ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 122
ขอบคุณครับ เล่าได้สนุกดีครับ
ผมอีก 2 ปี ถึงจะเปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้นได้
ช่วงนี้ขอศึกษาจากประสบการ์ณของคุณ areliang
ก่อนนะครับ ^ ^
:D
ผมอีก 2 ปี ถึงจะเปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้นได้
ช่วงนี้ขอศึกษาจากประสบการ์ณของคุณ areliang
ก่อนนะครับ ^ ^
:D
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 124
โอ้ โห๋
หนังสือ สองเล่ม นี้ ไม่ต้องบรรยายเลยดีกว่า
เวลา ที่เรา เล่นหุ้น โดยที่ ไม่เคยหาความรู้มาก่อน ผมขาดทุนไปหลายหมื่นบาท แล้วครับ การอ่านหนังสือ สองเล่มนี้ ใช้เวลา ก็ไม่นานมากนัก
ผมเลยมาลองคิด เพื่อเปรียบเทียบ มูลค่า ของการอ่านหนังสือ สองเล่มนี้ ดู เทียบกับเฉพาะขาดทุน ( ถ้ามีความรู้มากพอ อาจจะนำไปสร้างกำไรได้ด้วยซ้ำ)
สมมุติ ถ้าผมต้องหาเงินเอง ทำงาน กินเงินเดือน เดือนละ 15000 บาท ทำงาน 22 วันต่อเดือน ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
นั่นแปลว่า ผมใช้เวลาหาเงิน 15000 บาท โดยใช้เวลาทำงาน 22*8 = 176 ชั่วโมง
แต่ถ้า ผมอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ โดยใช้เวลา เล่มละ 12 ชั่วโมง รวม 2 เล่ม ก็ 24 ชั่วโมง
แล้ว หาความรู้ แล้วนำมาคิด แล้วใช้ แล้วทำให้ผม ลดปริมาณ เงินที่ขาดทุนลงได้ 15000 บาท
แปลว่า ผม สามารถ รักษาเงิน 15000 บาทให้อยู่กับตัวเองได้ โดยใช้เวลาอ่านเพียง 24 ชั่วโมง
ซึ่งการหาเงินได้ 15000 บาท กับการไม่ขาดทุน 15000 บาท นั้น มีค่าเท่ากัน
แต่ผมก็เคยเห็นหลายๆ คนพร้อม ที่จะนั่งหาเงิน 15000 บาท โดยทำงาน 176 ชั่วโมง
มากกว่า รักษาเงิน ตัวเอง 15000 บาท ด้วยการ หาความรู้ จากการอ่าน 24 ชั่วโมง แถมความรู้ยังติดตัวไปด้วยนะครับ
ยังคงมี 15000 บาท แต่ใช้เวลาน้อยกว่า 176-24 =152 ชั่วโมง
ผมเคยได้ยินเรื่องเล่า เรื่องหนึ่ง
มีคนตัดไม้ 2 คน มี ขวานที่ไม่ใหม่นัก คนละด้าม เหมือนๆ กัน
เข้าไปตัดไม้ในป่า คนแรก ตัดได้ วันละ 3 ต้น
คนที่สองตัดได้ วันละ 5 ต้น
คนแรก ก็สงสัยสิครับ ว่าทำไม ทุกอย่างก็เหมือนๆกัน แต่คนที่สองตัดต้นไม้ได้มากกว่า
รู้มั้ยครับว่าเพราะอะไร รู้แล้วเหรอ อืม หรือว่ายัง 555
คนที่สองก็เลยตอบว่า
ตอนที่เค้าได้ขวานมา เค้าเห็นว่ามันไม่คมนัก ก็เลย ไปลับขวานให้คมซะก่อน ก็ใช้เวลาไปบ้างสักชั่วโมงแหละ
แต่พอลับเสร็จแล้วมันคม เวลาตัดต้นไม้ ก็กินไม้ได้ลึกเพราะความคม ไม่นานก็ตัดต้นไม้ได้
ผมเลยคิดว่า การลับความคม ถึงจะใช้เวลาบ้าง แต่ถ้าลับเสร็จ ก็สามารถ ทำประโยชน์ได้มากขึ้น
และความรู้ ที่รับรู้เข้าไป และทำความเข้าใจ มันก็เหมือน ลับความคม ให้ความคิดเราเอง
หนังสือ สองเล่ม นี้ ไม่ต้องบรรยายเลยดีกว่า
เวลา ที่เรา เล่นหุ้น โดยที่ ไม่เคยหาความรู้มาก่อน ผมขาดทุนไปหลายหมื่นบาท แล้วครับ การอ่านหนังสือ สองเล่มนี้ ใช้เวลา ก็ไม่นานมากนัก
ผมเลยมาลองคิด เพื่อเปรียบเทียบ มูลค่า ของการอ่านหนังสือ สองเล่มนี้ ดู เทียบกับเฉพาะขาดทุน ( ถ้ามีความรู้มากพอ อาจจะนำไปสร้างกำไรได้ด้วยซ้ำ)
สมมุติ ถ้าผมต้องหาเงินเอง ทำงาน กินเงินเดือน เดือนละ 15000 บาท ทำงาน 22 วันต่อเดือน ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
นั่นแปลว่า ผมใช้เวลาหาเงิน 15000 บาท โดยใช้เวลาทำงาน 22*8 = 176 ชั่วโมง
แต่ถ้า ผมอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ โดยใช้เวลา เล่มละ 12 ชั่วโมง รวม 2 เล่ม ก็ 24 ชั่วโมง
แล้ว หาความรู้ แล้วนำมาคิด แล้วใช้ แล้วทำให้ผม ลดปริมาณ เงินที่ขาดทุนลงได้ 15000 บาท
แปลว่า ผม สามารถ รักษาเงิน 15000 บาทให้อยู่กับตัวเองได้ โดยใช้เวลาอ่านเพียง 24 ชั่วโมง
ซึ่งการหาเงินได้ 15000 บาท กับการไม่ขาดทุน 15000 บาท นั้น มีค่าเท่ากัน
แต่ผมก็เคยเห็นหลายๆ คนพร้อม ที่จะนั่งหาเงิน 15000 บาท โดยทำงาน 176 ชั่วโมง
มากกว่า รักษาเงิน ตัวเอง 15000 บาท ด้วยการ หาความรู้ จากการอ่าน 24 ชั่วโมง แถมความรู้ยังติดตัวไปด้วยนะครับ
ยังคงมี 15000 บาท แต่ใช้เวลาน้อยกว่า 176-24 =152 ชั่วโมง
ผมเคยได้ยินเรื่องเล่า เรื่องหนึ่ง
มีคนตัดไม้ 2 คน มี ขวานที่ไม่ใหม่นัก คนละด้าม เหมือนๆ กัน
เข้าไปตัดไม้ในป่า คนแรก ตัดได้ วันละ 3 ต้น
คนที่สองตัดได้ วันละ 5 ต้น
คนแรก ก็สงสัยสิครับ ว่าทำไม ทุกอย่างก็เหมือนๆกัน แต่คนที่สองตัดต้นไม้ได้มากกว่า
รู้มั้ยครับว่าเพราะอะไร รู้แล้วเหรอ อืม หรือว่ายัง 555
คนที่สองก็เลยตอบว่า
ตอนที่เค้าได้ขวานมา เค้าเห็นว่ามันไม่คมนัก ก็เลย ไปลับขวานให้คมซะก่อน ก็ใช้เวลาไปบ้างสักชั่วโมงแหละ
แต่พอลับเสร็จแล้วมันคม เวลาตัดต้นไม้ ก็กินไม้ได้ลึกเพราะความคม ไม่นานก็ตัดต้นไม้ได้
ผมเลยคิดว่า การลับความคม ถึงจะใช้เวลาบ้าง แต่ถ้าลับเสร็จ ก็สามารถ ทำประโยชน์ได้มากขึ้น
และความรู้ ที่รับรู้เข้าไป และทำความเข้าใจ มันก็เหมือน ลับความคม ให้ความคิดเราเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 126
หลังจากอ่านหนังสือ แสนน่าทึ่ง สองเล่มนี้เสร็จ
มีทั้ง เรื่องที่ เข้าใจ พอเข้าใจ และ ก็ไม่เข้าใจ
แต่สิ่งที่ฝังใจ คือ สิ่งที่คุณ วอร์เรน บัฟเฟต เป็น คือ การเป็นเจ้าของกิจการ
มันทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นนักล่า
(การล่า ถ้าไปล่าสิ่งมีชีวิต โดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ถือเป็นการเบียดเบียน สิ่งมีชีวิตอื่นนะครับ!! )
เพราะว่าการจะเป็นเจ้าของกิจการ โดยไม่ได้เป็นผู้สร้างได้ ก็ต้อง คอยมองธุรกิจ
และก็ต้องมองธุรกิจให้ออก
หลังจากนั้น ก็ต้องเตรียมพร้อม รอ จังหวะ และโอกาสใน การเข้าซื้อ และก็ได้ ความเป็นเจ้าของมา
555 แต่ผมมีเงิน แค่ แสนนิดๆเองน่ะ 555 คงทำไม่ได้หรอก
และก็สรุป ได้ว่า หุ้น ไม่ใช่ชื่อ ราคา PE P/BV อย่างที่ผมเล่นผ่านๆมา
มีทั้ง เรื่องที่ เข้าใจ พอเข้าใจ และ ก็ไม่เข้าใจ
แต่สิ่งที่ฝังใจ คือ สิ่งที่คุณ วอร์เรน บัฟเฟต เป็น คือ การเป็นเจ้าของกิจการ
มันทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นนักล่า
(การล่า ถ้าไปล่าสิ่งมีชีวิต โดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ถือเป็นการเบียดเบียน สิ่งมีชีวิตอื่นนะครับ!! )
เพราะว่าการจะเป็นเจ้าของกิจการ โดยไม่ได้เป็นผู้สร้างได้ ก็ต้อง คอยมองธุรกิจ
และก็ต้องมองธุรกิจให้ออก
หลังจากนั้น ก็ต้องเตรียมพร้อม รอ จังหวะ และโอกาสใน การเข้าซื้อ และก็ได้ ความเป็นเจ้าของมา
555 แต่ผมมีเงิน แค่ แสนนิดๆเองน่ะ 555 คงทำไม่ได้หรอก
และก็สรุป ได้ว่า หุ้น ไม่ใช่ชื่อ ราคา PE P/BV อย่างที่ผมเล่นผ่านๆมา
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 127
หลังจากอ่าน คุณ ปีเตอร์ ลินช์ ทำให้รู้ว่า
ผมยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกมากแน่นอน ถึงแม้ผมจะได้ความรู้จากหนังสือนี้แล้ว
และผมก็อยากเก่ง หรือ เป็นเซียนได้ยิ่งดี ผมต้องทำอย่างไรล่ะ
- ในเมื่อ ผมมีเรื่องไม่รู้มากมายนัก ตอนนี้ผมจะพยายามให้รู้เรื่องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้(เครียดเหมือนกันนะช่วงนี้)
- จะรู้ให้มากกว่านี้จะต้องทำอย่างไรล่ะ
ก็ หา อ่าน ถาม ฟัง คิด หาคำตอบ นี่แหละสิ่งที่ผมพอจะทำได้
เราจะเข้าจิตวิทยา ที่มีผลต่อการขึ้นลงของราคาได้อย่างไร
- ผมก็สังเกตจากประสบการณ์
เวลา คนตกใจ เรื่องไม่ดี หุ้น ก็จะตกเนอะ
เวลา คนดีใจ มีแต่ปัจจัยดีๆ หุ้นก็ขึ้นเนอะ
การแบ่งประเภทหุ้น
- ต้องรู้จักหุ้นแต่ละตัวให้มากกว่านี้
ซึ่งแต่ก่อนมักจะรู้ว่า อยู่กลุ่มไหน ทำธุรกิจอะไร PE P/BV เป็นเท่าไหร่ก็จบ
แบบนี้ไม่พอแล้ว ต้องรายละเอียด และดูให้ออก ว่าเป็นหุ้นในประเภทไหน
หุ้นแต่ละตัวเป็น ธุรกิจ มีองค์ประกอบ ทรัพย์สิน หนี้สิน ผลประกอบการ
- ข้อมูลพวกนี้หาที่ไหน ผมต้องไปดู (set.or.th ก็มีแล้วครับ)
ผมยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกมากแน่นอน ถึงแม้ผมจะได้ความรู้จากหนังสือนี้แล้ว
และผมก็อยากเก่ง หรือ เป็นเซียนได้ยิ่งดี ผมต้องทำอย่างไรล่ะ
- ในเมื่อ ผมมีเรื่องไม่รู้มากมายนัก ตอนนี้ผมจะพยายามให้รู้เรื่องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้(เครียดเหมือนกันนะช่วงนี้)
- จะรู้ให้มากกว่านี้จะต้องทำอย่างไรล่ะ
ก็ หา อ่าน ถาม ฟัง คิด หาคำตอบ นี่แหละสิ่งที่ผมพอจะทำได้
เราจะเข้าจิตวิทยา ที่มีผลต่อการขึ้นลงของราคาได้อย่างไร
- ผมก็สังเกตจากประสบการณ์
เวลา คนตกใจ เรื่องไม่ดี หุ้น ก็จะตกเนอะ
เวลา คนดีใจ มีแต่ปัจจัยดีๆ หุ้นก็ขึ้นเนอะ
การแบ่งประเภทหุ้น
- ต้องรู้จักหุ้นแต่ละตัวให้มากกว่านี้
ซึ่งแต่ก่อนมักจะรู้ว่า อยู่กลุ่มไหน ทำธุรกิจอะไร PE P/BV เป็นเท่าไหร่ก็จบ
แบบนี้ไม่พอแล้ว ต้องรายละเอียด และดูให้ออก ว่าเป็นหุ้นในประเภทไหน
หุ้นแต่ละตัวเป็น ธุรกิจ มีองค์ประกอบ ทรัพย์สิน หนี้สิน ผลประกอบการ
- ข้อมูลพวกนี้หาที่ไหน ผมต้องไปดู (set.or.th ก็มีแล้วครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 128
หลังจากอ่าน คุณ วอร์เรน บัฟเฟต
หามูลค่าธุรกิจ มองหุ้นให้เป็นระยะยาว
- จะต้องเข้าใจวิธี หามูลค่าทางธุรกิจ มองหุ้นให้ยาว ลองเริ่มมองหุ้นยาวเป็นเดือนดู
ผลตอบแทนทบต้น
- เคยเรียน และรู้ มาบ้าง ว่าการทบต้น นานๆ ตัวเลขมันก็สูงอย่างไม่น่าเชื่อ
นิสัย อารมณ์ ของตลาด
- ก็เรื่อง จิตวิทยานั่นแหละค่อยๆดูต่อไป
การเป็นเจ้าของ ระยะยาว จริงๆ กำไรที่แท้จริง
- คงยังทำไม่ได้แน่เลย มีเงิน แสนกว่าบาท จะสร้างความเป็นเจ้าของระยะยาวยังไง
เลือก ดู ธุรกิจที่ดีให้เป็น
- ต้องเริ่มเหมือน การแบ่งประเภทหุ้น ต้องรู้จักหุ้น ให้มากขึ้นก่อน
ถือ หุ้นที่ดี จนเรารู้สึกสบายใจ ไม่ต้องคิดขาย (ในไทย ก็มีบ้างนะครับ แต่อาจจะไม่มาก)
- มีด้วยเหรอหุ้นที่ถือ จนไม่ต้องขาย แล้วจะได้กำไรยังไง สงสัยมีแต่หุ้นดีๆในเมืองนอกมั้งที่ทำได้
เลย ยังไม่คิดข้อนี้เท่าไหร่
เมื่อเป็นเจ้าของบริษัทที่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ ภาวะเศรษฐกิจมากนัก
- เราต้องพยายาม เข้าใจภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงผลกระทบที่มีต่อราคาหุ้นจริงๆ
เมื่อมี โจทย์ และวิธี ที่คิดว่า จะเป็นทางที่เดินไปเพื่อรู้สิ่งนั้นๆแล้ว
(ในขณะนั้น ผมไม่สามารถ สรุปได้เป็นข้อๆ แบบนี้หรอกครับ แต่ที่รู้มีอยู่ข้อเดียว ผมต้องรู้มากกว่านี้)
ผมก็ต้องเดินต่อไป
หามูลค่าธุรกิจ มองหุ้นให้เป็นระยะยาว
- จะต้องเข้าใจวิธี หามูลค่าทางธุรกิจ มองหุ้นให้ยาว ลองเริ่มมองหุ้นยาวเป็นเดือนดู
ผลตอบแทนทบต้น
- เคยเรียน และรู้ มาบ้าง ว่าการทบต้น นานๆ ตัวเลขมันก็สูงอย่างไม่น่าเชื่อ
นิสัย อารมณ์ ของตลาด
- ก็เรื่อง จิตวิทยานั่นแหละค่อยๆดูต่อไป
การเป็นเจ้าของ ระยะยาว จริงๆ กำไรที่แท้จริง
- คงยังทำไม่ได้แน่เลย มีเงิน แสนกว่าบาท จะสร้างความเป็นเจ้าของระยะยาวยังไง
เลือก ดู ธุรกิจที่ดีให้เป็น
- ต้องเริ่มเหมือน การแบ่งประเภทหุ้น ต้องรู้จักหุ้น ให้มากขึ้นก่อน
ถือ หุ้นที่ดี จนเรารู้สึกสบายใจ ไม่ต้องคิดขาย (ในไทย ก็มีบ้างนะครับ แต่อาจจะไม่มาก)
- มีด้วยเหรอหุ้นที่ถือ จนไม่ต้องขาย แล้วจะได้กำไรยังไง สงสัยมีแต่หุ้นดีๆในเมืองนอกมั้งที่ทำได้
เลย ยังไม่คิดข้อนี้เท่าไหร่
เมื่อเป็นเจ้าของบริษัทที่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ ภาวะเศรษฐกิจมากนัก
- เราต้องพยายาม เข้าใจภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงผลกระทบที่มีต่อราคาหุ้นจริงๆ
เมื่อมี โจทย์ และวิธี ที่คิดว่า จะเป็นทางที่เดินไปเพื่อรู้สิ่งนั้นๆแล้ว
(ในขณะนั้น ผมไม่สามารถ สรุปได้เป็นข้อๆ แบบนี้หรอกครับ แต่ที่รู้มีอยู่ข้อเดียว ผมต้องรู้มากกว่านี้)
ผมก็ต้องเดินต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 129
ด้วยความที่ว่า ต้องรู้มากกว่านี้แล้วล่ะ ถ้าจะยังเล่นหุ้นต่อไป
ซึ่งขาดทุนมาตลอด และที่ผมเคยบอก ผมเป็นคนไม่ชอบขาดทุน
ดังนั้น ผมพยายามหาความรู้มาก
ที่ผมอ่าน หนังสือ คุณ วอร์เรน เค้าบอกว่า เค้าอ่านหนังสือ the intelligent investor
วันต่อมา ผมก็ไปหาเลยครับ
ที่ ห้างแถว สุขุมวิท 24 ซึ่งมีร้านขายหนังสือภาษาต่างประเทศ
ผมก็จะไปซื้อแหละครับ
ผมก็ทั้ง ไปหา และก็ถามพนักงาน
เค้าบอกว่าไม่มีในสต็อก ครับ ถ้าจะเอาต้องสั่งซื้อไว้
ผมก็เลยกลับ
วันต่อมา ก็เลยไปห้องสมุดเดิม
เดินหาสักพัก เจอครับ ผมก็เลยเอาไป ถ่ายเอกสารเหมือนเดิม
กลับมาบ้านก็ตั้งใจจะอ่านแหละครับ
แต่เปิดไปเปิดมา ไม่สามารถ ผมอ่านไม่ไหว ภาษาอังกฤษ อ่านยากสำหรับผมครับ
555 นี่ขนาดเรียนหนังสือ เป็น ภาษาอังกฤษ นะเนี่ย ผมนี่ไม่ได้เรื่องเลย 555
แต่ผมเจอ ประโยคนึงครับ ซึ่งบังเอิญ ถูกขีดเส้นใต้โดยคนที่ใช้ก่อนหน้าผม(ไม่รู้คนไหนนะครับ)
ซึ่งประโยคนี้อาจจะไม่เกี่ยวเรื่องหุ้นโดยตรง
Who wish to throw the major burden of their investment operations on the shoulder of others.
ใครที่ปรารถนา ที่จะให้ การบริหารเงินลงทุน ไปอยู่ บนไหล่(การดูแล) ของผู้อื่น
ผมก็อ่านไป อ่านมา สักพัก ด้วยความไม่มั่นใจในภาษาอังกฤษ ของตัวเอง
ก็คิด ถ้าผม เอาเงินไปซื้อหุ้น หุ้นที่ผมไปซื้อ ก็อยู่ใต้การดูแลของผู้บริหาร
ก็แปลว่า ผม พึ่งผู้บริหาร ในการดูแลบริษัท ซึ่งก็เป็นการดูแลเงินของผมด้วย
อืม ก็จริงนี่นา
แปลว่าเงินของเรา กลายเป็น หุ้น หุ้นเป็นสิทธิ์ ในบริษัท ผู้บริหารก็ดูแลบริษัท
แปลว่า เงินของเรา จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับ บริษัท และผู้บริหาร สิ
ซึ่งขาดทุนมาตลอด และที่ผมเคยบอก ผมเป็นคนไม่ชอบขาดทุน
ดังนั้น ผมพยายามหาความรู้มาก
ที่ผมอ่าน หนังสือ คุณ วอร์เรน เค้าบอกว่า เค้าอ่านหนังสือ the intelligent investor
วันต่อมา ผมก็ไปหาเลยครับ
ที่ ห้างแถว สุขุมวิท 24 ซึ่งมีร้านขายหนังสือภาษาต่างประเทศ
ผมก็จะไปซื้อแหละครับ
ผมก็ทั้ง ไปหา และก็ถามพนักงาน
เค้าบอกว่าไม่มีในสต็อก ครับ ถ้าจะเอาต้องสั่งซื้อไว้
ผมก็เลยกลับ
วันต่อมา ก็เลยไปห้องสมุดเดิม
เดินหาสักพัก เจอครับ ผมก็เลยเอาไป ถ่ายเอกสารเหมือนเดิม
กลับมาบ้านก็ตั้งใจจะอ่านแหละครับ
แต่เปิดไปเปิดมา ไม่สามารถ ผมอ่านไม่ไหว ภาษาอังกฤษ อ่านยากสำหรับผมครับ
555 นี่ขนาดเรียนหนังสือ เป็น ภาษาอังกฤษ นะเนี่ย ผมนี่ไม่ได้เรื่องเลย 555
แต่ผมเจอ ประโยคนึงครับ ซึ่งบังเอิญ ถูกขีดเส้นใต้โดยคนที่ใช้ก่อนหน้าผม(ไม่รู้คนไหนนะครับ)
ซึ่งประโยคนี้อาจจะไม่เกี่ยวเรื่องหุ้นโดยตรง
Who wish to throw the major burden of their investment operations on the shoulder of others.
ใครที่ปรารถนา ที่จะให้ การบริหารเงินลงทุน ไปอยู่ บนไหล่(การดูแล) ของผู้อื่น
ผมก็อ่านไป อ่านมา สักพัก ด้วยความไม่มั่นใจในภาษาอังกฤษ ของตัวเอง
ก็คิด ถ้าผม เอาเงินไปซื้อหุ้น หุ้นที่ผมไปซื้อ ก็อยู่ใต้การดูแลของผู้บริหาร
ก็แปลว่า ผม พึ่งผู้บริหาร ในการดูแลบริษัท ซึ่งก็เป็นการดูแลเงินของผมด้วย
อืม ก็จริงนี่นา
แปลว่าเงินของเรา กลายเป็น หุ้น หุ้นเป็นสิทธิ์ ในบริษัท ผู้บริหารก็ดูแลบริษัท
แปลว่า เงินของเรา จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับ บริษัท และผู้บริหาร สิ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 130
ผม มีความรู้มากขึ้นครับ
แต่การเล่นหุ้น ของผมช่วงนั้น ยังคงเป็นเก็งกำไรครับ แต่เก็งกำไรแบบเริ่ม นำความรู้มาใช้ทีละน้อยครับ
ที่ยังคง เป็นเก็งกำไรอยู่ อาจเป็นเพราะ
ที่เห็นค่าเฉลี่ย ที่คุณ วอร์เรน ทำได้ 20 กว่า % ต่อปี ผมก็คิดว่า ต่อให้ผมทำได้เท่า
ผมมีเงินแสนกว่าบาท ปีนึงก็จะได้แค่ 2 หมื่นกว่าบาทเอง หารด้วย 12 เดือน ก็จะตกเดือนละ ประมาณ 2000 บาท
และถ้าผมทำได้แค่ 10% ล่ะ จะเหลือเท่าไหร่เอง
ในตอนนั้น ผมคิดว่าน้อยเกินไป ทำงี้ไม่ได้เรื่องแน่
ผมก็เลยตัดสินใจ เก็งกำไร แบบเดิม แต่ ใช้ความรู้เข้าช่วยทีละน้อย
จนมาวันนึง วันที่ผมได้ประโยคดีๆอีกแล้ว
แต่การเล่นหุ้น ของผมช่วงนั้น ยังคงเป็นเก็งกำไรครับ แต่เก็งกำไรแบบเริ่ม นำความรู้มาใช้ทีละน้อยครับ
ที่ยังคง เป็นเก็งกำไรอยู่ อาจเป็นเพราะ
ที่เห็นค่าเฉลี่ย ที่คุณ วอร์เรน ทำได้ 20 กว่า % ต่อปี ผมก็คิดว่า ต่อให้ผมทำได้เท่า
ผมมีเงินแสนกว่าบาท ปีนึงก็จะได้แค่ 2 หมื่นกว่าบาทเอง หารด้วย 12 เดือน ก็จะตกเดือนละ ประมาณ 2000 บาท
และถ้าผมทำได้แค่ 10% ล่ะ จะเหลือเท่าไหร่เอง
ในตอนนั้น ผมคิดว่าน้อยเกินไป ทำงี้ไม่ได้เรื่องแน่
ผมก็เลยตัดสินใจ เก็งกำไร แบบเดิม แต่ ใช้ความรู้เข้าช่วยทีละน้อย
จนมาวันนึง วันที่ผมได้ประโยคดีๆอีกแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 131
วันนั้นเป็นวันที่ตลาดหุ้นดีมาก
และวันนั้นก็เป็นวันที่ผมมีสอบ
วันนั้นเป็นวันที่ช่วงเช้า ตลาดเล่นกลุ่ม bank กัน ด้วยปริมาณ ซื้อขายที่ค่อนข้างเยอะ (ในเวลานั้น)
แล้วดัชนีก็บวกเป็นจำนวนมาก ทำให้ผมเดาว่า เดี๋ยวต้องเล่น กลุ่ม finance แน่เลยเดาว่าช่วงบ่าย
แต่บอกแล้วครับ ว่าผมมีสอบ และก็สอบช่วงบ่าย ซะด้วย
คงจะประมาณเวลา 14.00 17.00 น.
ธรรมดา!! ผมก็ต้องเข้าสอบ ด้วยความเสียดายยิ่ง
และผมก็ออกจากห้องสอบก่อนหมดเวลาเล็กน้อย ซึ่ง ตลาดก็ปิดแล้ว
ผมดูเพจหุ้นครับ
มันขึ้นจริงๆครับ วันนั้นกลุ่ม finance ขึ้นกันแรงมาก เกือบ 10% เลยนะครับในหลายๆตัว
เป็นวันที่ตลาดบวกเยอะมาก
ผมเสียดายจริงๆ ก็เลยโทรไปหาพี่ ดูดี ครับ
พี่ ดูดิ โอกาส แบบนี้ หุ้นขึ้นอย่างนี้ แต่ผมต้องมานั่งสอบ เสียดายมากเลยเนี่ย
รู้มั้ยครับ พี่ ดูดี บอกผมว่า
ยังเด็กอยู่เลย ไม่เป็นไรหรอก ยังมีโอกาส อีกเยอะ
ไม่น่าเชื่อครับ ประโยคธรรมดา ง่ายๆ แบบนี้
ดึงสติผมกลับมา
อืม จริงๆ ทำไมเราต้องเสียดาย ขนาดนั้น ทำไมเราต้องรีบร้อนขนาดนั้น แค่วันนี้ มันจะทำให้รวย หรือจนเชียวเหรอ
ถ้าเราได้ดีที่สุด วันนี้เราอาจจะได้ 10% ก็ ทุน แสนกว่าบาท ก็ได้ประมาณ 1 หมื่นบาท (กรณีที่ดีที่สุด)
มันทั้งหมด ก็หมื่นนึงเองเนอะ
ต่อให้ได้มามันก็ไม่ได้บอกว่า ผมจะประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้นนี่นา
(อืม ชักคิด อะไรที่จะนำพาเราไปให้เห็นว่าเราจะประสบความสำเร็จในหุ้นล่ะ)
และวันนั้นก็เป็นวันที่ผมมีสอบ
วันนั้นเป็นวันที่ช่วงเช้า ตลาดเล่นกลุ่ม bank กัน ด้วยปริมาณ ซื้อขายที่ค่อนข้างเยอะ (ในเวลานั้น)
แล้วดัชนีก็บวกเป็นจำนวนมาก ทำให้ผมเดาว่า เดี๋ยวต้องเล่น กลุ่ม finance แน่เลยเดาว่าช่วงบ่าย
แต่บอกแล้วครับ ว่าผมมีสอบ และก็สอบช่วงบ่าย ซะด้วย
คงจะประมาณเวลา 14.00 17.00 น.
ธรรมดา!! ผมก็ต้องเข้าสอบ ด้วยความเสียดายยิ่ง
และผมก็ออกจากห้องสอบก่อนหมดเวลาเล็กน้อย ซึ่ง ตลาดก็ปิดแล้ว
ผมดูเพจหุ้นครับ
มันขึ้นจริงๆครับ วันนั้นกลุ่ม finance ขึ้นกันแรงมาก เกือบ 10% เลยนะครับในหลายๆตัว
เป็นวันที่ตลาดบวกเยอะมาก
ผมเสียดายจริงๆ ก็เลยโทรไปหาพี่ ดูดี ครับ
พี่ ดูดิ โอกาส แบบนี้ หุ้นขึ้นอย่างนี้ แต่ผมต้องมานั่งสอบ เสียดายมากเลยเนี่ย
รู้มั้ยครับ พี่ ดูดี บอกผมว่า
ยังเด็กอยู่เลย ไม่เป็นไรหรอก ยังมีโอกาส อีกเยอะ
ไม่น่าเชื่อครับ ประโยคธรรมดา ง่ายๆ แบบนี้
ดึงสติผมกลับมา
อืม จริงๆ ทำไมเราต้องเสียดาย ขนาดนั้น ทำไมเราต้องรีบร้อนขนาดนั้น แค่วันนี้ มันจะทำให้รวย หรือจนเชียวเหรอ
ถ้าเราได้ดีที่สุด วันนี้เราอาจจะได้ 10% ก็ ทุน แสนกว่าบาท ก็ได้ประมาณ 1 หมื่นบาท (กรณีที่ดีที่สุด)
มันทั้งหมด ก็หมื่นนึงเองเนอะ
ต่อให้ได้มามันก็ไม่ได้บอกว่า ผมจะประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้นนี่นา
(อืม ชักคิด อะไรที่จะนำพาเราไปให้เห็นว่าเราจะประสบความสำเร็จในหุ้นล่ะ)
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 132
อืม ไม่ง่ายจริงๆ (สำหรับผมนะ)
หลังจากที่ ผมเปิด พอร์ต กับคุณ มีเซล มา 4-5 เดือน
คุณมีเซล โทรมาหาผมครับ
ว่าเค้าจะต้องย้าย ตัวเค้า มาอยู่ที่สำนักงาน สาขาใหญ่
แล้วสาขาที่อยู่ แถว สุขุมวิท 24 จะปิดไป
ผมเคยหวังที่อยากจะเปิด พอร์ต กับ บล. ที่มีห้องค้าอยู่ใกล้บ้านผม และหวังที่อยากจะได้อะไรจากที่นั่นมากมาย
แต่สาขา สุขุมวิท 24 กำลังถูกปิดไป ผมไม่ได้อะไรเลย
อืม ไม่ใช่สิ คุณ มีเซล ต้องย้ายไปสำนักงานใหญ่ สำนักงานใหญ่ อยู่แถวสยาม
อาจจะเป็นห้องค้าที่มีลูกค้าเยอะ ก็ได้นะ
วางแผนเลยครับ ผมต้องไปห้องค้าแถวสยามของ บล.นว
แล้ว หลังจากเลิกเรียน ซึ่งวันนั้นผมมีเรียนเฉพาะช่วงเช้า
ผมจึงไปห้องค้าแถวสยามแห่งนี้ในช่วงบ่าย
ผมเดินเข้าไป พร้อมกับมองไปรอบๆ
หน้าจอหุ้น ใหญ่มากครับ มีที่นั่ง น่าจะสัก 50 ที่ได้เลย
แล้วก็ยังมีคอมพิวเตอร์ที่ให้ลูกค้าไปกดดูได้
มีพนักงานค่อนข้างเยอะ เป็นสิบ คน
ลูกค้า ก็เยอะ เป็น สิบคน เหมือนกัน
พอไปถึง ก็ไปนั่ง แล้วโทรหาคุณ มีเซล บอกว่าผมมานะ
คุณ มีเซล ก็เดินมาผม พร้อมพาไปสอน วิธี กดดู หุ้น จากคอมพิวเตอร์
ผมก็ดู แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก พอสอนเสร็จ คุณ มีเซลก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ
แล้วผมก็นั่ง แล้วก็มองดู หน้าจอใหญ่เอา ผมไม่ได้สนใจ กระดานหุ้นมากนัก
เพราะ ตอนนี้ ผมกำลัง สนใจ คน
หลังจากที่ ผมเปิด พอร์ต กับคุณ มีเซล มา 4-5 เดือน
คุณมีเซล โทรมาหาผมครับ
ว่าเค้าจะต้องย้าย ตัวเค้า มาอยู่ที่สำนักงาน สาขาใหญ่
แล้วสาขาที่อยู่ แถว สุขุมวิท 24 จะปิดไป
ผมเคยหวังที่อยากจะเปิด พอร์ต กับ บล. ที่มีห้องค้าอยู่ใกล้บ้านผม และหวังที่อยากจะได้อะไรจากที่นั่นมากมาย
แต่สาขา สุขุมวิท 24 กำลังถูกปิดไป ผมไม่ได้อะไรเลย
อืม ไม่ใช่สิ คุณ มีเซล ต้องย้ายไปสำนักงานใหญ่ สำนักงานใหญ่ อยู่แถวสยาม
อาจจะเป็นห้องค้าที่มีลูกค้าเยอะ ก็ได้นะ
วางแผนเลยครับ ผมต้องไปห้องค้าแถวสยามของ บล.นว
แล้ว หลังจากเลิกเรียน ซึ่งวันนั้นผมมีเรียนเฉพาะช่วงเช้า
ผมจึงไปห้องค้าแถวสยามแห่งนี้ในช่วงบ่าย
ผมเดินเข้าไป พร้อมกับมองไปรอบๆ
หน้าจอหุ้น ใหญ่มากครับ มีที่นั่ง น่าจะสัก 50 ที่ได้เลย
แล้วก็ยังมีคอมพิวเตอร์ที่ให้ลูกค้าไปกดดูได้
มีพนักงานค่อนข้างเยอะ เป็นสิบ คน
ลูกค้า ก็เยอะ เป็น สิบคน เหมือนกัน
พอไปถึง ก็ไปนั่ง แล้วโทรหาคุณ มีเซล บอกว่าผมมานะ
คุณ มีเซล ก็เดินมาผม พร้อมพาไปสอน วิธี กดดู หุ้น จากคอมพิวเตอร์
ผมก็ดู แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก พอสอนเสร็จ คุณ มีเซลก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ
แล้วผมก็นั่ง แล้วก็มองดู หน้าจอใหญ่เอา ผมไม่ได้สนใจ กระดานหุ้นมากนัก
เพราะ ตอนนี้ ผมกำลัง สนใจ คน
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 133
ตอนนั้นน่าจะประมาณ บ่าย 3 นิดๆ
ลูกค้า น่าจะประมาณ สิบกว่าคน ได้ หรือ อาจถึง 20 คน
ซึ่งดู เหมือนกับ หลายๆคนรู้จักกัน
เริ่ม จากไปเห็น คุณ ป้า ที่นั่งอยู่กับเด็กคน นึง
เค้าพูดว่า เฮ้ย ไอ้หุ้นตัวนี้ ทำไมมันไม่ขยับ เลยเนี่ย
พร้อม กับ ถักผ้าอะไรสักอย่างไปด้วย
แล้วก็มีผู้ชาย
พูดมาว่า เนี่ย เห็นเค้าบอกกันว่า วันหลัง หุ้นตัวนี้จะดี จริงๆ
แล้วเค้าก็เดินไปเดินมาสักพัก
แล้วผมก็หันไปดู คนที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์
หน้าค่อนข้าง นิ่งๆ เครียด เล็กๆ คงเหมือนตอนผมนั่งดูเพจหุ้นมั้ง
แล้วก็จะมีเสียง ออกมาไม่รู้จากใครบ้าง
เฮ้ยๆๆ หุ้นตัวนี้ มา ไปแล้ว ไปแล้ว
อ้าวหมด เคาะขวาหมด (เคาะซื้อ offer)
แล้วไม่นานนัก
ก็จะมีเสียงแบบนี้อีก
ผมก็นั่งนิ่ง คิดไปเรื่อย
นี่มันคือะไรกันเนี่ย
ผมก็เดา และรู้สึกว่า
มีบางคน ซื้อ หุ้น แล้ว ก็รอหุ้นขึ้น
มีบางคน ฟังคนอื่น และ คิด หรือ ฝันเล็ก ตามว่า หุ้นนั้นจะดี (ซึ่งอาจจะดีจริงก็ได้)
มีบางคน นั่งลุ้นหุ้น เหมือนกับ เชียร์มวย ( ผมฟังก็ สนุกดีครับ)
มีบางคน คิดว่า จะประสบความสำเร็จ จากตลาดหุ้นนี้ยังไง (นั่นคือผมเอง 555)
ผมรู้แล้วครับ ห้องค้าเป็นยังไง
แต่พอตลาดปิดครับ จำได้เลย
มี พนักงานสาวๆ จาก roynet ครับ
ที่ตอนนั้นเพิ่งเข้าตลาดหุ้นไม่นาน ( แต่ตอนนี้หายไปแล้ว)
มาแจกชั่วโมงอินเตอร์เนตครับ
เลยได้ ชั่วโมงอินเตอร์เนต กลับมาบ้านด้วย 10 ชั่วโมงครับ
ลูกค้า น่าจะประมาณ สิบกว่าคน ได้ หรือ อาจถึง 20 คน
ซึ่งดู เหมือนกับ หลายๆคนรู้จักกัน
เริ่ม จากไปเห็น คุณ ป้า ที่นั่งอยู่กับเด็กคน นึง
เค้าพูดว่า เฮ้ย ไอ้หุ้นตัวนี้ ทำไมมันไม่ขยับ เลยเนี่ย
พร้อม กับ ถักผ้าอะไรสักอย่างไปด้วย
แล้วก็มีผู้ชาย
พูดมาว่า เนี่ย เห็นเค้าบอกกันว่า วันหลัง หุ้นตัวนี้จะดี จริงๆ
แล้วเค้าก็เดินไปเดินมาสักพัก
แล้วผมก็หันไปดู คนที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์
หน้าค่อนข้าง นิ่งๆ เครียด เล็กๆ คงเหมือนตอนผมนั่งดูเพจหุ้นมั้ง
แล้วก็จะมีเสียง ออกมาไม่รู้จากใครบ้าง
เฮ้ยๆๆ หุ้นตัวนี้ มา ไปแล้ว ไปแล้ว
อ้าวหมด เคาะขวาหมด (เคาะซื้อ offer)
แล้วไม่นานนัก
ก็จะมีเสียงแบบนี้อีก
ผมก็นั่งนิ่ง คิดไปเรื่อย
นี่มันคือะไรกันเนี่ย
ผมก็เดา และรู้สึกว่า
มีบางคน ซื้อ หุ้น แล้ว ก็รอหุ้นขึ้น
มีบางคน ฟังคนอื่น และ คิด หรือ ฝันเล็ก ตามว่า หุ้นนั้นจะดี (ซึ่งอาจจะดีจริงก็ได้)
มีบางคน นั่งลุ้นหุ้น เหมือนกับ เชียร์มวย ( ผมฟังก็ สนุกดีครับ)
มีบางคน คิดว่า จะประสบความสำเร็จ จากตลาดหุ้นนี้ยังไง (นั่นคือผมเอง 555)
ผมรู้แล้วครับ ห้องค้าเป็นยังไง
แต่พอตลาดปิดครับ จำได้เลย
มี พนักงานสาวๆ จาก roynet ครับ
ที่ตอนนั้นเพิ่งเข้าตลาดหุ้นไม่นาน ( แต่ตอนนี้หายไปแล้ว)
มาแจกชั่วโมงอินเตอร์เนตครับ
เลยได้ ชั่วโมงอินเตอร์เนต กลับมาบ้านด้วย 10 ชั่วโมงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 138
ผมรู้แล้วครับ ว่าห้องค้าเป็นอย่างไร
ผมอยู่ในห้องค้า ผมรับรู้ ถึง อารมณ์ มากมาย จากหลายๆคน
แล้ว คนกลุ่มที่อยู่ ห้องค้า เป็นผู้เล่นส่วนนึงในตลาด
ก็แปลว่า ผมได้สัมผัส กลับกลุ่มคน ที่ร่วม เล่นหุ้น อยู่ในตลาดหุ้น เดียวกับผม กลุ่มหนึ่ง
แล้ว โจทย์ หนึ่ง หลังจากอ่านหนังสือ คือ ต้องเข้าใจ จิตวิทยา และอารมณ์ ของตลาด
และนี่ ก็ส่วนหนึ่ง ของคำตอบในข้อนี้
เหรียญ ยังมีสองด้าน กล่องสี่เหลี่ยม ยังมี หกด้าน
ดังนั้น ก็ได้เข้าใจว่า นี่ เป็นเพียงมุม หนึ่งของตลาดหุ้น
ยังมีมุมที่ผมไม่รู้อีกแน่นอน
ผมอยู่ในห้องค้า ผมรับรู้ ถึง อารมณ์ มากมาย จากหลายๆคน
แล้ว คนกลุ่มที่อยู่ ห้องค้า เป็นผู้เล่นส่วนนึงในตลาด
ก็แปลว่า ผมได้สัมผัส กลับกลุ่มคน ที่ร่วม เล่นหุ้น อยู่ในตลาดหุ้น เดียวกับผม กลุ่มหนึ่ง
แล้ว โจทย์ หนึ่ง หลังจากอ่านหนังสือ คือ ต้องเข้าใจ จิตวิทยา และอารมณ์ ของตลาด
และนี่ ก็ส่วนหนึ่ง ของคำตอบในข้อนี้
เหรียญ ยังมีสองด้าน กล่องสี่เหลี่ยม ยังมี หกด้าน
ดังนั้น ก็ได้เข้าใจว่า นี่ เป็นเพียงมุม หนึ่งของตลาดหุ้น
ยังมีมุมที่ผมไม่รู้อีกแน่นอน
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 139
แล้วผมมานั่งคิด อะไรที่จะนำตัวผม ให้ไปอยู่เหนือ อารมณ์
ผมก็เลยเดากับตัวเองว่า เหนือ อารมณ์ ก็คือ เหตุผล
แล้วผมจะสร้างเหตุผล ได้อย่างไร
คำตอบ ก็คือ ความรู้อีกนั่นแหละ
ช่วงนั้นผมก็ยังคงเล่นหุ้นเก็งกำไร แต่ใช้ความรู้ เข้าช่วยทีละน้อย
เริ่ม เลือก โดยดู จาก PE P/BV เพราะ ผมรู้แล้วนี่ครับ ว่า 2ตัวนี้ บอกอะไรได้บ้าง
แล้วเมื่อได้ หุ้นมาแล้ว
ผมรู้แล้วนี่ว่า PE P/BV เท่านี้ยังไม่พอ
ผมก็เลย เข้า set.or.th เพื่อหาข้อมูล ( แม้ว่าตอนนั้น อินเตอร์เนต จะช้ามาก ไม่มี ADSL เมื่อเทียบปัจจุบัน )
ก็เริ่ม ดู งบดุล และ งบกำไร ขาดทุน
(ซึ่ง ผม บังเอิญ เรียน สาขาทาง บัญชี อยู่ด้วย
แต่ไม่ใช่เพราะ อยากเรียนบัญชีนะครับ
ผมเคย ลอง เรียน วิชาหนึ่ง ของสาขา การจัดการ ข้อสอบเป็นแบบ ข้อเขียน ให้เหตุผล วิธีการจัดการ
แล้วผมก็เข้าสอบ ผมเป็นคนไม่ตั้งใจเรียน หรอกครับ ผมก็เลย เขียนไป โดยใช้ความคิด และเหตุผลของตัวเอง
ผมก็ว่าผมคิดได้ไม่เลวแล้ว แล้วพอผลออก ผมได้ 11 คะแนนมั้งครับ จาก 30 คะแนนมั้งครับ
ผมก็เลยรู้สึก ว่าผมก็คิดได้ไม่เลวนี่นา แต่ทำไมได้ เท่านี้
ก็เลยได้คำตอบว่า แปลว่าผม ต้องตอบ ตามบทเรียน และตามใจครูสิ ถึงจะได้คะแนนดี
อย่างนี้ก็แย่นะสิ ผมว่าผมเป็นคนคิด แล้วมีเหตุผลไม่ค่อยเหมือนใครด้วย
ผมเคยลอง เรียนวิชาหนึ่ง ที่เป็นตัวบังคับแหละ แต่เกี่ยวกับ การเงิน
พอผมเรียน เจอสูตรมากมาย วุ่นวาย สิ่งที่ผมคิดคือ ผมจำเป็นต้องรู้ สูตร หรือ คิดเลข ลึกซึ้งมากมายอย่างนี้ด้วยหรือ
ขนาดตอนมัธยม ผม เรียน เคมี ฟิสิกส์ หรือเลข สมการยากๆ แทบแย่ แต่ก็ไม่ได้ใช้อะไรเท่าไหร่ ในชีวิตจริง
แล้วเลขเชิงลึกพวกนี้ ผมจะเอาไปใช้อะไร
ผมเคยลอง เรียนวิชาหนึ่ง ในสาขา คอมพิวเตอร์
พอผมเรียน ผมเจอเลข 0 1 และก่อน 0000 0001 0011 อะไรเนี่ย ผมเรียนอะไรเนี่ย
มันเป็นภาษา คอมพิวเตอร์ ครับ ใช้เลข 0 กับ 1 เป็นตัวป้อนข้อมูล
เข้าห้องสอบ แทบไม่ได้เขียนอะไร ออกมาจากห้องสอบ ก็ไป drop เลย
แล้วผมก็มาลอง เรียนวิชาด้านบัญชี มันก็แปลกนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเลย
แต่ผมก็ผ่านมาได้เรื่อยๆ จนจบ
แต่ถึงตอนนี้ จะให้ผม ทำบัญชี อย่าหวังเลยครับผมทำไม่ได้หรอก
แต่ถ้าให้ดู พอจะเข้าใจได้บ้างครับ
ดังนั้น ก็เลยเรียนจบบัญชี มาครับ)
หมายเหตุ
ทุกวิชา ทุกสาขามีความเฉพาะตัวในด้านนั้นๆครับ
การที่ผมไม่เข้าใจ และไม่สามารถ เรียน ในวิชาสาขานั้นๆได้ เป็นเพราะ ตัวผมเองครับ ที่เข้ากับสิ่งๆนั้นไม่ได้
แล้วผมก็ดู งบดุล งบกำไรขาดทุน ใน set.or.th โดยตรง
แต่ก็รู้สึก มันจะรวบ ๆย่อ ๆ ไม่ละเอียดมากนัก
แต่ผมรู้ว่าผมต้องการรู้มากกว่านี้
ผมก็เลย ไป ดาวน์โหลด แบบฟอร์ม 56-1(รายงานคล้ายรายงานประจำปี ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งต้องมีการจัดทำ ทุกปี) ก็จากใน set.or.th นั่นแหละ
อืม ดูไปดูมาก็คุ้นๆ
นี่ผมเคย ทำรายงานของวิชาที่เรียน นี่นา มานั่งหาข้อมูลพวกนี้แหละทำรายงานส่ง จำได้
ซึ่งตอนนั้น ผมก็คงเล่นหุ้นอยู่ แหละ แต่ตอนนั้นทำไมผมไม่เคยสนใจเลยเนี่ย
มีของดี ผ่านเข้ามาในมือแล้วแท้ๆ ไม่รู้จักดู 555
ผมก็เลยเดากับตัวเองว่า เหนือ อารมณ์ ก็คือ เหตุผล
แล้วผมจะสร้างเหตุผล ได้อย่างไร
คำตอบ ก็คือ ความรู้อีกนั่นแหละ
ช่วงนั้นผมก็ยังคงเล่นหุ้นเก็งกำไร แต่ใช้ความรู้ เข้าช่วยทีละน้อย
เริ่ม เลือก โดยดู จาก PE P/BV เพราะ ผมรู้แล้วนี่ครับ ว่า 2ตัวนี้ บอกอะไรได้บ้าง
แล้วเมื่อได้ หุ้นมาแล้ว
ผมรู้แล้วนี่ว่า PE P/BV เท่านี้ยังไม่พอ
ผมก็เลย เข้า set.or.th เพื่อหาข้อมูล ( แม้ว่าตอนนั้น อินเตอร์เนต จะช้ามาก ไม่มี ADSL เมื่อเทียบปัจจุบัน )
ก็เริ่ม ดู งบดุล และ งบกำไร ขาดทุน
(ซึ่ง ผม บังเอิญ เรียน สาขาทาง บัญชี อยู่ด้วย
แต่ไม่ใช่เพราะ อยากเรียนบัญชีนะครับ
ผมเคย ลอง เรียน วิชาหนึ่ง ของสาขา การจัดการ ข้อสอบเป็นแบบ ข้อเขียน ให้เหตุผล วิธีการจัดการ
แล้วผมก็เข้าสอบ ผมเป็นคนไม่ตั้งใจเรียน หรอกครับ ผมก็เลย เขียนไป โดยใช้ความคิด และเหตุผลของตัวเอง
ผมก็ว่าผมคิดได้ไม่เลวแล้ว แล้วพอผลออก ผมได้ 11 คะแนนมั้งครับ จาก 30 คะแนนมั้งครับ
ผมก็เลยรู้สึก ว่าผมก็คิดได้ไม่เลวนี่นา แต่ทำไมได้ เท่านี้
ก็เลยได้คำตอบว่า แปลว่าผม ต้องตอบ ตามบทเรียน และตามใจครูสิ ถึงจะได้คะแนนดี
อย่างนี้ก็แย่นะสิ ผมว่าผมเป็นคนคิด แล้วมีเหตุผลไม่ค่อยเหมือนใครด้วย
ผมเคยลอง เรียนวิชาหนึ่ง ที่เป็นตัวบังคับแหละ แต่เกี่ยวกับ การเงิน
พอผมเรียน เจอสูตรมากมาย วุ่นวาย สิ่งที่ผมคิดคือ ผมจำเป็นต้องรู้ สูตร หรือ คิดเลข ลึกซึ้งมากมายอย่างนี้ด้วยหรือ
ขนาดตอนมัธยม ผม เรียน เคมี ฟิสิกส์ หรือเลข สมการยากๆ แทบแย่ แต่ก็ไม่ได้ใช้อะไรเท่าไหร่ ในชีวิตจริง
แล้วเลขเชิงลึกพวกนี้ ผมจะเอาไปใช้อะไร
ผมเคยลอง เรียนวิชาหนึ่ง ในสาขา คอมพิวเตอร์
พอผมเรียน ผมเจอเลข 0 1 และก่อน 0000 0001 0011 อะไรเนี่ย ผมเรียนอะไรเนี่ย
มันเป็นภาษา คอมพิวเตอร์ ครับ ใช้เลข 0 กับ 1 เป็นตัวป้อนข้อมูล
เข้าห้องสอบ แทบไม่ได้เขียนอะไร ออกมาจากห้องสอบ ก็ไป drop เลย
แล้วผมก็มาลอง เรียนวิชาด้านบัญชี มันก็แปลกนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเลย
แต่ผมก็ผ่านมาได้เรื่อยๆ จนจบ
แต่ถึงตอนนี้ จะให้ผม ทำบัญชี อย่าหวังเลยครับผมทำไม่ได้หรอก
แต่ถ้าให้ดู พอจะเข้าใจได้บ้างครับ
ดังนั้น ก็เลยเรียนจบบัญชี มาครับ)
หมายเหตุ
ทุกวิชา ทุกสาขามีความเฉพาะตัวในด้านนั้นๆครับ
การที่ผมไม่เข้าใจ และไม่สามารถ เรียน ในวิชาสาขานั้นๆได้ เป็นเพราะ ตัวผมเองครับ ที่เข้ากับสิ่งๆนั้นไม่ได้
แล้วผมก็ดู งบดุล งบกำไรขาดทุน ใน set.or.th โดยตรง
แต่ก็รู้สึก มันจะรวบ ๆย่อ ๆ ไม่ละเอียดมากนัก
แต่ผมรู้ว่าผมต้องการรู้มากกว่านี้
ผมก็เลย ไป ดาวน์โหลด แบบฟอร์ม 56-1(รายงานคล้ายรายงานประจำปี ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งต้องมีการจัดทำ ทุกปี) ก็จากใน set.or.th นั่นแหละ
อืม ดูไปดูมาก็คุ้นๆ
นี่ผมเคย ทำรายงานของวิชาที่เรียน นี่นา มานั่งหาข้อมูลพวกนี้แหละทำรายงานส่ง จำได้
ซึ่งตอนนั้น ผมก็คงเล่นหุ้นอยู่ แหละ แต่ตอนนั้นทำไมผมไม่เคยสนใจเลยเนี่ย
มีของดี ผ่านเข้ามาในมือแล้วแท้ๆ ไม่รู้จักดู 555
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 140
แล้วก็เริ่ม อ่าน 56-1 ด้วยความตั้งใจ
อืมหุ้นตัว มันทำธุรกิจนี้นี่เอง มีความเสี่ยงอย่างนี้ มีขั้นตอนดำเนินธุรกิจอย่างนี้
มีทรัพย์สิน อย่างนี้ มีโครงสร้างการจัดการอย่างนี้ มีงบดุล งบกำไรขาดทุนอย่างนี้ มีผู้บริหารคนนี้ๆ
อืมได้อะไรเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
แล้วผมก็คิดว่า ok หุ้นตัวนี้ใช้ได้
ด้วยปริมาณ เงินที่เหลือน้อยลงมาก น่าจะประมาณ แสนต้นๆ จากขาดทุนการเล่นหุ้น และ การซื้อ การ์ด และ model รถไฟ
ผมค่อยๆขายหุ้น พอร์ตพ่อจนหมด แล้วได้ดำเนินการ ถอนเงินก้อนนั้นมา รวม ในพอร์ตชื่อผม
แปลว่าขณะนี้ ผมซื้อขาย ผ่านคุณ มีเซล
ผมก็ซื้อ ครับ ซึ่งคราวนี้ ผมซื้อครั้งละตัวเดียว
ซื้อ เสร็จ ผมก็ถือ และก็ดู
ไม่ว่าราคา ขึ้นหรือ ลง ผมมั่นคงขึ้นมากครับ
อาจจะเป็นเพราะ ความรู้ที่ผมเริ่มมี
ผมรู้ว่า PE P/BV นั้นต่ำ(แต่ตอนนั้น หุ้น PE P/BV ต่ำ มีจำนวนมากนะครับ) ซึ่งแปลว่าถูก
ผมรู้จาก 56-1 แล้ว ว่าเค้าทำธุรกิจอะไร ยังไงบ้าง
และด้วยสภาพ ตลาด ที่ไม่ได้เลวร้าย
ผมมั่นคงครับ
แล้วก็ถือไปสัก พัก เป็นอาทิตย์ แหละครับ
มันก็ขึ้นครับ ประมาณ 10 กว่า % ซึ่งผมก็ขาย เพราะ ผมได้กำไร (ยังไม่มีเหตุผลอื่นในการขาย)
ผมลงเพียงตัวเดียว ด้วยเงินทั้งหมด แสนกว่าบาท ได้ 10 % ก็คือ หมื่นกว่าบาท ไม่น้อยแล้วครับ
แล้วผมก็ทำแบบนี้ ได้ อีก หนึ่ง ครั้ง ในเวลาไม่นานนัก (อ่านข้อมูลแล้ว เข้าใจแล้ว ซื้อแล้ว ขายแล้ว กำไร)
และเมื่อ ผมทำ สองคราว สำเร็จ ได้ดี จนพอใจ ซึ่งแปลว่าได้มาราวๆ 20กว่า % โดยใช้เวลาไม่นาน
ซึ่งทำให้ ผมลำพอง ใจอยู่บ้าง (นั่น แปลว่า ทางที่ผมเดินมา มันทำให้ผม ทำผลงานได้ดีขึ้นนะครับ จริงมั้ย)
จนวันที่เกิด จุดเพิ่ม ที่สำคัญ ครับ
อืมหุ้นตัว มันทำธุรกิจนี้นี่เอง มีความเสี่ยงอย่างนี้ มีขั้นตอนดำเนินธุรกิจอย่างนี้
มีทรัพย์สิน อย่างนี้ มีโครงสร้างการจัดการอย่างนี้ มีงบดุล งบกำไรขาดทุนอย่างนี้ มีผู้บริหารคนนี้ๆ
อืมได้อะไรเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
แล้วผมก็คิดว่า ok หุ้นตัวนี้ใช้ได้
ด้วยปริมาณ เงินที่เหลือน้อยลงมาก น่าจะประมาณ แสนต้นๆ จากขาดทุนการเล่นหุ้น และ การซื้อ การ์ด และ model รถไฟ
ผมค่อยๆขายหุ้น พอร์ตพ่อจนหมด แล้วได้ดำเนินการ ถอนเงินก้อนนั้นมา รวม ในพอร์ตชื่อผม
แปลว่าขณะนี้ ผมซื้อขาย ผ่านคุณ มีเซล
ผมก็ซื้อ ครับ ซึ่งคราวนี้ ผมซื้อครั้งละตัวเดียว
ซื้อ เสร็จ ผมก็ถือ และก็ดู
ไม่ว่าราคา ขึ้นหรือ ลง ผมมั่นคงขึ้นมากครับ
อาจจะเป็นเพราะ ความรู้ที่ผมเริ่มมี
ผมรู้ว่า PE P/BV นั้นต่ำ(แต่ตอนนั้น หุ้น PE P/BV ต่ำ มีจำนวนมากนะครับ) ซึ่งแปลว่าถูก
ผมรู้จาก 56-1 แล้ว ว่าเค้าทำธุรกิจอะไร ยังไงบ้าง
และด้วยสภาพ ตลาด ที่ไม่ได้เลวร้าย
ผมมั่นคงครับ
แล้วก็ถือไปสัก พัก เป็นอาทิตย์ แหละครับ
มันก็ขึ้นครับ ประมาณ 10 กว่า % ซึ่งผมก็ขาย เพราะ ผมได้กำไร (ยังไม่มีเหตุผลอื่นในการขาย)
ผมลงเพียงตัวเดียว ด้วยเงินทั้งหมด แสนกว่าบาท ได้ 10 % ก็คือ หมื่นกว่าบาท ไม่น้อยแล้วครับ
แล้วผมก็ทำแบบนี้ ได้ อีก หนึ่ง ครั้ง ในเวลาไม่นานนัก (อ่านข้อมูลแล้ว เข้าใจแล้ว ซื้อแล้ว ขายแล้ว กำไร)
และเมื่อ ผมทำ สองคราว สำเร็จ ได้ดี จนพอใจ ซึ่งแปลว่าได้มาราวๆ 20กว่า % โดยใช้เวลาไม่นาน
ซึ่งทำให้ ผมลำพอง ใจอยู่บ้าง (นั่น แปลว่า ทางที่ผมเดินมา มันทำให้ผม ทำผลงานได้ดีขึ้นนะครับ จริงมั้ย)
จนวันที่เกิด จุดเพิ่ม ที่สำคัญ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 141
ในเมื่อการเล่นหุ้นตอนนั้น ยังคงเป็นการเก็งกำไร โดย ใช้ความรู้เข้าช่วยทีละน้อย
ผมไม่สามารถ บอกได้ชัดเจนนัก ว่าเพราะ อะไรที่ทำให้กำไร หรือแม้แต่สิ่งที่ทำให้ ขาดทุน
มันเป็นเรื่องของตลาดหุ้น คาดเดาได้อยาก
(แต่ถ้าเป็นการลงทุน จะรู้ว่า คุณจะกำไรเท่าไหร่ตั้งแต่เวลาเข้าซื้อครับ โดยทุกอย่างจะมีเหตุผล ความรู้ความเข้าใจประกอบ)
(แต่ถ้าเป็นการเก็งกำไรแบบไหนก็ตาม ผมจะไม่สามารถบอกได้เลย ว่า จะกำไร หรือ ขาดทุน กันแน่)
(แต่อาจจะมี คนที่รู้ได้ก็ได้นะครับ แต่สำหรับผม ผมไม่รู้จริงๆ)
ถ้าให้บอกโดยการเดา การเก็งกำไร โดยใช้ความรู้ทีละน้อย อาจจะเกิดจาก( แต่สุดท้ายไม่แนะนำให้เก็งกำไรนะครับ)
การเข้าใจลักษณะการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งถ้าตลาดอยู่ในสภาพ ที่ไม่เลวร้าย ก็เล่นก็เวียนหมุนกลุ่มกันไป
กลุ่มไหนยังไม่ถูกเล่น (กลุ่มที่พอจะเป็นที่นิยม) ก็จะถูกนำมาเล่น
การดูหุ้น ว่าการขึ้นลงเป็นเช่นไร เคยสูงหรือ ต่ำ เท่าไหน และดูราคา ขณะนั้นว่าเป็นอย่างไรโดยเปรียบกับ ผลประกอบการ
อย่างเช่นกำไรดีขึ้นโดยพื้นฐาน แต่ราคากลับต่ำกว่าที่เคยเป็นมา ก็น่าสนใจ
การเล่นแบบนี้หุ้นจะค่อนข้างต้องเป็นหุ้นตลาด
ความสามารถ ในการคาดการณ์ ผลประกอบการในอนาคต ถ้าคิดได้ว่าจะดีกว่าคาด ก็เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไร
หรือ ทางเทคนิคอล ต่างๆ
ผมไม่สามารถ บอกได้ชัดเจนนัก ว่าเพราะ อะไรที่ทำให้กำไร หรือแม้แต่สิ่งที่ทำให้ ขาดทุน
มันเป็นเรื่องของตลาดหุ้น คาดเดาได้อยาก
(แต่ถ้าเป็นการลงทุน จะรู้ว่า คุณจะกำไรเท่าไหร่ตั้งแต่เวลาเข้าซื้อครับ โดยทุกอย่างจะมีเหตุผล ความรู้ความเข้าใจประกอบ)
(แต่ถ้าเป็นการเก็งกำไรแบบไหนก็ตาม ผมจะไม่สามารถบอกได้เลย ว่า จะกำไร หรือ ขาดทุน กันแน่)
(แต่อาจจะมี คนที่รู้ได้ก็ได้นะครับ แต่สำหรับผม ผมไม่รู้จริงๆ)
ถ้าให้บอกโดยการเดา การเก็งกำไร โดยใช้ความรู้ทีละน้อย อาจจะเกิดจาก( แต่สุดท้ายไม่แนะนำให้เก็งกำไรนะครับ)
การเข้าใจลักษณะการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งถ้าตลาดอยู่ในสภาพ ที่ไม่เลวร้าย ก็เล่นก็เวียนหมุนกลุ่มกันไป
กลุ่มไหนยังไม่ถูกเล่น (กลุ่มที่พอจะเป็นที่นิยม) ก็จะถูกนำมาเล่น
การดูหุ้น ว่าการขึ้นลงเป็นเช่นไร เคยสูงหรือ ต่ำ เท่าไหน และดูราคา ขณะนั้นว่าเป็นอย่างไรโดยเปรียบกับ ผลประกอบการ
อย่างเช่นกำไรดีขึ้นโดยพื้นฐาน แต่ราคากลับต่ำกว่าที่เคยเป็นมา ก็น่าสนใจ
การเล่นแบบนี้หุ้นจะค่อนข้างต้องเป็นหุ้นตลาด
ความสามารถ ในการคาดการณ์ ผลประกอบการในอนาคต ถ้าคิดได้ว่าจะดีกว่าคาด ก็เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไร
หรือ ทางเทคนิคอล ต่างๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 142
เมื่อตอนเข้ามหาลัยมาไม่นาน
ด้วยเป็นคนที่ เห็นธุรกิจ ตามข้างทาง ก็ชอบคิด ว่าเค้าทำยังไงหาเงินยังไง
ผมเลยเคยเกริ่น กับพ่อ ไว้ว่า ถ้าผมเรียนจบ แล้วคิดธุรกิจ ดีๆได้ ใช้ทุนสัก 1 ล้านบาท จะให้มั้ย
คำตอบ คือ ถ้าดีจริงก็ได้
แล้วก็พักความคิดนั้นไว้ก่อน เพราะกว่าผมจะเรียนจบอีกนาน
ซึ่งเมื่อผมทำ การ อ่านข้อมูล และ ซื้อขาย และกำไร ได้สองรอบ สองตัว ตัวละหมื่นกว่าแล้ว
ทำให้ผมมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
รวมถึง ที่ผมอ่าน คุณ วอร์เรน ว่า มีคราวนึง ที่เค้ารวบรวมเงินจาก คนรู้จัก แล้วนำมาบริหารโดยการลงทุนในหุ้น
แล้ว แบ่งกำไร แก่ ผู้ลงทุน และตัว วอร์เรนเอง ตามสัดส่วนที่กำหนด
ผมก็เลยคิดถึงตัวเอง ผมจะหาเงินมาลงทุนเพิ่มได้อย่างไร ( ตอนนั้นผมมีความรู้มากขึ้น แต่จริงๆ ยังไม่มากพอที่จะประสบความสำเร็จนะครับ)
และประโยค ที่ผมเคยคิดตอน เข้ามหาลัยแรกๆ ก็กลับเข้ามาในหัวผมครับ
จะทำยังไง ให้หาเงินได้พอเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องทำงาน
วิธีแรกที่คิด คือ เงินฝากธนาคาร ตอนนั้น ดอกเบี้ย 7.5% มั้งครับ
ตอนนั้นผมได้ค่าขนมวันละ 200 บาท เสาร์อาทิตไม่ได้ คิดคร่าวๆ เดือนละ 5000 บาท
เอ ถ้าผมขอเงินพ่อมาได้ 1 ล้าน บาท ได้ดอกเบี้ย 7.5% ก็ได้ปีละ 75000 บาท หาร 12 ได้เดือนละ 6250 บาท
พอใช้ work แน่ๆ
แต่ความฝันก็พังทลาย เมื่อคิดได้ว่า พ่อ จะให้เหรอ
จำได้มั้ยครับ
ด้วยเป็นคนที่ เห็นธุรกิจ ตามข้างทาง ก็ชอบคิด ว่าเค้าทำยังไงหาเงินยังไง
ผมเลยเคยเกริ่น กับพ่อ ไว้ว่า ถ้าผมเรียนจบ แล้วคิดธุรกิจ ดีๆได้ ใช้ทุนสัก 1 ล้านบาท จะให้มั้ย
คำตอบ คือ ถ้าดีจริงก็ได้
แล้วก็พักความคิดนั้นไว้ก่อน เพราะกว่าผมจะเรียนจบอีกนาน
ซึ่งเมื่อผมทำ การ อ่านข้อมูล และ ซื้อขาย และกำไร ได้สองรอบ สองตัว ตัวละหมื่นกว่าแล้ว
ทำให้ผมมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
รวมถึง ที่ผมอ่าน คุณ วอร์เรน ว่า มีคราวนึง ที่เค้ารวบรวมเงินจาก คนรู้จัก แล้วนำมาบริหารโดยการลงทุนในหุ้น
แล้ว แบ่งกำไร แก่ ผู้ลงทุน และตัว วอร์เรนเอง ตามสัดส่วนที่กำหนด
ผมก็เลยคิดถึงตัวเอง ผมจะหาเงินมาลงทุนเพิ่มได้อย่างไร ( ตอนนั้นผมมีความรู้มากขึ้น แต่จริงๆ ยังไม่มากพอที่จะประสบความสำเร็จนะครับ)
และประโยค ที่ผมเคยคิดตอน เข้ามหาลัยแรกๆ ก็กลับเข้ามาในหัวผมครับ
จะทำยังไง ให้หาเงินได้พอเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องทำงาน
วิธีแรกที่คิด คือ เงินฝากธนาคาร ตอนนั้น ดอกเบี้ย 7.5% มั้งครับ
ตอนนั้นผมได้ค่าขนมวันละ 200 บาท เสาร์อาทิตไม่ได้ คิดคร่าวๆ เดือนละ 5000 บาท
เอ ถ้าผมขอเงินพ่อมาได้ 1 ล้าน บาท ได้ดอกเบี้ย 7.5% ก็ได้ปีละ 75000 บาท หาร 12 ได้เดือนละ 6250 บาท
พอใช้ work แน่ๆ
แต่ความฝันก็พังทลาย เมื่อคิดได้ว่า พ่อ จะให้เหรอ
จำได้มั้ยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 143
ผมกลับมาดู เรต ดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารครับ
ต่ำมากครับ ต่ำจนไม่น่าเชื่อ ว่าตอนที่ผมคิด เรตอยู่ที่ 7.5%
ตอนนี้ เงินฝาก ประจำ อยู่ 1 % กว่าๆ มั้งครับ
ออมทรัพย์ นี่ไม่ถึง 1 %
แปลว่า สิ่งที่ผมคิดตอนนั้น ไม่ยั่งยืน ไม่สามารถทำไปได้ตลอด
แปลว่าตอนนั้นมีอะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้ ทำให้ผมคิดพลาดอีกแล้ว
ถ้าผมมี 1ล้านบาท แล้วฝากกินดอก ใช้เดือนละ 5000 บาท ถ้าเป็น เรตนี้ ผมต้องกินเงินต้นทุกเดือนแน่
ดังนั้น การรับ น้อยกว่าออก เงินต้นผมจะลดลงไปเรื่อยๆ
เพราะ ต่อให้คิด 2% ต่อปี ผมจะได้ดอกเบี้ยเพียง ปีละ 20000 บาทเท่านั้น ตกเดือนละ 1666.66 บาทเท่านั้น
ตอนนี้ ปัจจัยที่สนใจมีอยู่
- ผมเริ่ม ได้กำไร จนลำพองเล็กๆว่า ผมต้องทำสำเร็จแน่
- คุณ วอร์เรนเคย รวบรวมเงิน จากคนรู้จัก
- ผมจะหาเงินมาลงทุนเพิ่มได้อย่างไร (ผมยังเรียนไม่จบ ไม่มีความน่าเชื่อถือเลย ครับ จะไปรวบรวมจากใครได้)
- ถ้ามีเงิน 1 ล้านบาท ตอนนี้ ฝากแบงก์ เฉยๆได้ ดอกเบี้ย 2% ประมาณ ปีละ 20000 บาท น้อยมาก
555 บอกแล้วครับ ผมเป็นลูก บรรเกิดเกล้า
ผมจึงทำแผน แล้วเสนอให้ พ่อ ไปว่า
ผมจะขอเงินลงทุน 1000000 บาท 1 ล้านบาท
โดยลงทุนหุ้นเป็นหลัก และสนใจในหุ้นปันผลด้วย และ จะต้องได้ผลตอบแทนต่อปีไม่ต่ำกว่า 6%( เลียนแบบในหนังสือ)
แต่ตอนนั้น ที่ผมได้กำไรมารวม 20 กว่า % โดยใช้เวลาไม่นานนัก ทำให้คิดว่า 6% เล็กน้อยมากน่าจะทำได้
แล้วก็พูดพรรณนา ให้ลองคิดว่า ดูสิ ตอนนี้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ ได้นิดเดียวเอง ถ้าปีนึงทำได้ 6 % จริง ได้มากกว่ากันตั้งเยอะ
พ่อ ผม ตอบว่า ไว้คิดดูก่อน พร้อมกับเก็บเอกสารที่ผมเสนอไป
ด้วยวันรุ่งขึ้น และผมใจร้อน จึงไป ถามอีกที
พ่อผมก็ถาม แน่ใจเหรอ
ผมก็ตอบ อืม
พ่อผมก็บอกว่า งั้น เอาไปเป็นวงเงิน 5 แสนบาทก่อน
เป็นงงครับ ได้ ถึงจะยังไม่ตามต้องการที่ 1 ล้านบาท แต่ได้ 5 แสนบาทก่อน แปลว่า ก็ยอม ให้เพิ่มอีก 5 แสนด้วย
ก็ 1ล้านสิ
ไม่นึกไม่ฝัน
นี่ผมยังเรียนอยู่เลยนะครับ แต่ก็ใกล้จะเรียนจบแล้วเนอะ อีกสักปีนึง
ผมใช้เวลาเรียน 4 ปีครึ่ง กับ การติดอีกนึ่งวิชา เพราะได้ C- แต่วิชานี้ ต้องการเกรด ขั้นต่ำ คือ C เพราะความเป็นวิชาหลักของสาขา ผมจึงต้องลงเรียน วิชานี้ใหม่ อีก 1 เทอม ทำให้ใช้ เวลาทั้งหมด 5 ปีอย่างเป็นทางการ แต่เทอมที่เหลือเรียนตัวเดียว ผมไม่ได้ไปเรียนหรอกครับ ขอไปสอบอย่างเดียว ด้วยเพราะเป็นอาจารย์คนเดิม แล้วเค้าก็จำผมได้ เลยขอที่จะไม่ต้องมาเข้าเรียน สอบอย่างเดียว ก็ผม เคยนั่งเรียนไปเทอมนึงแล้วนี่นา ท่านอาจารย์ก็เห็นใจ แฮะๆ ผมก็เลยยังเหมาว่าผมจบ 4 ปีครึ่ง ครับ 555
ท่านจำผมได้แม่น เพราะ วันๆ ใน ห้องเรียน ผมเอาแต่มองเพจหุ้นไงครับ
เค้า เคยเดินมาว่าผม นั่งมองแต่เพจ รอใครเพจมาเหรอ
แล้วเค้าก็พูด ว่า ถ้าดูหุ้น เพราะ เล่นหุ้น เป็น ล้าน ก็อีกเรื่อง
(อ่าว รู้ได้ไง ว่าผมดูหุ้น แล้วนี่ก็เป็นเพจหุ้น แต่เค้าคงไม่รู้ว่าผมดูหุ้นนะครับ แต่อาจจะมีประสบการณ์ เห็นคนที่ลงทุน แล้วนั่งดูแต่เพจหุ้น)
เข้าเรื่องครับ
เคยเกริ่นไว้ ถ้าเรียนจบ แล้วอยากทำธุรกิจ จะขอ 1 ล้านไปทำ
แต่นี่เรียนยังไม่จบ ก็กลับได้แล้ว (พ่อผม ทำไม ยอมให้ผมขนาดนี้เนี่ย)
ต่ำมากครับ ต่ำจนไม่น่าเชื่อ ว่าตอนที่ผมคิด เรตอยู่ที่ 7.5%
ตอนนี้ เงินฝาก ประจำ อยู่ 1 % กว่าๆ มั้งครับ
ออมทรัพย์ นี่ไม่ถึง 1 %
แปลว่า สิ่งที่ผมคิดตอนนั้น ไม่ยั่งยืน ไม่สามารถทำไปได้ตลอด
แปลว่าตอนนั้นมีอะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้ ทำให้ผมคิดพลาดอีกแล้ว
ถ้าผมมี 1ล้านบาท แล้วฝากกินดอก ใช้เดือนละ 5000 บาท ถ้าเป็น เรตนี้ ผมต้องกินเงินต้นทุกเดือนแน่
ดังนั้น การรับ น้อยกว่าออก เงินต้นผมจะลดลงไปเรื่อยๆ
เพราะ ต่อให้คิด 2% ต่อปี ผมจะได้ดอกเบี้ยเพียง ปีละ 20000 บาทเท่านั้น ตกเดือนละ 1666.66 บาทเท่านั้น
ตอนนี้ ปัจจัยที่สนใจมีอยู่
- ผมเริ่ม ได้กำไร จนลำพองเล็กๆว่า ผมต้องทำสำเร็จแน่
- คุณ วอร์เรนเคย รวบรวมเงิน จากคนรู้จัก
- ผมจะหาเงินมาลงทุนเพิ่มได้อย่างไร (ผมยังเรียนไม่จบ ไม่มีความน่าเชื่อถือเลย ครับ จะไปรวบรวมจากใครได้)
- ถ้ามีเงิน 1 ล้านบาท ตอนนี้ ฝากแบงก์ เฉยๆได้ ดอกเบี้ย 2% ประมาณ ปีละ 20000 บาท น้อยมาก
555 บอกแล้วครับ ผมเป็นลูก บรรเกิดเกล้า
ผมจึงทำแผน แล้วเสนอให้ พ่อ ไปว่า
ผมจะขอเงินลงทุน 1000000 บาท 1 ล้านบาท
โดยลงทุนหุ้นเป็นหลัก และสนใจในหุ้นปันผลด้วย และ จะต้องได้ผลตอบแทนต่อปีไม่ต่ำกว่า 6%( เลียนแบบในหนังสือ)
แต่ตอนนั้น ที่ผมได้กำไรมารวม 20 กว่า % โดยใช้เวลาไม่นานนัก ทำให้คิดว่า 6% เล็กน้อยมากน่าจะทำได้
แล้วก็พูดพรรณนา ให้ลองคิดว่า ดูสิ ตอนนี้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ ได้นิดเดียวเอง ถ้าปีนึงทำได้ 6 % จริง ได้มากกว่ากันตั้งเยอะ
พ่อ ผม ตอบว่า ไว้คิดดูก่อน พร้อมกับเก็บเอกสารที่ผมเสนอไป
ด้วยวันรุ่งขึ้น และผมใจร้อน จึงไป ถามอีกที
พ่อผมก็ถาม แน่ใจเหรอ
ผมก็ตอบ อืม
พ่อผมก็บอกว่า งั้น เอาไปเป็นวงเงิน 5 แสนบาทก่อน
เป็นงงครับ ได้ ถึงจะยังไม่ตามต้องการที่ 1 ล้านบาท แต่ได้ 5 แสนบาทก่อน แปลว่า ก็ยอม ให้เพิ่มอีก 5 แสนด้วย
ก็ 1ล้านสิ
ไม่นึกไม่ฝัน
นี่ผมยังเรียนอยู่เลยนะครับ แต่ก็ใกล้จะเรียนจบแล้วเนอะ อีกสักปีนึง
ผมใช้เวลาเรียน 4 ปีครึ่ง กับ การติดอีกนึ่งวิชา เพราะได้ C- แต่วิชานี้ ต้องการเกรด ขั้นต่ำ คือ C เพราะความเป็นวิชาหลักของสาขา ผมจึงต้องลงเรียน วิชานี้ใหม่ อีก 1 เทอม ทำให้ใช้ เวลาทั้งหมด 5 ปีอย่างเป็นทางการ แต่เทอมที่เหลือเรียนตัวเดียว ผมไม่ได้ไปเรียนหรอกครับ ขอไปสอบอย่างเดียว ด้วยเพราะเป็นอาจารย์คนเดิม แล้วเค้าก็จำผมได้ เลยขอที่จะไม่ต้องมาเข้าเรียน สอบอย่างเดียว ก็ผม เคยนั่งเรียนไปเทอมนึงแล้วนี่นา ท่านอาจารย์ก็เห็นใจ แฮะๆ ผมก็เลยยังเหมาว่าผมจบ 4 ปีครึ่ง ครับ 555
ท่านจำผมได้แม่น เพราะ วันๆ ใน ห้องเรียน ผมเอาแต่มองเพจหุ้นไงครับ
เค้า เคยเดินมาว่าผม นั่งมองแต่เพจ รอใครเพจมาเหรอ
แล้วเค้าก็พูด ว่า ถ้าดูหุ้น เพราะ เล่นหุ้น เป็น ล้าน ก็อีกเรื่อง
(อ่าว รู้ได้ไง ว่าผมดูหุ้น แล้วนี่ก็เป็นเพจหุ้น แต่เค้าคงไม่รู้ว่าผมดูหุ้นนะครับ แต่อาจจะมีประสบการณ์ เห็นคนที่ลงทุน แล้วนั่งดูแต่เพจหุ้น)
เข้าเรื่องครับ
เคยเกริ่นไว้ ถ้าเรียนจบ แล้วอยากทำธุรกิจ จะขอ 1 ล้านไปทำ
แต่นี่เรียนยังไม่จบ ก็กลับได้แล้ว (พ่อผม ทำไม ยอมให้ผมขนาดนี้เนี่ย)
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 144
เมื่อ ท่านพ่อ ยอมให้ พลเงินเหล่านี้ มาเป็นลูกน้องของผม
ผมก็จะพยายาม ใช้งานมันให้ดีที่สุด
ซึ่งเป็นการนำเงิน เข้าไปเล่น ในพอร์ต ชื่อพ่อ นะครับ กับ คุณดูดี
บอกก่อนเลยนะครับ ด้วยวัยนั้น ต้องมาถือ เงิน ดูแลเงิน และลงทุน ด้วยเงิน 1 ล้านบาท ไม่ง่ายเลยครับ
กลัวบ้าง เครียดบ้าง ลองคิดดูสิ ถ้าขาดทุนไปจะทำไง
(ถ้าต้อง หาเงิน ด้วยตัวเอง ก็อย่าเพิ่ง ท้อ นะครับ )
แต่รูปแบบ การได้เงินของผม มันเป็นรูปแบบลัดครับ
ซึ่งก็ถือเป็นโอกาส ของผม
( แต่อย่าคิดว่ามีแต่ข้อดีนะครับ เพราะบังเอิญ ผมเคยเห็นคนที่ได้โอกาสแบบนี้ ซึ่งได้เงินมากกว่าผม หลายเท่าด้วยซ้ำ แต่ไม่มีความรู้มากพอ เงินกลับลดลงอย่างเร็ว นะครับ)
เพราะ สิ่งสำคัญ จริงๆ คือ ความรู้ครับ เพราะ เมื่อ รู้ เราก็ รู้ว่าสิ่งไหนคือ โอกาส และเรียนรู้ต่อ ที่จะจับโอกาสไว้ให้ได้
การค่อยๆ ออม ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆลงทุน อย่าง สม่ำเสมอ ไปเรื่อยๆ ผมก็เชื่อ จะสร้างความสำเร็จได้เหมือนกัน
และตอนนี้ผมก็ยังเชื่อว่า ยังมีสิ่งที่ผมไม่รู้ ในตลาดหุ้น อีกเยอะมาก
เมื่อยังเชื่อว่า ตัวเอง มีเรื่องไม่รู้มาก ก็ต้องเรียนรู้เพิ่มให้มาก
แล้วเมื่อผมได้เงิน มาก้อน ที่ดูไม่ใช่จำนวนน้อยแล้ว(สำหรับผม)
ผมก็เริ่มต้นโดย ซื้อ หุ้น หุ้น ละ 100 หุ้น เป็นจำนวนมาก (ซื้อทีละหลายๆตัวให้คุ้มค่าคอม แบบเมื่อซื้อเกิน วันละ 2หมื่นบาทคิดค่าคอม ขั้นต่ำ 50 บาท)
ซึ่งมันแก้ปัญหาได้หลายข้ออยู่
หลายๆ ครั้ง ผมอยากลองเล่น หุ้นลม( เขียนว่าซื้อขายตัวไหนในกระดาษ) ผมว่าเป็นวิธีที่ดี ถ้าใครจะใช้เวลาเริ่มต้นที่ไม่มีความรู้
แต่มันใช้ไม่ค่อยได้ สำหรับผม เพราะผมไม่ได้รู้สึกเป็นเจ้าของหุ้นนั้น และทำให้ไม่รู้สึกอะไรเวลาหุ้น ขึ้นลง ทำให้มันดูเหมือนสิ่งไม่จริง
ดังนั้น เวลาผมคิดว่าหุ้นตัวนี้น่าจะดี แต่ไม่อยากเล่น แค่อยากลองดู ผมมักจะซื้อหุ้นเหล่านี้ เป็นจำนวน 100 หุ้น
ซึ่งเวลาขึ้น หุ้นก็ขึ้นจริง เราได้กำไรจริง ถ้าลงก็ขาดทุนจริง เสียเงินจริง แต่เป็นอัตรา ส่วน ที่เพียง 100 หุ้นเท่านั้น
(ไม่รวม หุ้นราคา แพง แบบ หุ้นละ เป็นร้อย บาท นะครับ)
ข้อต่อมาคือ เวลาผม สนใจในหุ้น ซึ่งเป็นธุรกิจ ตัวไหน ผมจะอยากเป็นเจ้าของ(ความเป็นเจ้าของแนว วอร์เรน)
และซื้อ 100 หุ้นเพื่อได้สิทธิ์ ความเป็นเจ้าของในบริษัทนั้นๆ
แล้วหลังจากนั้น ผมก็จะไป ไล่อ่าน 56-1 ของแทบทุกบริษัทที่ผมสนใจ
(สามารถอ่านโดยที่ไม่ต้องซื้อร้อยหุ้นก็ได้นะครับ)
ตอนนั้น ผมซื้อ ตัวละร้อยหุ้น เข้ามา ประมาณ ร้อยกว่าตัวครับ ร้อยต้นๆ
( ไม่จำเป็นต้องซื้อแบบนี้ก็ได้นะครับ แต่ขอให้อ่านศึกษา 56-1 ในบริษัท ที่สนใจ)
อ่านจากบริษัทที่ผมสนใจมาก แล้วก็ไล่ไปเรื่อยๆ
แต่ไม่ได้อ่านถึงกับละเอียด มาก อ่านข้ามไป ข้ามมาบ้าง
จริงๆ ครับ ผมอ่าน
ลักษณะ ตอนนี้คล้าย ผมเหวี่ยง แห๋ จับความรู้ครับ
แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้ความรู้จริงๆ ลักษณะ ของธุรกิจต่างๆ บ้างคล้ายกันบ้าง บ้างต่างกันอย่างสิ้นเชิง
(เมื่อผมอ่านและพอเข้าใจธุรกิจ แล้ว ปีต่อมา ผมก็จะอ่านเฉพาะ ธุรกิจที่ผมยังคงสนใจอยู่ ไม่ต้องอ่าน ครบทุกบริษัท ในทุกๆปีหรอกนะครับ)
แล้ว ส่วนที่ไม่ใช่ พวก ร้อยหุ้น
ผมก็เรียนรู้ที่จะจัดพอร์ตครับ ก็โดย ดูจาก PE P/BV ข้อมูล บริษัท แล้วก็เลือก หุ้นที่ดูว่าถูกและดี มีชื่อเสียงบ้างแหละครับ
แต่ตอนนี้ผมค่อนข้าง เข้าใจ ในหน้าที่ การบอก ของตัวเลขต่างๆ แล้ว
พอร์ตผม ประกอบ ด้วยหุ้น 4-5 ตัวครับ
ช่วงนี้เป็นช่วงปลายปี 2001
ผมก็จะพยายาม ใช้งานมันให้ดีที่สุด
ซึ่งเป็นการนำเงิน เข้าไปเล่น ในพอร์ต ชื่อพ่อ นะครับ กับ คุณดูดี
บอกก่อนเลยนะครับ ด้วยวัยนั้น ต้องมาถือ เงิน ดูแลเงิน และลงทุน ด้วยเงิน 1 ล้านบาท ไม่ง่ายเลยครับ
กลัวบ้าง เครียดบ้าง ลองคิดดูสิ ถ้าขาดทุนไปจะทำไง
(ถ้าต้อง หาเงิน ด้วยตัวเอง ก็อย่าเพิ่ง ท้อ นะครับ )
แต่รูปแบบ การได้เงินของผม มันเป็นรูปแบบลัดครับ
ซึ่งก็ถือเป็นโอกาส ของผม
( แต่อย่าคิดว่ามีแต่ข้อดีนะครับ เพราะบังเอิญ ผมเคยเห็นคนที่ได้โอกาสแบบนี้ ซึ่งได้เงินมากกว่าผม หลายเท่าด้วยซ้ำ แต่ไม่มีความรู้มากพอ เงินกลับลดลงอย่างเร็ว นะครับ)
เพราะ สิ่งสำคัญ จริงๆ คือ ความรู้ครับ เพราะ เมื่อ รู้ เราก็ รู้ว่าสิ่งไหนคือ โอกาส และเรียนรู้ต่อ ที่จะจับโอกาสไว้ให้ได้
การค่อยๆ ออม ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆลงทุน อย่าง สม่ำเสมอ ไปเรื่อยๆ ผมก็เชื่อ จะสร้างความสำเร็จได้เหมือนกัน
และตอนนี้ผมก็ยังเชื่อว่า ยังมีสิ่งที่ผมไม่รู้ ในตลาดหุ้น อีกเยอะมาก
เมื่อยังเชื่อว่า ตัวเอง มีเรื่องไม่รู้มาก ก็ต้องเรียนรู้เพิ่มให้มาก
แล้วเมื่อผมได้เงิน มาก้อน ที่ดูไม่ใช่จำนวนน้อยแล้ว(สำหรับผม)
ผมก็เริ่มต้นโดย ซื้อ หุ้น หุ้น ละ 100 หุ้น เป็นจำนวนมาก (ซื้อทีละหลายๆตัวให้คุ้มค่าคอม แบบเมื่อซื้อเกิน วันละ 2หมื่นบาทคิดค่าคอม ขั้นต่ำ 50 บาท)
ซึ่งมันแก้ปัญหาได้หลายข้ออยู่
หลายๆ ครั้ง ผมอยากลองเล่น หุ้นลม( เขียนว่าซื้อขายตัวไหนในกระดาษ) ผมว่าเป็นวิธีที่ดี ถ้าใครจะใช้เวลาเริ่มต้นที่ไม่มีความรู้
แต่มันใช้ไม่ค่อยได้ สำหรับผม เพราะผมไม่ได้รู้สึกเป็นเจ้าของหุ้นนั้น และทำให้ไม่รู้สึกอะไรเวลาหุ้น ขึ้นลง ทำให้มันดูเหมือนสิ่งไม่จริง
ดังนั้น เวลาผมคิดว่าหุ้นตัวนี้น่าจะดี แต่ไม่อยากเล่น แค่อยากลองดู ผมมักจะซื้อหุ้นเหล่านี้ เป็นจำนวน 100 หุ้น
ซึ่งเวลาขึ้น หุ้นก็ขึ้นจริง เราได้กำไรจริง ถ้าลงก็ขาดทุนจริง เสียเงินจริง แต่เป็นอัตรา ส่วน ที่เพียง 100 หุ้นเท่านั้น
(ไม่รวม หุ้นราคา แพง แบบ หุ้นละ เป็นร้อย บาท นะครับ)
ข้อต่อมาคือ เวลาผม สนใจในหุ้น ซึ่งเป็นธุรกิจ ตัวไหน ผมจะอยากเป็นเจ้าของ(ความเป็นเจ้าของแนว วอร์เรน)
และซื้อ 100 หุ้นเพื่อได้สิทธิ์ ความเป็นเจ้าของในบริษัทนั้นๆ
แล้วหลังจากนั้น ผมก็จะไป ไล่อ่าน 56-1 ของแทบทุกบริษัทที่ผมสนใจ
(สามารถอ่านโดยที่ไม่ต้องซื้อร้อยหุ้นก็ได้นะครับ)
ตอนนั้น ผมซื้อ ตัวละร้อยหุ้น เข้ามา ประมาณ ร้อยกว่าตัวครับ ร้อยต้นๆ
( ไม่จำเป็นต้องซื้อแบบนี้ก็ได้นะครับ แต่ขอให้อ่านศึกษา 56-1 ในบริษัท ที่สนใจ)
อ่านจากบริษัทที่ผมสนใจมาก แล้วก็ไล่ไปเรื่อยๆ
แต่ไม่ได้อ่านถึงกับละเอียด มาก อ่านข้ามไป ข้ามมาบ้าง
จริงๆ ครับ ผมอ่าน
ลักษณะ ตอนนี้คล้าย ผมเหวี่ยง แห๋ จับความรู้ครับ
แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้ความรู้จริงๆ ลักษณะ ของธุรกิจต่างๆ บ้างคล้ายกันบ้าง บ้างต่างกันอย่างสิ้นเชิง
(เมื่อผมอ่านและพอเข้าใจธุรกิจ แล้ว ปีต่อมา ผมก็จะอ่านเฉพาะ ธุรกิจที่ผมยังคงสนใจอยู่ ไม่ต้องอ่าน ครบทุกบริษัท ในทุกๆปีหรอกนะครับ)
แล้ว ส่วนที่ไม่ใช่ พวก ร้อยหุ้น
ผมก็เรียนรู้ที่จะจัดพอร์ตครับ ก็โดย ดูจาก PE P/BV ข้อมูล บริษัท แล้วก็เลือก หุ้นที่ดูว่าถูกและดี มีชื่อเสียงบ้างแหละครับ
แต่ตอนนี้ผมค่อนข้าง เข้าใจ ในหน้าที่ การบอก ของตัวเลขต่างๆ แล้ว
พอร์ตผม ประกอบ ด้วยหุ้น 4-5 ตัวครับ
ช่วงนี้เป็นช่วงปลายปี 2001
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 145
ด้วยความมั่นใจว่าหุ้นหลักที่ผมซื้อนั้น ถูกแล้ว
เวลาหุ้นลง ผมก็ไม่กังวลสักเท่าไหร่
แต่พอหุ้น ขึ้น ผมก็ขาย และหาซื้อ ตัวใหม่เข้ามาบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก
ซึ่งการซื้อ ของผม ตอนปลายปี ในเวลาที่ดูว่าหุ้นถูกมาก
แล้วผ่านเดือนมกราคม ซึ่ง เค้าเรียกกันว่า January effect ทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาระดับนึง
อย่า เพิ่งคิดว่า January effect แปลว่า เดือนมกราคม หุ้นจะขึ้นนะครับ
มันเป็นรอบปี ครับ บริษัทจดทะเบียน ส่วนใหญ่ รอบบัญชี จะอยู่ที่
วันที่ 1 เดือน 1 ถึง วันที่ 31 เดือน 12 เป็นวันปิดบัญชี
แปลว่า ผลการดำเนินการที่เป็นจริง ในรอบปี ออกครบแล้ว เมื่อวันที่ 31 เดือน 12
เพียงแต่ยังมีช่วงเวลา ที่กลต. กำหนดให้ แจ้ง ภายใน 60 วันหลัง จากวันปิดบัญชีรอบปี
และเมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้ามีการคาดผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะออกมาดี
ก็จะเกิด การคาดคะเน และซื้อ เพื่อรอผลประกอบการ จริงออก บ้าง ในช่วงนี้ครับ
จนมาวันหนึ่ง ช่วง เดือน ต้น ของปี 2002 ครับ
ด้วยการที่ผมอ่าน 56-1 ค่อนข้างเยอะ
ซึ่ง ก็รวมถึง การดู หน้า ผู้ถือหุ้น ใหญ่ จาก set.or.th ด้วย
เลยได้มีโอกาส เห็นว่า มีรายชื่อ และรายชื่อต่ำที่สุดที่มีชื่อ คือการถือ 0.5% จากจำนวนหุ้นทั้งหมด
ผมก็เลยคิด ผู้ถือหุ้นใหญ่ 0.5 % ก็มีชื่อติดแล้วเหรอ
ก็เลยโทรไปถามพี่ ดูดี เพื่อความแน่ใจ และก็ถามต่อว่าถ้าเป็นบริษัทเล็กๆ ก็ใช้ 0.5 % เป็นเกณฑ์ เหมือนกันเหรอ
555 รู้มั้ยครับผมคิด อะไรอยู่ 555
เวลาหุ้นลง ผมก็ไม่กังวลสักเท่าไหร่
แต่พอหุ้น ขึ้น ผมก็ขาย และหาซื้อ ตัวใหม่เข้ามาบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก
ซึ่งการซื้อ ของผม ตอนปลายปี ในเวลาที่ดูว่าหุ้นถูกมาก
แล้วผ่านเดือนมกราคม ซึ่ง เค้าเรียกกันว่า January effect ทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาระดับนึง
อย่า เพิ่งคิดว่า January effect แปลว่า เดือนมกราคม หุ้นจะขึ้นนะครับ
มันเป็นรอบปี ครับ บริษัทจดทะเบียน ส่วนใหญ่ รอบบัญชี จะอยู่ที่
วันที่ 1 เดือน 1 ถึง วันที่ 31 เดือน 12 เป็นวันปิดบัญชี
แปลว่า ผลการดำเนินการที่เป็นจริง ในรอบปี ออกครบแล้ว เมื่อวันที่ 31 เดือน 12
เพียงแต่ยังมีช่วงเวลา ที่กลต. กำหนดให้ แจ้ง ภายใน 60 วันหลัง จากวันปิดบัญชีรอบปี
และเมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้ามีการคาดผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะออกมาดี
ก็จะเกิด การคาดคะเน และซื้อ เพื่อรอผลประกอบการ จริงออก บ้าง ในช่วงนี้ครับ
จนมาวันหนึ่ง ช่วง เดือน ต้น ของปี 2002 ครับ
ด้วยการที่ผมอ่าน 56-1 ค่อนข้างเยอะ
ซึ่ง ก็รวมถึง การดู หน้า ผู้ถือหุ้น ใหญ่ จาก set.or.th ด้วย
เลยได้มีโอกาส เห็นว่า มีรายชื่อ และรายชื่อต่ำที่สุดที่มีชื่อ คือการถือ 0.5% จากจำนวนหุ้นทั้งหมด
ผมก็เลยคิด ผู้ถือหุ้นใหญ่ 0.5 % ก็มีชื่อติดแล้วเหรอ
ก็เลยโทรไปถามพี่ ดูดี เพื่อความแน่ใจ และก็ถามต่อว่าถ้าเป็นบริษัทเล็กๆ ก็ใช้ 0.5 % เป็นเกณฑ์ เหมือนกันเหรอ
555 รู้มั้ยครับผมคิด อะไรอยู่ 555
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 146
วอร์เรน เข้าหัว ครับ
เป็นเจ้าของ ถ้า ได้ 0.5 % เราก็พอจะเห็นตัวตนของการเป็นเจ้าของแล้วนี่นา
เริ่มเลย ครับ หาหุ้นครับ ดูจาก market cap ( จำนวน หุ้นทั้งหมด * ราคาหุ้น) มูลค่าตลาดทั้งหมด
เรามี 5 แสนกว่าบาท จะได้ 0.5 % market cap ต้องประมาณ 100 ล้านบาท
100 ล้าน * 0.5 % ได้ 5 แสนบาท
555 มี 5 แสนบาท ก็หวังมีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ แล้วเหรอเนี่ย
ผมก็ไล่ดูไปเรื่อยๆ มีหลายตัวอยู่ครับ แต่ปัญหาสิ อยู่ที่สภาพคล่อง (ไม่มีปริมาณ ซื้อขายมากพอ)
ตอนนี้ ผมหน้ามืด ตามัว ต้องการเป็นติด ชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ให้ได้
จนมาเจอ ตัวนึงครับ
PE P/BV ต่ำ (จำไม่ได้ แต่รู้ว่าต่ำ) market cap ประมาณ 100 ล้านบาท
ไปดู offer มีอยู่ ช่วงราคา ละ 2 3 พันหุ้น ถึงแม้ช่วง จะข้ามช่องบ้าง
ถึงผมจะอ่าน 56-1 ของหุ้นตัวนี้ด้วย แต่บอกเลย บอกก็ยังคงไม่มีความรู้มากพอ(ความรู้มากพอ คือซื้อแล้วแทบจะไม่มีโอกาส ขาดทุนเลย ในระยะยาว อย่างที่ คุณ วอร์เรน ว่าไว้ เราจะเลือกลงทุนบน พื้นฐานของมูลค่า ไม่ใช่ ความนิยม และ กิจการการลงทุนนี้จะพยายามลดการขาดทุนถาวร ( ที่ไม่ใช่การขาดทุนในระยะสั้น) ให้เหลือน้อยที่สุด )
และเมื่อผมตัดสินใจแล้ว ว่าจะเข้าซื้อตัวนี้
ล้างพอร์ตครับ (ช่วงนั้น ผมไม่ได้เล่น พอร์ตตัวเองกับคุณมีเซลเลยครับ)
ตัวหลัก ครับ 4-5 ตัว
แล้วก็พวกร้อยหุ้น ตอนนั้น เหลือ ประมาณ 50 ตัว
ได้เงินต้น 5 แสน บาท บวก กำไร มา ราวๆ 20% ครับ
พอวันรุ่งขึ้น ผมก็เริ่มเข้าซื้อครับ
ซื้อ ได้ 2-3 พันหุ้น ครับ วันแรก แล้วผมก็ยังไม่คิดจะซื้อ ช่วงราคาสูงขึ้นถัดไป จึงรอไปก่อน
พอวันถัด ก็คือ ถ้ารออย่างนี้ไม่ได้เรื่องแน่
เลยเคาะซื้อ ตลอด เพราะคิดว่าหุ้น ถูกมาก เมื่อเทียบกับ PE P/BV (โดยมีความรู้ แต่ยังไม่มากพอ)
ผมเคาะซื้อ แล้วก็ มีคนมาตั้งขาย ทีละ ไม่กี่พันหุ้น วัน บวกสูงสุด ไป ห้า - หก ช่วงราคามั้งครับ
วันต่อมา ผมก็ต้องซื้ออีก ซื้อเหมือนเดิมครับ ราคา บวกมา อีก 4-5 ช่วงราคา
แล้ววันสุดท้าย ก็ซื้อ เหมือนเดิม บวกมา 6- 7 ช่วงราคา
ผมใช้ 4 วันครับ ราคาขึ้นมาเยอะเหมือนกัน เป็นหุ้น สภาพคล่องน้อยมากครับ
หลังจากได้หุ้นครบ ผมก็รอ วันปิดสมุด ชื่อผมจะได้ติด
แต่ไม่มีวันหลังจากนั้นครับ
อยู่ ๆหุ้น ตัวนี้ของผม มัน ขึ้นเรื่อยๆครับ 10% แล้ว ผมก็ ok ได้เป็นเจ้าของได้กำไรอีก
20% แล้วครับ โห๋ ขึ้นเยอะจัง แต่ก็ไม่ขาย คือ อยากมี ชื่อติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งประมาณ เดือน 4-5 เค้าก็จะปิดสมุดกัน
30% ครับ เออ ติดผู้หุ้นใหญ่มั้ย ช่างมันแล้ว ไม่สนแล้ว
ครับ แล้วผมก็โทรหาพี่ ดูดี แล้วก็สั่งขายครับ แปลกจัง มันมีสภาพคล่องพอสมควรเลยนะ ตอนวันที่ผมขายอ่ะ
คราวนี้ ได้เงิน ต้น บวกคราวที่แล้ว 20% บวกคราว นี้อีก 30%
เยอะมากครับสำหรับผม
ที่ตั้งแต่ผมเล่นหุ้นมาทั้งหมด ขาดทุน ตอนนี้ ถ้าหักลบ ผมกำไร เป็นแสนแล้วนะเนี่ย 555(ประมาณ แสนเดียวแหละ แต่พูดว่าเป็นแสน555)
เริ่ม work แล้วครับทางที่ผมเดินมา
ตอนนั้น ก็พลาด ในการ จะติดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ไปคราวนึงแล้ว
ตอนนั้น เลยกลับมาดู รู้มั้ย หุ้นที่ผมซื้อเพื่อเป็นเจ้าของ หลาย ปีก่อนหน้า จนถึงปีนั้นไม่มีปันผลนะครับ
นั่นเลยแปลว่า ถ้าหุ้นตัวนี้ไม่ถูกเล่นขึ้นมา ผมจะต้อง ถือหุ้นตัวนี้โดยไม่มีผลตอบแทนใดๆ เลยนะครับ
แต่แค่เป็นความบังเอิญ ที่ผม มีโอกาส ขายไปด้วยการกำไร
ผมก็เลยรู้สึกโล่งอกไปเลย
เป็นเจ้าของ ถ้า ได้ 0.5 % เราก็พอจะเห็นตัวตนของการเป็นเจ้าของแล้วนี่นา
เริ่มเลย ครับ หาหุ้นครับ ดูจาก market cap ( จำนวน หุ้นทั้งหมด * ราคาหุ้น) มูลค่าตลาดทั้งหมด
เรามี 5 แสนกว่าบาท จะได้ 0.5 % market cap ต้องประมาณ 100 ล้านบาท
100 ล้าน * 0.5 % ได้ 5 แสนบาท
555 มี 5 แสนบาท ก็หวังมีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ แล้วเหรอเนี่ย
ผมก็ไล่ดูไปเรื่อยๆ มีหลายตัวอยู่ครับ แต่ปัญหาสิ อยู่ที่สภาพคล่อง (ไม่มีปริมาณ ซื้อขายมากพอ)
ตอนนี้ ผมหน้ามืด ตามัว ต้องการเป็นติด ชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ให้ได้
จนมาเจอ ตัวนึงครับ
PE P/BV ต่ำ (จำไม่ได้ แต่รู้ว่าต่ำ) market cap ประมาณ 100 ล้านบาท
ไปดู offer มีอยู่ ช่วงราคา ละ 2 3 พันหุ้น ถึงแม้ช่วง จะข้ามช่องบ้าง
ถึงผมจะอ่าน 56-1 ของหุ้นตัวนี้ด้วย แต่บอกเลย บอกก็ยังคงไม่มีความรู้มากพอ(ความรู้มากพอ คือซื้อแล้วแทบจะไม่มีโอกาส ขาดทุนเลย ในระยะยาว อย่างที่ คุณ วอร์เรน ว่าไว้ เราจะเลือกลงทุนบน พื้นฐานของมูลค่า ไม่ใช่ ความนิยม และ กิจการการลงทุนนี้จะพยายามลดการขาดทุนถาวร ( ที่ไม่ใช่การขาดทุนในระยะสั้น) ให้เหลือน้อยที่สุด )
และเมื่อผมตัดสินใจแล้ว ว่าจะเข้าซื้อตัวนี้
ล้างพอร์ตครับ (ช่วงนั้น ผมไม่ได้เล่น พอร์ตตัวเองกับคุณมีเซลเลยครับ)
ตัวหลัก ครับ 4-5 ตัว
แล้วก็พวกร้อยหุ้น ตอนนั้น เหลือ ประมาณ 50 ตัว
ได้เงินต้น 5 แสน บาท บวก กำไร มา ราวๆ 20% ครับ
พอวันรุ่งขึ้น ผมก็เริ่มเข้าซื้อครับ
ซื้อ ได้ 2-3 พันหุ้น ครับ วันแรก แล้วผมก็ยังไม่คิดจะซื้อ ช่วงราคาสูงขึ้นถัดไป จึงรอไปก่อน
พอวันถัด ก็คือ ถ้ารออย่างนี้ไม่ได้เรื่องแน่
เลยเคาะซื้อ ตลอด เพราะคิดว่าหุ้น ถูกมาก เมื่อเทียบกับ PE P/BV (โดยมีความรู้ แต่ยังไม่มากพอ)
ผมเคาะซื้อ แล้วก็ มีคนมาตั้งขาย ทีละ ไม่กี่พันหุ้น วัน บวกสูงสุด ไป ห้า - หก ช่วงราคามั้งครับ
วันต่อมา ผมก็ต้องซื้ออีก ซื้อเหมือนเดิมครับ ราคา บวกมา อีก 4-5 ช่วงราคา
แล้ววันสุดท้าย ก็ซื้อ เหมือนเดิม บวกมา 6- 7 ช่วงราคา
ผมใช้ 4 วันครับ ราคาขึ้นมาเยอะเหมือนกัน เป็นหุ้น สภาพคล่องน้อยมากครับ
หลังจากได้หุ้นครบ ผมก็รอ วันปิดสมุด ชื่อผมจะได้ติด
แต่ไม่มีวันหลังจากนั้นครับ
อยู่ ๆหุ้น ตัวนี้ของผม มัน ขึ้นเรื่อยๆครับ 10% แล้ว ผมก็ ok ได้เป็นเจ้าของได้กำไรอีก
20% แล้วครับ โห๋ ขึ้นเยอะจัง แต่ก็ไม่ขาย คือ อยากมี ชื่อติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งประมาณ เดือน 4-5 เค้าก็จะปิดสมุดกัน
30% ครับ เออ ติดผู้หุ้นใหญ่มั้ย ช่างมันแล้ว ไม่สนแล้ว
ครับ แล้วผมก็โทรหาพี่ ดูดี แล้วก็สั่งขายครับ แปลกจัง มันมีสภาพคล่องพอสมควรเลยนะ ตอนวันที่ผมขายอ่ะ
คราวนี้ ได้เงิน ต้น บวกคราวที่แล้ว 20% บวกคราว นี้อีก 30%
เยอะมากครับสำหรับผม
ที่ตั้งแต่ผมเล่นหุ้นมาทั้งหมด ขาดทุน ตอนนี้ ถ้าหักลบ ผมกำไร เป็นแสนแล้วนะเนี่ย 555(ประมาณ แสนเดียวแหละ แต่พูดว่าเป็นแสน555)
เริ่ม work แล้วครับทางที่ผมเดินมา
ตอนนั้น ก็พลาด ในการ จะติดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ไปคราวนึงแล้ว
ตอนนั้น เลยกลับมาดู รู้มั้ย หุ้นที่ผมซื้อเพื่อเป็นเจ้าของ หลาย ปีก่อนหน้า จนถึงปีนั้นไม่มีปันผลนะครับ
นั่นเลยแปลว่า ถ้าหุ้นตัวนี้ไม่ถูกเล่นขึ้นมา ผมจะต้อง ถือหุ้นตัวนี้โดยไม่มีผลตอบแทนใดๆ เลยนะครับ
แต่แค่เป็นความบังเอิญ ที่ผม มีโอกาส ขายไปด้วยการกำไร
ผมก็เลยรู้สึกโล่งอกไปเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 147
มันทำให้ผมรู้สึกว่า หุ้นตัวต่อไป ผมต้องดูให้ละเอียดกว่านี้อีก
แต่ด้วยคราวที่แล้วผมเล่นหุ้นเพียงตัวเอง และได้ กำไร ถึง 30%
ดังนั้น บอกได้เลยครับ ผมติดใจ
ผมเลยเรียก ส่วนต่างกำไรที่สูง กว่า 20% ว่า แจ็คพอต ในตอนนั้น
เพราะ ก่อนหน้าที่ผมเก็งกำไร ได้สัก 10 % ก็ขายแล้ว ดังนั้น การเห็น 20-30% เลยสูงมากสำหรับตอนนั้น
มันทำให้ ผมตัดสินใจ ว่าคราวหน้า ผมก็ลงทุน ทีละตัวเดียว เหมือนที่เพิ่งจะผ่านมา
แต่ก็มีซื้อพวกร้อยหุ้นไว้บ้าง เพื่อจุดประสงค์ เดิมๆ
( **ถ้าไม่เข้า ใจใน ตลาดหุ้น ในตัวหุ้น และในตัวเอง อย่างดีมากๆ ไม่ควรทำนะครับ การลงทุนหุ้นทั้งหมดตัวเดียว)
(**เพราะ มันเหมือน มีไข่ไก่ ใบเดียว ในตะกร้า ถ้ามันแตก ก็คือหมดครับ)
ผ่านไปไม่ถึงเดือน (ระหว่างนี้แทบไม่ได้ซื้อขายหุ้นเลย บอกแล้วไง ตอนนี้ผมรอซื้อ หุ้นที่จะเป็นแจ็คพอต)
ก็เห็นหุ้นตัวใหม่ครับ ตัวนี้ คงพอพูดชื่อได้ เพราะ ไม่ได้อยู่ในตลาดโดยตรงแล้ว
ตัวนั้น คือ MFG ครับ เพิ่งเปลี่ยน ชื่อมา จาก PIZZA ได้ไม่นาน
เป็นตัวที่ผมเข้าใจ ได้มากที่สุด ในหุ้นที่ผมคิดจะซื้อ
ช่วงนั้น เป็น ช่วง ที่บริษัท นี้มีปัญหา เรื่อง brand
ทาง ไมเนอร์ฟูดกรุ๊ป จึงจะทำ ยี่ห้อ ตัวเอง
แต่ด้วยร้านทุกร้าน ทำเลทุกทำเล ยังคงเป็นของ ไมเนอรฟูดกร๊ป
ซึ่งสาขานั้น ค่อนข้าง กว้าง ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ถ้าเปลี่ยน แค่ยี่ห้อ แต่รสชาตยังดี
ก็อาจจะรักษาลูกค้าไว้ได้โดยส่วนใหญ่
รวมถึงสามารถ ไปสัมผัส ตัวร้าน ได้ด้วยตัวเอง
แล้วสินค้า ที่ขายก็ดูไม่ยากมีตามเมนู
มีลูกค้าเข้าไปกิน แล้วก็มีใบเสร็จ ก็กลายเป็นยอดขาย
ที่เอามาให้ลูกค้ากินก็คือต้นทุน
และก็ค่าเช่าพื้นที่ ค่าแรง การบริหาร ทำนองนี้
แล้วก็ลบกันออกมาเป็นกำไร
เป็นรูปแบบธุรกิจที่เข้าใจไม่ยากนัก
และกำไร ก่อนที่จะมีปัญหาเรื่องยี่ห้อ กำไร ค่อนข้างดี
พอมีปัญหากำไรจึงตก ราคาหุ้นก็เลยตก
ผมเลยคิดว่าเป็นบริษัทที่เยี่ยม (ผลจากการอ่าน ศึกษา มามาก ถึงรู้ครับ)
แต่ผมไม่คิดที่จะเป็นเจ้าของ อย่างตลอดไป(ตอนนี้ ถึงจะรู้ ควรจะถือให้นานกว่านี้ 555) เพราะผมไม่สามารถเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่(0.5%)ได้ เพราะบริษัท มีmarket cap เป็นพันล้านบาท
ผมซื้อครับ แถว 34.5-34.75 บาท แล้วผมก็ถือไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ
ผมก็ถือเรื่อย ก็มีดูบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ซื้อขาย ก็มีศึกษาตัวอื่นไปเรื่อยๆ
จนผ่านไป 2เดือน โห๋ ราคาขึ้นครับ
42 บาท 42-34.75 = 7.25 บาท ผมได้กำไร 20 % แล้วครับ
ผมตัดสินใจขายครับ ก็ได้ ตั้ง 20% แล้วนี่นา
ได้เงินต้น 5 แสน ได้ 20% ได้ 30% แล้วยังได้อีก 20%
โห๋ ตอนนี้ผมกำไรหลายแสนครับ เก่งป่ะ ยังเรียนไม่จบได้ เงิน ตั้งเป็นแสน 555
( แต่ตอน หลัง MFG ถูกยื่น เสนอ ซื้อ ที่ประมาณ 70 บาท และ ออกจากตลาดที่ 110 บาทครับ)
( บอกแล้ว ของดี รู้ก็รู้ว่าดี แต่ไม่ยอมรู้เองว่าควรขายมั้ย หรือขายที่เท่าไหร่ สมน้ำ... 555)
แต่ด้วยคราวที่แล้วผมเล่นหุ้นเพียงตัวเอง และได้ กำไร ถึง 30%
ดังนั้น บอกได้เลยครับ ผมติดใจ
ผมเลยเรียก ส่วนต่างกำไรที่สูง กว่า 20% ว่า แจ็คพอต ในตอนนั้น
เพราะ ก่อนหน้าที่ผมเก็งกำไร ได้สัก 10 % ก็ขายแล้ว ดังนั้น การเห็น 20-30% เลยสูงมากสำหรับตอนนั้น
มันทำให้ ผมตัดสินใจ ว่าคราวหน้า ผมก็ลงทุน ทีละตัวเดียว เหมือนที่เพิ่งจะผ่านมา
แต่ก็มีซื้อพวกร้อยหุ้นไว้บ้าง เพื่อจุดประสงค์ เดิมๆ
( **ถ้าไม่เข้า ใจใน ตลาดหุ้น ในตัวหุ้น และในตัวเอง อย่างดีมากๆ ไม่ควรทำนะครับ การลงทุนหุ้นทั้งหมดตัวเดียว)
(**เพราะ มันเหมือน มีไข่ไก่ ใบเดียว ในตะกร้า ถ้ามันแตก ก็คือหมดครับ)
ผ่านไปไม่ถึงเดือน (ระหว่างนี้แทบไม่ได้ซื้อขายหุ้นเลย บอกแล้วไง ตอนนี้ผมรอซื้อ หุ้นที่จะเป็นแจ็คพอต)
ก็เห็นหุ้นตัวใหม่ครับ ตัวนี้ คงพอพูดชื่อได้ เพราะ ไม่ได้อยู่ในตลาดโดยตรงแล้ว
ตัวนั้น คือ MFG ครับ เพิ่งเปลี่ยน ชื่อมา จาก PIZZA ได้ไม่นาน
เป็นตัวที่ผมเข้าใจ ได้มากที่สุด ในหุ้นที่ผมคิดจะซื้อ
ช่วงนั้น เป็น ช่วง ที่บริษัท นี้มีปัญหา เรื่อง brand
ทาง ไมเนอร์ฟูดกรุ๊ป จึงจะทำ ยี่ห้อ ตัวเอง
แต่ด้วยร้านทุกร้าน ทำเลทุกทำเล ยังคงเป็นของ ไมเนอรฟูดกร๊ป
ซึ่งสาขานั้น ค่อนข้าง กว้าง ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ถ้าเปลี่ยน แค่ยี่ห้อ แต่รสชาตยังดี
ก็อาจจะรักษาลูกค้าไว้ได้โดยส่วนใหญ่
รวมถึงสามารถ ไปสัมผัส ตัวร้าน ได้ด้วยตัวเอง
แล้วสินค้า ที่ขายก็ดูไม่ยากมีตามเมนู
มีลูกค้าเข้าไปกิน แล้วก็มีใบเสร็จ ก็กลายเป็นยอดขาย
ที่เอามาให้ลูกค้ากินก็คือต้นทุน
และก็ค่าเช่าพื้นที่ ค่าแรง การบริหาร ทำนองนี้
แล้วก็ลบกันออกมาเป็นกำไร
เป็นรูปแบบธุรกิจที่เข้าใจไม่ยากนัก
และกำไร ก่อนที่จะมีปัญหาเรื่องยี่ห้อ กำไร ค่อนข้างดี
พอมีปัญหากำไรจึงตก ราคาหุ้นก็เลยตก
ผมเลยคิดว่าเป็นบริษัทที่เยี่ยม (ผลจากการอ่าน ศึกษา มามาก ถึงรู้ครับ)
แต่ผมไม่คิดที่จะเป็นเจ้าของ อย่างตลอดไป(ตอนนี้ ถึงจะรู้ ควรจะถือให้นานกว่านี้ 555) เพราะผมไม่สามารถเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่(0.5%)ได้ เพราะบริษัท มีmarket cap เป็นพันล้านบาท
ผมซื้อครับ แถว 34.5-34.75 บาท แล้วผมก็ถือไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ
ผมก็ถือเรื่อย ก็มีดูบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ซื้อขาย ก็มีศึกษาตัวอื่นไปเรื่อยๆ
จนผ่านไป 2เดือน โห๋ ราคาขึ้นครับ
42 บาท 42-34.75 = 7.25 บาท ผมได้กำไร 20 % แล้วครับ
ผมตัดสินใจขายครับ ก็ได้ ตั้ง 20% แล้วนี่นา
ได้เงินต้น 5 แสน ได้ 20% ได้ 30% แล้วยังได้อีก 20%
โห๋ ตอนนี้ผมกำไรหลายแสนครับ เก่งป่ะ ยังเรียนไม่จบได้ เงิน ตั้งเป็นแสน 555
( แต่ตอน หลัง MFG ถูกยื่น เสนอ ซื้อ ที่ประมาณ 70 บาท และ ออกจากตลาดที่ 110 บาทครับ)
( บอกแล้ว ของดี รู้ก็รู้ว่าดี แต่ไม่ยอมรู้เองว่าควรขายมั้ย หรือขายที่เท่าไหร่ สมน้ำ... 555)
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 148
ความสุข นั้นมี แต่ถ้าไม่เจอทุกข์บ้างมันจะสบายเกินไป 555
ตัวต่อไป คือ เกี่ยวกับดาวเทียม ที่อยู่นอกโลกครับ
ขอบอก ครับ การทำกำไรได้ดีเยี่ยม ในรอบ 8-9 เดือนที่ผ่านมา
ผมศึกษา ดู อืม PE P/BV อยู่ ในระดับ ok PE ตอนนั้น ประมาณ 7.5 มั้งครับ
ธุรกิจ นี้ ในประเทศ ไม่มีคู่แข่ง ไฮเทคสุดๆ รายได้ก็เป็นแบบ ทำสัญญา
มันน่าจะ ok นะ ว่าป่ะ
ผมเข้าซื้อ แถว 22 บาทครับ บอกแล้วไงครับ ผมเล่นทีล่ะตัวด้วยเงินที่ผมมี
ซื้อไปแล้วครับ ประมาณ ครึ่งเดือน ไม่ขึ้น สักที อ่าวๆ ไหลลง ครับ
แย่แล้วมีเยอะมากเลยด้วย ขายก่อนดี กว่า
ผมก็ขายไปแถว 18.70 ครับ ขาดทุนแล้วเห็นมั้ยครับ
พอตอนเย็น ผมก็มานั่ง
ขายเหรอ ขายทำไม ก็ดูว่าหุ้นดีไม่ใช่เหรอ อย่างนี้ไม่มีวินัยแล้วนะ
คุณ วินัย ครับ บอกผม ซื้อกลับมา รักษาวินัยหน่อย 555
วันรุ่งขึ้น อ่ะๆ รักษาวินัยหน่อย ผมไปซื้อกลับมาครับ ที่ 18.9-19 บาท
แล้วก็ถือไป ผ่านไปสักสองเดือน ราคายังทรงตัวอยู่แถวนี้ครับ
555 พอถึงปลายปี 2002 ครับ
ครบรอบ 1 ปี ที่ได้รับ ห้าแสนบาทแรกครับ
(ซึ่ง ช่วงก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมคงเรียนจบเรียบร้อยแล้ว และเมื่อไม่ต้องไปเรียนและอยู่บ้าน ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เพจหุ้นอีก จึงปิดไปครับ แล้วผมก็นั่ง ช่วยงานหน้าร้าน มาเรื่อยครับ)
รายงานผลครับ แม้ ตัวหุ้นที่ถืออยู่จะทำขาดทุนไป แต่ตัวเลขเงินที่ได้มาก็ยังเป็นแสนอยู่ดี
นั่น แปลว่าเกิน 6% ที่เคยบอกไว้อย่างมากมาย ถ้าจำไม่ผิด ก็ราว 50% จาก 5แสนบาทมั้งครับ
ซึ่งก็มีเล่าให้ ท่านพ่อฟังเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมาอยู่แล้ว
เมื่อโชว์ ผลออกมาแบบนี้
ผมก็พรรณนา นี่ไง ได้กำไรมาตั้งเยอะ( พร้อมกับคิด เอ อีก 5แสน บาทล่ะ จะได้ครบ 1ล้านบาทที่ตกลงไว้)
แล้ว อีก 5 แสนล่ะ จะให้เมื่อไหร่
พลเงิน อีก 5 แสน บาท ก็ออกมาเพิ่มสิครับ ผลงานดีเช่นนี้
ผมได้พลเงินเพิ่มมาอีก 5 แสนบาทครับ 555
เอาไงดี
ในเมื่อ ผม คิดว่า หุ้นที่ผมมีนั้นดีนะ PE P/BV ก็ ok ธุรกิจ ก็ดู ไฮเทค เท่ห์ด้วย
555 ซื้อเพิ่มครับ ซื้อเพิ่มไป แถว 18.5 บาทครับ ยิ่งราคายังลงมาอีก เลยไม่เห็นต้องลังเลเลย
ผ่านมาอีกสักพัก ผมก็เอาเงินส่วนที่เหลือ ซื้อ พวกร้อยหุ้น รวม ร้อยกว่าตัวอีกเช่นเดิม แต่คราวนี้ ด้วยเงินเหลือมั้งครับ
หุ้นตัวที่ราคา ใกล้ ๆร้อย หรือ ร้อยกว่า ผมก็ซื้อด้วยครับ
แล้วผมถือไปเรื่อย
แต่คราวนี้ ดาวเทียม สร้างความรู้สึก ให้ผม ได้ทั้งตื่นเต้นสุดๆ และ เย็นชาสุดๆ ครับ
ตัวต่อไป คือ เกี่ยวกับดาวเทียม ที่อยู่นอกโลกครับ
ขอบอก ครับ การทำกำไรได้ดีเยี่ยม ในรอบ 8-9 เดือนที่ผ่านมา
ผมศึกษา ดู อืม PE P/BV อยู่ ในระดับ ok PE ตอนนั้น ประมาณ 7.5 มั้งครับ
ธุรกิจ นี้ ในประเทศ ไม่มีคู่แข่ง ไฮเทคสุดๆ รายได้ก็เป็นแบบ ทำสัญญา
มันน่าจะ ok นะ ว่าป่ะ
ผมเข้าซื้อ แถว 22 บาทครับ บอกแล้วไงครับ ผมเล่นทีล่ะตัวด้วยเงินที่ผมมี
ซื้อไปแล้วครับ ประมาณ ครึ่งเดือน ไม่ขึ้น สักที อ่าวๆ ไหลลง ครับ
แย่แล้วมีเยอะมากเลยด้วย ขายก่อนดี กว่า
ผมก็ขายไปแถว 18.70 ครับ ขาดทุนแล้วเห็นมั้ยครับ
พอตอนเย็น ผมก็มานั่ง
ขายเหรอ ขายทำไม ก็ดูว่าหุ้นดีไม่ใช่เหรอ อย่างนี้ไม่มีวินัยแล้วนะ
คุณ วินัย ครับ บอกผม ซื้อกลับมา รักษาวินัยหน่อย 555
วันรุ่งขึ้น อ่ะๆ รักษาวินัยหน่อย ผมไปซื้อกลับมาครับ ที่ 18.9-19 บาท
แล้วก็ถือไป ผ่านไปสักสองเดือน ราคายังทรงตัวอยู่แถวนี้ครับ
555 พอถึงปลายปี 2002 ครับ
ครบรอบ 1 ปี ที่ได้รับ ห้าแสนบาทแรกครับ
(ซึ่ง ช่วงก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมคงเรียนจบเรียบร้อยแล้ว และเมื่อไม่ต้องไปเรียนและอยู่บ้าน ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เพจหุ้นอีก จึงปิดไปครับ แล้วผมก็นั่ง ช่วยงานหน้าร้าน มาเรื่อยครับ)
รายงานผลครับ แม้ ตัวหุ้นที่ถืออยู่จะทำขาดทุนไป แต่ตัวเลขเงินที่ได้มาก็ยังเป็นแสนอยู่ดี
นั่น แปลว่าเกิน 6% ที่เคยบอกไว้อย่างมากมาย ถ้าจำไม่ผิด ก็ราว 50% จาก 5แสนบาทมั้งครับ
ซึ่งก็มีเล่าให้ ท่านพ่อฟังเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมาอยู่แล้ว
เมื่อโชว์ ผลออกมาแบบนี้
ผมก็พรรณนา นี่ไง ได้กำไรมาตั้งเยอะ( พร้อมกับคิด เอ อีก 5แสน บาทล่ะ จะได้ครบ 1ล้านบาทที่ตกลงไว้)
แล้ว อีก 5 แสนล่ะ จะให้เมื่อไหร่
พลเงิน อีก 5 แสน บาท ก็ออกมาเพิ่มสิครับ ผลงานดีเช่นนี้
ผมได้พลเงินเพิ่มมาอีก 5 แสนบาทครับ 555
เอาไงดี
ในเมื่อ ผม คิดว่า หุ้นที่ผมมีนั้นดีนะ PE P/BV ก็ ok ธุรกิจ ก็ดู ไฮเทค เท่ห์ด้วย
555 ซื้อเพิ่มครับ ซื้อเพิ่มไป แถว 18.5 บาทครับ ยิ่งราคายังลงมาอีก เลยไม่เห็นต้องลังเลเลย
ผ่านมาอีกสักพัก ผมก็เอาเงินส่วนที่เหลือ ซื้อ พวกร้อยหุ้น รวม ร้อยกว่าตัวอีกเช่นเดิม แต่คราวนี้ ด้วยเงินเหลือมั้งครับ
หุ้นตัวที่ราคา ใกล้ ๆร้อย หรือ ร้อยกว่า ผมก็ซื้อด้วยครับ
แล้วผมถือไปเรื่อย
แต่คราวนี้ ดาวเทียม สร้างความรู้สึก ให้ผม ได้ทั้งตื่นเต้นสุดๆ และ เย็นชาสุดๆ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 149
ผมซื้อเสร็จเมื่อปลายปี แล้ว คราวนี้ผมถือ เป็นระยะ 6 เดือน โดยที่ไม่ซื้อหรือขายเลย(เพราะอะไร 555)
ราคาหุ้น ดาวเทียม ที่ผมถือ ตกลงไปเรื่อยๆครับ
(ช่วงนั้น ไม่แน่ใจ ว่ามีการส่งสัญญาณ ขัดข้องของดาวเทียมดวงไหนสักดวงครับ)
ราคามันลงมาถึง 15 บาท ครับ
โห๋ ในใจก็คิดลงเยอะมากอ่ะ ( แล้วก็คิดถึงคำของ คุณ วอร์เรน ว่า ถ้าคุณไม่สามารถทำใจ เห็นหุ้นราคาลงมา 50% ได้ ก็อย่าเล่นหุ้นดีกว่า) นี่ยังไม่ถึงครึ่งนี่นา กำไรบริษัท ก็ยังไม่ได้หาย หรืออะไรมากมายเลย ถือดู
มันยังไหลลง ครับ 13 บาท โอ้โห๋ ทำใจดีกว่า ยังไงก็คงไม่ขาย (ในใจ พอร์ตผมมีเงินแสนกว่าเอามาซื้อเพิ่มดีมั้ยเนี่ย)
แต่ผมไม่เอามาซื้อเพิ่มครับ พยายามรักษาวินัย ไม่อยากลงเพิ่มอยากลงเท่านี้ (จริงๆ ในใจกลัวมันลงต่อ)
มันลงไปแตะ 9.80 ครับ ที่ผมเห็น
ผมได้แต่ โอ้โห๋ แล้วก็ถือต่อไป ผมไม่ขายอยู่แล้ว ขนาดนี้แล้ว( ในใจคิด จะถึง 0 ไปเลยมั้ยเนี่ย 555)
เป็นความ ตื่นเต้น เจ็บปวด จน เย็นชา เลยครับ ขอบอก
ผมทำได้แค่เพียงนิ่ง เพราะยังไงก็ยังคิดว่า ราคานี้ ไม่เหมาะสม กับ ดาวเทียม
ผมก็ถือ ไปเรื่อย จนกลางปี 2003
ผมมีปัญหาอีกแล้วครับ อยู่ๆ ผมก็มีเรื่อง เถียงกับ คุณ พ่อ
จำไม่ได้เรื่องอะไร แล้วถูกอ้างอิง เรื่องหุ้น และด้วยพอร์ตหุ้นก็เป็นชื่อของพ่อ
แล้ว ผมก็ใจน้อย และน้อยใจอีกตามเคย ผมจึงตัดสินใจ ล้างพอร์ต แล้วจะคืนเงินให้เหมือนเดิม
แต่ด้วยว่าช่วงปี 2003 ตอนกลางปี ตลาดหุ้นไทย ถูกดูว่าจะดี มากครับ
ทำให้ดัชนี ค่อยๆ ขยับ ขึ้นมาเรื่อยๆ
นั่นทำให้ วันที่ผมจะขายหุ้น ดาวเทียม อยู่ที่ 14.7 บาท จากที่เคยต่ำสุด 9.8 บาท (ที่ผมเห็น)
เลยลองคำนวณ ถ้าล้างพอร์ตตอนนี้ จะเหลือเงินเท่าไหร่
คิดดู น่าจะได้ 1 ล้านบาท
ตอนแรกเอาเงินมาลงทั้งหมด ชุดนี้ 1 ล้านบาท ตอนนี้ ถ้าขายหมด ก็ 1ล้านบาท
อืม ดีเนอะ เคยกำไรมาตั้งเยอะ กลับมาเท่าทุน
สะเทือนใจจัง
ครับ ก็นั่ง ขายไปเรื่อย เป็นร้อยตัวนี่ครับ พวกร้อยหุ้นอ่ะ( พวกร้อยหุ้น นี่ส่วนใหญ่กำไรนะครับ)
ขายเสร็จก็เศร้าใจ
ก็นั่งคิด จะเอายังไงต่อไป
ราคาหุ้น ดาวเทียม ที่ผมถือ ตกลงไปเรื่อยๆครับ
(ช่วงนั้น ไม่แน่ใจ ว่ามีการส่งสัญญาณ ขัดข้องของดาวเทียมดวงไหนสักดวงครับ)
ราคามันลงมาถึง 15 บาท ครับ
โห๋ ในใจก็คิดลงเยอะมากอ่ะ ( แล้วก็คิดถึงคำของ คุณ วอร์เรน ว่า ถ้าคุณไม่สามารถทำใจ เห็นหุ้นราคาลงมา 50% ได้ ก็อย่าเล่นหุ้นดีกว่า) นี่ยังไม่ถึงครึ่งนี่นา กำไรบริษัท ก็ยังไม่ได้หาย หรืออะไรมากมายเลย ถือดู
มันยังไหลลง ครับ 13 บาท โอ้โห๋ ทำใจดีกว่า ยังไงก็คงไม่ขาย (ในใจ พอร์ตผมมีเงินแสนกว่าเอามาซื้อเพิ่มดีมั้ยเนี่ย)
แต่ผมไม่เอามาซื้อเพิ่มครับ พยายามรักษาวินัย ไม่อยากลงเพิ่มอยากลงเท่านี้ (จริงๆ ในใจกลัวมันลงต่อ)
มันลงไปแตะ 9.80 ครับ ที่ผมเห็น
ผมได้แต่ โอ้โห๋ แล้วก็ถือต่อไป ผมไม่ขายอยู่แล้ว ขนาดนี้แล้ว( ในใจคิด จะถึง 0 ไปเลยมั้ยเนี่ย 555)
เป็นความ ตื่นเต้น เจ็บปวด จน เย็นชา เลยครับ ขอบอก
ผมทำได้แค่เพียงนิ่ง เพราะยังไงก็ยังคิดว่า ราคานี้ ไม่เหมาะสม กับ ดาวเทียม
ผมก็ถือ ไปเรื่อย จนกลางปี 2003
ผมมีปัญหาอีกแล้วครับ อยู่ๆ ผมก็มีเรื่อง เถียงกับ คุณ พ่อ
จำไม่ได้เรื่องอะไร แล้วถูกอ้างอิง เรื่องหุ้น และด้วยพอร์ตหุ้นก็เป็นชื่อของพ่อ
แล้ว ผมก็ใจน้อย และน้อยใจอีกตามเคย ผมจึงตัดสินใจ ล้างพอร์ต แล้วจะคืนเงินให้เหมือนเดิม
แต่ด้วยว่าช่วงปี 2003 ตอนกลางปี ตลาดหุ้นไทย ถูกดูว่าจะดี มากครับ
ทำให้ดัชนี ค่อยๆ ขยับ ขึ้นมาเรื่อยๆ
นั่นทำให้ วันที่ผมจะขายหุ้น ดาวเทียม อยู่ที่ 14.7 บาท จากที่เคยต่ำสุด 9.8 บาท (ที่ผมเห็น)
เลยลองคำนวณ ถ้าล้างพอร์ตตอนนี้ จะเหลือเงินเท่าไหร่
คิดดู น่าจะได้ 1 ล้านบาท
ตอนแรกเอาเงินมาลงทั้งหมด ชุดนี้ 1 ล้านบาท ตอนนี้ ถ้าขายหมด ก็ 1ล้านบาท
อืม ดีเนอะ เคยกำไรมาตั้งเยอะ กลับมาเท่าทุน
สะเทือนใจจัง
ครับ ก็นั่ง ขายไปเรื่อย เป็นร้อยตัวนี่ครับ พวกร้อยหุ้นอ่ะ( พวกร้อยหุ้น นี่ส่วนใหญ่กำไรนะครับ)
ขายเสร็จก็เศร้าใจ
ก็นั่งคิด จะเอายังไงต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
โพสต์ที่ 150
ผมก็นั่งคิด ผมเคยเจอ เหตุการณ์ อย่างนี้ แล้วนี่นา ผมเคยเอาเงินออม คืนให้พ่อนี่นา
แล้วตอนนี้ผมขายหุ้น แล้วก็เจตนาทำแบบเดิม
ผมกำลัง ทำแบบเดิม ที่ไม่เกิด ประโยชน์ อะไร เท่าไหร่เลย
ผมว่าผมหลงทางแล้วล่ะ
เย็นวันนั้น ก็เลยกลับมาคุยกับพ่อ
จะเอายังไงดีมันกลับมารูปเดิมอีกแล้วนะ
ต้องขายหุ้นทั้งที่ตลาดกำลังจะขึ้น ดาวเทียม ที่ขึ้นจาก 9.8 บาท มา 14.7 บาท แล้วดูเหมือนจะขึ้นต่อ
แต่ต้องขาย
พ่อผมก็รู้ครับ ว่าปัญหาเดิมๆ แล้วไม่อยากให้เกิด
ต่างเข้าใจกันครับ
ผมก็เลยเสนอ ถ้าเอามาลงทุนต่อ ต้องใช้ในชื่อ พอร์ตของผม ซึ่ง จะทำให้ สิทธิ์ เด็ดขาด อยู่ที่ผม
จริงมั้ยครับถึงจะเป็นเงินพ่อก็เถอะ
พ่อผม ก็ดูเหมือนยินดี เหมือนว่าให้ผมได้อยู่แล้ว ประมาณนั้น
555 เงินกลายมาเป็น ชื่อ ผม ( แต่ผมยังคงคิดว่าเงินนี้เป็นของพ่อนะครับ ได้แค่เพียง สิทธิ์ ในการดูแล ที่เด็ดขาดขึ้น)555
แล้วตอนนี้ผมขายหุ้น แล้วก็เจตนาทำแบบเดิม
ผมกำลัง ทำแบบเดิม ที่ไม่เกิด ประโยชน์ อะไร เท่าไหร่เลย
ผมว่าผมหลงทางแล้วล่ะ
เย็นวันนั้น ก็เลยกลับมาคุยกับพ่อ
จะเอายังไงดีมันกลับมารูปเดิมอีกแล้วนะ
ต้องขายหุ้นทั้งที่ตลาดกำลังจะขึ้น ดาวเทียม ที่ขึ้นจาก 9.8 บาท มา 14.7 บาท แล้วดูเหมือนจะขึ้นต่อ
แต่ต้องขาย
พ่อผมก็รู้ครับ ว่าปัญหาเดิมๆ แล้วไม่อยากให้เกิด
ต่างเข้าใจกันครับ
ผมก็เลยเสนอ ถ้าเอามาลงทุนต่อ ต้องใช้ในชื่อ พอร์ตของผม ซึ่ง จะทำให้ สิทธิ์ เด็ดขาด อยู่ที่ผม
จริงมั้ยครับถึงจะเป็นเงินพ่อก็เถอะ
พ่อผม ก็ดูเหมือนยินดี เหมือนว่าให้ผมได้อยู่แล้ว ประมาณนั้น
555 เงินกลายมาเป็น ชื่อ ผม ( แต่ผมยังคงคิดว่าเงินนี้เป็นของพ่อนะครับ ได้แค่เพียง สิทธิ์ ในการดูแล ที่เด็ดขาดขึ้น)555