ธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50 ปัญหาที่ต้องระวัง
20 สิงหาคม พ.ศ. 2550 18:00:00
ธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50 ปัญหาที่ต้องระวัง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ที่ผ่านมา ถูกรุมเร้าจากปัจจัยลบต่างๆที่มีมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว ความผันผวนทางการเมือง และการแข็งค่าของค่าเงินบาท ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกที่มีความเกี่ยวเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานได้ ปัจจัยลบรอบด้านส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างระมัดระวังมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิต ได้แก่ การปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำของผู้ถือบัตรเดิมจากเดิมที่ชำระขั้นต่ำ 5% ของยอดค้างทั้งหมด เป็นชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดค้างทั้งหมดที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2550 และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20 %( รวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20%) ซึ่งปัจจัยทั้ง 2 นี้ อาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และที่สำคัญคือ ความสามารถในการผ่อนชำระยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตของผู้บริโภคบางกลุ่มด้วย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สรุปประเด็นสำคัญของธุรกิจบัตรเครดิตในไตรมาส 2 ปี 2550 ทิศทางธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังในปี 2550 และประเด็นสำคัญที่ต้องระวัง ดังต่อไปนี้
ประเด็นสำคัญของธุรกิจบัตรเครดิตไตรมาส 2 ของปี 2550
ทั้งนี้ จากการพิจารณาตัวเลขบัตรเครดิต ณ ไตรมาส 2 ปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า:
ุ
ปริมาณบัตรเครดิตไตรมาส 2 ปี 2550 ชะลอตัวลงทุกกลุ่ม
ภาพรวมปริมาณบัตรเครดิตในไตรมาส 2 ปี 2550 มีจำนวน 11,254,587 บัตร และขยายตัว 7.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งชะลอลงจากที่ขยายตัว 9.17% ในไตรมาส 1 ปี 2550 ทั้งนี้ปริมาณบัตรเครดิตที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงสาเหตุน่าจะมาจาก ผู้ประกอบการชะลอแคมเปญการขยายฐานบัตรเครดิตใหม่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวส่งผลต่อกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งในขณะเดียวกันผู้ประกอบการทุกกลุ่มเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการพิจารณาอนุมัติบัตรเครดิตใหม่ และคุณสมบัติของผู้ที่สามารถสมัครสินเชื่อบัตรเครดิตที่มีจำนวนจำกัด นอกจากนี้การแข่งขันที่รุนแรงของผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลประเภทอื่นๆ อาทิ สินเชื่อบัตรเบิกเงินสด สินเชื่อเงินสดอเนกประสงค์ ของกลุ่มสถาบันการเงิน
โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 2 ปี 2550 ปริมาณบัตรเครดิตธนาคารพาณิชย์ไทยมีการขยายฐานบัตรเครดิตที่ชะลอลง โดยในไตรมาส 2 ปี 50 มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 4,492,614 บัตร และมีการเติบโต 11.03% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวลงจาก 12.73% ในไตรมาส 1 ปี 50 ในขณะที่กลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศที่เคยมีอัตราการขยายตัวของบัตรเครดิตใหม่ที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นในช่วงที่ผ่านมา แต่ในไตรมาส 2 ปี 50 กลับมีการขยายฐานบัตรใหม่ในอัตราที่ชะลอลงเช่นกัน โดยมีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 1,246,920 บัตร และขยายตัว 7.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 14.18% ในไตรมาส 1 ปี 50
สำหรับสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Nonbank มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 5,515,053 บัตร โดยขยายตัวเพียง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 5.38% ในไตรมาส 1 ปี 50 ทั้งนี้การขยายฐานบัตรเครดิตของกลุ่ม Nonbank ที่มีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเปรียบเทียบจากฐานที่สูงกว่า ซึ่งหากเปรียบเทียบปริมาณบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นระหว่างไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ปี 2550 จะเห็นได้ว่าในไตรมาสนี้ปริมาณบัตรเครดิตของกลุ่ม Nonbank มีจำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 102,052 บัตร ซึ่งมีจำนวนสูงขึ้นกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ที่มีจำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 51,523 บัตร และกลุ่มสาขาธนาคารต่างประทศ ที่มีจำนวนบัตรใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 13,669 บัตร
ุ
การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ในไตรมาส 2 ปี 2550 ขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2550
ภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 2 ปี 2550 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 174,114 ล้านบาท โดยขยายตัว 13.38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2550 ที่ขยายตัว 13.39% ภาพรวมของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ยังคงชะลอตัวนั้น สาเหตุน่าจะเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลง โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 2 ปี 2550 ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยมีมูลค่า 83,686 ล้านบาท และขยายตัว 15.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 16.19% ในไตรมาส 1 ปี 50 สำหรับสาขาธนาคารต่างประเทศมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในอัตราที่สูงกว่ากลุ่มอื่นในไตรมาสนี้ โดยมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งสิ้น 27,437 ล้านบาท และขยายตัว 23.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าที่ขยายตัว 22.22% ในไตรมาส 1 ปี 50 ในขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ก็มีการเติบโตเช่นกัน โดยไตรมาส 2 ปี 50 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 62,992 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัว 7.31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัว 6.25% ในไตรมาส 1 ปี 50
ทั้งนี้หากพิจารณาจากมูลค่าของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต จะเห็นได้ว่า มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุน่าจะมาจาก
- ผู้บริโภคบางกลุ่มเริ่มหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแทนเงินสดมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการทำแคมเปญการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น
- ผู้ประกอบการมีการขยายฐานรานค้ารับบัตรเพิ่มขึ้นรวมถึงการทำการตลาดแบบ Cross Sell และการเน้นการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตให้มากขึ้น
- ปัญหาการขาดสภาพคล่องที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคบางกลุ่มที่ทำให้ต้องหันมาพึ่งการใช้สินเชื่อบัตรเครดิตมากขึ้น
ุ
ปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตไตรมาส 2 ของปี 2550 ชะลอตัวทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ภาพรวมปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตโดยรวมชะลอลง โดยไตรมาส 2 ปี 50 มีปริมาณสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 169,017 ล้านบาท และขยายตัวในอัตรา 9.86% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 15.89% ในไตรมาส 1 โดยหากแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วจะพบว่า ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทย มีปริมาณอยู่ที่ 57,011 ล้านบาท โดยขยายตัว 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 14.96% ในไตรมาส 1ปี 50 สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีปริมาณสินเชื่อคงค้างในไตรมาส 2 ปี 50 อยู่ที่ 34,356 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัว 10.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวลดลงจาก 20.51% ในไตรมาส 1 ปี 50 ในส่วนของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ มีปริมาณยอดคงค้างทั้งสิ้น 77,649 ล้านบาท หรือขยายตัว 7.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากที่ขยายตัว 14.65% จากไตรมาส 1 ปี 50
ทั้งนี้อัตราการขยายตัวที่ชะลอลงของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากสัดส่วนการผ่อนชำระสินเชื่อที่คาดว่า จะเพิ่มขึ้นในลูกค้าบางกลุ่ม เนื่องจากการปรับขึ้นการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตจากเดิม 5% เป็น 10% มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2550 ที่ผ่านมา นอกจากนี้สถาบันการเงินบางแห่งมีการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อเงินสดเพื่อรีไฟแนนซ์ สำหรับผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตที่ไม่สามารถผ่อนชำระบัตรเครดิตได้ตามเวลาที่กำหนดจำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพื่อนำไปชำระบัตรเครดิต ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการบัตรเครดิตได้มีการเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นและมีการติดตามผู้ถือบัตรที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพของสินเชื่อในระบบ เนื่องจากปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบสินเชื่อบัตรเครดิตเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อการเดินทาง ฯลฯ) ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 1 ปี 2550 มีประมาณ 14.11% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 13.79% ในไตรมาส 4 ปี 2549 ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อที่ลดลง อันเกิดมาจากการปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำของผู้ถือบัตรเดิมจากเดิมที่ชำระขั้นต่ำ 5% ของยอดค้างทั้งหมด เป็นชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดค้างทั้งหมดที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2550 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการแข็งค่าของเงินบาทที่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยน ที่อาจส่งผลกระทบต่อระดับรายได้ของผู้บริโภคบางกลุ่มเช่นกัน
ุ
ปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าบัตรเครดิตของไตรมาส 2 ปี 2550 โดยรวมปรับตัวลดลง
ภาพรวมของการเบิกเงินสดล่วงหน้าในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 2 ปี 2550 มีปริมาณอยู่ที่ 49,224 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 11.22% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 15.88% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเมื่อแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วพบว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยมีปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าในไตรมาส 2 ปี 50 มีปริมาณอยู่ที่ 34,030 ล้านบาท ขยายตัว 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 17.53% ในไตรมาส 1 สำหรับกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศนั้น ยังคงมีอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูงแม้ว่าจะชะลอตัวก็ตาม โดยมีปริมาณอยู่ที่ 3,325 ล้านบาท ขยายตัว 35.54% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากที่เคยขยายตัว 41.56% ในไตรมาส 1 ซึ่งอัตราการขยายตัวที่สูงมากดังกล่าว ส่วนหนึ่งน่าจะยังคงเป็นผลจากการเทียบจากฐานที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ประกอบการสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์นั้น มีปริมาณอยู่ที่ 11,869 ล้านบาท อัตราการขยายตัวการเบิกเงินสดล่วงหน้าลดลง 0.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้การปรับลดลงของการเบิกเงินสดล่วงหน้า สาเหตุน่าจะมาจากผู้ถือบัตรเครดิตยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น เช่น สินเชื่อบัตรเบิกเงินสด ที่ผู้ขอสินเชื่อสามารถเลือกที่จะผ่อนชำระขั้นตํ่า 3% ถึง 6% ของยอดค้างชำระได้ หรือสินเชื่อเงินสด ที่มีการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระคืนให้นานขึ้น เป็นต้น ซึ่งมีส่วนทำให้การเบิกเงินสดล่วงหน้ามีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง
ทิศทางธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50...ประเด็นที่พึงระวัง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 คาดว่าจะยังคงชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง และทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทที่อาจส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจส่งออกในขณะนี้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อผู้บริโภคให้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ถึงแม้ว่าปัจจัยลบจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของธุรกิจบัตรเครดิตก็ตาม คาดว่าการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการบัตรเครดิต ยังคงมีอยู่อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการกระเน้นส่งเสริมให้มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น การขยายฐานบัตรเครดิต การเพิ่มเครื่องรับบัตร เป็นต้น ทั้งนี้แนวโน้มการดำเนินการธุรกิจบัตรเครดิต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้
ุ ผู้ประกอบการทุกกลุ่มให้ความสำคัญต่อกลยุทธ์การส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยน่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยและกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ผู้ประกอบการยังคงเน้นการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายและบริการมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้ถือบัตรใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ทั้งนี้ผู้ประกอบการยังคงพยายามหาความแปลกใหม่ โดยการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมในการส่งเสริมการขาย อาทิ การเพิ่มสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานบริการน้ำมัน โดยการเสนอส่วนลด ของรางวัลต่อไป การคืนเงินให้ในรูปแบบของบัตรกำนัล เป็นต้น เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในการทำตลาด
ุ
การขยายฐานบัตรใหม่ผู้ประกอบการเน้นแบบเจาะกลุ่มลูกค้า (Segmentation Marketing) ทั้งนี้การขยายฐานบัตรเครดิตมีแนวโน้มที่ชะลอตัวลง ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นปัจจัยซึ่งน่าจะส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย จึงอาจเป็นสาเหตุที่ผู้บริโภคยังไม่เห็นความจำเป็นในการสมัครบัตรเครดิต นอกจากนี้การอนุมัติบัตรใหม่ของสถาบันการเงินยังคงอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวัง อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการบัตรเครดิตยังคงเน้นการขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเน้นการเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อาทิ การสร้างบัตรเครดิตเฉพาะกลุ่มลูกค้า การสร้างบัตรเครดิตเฉพาะประเภทหรือเฉพาะบางธุรกิจในการรับบัตรเครดิต เป็นต้น อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการบางรายได้มีการปรับกลยุทธ์ โดยได้มีการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าบัตรแพลตินั่มจากเดิมที่ต้องมีรายได้ประมาณ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปนั้น ได้ถูกปรับมาเป็นรายได้ประมาณ 35,000-40,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ทั้งนี้สิทธิประโยชน์ที่ได้จากการถือบัตรแพลตตินั่มให้มากกว่าบัตรทอง หรือ บัตรเงิน ซึ่งกลยุทธ์นี้อาจทำให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น และผู้ประกอบการยังได้ค่าธรรมเนียมจากการใช้จ่ายผ่านบัตรแพลตินั่มของลูกค้า
นอกจากนี้
ผู้ประกอบการได้มีการปรับกลยุทธ์การขยายฐานบัตรเครดิต ซึ่งธนาคารพาณิชย์ไทยรายใหญ่ได้เน้นการตลาดในรูปแบบของการจับมือร่วมกับบริษัทในเครือของตนเอง โดยเสนอผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตให้แก่ลูกค้าที่มาติดต่อทำธุรกรรม อาทิ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย ผลิตภัณฑ์กองทุนประเภทต่างๆ และผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อประเภทต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการทำตลาดในรูปแบบนี้เป็นการช่วยลดต้นทุนในการทำตลาด ลดขั้นตอนและเวลาในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ และยังได้กลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพด้วย
ุ
การขยายร้านค้ารับบัตรเครดิต โดยเฉพาะการขยายร้านค้ารับบัตรเครดิตเพื่อให้ครอบคลุม ซึ่งผู้ประกอบการรายใดสามารถขยายฐานร้านค้ารับบัตรได้มาก ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการเช่นกัน อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการบัตรเครดิตควรเร่งหาข้อสรุป ในเรื่องของการที่ร้านค้าบางแห่ง โดยเฉพาะร้านค้าที่มีขนาดเล็กมักจะผลักภาระค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิต ด้วยสาเหตุนี้การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตตามร้านเหล่านี้จึงมีจำนวนที่น้อย
อย่างไรก็ตาม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ประเด็นที่ยังคงเป็นที่จับตามองที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตในอนาคต คือ ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อของผู้บริโภคบางกลุ่ม ทั้งนี้การปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20 %(รวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20%) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 (ทั้งผู้ที่ทำบัตรใหม่และผู้ที่มียอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ที่ได้รับความคุ้มครองจากประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยให้มีระยะเวลาปรับตัวจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมานั้น) อาจส่งผลต่อความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ถือบัตรเครดิตที่มียอดสินเชื่อคงค้างต่อบัตรสูง และมียอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตมากกว่า 1 บัตร หรือผู้ที่มีภาระการผ่อนชำระสินเชื่อมากกว่า 1 ประเภท ถึงแม้ว่าการปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำจะมีส่วนช่วยให้ระยะเวลาการผ่อนชำระยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตให้หมดเร็วขึ้นก็ตาม นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ยังส่งผลต่อยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น และวงเงินชำระขั้นต่ำในรอบบัญชีถัดไปเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งมีผลให้ผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตจะต้องผ่อนชำระในเวลาที่ยาวนานขึ้นกว่าเดิมหากรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่ในระยะแรกเริ่มผู้ถือบัตรเครดิตอาจยังคงสามารถหมุนหนี้ โดยการนำสินเชื่อจากแหล่งอื่น เช่น สินเชื่อเงินสดอเนกประสงค์ บัตรเบิกเงินสด หรือการขอสินเชื่อนอกระบบ เป็นต้น เพื่อมาจ่ายชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ 10% ของยอดคงค้าง แต่เมื่อผู้ถือบัตรไม่สามารถหมุนเงินเพื่อนำมาชำระหนี้ได้แล้ว ความเสี่ยงต่อระบบสินเชื่อก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างได้ในอนาคต ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการคงจะเฝ้าระวังและติดตามตัวเลขการเพิ่มขึ้นของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้
บทสรุปและข้อคิดเห็น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 2550 การเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตน่าจะมีการชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการแข่งขันบัตรเครดิตที่ยังคงมีความเข้มข้น ซึ่งผู้ออกบัตรคงจะต้องรักษาคุณภาพของบัตรเครดิตมากกว่าปริมาณ หรือการเน้นสร้างฐานบัตรเครดิตที่ใหญ่ โดยต้องพยายามรักษาลูกค้าไม่ให้ยกเลิกบัตร เพื่อเปลี่ยนไปใช้บริการผู้ออกบัตรรายอื่น ในขณะเดียวกันยังคงทำแคมเปญการตลาดเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไว้ให้ได้ นอกจากนี้จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ย่อมที่จะส่งผลให้ผู้ออกบัตรต้องดูแลคุณภาพสินเชื่อให้เคร่งครัดมากขึ้นไปอีก ซึ่งย่อมที่จะกระทบปริมาณบัตรและการใช้จ่ายผ่านบัตรในระบบได้
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสถาบันการเงินหลายแห่งได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจ โดยหันมาเน้นขยายฐานธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้ารายย่อย ทำให้การแข่งขันในกลุ่มลูกค้ารายย่อยมีความรุนแรงมากขึ้น โดยสถาบันการเงินมีการออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อจับกลุ่มลกค้ากลุ่มนี้ ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สถาบันการเงินให้ความสำคัญและมีการทำการตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยอย่างเข้มข้นในช่วงที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์ที่การแข่งขันกันรุนแรงในขณะนี้ นอกจากสินเชื่อเงินสด แล้วยังมีสินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการต่างพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบของผลิตภัณฑ์สินเชื่อบัตรเครดิต โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ในบัตรเครดิต อาทิ ใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้า เติมน้ำมัน และเมื่อมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต สามารถที่จะสะสมคะแนน เพื่อนำมาแลกของรางวัล เป็นต้น ทั้งนี้การแข่งขันที่รุนแรงระหว่างสถาบันการเงินทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อง่ายขึ้น และยังมีส่วนทำให้เกิดกระแสความนิยมใช้บัตรเครดิตแทนเงินสดในปัจจุบันจากปริมาณบัตรเครดิตและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อชำระสินค้าผ่านบัตรเครดิตแทนการชำระสินค้าด้วยเงินสด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้ประกอบการจะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากแคมเปญการตลาดก็ตาม แต่ผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตควรเพิ่มความระมัดระวังและควรมีการวางแผนในการใช้จ่ายผ่านบัตรมากขึ้น เนื่องจากการซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิตเปรียบเสมือนการนำเงินในอนาคตมาใช้ เมื่อถึงรอบบัญชีเรียกเก็บหากชำระไม่เต็มจำนวนก็จะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไป ซึ่งหากผู้ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่มีความระมัดระวัง อาจก่อให้เกิดการสะสมเป็นวงเงินที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระในอนาคต โดยเฉพาะภายใต้ความไม่แน่นอนทางภาวะเศรษฐกิจ ที่อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงทางรายได้ในอนาคต
สำหรับการปรับตัวของผู้ประกอบการในภาวะเช่นนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า โดยอาจจะพิจารณาติดตามพฤติกรรมของลูกค้าที่มีบัตรหลายใบ การตรวจสอบลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น จ่ายชำระสินเชื่อไม่สม่ำเสมอ หรือเบิกถอนเงินสดอยู่เป็นประจำ รวมทั้งการใช้จ่ายผ่านบัตรในบางช่วงที่สูงผิดปกติ หรือมีการขอสินเชื่อจากแหล่งอื่นในการหมุนหนี้ เช่น สินเชื่อบุคคลของสถาบันการเงินอื่น รวมทั้งการเบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตใบอื่น เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณบอกเหตุของปัญหาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบสินเชื่อ ซึ่งผู้ประกอบการบัตรเครดิตส่วนใหญ่คงมีมาตรการดำเนินการต่างๆ ได้แก่ การพิจารณาปรับลดวงเงินหรือยกเลิกบัตรล่วงหน้า ก่อนเวลาต่ออายุบัตรจริง หากประเมินว่าลูกค้ามีความเสี่ยงสูง เป็นต้น
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/2 ... wsid=89574