หน้า 5 จากทั้งหมด 11
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 13, 2008 11:29 pm
โดย InSaNiTeRz
ขอบคุณครับ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 13, 2008 11:43 pm
โดย yoyo
นับถือพี่ริวสุดๆ... ยอดมนุษย์จริงๆครับ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 14, 2008 12:11 am
โดย Ryuga
ลองอภิปรายดูนะครับ ผมว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เก็บเกี่ยวขาขึ้นของหุ้นที่ผลประกอบการดีขึ้น (ค่า ROA สูงขึ้น) แต่ตลาดยังไม่ค่อยตอบสนอง (P/E ยังต่ำอยู่) วิธีการนี้ไม่เลือกทั้งสิ้นว่ามันจะเป็นหุ้นวัฏจักร หุ้น Growth หุ้นฟื้นตัวฯ มันจึงเป็นการเก็บเกี่ยวในช่วงท้ายที่ผลการดำเนินงานมันออกมาให้เห็นกันแล้ว
ที่เขากำหนดกรอบไว้ที่ 1 ปีก็ต้องขาย ก็เพราะปัจจัยที่เขาไปเลือกเก็บเอาตอนท้ายนั่นเอง พวกวัฏจักรก็เริ่มรอบใหม่ของเขาแล้ว พวกฟื้นตัวก็ฟื้นแล้ว ภายใต้กรอบ 1 ปี มันไม่ได้หมายความว่าวัฏจักรจะกลับไปขาลงหรือพวกฟื้นตัวจะเข้าภาวะจำศีล แม้แต่หุ้นที่ไม่ใช่วัฏจักรแต่กำไรดีขึ้นด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่มันก็อาจจะดีต่อไปหรือไม่ก็อาจจะตกลงก็ได้ ไม่ได้ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ
เห็นได้ว่า PSL, TTA ก็ติดโผมาต่อเนื่อง และภาพรวมก็ทำกำไรได้ดี ถ้าต่อไปในอนาคตผลการดำเนินงานเค้าแย่ลง (ROA ต่ำลง, P/E สูงขึ้น) ในที่สุดก็จะหลุด list ไปเอง
อย่าง UMS ก็ติดโผมาแต่แรกๆ เหมือนกัน แต่เมื่อราคาเค้าเริ่มจะสูงขึ้นเพราะมีนักลงทุนสนใจมากขึ้น ลำดับในตารางเค้าก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งก็คงจะหลุด list ไป ดูอย่าง UEC ก็จะเห็นว่า เพราะ P/E ขึ้นไปเยอะ ใน season หลังๆ จึงเริ่มหลุดจาก 30 อันดับแรก
TLUXE นั้นอาจเป็นตัวอย่างที่ดี ใน season ที่ 1 เค้ากำไร 40% มาถึง season 2 กำไรก็ลดลง พอมา season 3 จากกำไรกลายเป็นขาดทุน มา season สุดท้ายก็ขาดทุนหนักขึ้นไปอีก เห็นผลกันแจ่มๆ ทีเดียวว่าการเอาตัวเลขในอดีตมาใช้มันไม่ได้รับประกันอะไรที่ดีในอนาคต
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หุ้นที่มี ROA สูงนั้น หากไม่ใช่รายการพิเศษย่อมหมายความว่าเค้าเป็นกิจการที่มีพื้นฐานดี เวลาขาดทุน เราทราบว่ามากสุดก็แค่ 100% ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อกิจการนั้นล้มละลาย แต่สำหรับกิจการพื้นฐานดี อย่างมากก็อาจร่วงเพียง 30-50% ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นทั้งหมดภายใน 1 ปี การกำหนดกรอบการขายที่ 1 ปี จึงเป็นวินัยที่ชาญฉลาดทีเดียว เพราะเป็นการจำกัดความเสี่ยงของผลตอบแทนเอาไว้ นั่นคือ
1. หากกิจการนั้นมีตัวเลขในอดีตที่ดีแต่ผลประกอบการในอนาคตแย่ลง การกำหนดกรอบขายที่ 1 ปี จะจำกัดขาดทุนเอาไว้
2. หากกิจการนั้นมีตัวเลขในอดีตที่ดีและผลประกอบการในอนาคตก็ยังดีต่อ เขาก็ตัดขายไปเสีย เป็นการมอบความเสี่ยงให้ผู้ซื้อต่อรับไว้แทน (ผู้ซื้อไม้สุดท้ายอาจจะเจ็บหนัก) หากมันจะขึ้นต่อก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่เก็บเกี่ยวในช่วงท้ายๆ หุ้นเก่าหลุดไป หุ้นใหม่ก็มีเข้ามาแทนอยู่เรื่อยๆ ไม่เดือดร้อน คนซื้อต่อได้กำไรก็เป็นเรื่องดีเพราะถือเป็นการกระจายความสุขให้ทั่วถึงกัน :lol:
หุ้นลงจำกัดที่ 100% แต่หุ้นขึ้นนั้นไม่จำกัด สมมุติว่ามีหุ้นติดโผ 10 บริษัท ร่วงกันไปรายละ 30% แต่ปรากฏว่าในพอร์ตมี UEC ซึ่งบวกไป 300 กว่า% อยู่ด้วย ทั้งพอร์ตก็ยังกำไรอยู่
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หากเราอยากได้กำไรมากๆ แทนที่จะใช้กลยุทธ์กินทีหลังแบบนี้ก็ต้องขยันทำการบ้านมากขึ้น อย่างกรณี ATC ซึ่งสร้างตำนาน 30 เด้ง เราได้บทเรียนอันชัดเจนว่ากำไรสูงสุดของพวกวัฏจักรเช่นนี้ต้องซื้อตอนที่ P/E เขายังติดลบอยู่ ในตารางข้างบน ATC ให้กำไร 63% เท่านั้นใน 1 ปี เทียบกับ 3,000% ใน 3 ปีไม่ได้เลย หรือแม้แต่กรณีอันใกล้นี้ PTL กลับน่าซื้อที่สุด ตอนที่ P/E 8 เท่า ROA แค่ 6% (ติดอันดับ 227 ของตาราง season 4)
วิธีนี้นับเป็นวิธีที่ไม่พ่ายแพ้ (ถ้ากระจายความเสี่ยงมากพอ) และก็ยังสามารถทุ่นแรงในการหาหุ้นได้ในระดับหนึ่งนะครับ แต่ถ้าจะให้ถึงขนาดเป็นเทพกับเขาบ้างก็อาจจะไม่พอ 8)
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 14, 2008 12:13 am
โดย Ryuga
[quote="Radio"]สรุปจากขอ้มูลสุดยอดของคุณ ริว แสดงว่า การใช้ ROA และ PE
น่าจะได้ผล และที่ดีที่สุดคือคัดเลือกมา 20 ตัวแรก
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 14, 2008 12:17 am
โดย Ryuga
สามัญชน เขียน:น้องริวสุดยอดจริงๆ
ทีนี้ขอวานต่ออีกหน่อยเถอะครับ
เพราะผมตั้งสมมติฐานว่า
ถ้าเรายอมลงทุนเหนื่อยมากขึ้น
ผลตอบแทนเราจะมากขึ้น
เช่นเดียวกับเจ้าของทฤษฎีเองเขาก็ต้องใช้หลักเกณฑ์
ตัดพวกกำไรพิเศษออกไป
ทำให้ผลตอบแทนดีกว่า
ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกันครับ 8)
สามัญชน เขียน:ผมขอวานให้น้องริว
ใส่ FACTOR อีกหนึ่งตัว
คือค่า p/b เข้าไป
แล้วเรียงลำดับโดยนำ ranking ของทั้งสามค่ามารวมกัน
เราจะได้ตัวหุ้นแตกต่างจากเดิม
แล้วดูว่า
ผลงานของหุ้นเหล่านี้เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับของเดิม
ขอบคุณครับ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 14, 2008 8:49 am
โดย Saran
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 14, 2008 9:51 am
โดย thawattt
ขอบคุณสำหรับความเห็นทุก ๆ ท่านที่ดีครับ เพราะทำให้เรามีความรู้ในเรื่องการลงทุนเพิ่มเติม โดยมีข้อมูลและความเห็นที่ประกอบการลงทุนอย่างชัดเจน
ในทางปฏิบัติ แม้ผลตอบแทนจะเป็นไปตามแบบที่คุณ Ryuga คำนวณมาให้และดูเหมือนว่าผลตอบแทนเมื่อเทียบกับตลาดจะดีกว่าจริง แต่ผมมีข้อสังเกตดังนี้
1. ในการประเมินผลตอบแทนเทียบกับตลาดนั้น ข้อมูลผลการดำเนินงานแต่ละไตรมาสที่ได้มานั้นจะมี Lag Time อยู่ประมาณ 1 เดือนครึ่ง ถึง 2 เดือน ( 1 เดือนครึ่ง กรณีเป็นงบไตรมาสปกติ และ 2 เดือน กรณีไตรมาสสุดท้าย) ดังนั้นการปรับปรุงค่า ROA PE หรือ ROE ก็ตาม ก็ต้องใช้เวลาในการคำนวณตามระยะเวลาดังกล่าว ผมไม่แน่ใจว่า เมื่อได้คำนวณตามเวลาที่ควรจะเป็นหลังจากที่นักลงทุนทุกคนได้ข้อมูลกันครบถ้วนแล้ว ผลตอบแทนหลังจากนั้นจะดีกว่าตลาดจริงหรือไม่ครับ
2. ปัญหาการปรับปรุงข้อมูลกำไรหรือขาดทุนที่ผิดปกติ ซึ่งต้องใช้ดุลยพินิจส่วนหนึ่งในการพิจารณา อาจทำให้ตัวเลขที่คำนวณได้ของแต่ละคนไม่ตรงกัน
3. เท่าที่ดูตัวเลขผลตอบแทนที่คุณ Ryuga คำนวณมาให้ จะพบว่า ตัวเลขผลตอบแทนนั้นค่อนข้างผันผวนสุด ๆ เหมือนกัน ดังนั้นการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนตามข้อมูล จึงต้องมีการกระจายความเสี่ยงในกลุ่มดังกล่าว และต้องมีสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมในหุ้นแต่ละตัวด้วยครับ
เอาข้อสังเกตเบื้องต้นก่อนนะครับ :lol:
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 14, 2008 10:44 am
โดย sattaya
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 14, 2008 10:46 am
โดย pongo
นับถือพี่ๆ ทุกท่านในความขยันเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจริงๆ
โดยเฉพาะพี่ริวงะ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 15, 2008 12:46 am
โดย Ryuga
ขอชี้แจงให้ละเอียดมากขึ้น กันการเข้าใจคลาดเคลื่อนกันนะครับ คือว่า
ข้อมูลที่ผมใช้ครั้งนี้ ใช้ ณ ที่ปรากฏขณะสิ้นไตรมาสนั้นๆ อ้างอิงตามที่นักลงทุนทราบ เช่น
ใน season 4 ราคาหลักทรัพย์เริ่มต้นก็คือราคาปิดหุ้นที่สิ้นปี 49 คิดอัตราผลตอบแทนเทียบกับราคาปิดของปี 50 แต่ ณ ขณะนั้น งบจะออกให้เห็นเพียง 3Q แรกของปี ค่า ROA จึงถูกคิดจาก EBIT ของ Q4/48+Q1/49+Q2/49+Q3/49 ทั้งหมดหารด้วยสินทรัพย์เฉลี่ยตั้งแต่งวดต้นถึงท้าย และแน่นอนว่าค่า P/E ย่อมคิดจากกำไรสี่ไตรมาสล่าสุดที่รับรู้ก็คือ กำไรของ Q4/48+Q1/49+Q2/49+Q3/49
การใช้ราคาสิ้นไตรมาสพอดีก็เพราะว่ามันเป็นราคาที่อยู่ระหว่างการประกาศงบการเงินแต่ละงวดพอดีนั่นเอง ถ้าหากราคาหุ้นจะขึ้นจะลงอะไรไปตามงบที่ประกาศก็คงจะขึ้นจะลงกันไปแล้ว ถือเป็นราคาที่รับข่าวแล้วอะครับ 8)
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 15, 2008 12:51 am
โดย Ryuga
ที่จริงเรื่อง P/B นี่ ผมก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงนะครับว่าจะเป็นฉันใด(ไม่ได้สนใจดู) แต่ความเห็นอย่างเดาๆ ของผมคือ 8)
หากเรานำ P/B มาคิดด้วย มันจะหักกลบลบล้างกับค่า ROA สูงไป เนื่องจาก ROA สูงบ่งบอกว่ากิจการสร้างผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ได้ดี แต่ถ้า P/B ต่ำ กลับบ่งบอกทางอ้อมว่ากิจการนั้นสร้างอัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนต่ำ นักลงทุนมีปกติไม่ชื่นชอบ หุ้นต่ำบุ๊คบ้านเราขณะนี้มีมากกว่า 200 บริษัท ถ้าเอามาคิดด้วย หุ้นเน่าๆ อย่าง TT&T หรือโรงงานปั่นด้าย-ทอผ้า อาจจะเข้ามาติดโผบ้างก็ได้
ผลสุดท้ายเราอาจจะได้กลุ่มหุ้นกลางๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ หรือไม่ก็อาจกลายเป็นการวัดด้วย P/E อย่างโดดเด่นมากขึ้น เพราะ P/B ต่ำ ROA สูง ฉะกันเองไปแล้ว เท่าที่ดูจาก List ผมว่า ถ้ารวม P/B ต่ำ ทั้ง UMS, UEC, TEAM, PSL, TTA etc. อาจหลุดหมดก็ได้ แม้แต่ PTT ก็อาจไม่ติดโผเหมือนกัน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เอ...
ผมอาจจะเข้าใจพี่หมอศรรามผิด หมายความว่า เอาเฉพาะที่ติดโผ 50 อันดับตามวิธีการแรกแล้ว บวกค่า P/B เฉพาะกลุ่มนี้แล้วเรียงรึเปล่าครับ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 15, 2008 4:07 pm
โดย krisy
[quote="Ryuga"]ลองอภิปรายดูนะครับ ผมว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เก็บเกี่ยวขาขึ้นของหุ้นที่ผลประกอบการดีขึ้น (ค่า ROA สูงขึ้น) แต่ตลาดยังไม่ค่อยตอบสนอง (P/E ยังต่ำอยู่)
ที่เขากำหนดกรอบไว้ที่ 1 ปีก็ต้องขาย ก็เพราะปัจจัยที่เขาไปเลือกเก็บเอาตอนท้ายนั่นเอง พวกวัฏจักรก็เริ่มรอบใหม่ของเขาแล้ว พวกฟื้นตัวก็ฟื้นแล้ว ภายใต้กรอบ 1 ปี มันไม่ได้หมายความว่าวัฏจักรจะกลับไปขาลงหรือพวกฟื้นตัวจะเข้าภาวะจำศีล แม้แต่หุ้นที่ไม่ใช่วัฏจักรแต่กำไรดีขึ้นด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่มันก็อาจจะดีต่อไปหรือไม่ก็อาจจะตกลงก็ได้ ไม่ได้ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ
วิธีนี้นับเป็นวิธีที่ไม่พ่ายแพ้ (ถ้ากระจายความเสี่ยงมากพอ) และก็ยังสามารถทุ่นแรงในการหาหุ้นได้ในระดับหนึ่งนะครับ แต่ถ้าจะให้ถึงขนาดเป็นเทพกับเขาบ้างก็อาจจะไม่พอ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 15, 2008 8:04 pm
โดย touchup
สุดยอดครับ
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
ช่วยทำของ q3 2550 (แล้วรออีกที q4 2550)
พวกเราจะได้รายชื่อหุ้นมาแทง เอ๊ย มาลงทุนกันน่าจะดี :lol:
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 15, 2008 8:25 pm
โดย สามัญชน
กระทู้ดีๆขอเซฟเข้าคลังครับ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 15, 2008 9:59 pm
โดย por_jai
พี่ริวงะ เขียน:วิธีนี้นับเป็นวิธีที่ไม่พ่ายแพ้ (ถ้ากระจายความเสี่ยงมากพอ) และก็ยังสามารถทุ่นแรงในการหาหุ้นได้ในระดับหนึ่งนะครับ แต่ถ้าจะให้ถึงขนาดเป็นเทพกับเขาบ้างก็อาจจะไม่พอ
ชอบศัพท์พี่ริวจัง
วิธีที่ไม่พ่ายแพ้
ส่วนเรื่องเทพนี่สมัยก่อนมีเทพ เทียนชัย
สมัยนี้ที่ยังอยู่ก็เทพ โพธิงาม
เที่ยวคาเฟ่ เจอทั้งคู่เลยครับ ตลกโคตรๆ
ผมไม่อยากเป็นเทพ
เป็นแค่สีหนุ่ม เชิญยิ้ม ก็ตลกพอใช้ได้แล้ว...
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 15, 2008 10:12 pm
โดย mprandy
por_jai เขียน:
ชอบศัพท์พี่ริวจัง
วิธีที่ไม่พ่ายแพ้
:lovl: ทำให้นึกถึง ตงฟางปุ๊ป้าย --> บูรพาไม่แพ้ ... เหาะเหินมาเลย :lovl:
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 15, 2008 10:48 pm
โดย Nior
ขอบคุณครับ ดีมากๆ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 16, 2008 12:09 am
โดย nanakorn
คุณริวแผลงฤทธิ์อีกแล้ว ขอบคุณจริงๆครับ ได้ความรู้มากเลย
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 17, 2008 9:53 am
โดย ครรชิต ไพศาล
ผมมีเพิ่มสูตรตัวใหม่ให้เพื่อนๆช่วยกันพิจารณา อยู่ใน EPS15YEAR ชีต Price&PE
คือค่าของ P/E + A/R
เพื่อใช้ พิจารณา ความถูกแพง + คุณภาพ ของหุ้นแต่ละตัว
หรือจะเรียกให้สั้นๆว่าค่า PEAR
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 17, 2008 10:54 am
โดย Jimmy
ขอบคุณครับพี่ครรชิต
========================================
ชีวิตมีแค่สองหมื่นกว่าวันจะมัวรอมันไปถึงไหนก้าวเดินออกไปแล้วทำมัน
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 17, 2008 11:04 am
โดย MrRobot
ขอบคุณ พี่ครรชิต มากครับ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 17, 2008 10:19 pm
โดย crazyrisk
สุดยอดครับ กระทู้นี้ เต็มไปด้วย พลังจริงๆ
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ จบไป ขว้างไปหัวเตียงแบบงงๆ
ไม่คิดว่าจะ สุดยอดขนาดนี้
ขอบคุณ สามทหารเสือ
พี่ ลูกอิสาน คุณ ryuga และ พี่ครรชิตครับ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 17, 2008 10:19 pm
โดย crazyrisk
เหลือ อีกคนเดียวคับ
ที่ยังไม่ปรากฏตัว แต่ผมแอบรออยู่อย่างโจ่งแจ้ง
พี่ ชาติชายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อยู่หนายครับ....
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 18, 2008 8:02 am
โดย mprandy
ขอบคุณเฮียครรชิตคับ
ผมขอไฟล์นี้คนแรกเลยนะ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 18, 2008 10:40 am
โดย chatchai
ROA เราควรใช้ตัวเลขจาก งบเดี่ยว หรือ งบรวม ดีครับ
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 18, 2008 11:09 am
โดย ครรชิต ไพศาล
ควรใช้ งบรวม
เพราะอย่างไรก็ตาม
การดำเนินงานของบริษัทลูกจะดีหรือไม่ดี ก็ต้องมีผลต่อบริษัทแม่เช่นกัน
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 18, 2008 11:12 am
โดย chatchai
ถ้าใช้งบรวมจะมีกรณีนี้หรือไม่ครับ
บริษัท A ดำเนินธุรกิจเป็น Holding Company
มีส่วนผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน
ถือหุ้นลงทุนอยู่ 4 บริษัท คือ ก ข ค และ ง จำนวนเงินบริษัทละ 25 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25% ของแต่ละบริษัท
บริษัท ก ข ค และ ง มีการกู้ยืมเงิน และมีหนี้สินอื่น รวมเป็นหนี้สินทั้งหมด 200 ล้านบาท (ส่วนผู้ถือหุ้นแต่ละบริษัท 100 ล้านบาท)
บริษัททั้ง 4 มีผลการดำเนินงานกำไรบริษัทละ 30 ล้านบาท (ROA 10%)
บริษัท A จะรับรู้ผลกำไรจากทั้ง 4 บริษัทในงบรวมจำนวนทั้งหมด 30 ล้านบาท ROA ของ บริษัท A จะสูงถึง 30%
ปัจจัยอะไรทำให้ A มี ROA สูงถึงขนาดนั้น
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 18, 2008 12:30 pm
โดย doodeemak
ดูเหมือนว่าถ้าเป็น Holding company ROA ตามตัวอย่างของคุณฉัตรชัยจะเท่ากับ ROE ของ 3 บริษัทเลยนะครับ
เป็นเพราะว่า Holding company นั้นไม่มี Liability ดังนั้น ROA จะเท่ากับ ROE
ซึ่งถ้ามองในมุมมองของผลตอบแทนจากการลงทุนหรือ ROE ก็จะไม่มีความแตกต่างกันนะครับ ระหว่างการลงทุนในบริษัทลูกหรือการลงทุนใน Holding
แต่ถ้านำ ROA มาจัดอันดับ ก็อาจจะดูแปลกๆไปซะหน่อย ถ้าอันดับ ROA ของ Holding จะดูดีกว่าบริษัทลูก แต่ได้ Return เหมือนกัน
ทำไมผมรู้สึก งงๆ ไม่รู้แฮะ :? :?
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 18, 2008 1:05 pm
โดย ครรชิต ไพศาล
[quote="chatchai"]บริษัท A
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 18, 2008 1:18 pm
โดย chatchai
ขอเพิ่มให้ชัดเจนนะครับ
หนี้สินทั้งหมด 200 ล้านบาทนั้น เป็นหนี้ของบริษัทลูกแต่ละบริษัทนะครับ
งบการเงินของบริษัทลูกแต่ละบริษัท จะมีทุน 100 ล้านบาท หนี้สินทั้งหมด 200 ล้านบาท รวมสินทรัพย์ทั้งหมด 300 ล้านบาท มีกำไรจำนวน 30 ล้านบาท (ROA 10%)