หน้า 5 จากทั้งหมด 8

news13/11/07

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 13, 2007 2:50 pm
โดย chartchai madman
ธนาคารดอยช์แบงก์ ชี้ วิกฤติ Subprime สร้างความเสียหายทั่วโลกเกือบ 14 ล้านล้านบาท

Posted on Tuesday, November 13, 2007
ธนาคารดอยช์แบงก์ ชี้ Subprime อาจเสียหายสูงถึง 13.6 ล้านล้านบาททั่วโลก
นายไมค์ เมโย นักวิเคราะห์จากธนาคารดอยช์แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชั้นนำจากเยอรมนี เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกจะขาดทุนจากวิกฤติสินเชื่อ และตราสารหนี้ Subprime สูงมากถึง 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 13.6 ล้านล้านบาท เนื่องจากทุกๆ 4 รายการของสินเชื่อดังกล่าวของธนาคาร จะมี 1 รายการที่ต้องการลายเป็นหนี้สูญ ทั้งนี้ จากมูลค่าดังกล่าว จะพบว่า ความเสียหายเฉพาะในส่วนสินเชื่อ Subprime จะอยู่ระหว่าง 1.5 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.1 - 8.5 ล้านล้านบาท

ธนาคารดอยช์แบงก์ เผย สิ้นปีนี้ กลุ่มแบงก์ขาดทุนทะลุกว่า 2 ล้านล้านบาท
หากพิจารณาในส่วนที่เหลือ จะเป็นมูลค่าความเสียหายที่อยู่ในส่วนของตราสารหนี้ หรือตราสารอนุพันธ์ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือเรียกกันว่าซีดีโอ มากถึง 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.1 ล้านล้านบาท นักวิเคราะห์จากธนาคารดอยช์แบงก์ กล่าวเสริมว่า ธนาคารขนาดใหญ่ และบริษัทหลักทรัพย์อาจขาดทุนระหว่าง 1 1.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.4 - 5.1 ล้านล้านบาท เฉพาะสิ้นปีนี้ มูลค่าขาดทุนในกลุ่มดังกล่าวอาจอยู่ระหว่าง 6 - 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2 - 2.4 ล้านล้านบาท

อีเทรด อาจล้มละลายจากวิกฤติสินเชื่อ Subprime
อีเทรด ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น บริษัทที่ให้บริการทางการเงินในระบบออนไลน์ชื่อดังของสหรัฐ อาจต้องถึงขั้นล้มละลาย จากสาเหตุวิกฤตสินเชื่อ Subprime ที่ลุกลามไปถึงลูกค้าของอีเทรด ไฟแนนเชียลส่งผลให้บริษัทดังกล่าวต้องตัดหนี้สูญที่มีมูลค่าสูงมากถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.4 หมื่นล้านบาท มีผลให้นักลงทุนกระหน่ำเทขายหุ้นของอีเทรด ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น อย่างหนาตา กดราคาหุ้นลงมากถึง 59% ทำสถิติราคาต่ำสุดในรอบ 5 ปี ล่าสุด กลต. สหรัฐ อาจเข้าไปตรวจสอบกระบวนการปล่อยสินเชื่อ

นักวิชาการสหรัฐ ชี้ อสังหาริมทรัพย์สหรัฐ ทรุดต่อเนื่องถึง 10 ปี
นายโรเบิร์ต ชิลเลอร์ อาจารย์สาขาเศรษฐศาสตร์ชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยเยลล์ในสหรัฐ และยังเป็นผู้จัดทำค่าดัชนีราคาบ้านที่มีชื่อว่า เอสแอนด์พี เคส ชิลเลอร์ กล่าวว่า ภาวะตกต่ำอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ จะยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดอย่างที่หลายคนตั้งความหวัง ในทางกลับกัน ภาวะดังกล่าวอาจเลวร้ายต่อเนื่องในอีก 5 - 10 ปีข้างหน้าจากนี้ไป นอกจากนี้ ราคาบ้านในสหรัฐที่ตกต่ำในขณะนี้ อาจสร้างความเสียหายมากขึ้นกว่าเดิมอีก 2 เท่า และในปีหน้า ราคาบ้านในสหรัฐจะตกต่ำมากกว่าในปีนี้ โดยมีโอกาสสูงที่ราคาบ้านจะทรุดลงถึง 10%

คันทรี่ไวด์ ไฟเนนเชียล ชี้ ลดอันดับเรตติ้ง กระทบเงินทุน
บริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น สถาบันการเงินด้านบริการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ กล่าวว่า ความสามารถ และโอกาสในการระดมเงินทุน รวมถึงการเพิ่มปริมาณเงินฝากของธนาคารในเครือ และตามสาขาต่างๆทั่วสหรัฐ ที่ตั้งไว้ 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.87 แสนล้านบาท อาจได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน หากบรรดาบริษัทจัดอันดับ หรือเรตติ้งชั้นนำต่างๆ ตัดสินใจลดอันดับความน่าเชื่อของบริษัทลงไปอยู่ระดับต่ำกว่า การลงทุน

ไอเอ็มเอฟในยุโรป ย้ำ เงินเหรียญสหรัฐมีค่าสูงเกินจริง
นายมิเชล เดรพเพอร์ หัวหน้ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟประจำภาคพื้นยุโรปเปิดเผยว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐยังคงมีมูลค่าสูงกว่าความเป็นจริง ในขณะเดียวกัน ค่าเงินเหรียญยูโร ยังไม่มีมูลค่าในระดับที่สมดุลเมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐ โดยแข็งค่าทำสถิติสูงสุดที่ระดับ 1.47 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ยูโร ส่งผลให้ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่ามากถึง 10% ตั้งแต่ต้นปีนี้ นายมิเชล เดรพเพอร์ ชี้ว่า ปัญหาที่กดดันค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง อยู่ที่มูลค่าการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ระดับ 5% เมื่อเทียบกับมูลค่าจีดีพีของประเทศ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news14/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 14, 2007 7:32 pm
โดย chartchai madman
โกลด์แมน แซ็ค ชี้ อาจไม่จำเป็นต้องตัดหนี้เสียจาก Subprime
ปัจจัยบวกที่เข้าผลักดันดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐคืนที่ผ่านมา เกิดขึ้นจากหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน หรือซีเอฟโอที่มีชื่อว่า ลอยด์ แบล็งค์ฟายด์ ของ บริษัท โกลด์แมน แซ็ค ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และของโลก กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นมากนัก ที่จะต้องตัดหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากการเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้สินเชื่อ Subprime ข่าวดังกล่าว ส่งผลให้หุ้นของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ ทะยานเพิ่มสูงขึ้นทั้งกลุ่มคืนที่ผ่านมา

ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา เผย อาจต้องตัดหนี้เสีย Subprime เพิ่ม
ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ในสหรัฐ เปิดเผยโดย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน หรือซีเอฟโอที่มีชื่อว่า ไพรซ์ กล่าวว่า ธนาคารอาจมีความจำเป็นที่จะต้องตัดหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากการเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้สินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime 3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 1.2 แสนล้านบาทในไตรมาสที่ 4 นี้ อย่างไรก็ตาม การชี้แจงดังกล่าวกลับไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของธนาคารแต่อย่างใด โดยมีราคาปิดเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากอารมณ์บวกของนักลงทุน

ยูบีเอส และเจพี มอร์แกน ชี้ ตลาดสินเชื่อสหรัฐ ถดถอย
นายลอร์เรีย กู๊ดแมน หัวหน้าร่วมฝ่ายงานวิจัยตราสารหนี้ ธนาคารยูบีเอส เปิดเผยว่า วิกฤติสภาพคล่อง และสินเชื่อที่เป็นปัญหาในสหรัฐ จะยังคงยืดเยื้อต่อไปถึงสิ้นปี 2009 หรือในปี 2552 สาเหตุจาก ตลาดสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐ จะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เหมือนในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ นอกจากนี้ ในปีนี้ และปีหน้า กลไลการปล่อยสินเชื่อในสหรัฐ จะเป็นไปอย่างยากลำบาก สอดคล้องกับ นาย เอ็ดวาร์ด มาริแนน กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย ธนาคารเจพี มอร์แกน มองว่า เป็นภาวะสินเชื่อถดถอยที่สมบูรณ์แบบ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news15/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 15, 2007 7:01 pm
โดย chartchai madman
FED เตรียมเพิ่มความถี่ในการเปิดเผยข้อมุลสำคัญทางเศรษฐกิจ ลดแรงกดกดันปัญหาวิกฤตซับไพร์มทั่วโลก

Posted on Thursday, November 15, 2007

นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ได้อกอมายืนยันว่า FED rพร้อมเพิ่มการคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มจากปีละ 2 ครั้ง เป็นปีละ 4 ครั้ง พร้อมทั้งเพิ่มขอบเขตการคาดการณ์ เพิ่มจาก 2 ปี เป็น 3 ปี ตลอดจนเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อโดยรวม ควบคู่กันไป เพื่อเผยแพร่มุมมองของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ให้สาธารณชนรับรู้อย่างทันต่อสถานการณ์มากขึ้น ทั้งในเรื่องภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ

ซึ่งการเพิ่มความถี่ในการเปิดเผยข้อมูลของ FED ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อคลี่คลายความวิตกกังวลเกี่ยวกัยผลบกระทบเกี่ยวกับปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ ในภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือปัญหาซับไพร์ม ซึ่งล่าสุด บานปลายจนกระทบผลดำเนินงานสถาบันการเงินระดับยักษ์ใหญ่ของโลกหลายแห่ง ไม่ว่าจะป็น ซิตี้กรุ๊ป เจพี มอร์แกน หรือ เมอร์ริล ลินช์

และล่าสุด เอชเอสบีซี โฮลดิงส์ ธนาคารยักษ์ใหญ่ของยุโรปสัญชาติอังกฤษ ได้ รายงานความเสียหายจากตราสารทางการเงินที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาซับไพร์ม ในไตรมาสสามปีนี้ สูงถึง 3,400 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรก และไตรมาสสองปีนี้ ซึ่งสูงเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ แต่กระนั้น การที่รายได้รวมของธนาคารทั่วโลกมีกำไรสูง จึงช่วยชดเชยผลกระทบจากซับไพร์มได้เป็นอย่างดี

ขณะที่บาร์เคลย์ส ธนาคารชั้นนำอีกรายของอังกฤษ ก็เปิดเผยผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า ธนาคารสูญเสียเงินไปแล้ว 1,300 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ดี หนี้สินที่เกิดขึ้น กลับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้านี้
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news15/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 15, 2007 7:41 pm
โดย chartchai madman
แบร์สเติร์น ตัดหนี้สูญไตรมาส 4 กว่า 4 หมื่นล้านบาท จาก Subprime
บริษัทหลักทรัพย์ แบร์สเติร์น ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ด้านธุรกิจประกันการจัดจำหน่ายพันธบัตรในสหรัฐ ยอมรับว่า ต้องตัดหนี้สูญที่เกิดขึ้นจากสินทรัพย์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือ Subprime ในไตรมาสที่ 4 ด้วยมูลค่าสูงถึง 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.08 หมื่นล้านบาท นายแซม โมลินาโร่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน หรือซีเอฟโอของแบร์สเติร์น กล่าวเสริมว่า รายได้ในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านไปตกต่ำมากถึง 61% ทำสถิติทรุดต่ำมากที่สุดในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ฉุดราคาหุ้นต่ำสุด 38 ปี

เมอร์ลิน ลินช์ ตั้ง จอห์น เทน เป็นประธาน และซีอีโอใหม่
เมอร์ลิน ลินช์ แอนด์ โค ประกาศแต่งตั้ง จอห์น เทน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอของบริษัทอย่างเป็นทางการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป แทนอดีตประธาน และซีอีโอ นาย สแตน โอนีล ที่ต้องลงจากตำแหน่งในช่วงต้นสัปดาห์ก่อนหน้านี้ การแต่งตั้งนาย จอห์น เทน ซึ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ยูโรเน็กซ์ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า นับเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดคนแรก ที่มาจากนอกบริษัทเมอร์ลิน ลินช์ ในประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 93 ปี

อดีตประธาน และซีอีโอ เมอร์ลิน ลินช์ สร้างผลขาดทุนกว่า 7 หมื่นล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ลิน ลินช์ แอนด์ โค ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ในสหรัฐ ปลดนาย สแตน โอนีล จากทั้ง 2 ตำแหน่งดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังเข้าบริหารบริษัทเป็นเวลานานถึง 21 ปี หลังผลประกอบการย่ำแย่อย่างหนักจากการเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้สินเชื่อ Subprime โดยมีผลขาดทุนในไตรมาสที่ 3 สูงถึง 2,240 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็นผลขาดทุนที่สูงมากถึง 6 เท่าจากเดิมที่บริษัทคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ กระทบราคาหุ้นตกต่ำมากถึง 11% ตั้งแต่ต้นปีนี้

เมอร์ลิน ลินช์ ต้องตัดหนี้เสียเพิ่มอีกกว่า 3 แสนล้านบาทจาก Subprime
ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ลิน ลินช์ แอนด์ โค ยังคงต้องประสบปัญหากับการขาดทุนเพิ่มเติมขึ้นอีก โดยประกาศเพิ่มมูลค่าการตัดหนี้สูญที่เกิดขึ้นจากวิกฤติตราสารหนี้ Subprime อีกราว 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.4 แสนล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา เมอร์ลิน ลินช์ ได้ประกาศตัดหนี้เสียก้อนแรกสูงถึง 8,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.85 แสนล้านบาท ที่สำคัญบริษัทดังกล่าวยังมีตราสารหนี้ซีดีโอ Subprime ที่ยังไม่ได้ประกันความเสี่ยงมีมูลค่ามากถึง 5.1 แสนล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news15/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 15, 2007 7:47 pm
โดย chartchai madman
ผู้ว่าแบงก์ชาติอังกฤษ เตือนตลาดหุ้นทั่วโลกอาจทรุดหนัก
นาย มาร์วิน คิงส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ซึ่งมีทิศทางสอดคล้องกันมาก ที่จะปรับตัวลดลง อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกมีพัฒนาการในปรับตัวตามกลไกตลาด แต่ราคาของหลักทรัพย์ต่างนั้น กลับมีราคาโดยเฉลี่ยสูงกว่าราคาหลักทรัพย์ในเดือนสิงหาคมราว 20% เมื่อเทียบกับในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติการเงิน ซึ่งนำไปสู่ความปั่นป่วนในตลาดหุ้นทั่วโลก และเตือนซ้ำว่า หากตลาดหุ้นทรุดหนัก จะมีผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก มากกว่าวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นจาก Subprime
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news16/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 16, 2007 8:08 pm
โดย chartchai madman
แบงก์ชาติสหรัฐ อัดฉีดเงินเข้าระบบกว่า 1.6 ล้านล้านบาท มากที่สุดหลังเหตุก่อการร้าย 11 ก.ย.

Posted on Friday, November 16, 2007
เฟด อัดเงินเข้าระบบเงินสหรัฐมากที่สุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ตัดสินใจเพิ่มสภาพคล่องคืนที่ผ่านมา ด้วยเม็ดเงินมูลค่าสูงถึง 47,250 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.6 ล้านล้านบาท นับเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องรายวันที่มากที่สุด นับตั้งแต่วินาศกรรมก่อการร้าย 11 กันยายน ปี 2001 หรือในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา สาเหตุจาก อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้นในระบบทั้งในสหรัฐ และยุโรปเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จากสภาพสินเชื่อที่ยังคงตึงตัว นอกจากนี้ มูลค่าตั๋วสัญญาใช้เงินในสหรัฐ กลับลดลงมากที่สุดติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 สะท้อนวิกฤติสินเชื่อ และสภาพคล่องมีอยู่

ธนาคารบาร์เคลย์ ใหญ่อันดับ 3 ในอังกฤษ ตัดหนี้สูญเกือบ 1 แสนล้านบาท
ธนาคารบาร์เคลย์ ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของอังกฤษ ประกาศตัดหนี้สูญ ที่เกิดขึ้นจากผลขาดทุนที่เข้าไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้สินเชื่อสับไพร์มในไตรมาสที่ 3 ด้วยมูลค่าสูงถึง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 9.18 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ สาเหตุหนึ่งมาจากการลดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนตราสารหนี้ซีดีโอสับไพร์ม ที่เข้าไปลงทุนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม มูลค่าการตัดหนี้สูญในครั้งนี้กลับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารบาร์เคลย์ กลับปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่า 6%

ราคาพันธบัตรสหรัฐ พุ่งสูงสุดในรอบมากกว่า 2 ปี
ตลาดพันธบัตรสหรัฐปั่นป่วนครั้งใหม่ โดยราคาซื้อขายพันธบัตรระยะสั้นประเภท 2 ปี ถีบตัวสูงขึ้นทันที และสร้างสถิติสูงสุดในรอบมากกว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตร หรือยีลด์ของพันธบัตรอายุดังกล่าวทรุดต่ำลงมากถึง 0.19% ซึ่งตกต่ำลงมากกว่าพันธบัตรอายุ 10 ปี โดยมีผลตอบแทนเหลือเพียง 3.32% สาเหตุจาก นักลงทุนหวั่นกลัวกับวิกฤตสภาพคล่อง ที่เกิดขึ้นจากสับไพร์ม หลังธนาคารบาร์เคลย์ตัดหนี้สูญจากสินเชื่อสับไพร์ม และแนวโน้มเฟดจะลดดอกเบี้ยระยะสั้นอีกครั้งในเดือนหน้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news19/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 19, 2007 7:18 pm
โดย chartchai madman
รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ยอมรับวิกฤตสภาพคล่อง ยังยืดเยื้อ
นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวต่อที่ประชุมกลุ่มจี 20 ว่า ภาวะความปั่นป่วน และวิกฤตสภาพคล่องในระบบการเงิน จะยังคงยืดเยื้อไปอีกในอนาคต แต่เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง และยังสามารถรักษาการขยายตัวต่อไปได้ ทั้งนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ยอมรับว่า อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ จะยังคงตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีน้ำหนักสำคัญมากที่สุดต่อเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ ปัจจัยที่น่าจับจามองมากขึ้น คือ กองทุนเพื่อการลงทุนรัฐบาลแห่งชาติจากประเทศขนาดใหญ่ในอีเมิร์จจิ้งที่ลงทุนมาก

โกลแมนด์ แซ็ค ชี้ วิกฤตอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ ฉุดเศรษฐกิจภาพรวม
นายแจน ฮัทเซียส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลด์แมน แซ็ค ในสหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เปิดเผยว่า วิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นในช่วงกว่า 3 เดือนที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบขนาดใหญ่ต่อภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างแน่นอน โดยเกิดแรงกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินทุกในสหรัฐ ลดปริมาณการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบ มีมูลค่ามากถึง 2 ล้านๆเหรียญสหรัฐ และมีความเป็นไปได้สูง หากความเสียหายดังกล่าวเรื้อรังถึง 1 ปี จะทำให้เกิดภาวะถดถอยอย่างหนัก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news19/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 19, 2007 7:19 pm
โดย chartchai madman
คลังอังกฤษ ขยายระยะเวลาเงินกู้ฉุกเฉินให้แบงก์ นอร์ทเทิร์นร๊อค
กระทรวงการคลังอังกฤษ กล่าวว่า กำลังพิจารณาจะขยายระยะเวลาของเงินกู้มูลค่าสูงถึง 2.5 หมื่นล้านปอนด์สเตอริง หรือราว 1.73 ล้านล้านบาท ที่ให้กับธนาคารนอร์ทเทิร์น ร๊อค ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอังกฤษ ที่ต้องประสบกับวิกฤตสภาพคล่องอย่างรุนแรงจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือสับไพร์มในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สาเหตุที่ต้องขยายระยะเวลาเงินกู้ออกไป เพื่อเป้าหมายในการเปลี่ยนโครงสร้างเงินกู้ ให้เข้าข่ายกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งแบงก์ชาติอังกฤษจะเข้ามาดำเนินการต่อไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 11:33 am
โดย chartchai madman
คาดธนาคาร-โบรกเกอร์สหรัฐฯเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ ข่าว 21.00 น.

Posted on Wednesday, November 21, 2007
ฟีนิกซ์ พาร์ทเนอร์ส กรุ๊ป รายงานข้อมูลค่าความเสี่ยงที่จะแสดงให้เห็นว่า บรรดาธนาคาร และบริษัทโบรกเกอร์สหรัฐฯ ไล่ตั้งแต่ ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ ไปจนถึง แบร์ สเติร์นส์ โค มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ในตราสารหนี้ของแต่ละรายเพิ่มมากขึ้น จากความเป็นไปที่สถาบันการเงินเหล่านี้ประสบกับภาวะขาดทุนที่เพิ่มมากขึ้นจากการปล่อยสินเชื่อการเคหะสำหรับผู้กู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ(Subprime) โดยค่าความเสี่ยงในตราสารหนี้ของซิตี้กรุ๊ป ธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ ในด้านสินทรัพย์ เพิ่มขึ้น 0.12% มาอยู่ที่ 0.91% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งที่ 6 ในรอบเดือนนี้

ส่วนแบร์ สเติร์นส์ มีค่าความเสี่ยงตราสารหนี้ทะยานขึ้นมาถึง 0.23% ที่ 1.73% แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี ซึ่งค่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในมูลค่าตราสารหนี้ของสถาบันการเงินเหล่านี้ในระดับต่ำ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 12:23 pm
โดย chartchai madman
เฟด ยอมรับ เศรษฐกิจสหรัฐปีหน้าโตต่ำกว่า 2% อยู่ที่ 1.8%ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เปิดเผยบันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งล่าสุดระหว่างวันที่ 30 - 31 ตุลาคมผ่านมา พบว่า กรรมการส่วนใหญ่ ประเมินปัจจัยเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจสหรัฐ และตัดสินใจว่า การตัดลดดอกเบี้ยระยะสั้นในการประชุมครั้งนั้น จะทำให้มั่นใจได้ว่าป้องกันการตกต่ำของเศรษฐกิจในประเทศ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างนึกไม่ถึง นอกจากนี้ คณะกรรมการดังกล่าว ยังปรับลดตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้า เหลือเพียง 1.8% ซึ่งต่ำกว่าเดิมที่ระดับ 2.5 2.75% ที่เคยกำหนดในเดือนมิ.ย.

เฟด ลดเป้าเงินเฟ้อปีหน้าลงระหว่าง 1.7% 1.9%
เฟด ยังปรับลดภาวะเงินเฟ้อทั่วไปจากเดิมในช่วงระหว่าง 1.75% - 2% ลงมาเหลือเพียง 1.7% - 1.9% สำหรับในปี 2551 นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ยังระบุเพิ่มเติมว่า ความไม่มีเสถียรภาพในตลาดเงินที่เกิดขึ้น และยังไม่มีสัญญาณผ่อนคลาย จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เฟด คาดหวังว่า การจ้างงานที่ยังคงเพิ่มขึ้น ตัวเลขส่งออกที่พุ่งสูงขึ้น และการลงทุนของภาคเอกชนสหรัฐ จะเป็นปัจจัยที่เข้ามาชดเชย และสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยื่น ท่ามกลางภาวะอสังหาริมทรัพย์ถดถอย

เฟรดดี้ แม็ค ตัดหนี้สูญกว่า 6 หมื่นล้านบาท ไม่จ่ายปันผล
เฟรดดี้ แม็ค ยักษ์สถาบันการเงินสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยรายใหญ่อันดับ 2 ในสหรัฐ สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ ด้วยการประกาศผลขาดทุนสูงมากถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.8 หมื่นล้านบาท จากสาเหตุราคาบ้านตกต่ำ และมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อบ้าน ที่ทำให้มีจำนวนลูกค้าลดน้อยถอยลงอย่างมาก นอกจากนี้ ยังประกาศยกเลิกจ่ายเงินปันผล และอาจหาวิธีเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัท เพื่อป้องกันสภาพที่ตกต่ำของตลาดสินเชื่อบ้าน ทั้งนี้ ราคาหุ้นของเฟรดดี้ แม็ค ตกต่ำสุดในรอบ 11 ปี

แบงก์ ออฟ อเมริกา ขาดทุนกว่า 6 หมื่นล้านบาทใน คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล
ธนาคาร แบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 1 ในสหรัฐในแง่มูลค่าตลาดรวมของธนาคาร และใช้เงินลงทุนมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.8 หมื่นล้านบาท ในการเข้าไปถือหุ้นในบริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น หลังเกิดเหตุวิกฤตสินเชื่อ Subprime นั้น ล่าสุด ขาดทุนจากการเข้าไปลงทุนในบริษัทดังกล่าว 858 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.9 หมื่นล้านบาท สาเหตุเกิดจากราคาหุ้นของบริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจล้มละลาย

ผู้ถือหุ้นธนาคารแบร์สเติร์นฟ้องผู้บริหารระดับสูง เหตุขาดทุนสินเชื่อ Subprime
ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารแบร์สเติร์น แอนด์ โค ได้รับการยื่นฟ้องร้องจากผู้ถือหุ้นของธนาคาร หลังธนาคารดังกล่าวต้องประสบปัญหาผลขาดทุนสูง จากการตัดสินใจตัดหนี้สูญทั้งในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ที่มีมูลค่าสูงถึง 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.08 หมื่นล้านบาท โดยเหตุผลที่กลุ่มผู้ถือหุ้นดังกล่าว ซึ่งถือหุ้นในธนาคารเช่นกัน อธิบายว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และผิดปกติ ที่ธนาคารจะไม่รับทราบถึงมูลค่าการปล่อยสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ หรือสินเชื่อ Subprime

โกลด์แมน แซ็ค ชี้ ธุรกิจการเงินสหรัฐ เจอปัจจัยลบหนัก
นายลอรี่ แอพเพลบูอัม หัวหน้านักวิจัยจาก โกลด์แมน แซ็ค บริษัทหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และของโลก ได้เปิดเผยรายงานล่าสุดเกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงินในสหรัฐว่า ภาคธุรกิจดังกล่าวจะยังคงประสบกับภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง สาเหตุจาก ราคาบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐ จะยังคงตกต่ำต่อเนื่อง มูลค่าตัดหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นมาก และธนาคารพาณิชย์ ถาบันการเงินที่เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อบ้านต้องพิ่มทุนสูงมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด ที่สำคัญ มูลค่าตราสารหนี้ซีดีโอประเภท Subprime จะลงอีกกว่า 5.1 ล้านล้านบาททั่วสหรัฐ

ยอดก่อสร้างบ้านใหม่ในสหรัฐ ล่าสุดทรุดต่ำลงในรอบ 14 ปี
จำนวนใบอนุญาตก่อสร้างบ้านใหม่ในสหรัฐ ประจำเดือนตุลาคม ไม่เพียงทรุดต่ำลงมากที่สุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1993 หรือปี 2536 ที่ผ่านมา แต่ยังเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันโดยร่วงลงมากถึง 6.6% ในเดือนตุลาคม นอกจากนี้ การก่อสร้างบ้านประเภทครอบครัวเดี่ยว หรือมีจำนวนผู้อยู่อาศัยระหว่าง 3 5 คน ในสหรัฐทรุดตัวลงอีกด้วย สาเหตุจาก ลูกค้าชาวอเมริกัน ยังคงตัดสินใจรอให้ราคาบ้านลดลงถึงจุดต่ำสุด และมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นกับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินต่างๆ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 2:58 pm
โดย chartchai madman
พิษซับไพร์มถล่มเศรษฐกิจสหรัฐ เฟดหั่นเป้าจีดีพีปีหน้าโต1.8-2.5%

21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 09:52:00
 
พิษซับไพร์มถล่มเศรษฐกิจสหรัฐ ธนาคารกลางสหรัฐปรับประมาณการเศรษฐกิจปีหน้า จีดีพีขยายตัวลดลงเหลือ 1.8-2.5% จากเดิมคาด 2.5-2.75%

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายเบน เบอร์นันกี ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศการปรับลดแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้าไว้ที่ระดับ 1.8 - 2.5% จากที่เคยคาดการณ์อัตราการเติบโตไว้ที่ 2.5 - 2.75% เมื่อเดือนมิถุนายน

ทั้งนี้ เนื่องมาจากปัจจัยหลายด้าน รวมถึงปัญหาวิกฤตสินเชื่อซับไพร์ม และเงินกู้ขนาดใหญ่ ข้อมูลบ้านที่พักอาศัยที่ต่ำกว่าคาดการณ์และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่หยุด

ขณะเดียวกัน เฟด ยังได้ตัดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีหน้าไว้ที่ 1.7 - 1.9% ลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1.75 - 2%
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=204267

news22/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 22, 2007 1:16 pm
โดย chartchai madman
ตลาดหุ้นสหรัฐ ดิ่ง 211 จุด ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน เหตุจากวิกฤติ Subprime  

Date:  2007-11-22 11:09:42
Source: OTH

2ดาวโจนส์ ทรุดต่ำสุดรอบ 7 เดือน ร่วงลง 211 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ปั่นป่วนอย่างหนักครั้งใหม่อีกครั้งในคืนที่ผ่านมา นักลงทุนถล่มเทขายหุ้นอย่างหนักตลอดทั้งวัน ฉุดดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทรุดลงหลุดระดับ 13,000 จุดอีกครั้ง หายไปมากถึง 211 จุด เอสแอนด์พี 500 ร่วง 23 จุด และนาสแด็ค ดิ่ง 34 จุด ส่งผลให้ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่งทำสถิติตกต่ำมากที่สุดในรอบ 7 เดือน โดยดัชนีหุ้นทั้ง 3 แห่งทรุดมากเกือบ 2% ที่สำคัญดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้การขยายตัวของดัชนีดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนนี้มีค่าในแดนลบทันที โดยมีผลตอบแทนติดลบ 0.1%

วิกฤตสินเชื่อ Subprime ฉุดหุ้นกลุ่มแบงก์ และพลังงาน
สาเหตุที่กดดันนักลงทุน ให้เทขายหุ้นอย่างหนักในคืนที่ผ่านมา มาจากความกังวลในวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime และตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐที่ถดถอยอย่างหนักในรอบหลาย 10 ปี ที่ยังคงส่งผลในด้านลบต่อจิตวิทยาของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมชัดเจนมากขึ้น ทำให้หุ้นในกลุ่มธนาคาร และสถาบันการเงิน รวมถึงกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ถูกเทขายลงอย่างหนักทั้งกระดาน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก จะปิดทำการในคืนนี้ เนื่องในเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า

news22/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 22, 2007 7:08 pm
โดย chartchai madman
ตลาดหุ้นสหรัฐ ดิ่ง 211 จุด ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน เหตุจากวิกฤติ Subprime

Posted on Thursday, November 22, 2007
ดาวโจนส์ ทรุดต่ำสุดรอบ 7 เดือน ร่วงลง 211 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ปั่นป่วนอย่างหนักครั้งใหม่อีกครั้งในคืนที่ผ่านมา นักลงทุนถล่มเทขายหุ้นอย่างหนักตลอดทั้งวัน ฉุดดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทรุดลงหลุดระดับ 13,000 จุดอีกครั้ง หายไปมากถึง 211 จุด เอสแอนด์พี 500 ร่วง 23 จุด และนาสแด็ค ดิ่ง 34 จุด ส่งผลให้ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่งทำสถิติตกต่ำมากที่สุดในรอบ 7 เดือน โดยดัชนีหุ้นทั้ง 3 แห่งทรุดมากเกือบ 2% ที่สำคัญดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้การขยายตัวของดัชนีดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนนี้มีค่าในแดนลบทันที โดยมีผลตอบแทนติดลบ 0.1%

วิกฤตสินเชื่อ Subprime ฉุดหุ้นกลุ่มแบงก์ และพลังงาน
สาเหตุที่กดดันนักลงทุน ให้เทขายหุ้นอย่างหนักในคืนที่ผ่านมา มาจากความกังวลในวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime และตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐที่ถดถอยอย่างหนักในรอบหลาย 10 ปี ที่ยังคงส่งผลในด้านลบต่อจิตวิทยาของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมชัดเจนมากขึ้น ทำให้หุ้นในกลุ่มธนาคาร และสถาบันการเงิน รวมถึงกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ถูกเทขายลงอย่างหนักทั้งกระดาน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก จะปิดทำการในคืนนี้ เนื่องในเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า

ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี
ตลาดพันธบัตรสหรัฐยังคงคึกคักต่อเนื่อง โดยนักลงทุนล้วนโยกเงินจากการเทขายในตลาดหุ้น และตลาดทุนประเภทอื่นๆ เข้าไปลงทุนซื้อเก็บพันธบัตรมาตรฐานอายุ 10 ปี มากขึ้น ส่งผลให้ผลตอบแทนของพันธบัตร หรือยีลด์ประเภทดังกล่าว ลดต่ำลงกว่าระดับ 4% โดยลงมาแตะที่ระดับ 3.98% เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา หรือนับตั้งแต่ปี 2548 ในขณะเดียวกัน ยีลด์ของพันธบัตรอายุ 2 ปี ทรุดต่ำต่อเนื่อง หลุดระดับ 3% ลงมาแตะต่ำสุดที่ 2.96% เกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่เดือนธันวาคมในปี 2004 หรือในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา

หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ร่วงต่ำสุดในรอบ 14 เดือน กังวลสินเชื่อบัตรเครดิต
วิกฤตสินเชื่อ Subprime และตลาดสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคที่ตึงตัวในสหรัฐ ส่งผลให้ บริษัทหลักทรัพย์ มอร์แกน สแตนเล่ย์ ตัดสินใจแนะนำนักลงทุนเทขายหุ้น บรัษัท อเมริกัน เอ็กซ์เพรส ผู้ให้บริการบัตรเครดิตชั้นนำระดับโลก ส่งผลราคาหุ้นบริษัทดังกล่าวถูกเทขายอย่างหนัก มีราคาทรุดลงเกือบ 5% ต่ำสุดในรอบ 14 เดือนที่ผ่านมา เหลือเพียงหุ้นละ 1,847 บาท สาเหตุสำคัญมาจาก ความกังวลในคุณภาพของลูกค้าที่ถือบัตร ที่มีสัญญาณในทางลบเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้บัตรเครดิตขึ้นเริ่มเพิ่มสูงมากขึ้น

กองทุนบำเหน็จบำนาญในสหรัฐ อาจขาดทุน 1 ล้านล้านเหรียญ จาก Subprime
นายโธมัส มาร์ติน ประธานศูนย์ผู้บริโภคอสังหาริมทรัพย์อเมริกัน ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ชี้ว่า วิกฤตสินเชื่อ Subprime อาจส่งผลกระทบต่อกองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือเพ็นชั่นฟันด์ในสหรัฐ มีความเป็นไปได้มาก ที่มูลค่าของกองทุนเพ็นชั่นฟันด์ในสหรัฐ จะได้รับความเสียหายมากถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็นที่ทราบกันดีว่า กองทุนเพ็นชั่นฟันด์ต่างๆในสหรัฐ เป็นสถาบันที่เข้าไปลงทุนทั้งในตลาดตราสารหนี้ค้ำประกันด้วยสินทรัพย์หรือซีดีโอ และตลาดตราสารทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือเอ็มบีโอ มากเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับสถาบันอื่น ๆ

โออีซีดีชี้วิกฤต Subprime อาจเสียหายกว่า 10 ล้านล้านบาท
องค์การเพื่อความร่วมมือ และพัฒนาเศรษฐกิจ หรือ โออีซีดี เปิดเผยว่า มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime อาจมีสูงถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 10.2 ล้านล้านบาท ในขณะเดียวกัน โออีซีดี มีความคิดเห็นในทางบวกกับการจัดตั้งกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ ซึ่งนำโดย 3 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในสหรัฐ อาจเป็นกลไกสำคัญในการเข้าแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร นอกจากนี้โออีซีดี ยังชี้ว่า จุดต่ำสุดของการตกต่ำในธุรกิจตลาดบ้านที่สหรัฐยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งจะกดดันวิกฤตต่อไป

กองทุนแบล็คร็อค อาจเข้าบริหารกองทุนซุปเปอร์ฟันด์
บริษัทบริหารกองทุนชั้นนำในสหรัฐที่มีชื่อว่า แบล็คร็อค มีโอกาสสูงที่จะผ่านการคัดเลือกให้เข้าไปบริหาร กองทุนซุปเปอร์ฟันด์ ที่จัดตั้งขึ้นโดยการนำของ 3 ธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ได้แก่ ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา และธนาคารเจพีมอร์แกนเชส ด้วยมูลค่ากองทุนมากถึง 7.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.5 ล้านล้านบาท เพื่อเข้าไปรับซื้อตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภท Subprime ในราคาพิเศษ เพื่อเป้าหมายในการเป็นกลไลสำคัญในการกำหนดราคารับซื้อตราสารดังกล่าวที่มีปัญหาให้กับระบบการเงิน

2 บริษัทจัดเรตติ้งชื่อดัง ลดความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ซีดีโอกว่า 1 ล้านล้านบาท 2 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุน หรือเรตติ้ง ชั้นนำของโลก ได้แก่ ฟิทช์ เรตติ้งส์ เซอร์วิส ประกาศตัดสินใจปรับลดอันดับความน่าเชื่อในตราสารหนี้ ที่มีหลักทรัพย์เชื่อมโยงกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์นำมาค้ำประกัน หรือตราสารหนี้ซีดีโอ รวม 74 แห่ง มูลค่าสูงถึง 2.98 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือเอสแอนด์พี ตัดสินใจลดความน่าเชื่อถือในตราสารประเภทเดียวกันจาก 28 แห่ง มีมูลค่ารวมมากถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.7 แสนล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news22/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 22, 2007 8:13 pm
โดย chartchai madman
เฟรดดี้ แม็ค ถูกผู้ถือหุ้นรายย่อยฟ้องร้อง เสียหายจาก Subprime นายริชาร์ด ไซร่อน ประธานและเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงอื่นๆของเฟรดดี้ แม็ค ยักษ์สถาบันการเงินสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยอันดับ 2 ของรัฐบาล ในสหรัฐถูกฟ้องร้องจากผู้ถือหุ้นรายย่อย ในสถาบันการเงินดังกล่าว ด้วยข้อหาว่า ไม่ได้ใส่ใจมากพอ ในการป้องกันวิกฤตสินเชื่อ Subprime ที่เกิดขึ้นกับเฟรดดี้ แม็ค นอกจากนี้ ยังกล่าวหาต่อวิธีการทำงาน โดยเฉพาะขั้นตอน และกฎเกณฑ์ในการประเมินคุณภาพสินเชื่อ ที่ทำให้เกิดมูลค่าสูงเกินจริง ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อสินเชื่อที่อาจกลายเป็นหนี้สูญมากขึ้น

เอสแอนด์พี ยุโรป ชี้ เฟด อาจลดดอกเบี้ยระยะสั้นเหลือ 3.5 % ปีหน้า
นายฌอง มิเชล ซิ๊ก ประธานบริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประจำภูมิภาคยุโรป คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด อาจต้องปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงมาอยู่ที่ระดับ 3.5% ในปีหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐที่เกิดภาวะถดถอยอย่างหนักในรอบกว่าทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ เอสแอนด์พี เพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดภาวะถดถอยในอีก 1 ปีข้างหน้า ขึ้นมาเป็น 40% โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยเดียว คือ ภาวะการว่างงาน และเห็นด้วยที่เศรษฐกิจสหรัฐ จะขยายตัวเหลือเพียง 1.8% ปีหน้า

เอสแอนด์พี ชี้ ต้นทุนกู้ยืมเงินแก้สภาพคล่อง พุ่งในรอบ 4 ปี
บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P)  เปิดเผยว่า ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของสถาบันการเงินที่มีปัญหา เพื่อแก้ไขสภาพคล่อง พุ่งสูงขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 ปี ที่ระดับ 5.3% โดยวัดจาก ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ และพันธบัตรมาตรฐานอายุ 10 ปีในตลาด หรือที่เรียกว่า ส่วนต่างพันธบัตร พบว่า ส่วนต่างดังกล่าวทะยานขึ้นนับตั้งแต่เดือน ตุลามคม ในปี 2003 หรือปี 2546 เป็นต้นมา ภาวะดังกล่าว สะท้อนถึงตลาดสินเชื่อในสหรัฐที่ยังคงตึงตัวอย่างไม่สิ้นสุด และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ทรุดต่ำลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news23/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 7:14 pm
โดย chartchai madman
ธนาคารนอร์ทเทิร์น ร็อค อาจขาดทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาทจาก Subprime
ธนาคารนอร์ทเทิร์น ร็อค ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ประสบวิกฤตสภาพคล่อง โดยธนาคารกลางอังกฤษ ต้องอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปเสริมในธนาคารดังกล่าว อาจต้องมีผลขาดทุนสูงถึง 302 ล้านปอนด์สเตอริง หรือราว 21,180 ล้านบาท หลังเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภทสับไพร์ม ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนสุทธิทั้งหมดของธนาคารนอร์ทเทิร์น ร๊อค ในตราสารหนี้ซีดีโอดังกล่าว มีสูงถึง 578 ล้านปอนด์สเตอริง ซึ่งคาดว่าจะต้องขาดทุนเป็นมูลค่าสูงถึงครึ่งหนึ่งของพอร์ตการลงทุนดังกล่าว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news27/11/07

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 27, 2007 2:28 pm
โดย chartchai madman
FED เตรียมฉีดเงินเข้าระบบอีก 8 พันล้านเหรียญ ข่าว 12.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, November 27, 2007
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า ธนาคารกลางเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินอีก 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่ระบบการเงิน เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องตึงตัว ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 10 มกราคมปีหน้า

เฟดสาขานิวยอร์ก ออกแถลงการณ์ว่า ธนาคารจะดำเนินการตามข้อตกลงซื้อคืนไปจนถึงช่วงปีใหม่ ซึ่งรวมถึงการซื้อหลักทรัพย์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ การอัดฉีดเงินสดเข้าสู่ระบบการธนาคาร เพื่อคลายความกดดันในตลาดการเงิน ในเดือนสิงหาคมปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่สินเชื่อตึงตัวอย่างหนัก เฟด ได้อัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบการเงินเพื่อช่วยคลายความตึงตัว อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่ขาดความน่าเชื่อถือ (Subprime) และในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เฟดได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นแล้ว 2 ครั้ง ทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.5%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news27/11/07

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 27, 2007 2:30 pm
โดย chartchai madman
ซิตี้กรุ๊ปเตรียมลดพนักงานอีกรอบ ข่าว 14.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, November 27, 2007
นางแชนนอน เบลล์ โฆษกซิตี้กรุ๊ป คาดการณ์ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 4/50 อาจยังขาดทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน (Subprime) โดย ซิตี้กรุ๊ป ได้วางแผนลดต้นทุน ซึ่งอาจรวมถึงการลดจำนวนพนักงานลงอีก เพื่อให้การดำเนินงานของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจด้วย

ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซิตี้กรุ๊ปซึ่งมีพนักงานประมาณ 320,000 คน ได้ปรับลดพนักงานไปแล้วจำนวน 17,000 คน ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อ

ปัจจุบันซิตี้กรุ๊ปกำลังสรรหาประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ หลังจากนายชาร์ลส์ พรินซ์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซิตี้กรุ๊ปเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ซิตี้กรุ๊ปประกาศ ตั้งสำรองหนี้สูญมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาส 4/50 ส่วนการดำเนินงานในไตรมาส 3/50 บริษัทขาดทุนประมาณ 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปัญหา Subprime  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news27/11/07

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 27, 2007 2:35 pm
โดย chartchai madman
ตลาดหุ้นสหรัฐทรุดหนัก ฉุด 3 ดัชนีสำคัญทรุดกว่า 10% ปรับฐานอย่างเป็นทางการในรอบ 1 เดือน
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, November 27, 2007
ดาวโจนส์ ทรุดหนัก 237 จุด ฉุดอีก 3 ดัชนีลงมากถึง 10% จากจุดสูงสุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ปั่นป่วนอย่างหนักครั้งใหม่ในวันแรกของสัปดาห์นี้ นักลงทุนถล่มเทขายหุ้นอย่างหนักตลอดทั้งวัน ฉุดดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทรุดลงหลุดระดับ 13,000 จุด หายไปมากถึง 237 จุด เอสแอนด์พี 500 ร่วง 33 จุด และนาสแด็ค ดิ่ง 55 จุด ส่งผลให้ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่งทำสถิติตกต่ำมากกว่า 10% นับตั้งแต่จุดสูงสุดในรอบปีนี้ โดยดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ทรุดมากเกือบ 2% ที่สำคัญ ด้านดัชนีหุ้นนาสแด็ค และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทรุดหนักกว่า 2% ในคืนที่ผ่านมา ที่สำคัญการขยายตัวของเอสแอนด์พี 500 ติดลบ 0.8% ต้นปีนี้

ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทรุดต่ำกว่า 10% ในรอบกว่า 1 เดือน
สถิติตกต่ำอย่างหนักในรอบคืนที่ผ่านมา สะท้อนถึงแรงเทขายจากนักลงทุนที่กดดันให้จำนวนหุ้นของบริษัทชั้นนำในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ทุกๆ 6 แห่งที่ปรับลดลง จะมีหุ้นเพียง 1 บริษัทเท่านั้นที่ปิดในแดนบวก ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี 500 ทรุดต่ำมากกว่า 10.1% นับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคมในปีนิ้ ซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดของดัชนีทั้ง 2 แห่ง นอกจากนี้ หากมองเฉพาะดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 พบว่า นับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม ปี 2003 หรือในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาจนถึงเมื่อคืนนี้ ดัชนีดังกล่าวทรุดต่ำถึง 10%

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก เข้าสู่ภาวะปรับฐานอย่างเป็นทางการ
ดัชนีหุ้นสำคัญในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ของวันแรกในสัปดาห์นี้ กล่าวได้ว่า เข้าสู่ภาวะการปรับฐานของดัชนีหุ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นไปทั้ง ตามคำจำกัดความ และทฤษฎีทางเทคนิคที่ชัดเจนว่า หากดัชนีมีการทรุดตัวลงครบ 10% เมื่อใดก็ตาม นอกจากนี้ หากมีการปรับฐานลงอย่างหนักมากขึ้น ซึ่งทำให้ดัชนีหุ้นอาจตกต่ำมากถึง 20% จะเข้าสู่ภาวะหมีของการปรับฐานของดัชนีหุ้น ทั้งนี้ ดาวโจนส์ทรุดลง 10.2% จากจุดสูงสุดที่ 14,198 จุด ในวันที่ 11 ต.ค.ปีนี้ หรือลดลง 10% จากจุดสูงสุดที่ 14,164 จุด ของวันที่ 9 ต.ค.ในปีนี้เช่นกัน

ดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500 และนาสแด็ค ปรับฐานลงกว่า 10% ในรอบกว่า 1 เดือน
นอกจากนี้ ด้านดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ที่ปิดต่ำลงในคืนที่ผ่านมา ยังทรุดลง 10.7% จากจุดสูงสุดระหว่างวันของการซื้อขายที่ 1,576 จุด และยังร่วงลง 10% จากดัชนีปิดที่ระดับ 1,565 จุด และเมื่อพิจารณาถึงดัชนีหุ้นนาสแด็ค ในตลาดนิวอยร์ก สหรัฐ พบว่า คืนที่ผ่านมา ทรุดตัวลงมากถึง 11.2% จากจุดสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 2,861 จุด นับตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2550 และยังปิดลดลงถึง 11.1% จากดัชนีดังกล่าวปิดที่ระดับ 2,859 จุด ในวันที่ 31 ตุลาคมปีนี้ด้วยเช่นกัน

หุ้นธนาคารเอชเอสบีซีดิ่งหนัก ฉุดหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ลงหมด
สาเหตุสำคัญที่กดดันนักลงทุน ให้เปิดฉากเทขายหุ้นตลอดทั้งคืนของการซื้อขาย เกิดจากบริษัทหลักหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดโลก โกลด์แมน แซ็ค แนะนำให้นักลงทุนลดการถือหุ้นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปที่มีชื่อว่า เอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ เนื่องจาก ธนาคารดังกล่าวต้องประสบกับภาวะการตัดหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีกราว 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.08 แสนล้านบาท และอาจต้องปลดพนักงานออกครั้งใหญ่มากถึง 4.5 หมื่นคน และหุ้นของ 2 สถาบันการเงินสินเชื่อบ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ได้แก่ แฟนนี่ เมย์ และเฟรดดี้ แม็ค ถูกแนะนำให้ลดการลงทุน

ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ตกต่ำอย่างหนักในรอบ 3 ปี
ตลาดพันธบัตรสหรัฐตอบรับกับความกังวลในวิกฤตสับไพร์ม ที่ได้รับแรงกดดันจากคำแนะนำของบริษัทหลักทรัพย์ โกลด์แมน แซ็ค ให้เทขายหุ้นของธนาคารเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ส่งผลให้นักลงทุนโยกเงินเข้าซื้อเก็บพันธบัตรรัฐบาลหนาตาคืนที่ผ่านมา ทำให้ราคาพันธบัตรถีบตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอายุ 30 ปี ทรุดต่ำลงระหว่างวันมากที่สุดที่ระดับ 4.23% กลายเป็นสถิติต่ำสุดในรอบ 3 ปี หรือนับตั้งแต่กรกฎาคม ปี 2005 และผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ทรุดต่ำสุดตั้งแต่มีนาคมปี 2547

แบงก์ เอชเอสบีซี ซื้อคืน 2 กองทุนใหญ่ ก่อนถูกบังคับขาย
ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ในยุโรป ที่มีชื่อว่า เอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า เตรียมเข้าไปซื้อคืนตราสารการเงินที่เรียกว่า เอสไอวี ที่เข้าไปลงทุนในสถาบันการเงินชื่อดังทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ คัลลีแนน ไฟแนนซ์ และแอชเชอร์ ไฟแนนซ์ ด้วยการใช้เงินที่มีมูลค่าสูงมากถึง 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.53 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับขายในราคาที่ตกต่ำอย่างหนัก ทั้งนี้ ธนาคาร เอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ย้ำว่า การใช้เงินที่มีมูลค่าสูงเช่นนี้ จะไม่กระทบต่อผลประกอบการของกลุ่มบริษัทแต่อย่างใด

ราคาหุ้นธนาคารซิตี้กรุ๊ป ร่วงต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ราคาหุ้นธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่เพียงทำสถิติทรุดต่ำลงกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น หรือราวหุ้นละ 1,020 บาทเท่านั้น แต่ยังเป็นราคาที่ตกต่ำมากที่สุดครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีราคาปิดร่วงลงมากถึง 6% ปิดที่หุ้นละ 29.28 เหรียญ หรือหุ้นละ 1,013 บาท นอกจากนี้ ราคาหุ้นของธนาคารดังกล่าวทำสถิติทรุดลงถึง 6 ครั้ง จากทั้งหมดใน 7 ครั้งของการซื้อขายของตลาด ร่วงลง 46% ตั้งแต่ต้นปีนี้ ฉุดมูลค่าของธนาคารดังกล่าวหายไปมากถึง 1.29 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.4 ล้านล้านบาท

เฟดเผยเตรียมอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินสหรัฐถึงสิ้นปีนี้
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เปิดเผยเมื่อคืนว่า เตรียมอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินสหรัฐอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ หลังพบว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคารพาณิชย์ชั่วข้ามคืน หรืออัตราดอกเบี้ยอินเตอร์ แบงก์ ยังคงเคลื่อนไหวสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐเป็นเวลา 7 วันทำการติดต่อกันจาก 8 วันทำการที่ผ่านมา สะท้อนภาวะไม่ปล่อยสินเชื่อ ทำให้เฟด มีความจำเป็นต้องฉุดอัตราดอกเบี้ยอินเตอร์ แบงก์ ลงมาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.5%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news27/11/07

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 27, 2007 2:36 pm
โดย chartchai madman
ดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างแบงก์ในสหรัฐและอังกฤษพุ่งสูง
สมาคมนายธนาคารพาณิชย์แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า ต้นทุนในการกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารพาณิชย์ทั่วไปทั้งในสหรัฐ และอังกฤษ พุ่งขึ้นแตะที่ระดับ 5.05% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยอินเตอร์ แบงก์ ที่พุ่งขึ้นสูงมากถึง 0.55% เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐ ที่ระดับ 4.5% ที่สำคัญ เป็นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของทั้ง 2 ประเภทที่มากที่สุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่เฟดปรับลดดอกเบี้ยลง ทั้งนี้ นายเบน เบอร์นันกี้ ประธานเฟด จะกล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจในวันที่ 29 นี้

อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ชี้ โอกาสเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยพุ่ง
นายแลรี่ ซัมเมอร์ อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดภาวะถดถอย มีเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งจะส่งลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่า จะเกิดการปรับเปลี่ยนโยบายเศรษฐกิจที่จำเป็นบางอย่างไปบ้างก็ตาม อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐท่านี้ กล่าวเสริมว่า ทางการสหรัฐ มีความจำเป็นอย่างมาก ที่จะต้องรีบแก้ไขให้เร็วขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ หากไม่มีมาตรการใดที่แข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่ ย่อมทำให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสภาพคล่องในครั้งนี้ซึมลึก และเสียหายต่อเนื่องอีกนับ 10 ปี

อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ เตือนเฟด ระวังอัตราดอกเบี้ย
นายแลรี่ ซัมเมอร์ อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ชี้ว่า ผู้บริหารของเฟด ควรตระหนักถึง อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟด ที่เคยทรงตัวในระดับที่สมดุล ท่ามกลางภาวะระบบการเงินที่ยังไม่ได้รับความเสียหายจากวิกฤตสภาพคล่อง นับตั้งแต่เกิดขึ้นในช่วงกว่า 3 เดือนที่ผ่านมานั้น เป็นอัตราที่ลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวในปัจจุบันที่ระดับ 4.5% นอกจากนี้ นโยบายการคลังสำคัญของรัฐบาลสหรัฐ ต้องเตรียมพร้อม เพื่อนำมาใช้ในกรณีการลดหย่อนภาษีสำหรับชาวอเมริกันที่มีรายได้ปานกลาง และรายได้ต่ำ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news28/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 28, 2007 6:45 pm
โดย chartchai madman
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ พลิกพุ่งสูงขึ้นกว่า 200 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ พลิกผันในวันที่สองของสัปดาห์นี้ นักลงทุนย้อนกลับเข้ากว้านซื้อหุ้นอย่างหนาตาตลอดทั้งวัน ผลักดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทะยานเข้าใกล้ระดับ 13,000 จุด พุ่งขึ้นถึง 215 จุด เอสแอนด์พี 500 ดีดกลับ 21 จุด และนาสแด็คปรับสูงขึ้น 39 จุด จากปัจจัยบวกของธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ที่ได้รับเม็ดเงินลงทุนใหม่จากผู้ถือหุ้นระดับมหาเศรษฐีจากตะวันออกกลาง 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และบริษัทหลักทรัพย์ เจพี มอร์แกน ชี้ว่า อินเทล คอร์ปอเรชั่น จะมีผลประกอบการดีขึ้นจากตลาดคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้น

ธนาคารซิตี้กรุ๊ป รับเงินสด ลงทุนจากตะวันออกกลางกว่า 2 แสนล้านบาท
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น โดยการนำของประธานคนใหม่ที่มีชื่อว่า นายโรเบิร์ต รูบิน กล่าวว่า ได้เสนอขายพันธบัตรของธนาคาร ในระดับการลงทุนประเภท จังค์บอนด์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เสนอให้สูงมากถึง 11% ให้กับกองทุนรัฐบาลข้ามชาติ ที่มีชื่อว่า อาบูดาบี้ อินเวสต์เม้นต์ ส่งผลให้ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ได้รับเงินสดจากการเสนอขายพันธบัตรดังกล่าวสูงถึง 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.25 แสนล้านบาท ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรดังกล่าว สูงกว่าถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับอัตราทั่วไปของธนาคาร

คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล ชี้ มีสภาพคล่องพอ ปล่อยสินเชื่อบ้านได้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น สถาบันการเงินด้านสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เปิดเผยว่า ในขณะนี้ บริษัทมีเม็ดเงิน หรือสภาพคล่องมากพอ ที่จะดำเนินการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวต่อไปในอนาคต ถึงแม้ว่าภาวะวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ จะไม่สามารถแก้ไขได้ในเร็ววัน ซึ่งซีอีโอบริษัทดังกล่าว มองว่า นับเป็นภาวะที่เลวร้ายมากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยครั้งใหญ่ หรือ The Great Depression ในช่วงยุค 1970

เฟรดดี้ แม็ค เสนอขายหุ้นเพิ่มลดจ่ายเงินปันผลครึ่งหนึ่ง
นาย ริชาร์ด ไซร่อน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอของ เฟรดดี้ แม็ค ยักษ์ใหญ่ด้านสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยอันดับ 2 ในสหรัฐ กล่าวว่า เตรียมที่จะเสนอขายหุ้นบุริมสุทธ์ในมูลค่าสูงถึง 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.04 แสนล้านบาท เพื่อนำเงินสดจากนักลงทุนเข้ามาเสริมสภาพคล่อง ไม่เพียงเท่านั้น ยังเตรียมที่จะประกาศปรับลดอัตราการจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่ม่ต่อผู้ถือหุ้นลงเป็นมูลค่าครึ่งหนึ่ง หรือราว 8.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะทำให้สามารบรรเทาปัญหาหนี้สูญ ที่สะท้อนผ่านจากการผิดนัดชำระหนี้ที่พุ่งสูงขึ้น

เจพี มอร์แกน ชี้ ธนาคารทั่วโลกเสียหายกว่า 2 ล้านล้านบาทจาก Subprime
ธนาคาร เจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ในสหรัฐ โดยนาย คริสโตเฟอร์ แฟลเนแกน หัวหน้านักวิเคราะห์เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า มูลค่าความเสียหายของธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพคล่อง และตราสารหนี้ซีดีโอด้อยคุณภาพ หรือ Subprime อาจมีสูงถึง 7.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.6 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ มูลค่าความเสียหายเฉพาะส่วนของสินเชื่อ Subprime อาจมีถึง 2.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 8.8 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ 3 ธนาคารชั้นนำในสหรัฐ มีผลขาดทุนรวมกัน 1.6 ล้านล้านบาท

เฟด สาขาชิคาโก้ เชื่อเศรษฐกิจสหรัฐปีหน้า ฟื้นช่วงปลายปี
ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาชิคาโก้ นาย ชาร์ล อีแวน กล่าวว่า โดยส่วนตัวมีความเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐ จะเริ่มฟื้นตัว และกลับไปมีอัตราการขยายตัวระดับ 2.5% ในช่วงปลายปีหน้า ท่ามกลางปัจจัยของความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่มากในระบบ อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐ พื้นตัวขึ้นมาดังกล่าว มาจาก การขยายตัวของภาคการส่งออก ที่ได้อานิสงค์จากค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง การมีประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงมากขึ้น และการใช้จ่ายของภาคเอกชนสหรัฐ ที่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในปีหน้า

เฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย ย้ำปัจจัยลบเศรษฐกิจสหรัฐ อยู่ที่ภาคก่อสร้าง
นาย ชาร์ล พรอสเวอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยว่า เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่า เศรษฐกิจสหรัฐ จะเข้าสู่ภาวะการชะลอตัวลงในปีหน้า และได้นำไปสู่การตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด ที่ปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในการประชุมเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ดังนั้น โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ได้มีความโน้มเอียงแต่อย่างใด ที่จะต้องปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก ยกเว้น กรณีที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ เกิดการชะลอตัวลงมากกว่าที่ประเมินไว้ และกลายเป็นปัจจัยลบที่สะสมมากขึ้น

เฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย ย้ำปัจจัยลบเศรษฐกิจสหรัฐ อยู่ที่ภาคก่อสร้าง
ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่กดดันให้เศรษฐกิจสหรัฐ ชะลอตัวลงในปีหน้า มาจากภาคการก่อสร้างบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวในปลายปีหน้า สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน จะเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนหลังของปีหน้า ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐ จะมีจีดีพี หรือการขยายตัวที่ระดับ 2.5% ในปีหน้า ทั้งนี้ นาย ชาร์ล พรอสเวอร์ ผู้ว่าเฟดสาขาดังกล่าว มองว่า อัตราการว่างงานในสหรัฐปีหน้าจะพุ่งขึ้นแตะ 5% ซึ่งยังคงเป็นอัตราที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

มอร์แกน สแตนเล่ย์ ชี้ กองทุนรัฐบาลเอเชีย ลงทุนพุ่งสูงขึ้น
มอร์แกน สแตนเล่ย์ ชี้ว่า กองทุนรัฐบาลเพื่อการลงทุนแห่งชาติจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง และเอเชีย ได้มีการเข้าไปลงทุนในสถาบันการเงินของชาติตะวันตกรวมกันทั้งสิ้นสูงถึง 3.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.25 ล้านล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองในการลงทุนที่เป็นบวก ท่ามกลางวิกฤตการเงิน และสภาพคล่องที่เกิดขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนประเภทอื่นๆ ทั้งนี้ เป้าหมายการลงทุนของกองทุนดังกล่าว จะเน้นไปที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ตลาดหุ้น และตลาดสินทรัพย์อื่นๆ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news29/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 29, 2007 7:01 pm
โดย chartchai madman
รองประธานเฟด ส่งสัญญาณดอกเบี้ยนโยบาย ต้องยืดหยุ่น
นายโดนัลด์ โคห์น รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวปาฐกถาที่สภาความสัมพันธ์ต่างประเทศ ว่า ความไม่แน่นอนที่เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มสูงมากขึ้นในขณะนี้ ดังนั้น ปัจจัยแห่งความไม่แน่นอนเหล่านี้ ต้องได้รับการแก้ไขด้วย การตัดสินใจที่มีความยืดหยุ่น และสมเหตุสมผล นั่นหมายถึง ความคล่องตัวสูงของนโยบายการเงิน คือ คำที่เน้นมาตลอดในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ภาวะตึงตัวของสินเชื่อในระบบ ย้อนกลับมาอีกครั้งหลังกลางเดือนสิงหาคม

รองประธานเฟด ชี้ สภาพคล่องปั่นป่วนล่าสุด กดดันประชุมเฟด
นายโดนัลด์ โคห์น รองประธานเฟด กล่าวต่อไปว่า ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นกับสภาพคล่องในระบบ ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น บางส่วนมีผลทำให้พัฒนาการที่เริ่มดีขึ้น ของสภาพคล่องในระบบเมื่อเดือนกันยายน และตุลาคมที่ผ่านมาย้อนกลับในทางที่น่ากังวล ดังนั้น หากภาวะปั่นป่วนดังกล่าวยังคงมีต่อเนื่อง อาจเป็นการเพิ่มโอกาสให้เงื่อนไข และข้อจำกัดทางการเงินเกิดขึ้นกับผู้บริโภคชาวอเมริกัน และภาคธุรกิจเอกชน ทั้งนี้ รองประธานเฟด ชี้ว่า เป็นสิ่งที่กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน ต้องหารือในการประชุม 11 ธันวาคม

รองประธานเฟด เห็นแตกต่างจาก 3 ผู้ว่าการเฟด
การส่งสัญญาณดังกล่าวของ นาย โดนัลด์ โคห์น รองประธานเฟดคืนที่ผ่านมา มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความคิดเห็นทั้ง 3 คน ได้แก่ นาย ชาร์ลส พรอสเวอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย นาย ชาร์ลส อีแวนส์ ผู้ว่าการเฟด จากสาขาชิคาโก้ และนาย แรนดัล ครอสเนอร์ ผู้ว่าการเฟด ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา มองว่าการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้น ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา น่าจะเพียงพอในการรองรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดดอกเบี้ยในเดือนหน้า

รองประธานเฟด ชี้ ตลาดบ้านในสหรัฐ ทรุดต่ำต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รองประธานเฟดวัย 65 ปี ยังมองว่า อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ จะยังคงทรุดตัวลงต่อเนื่อง และอาจทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วอีก ทำให้ยังไม่เห็นถึงจุดต่ำสุดของวิกฤตดังกล่าวที่เกิดขึ้นอย่างเลวร้ายที่สุดในรอบ 16 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ สภาพคล่องที่ตึงตัวไม่สิ้นสุดในระบบการเงิน โดยเฉพาะเงินกู้ระหว่างธนาคารพาณิชย์ระยะสั้นขณะนี้ กลายเป็นแรงกดดันอย่างมากในกลไลสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ภาคแรงงานในสหรัฐ ยังคงเป็นภาคที่มีความแข็งแกร่งในขณะนี้

เฟด เปิดรายงาน ชี้ ความต้องการซื้อบ้านหดตัวหนักถึงปีหน้า
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลงในเดือนตุลาคม มาถึงช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำ ฉุดราคาบ้านลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะสินเชื่อบ้านที่ยังคงตึงตัว และเข้มงวดต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มผู้ซื้อบ้านที่เป็นเป้าหมายในตลาดดังกล่าว ตัดสินใจชะลอการซื้อออกไป ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวของเฟด ระบุเพิ่มเติมว่า ความต้องการในการซื้อหาบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย ยังคงหดตัวต่อเนื่อง ภาวะเช่นนี้จะกลับมาฟื้นตัวในช่วงปีหน้าเป็นอย่างช้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news29/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 29, 2007 7:02 pm
โดย chartchai madman
ธนาคารแบร์สเติร์น ปลดพนักงานเพิ่มอีก 650 คน
ธนาคารแบร์สเติร์น ประกาศปลดพนักงานของธนาคารทั่วโลกเพิ่มอีก 650 คนหรือราว 4% ของจำนวนทั้งหมด สาเหตุจาก ธนาคารดังกล่าวยังคงคาดการณ์ว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ยังคงย่ำแย่ต่อไปจากวิกฤตสภาพคล่อง และตราสารหนี้สับไพร์ม ส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารแบร์สเติร์น ทรุดต่ำลงมากถึง 39% ตั้งแต่ต้นปีนี้ ทั้งนี้ ธนาคารดังกล่าว เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่า ต้องปลดพนักงานออกราว 9% จากจำนวนการจ้างงานที่สูงสุดในช่วงที่ผ่านมา หากนับตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมปีนี้ มีพนักงานถูกปลด 1,490 คน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news29/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 29, 2007 7:08 pm
โดย chartchai madman
สถาบันการเงินญี่ปุ่นอาจขาดทุนซับไพรม์ถึง 6.26 แสนล้านเยนในงบปีนี้
รายงานงบการเงินล่าสุดของสถาบันการเงินญี่ปุ่นแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่บรรดาสถาบันการเงินเหล่านั้นจะขาดทุนรวมกัน 6.26 แสนล้านเยน ในปีงบการเงิน 2550 ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตเงินกู้ตลาดซับไพรม์ของสหรัฐ โดยในครึ่งแรกของปีงบการเงิน หรือ ช่วงเดือนเมษายน-กันยายน บรรดาธนาคาร เครดิต ยูเนี่ยน และสถาบันการเงินอื่นๆ เปิดเผยผลขาดทุนที่เกี่ยวเนื่องกับซับไพรม์ไปแล้ว 3.70 แสนล้านเยน ซึ่งรวมถึงโนมูระ โฮลดิ้งส์ อิงค์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ที่ขาดทุนเป็นเงิน 1.456 แสนล้านเยน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news01/12/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 01, 2007 5:15 pm
โดย chartchai madman
ชี้ปีหน้าซับไพรม์ลามเอเชีย-ลูกหนี้สหรัฐ 2 ล้านคนเสี่ยงถูกยึดบ้าน!  
   
ผู้เชี่ยวชาญชี้ วิกฤตซับไพร์มยังแค่เริ่มต้น คาดส่งผลกระทบลามถึงเอเชียปีหน้า โดยเฉพาะฮ่องกงและสิงคโปร์ ขณะที่ลูกหนี้ชาวอเมริกัน 1.5-2 ล้านคนอาจต้องถูกยึดบ้านเพื่อใช้หนี้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนว่า นายเรย์ เฟอร์กูสัน ผู้บริหารคนใหม่ของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวต่อกลุ่มสภาหอการค้าอังกฤษว่า วิกฤตจากผลกระทบปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือซับไพรม์สหรัฐยังเป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้น หรือการจบของภาคแรกเท่านั้น โดยในปีหน้า ทั่วโลกจะต้องเผชิญกับการสูญเสียเงินเป็นจำนวน 50,000 ล้านดอลลาร์ จากวิกฤตซับไพรม์ โดยบริษัทใหญ่ ๆ ของสหรัฐในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และธนาคารยุโรป อาจต้องสูญเสียเงินจำนวน 40,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อล้างหนี้จากปัญหาดังกล่าว

ขณะที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของธุรกิจที่อยู่อาศัยของสหรัฐจะถูกปรับให้สูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการที่ลูกหนี้จะระงับการชำระหนี้ โดยประเมินว่า ในปีหน้าชาวอเมริกัน 1.5-2 ล้านคนอาจจะต้องถูกยึดบ้าน และกลายปัญหากระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ นายเรย์กล่าวด้วยว่า กล่าวว่า วิกฤตซับไพรม์จะกระทบต่อเศรษฐกิจเอเชียที่พึ่งพาการบริโภคจากสหรัฐอย่างยิ่งด้วย โดยเฉพาะสิงคโปร์และฮ่องกง และจะส่งผลให้ตลาดสินเชื่อเอเชียชะลอตัว และมีการคุ้มเข้มการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 99&catid=2

news03/12/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 03, 2007 7:14 pm
โดย chartchai madman
จับตาสหรัฐเอาจริงแก้วิกฤตซับไพร์ม ออกนโยบายยืดหยุ่นการชำระหนี้ อาจมีข่าวดีกระตุ้นตลาดพรุ่งนี้

Posted on Monday, December 03, 2007

หลังจากนายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ออกมาให้สัมภาษณ์ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมจำนอง กำลังทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาวิธีการช่วยเหลือลูกหนี้ลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) ที่ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบปรับได้ให้สามารถรักษาบ้านของตนเองไว้ เพราะลูกหนี้กลุ่มนี้ ไม่มีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยได้ หากมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่สูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่จะสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ถ้าหากมีการตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม

ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐ ได้เริ่มต้นหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดรายละเอียดของแผนช่วยเหลือเจ้าของบ้าน โดยจะใช้วิธีตรึงอัตราดอกเบี้ยในสัญญาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยกู้ให้แก่ลูกหนี้ซับไพร์ม ในสหรัฐเป็นเวลาไม่เกิน 7 ปี

ขณะนี้อุตสาหกรรมจำนอง และนักลงทุนกำลังกำหนดรายละเอียดของแผนการดังกล่าว และทั้งสองกลุ่มนี้จำเป็นต้องแบกรับต้นทุนในส่วนนี้ โดยยังไม่มีความชัดเจนมากพอว่า สัญญาจำนองประเภทใดบ้าง จะได้รับอนุญาตให้มีการตรึงอัตราดอกเบี้ยได้โดยอัตโนมัติเป็นเวลา 5 - 7 ปี

แต่จากรายงานในสื่อต่าง ๆ ของสหรัฐ ระบุตรงกันว่า ในเบื้องต้น สัญญาจำนองที่จะเข้าข่ายนี้คือสัญญาจำนองที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำในช่วง 2 - 3 ปีแรก แต่ก็อาจมีการพิจารณาให้สัญญาจำนองซับไพร์มแบบธรรมดาที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ในระยะยาวได้รับการแก้ไขได้ด้วย

โดยนางชีลา แบร์ ประธานกรรมการบรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เป็นผู้เสนอให้มีการเจรจาต่อรองเรื่องการตรึงดอกเบี้ยจำนองเป็นเวลา 5 - 7 ปี

สำหรับตัวเลขประเมินสัญญาจำนองที่จะถูกปรับดอกเบี้ยใหม่นี้อยู่ในระดับที่แตกต่างกันไป โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางสหรัฐประเมินว่า สัญญาจำนอง 2 ล้านฉบับจะถูกปรับดอกเบี้ยใหม่ และลูกหนี้ราว 500,000 รายในจำนวนนี้อาจต้องสูญเสียบ้านของตนเอง

ซึ่งในประเด็นนี้ กลุ่มที่ประชุมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์แห่งสหรัฐ (ASF) ซึ่งเป็นกลุ่มตัวแทนของนักลงทุนรายใหญ่ในสัญญาจำนอง เช่น กองทุนเงินบำเหน็จบำนาญและกองทุนรวม ประกาสแล้วว่า พร้อมให้การสนับสนุนการแก้ไขสัญญาสินเชื่อในสถานการณ์ที่เหมาะสม

นายทอม ดอยช์ รองผู้อำนวยการบริหาร ASF กล่าวว่า มาตรการที่เรียบง่ายในการจำกัดความเสียหาย จะช่วยเหลือผู้ให้บริการในการจัดการกับความรับผิดชอบของตน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในตลาด และจะสามารถรักษาสมดุลของผลประโยชน์ระหว่างลูกหนี้กับนักลงทุนได้อย่างเหมาะสม

ด้านธนาคารดอยช์ แบงก์ ได้เปิดเผยในรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า แผนการของนายพอลสัน ตั้งเป้าหมายไปที่กลุ่มเจ้าของบ้านที่ถือครองกรรมสิทธิ์บางส่วนในบ้านและกำลังจะพบกับการปรับอัตราดอกเบี้ยจำนองเป็นครั้งแรก โดยสัญญาจำนองส่วนนี้มีจำนวนราว 1.2 ล้านสัญญา และมีมูลค่า 2.58 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1 ใน 3 ของสัญญาจำนองซับไพร์มที่ยังไม่ได้ชำระหนี้ของผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงที่ดินลำดับแรก

โดยปัญหาสำคัญในขณะนี้คือการที่นักลงทุนอาจฟ้องร้องทางกฎหมาย ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้ คือกลุ่มที่ซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง และหลักทรัพย์ดังกล่าว ระบุว่า จะจ่ายอัตราผลตอบแทนจำนวนหนึ่งโดยตั้งอยู่บนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนอง ดังนั้น หากมีการตรึงอัตราดอกเบี้ยจำนองโดยอัตโนมัติ โดยไม่มีการแยกพิจารณาสัญญาจำนองแต่ละราย นักลงทุนก็อาจมีเหตุผลเพียงพอที่จะฟ้องร้องผู้ให้บริการจำนองได้

ขณะที่นายอาจาย ราจาธยาคชา หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนตราสาร ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ ของบริษัทบาร์เคลย์ส แคปิตอล กล่าวว่า แผนการนี้อาจให้ประโยชน์แก่ลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้

นอกจากนั้น ผู้ให้บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้ควบคุมกฎระเบียบของรัฐบาลกลาง ซึ่งรวมถึงสำนักงานกำกับดูแลเงินออม และสำนักงานควบคุมเงินตราแห่งสหรัฐ เพื่อช่วยในการจัดการกับคดีความทางกฎหมาย

ถึงแม้การบรรลุข้อตกลงเรื่องการแก้ไขสัญญาจำนองในวงกว้างเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่กรณีแบบนี้ เคยเกิดขึ้นมาในสหรัฐแล้วครั้งหนึ่ง ในปี 2549 หลังจากเกิดเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคทรินา บริษัทแฟนนี เม และบริษัทเฟรดดี แมคของสหรัฐก็กำหนดช่วงเวลาผ่อนผันชำระหนี้ที่ยาวนานขึ้นเพื่อช่วยเหลือเจ้าของบ้านในแถบกัลฟ์โคสต์ที่ประสบกับภัยพิบัติให้สามารถชำระหนี้ช้ากว่ากำหนดได้

อย่างไรก็ตาม การเจรจาต่อรองระหว่างผู้ปล่อยกู้ ผู้ให้บริการ กลุ่มนักลงทุน และผู้ควบคุมกฎระเบียบ และฝ่ายอื่น ๆ ในครั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้นายเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ สามารถประกาศกรอบการทำงานสำหรับแผนการดังกล่าวได้ในคืนวันนี้ ก่อนประกาศรายละเอียดทั้งหมดได้ภายในคืนวันพุธที่ 5 ธันวาคมนี้
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news05/12/07

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 05, 2007 10:25 pm
โดย chartchai madman
คลังสหรัฐ เตรียมคลอดแผนสยบวิกฤตสินเชื่อ Subprime 6 ธ.ค. มั่นใจได้แรงหนุนทุกฝ่าย
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, December 04, 2007
รัฐมนตรีคลังสหรัฐ มั่นใจ ได้แรงหนุนแผนแก้ Subprime
นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวอย่างมั่นใจว่า ทั้งฝ่ายรัฐบาล ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน จะมีความมั่นใจในแผนการแก้ไขวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime ภายในวันที่ 6 ธ.ค.นี้อย่างแน่นอน ล่าสุด รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ สถาบันการเงินด้านสินเชื่อ และบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อโน้มน้างให้มีการแก้ไขอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสินเชื่อ อสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่จะถึงระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อดังกล่าวเพิ่มสูงมากขึ้น

คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล มั่นใจไม่ล้มละลาย
นายแองเจโล่ โมซิโล่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น  ยืนยันว่า บริษัทยังไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องขออำนาจศาลพิทักษ์ทรัพย์สินทั้งหมด เนื่องจาก มั่นใจว่าฐานะของบริษัทไม่ถึงขั้นล้มละลาย เพราะไม่มีสัญญาณใดๆที่ต้องทำให้เชื่อเช่นนั้น ซีอีโอ คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล ย้ำว่า สถานะของบริษัทมีความมั่นคง แข็งแกร่ง โดยเฉพาะสถานะทางการเงิน ทั้งนี้ บริษัท กำลังอยู่การขั้นตอนการเจรจาขอเพิ่มสภาพคล่องจากแบงก์ออฟอเมริกา มูลค่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.8 หมื่นล้านบาท

คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล วอนรัฐบาลสหรัฐ ช่วยแก้วิกฤต
นายแองเจโล่ โมซิโล่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นเป็นสถาบันการเงินสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ กล่าวเรียกร้องให้ รัฐบาลสหรัฐ เพิ่มมาตรการสำคัญในการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนแนวคิดที่ต้องการให้ 2 สถาบันการเงินสินเชื่อของรัฐบาลที่มีชื่อว่า แฟนนี่ เมย์ และเฟรดดี้ แม็ค เข้าซื้อสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีปัญหาจาดตลาดสินเชื่อในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมในการแก้ไขวิกฤตสินเชื่อที่เกิดขึ้น

เฟด สาขาซานฟรานซิสโก ชี้ กำลังซื้อคนอเมริกันทรุดกว่าที่คาด
นางแจนเน็ท เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่า ภาวะตลาดเงิน และกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอเมริกันในช่วงที่ผ่านมา อยู่ในภาวะตกต่ำมากกว่าที่ประเมินไว้ ส่งผลให้อาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐใหม่ ที่สำคัญ ต้องเน้นถึงปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งใช้ประกอบการคาดการณ์เศรษฐกิจในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการวัย 61 ปี สาขาซานฟรานซิสโก ไม่ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน แบงก์ชาติสหรัฐ จนกระทั่งถึงปี 2552

ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ชี้ เฟด อาจลดดอกเบี้ยถึง 1% ปีหน้า
ลิวอิส อเล็กซานเดอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ชี้ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยระยะสั้นถึง 1% จากนี้ไปจนถึงก่อนเดือนมิถุนายนในปีหน้า เพื่อเป้าหมายในการแก้ไขภาวะถดถอยอย่างหนักของภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ คาดว่า ในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค.นี้ เฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% และในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า เฟด จะกดดอกเบี้ยลงอีกราว 2 ครั้งรวมกัน 0.5% และเฟดไม่ได้ให้น้ำหนักมากนักกับค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลง

ตลาดรถยนต์สหรัฐยังทรุดลงต่อเนื่อง
ตลาดรถยนต์สหรัฐเดือนพฤศจิกายนยังคงซบเซาต่อเนื่อง นำโดยยอดขายจากค่ายผลิตรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และของโลก เจนเนอรัล มอเตอหรือจีเอ็ม มียอดขายตกต่ำมากถึง 11% ในเดือนที่ผ่านไป จากสาเหตุของราคาน้ำมันสำเร็จรูปทั่วไปมีราคาแพงมากขึ้นต่อเนื่อง และการถดถอยครั้งสำคัญของภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ยอดขายของค่ายผลิตรถยนต์อันดับ 2 ในสหรัฐ ฟอร์ด มอเตอร์ กลับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งนับเป็นเดือนแรก สอดคล้องกับ ยอดขายรถยนต์โตโยต้า มอเตอร์ ที่ยังคงเพิ่มขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news06/12/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2007 3:34 pm
โดย chartchai madman
จอร์จ บุช จับมือรัฐมนตรีคลังสหรัฐ แถลงตรึงดอกเบี้ยสินเชื่อ Subprime นาน 5 ปี วันพรุ่งนี้

Date:  2007-12-06 10:04:57
Source: OTH

จอร์จ บุช เตรียมแถลง ตรึงดอกเบี้ย Subprime นาน 5 ปี
ประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ ดับเบิลยู บุช เตรียมเปิดแถลง แผนแก้ไขวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือสินเชื่อ Subprime ร่วมกับรัฐมนตรีคลังสหรัฐ นาย เฮนรี่ พอลสัน ที่กรุงวอชิงตั้น ดีซี ในวันพรุ่งนี้ (7 ธ.ค. 50) เวลา 13.45 น. ตามเวลาในสหรัฐ ซึ่งนับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของกระทรวงการคลังสหรัฐ และบรรดาสาบันการเงินทุกประเภท รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนในสหรัฐ ที่ต้องการสกัดกั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสินเชื่อ ที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

แผนตรึงดอกเบี้ย Subprime 5 ปีเน้นแก้ อัตราผิดนัดชำระหนี้พุ่ง
แผนการแก้ไขวิกฤตสินเชื่อ Subprime ดังกล่าว มุ่งเน้นที่ การแก้ไขอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของลูหนี้สินเชื่อบ้านที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้ข้อตกลงสำคัญในการแผนแก้ไขดังกล่าว เน้นให้ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยทุกรูปแบบ ตรึงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมประเภท Subprime ไปอย่างย้อย 5 ปี เริ่มจากปีหน้าเป็นต้นไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เฮนรี่ พอลสัน มีความพยายามอย่างมากในการเจรจาร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ เพื่อหยุดยั้งภาวะอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ ที่เริ่มถดถอยมาติดต่อกันถึ
http://www.settrade.com/NewsEngineConte ... d=&source=

news06/12/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2007 7:37 pm
โดย chartchai madman
จอร์จ บุช จับมือรัฐมนตรีคลังสหรัฐ แถลงตรึงดอกเบี้ยสินเชื่อ Subprime นาน 5 ปี วันพรุ่งนี้

Posted on Thursday, December 06, 2007
จอร์จ บุช เตรียมแถลง ตรึงดอกเบี้ย Subprime นาน 5 ปี
ประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ ดับเบิลยู บุช เตรียมเปิดแถลง แผนแก้ไขวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือสินเชื่อ Subprime ร่วมกับรัฐมนตรีคลังสหรัฐ นาย เฮนรี่ พอลสัน ที่กรุงวอชิงตั้น ดีซี ในวันพรุ่งนี้ (7 ธ.ค. 50) เวลา 13.45 น. ตามเวลาในสหรัฐ ซึ่งนับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของกระทรวงการคลังสหรัฐ และบรรดาสาบันการเงินทุกประเภท รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนในสหรัฐ ที่ต้องการสกัดกั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสินเชื่อ ที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

แผนตรึงดอกเบี้ย Subprime 5 ปีเน้นแก้ อัตราผิดนัดชำระหนี้พุ่ง
แผนการแก้ไขวิกฤตสินเชื่อ Subprime ดังกล่าว มุ่งเน้นที่ การแก้ไขอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของลูหนี้สินเชื่อบ้านที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้ข้อตกลงสำคัญในการแผนแก้ไขดังกล่าว เน้นให้ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยทุกรูปแบบ ตรึงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมประเภท Subprime ไปอย่างย้อย 5 ปี เริ่มจากปีหน้าเป็นต้นไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เฮนรี่ พอลสัน มีความพยายามอย่างมากในการเจรจาร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ เพื่อหยุดยั้งภาวะอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ ที่เริ่มถดถอยมาติดต่อกันถึง 3 ปี

นักวิชาการชื่อดังในสหรัฐ หนุนแผนแก้สินเชื่อ Subprime
นายไมเคิล บารร์ ศาสตราจารย์ชื่อดังสาขากฎหมาย จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในสหรัฐ และเป็นอดีตที่ปรึกษา นาย โรเบิร์ต รูบิน อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า การตรึงช่วงระยะเวลาที่จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime ออกไป นับว่าเป็นหัวใจของการแก้วิกฤตสินเชื่อในครั้งนี้ ที่สำคัญ เป็นวิธีคิดที่หลายฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นสอดคล้องกัน ทั้งนี้ มีลูกหนี้สินเชื่อ Subprime มากกว่า 30% ของลูกหนี้ทั้งหมด ที่ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น กลายเป็นลูกหนี้ที่ชำระหนี้ล่าช้ากว่ากำหนด

เตรียมตรึงดอกเบี้ย Subprime ช่วง ม.ค.2551 และ ก.ค. 2553
มาตรการตรึงดอกเบี้ยสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime เป็นเวลา 5 ปี จะนำมาใช้กับธุรกรรมสินเชื่อ Subprime ที่มีการขอกู้ระหว่าง ม.ค.2005 หรือในปี 2548 ไปถึง ม.ค.ปี 2007 ซึ่งการขอกู้ยืมที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ Subprime เพิ่มสูงขึ้นในเดือน ม.ค.ปี 2551 และในเดือน ก.ค. ปี 2010 หรือในปี 2553 นอกจากนี้ ลูกหนี้สินเชื่อ Subprime ที่มีคะแนนความน่าเชื่อถือต่ำกว่า 660 จากมาตรฐานที่ 850 คะแนน และยังไม่ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 10% นับตั้งแต่กู้ยืม จะได้รับสิทธิเป็นกลุ่มแรก

ให้สิทธิลูกหนี้สินเชื่อ Subprime ที่มีคะแนนต่ำกว่า 660 คะแนน
สำหรับลูกหนี้สินเชื่อ Subprime ที่มีคะแนนความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ 661 คะแนนขึ้นไปนั้น กระทรวงการคลังสหรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะพิจารณาอย่างละเอียดว่า ลูกหนี้กลุ่มนี้ มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือตามแผนแก้ไขวิกฤตสินเชื่อ Subprime หรือไม่ หรือจะต้องรับผิดชอบต่อภาระการชำระหนี้ ตามการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ธนาคารเครดิต สวิส กรุ๊ป ชี้ว่า เจ้าบ้านชาวอเมริกัน จำนวน 775,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งมีมูลค่าสินเชื่อ Subprime สูงถึงราว 4.86 ล้านล้านบาท กำลังจะเริ่มเข้าสู่การผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงมากขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า

ฮิลลารี่ คลินตั้น เรียกร้อง ธนาคาร ยกหนี้สินเชื่อ Subprime 90 วัน
วุฒิสมาชิกหญิง นางฮิลลารี่ คลินตั้น กล่าวเรียกร้องให้บรรดาธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินทุกแห่ง ยินยอมยกหนี้สินเชื่อ Subprime ให้กับลูกหนี้ดังกล่าว ในช่วงระยะเวลา 90 วัน หรือ 3 เดือนจากนี้เป็นต้นไป เพื่อต้องการให้บรรดาลูกหนี้สินเชื่อ Subprime ที่ต้องประสบกับความยากลำบาก ได้เปิดการเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อลดความเสี่ยงสูงที่จะต้องสูญเสียบ้านในที่สุด นอกจากนี้ นางฮิลลารี่ คลินตัน ยังเรียกร้องการสนับสนุนจากธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน ให้เห็นด้วยในแผนการแก้ไขวิกฤตสินเชื่อ Subprime 5 ปี

คลังสหรัฐ ชี้ ความปั่นป่วนจาก Subprime จะเพิ่มมากขึ้นปีหน้า
นายแอนโทนี่ ไรอัน ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวว่า ภาวะตลาดทุนในขณะนี้ กำลังเกิดความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตสินเชื่ออีกครั้ง นำไปสู่สภาพคล่อง และสินเชื่อที่ตึงตัวในทุกกลุ่มธุรกิจ จากภาวะเช่นนี้ ทำให้ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร ที่จะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนสหรัฐ นอกจากนี้ อาจได้เห็นความท้าทายที่เกิดขึ้นจากวิกฤตดังกล่าวในอนาคตอีกมากมาย รวมถึงความปั่นป่วนอื่น ๆ เนื่องจาก รายการหนี้เสียที่มาจากสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ยังคงมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง

ราคาบ้านในสหรัฐ ร่วงลงต่ำสุดรอบ 25 ปี
นาย แฟร็งค์ นอท์ทาฟ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัท เฟรดดี้ แม็ค เผยผลสำรวจราคาบ้านในสหรัฐประจำรายไตรมาส ล่าสุด พบว่า ราคาบ้านในสหรัฐช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ มีราคาตกต่ำมากที่สุดในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา โดยมีค่าดัชนีราคาบ้านในช่วงเดือน ก.ค. ก.ย.ของปีนี้ทรุดลง 1.3% นอกจากนี้ จำนวนบ้านที่ขายในตลาด และบ้านสำหรับครอบคัวเดี่ยว ที่ยังคงรอการขาย ทั้ง 2 ประเภท พุ่งสูงขึ้น 10.5% ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมาอีกด้วย ซึ่งกลายเป็นสถิติที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 1985 หรือในปี 2528 หรือในรอบ 22 ปี

แฟนนี่ เมย์ ลดจ่ายเงินปันผล 30% เสริมสภาพคล่องธนาคาร
แฟนนี่ เมย์ สถาบันการเงินด้านสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยของรัฐบาล ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ประกาศ ลดจ่ายเงินปันผลมากถึง 30% และยังเตรียมหานักลงทุนเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ มูลค่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.38 แสนล้านบาท เพื่อเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนให้เพิ่มสูงมากขึ้นตลอดปีหน้า รองรับกับภาวะตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวใกล้เคียงกับเฟรดดี้ แม็ค ที่ตัดลดเงินปันผลถึง 50% และขายหุ้นบุริมสุทธิ์ มูลค่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ราว 2 แสนล้านบาท

คาดชาวอเมริกันล้มละลายมากขึ้นในปีหน้า
นายซามัวร์ เจอดาโน่ กรรมการผู้อำนวยการ สถาบันการล้มละลายผู้บริโภคชาวอเมริกัน กล่าวว่า หนี้สินของครัวเรือนชาวอเมริกัน และภาวะตลาดบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยที่ถดถอยอย่างหนัก และต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นจากวิกฤตสินเชื่อ Subprime จะส่งผลให้จำนวนผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องล้มละลายเพิ่มสูงมากขึ้นในปีหน้า ทั้งนี้ สถาบันดังกล่าว ร่วมกับศูนย์วิจัยภาวะล้มละลายแห่งชาติสหรัฐ ได้เปิดเผยตัวเลขการล้มละลายของชาวอเมริกันในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่า พุ่งสูงขึ้น 28% เทียบกับช่วงเดี่ยวกันในปีที่ผ่านมา

โกลด์แมน แซ็ค ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐ เริ่มฟื้นตัวกลางปีหน้า
หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โกลด์แมน แซ็ค นาย แอบบี้ โจเซฟ โคเฮน เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ จะเริ่มพลิกฟื้นในช่วงกลางปีหน้าเป็นต้นไป แต่ในระยะสั้น เศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงอยู่ในช่วงยากลำบาก นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐ ยังสามารถที่จะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอย โดยอาศัยปัจจัยบวกหลายอย่างเช่น การส่งออกสหรัฐ ที่จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 10 - 12% แนวโน้มการเพิ่มการใช้จ่าย และการลงทุนของภาคเอกชนสหรัฐ และความเอาใจใส่ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ในการดำเนินนโยบายการเงิน

Hedge Fund ขาดทุนหนักจาก Subprime มากที่สุดในรอบ 7 ปี
ผลสำรวจที่มีชื่อว่า Hedge Fund Research เปิดเผยว่ากองทุนประกันความเสี่ยง หรือHedge Fund ต้องประสบกับการล่มสลายในช่วง ปี 2000 หรือในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา โดยค่าดัชนีเรียกว่า โกลบอล์ Hedge Fund อินเด็กซ์ ที่มีมูลค่า 1.33 ล้านๆเหรียญสหรัฐนั้น ต้องขาดทุนมากถึง 2.6% ในช่วง 29 วันแรกของเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น นับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีนี้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตสภาพคล่อง ฉุดดัชนีลงถึง 2.55% ทั้งนี้ ค่าดัชนีดังกล่าว เคยทรุดลงต่ำมากถึง 3.9% ในเดือนเมษายน ปี 2543

ดาวเคมีคัล ปลดพนักงานออก 1 พันคน ปิดโรงงานบางแห่งทั่วโลก
บริษัท ดาว เคมีคอล ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตเคมีภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และยังเป็นบริษัทชั้นนำในวงการอุตสาหกรรมดังกล่าวของโลก ประกาศมาตรการลดต้นทุนครั้งใหญ่ ด้วยการปลดพนักงานออกมากถึง 1 พันคน พร้อมปิดโรงงานทั่วโลกในหลายประเทศ เช่น บราซิล ฝรั่งเศส และสหรัฐ ส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายมากถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 20,400 ล้านบาท ทั้งนี้ ทั้งนโยบาย และมาตรการดังกล่าว เป็นการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ หลังจากที่กำลังซื้อเคมีภัณฑ์ทรุดตัวลงจากบริษัทชั้นนำ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news07/12/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 07, 2007 7:24 pm
โดย chartchai madman
จอร์จ บุชประกาศตรึงดอกเบี้ยสินเชื่อ Subprime นาน 5 ปี ช่วยลูกหนี้ได้กว่า 1.2 ล้านคน
Posted on Friday, December 07, 2007
จอร์จ บุช แถลงมาตรการแก้ลูกหนี้สินเชื่อ Subprime
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐ และ เฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ แถลงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้บ้านสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime คืนที่ผ่านมา ระบุมาตรการดังกล่าว สามารถช่วยเหลือชาวอเมริกันที่กำลังจะสูญเสียบ้านรวม 1.2 ล้านคน จากการถึงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ Subprime ผู้นำสูงสุดสหรัฐ ย้ำว่า มาตรการที่จะมีผลนั้น ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือเจ้าหนี้แต่อย่างใด ทั้งหมด เป็นการยกเครื่องกระบวนการพิจารณาสินเชื่อ Subprime ใหม่สำหรับลูกหนี้ที่มีปัญหา มั่นใจว่า แก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น

มาตรการเน้นแก้ลูกหนี้ Subprime ที่กำลังจะปรับขึ้นดอกเบี้ย
บนหลักการสำคัญในการตรึงดอกเบี้ยนาน 5 ปี จากหลักการดังกล่าว จะไม่ครอบคลุมลูกหนี้สินเชื่อ Subprime ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเริ่มปรับ และลูกหนี้ Subprime ที่ผิดนัดชำระหนี้มากกว่า 60 วันขึ้นไปในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา นอกเหนือจากหลักการดังกล่าว ลูกหนี้ชาวอเมริกัน ที่มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจากมาตรการตรึงดอกเบี้ยสินเชื่อ Subprime จะต้องเป็นลูกหนี้ ที่เข้าข่ายกำลังจะปรับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ Subprime เริ่มต้นในเดือน ม.ค.ปีหน้า และในเดือน ก.ค. ปี 2553

มูลค่าดอกเบี้ยสินเชื่อ Subprime ปรับขึ้นกว่า 12 ล้านล้านบาท
สินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยประเภท Subprime ที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมนั้น มีอัตราพื้นฐาน 2 อย่างคือ จะเริ่มปรับจาก 7% และ 9% ขึ้นไปเป็น 11% และ 13% ตามลำดับ ในอนาคตคาดว่าจะมีจำนวนชาวอเมริกันที่เป็นลูกหนี้ดังกล่าวราว 2 ล้านราย ที่จะต้องเริ่มแบกรักดอกเบี้ยใหม่ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตลอดถึงสิ้นปี 2552 ในจำนวนดังกล่าว มีลูกหนี้ที่เข้าข่ายตามมาตรการในครั้งนี้รวมกัน 2.4 - 5 แสนคน รวมมูลค่าดอกเบี้ยที่ต้องปรับเปลี่ยนสูงมากถึง 3.67 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 12.5 ล้านล้านบาท

ประธานเฟด ชี้ เป็นขั้นตอน ที่น่าชื่นชม
นายเบน เบอร์นันกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด  กล่าวว่า มาตรการดังกล่าว ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่น่ายินดี สำหรับเฟดแล้ว มีการเตรียมที่จะประกาศกฎเกณฑ์ใหม่ เน้นเพิ่มความเข้มข้นเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อ ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งในปัจจุบันมีมูลค่าของสินเชื่อ ที่เกิดขึ้นจากการใช้กระบวนการปล่อยสินเชื่อที่ไม่เหมาะสมสูงมากถึง 10.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในระบบ ทั้งนี้ ประธานเฟด กล่าวเสริมว่า เฟด เตรียมประกาศแผนดังกล่าวในเดือนนี้

แรนดัล ครอสเนอร์ เตือน ต้องเป็นมาตรการต่อเนื่อง
นาย แรนดัล ครอสเนอร์ ผู้ว่าการเฟด แสดงความเห็นต่อมาตรการดังกล่าวว่า ควรให้ความสำคัญกับวิธีการมากกว่า โดยจะทำอย่างไรที่ให้มาตรการดังกล่าวมีความต่อเนื่อง มากกว่าการแก้ไขในช่วงระยะสั้น ที่สำคัญ ไม่ควรออกมาตรการเพื่อมุ่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายเฉพาะในส่วนที่มี่ต่อนักลงทุน และผู้บริโภคชาวอเมริกันโดยทั่วไป ทั้งนี้ นาย แรนดัล ครอสเนอร์ กล่าวเสริมว่า ตลอดทั้งปีหน้า จะมีลูกหนี้ 1 ใน 10 คน ที่จะต้องประสบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ Subprime

เอสแอนด์พี ชี้ ตรึงดอกเบี้ย Subprime อาจฉุดเรตติ้งพันธบัตร
บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือเอสแอนด์พี เซอร์วิส ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนชั้นนำของโลก กล่าวว่า ในหลักการของมาตรการดังกล่าว นับเป็นสิ่งที่น่ายินดี และน่าชื่นชม ที่มีความพยายามที่จะทำให้ลูกหนี้ชาวอเมริกันไม่สูญเสียบ้านไป อย่างไรก็ตาม ผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการดังกล่าว อาจมีมากกว่าประโยชน์ ที่กำลังคาดหวังจากมาตรการดังกล่าว และอาจนำไปสู่โอกาสในการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งออกโดยสถาบันการเงินต่างๆในตลาด

มูดี้ส์ อีโคโนมี่ ดอทคอม ชี้มาตรการดีในทางทฤษฎี
นาย มาร์ค แซนดี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก มูดี้ส์ อีโคโนมี่ ดอทคอม ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือบริษัท มูดี้ส์ กล่าวว่า มาตรการที่ประกาศออกมานั้น ในทางทฤษฎี นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ซึ่งอาจช่วยเหลือคนอเมริกันที่มีปัญหากับการปรับขึ้นดอกเบี้ย Subprime ได้มากถึง 7.5 แสนคน อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในแง่การปฏิบัติจริง ยังคงมีอุปสรรค และอาจทำให้จำนวนลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริงมีเพียง 2.5 แสนคนเท่านั้น ด้านนาย บิล กรอส ผู้บริหารระดับสูงกองทุนพิมโก้ มองว่า เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news08/12/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 08, 2007 2:18 pm
โดย chartchai madman
กูรูสวดยับบุชเสนอแผนช่วยลูกหนี้ซับไพรม์ หวั่นทำศก. US ทรุดหนัก

โดย ผู้จัดการออนไลน์
8 ธันวาคม 2550 06:57 น.
       เอเจนซี/เอเอฟพี - ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.บุช ประกาศแผนช่วยลูกหนี้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภท"ซับไพรม์" หวังลดยอดยึดบ้านติดจำนองที่พุ่งสูงและอาจทำให้เศรษฐกิจดำดิ่งสู่ภาวะถดถอย คุยฟุ้งน่าจะช่วยลูกหนี้ได้กว่าล้านคน ด้วยการเสนอให้คงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ นาน 5 ปี ทว่า นักวิเคราะห์สวดหนักหวั่นส่งผลร้ายระยะยาวทำเศรษฐกิจทรุดหนักกว่าเดิม มองเป็นเพียงการผลักภาระให้ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่
     
       เมื่อวันพฤหัสบดี(6) ประธานาธิบดีบุชประกาศว่าแผนการนี้ซึ่งจัดทำขึ้นโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯที่ได้หารือกับบรรดาผู้นำอุตสาหกรรมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์นั้น ไม่ได้ช่วยเหลือผู้ปล่อยกู้ นักเก็งกำไร หรือผู้ที่รู้อยู่แล้วว่าได้ซื้อบ้านที่ผ่อนไม่ไหว ให้รอดพ้นจากภาวะล้มละลาย
     
       รัฐบาลบุชหวังว่าแผนการนี้จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้เกินครึ่งของบรรดาลูกหนี้ 2,000,000 คนที่ได้กู้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยคุณภาพ หรือ"ซับไพรม์" ซึ่งอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นลงได้ ทั้งนี้ ลูกหนี้เหล่านี้มีกำหนดต้องจ่ายค่างวดที่เพิ่มสูงขึ้นมากในเร็วๆนี้
     
       บรรดาเจ้าหน้าที่กล่าวว่าในบรรดาลูกหนี้ชาวอเมริกัน 2,000,000 คนนั้น 500,000 คนอยู่ในข่ายเสี่ยงที่จะถูกยึดบ้าน เนื่องจากสินเชื่อเคหะซับไพรม์มูลค่า 367,000 ล้านดอลลาร์มีแนวโน้มว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นใน 2 ปีข้างหน้า
     
       ทั้งนี้ สินเชื่อเคหะซับไพรม์ซึ่งคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงนั้น แต่ไหนแต่ไรมาจะปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีประวัติเครดิตไม่ค่อยดี ทว่า กลับมีลูกหนี้จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆยอมกู้เงินที่ต้องเสียดอกเบี้ยแพงเช่นนี้ เนื่องจากมองว่าเป็นหนทางง่ายๆในการเข้าไปกู้เงินในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเฟื่องฟู
     
       บุชกล่าวว่าลูกหนี้ราว 1,200,000 คน น่าจะเข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือตามแผนการนี้ใน 2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ภาคเอกชนกล่าวว่าจำนวนลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือจริงๆนั้นน่าจะต่ำกว่าที่ผู้นำสหรัฐฯอ้าง
     
       มาร์ก แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งมูดี้ส์ อีโคโนมี ดอต คอม กล่าวว่าตามทฤษฎี แผนการของบุชน่าจะช่วยลูกหนี้ประเภทซับไพรม์ได้มากถึง 750,000 คน แต่ในทางปฏิบัติ ตนรู้สึกว่าแผนการดังกล่าวอาจช่วยลูกนี้ได้อย่างมากราว 250,000 คน
     
       แผนการของบุชจะช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกปรับอัตราดอกเบี้ยให้แพงขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านสินเชื่อในระดับที่พอรับได้ ทว่า หากดอกเบี้ยแพงขึ้น ก็คงจะจ่ายค่างวดไม่ไหว ลูกหนี้ประเภทนี้จะเข้าข่ายได้รับการปรับเงินกู้แบบ"ฟาสต์แทรค" และการคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับปัจจุบัน นาน 5 ปี อย่างไรก็ดี เฉพาะผู้ที่ซื้อบ้านและอยู่อาศัยเองเท่านั้นจึงจะเข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือเหล่านี้ แต่นักเก็งกำไรจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
     
       สำหรับลูกหนี้กลุ่มที่ยังสามารถจ่ายเงินกู้ในระดับปัจจุบันได้นั้น จะได้รับการรีไฟแนนซ์ ทว่า ลูกหนี้ที่ไม่สามารถจ่ายเงินกู้ในระดับปัจจุบัน อีกทั้งประวัติสินเชื่อก็ย่ำแย่ ก็อาจจะต้องสูญบ้านไป
     
       แผนการนี้จะช่วยเหลือลูกหนี้ประเภทซับไพรม์ที่กู้สินเชื่อในช่วงตั้งแต่ 1 มกราคม ปี2005 จนถึง 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยลูกหนี้เหล่านี้ถึงกำหนดจะถูกปรับอัตราดอกเบี้ยกันใหม่ ในช่วง 2 ปีครึ่งข้างหน้า
     
       ควอมี คิลแพทริก นายกเทศมนตรีเมืองดิทรอยต์ ซึ่งได้รับพิษซับไพรม์อย่างหนักนั้น กล่าวว่าแผนการช่วยเหลือลูกหนี้ซับไพรม์ของรัฐบาลบุชถือเป็นก้าวแรกที่ให้กำลังใจ แต่คงต้องมาดูในรายละเอียดว่ามีผลเสียหรือไม่ มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ตนก็อยากรู้ว่าจะมีกี่ครอบครัวที่จะได้รับความช่วยเหลือจริงๆ
     
       ในวันเดียวกับที่ผู้นำสหรัฐฯประกาศแผนการดังกล่าวนั้น สมาคมนายธนาคารเงินกู้อสังหาริมทรัพย์แถลงว่า จำนวนเปอร์เซ็นต์ของเงินกู้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ค้างชำระที่อยู่ในกระบวนการถูกยึดหลักประกัน ในไตรมาสที่3 อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การผิดนัดชำระหนี้อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี1986
     
       ผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ไม่อยู่เฉพาะในกลุ่มลูกหนี้เท่านั้น เนื่องจากสินเชื่อเคหะซับไพรม์จำนวนมากถูกนำมาจัดใหม่ รวบรวมและจัดทำเป็นตราสาร นำออกขายให้กับนักลงทุนทั่วโลก หากยอดผิดนัดชำระหนี้พุ่งสูง ตลาดสินเชื่อก็ตึงตัว เนื่องจากนักลงทุนจะพากันค้นหาว่าใคร หรือธนาคารใดขาดทุนบ้าง และขาดทุนมากน้อยเพียงใด
     
       ด้านสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ กล่าวว่าแผนการคงอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเคหะซับไพรม์อาจทำให้ตราสารที่อิงกับสินเชื่อประเภทนี้ถูกปรับลดระดับความน่าเชื่อถือ
     
       ขณะที่นักลงทุนในวอลล์สตรีทบางคนหวั่นวิตกว่าอาจถูกบีบให้ทำสัญญาสินเชื่อเคหะกันใหม่ซึ่งทำให้ลูกหนี้ได้ประโยชน์
     
       ทางด้านโจเอล นารอฟ แห่งนารอฟ อีโคโนมิก แอดไวเซอร์ส กล่าวว่าหากยังคงอัตราดอกเบี้ย ก็เท่ากับว่าธนาคารยังต้องแบกรับหนี้สินเชื่อเคหะซับไพรม์ซึ่งยังคงเป็นปัญหาอยู่ แทนที่จะสามารถตัดหนี้สูญไปเลย นอกจากนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยยังจะเปลี่ยนโครงสร้างของตลาดทั้งหมด ซึ่งอาจมีประโยชน์ในระยะสั้นแต่สร้างปัญหาระยะยาว
     
       ปีเตอร์ โมริซี นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งแมริแลนด์กล่าวว่า แผนการของบุชเป็นการผลักภาระให้กับประธานาธิบดีคนต่อไป
     
       อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างดีใจกับข่าวนี้ เนื่องจากมองว่าแผนจำกัดจำนวนบ้านที่ถูกยึดจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ร่วงสู่ภาวะถดถอย ส่งผลให้หุ้นสหรัฐฯพุ่งขึ้นอย่างมาก โดยดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 174.93 จุด หรือ 1.30% มาปิดตลาดที่ 13,619.89 จุด ขณะที่ดัชนีคอมโพสิตแนสแดคพุ่งขึ้น 42.67 จุด หรือ 1.60% มาปิดที่ 2,709.03 จุด
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000145409