกิจ ตปท คงดีขึ้นมากกว่าในบ้านเราที่มัปัจจัยถ่วงมากกว่า
ตรงนี้ถามอย่างคนหนุ่มที่ยังกิเลสเยอะนะพี่ มูลค่าตลาด 20000 ต้นนี่ ประมาณเท่าไรครับ
แล้วเขาคิดกันยังไง เช่น รอบวงต้น คุณภาพไม้นี่ดูตรงไหน
เผื่อแก่ๆ จะไปซื้อที่ปลูกบ้าง อิอิ (ปล่าวว่าพี่นริศแก่นะ เอิ๊กๆ )
พี่ปลูกระบบชิด 2คูณ3เมตร ได้ไร่ละ266ต้นครับ ทำให้ต้นเปลาสูง(แต่จริงๆถ้าให้พี่เลือกได้ตอนนี้จะปลูก3คูณ4และใช้การลิดกิ่งช่วย จำนวนเงินต่อไร่น่าจะได้เยอะกว่าระบบชิด
ตอนนี้ราคาขายมีคนมาเสนอตัดราว500-1000บาทต่อต้นครับ แต่พี่ว่าถ้าปล่อยอีก5ปีน่าจะได้ต้นละ2000บาทครับ ปลูกต้นสักนี่มันเหมือนอดเปรี้ยวไว้กินหวานเหมือนเลือกซื้อหุ้นนี่แหละครับ ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่
ส่วนวิธีซื้อเขาจะวัดเส้นรอบวงที่สูงจากพื้นมา1เมตรเป็นตัวคำนวนคิวของเนื้อไม้ครับ และราคาต่อคิวบิกเมตรก็ขึ้นอยู่กับขนาดของเส้นรอบวงครับ ยิ่งใหญ่ยิ่งแพงครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 2:45 pm
โดย pongo
พี่นริศครับ หุ้นหรือกิจการแบบไหนที่พี่จะไม่ซื้อเลย มีปัจจัยอะไรบ้างครับ
นอกจากผู้บริหารไม่โปร่งใสกับหุ้นปั่น
ปล. ขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องต้นไม้ครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 3:57 pm
โดย naris
pongo เขียน:พี่นริศครับ ตอนนี้พี่มีการประเมินทิศทางการลงทุนสำหรับปีหน้าหรือยังครับ
ว่ากลุ่มไหนที่น่าลงทุน ผมมองว่าส่งออกน่าจะพอไปได้
เพราะเศรษฐกิจ ตปท คงดีขึ้นมากกว่าในบ้านเราที่มัปัจจัยถ่วงมากกว่า
ตรงนี้ถามอย่างคนหนุ่มที่ยังกิเลสเยอะนะพี่ มูลค่าตลาด 20000 ต้นนี่ ประมาณเท่าไรครับ
แล้วเขาคิดกันยังไง เช่น รอบวงต้น คุณภาพไม้นี่ดูตรงไหน
เผื่อแก่ๆ จะไปซื้อที่ปลูกบ้าง อิอิ (ปล่าวว่าพี่นริศแก่นะ เอิ๊กๆ )
ลืมตอบเรื่องหุ้น ไปตอบแต่เรื่องต้นไม้ 555
ถ้าถามว่าปีหน้าเศรษฐกิจดีไม่ดีตอบยากนะครับ แต่ถ้าสมมุติแล้วกันว่า เศรษฐกิจฟื้นตามคาด จะมีองค์ประกอบอยู่สองส่วน
ส่วนแรก คือ ส่วนพื้นฐานที่มันควรอยู่
ส่วนที่สอง คือ ส่วนของราคาที่มันถูกหรือแพงครับ
ถ้าเศรษฐกิจฟื้นจริง ก็คงฟื้นทุกกลุ่มครับ น้อยมากตามส่วนไปตามความอั้นการซื้อของสิ่งนั้นๆ
ถ้าให้พี่เดาและเทียบทั้งสองวิธีแล้วให้ผมจับคงให้กลุ่มอสังหาบางตัวที่bookต่ำๆที่มีความสามารถที่จะสร้างและขายเพิ่มในปี53ที่คนอั้นจะซื้อบ้านรอความมั่นใจคืนมาครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูองค์ประกอบเรื่องภาษีที่มากระตุ้นด้วยนะครับ ว่าจะต่อหรือเปล่า
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 4:01 pm
โดย hongvalue
กระทู้นี้ดีมากเลยครับ ขอบคุณพี่พง ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา
และขอบคุณพี่นริศสำหรับการเป็นผู้ให้ครับ
naris เขียน:
ไม่นับคนทีโคตรเก่งในสายตาผมอีกมากมายในเวปนี้ เช่น คุณริวกะ คุณหมอเอ็มแพรนดี้ น้องฮงฟันโฟว์ คุณสถาปนิกต่างดาว คุณสายลับ007 คุณAlastor พี่CK หนูเลือดน้ำเงิน และพี่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องงบอีกบานทะโล่ไล่ชื่อมาคงอีกสักสามหน้ากระดาษกระมัง
เห็นพี่นริศพูดถึงผมด้วย :oops: แต่หลังๆผมมานั่งคิดแล้วว่าผมยังต้องลองผิดและลองถูกเพื่อปรับปรุงแนวคิดอยู่ตลอดเวลา ที่ผ่านมาก็ทำผิดพลาดไปเยอะ จนได้มาทบทวนตัวเองว่าควรจะปรับปรุงวิธีการลงทุนจริงๆจังๆซะที ถ้าเก่งอย่างที่พี่พูดเมื่อไหร่ผมจะมาขอแจมกระทู้นี้ด้วยนะครับ
แต่ตอนนี้ขอแอบอ่านไปก่อนนะครับรู้น้อยครับไม่กล้าแจม
ส่วนเรื่องถามพี่วิบูลย์ผมถามไปเยอะมากแล้วเกรงใจ
อยากให้คนอื่นไปช่วยกันถามบ้างก็ดีเลยนะครับ
ขอบคุณพี่นริศที่ให้ปลาคนอื่นตลอดเวลาครับ
มีคนชมพี่นริศให้ผมฟังเยอะทีเดียวครับ
เลยคิดว่าขอเข้ามาคารวะซักหนึ่งจอกครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 4:35 pm
โดย oatty
ผมอยากทราบตำนาน ILINK มากกว่าครับ จำได้ว่าคนที่โพสต์บ่่อยที่สุดและรู้เรื่องไอ้ลิงดีคือพี่ชงนี่แหละ..เหตุผลที่ลงทุนในตอนนั้นเพราะอะไรครับ
(เดาว่า ต้นทุนพี่ชงน่าจะประมาณสามบาท นะ ส่วนกำไรรอพี่มาเฉลย..)
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 7:54 pm
โดย vi_tal signs
พี่นริศ นี่ไม่เม้มเลยจริงๆ
ตอบทั้งในบอร์ด กับ ข้อความส่วนตัว
ขอให้พี่กับครอบครัวมีความสุขมากๆครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 10:43 pm
โดย Laziale
อยากทราบว่าพี่นริศใช้วิธีอะไรในการหามูลค่าหุ้นครับ DCF? อยากรบกวนพี่นริศช่วยยก case ในการหามูลค่าหน่อยครับ (ลองคำนวณตามหนังสือดูก็ยังไม่เข้าใจซะที คาดว่าพี่นริศคงมีวิธีคำนวณให้คนทั่วๆไปเข้าใจง่ายครับ
)
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 9:30 am
โดย naris
killyz เขียน:ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ
รบกวนอีกคำถาม พี่ช่วยเล่าประสบการณ์หุ้นที่พี่นริศตีแตกกับหุ้นตีพี่นริศแตก อะไรที่ทำให้พี่มองขาดและทำให้พี่มองพลาดไป
เมื่อวานเล่าที่คิดว่ามองถูกเรื่องผลประกอบการ วันนี้ขอมาเล่าเรื่องที่ดูพลาดไปนะครับ
ที่พลาดหนักๆที่จำได้คือ TFD ครับ
ตัวนี้ผมเริ่มซื้อตอนต้นปี51ครับ หลังจากได้เห็นข่าวนี้
TFDปีหน้ากระฉูด200%คอนโด-นิคมฯใหม่หนุน
TFD ปีหน้ามาแรงแซงทางโค้ง ตั้งเป้ารายได้โตกว่า 200% เหตุรับแรงหนุนยอดขายคอนโดมีเนียม 59 เฮอริเทจ-โรงงานและที่ดินเปล่านิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี ส่วนกลางปี 51เล็งโอนโรงงาน 18 หลัง มูลค่ากว่า 400 ล้านบาทเข้ากองทุน TIF1 กระตุ้นรายได้อีกแรง
ในตอนที่ซื้อหุ้นราคาประมาณ1บาท จะมีมาร์เก็ตแค๊ปที่640ล้านบาท แต่พอคำนวนดูกำไรที่ผู้บริหารให้ มีโอกาสที่บริษัทจะกำไรในปี51ที่100-200ล้านบาท และรับรู้ต่อเนื่องในปี52อีกเท่าๆกันหรือมากกว่า ผมจึงไปหาข้อมูลเพิ่มเติมและดูรายละเอียดของโครงการต่างๆที่ทำ(ได้ลงทุนไปดูทำเลที่นิคมที่เขาสร้าง)เพราะคิดว่าเขามีโอกาสเปลี่ยนโมเดลธุรกิจที่เขาเคยทำอยู่
แต่ด้วยจุดตายที่ผมเห็นในตอนนั้นที่ยังกังวลคือเรื่องหนี้เงินกู้ที่เยอะพอสมควร แต่ถ้าทุกอย่างราบลื่น ไม่สะดุด มีการโอนตามแผนที่วางไว้ เรื่องเงินก็จะไม่มีปัญหา
แต่แล้วจุดตายที่ผมห่วงก็ได้เกิดขึ้น ในวิกฤตในUSได้ลามมาถึงนิคมบ้านเรา ประกอบกับ การขายโรงงานเข้ากองทุนก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในตอนนั้นคือออมสิน ไม่อนุมัติการลงทุนเพิ่ม
ทำให้รายได้ที่คาดการณ์ว่าจะเข้าสามส่วน เข้ามาแค่ส่วนเดียว แถมที่เหลืออีกสองส่วน ทางTFDต้องแบกสินทรพย์ที่ไม่มีสภาพคล่องด้วยถาระเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตัวนี้ผมมาถอดใจอยากจะขายตอนกลางปี51 เพื่อจะปรับพอร์ตเข้าเก็บตัวเป็นเต่าให้ผ่านวิกฤตในปี51-52 แต่ด้วยสภาพคล่องในตอนนั้น เวลาเก็บใช้เวลากว่าสามเดือน เวลาขายถ้าจะขายตอนนั้นสภาพคล่องบัวแล้งน้ำคงจะขายสักปีเป็นแน่ ว่าแล้วก็ทะยอยขายตั้งแต่80สตางค์ลงมา ปรากฎว่าสภาวะไม่เป็นใจ แถมมีคนมาช่วยขายอีกราคาก็ไหลมาที่50สตางค์อย่างรวดเร็วพร้อมๆกับตลาด
ผมเลยหยุดขาย และสวดมนต์ขอพรจากพระเจ้าให้เจ้ามือมาเล่นสักรอบสองรอบจะได้ระบายหุ้นได้สักที
555 มาโชคช่วยครับครบปีที่ถือเริ่มซื้อหุ้นพอดี ต้นปี52มีโวลุ่มมาจากไหนไม่รู้อยู่สามสี่วัน(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ)ราคาแถวๆ60-64สตางค์มาเพียบเลยครับ เหมือนสวรรค์ทรงโปรดให้กับคนบัวแล้งน้ำที่รอฝนมานาน.ผมเท7ล้านหุ้นที่เหลืออยู่2-3วันเกลี้ยงเลยครับ ขาดทุนตัวนี้ไปน่าจะราวๆ3-4ล้านบาท
ผมสรุปสิ่งที่ผมพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตการลงทุนของผมในครั้งนี้คือ
1.ถ้าจะลงทุน(ไม่ใช่เล่นรอบ)อย่าไปเล่นกับไฟ อย่าเลือกบริษัทที่ไม่มั่นคงในเรื่องงบดุลและให้ดูประวัติเก่าให้ดี โดยเฉพาะสภาพคล่องของหุ้นต่ำๆยิ่งไม่ควรไปเล่นกับไฟ
2.อย่ามองโลกในแง่ดี หรือ มองแต่ในด้านบวก ให้มองในด้านลบเผื่อเจอวิกฤตเศรษฐกิจโลกหรือเสื้อเหลือง-แดง :lol:
3.ให้เลือกผู้บริหารและแนวทางนโยบายผู้บริหารเป็นอันดับแรกๆในการคัดสรรหุ้น
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 4:49 pm
โดย vi_tal signs
3-4 ล้านบาท :shock:
ขอบคุณสำหรับพี่นริศมากครับสำหรับประสบการณ์
ผมอยากถามนิดนึง
ก่อนพี่เลือก กิจการใดกิจการหนึ่ง
พี่คิดถึง upside ของมันไหมครับ ว่าจะมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ
เช่น พี่ถือ TNH แล้วรอเวลามันแสดงมูลค่า
ผมถามก็คือ ทำไมพี่ไม่ถือตัวอื่นที่ไม่ใช่ TNH หรือว่าพี่คิดว่าตัวนี้ ขึ้นหลายเด้ง แน่ๆ
( คงไม่งงนะครับ สำหรับคำถาม )
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 5:30 pm
โดย naris
[quote="killyz"]ขอบคุณมากครับสำหรับคำตอบ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 6:30 pm
โดย killyz
ขอบคุณครับ คำตอบของพี่นริศ อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีครับ
อุตสาหกรรมไหนที่พี่นริศจะไม่คิดจะลงทุน หรือ คงจะเก็งกำไรเป็นรอบ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 8:34 pm
โดย SoLid_frOg
อ่านโพสท์ของพี่ เป็นประโยชน์ ให้ความรู้เสมอเลยครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 9:24 pm
โดย naris
killyz เขียน:ขอบคุณครับ คำตอบของพี่นริศ อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีครับ
อุตสาหกรรมไหนที่พี่นริศจะไม่คิดจะลงทุน หรือ คงจะเก็งกำไรเป็นรอบ
ตอบง่ายขอตอบก่อนนะ :lol:
อุตสาหกรรมที่จะไม่ลงทุน(แต่เล่นรอบไม่เกี่ยวนะ)คืออุตสาหกรรมที่ยังไม่รู้จริง 555
ตอบกำปั้นทุบดินไปไหมเนี่ย
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 08, 2009 5:45 am
โดย hagrid
นอกจาก หุ้น ธุรกิจส่วนตัว หุ้นต่างประเทศ
แล้วคุณ naris มีการลงทุนอื่นๆ บ้างไหมครับ
เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 08, 2009 10:47 am
โดย naris
วันนี้มาต่อเรื่องของSiSครับ
การมองในเรื่องกลุ่มสินค้าไอที ก็จะคล้ายๆกันที่จะพิจารณาภาพใหญ่ๆก่อน เพื่อที่จะได้ไม่หลงทาง ซึ่งพี่ขอเอาข้อมูลล่าสุดที่ทางรัฐเคยสำรวจไว้เมื่อปี50มาให้ดูประกอบนะครับ(ข้อมูลนี้มีอยู่ใน100คน100หุ้นSiS ขออนุญาติเอามาให้ดูอีกรอบเผื่อคนที่ยังไม่ได้เข้าไปดู)
ปี50
ร้อยละของครัวเรือนของคนไทยมีคนที่ใช้คอมพิวเตอร์อยู่ 17.5%
ร้อยละของครัวเรือนที่มีการต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ 7.6%
และข้อมูลที่น่าสนใจมากๆคือ อายุผู้ใช้
อายุ6-14ปี ใช้คอม61%
อายุ15-24ปี ใช้คอม51.8%
อายุ25-34ปี ใช้คอม23.6%
อายุ35-49ปี ใช้คอม12.8%
อายุ50ขึ้นไป ใช้คอม4.4%
จะเห็นได้ว่าคนรุ่นผมใช้คอมแค่12.8% กำลังจะถูกกลืนกินโดยคนรุ่นใหม่ที่ใช้คอมถึง61% ถ้าจะถามผมว่าความจำเป็นในการใช้คอมในอนาคตเป็นอย่างไร คนมีลูกระดับปฐม3ขึ้นไปน่าจะตอบได้ดีครับ เพราะครูเริ่มให้หาข้อมูลและพิมพ์งานส่ง และลูกพี่อีกคนอยู่ม.1แทบจะบอกได้ว่าทุกๆคนต้องมีคอมไว้แชร์งานกลุ่มและมอบหมายงานทางเน็ต
คนอายุรุ่นพี่ที่นับวันต้องเข้าโลงไปเรื่อยๆ แต่มีทายาทรุ่นลูกที่เกิดมาในปัจจุบันจะเข้าโรง(เรียน)มากขึ้นแทน อัตราการทดแทนคอมพิวเตอร์ค่อนข้างชัดเจนว่า รุ่นพี่ใช้คอมเพียง13คนใน100 และรุ่นอาพี่ใช้คอมเพียง4-5คน แต่รุ่นลูกพี่ใช้คอมถึง61คนใน100 ถ้า1แทน1จะมีส่วนต่างถึง48คนใน100 คน คิดอย่างไรพี่ก็ว่าสินค้าไอทีจะโตไปอีก15ปี แต่ใครจะได้ประโยชน์ต้องค้นหาเอานะครับ
และอีกเรื่องที่จะปฎิเสธไม่ได้คือ จำนวนเงินที่ใช้กับสินค้าIT เมื่อเทียบกับจำนวนเงินในกระเป๋าทั้งหมด ในประเทศที่เจริญแล้วจะมีสัดส่วนการใช้เงินในกลุ่มนี้มากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนาครับ
ภาพใหญ่ๆที่พี่เห็นคือการถ่ายน้ำรุ่นพี่ออกและเด็กรุ่นใหม่เข้ามานี้ น่าจะมีการเติบโตของยอดขายให้เห็นอีก10-20ปีในอนาคตครับ ส่วนในภาคธุรกิจและภาครัฐก็คงมีสัดส่วนที่มีการใช้มากขึ้นเรื่อยๆน่าจะเป็น10ปีเช่นกัน
พอพี่ได้เห็นภาพใหญ่ๆแล้ว พี่ก็เพียงหาจิ๊กซอว์ที่จะนำมาวางใส่เท่านั้นเอง ซึ่งตอนนั้นพี่เลือกมาทำการบ้านอย่างหยาบๆอยู่หลายตัวเช่น
1.ILINK
2.AIT
3.MSC
4.SIS
5.TKS
และหลังๆมีมาให้ทำการบ้านเพิ่มเติมคือ
6.JTS
7.FORTH
8.SYNNEX
และพอพี่ได้ตัวบริษัทที่เกี่ยวข้องเสร็จ อย่างแรกที่ทำคือ แยกบริษัทออกเป็นกลุ่ม เป็นกลุ่มที่พึงพิงงานประมูลหรืองานภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ และกลุ่มที่เป็นงานขายเป็นส่วนมาก โดยทั้งสองแบบจะมีจุดที่ดูแตกต่างกัน วันนี้พี่ขอเอาเฉพาะเรื่องของงานขายนะครับ เดี๋ยวจะยาวเกินไป โดยพี่ขอเอาที่พี่โพสท์แล้วในSiSมาให้ดูนะครับว่าทำไมพี่ถึงเลือกSiS
รูปแบบของการทำธุรกิจ หรือโมเดลธุรกิจของแต่ละอุตสาหกรรมนั้นมันไม่เหมือนกันครับ ผมขอยกคำพูดของปรมาจารย์ด้านการลงทุนว่า คุณสามารถรวยจากการขายน้ำมะนาวได้สองทาง หนึ่งคือ คุณขายในที่ๆไม่มีคนขาย เช่นในทะเลทราย ต้นทุนคุณ10บาทต่อแก้ว แต่คุณสามารถขายได้แก้วละ1000บาทได้ ถ้าคุณขายได้วันละแก้ว คุณก็อยู่รอดแล้ว
หรือยังมีแนวทางอีกอย่างคือ คุณขายแล้วละ11บาท(กำไรสุทธิอาจจะเหลือเพียงแก้วละ10สตางค์) แต่คุณมีเครือข่ายทั่วโลก คุณสามารถขายได้วันละ100000แก้ว
ท่านวอเรน บัฟเฟตต์จึงกล่าวไว้ว่า ถ้าเขาเลือกลงทุนได้ เขาจะเลือก 1 ธุรกิจที่มีGPM NPM สูงๆตลอดการที่คนอื่นเข้ามาแย่งแชร์ไม่ได้ เพราะธุรกิจมีbarrierในตัวมันเอง หรือสอง ถ้าไม่มีธุรกิจที่ว่านั้น เขาจะหาธุรกิจที่มีการหมุนรอบของเงินให้มากที่สุด(การที่GPM NPMต่ำๆนั้น จะเป็น barrier ป้องกันคู่แข่งขันรายใหม่เข้ามา)
ทางSiSนี่เข้าข่ายธุรกิจที่สองครับ และมักจะมีคำถามว่าเขาอยู่ในธุรกิจที่มีNPMเพียง1%นั้นอันตรายเกินไปหรือไม่
ผมขอยกตัวอย่างอีกอย่างประกอบนะครับ เนื่องจากผมอยู่ในธุรกิจที่มีNPMต่ำๆ ผมเลยมองว่านั่นเสมือนดาบสองคม ที่มีทั้งคุณ และโทษ
โทษนั้นทุกๆท่านมองเห็นอยู่แล้วคือ ถ้าเกิดการแข่งขันหนักๆ ในอุตสาหกรรมนั้นๆ แล้วเกิด price war ทุกๆคนคงจะตายกันหมด และนั่นคือจุดตายของSiSเช่นเดียวกัน ก่อนที่ผมจะเข้ามาลงทุนในSiS นั้นผมก็เช็คในจุดตายจุดนี้ก่อนจุดอื่น ได้ข้อสรุปมาว่า จุดPRICE WAR ในอุตสาหกรรมนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว และทุกๆราย(ยักษ์ใหญ่4ราย)ได้กลัวการเกิดจึงมีการพบปะพูดคุยกันตลอดครับ ในเมื่อทุกคนเคยเจ็บก็จะลดความเสี่ยงในจุดนี้ได้ระดับหนึง(ข้อมูลล่าสุดทางsynnex ก็พูดเมื่อต้นปี52นี้ว่าจะเน้นผลกำไรมากกว่าการดั้มราคาสินค้า) และสอง นโยบายของทางSiSได้มีนโยบาย ไม่ก่อสงครามราคา แต่ได้มีนโยบายเพิ่มGPM NPM อย่างต่อเนื่องมาสองปีแล้ว โดยการเพิ่มสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นสูง และการขอจำหน่ายสินค้าแต่เพียงผู้เดียว และที่ผ่านๆมาทางSiSทำได้ดีนะครับ สามารถเพิ่มรายการสินค้าที่ขายแต่เพียงผู้เดียวมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้GPM NPM เพิ่มขึ้นตามลำดับ
และข้อมูลที่ผมมีอยู่ประเทศที่เจริญแล้ว ไม่ว่าจะทางอเมริกา ยุโรป หรือ เอเชีย ผู้ค้าส่งจะมีกำไรขั้นต้นที่สูงกว่านี้ครับ
ในเมื่อเป็นดาบสองคมในแง่ร้าย ถ้าลดก็โดนหนัก แต่ถ้าเพิ่มGPMเพียง1% กำไรสุทธิก็สามารถเพิ่มได้ถึง50-60%เหมือนกัน ถ้าถามในใจผม การค้าลักษณะนี้NPMเท่าใดที่เหมาะสม และคนนอกมองกำไรไม่สูงไม่น่าจูงใจในการเข้ามาลุยตลาด ใจผมก็ตอบว่า 2.0-2.5%ก็น่าจะพอดี และตอนนั้นNPMอยู่ที่1% ผมสรุปว่าดาบตัวนี้น่าจะเป็นด้านบวกมากกว่าด้านลบ โดยเฉพาะถ้าเศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะขาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ข้อมูลที่ให้ หวังว่าพอจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 08, 2009 10:52 am
โดย naris
pongo เขียน:พี่นริศครับ หุ้นหรือกิจการแบบไหนที่พี่จะไม่ซื้อเลย มีปัจจัยอะไรบ้างครับ
นอกจากผู้บริหารไม่โปร่งใสกับหุ้นปั่น
ปล. ขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องต้นไม้ครับ
ตอบแบบกำปั้นทุบดิน แบบข้างบนแล้วนะครับน้องพงษ์ ขอเสริมนิดว่า ถ้าลงทุนไม่ แต่เล่นรอบเอาครับ
ถ้าเราไม่รู้จริง ลงทุนไปก็เสี่ยง โดยเฉพาะธุรกิจที่ไม่มีbarrier แต่ถ้าเป็นการเล่นรอบสนุกๆ(ของพี่ไม่เกิน10%ของพอร์ต)ก็จะดูแนวกราฟและข่าวcatalystเป็นหลักครับ และถ้าเรื่องนี้คนที่ข่าวไวๆและกราฟเก่งๆที่เป็นพี่คอยปรึกษาจะมี น้องโจกับพี่ตึกครับ สองคนนี้เป็นอาจารย์พี่ทีเดียว
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 08, 2009 9:56 pm
โดย pongo
ขอบคุณพี่นริศสำหรับความรู้ต่างๆ ครับ น้องๆ ได้ประโยชน์มากมายทีเดียว
นับถือพี่จริงๆ เลย กว่าจะลงทุนในหุ้นได้แต่ละตัว เรียกได้ว่าดูทั้งกลุ่มนั้นๆ ทีเดียว
แล้วเลือกตัวที่มีแนวโน้มเติบโตสูงหรือมีความปลอดภัยสูง ราคาเหมาะสม
แล้วถ้าสมมุติว่า พี่ขายหุ้นไปตัวนึงเพราะมัน overvalue ไปล่ะ ได้เงินมาก้อนนึง
แล้วพี่จะบริหารเงินก้อนนี้อย่างไรครับ
1. ซื้อหุ้นตัวอื่นที่พี่ถือไว้อยู่แล้วเพิ่มเติม ราคาอาจจะไม่ถูกไม่แพง
2. hold เงินไว้ เผื่อโอกาสที่เหมาะสม
3. ขุดหุ้นตัวใหม่ให้ได้
4. อื่นๆ แล้วแต่อารมณ์
ขอบคุณล่วงหน้าครับผม
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 09, 2009 4:23 pm
โดย sorawut
เพิ่งมีเวลาอ่านทัน
:oops: :oops:
ผมบังเอิญมีหุ้นตรงกับพี่ naris หลายตัวเหมือนกันครับ (มารู้ทีหลังเพราะดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ :lol: :lol: :lol:)
ผมว่าแนวทางลงทุนของผมคล้ายพี่ naris ไม่น้อยเลย แต่ทฤษฎีและประสบการณ์อ่อนกว่าพี่ naris เยอะมาก (และเป๋ไปบ้างเป็นบางครั้ง
:oops: :oops:)
ผมได้เรียนรู้มุมมองการมองธุรกิจจากการอ่านกระทู้ต่างๆที่พี่ naris post ไว้มากมาย
คำถามที่นึกออก หลายๆท่านได้ถามและพี่ naris ตอบไปบ้างแล้ว
เลยแวะเข้ามาคารวะเฉยๆก่อนครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 09, 2009 4:56 pm
โดย สวนหย่อม
[quote="sorawut"]
คำถามที่นึกออก หลายๆท่านได้ถามและพี่ naris ตอบไปบ้างแล้ว
เลยแวะเข้ามาคารวะเฉยๆก่อนครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 09, 2009 9:26 pm
โดย naris
[quote="สวนหย่อม"][quote="sorawut"]
คำถามที่นึกออก หลายๆท่านได้ถามและพี่ naris ตอบไปบ้างแล้ว
เลยแวะเข้ามาคารวะเฉยๆก่อนครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 09, 2009 10:07 pm
โดย naris
oatty เขียน:ผมอยากทราบตำนาน ILINK มากกว่าครับ จำได้ว่าคนที่โพสต์บ่่อยที่สุดและรู้เรื่องไอ้ลิงดีคือพี่ชงนี่แหละ..เหตุผลที่ลงทุนในตอนนั้นเพราะอะไรครับ
(เดาว่า ต้นทุนพี่ชงน่าจะประมาณสามบาท นะ ส่วนกำไรรอพี่มาเฉลย..)
ถ้าเล่าILINKอย่างละเอียดนี่ต้องไปรื้อข้อมูลเก่ามาดูครับ เพราะแก่แล้ว555
เอาคร่าวๆนะครับ ตอนนั้นคนที่เข้ามารุ่นที่พร้อมกับพี่คือน้องAlastor และพี่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรกก็ไปนั่งกับน้องเขา พี่ทะยอยซื้อตัวนี้น่าจะปลายปี47ต้นปี48แถว3.8บาท ราคาไม่ไปไหนอยู่เกือบปีเหมือนกัน ตอนนั้นที่พี่เข้าก็พยายามมองหาบริษัทที่เกี่ยวข้องกับไอที พอมาเจอตัวนี้เพิ่งจะเข้าตลาดใหม่ๆเลยลองหาข้อมูลพื้นฐานว่าเขาเป็นอย่างไร มาพบว่าเขาไม่มีหนี้เงินกู้ และที่ผ่านมาเติบโตมาโดยตอด และเข้าตลาดมาเพื่อต้องการเชื่อเสียงเพื่อจะเข้าประมูลงานภาครัฐและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
โดยตอนนั้นได้มีโอกาสนัดและเจอกับคุณสมบัติ ที่มาเปิดสัมมาที่ขอนแก่น จึงสอบถามถึงแนวทางและเป้าหมายของบริษัทจากตัวท่าน และเห็นว่าน่าสนใจตรงสายสัญญาณเขาเป็นอันดับหนึ่งและตอนนั้นการเติบโตของสายสัญญาณค่อนข้างกระโดดทีเดียว และที่ชอบโดยล่วนตัวคือ วิธีการดูแลลูกน้องอย่างเป็นคนมีระบบการเทคแคร์ลูกค้าที่น่าสนใจ และงานที่จะก้าวไปคืองานประมูลการวางสายสัญญาณที่สนามบินสุวรรณภูมิ
พอลองคำนวนคร่าวๆ ณ.ความรู้ที่มีตอนนั้น เห็นว่า PEในตอนนั้นอยู่ราวๆ5-6เท่าในปีนั้นๆและมีโอกาสจะเหลือ3เท่า(และพี่ลองตัดงานรายได้งานประมูลออก ถึงจะรวมเอาค่าใช้จ่ายบริหารทั้งหมดที่มีงานประมูลอยู่ด้วยมาคิด ก็ยังได้PEที่10เท่า ซึ่งพี่ว่าปลอดภัยพอสมควร)เมื่อเขาได้รับงานวางสายที่สนามบินในปีหน้า และตอนนั้นพี่วิเคราะห์มาว่าโอกาสได้สูงมากเพราะ งานเริ่มต้น(รู้สึกไม่ถึง100ล้าน)ILINKได้ไป และงานที่ตามมาอีก3-4ร้อยล้านในปีถัดไป เมื่อคำนวนเสร็จพี่ก็ทะยอยเก็บเพิ่มอีกเรื่อยๆจนพอใจในตอนนั้น(น่าจะถืออยู่ราวๆ30-40%ของพอร์ต)
และปรากฎว่าเขาทำรายได้ และ กำไร ได้เกินเป้าหมายที่พี่คาดไว้เสียอีก ทำให้ราคาหุ้นขึ้นจากประมาณ3.8ไป10บาทภายในประมาณ1ปี และตอนนั้น ด้วยเพราะเหตุที่ว่ารับเหมาทางสุวรรณภูมิมันจะหมดในปีนั้น(แต่โบรกเข้ามาเชียร์ซื้อจัง)ส่วนตัวพี่คิดว่างานรับเหมาที่มีกำไรมากในปีนี้นั้น ปีหน้าลดลงอย่าแน่นอน ประกอบกับพี่ไปเห็นหุ้นTNHประมาณ4บาทกว่า พี่เลยสวิทย์จากILINKที่ประมาณ9-10บาทไปอยู่กับTNHแทนครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าคนไปอ่านบทความเก่าๆในILINKลองไปเทียบราคา ณ.วันนั้นๆจะเห็นว่า พี่จะเชียร์ให้ซื้อตอนต้นๆทางประมาณ4บาทและระบุว่าควรซื้อเพราะงานขายก็โตและมีของแถมงานประมูลที่ได้อีก แต่พอมันขึ้นมา8บาทกว่า ถ้าใครถามหลังไมค์พี่จะบอกว่าราคานี้ถ้ามีให้ถือ ถ้าจะซื้ออย่าดีกว่า. แต่พี่ก็ไม่กล้าโพสท์ตรงๆว่าพี่ขายแล้ว(แต่ที่สนิทๆกันหลายคนรู้ เพราะเวลาคุยก็ไม่ได้ปิดอะไร) เพราะตอนนั้นหลายคนกำลังมองโลกในแง่ดีกันอยู่
และเป็นบทเรียนบทหนึ่งว่าถ้าจะลงทุนในหุ้นที่มีงานรับเหมา จุดหลักๆที่ต้องติดตามคือเรื่องBACKLOG ที่ต้องท่องไว้เสมอว่า เราต้องรู้ให้เร็วและมากที่สุดถึงจะปลอดภัย.ถ้าเราไม่รู้เครือข่าย-ความสัมพันธ์วงใน โดยเฉพาะงานภาครัฐ เรามักเป็นมวยลองเสมอๆ และที่พี่กำไรILINKพี่ถือว่าพี่ไม่ได้เก่ง แต่พี่โชคดีกว่าคนอื่นเท่านั้นเองครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 10, 2009 5:31 pm
โดย killyz
ผมว่า หุ้นรับเหมามันเสี่ยงตรง backlog นี้ล่ะ ต้องตามข่าวและมีวงในด้วย
รับเหมานี้ รวยไว เจ๊งไว ผมทำงานบริษัทรับเหมาเลยไม่สนใจหุ้นรับเหมา
ถ้าให้พี่นริศเลือกหุ้นสักตัวที่จะถือไปตลอดและทิ้งไว้เป็นมรดกพอจะมีไหมคับ
และเพราะอะไรถึงเลือก
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 10, 2009 8:56 pm
โดย naris
Laziale เขียน:อยากทราบว่าพี่นริศใช้วิธีอะไรในการหามูลค่าหุ้นครับ DCF? อยากรบกวนพี่นริศช่วยยก case ในการหามูลค่าหน่อยครับ (ลองคำนวณตามหนังสือดูก็ยังไม่เข้าใจซะที คาดว่าพี่นริศคงมีวิธีคำนวณให้คนทั่วๆไปเข้าใจง่ายครับ
)
โดยส่วนตัวพี่ไม่หาโดยวิธีDCFอย่างละเอียดครับ เพราะคิดว่าจุดอ่อนมันอยู่ที่การสมมุติค่าต่างๆที่มันยิบย่อยเกินไป และถ้าเราสมมุติค่านั้นต่างกันเพียงนิด ผลตอบแทนก็จะต่างกันมหาศาล ทำให้จุดสำคัญในเรื่องDCFจึงอยู่ที่ความสามารถในการประเมินค่าต่างๆได้แม่นยำเพียงใดมากกว่า และการที่เราจะสามารถประเมินค่าต่างๆได้แม่นยำมากน้อยเพียงใด ก็จะขึ้นอยู่กับว่าเรารู้ถึงพื้นฐานของกิจการนั่นมากน้อยเพียงใดเช่นกัน
และยังมีวิธีอีกอย่างที่สามารถทำได้อย่างง่ายๆคือ ถ้าเราหากิจการที่เราเข้าใจง่ายๆ และมองหาว่าจุดสำคัญๆของเขาอยู่ตรงไหน ถ้าเราสามารถมองภาพใหญ่ได้ถูกต้อง ภาพเล็กๆถึงจะพลาดบ้าง ก็จะไม่มีสาระสำคัญต่อผลกำไรในระยะยาวสักเท่าใดนักหรอกครับ
ค่าที่พี่ใช้ส่วนมากก็คร่าวๆที่รายได้และกำไรที่เขาจะทำได้ในอนาคต และ ถ้าบางกิจการพี่อาจจะคำนวนโดยคิดว่า ถ้ามีคู่แข่งอยากจะมาแข่งขัน คู่แข่งจะต้องใช้เงินลงทุนสร้างธุรกิจนี้มากน้อยเพียงใด
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 10, 2009 9:16 pm
โดย sai
วิธีการประเมิณมูลค่าแบบที่พี่ชงล่าให้ฟังว่าเป็นแบบที่ ถ้ามีคู่แข่งอยากจะมาแข่งขัน คู่แข่งจะต้องใช้เงินลงทุนสร้างธุรกิจนี้มากน้อยเพียงใด เราจะมีวิธีการประมาณการเงินลงทุนในการสร้างธรุกิจได้อย่างไรครับ เพราะเคยสอบถามพีชงเรื่อง AHC พี่ชงก็เคยบอกวิธีคิดลักษณะเดียวกันว่า หากจะสร้างโรงพยาบาลแบบนี้จะต้องใช้เงินลงทุน 2 สาขา ราวราว 1200-1400 ล้านบาท เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะสามารถประมาณการลงทุนสร้างธรุกิจได้อย่างไรจึงจะใกล้เคียงครับ ขอบคุณมากครับพี่
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 10, 2009 10:10 pm
โดย dome@perth
[quote="sai"]วิธีการประเมิณมูลค่าแบบที่พี่ชงล่าให้ฟังว่าเป็นแบบที่ ถ้ามีคู่แข่งอยากจะมาแข่งขัน คู่แข่งจะต้องใช้เงินลงทุนสร้างธุรกิจนี้มากน้อยเพียงใด เราจะมีวิธีการประมาณการเงินลงทุนในการสร้างธรุกิจได้อย่างไรครับ เพราะเคยสอบถามพีชงเรื่อง AHC พี่ชงก็เคยบอกวิธีคิดลักษณะเดียวกันว่า หากจะสร้างโรงพยาบาลแบบนี้จะต้องใช้เงินลงทุน 2 สาขา ราวราว 1200-1400 ล้านบาท เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะสามารถประมาณการลงทุนสร้างธรุกิจได้อย่างไรจึงจะใกล้เคียงครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 10, 2009 10:51 pm
โดย Dekfaifah
สวัสดีครับพี่นริศ
คนอื่นๆเค้าก็ถามๆกันไปหมดแระ งั้นผมถามเรื่องการปรับพอร์ตพี่นริศบ้างแระกันนะครับ เห็นพี่นริศไม่ค่อยปรับพอร์ตซักเท่าไหร่ แต่ถ้าปรับทีพี่นริศมีหลักเลือกยังไงบ้างอะครับ
ขอบคุณล่วงหน้า อย่าลืมดูหุ้นเหล็กฝากผมด้วยนะครับตอนนี้ตามชิดเชียว
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 11, 2009 8:07 am
โดย Laziale
naris เขียน:
โดยส่วนตัวพี่ไม่หาโดยวิธีDCFอย่างละเอียดครับ เพราะคิดว่าจุดอ่อนมันอยู่ที่การสมมุติค่าต่างๆที่มันยิบย่อยเกินไป และถ้าเราสมมุติค่านั้นต่างกันเพียงนิด ผลตอบแทนก็จะต่างกันมหาศาล ทำให้จุดสำคัญในเรื่องDCFจึงอยู่ที่ความสามารถในการประเมินค่าต่างๆได้แม่นยำเพียงใดมากกว่า
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 11, 2009 9:28 am
โดย naris
[quote="vi_tal signs"]3-4