หน้า 5 จากทั้งหมด 26

news27/07/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 27, 2007 7:03 pm
โดย chartchai madman
ตลาดหลักทรัพย์หนุนตั้งกองทุนบริหารเงินสำรอง ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, July 27, 2007
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บอกว่า แนวคิดของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่จะนำเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศออกไปลงทุนหาผลประโยชน์ต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเป็นมิติใหม่ของเศรษฐกิจไทย และเป็นสิ่งที่ธปท.ควรดำเนินการนานแล้ว และในหลายประเทศก็ได้วิธีการนี้ เช่น กองทุนเทมาเส็ก ของประเทศสิงค์โปร์ และที่ผ่านมาธปท.ใช้นโยบายการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมากนัก และการนำเงินออกไปลงทุนนอกประเทศก็ยังส่งผลดีให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่แข็งค่ามากเกินไป และยังเป็นแนวทางในการพัฒนานักธุรกิจ นักลงทุนชาวไทย ให้มีระบบการทำงานเป็นสากลมากขึ้น

นายวิจิตรบอกด้วยว่า การขาดทุนทางบัญชีจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทของธปท.ที่สูงถึง 1.7 แสนล้านบาทนั้น ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะเกือบทุกประเทศก็ได้รับผลกระทบคล้ายกัน และผู้ส่งออกเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการเข้าแทรกแซง ดังนั้น การขาดทุนที่เกิดขึ้น จึงถือว่าคุ้มค่า เพราะที่ผ่านมาไทยมีรายได้จากภาคการส่งออกเดือนละไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าตัวเลขการขาดุทนทางบัญชีของธปท.ค่อนข้างมาก  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news27/07/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 27, 2007 7:07 pm
โดย chartchai madman
ตะลึง !! นักลงทุนรายย่อย ซื้อหุ้นไทยกลุ่มเดียว ฉลองเทศกาลเข้าพรรษา 6,834 ล้านบาท

Posted on Friday, July 27, 2007
สถาบันในประเทศยังคงขายหุ้นไทยไม่หยุด วันนี้อีก 2,649 ล้านบาท แต่น้อยกว่านักลงทุนต่างชาติ ที่ขายปรับพอร์ตถึง 4,184 ล้านบาท ส่งผลนักลงทุนรายย่อย ซื้อหุ้นทำสถิติซื้อมากที่สุดในรอบครึ่งปี 6,834 ล้านบาท

ยอดซื้อขายหุ้นประจำวันศุกร์ที่ 27 กรกฏาคม 2550

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 22,111.41 ขาย 15,277.27 รวม ซื้อสุทธิ 6,834.14
สถาบันในประเทศ ซื้อ 4,720.48 ขาย 7,369.72 รวม ขายสุทธิ 2,649.24
ต่างประเทศ ซื้อ 8,036.88 ขาย 12,221.78 รวม ขายสุทธิ 4,184.90

ยอดสะสมประจำเดือน กรกฎาคม 2550

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 362,553.05 ขาย 385,506.30 รวม ขายสุทธิ 22,953.25
สถาบันในประเทศ ซื้อ 80,585.57 ขาย 88,276.53 รวม ขายสุทธิ 7,690.96
ต่างประเทศ ซื้อ 202,538.43 ขาย 171,894.22 รวม ซื้อสุทธิ 30,644.21

ยอดสะสมประจำปี 2550

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 1,115,384.66 ขาย 1,216,461.79 รวม ขายสุทธิ 101,077.13
สถาบันในประเทศ ซื้อ 286,043.56 ขาย 313,136.24 รวม ขายสุทธิ 27,092.68ต่างประเทศ ซื้อ 867,506.84 ขาย 739,337.03 รวม ซื้อสุทธิ 128,169.81

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
โทรศัพท์ - 02- 229 - 2000 ต่อ 2616
อีเมล - [email protected]

http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news29/07/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 28, 2007 11:01 am
โดย chartchai madman
อัดล้านล้านสู้ศึกศก.ซบ
โพสต์ทูเดย์ คลังอัดเงิน 1.1 ล้านล้าน เร่งเบิกจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ สนองนโยบายรัฐ

นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 มีเม็ดเงินรัฐบาลอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น 1.14 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 13.7% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 11.5% ส่งผลให้ดุลเงินในงบประมาณขาดดุล 6.9 หมื่นล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2549 ที่ขาดดุล 1.76 หมื่นล้านบาท
แนวทางดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นโยบายการคลังได้มีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการคลังของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายแบบขาดดุลจำนวน 1.4 แสนล้านบาท นายสมชัย กล่าว

สำหรับดุลบัญชีนอกงบประมาณ 9 เดือนแรก เกินดุล 2.9 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วที่เกินดุล 5.4 หมื่นล้านบาท

นายสมชัย กล่าวว่า การเกินดุลของกองทุนนอกงบประมาณที่ลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากรายได้ของกองทุนขยายตัวตามปกติ ในขณะที่รายจ่ายดำเนินงานของกองทุนสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยกองทุนที่มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นได้แก่ กองทุนประกันสังคม โดยส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายค่าบริหารสำนักงานและค่าประโยชน์ทดแทนที่ผู้ประกันตนมาขอใช้สิทธิ์เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ การขาดดุลเงินงบประมาณและการเกินดุลบัญชีนอกงบประมาณ เมื่อหักรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศอีกจำนวน 1.6 พันล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังรัฐบาลขาดดุลทั้งสิ้น 4.1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วเกินดุล 3.1 หมื่นล้านบาท

สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลมีรายได้ทั้งสิ้น 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 6.6%

โดยรายได้ที่มีอัตราการจัดเก็บเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ได้แก่ ภาษีเบียร์ ภาษียาสูบ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีสุรา ภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีเครื่องดื่ม

นอกจากนั้นการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 ก็สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามาก

นายสมชัย กล่าวว่า การเบิกจ่ายงบประมาณได้เร่งตัวขึ้นมากในไตรมาส 3 (เม.ย.-มิ.ย.) ปี 2550 แต่รัฐบาลมีรายได้ที่สำคัญบางประเภทเพิ่มขึ้นส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค.ในไตรมาส 3 เกินดุล 8.18 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ถือว่าเกินดุลลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 6.5 หมื่นล้านบาท หรือ 44.6% มีรายได้รวม 4.6 แสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=181420

news28/07/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 28, 2007 1:23 pm
โดย chartchai madman
พิษดอลล์อ่อนลากบาทแข็ง2ปี รร.พลิกเกมขายต่างชาติเป็นบาท

ภาคเอกชน-การเงิน ทำใจ 6 มาตรการแก้ปัญหาค่าบาทของรัฐบาลไม่ถึงขั้นยาแรง คาดดึงบาทอ่อนแค่ช่วงสั้น ก่อนจะดีดกลับแข็งค่าอีกครั้ง ด้านนักวิชาการประสานเสียง ทิศทางดอลลาร์ซึ่งมีแนวโน้มซึมยาวในอีก 2 ปีข้างหน้าคือ "ตัวแปรสำคัญ" ทำบาทแข็งค่าไม่เลิก "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ทำนาย 4 ปีนับจากนี้ เลิกหวังเห็นบาทอ่อน ตราบใดเงินสหรัฐยังมีช่องอ่อนค่าลงได้อีกถึง 10% ขณะ "เอกกมล คีรีวัฒน์" แนะแบงก์ชาติแทรกแซงแบบไม่มีลิมิต ออกมาตรการหักภาษี ณ ที่จ่าย กับบัญชีน็อนเรซิเดนต์

แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลจะร่วมกันจัดทำมาตรการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทออกมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ตามความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ค่าเงินจากหลายสถาบันในประเทศไทย ต่างมองทิศทางของเงินบาทว่ามีแนวโน้มจะแข็งค่าต่อเนื่อง จากปัจจัยการอ่อนค่าของเงินสหรัฐเป็นสำคัญ ซึ่งมีการวิเคราะห์คาดการณ์แนวโน้มว่าอาจจะแข็งค่าต่อเนื่องต่อไป อย่างน้อยในอีก 2 ปีข้างหน้า

ดังข้อสังเกตของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด ซึ่งระบุว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้เคลื่อนไหวไปตามการเคลื่อนไหวของดอลลาร์ ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลโดยปริยายที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะไม่สามารถดำเนินมาตรการอะไรได้มากนัก

ดร.เศรษฐพุฒิยังวิเคราะห์มาตรการดอกเบี้ยด้วยว่า การลดดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาไม่มีผลต่อทิศทางของค่าเงินบาท โดยอธิบายว่า ปัจจุบันเงินฝากที่เป็นดอลลาร์สหรัฐได้ดอกเบี้ยประมาณ 5% ขณะที่เงินฝากของไทยให้ดอกเบี้ยประมาณ 2% ดังนั้น ต้องดูว่าธนาคารพาณิชย์จะให้ดอกเบี้ยเท่าไรที่จะจูงใจให้คนมาฝาก จึงมองว่าไม่น่าจะมีผลมากนักที่จะทำให้เงินทุนต่างประเทศไหลออก

ด้วยเหตุนี้ ดร.เศรษฐพุฒิคาดการณ์ถึงแนวโน้มค่าเงินบาทว่า ในระยะสั้นมีโอกาสที่จะกลับมาแตะที่ 34 บาทได้ แต่เป็นเพียงชั่วคราว โดยมีแนวโน้มว่าปลายปีอาจจะอยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์ แต่ถ้าดูจากความสัมพันธ์ที่เปรียบเทียบการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทกับดอลลาร์จะไปในแนวเดียวกัน คือ ดอลลาร์อ่อน บาทแข็ง และแนวโน้มดอลลาร์ยังอ่อนค่าต่อ เพราะปัจจุบันสหรัฐอเมริกาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณ 6% ของจีดีพี และคนที่ช่วยเติมน้ำในตุ่มให้สหรัฐก็คือประเทศในเอเชียที่เข้าไปลงทุนซื้อพันธบัตร เห็นได้จากญี่ปุ่นที่นำเงินทุนสำรองของประเทศไปลงทุนในพันธบัตรสหรัฐจำนวนมาก และปัจจุบันเอเชียเริ่มปรับตัวไม่ค่อยเอาเงินไปใส่ตุ่มให้สหรัฐ

"คำตอบว่า ค่าบาทจะเป็นอย่างไรให้ดูดอลลาร์เป็นหลัก บาทจะแข็งเท่าไรก็ให้ดูว่าดอลลาร์จะอ่อนเท่าไร และมีความเป็นไปได้ที่ดอลลาร์อาจจะอ่อนค่าลงไปได้ถึง 10% นั่นหมายถึงบาทก็จะแข็งค่าไปเรื่อยๆ แต่อันนี้เป็นแนวโน้ม ซึ่งคาดว่าจะค่อยๆ แข็งค่าอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าตามค่าเงินดอลลาร์" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว

"เอกกมล" แนะใช้ "ภาษี" ไล่เงินนอก

นายเอกกมล คีรีวัฒน์ อดีตรองผู้ว่าการสายงานดูแลนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเป็นผลจากเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ไม่ต้องกันสำรอง 30% ตามเกณฑ์ ธปท. ซึ่งจะเป็นช่องทางหนึ่งในการย้ายเงินเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์

"ตอนนี้เงินไหลเข้าน่ากลัวมากๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ หลักเศรษฐศาสตร์เงินไหลเข้าต้องมาจากการค้าขาย แต่นี่เป็นเงินเล่นหุ้น ทำให้บาทเราแข็ง ถ้าไม่อยากให้บาทแข็ง ก็ต้องเข้าไปแทรกแซงซื้อดอลลาร์จนถึงระดับที่ทำให้บาทอ่อนมาที่ระดับพอใจของแบงก์ชาติ ก็ยันไว้ระดับนั้น การแทรกแซงนี้เป็นวิธีที่ง่าย แต่ถ้าแบงก์ชาติบอกไม่แทรกแซง ก็ต้องหามาตรการไล่เงินออก เช่น ออกมาตรการหักภาษี ณ ที่จ่ายของเงินต่างชาติเลย ไล่เงินออกเลย ถ้าลงทุนครบกำหนดแล้วไม่ออก จะฝากเงินต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เรา ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้เงินไหลออก บาทก็จะอ่อนได้"

ดีลเลอร์จากแบงก์ใหญ่รายหนึ่ง กล่าวว่า ช่วงนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงเข้าแทรกแซงอย่างหนักและต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดวันนี้ก็เข้าแทรกแซงจนค่าเงินบาทอ่อนลงมาอยู่ที่ 33.57/63 ต่อดอลลาร์ ซึ่งหากไม่เข้าแทรกแซงค่าเงินบาทน่าจะแข็งขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 33.55 ต่อดอลลาร์แล้ว แนวโน้มค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นไปจนถึงสิ้นปีนี้เลย โดยมีโอกาสที่จะแข็งขึ้นไปถึง 32.5 ต่อดอลลาร์ได้ เนื่องจากประเทศไทยยังมีเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาก ขณะที่ภาคส่งออกก็ยังโต ตลาดหุ้นจึงยังคงเป็นขาขึ้นอีก

"แบงก์ชาติตอนนี้แทรกแซงอย่างหนักเลย รับซื้อดอลลาร์เยอะมากเรื่อยๆ เห็นเวลาบาทเหวี่ยงเยอะๆ ก็รัฐอนุมัติให้ออกพันธบัตรแล้ว แล้วรัฐก็โดนกดดันจากเรื่องโรงงานปิด การเมืองเข้าแทรก แซง ยิ่งใกล้ช่วงรับร่างประชามติ รัฐก็ยิ่งต้องเอาใจประชานิยม ทำให้บาทอ่อนแต่ก็ทำได้เล็กน้อย แนวโน้มบาทระยะยาวก็ยังแข็งเหมือนเดิม มองไปถึงสิ้นปีนี้บาทขึ้นไปแถวๆ 32.5" ดีลเลอร์กล่าว

เทรนด์ดอลลาร์อ่อนยาว 2 ปี

สถานการณ์การเคลื่อนไหวของเงินสหรัฐ ดอลลาร์ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเงินเยนของญี่ปุ่น และยูโรของสหภาพยุโรป โดยล่าสุดดอลลาร์/เยนอยู่ที่ระดับ 120.58 เยนต่อดอลลาร์ อ่อนค่าจาก 120.99 เยนต่อดอลลาร์ของวันก่อน ขณะที่ดอลลาร์/ยูโรอยู่ที่ 1.3816 ดอลลาร์ต่อยูโร แข็งค่าขึ้นจาก 1.3810 ดอลลาร์ต่อยูโร

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมา มาจากปัญหาสินเชื่อที่ปล่อยกู้ให้กับกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย หรือลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ หรือ subprime loan หลังจากสินเชื่อประเภทนี้เริ่มมีปัญหาเป็นผลกระทบลูกโซ่จากภาวะชะลอตัวต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ที่ขยายวงสู่ตลาดตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อ subprime รวมถึงสถาบันการเงินและธนาคารที่ทำธุรกรรม เกี่ยวเนื่อง จนสร้างพันธะผูกพันไว้มหาศาล

ดังกรณีล่าสุดของธนาคาร CIBC หรือแคนาเดียน อิมพีเรียล แบงก์ ออฟ คอมเมิร์ซ อาจจะต้องแทงหนี้สูญมากถึง 100 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ เนื่องจากปัญหา subprime loan

ในระยะยาวดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักมาจากปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยปัญหาการขาดดุลแฝดของสหรัฐ ที่ขาดดุลทั้งดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลงบประมาณ ซึ่งส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์รางวัล โนเบลหลายท่าน ที่ติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ พบว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช จูเนียร์ มีเหตุผลที่จะไม่เข้าไปแทรก แซงการอ่อนค่าของดอลลาร์ ดังความเห็นของนายพอล ซามวลสัน นักเศรษฐศาสตร์โนเบลปี 1970 ที่สรุปว่า แม้ในทางการทูต รัฐบาลบุชจะสนับสนุนนโยบายดอลลาร์แข็ง แต่ในทางปฏิบัติเป็นไปในทางตรงกัน

เห็นได้จากในอดีต ย้อนหลังไปจนถึงปี 2520 กระทรวงการคลังในเกือบทุกรัฐบาลของสหรัฐ ล้วนแต่เข้าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อซื้อเงินดอลลาร์ ยกเว้นรัฐบาลบุช ยิ่งกว่านั้น ตัวเลขสถิติโดยเฉพาะการส่งออก พบว่า การอ่อนค่าของดอลลาร์ ได้ส่งผลให้ยอดการส่งออกเดือนพฤษภาคมของสหรัฐสูงเป็นประวัติการณ์ 1.32 แสนล้านดอลลาร์ และที่ผ่านมาได้ช่วยลดปัญหาการขาดดุลการค้า เห็นได้จากการลดลงของตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาสแรก จากระดับ 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เหลือ 5.7%

หนังสือพิมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล เฮรัลด์ ทรีบูน อ้างดัชนีและสถิติของธนาคารกลางสหรัฐ ที่ติดตามการเคลื่อนไหวค่าเงินดอลลาร์เทียบกับเงินสกุลประเทศคู่ค้า 38 ราย รวมถึงเยอรมนี ญี่ปุ่น และแคนาดา พบว่า ค่าเงินดอลลาร์ในสมัยของประธานาธิบดีบุช อ่อนค่าลง 13.2% เมื่อเทียบกับสมัยของประธานาธิบดีคลินตันที่แข็งค่าขึ้น 18.3%

นายริชาร์ด แคลริดา นักยุทธศาสตร์ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนของพิมโกคาดการณ์ว่าดอลลาร์มีแนวโน้มจะอ่อนค่าต่อเนื่องไปอย่างน้อย 2 ปี

ดีลเลอร์คาด 6 มาตรการดึงบาทอ่อนช่วงสั้น

จากการประมวลเสียงสะท้อนของภาคธุรกิจเอกชนทั้งจากสายการเงิน ธนาคาร และบริษัทเอกชน ต่อมาตรการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทของรัฐบาล ในมุมของดีลเลอร์ค้าเงินตรามองว่า อาจจะช่วยเงินบาทอ่อนลงเล็กน้อยช่วงเวลาสั้นเท่านั้น ซึ่งเรียกว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ปัญหาใหญ่ตอนนี้อยู่ที่คนไม่อยากถือเงินสกุลดอลลาร์ แม้แต่ผู้ส่งออกเองก็ยังเทขายดอลลาร์กันมากในตลาด แม้แบงก์ชาติจะอนุญาตให้ถือดอลลาร์ยาวขึ้น หรือให้เปิดบัญชีฝากเงินตราต่างประเทศ FCD แต่ผู้ส่งออกไม่กล้าเสี่ยง เพราะมองเห็นแต่แนวโน้มดอลลาร์อ่อนค่า หากฝากในบัญชีนี้ก็มีโอกาสขาดทุนหนักขึ้น

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากเงินต่างชาติยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทย หลังจากมองดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า ส่วนค่าเงินบาทก็เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบอ่อนค่าเล็กน้อยจนถึงทรงตัว หลังจากที่รัฐออกมาตรการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า โดยเฉพาะวันนี้หุ้นขึ้นแรงยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และแบงก์ โดยมูลค่าซื้อขายหนาแน่นมาก แต่คาดว่าตลาดหุ้นขึ้นแรงในช่วงระยะสั้นๆ นี้จนถึงช่วงต้นสิงหาคมซึ่งจะเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้แนวโน้มค่าเงินเยนแข็งขึ้น น่าจะมีโอกาสเห็นเงินต่างชาติไหลเข้าญี่ปุ่นมากขึ้น และชะลอในไทย

"หุ้นขึ้นช่วงสั้นๆ มากกว่า ขึ้นแรงอย่างนี้ปกติจะมีขายทำกำไรแล้ว คิดว่าน่าจะเห็นใกล้ๆ 900 จุด ก็น่าจะก่อนที่ญี่ปุ่นมีการประชุมดอกเบี้ย เพราะพวกต่างชาติที่ยืมเงินเยนมา พวกต่างชาติที่เงินเขาทำ carry trade มาลงทุน เขาจะมีต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามดอกเบี้ยญี่ปุ่นที่ขึ้น เพราะฉะนั้นเขาต้องรีบขายทำกำไรออกมาก่อนเพื่อเอาไปคืนหนี้ จึงทำให้มีโอกาสที่เงินจะไหลออกจากไทย จึงเชื่อว่าบาทน่าจะอ่อนได้บ้าง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับเงินต่างชาติที่กู้แคร์รี่เทรดมามีต้นทุนเท่าไหร่ด้วย ถ้าคนที่ต้นทุนต่ำ 0% ก็ไม่กระเทือน แต่คนที่กู้มาช่วงที่ 0.25.-050% หากญี่ปุ่นขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ก็จะทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น เขาก็ต้องมาดูว่าจะขายทำกำไรดีหรือถือต่อแล้วได้กำไรคุ้มค่าอยู่"

นายโกสินทร์กล่าวอีกว่า ในช่วงนี้ค่าเงินบาทไม่น่าแข็งขึ้นมาก หลังจากทางการออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท โดยจะเห็นว่าเงินบาททั้งตลาดในประเทศ (onshore) และตลาดต่างประเทศ (offshore) วันนี้เริ่มอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 33.50 และ 30 บาทต่อดอลลาร์ตามลำดับ แต่เงินบาทก็ยังมีโอกาสที่จะแข็งขึ้นอีกจากปัจจัยทิศทางดอลลาร์อ่อนค่าอยู่ เพียงแต่ว่าเงินต่างชาติที่จะไหลเข้ามาในช่วงนี้ไม่น่าจะมากมายและรวดเร็วเหมือนช่วงก่อนหน้า

"ถ้าวันนี้รัฐยังไม่มีมาตรการอะไรออกมา คิดว่าเงินบาทอาจหลุดไปที่ 32 บาทกว่าก็ได้ จากที่อยู่ 33 บาทเศษ ซึ่งช่วงนี้เงินก็ยังไหลเข้าเอเชียอยู่ ค่าเงินคนอื่นแข็งขึ้นกัน แต่เงินบาทเราไม่แข็ง แต่ก็ไม่อ่อนมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากมาตรการ ส่วนตลาดหุ้นเราที่ยังขึ้นแรงได้ ก็เพราะเงินต่างชาติยังหมุนอยู่ในตลาดเราเยอะ เขายังไม่ไหลออก เพราะเชื่อเศรษฐกิจภูมิภาคนี้มีแนวโน้มขยายตัว การเมืองก็ดีขึ้น และดอลลาร์อ่อนค่า แต่ข้างหน้าก็มีโอกาสที่จะไหลออก จากปัจจัยดอกเบี้ยญี่ปุ่นขึ้น"

ด้านนางวิริยา ลาภพรมรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นกลับมาขึ้นแรงในสัปดาห์นี้อีกครั้งเนื่องจากมีปัจจัยใหม่มากระตุ้น คือ ข่าวการควบรวมกิจการของ บมจ.โรงกลั่นระยองเพียว (RRC) และ บมจ.อะโรเมติกส์ (ATC) จึงทำให้นักลงทุนคาดหมายผลการควบรวมกิจการดังกล่าวจะทำให้เกิดซินเนอร์ยีขึ้นในกลุ่มธุรกิจของ ปตท.ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงทำให้หุ้นในกลุ่ม ปตท.รวมไปถึงกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นสูง

ครม.ไฟเขียว 6 มาตรการ

สำหรับมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 ได้อนุมัติมาตรการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท 6 ข้อ ตามข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงการคลัง ซึ่งประกอบด้วย มาตรการที่ 1 การลงทุนโดยตรงในกรณีที่บริษัทไทยลงทุนในต่างประเทศ จะผ่อนผันให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ และลดแรงกดดันค่าเงินบาท

มาตรการที่ 2 การฝากเงินสกุลต่างประเทศ ในประเทศมี 2 กลุ่ม คือ กรณีมีการส่งเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศที่เป็นเงินรายได้จากการส่งออก หรือกู้เงินต่างประเทศ ในกรณีมีภาระผูกพันสามารถแสดงได้ภายใน 1 ปี มียอดคงค้างไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกรณีไม่มีภาระผูกพัน ยอดคงค้างรวมทุกบัญชี ของบุคคลธรรมดาไม่เกิน 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนิติบุคคลไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กรณีที่การกู้ยืมเงินตราต่างประเทศในประเทศไทย โดยการนำเงินบาทซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศแล้วนำเงินไปฝากสถาบันการเงินในประเทศได้ โดยมีหลักเกณฑ์ คือ กรณีที่มีภาระผูกพัน ต้องแสดงภาระภายใน 1 ปี หากเป็นบุคคลธรรมดาต้องมียอดคงค้างรวมไม่เกิน 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนิติบุคคล 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกรณีที่ไม่มีภาระผูกพัน สำหรับบุคคลธรรมดาต้องมียอดคงค้างทุกบัญชีไม่เกิน 5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนิติบุคคล 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ

มาตรการที่ 3 การโอนเงินต่างๆ ได้มีการปรับให้สอดคล้อง ยืดหยุ่น กรณีการโอนเงินให้ญาติที่มีที่อยู่ถาวรในต่างประเทศ หรือการโอนเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือโอนเพื่อวัตถุประสงค์อื่น สามารถโอนได้ในแต่ละวัตถุประสงค์ไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

มาตรการที่ 4 เงินที่ได้จากการขายสินค้า ที่นำเข้ามาในประเทศ จะเปิดกว้างโดยขยายเวลา การนำเงินเข้าจาก 120 วัน เป็น 360 วัน ในทุกกรณี ส่วนมาตรการที่ 5 คือ ยกเลิกข้อกำหนดให้บุคคลในประเทศที่ได้รับเงินตราต่างประเทศ ต้องขาย หรือขายฝากภายใน 15 วัน โดยไม่มีข้อจำกัด และมาตรการที่ 6 ให้การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และการฝากเงินตราในต่างประเทศ สามารถทำได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง โดย ธปท.จะประเมินผลเพื่อปรับปรุงนโยบายได้ ซึ่ง ธปท.ได้มีการเปิดฮอตไลน์เพื่อสอบถามเรื่องมาตรการนี้ด้วย ที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2283-6000

เครือปูนจี้รัฐสกัดค่าเงิน

นายปราโมทย์ เตชะสุพัฒน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด ในเครือซิเมนต์ไทย (SCG) เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจาก 35 เป็น 33 บาทเศษ/ดอลลาร์ ส่งผลกระทบต่อรายได้จากส่งออกพอสมควร แต่ไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาระดับประเทศ ต้องอาศัยนโยบายจากรัฐบาลออกมาตรการระยะสั้นสกัดเงินบาทไม่ให้แข็งค่าขึ้นไปกว่านี้

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจปูนซีเมนต์ SCG นั้น ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนส่งออกปูนซีเมนต์ 20% ต่อปี หรือประมาณ 8,000 ล้านบาท และเพื่อให้มีปริมาณการผลิตมากพอที่จะมาถัวเฉลี่ยให้ต้นทุนต่ำลง ไม่ได้หวังว่าต้องมีกำไรจากการส่งออก โดยเฉพาะในปีนี้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกว่า 1 บาททำให้รายได้จากการส่งออกปูนซีเมนต์ของบริษัทช่วงครึ่งปีแรกหายไปประมาณ 100 ล้านบาท แต่คงไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนการใช้วิธีชะลอส่งมอบสินค้าออกไป บริษัทมองว่าไม่ใช่ทางออก

โรงแรมพลิกกลับมาขายห้องเป็นเงินบาท

รายงานข่าวจากสมาคมโรงแรมไทยระบุว่า โรงแรมในเมืองไทยเริ่มปรับกลยุทธ์จากที่เคยขายเป็นดอลลาร์กลับมาขายเป็นเงินบาทอีกครั้ง หลังจากปี 2540 เป็นต้นมาที่ปรับไปใช้การขายด้วยดอลลาร์แทนเงินบาท และมั่นใจว่าลูกค้าโดยทั่วไปสามารถรับได้ เนื่องจากการท่องเที่ยวในเมืองไทยถูกกว่าคู่แข่งอีกหลายๆ ประเทศ

นายวัลลภ พุกกะณะสุต รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ได้วางกลยุทธ์ทั้งรับและรุกต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทตั้งแต่ปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากกระทบต่อการขายตั๋วเครื่องบินทั้งขาเข้าและขาออก

ที่ผ่านมาขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนไปแล้วประมาณ 800 ล้านบาท ผู้โดยสารเฉลี่ย (load factor) จากต่างประเทศที่ลดลงมากที่สุดคือญี่ปุ่น จึงทำกิจกรรมการขายเชิงรุกด้วยการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ (outbound) ให้เพิ่มขึ้นเดือนละ 10-12% โดยแต่ละเส้นทางจะมีผู้โดยสารเอาต์บาวนด์สูงถึง 50% จากปัจจุบันมีเพียง 38-40%
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0201

news28/07/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 28, 2007 2:53 pm
โดย chartchai madman
แนะเอกชนเร่งเจาะตลาด โหนกระแสบอลโลกแอฟริกา

หอการค้าแนะผู้ส่งออกโหนกระแส "ฟุตบอลโลก 2010" เกาะตลาดแอฟริกา ฟันธงสินค้าก่อสร้าง-ของที่ระลึก-เสื้อผ้า จะไปในช่วงนี้ได้สวย ขณะที่ผู้ส่งออกแนะให้ตั้ง ไทยแลนด์มาร์เก็ต แทนการจัดคณะผู้แทนการค้าเข้าไปขายของทีละ 3 วัน 7 วันเพราะ เวลาไม่พอ ส่วนนครหลวงค้าข้าว บอกควรเลือกทำ FTA กับบางประเทศที่ภาษีสูง ไม่ใช่เหวี่ยงแห่ทำทั้งภูมิภาค
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานการสัมมนา "กลยุทธ์การค้าการลงทุนในแอฟริกา" เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ โดยนายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานหอการค้าไทยกล่าวว่า เนื่องจากแอฟริกาใต้จะเป็นประเทศเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกประจำปี 2010 (World Cup 2010) จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ส่งออกของไทยในการอาศัยจังหวะนี้เพื่อขยายการส่งออกสินค้าที่จำเป็นกับการแข่งขัน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง-เสื้อผ้า-เครื่องนุ่งห่ม-อุปกรณ์กีฬา และสินค้าของชำร่วยที่ระลึกต่างๆ น่าจะมีอนาคตที่สดใส

หากไทยสามารถขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ จะเป็นแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบกับปัญหาการที่อัตราแลกเปลี่ยนปรับแข็งค่าขึ้น การแข่งขันด้านราคามีมาก ประกอบกับกฎระเบียบทางการค้าในตลาดหลักมีความเข้มงวดมาก "ขณะนี้ต้องติดตามกฎระเบียบทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างบางรายการที่กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องขออนุญาตนำเข้าและจะต้องมีใบรับรอง แต่เชื่อว่าไทยจะสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดนี้ได้ ประกอบกับการทำการค้ากับแอฟริกาเริ่มมีความสะดวกมากขึ้น จากการเปิดเส้นทางสายการบินตรงไปยังแอฟริกา" นายฉัตรชัยกล่าว

พร้อมกันนี้หอการค้าไทยได้เสนอให้กรมส่งเสริมการส่งออก จัดตั้ง "ไทยแลนด์มาร์เก็ต" ขึ้นในตลาดแอฟริกา เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยขายสินค้าในระยะเวลาที่ยาวขึ้น 3-6 เดือน เพราะปัจจุบันกรมจะจัดกิจกรรมไทยแลนด์ เอ็กซิบิชั่น โดยพาภาคเอกชนไปเปิดตลาดในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 3-4 วัน ซึ่งไม่เพียงพอที่สร้างความสนใจให้ลูกค้าได้ติดต่อซื้อสินค้าไทย ดังนั้นภาคเอกชนจึงเสนอรูปแบบของการทำตลาดแบบ ไทยแลนด์มาร์เก็ตขึ้น เพื่อให้เอกชนซึ่งต้องเดินทางไกลผลัดเปลี่ยนกันไปเปิดตลาดขายสินค้าจุดเดียวกัน ลักษณะเหมือนกับรูปแบบไทยแลนด์ พลาซ่า แต่ใช้เงินน้อยกว่า

ด้านนายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ประเทศในกลุ่มแอฟริกาเป็นตลาดอนาคตที่ไทยควรจะจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) ด้วย ในส่วนนี้ควรเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดต่อไปจะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งในความเห็นส่วนตัวมองว่า ขณะนี้ไทยก็ทำความร่วมมือกับแอฟริกาในด้านต่างๆ เช่น ด้านสาธารณสุข หรือด้านอื่นๆ อยู่แล้ว หากจะทำ FTA ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้

ขณะที่ นายวัลลภ พิชญ์พงศ์ศา บริษัท นครหลวงค้าข้าว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ STC กล่าวว่า หากไทยและแอฟริกาจะมีการผลักดันให้เกิดการจัดทำข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกัน ก็เป็นแนวทางที่ดีในการขยายโอกาสทางการค้าในอนาคตเพราะแอฟริกาถือเป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาดใหม่ที่สำคัญ แต่ตนเห็นว่ารัฐบาลควรเลือกทำ FTA กับประเทศที่มีศักยภาพในตลาดแอฟริกาบางประเทศจะดีกว่าที่จะทำ FTA แบบรายภูมิภาคโดยเฉพาะ ประเทศที่นำเข้าข้าวจากไทยแต่ยังมีการเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง อาทิ ไนจีเรีย ที่เก็บภาษีในอัตรา 100% ทีเดียว

นอกจากการทำ FTA แล้ว ภาครัฐบาลควรจะให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือด้านสังคม/วัฒนธรรม แก่ประเทศในแอฟริกา เพราะขณะนี้หลายประเทศก็ใช้กลยุทธ์เช่นนี้ เช่น จีน โดยเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านสังคม/ วัฒนธรรม ก่อนจะขยายความร่วมมือในเชิงธุรกิจ

"สำหรับภาพรวมการส่งออกสินค้าไปแอฟริกาของบริษัทนครหลวงค้าข้าวมีสัดส่วนร้อยละ 30-40 โดยจะเป็น ข้าวนึ่ง กับ ปลายข้าว โดยส่งไปตลาดเซเนกัล ตามปกติจะมีการออร์เดอร์มากในช่วงปลายปี เพื่อนำไปใช้ในงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ซึ่งจะทำให้ตลาดนี้ขยายตัวได้เฉลี่ย 10% หรือประมาณ 1.2 ล้านตัน แต่อุปสรรคสำคัญคือ ค่าระวางเรือ ค่าขนส่งที่แพงมาก จำนวนเรือ ทำให้ราคาข้าวไทยต่างจากอินเดียถึง 20-30%" นายวัลลภกล่าว

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้คู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดแอฟริกาก็คือ จีน-เวียดนาม-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย-อินเดีย ทั้ง 5 ประเทศนี้ได้เร่งเข้าไปทำตลาดในแอฟริกามากขึ้น หากไทยล่าช้าก็จะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปเพราะ สินค้าไทยมีโอกาสที่จะเข้าไปทำตลาดแอฟริกาได้ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งไทยมีศักยภาพ

ขณะเดียวกันไทยจะได้ประโยชน์จากการเข้าไปลงทุน เพราะแอฟริกาเป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และยังได้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) จากสหรัฐ/สหภาพยุโรป ที่จะส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่สามได้อีกทางหนึ่ง
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0203

news28/07/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 28, 2007 7:33 pm
โดย chartchai madman
หวั่นรัฐใช้กม.หนี้ผิดหลักการ ออกบอนด์อุ้มบาทจ่ายดบ.อื้อ

คลังจับมือ ธปท.ดันร่าง พ.ร.บ.หนี้สาธารณะฉบับใหม่เสนอ สนช. อาศัยช่องทางกฎหมายออกบอนด์ โดยไม่ต้องตั้งงบขาดดุลมาช่วย ธปท.ดูดเงินบาทออกจากระบบ ชี้อาจจะผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายที่เน้นความคล่องตัวในการบริหารหนี้และพัฒนาตลาดตราสารหนี้ หวั่นระยะยาวหนี้พุ่ง กระทบกรอบวินัยคลังที่กำหนดให้รัฐก่อหนี้ได้ไม่เกิน 50% ของ GDP และมีภาระผ่อนชำระหนี้ได้ไม่เกิน 15% ของวงเงินงบฯรายจ่ายในแต่ละปี

ต่อกรณีที่นายฉลอง สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดแถลงข่าวร่วมกับนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังกับ ธปท.ในการดูแลความผันผวนของค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยจะอาศัยช่องทางของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)หนี้สาธารณะฉบับใหม่ที่อนุญาตให้กระทรวงการคลังสามารถ ออกพันธบัตรกู้เงินได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องตั้ง งบประมาณขาดดุลนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการลดสภาพคล่องของเงินบาทภายในประเทศร่วมกับพันธบัตรของ ธปท.

แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงการคลัง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จริงๆ วัตถุประสงค์หลักของการแก้ไข พ.ร.บ.หนี้สาธารณะฉบับนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารหนี้และสนับสนุนนโยบายในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ภายในประเทศเท่านั้น

"การแก้ไขกฎหมายไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะเปิดช่องทางให้รัฐบาลออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อมาดูดซับสภาพคล่องจากการแทรกแซงค่าเงินบาทแทน ธปท. กระทรวงการคลังไม่ได้มีหน้าที่ในส่วนนี้ เพราะอาจทำให้รัฐบาลมีความเสี่ยงจากการเป็นหนี้เพิ่มขึ้นได้และท้ายที่สุดจะต้องมีการจัด งบประมาณมาชำระหนี้ในแต่ละปีเพิ่มขึ้น"

แหล่งข่าวกล่าวว่า พ.ร.บ.หนี้สาธารณะที่ใช้ปัจจุบันอนุญาตให้รัฐบาลออกพันธบัตรกู้เงินได้เฉพาะเมื่อมีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเป็นแบบขาดดุลเท่านั้น ยกตัวอย่างในปีงบประมาณ 2551 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้อนุมัติให้รัฐบาลออกพันธบัตรกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลได้ไม่เกิน 1.65 แสนล้านบาท แต่ถ้าร่าง พ.ร.บ.หนี้สาธารณะฉบับใหม่มีผลบังคับใช้จะทำให้กระทรวงการคลังออกพันธบัตรกู้เงินได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องขออนุญาตจากสภา

อย่างไรก็ดี การก่อหนี้ภาครัฐจะถูกจำกัดโดยกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดให้รัฐบาลก่อภาระหนี้สินได้ไม่เกิน 50% ของ GDP และมีภาระจัดงบประมาณมาชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 15% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปี

ทั้งนี้ ปัจจุบันรัฐบาลมีภาระหนี้สาธารณะคิดเป็นสัดส่วน 38% ของ GDP (8.399 ล้านล้านบาท) ฉะนั้นยังมีความสามารถที่จะก่อหนี้เพิ่มได้อีก 10% ของ GDP ถึงจะเต็มเพดานในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง หรือคิดเป็นวงเงินที่จะก่อหนี้เพิ่มได้อีก 700,000-800,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่าคงจะไม่มีรัฐบาลชุดไหนกล้าออกพันธบัตรรัฐบาลมาช่วย ธปท.ดูดเงินบาทออกจากระบบจนเต็มวงเงินเพราะถ้างบประมาณมีไม่พอที่จะนำไปจ่ายดอกเบี้ยจะต้องไปเอาเงินคงคลังมาใช้หนี้

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้นเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เกิดจากการที่มีเงินร้อนจาก ต่างประเทศที่ไหลเข้ามาหาผลตอบแทนจากการลงทุน นอกเหนือจากการที่ประเทศไทยเกินดุลการค้ามาอย่างต่อเนื่อง วิธีการลดแรงกดดันเรื่องค่าเงินบาทดีที่สุดคือ ลดอัตราดอกเบี้ยให้แรงๆ ทำให้ผลตอบแทนลดลงไปบ้าง หรือจะใช้ยาแรงอย่างมาตรการสำรองเงินทุน 30% พร้อมสนับสนุนให้ภาครัฐและเอกชนรีไฟแนนซ์คืน หนี้ต่างประเทศและนำเงินออกไปลงทุนใน ต่างประเทศ

ส่วนเรื่องการแทรกแซงค่าเงินบาท ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ธปท.ที่ต้องดูแลเงินทุนที่ไหลเข้ามาจำนวนมาก ที่ผ่านมานายฉลองภพได้อนุมัติให้ ธปท.ออกพันธบัตรมาดูดซับสภาพคล่องได้เพิ่มขึ้นอีก 400,000 ล้านบาท หลังจากที่ ธปท.ได้ออกพันธบัตรแบงก์ชาติไปแล้ว 1.1 ล้านล้านบาท หากวงเงินในการออกพันธบัตรไม่พอ ทาง ธปท. สามารถทำเรื่องมาขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมได้ตลอด ถึงแม้ ธปท.จะมีหนี้สินจากการออกพันธบัตรเพิ่ม แต่อีกด้านหนึ่งของบัญชีจะมี สินทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

"ตรงนี้ควรจะต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ โดยการนำสินทรัพย์ต่างประเทศไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าต้นทุนที่ใช้ในการออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่อง หรืออาจจะลดต้นทุน โดยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดที่จะใช้พันธบัตรรัฐบาลไปดูดซับสภาพคล่องแทนแบงก์ชาติ เพราะทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่ม"

แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัจจุบันนอกจากรัฐบาลจะมีภาระหนี้ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารงบประมาณแล้ว ยังมีหนี้ที่เกิดจากการดำเนินนโยบายประชานิยมของรัฐบาลชุดก่อนที่ยังมีปรากฏในระบบข้อมูลการคลังอีก ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าในอนาคตรัฐบาล จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนเท่าไร

จากข้อมูลหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลมีภาระหนี้ทั้งสิ้น 3,201,650 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 38.12% ของ GDP จำแนกออกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,046,132 ล้านบาท, หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 887,627 ล้านบาท, หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 222,175 ล้านบาท และหนี้องค์กรของรัฐอื่น 45,716 ล้านบาท
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206

news30/07/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 30, 2007 12:35 pm
โดย chartchai madman
ธปท. มองการลงทุนเริ่มฟื้นตัว  

โดย ไทยรัฐ วัน จันทร์ ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 08:06 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธปท. ได้ออกรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนกรกฎาคม 2550 ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประเมินแนวโน้มการลงทุนและการฟื้นตัวในระยะต่อไปว่า ในไตรมาส 2 ปีนี้ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและอุปสรรคในการปรับราคายังคงเป็นแรงกดดันต่อการลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ผ่านมาจากการเร่งรัดการเบิกจ่ายของรัฐบาล

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในระยะต่อไป การลงทุนของภาคเอกชนคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากหลายปัจจัย ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย ที่ปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำและสภาพคล่องทางการเงินที่มีอยู่สูง อัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูงในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ปิโตรเลียม กระดาษ และอิเล็กทรอนิกส์ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นซึ่งจะเอื้อประโยชน์แก่นักลงทุนที่ต้องนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบในการผลิต

นอกจากนี้ จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 30 ของมูลค่าการลงทุนของภาคเอกชนทั้งหมด พบว่าโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจะเริ่มลงทุนก่อสร้างและนำเข้าเครื่องจักรจะเปิดดำเนินการภายใน 3 ปี ขณะที่การกระจายตัวของการลงทุนมีลักษณะ Frontload คือ เม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่จะถูกใช้ภายในปีแรก ซึ่งข้อมูลในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 มีโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 622 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 244,700 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.3 โดยประเภทกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุด ได้แก่ ภาคบริการและสาธารณูปโภค รองลงมา คือ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องไฟฟ้า ดังนั้น มีแนวโน้มว่าการลงทุนภาคเอกชนในสาขาดังกล่าวน่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงต่อไป

ทั้งนี้ ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อระบุว่า ตัวเลขแนวโน้มการลงทุนที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับผลสำรวจตามโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจ/ธุรกิจระหว่าง ธปท. และนักธุรกิจ ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งชี้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังเห็นว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังคงดีอยู่และมีความพร้อมที่จะลงทุนในระยะต่อไป เนื่องจากความกังวลใจเรื่องต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีโอกาสจะเริ่มลงทุนในปีนี้ และในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และพลังงาน นอกจากนี้ เริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย โดยเห็นได้จากผลประกอบการของนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจขายเช่าโรงงานที่ปรับตัวดีขึ้นและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มจะระดมทุนเพิ่มในช่วงครึ่งหลังของปี 2550

สำหรับการลงทุนของภาครัฐในปี 2550-2551 นโยบายการคลังจะกลับมามีบทบาทมากขึ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อทดแทนการชะลอตัวของภาคเอกชน ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนภาครัฐซึ่งรวมการลงทุนของภาครัฐบาลและรัฐวิสาหกิจจะขยายตัวประมาณร้อยละ 10 เนื่องจากแผนการลงทุนของรัฐบาลเริ่มมีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น และงบประมาณรายจ่ายการลงทุนของปี 2551 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากปี 2550 โดยเฉพาะในส่วนการวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงกิจการพลังงาน ไฟฟ้า ปิโตรเคมี

นอกจากการใช้จ่ายผ่านงบประมาณแล้ว รัฐบาลยังได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม (คศร.) และคณะกรรมการเร่งรัดการเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงการออกมาตรการด้านการคลัง การผ่อนปรนมาตรการภาษีลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาโครงสร้างการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน พบว่ามีสัดส่วนการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรประมาณร้อยละ 65 ของมูลค่าการลงทุนรวม โดยในสัดส่วนนี้เป็นการลงทุนของภาคเอกชนถึงร้อยละ 87 ซึ่งจากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวน่าจะมีส่วนขยายตัวดีขึ้นต่อไป ขณะที่หมวดก่อสร้างมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐกว่าร้อยละ 60 เป็นการลงทุนในหมวดก่อสร้าง  
http://news.sanook.com/economic/economic_162971.php

news30/07/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 30, 2007 12:54 pm
โดย chartchai madman
สถิติตั้งบริษัทใหม่ ครึ่งปีแรกร่วง16% ตามภาวะเศรษฐกิจ  

"พาณิชย์"เปิดตัวเลขช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้พบ มีนิติบุคคลจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ 21,094 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,208 ราย หรือลดลง 16.63%

มีรายงานข่าวจาก กระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ในเดือนมิถุนายน 2550 ที่ผ่านมามีนิติบุคคลจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ทั่วประเทศจำนวน 3,723 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 161 ราย หรือลดลง 4.15% คิดเป็นทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 12,150.09 ล้านบาท
"ส่วนตัวเลขในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้(มกราคม-มิถุนายน) มีนิติบุคคลจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ 21,094 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,208 ราย หรือลดลง 16.63%"
รายงานข่าว ระบุ

สำหรับหมวดธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งมากที่สุด 3 อันดับแรกเดือนมิถุนายน ได้แก่ธุรกิจขายส่งขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ จำนวน 1,229 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 2,091.87 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ การให้เช่าและบริการทางธุรกิจ 697 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 2,491.36 ล้านบาท และการก่อสร้าง 492 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 1,931.83 ล้านบาท โดยนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนสูงสุดในเดือนมิถุนายนคือบริษัทกมลา บีช รีสอร์ท แอนด์ โฮเต็ล แมนเนจเม้นท์ จำกัด ประกอบธุรกิจด้านการรับเหมาก่อสร้าง ทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาท ถือหุ้นโดยคนไทย 68% ส่วนที่เหลืออีก 32% เป็นผู้ถือหุ้นชาวฮ่องกง

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนสิ้นสภาพเดือนมิถุนายนจำนวน 1,146 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 148 ราย หรือลดลง 11.44% ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีนิบุคคลสิ้นสภาพรวมทั้งสิ้น 7,929 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 468 ราย หรือลดลง 5.57%

โดยนิติบุคคลที่มีการจดทะเบียนสิ้นสภาพมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจขายส่งขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ จำนวน 464 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 2,506.55 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ การให้เช่าและบริการทางธุรกิจ 219 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 942.74 ล้านบาท และการผลิต 143 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 1,167.57 ล้านบาท

ทั้งนี้นิติบุคคลรายใหญ่ที่จดทะเบียนเลิกกิจการเดือนมิถุนายน 2550 คือบริษัทฟู้ด ไลอ้อน(ประเทศไทย) จำกัด ประกอบธุรกิจขายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค บริษัทยูคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนในต่างประเทศ และบริษัทสยาม โอเชี่ยนเวิด์ล จำกัด ประกอบธุรกิจอุทธยานสัตว์น้ำ  
http://www.naewna.com/news.asp?ID=69544

news30/07/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 30, 2007 2:51 pm
โดย chartchai madman
บิ๊กแอ้ด มั่นใจเศรษฐกิจไทยยังโตได้ไร้ปัญหา  
โดย ผู้จัดการออนไลน์
28 กรกฎาคม 2550 16:38 น.

      พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มั่นใจเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่องไปถึงปีหน้า แต่ยอมรับอาจมีผู้ประกอบการบางรายได้รับผลกระทบ ซึ่งรัฐบาลพยายามหาทางแก้ไข ส่วนการดูแลค่าเงินบาทมีทั้งมาตรการระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว โดยเบื้องต้นเน้นรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทเป็นหลัก      
 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทย ในรายการ เปิดบ้านพิษณุโลก ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ วันนี้ (28 ก.ค.) ว่าภาพรวมการส่งออกไม่ได้ลดลง และยังมีการคาดคะเนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือธนาคารโลก ต่างมองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวดีขึ้นในปีหน้า จากที่เคยประเมินว่าประมาณร้อยละ 3.8-4.0 เป็นร้อยละ 4.0-4.5
     
      จะเห็นชัดเจนว่าโดยภาพรวมแล้ว การขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่ได้ลดลง แต่ผู้ประกอบการในบางภาคบางส่วนอาจจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลกำลังหาทางแก้ไขอยู่ และมาตรการ 6 ข้อ ในการดูแลค่าเงินบาทผันผวน ที่คณะรัฐมนตรีมีมติออกมา เป็นเพียงมาตรการระยะปานกลาง จะช่วยผ่อนคลายปริมาณของเงินดอลลาร์สหรัฐที่ไหลเข้ามาในประเทศ ส่วนการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี จะเป็นมาตรการระยะยาวที่กำลังจะดำเนินการ นายกรัฐมนตรี กล่าว
     
      พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวังขณะนี้คือเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน แต่ปัญหาที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียมากระยะนี้ เกิดขึ้นมาปีเศษ ไม่ได้เกิดกับประเทศไทยเพียงประเทศเดียว ซึ่งเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ต้องดูว่าจะบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งสิ่งที่ทำในเบื้องต้นคือ พยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท ส่วนในระยะปานกลาง จะมีมาตรการที่จะระบายเงินออกไป และระยะยาวก็พูดถึงการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมทั้งด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันกับต่างประเทศ
     
      แนวทางที่คิดว่าน่าจะดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาคือ ต้องสร้างภูมิคุ้มกันและมองรอบด้าน ไม่ได้เล็งผลเลิศจนเกินไป จะไม่ก้าวกระโดดในเรื่องใด ๆ ถือว่าเป็นหลักการของการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ แม้แต่ในเรื่องของการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท รัฐบาลก็นำแนวทางพระราชทานนี้มาใช้ นายกรัฐมนตรี กล่าว
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000088337

news30/07/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 30, 2007 6:51 pm
โดย chartchai madman
รสก.คืนหนี้แค่จิ๊บจ๊อย +กฝผ.ชำระได้เพียง 13 ล้าน/ปตท.อ้างประกันความเสี่ยงไว้แล้ว/ทอท.ปัดไม่คุ้ม  
รัฐวิสาหกิจ "ลองของ"รัฐบาลขิงแก่ แผนบี้คืนหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนดส่อแท้ง ฟันธงตรงกัน ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งชำระ บิ๊กกฟผ. แย้มตัวเลขคืนได้แค่ 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านปตท. บอกไม่ต้องห่วง ประกันความเสี่ยงจากวงเงินกู้นอกไว้หมดแล้ว ส่วนทอท.โบ้ยให้คลังเจรจากับเจบิกเอง สมหมาย ภาษี ยอมรับเงินกู้ส่วนใหญ่ที่ชำระหนี้คืนได้ก่อนเป็นเงินกู้เฉพาะส่วนที่กู้จากเจบิก ขณะที่เจบิกนัดหารือคลัง 1 ส.ค.นี้

จากการที่เทคแอ๊กชั่นของนายฉลองภพ สุสังกรกาญจน์ รัฐมนตรีว่าการทรวงการคลัง ในการสู้วิกฤติบาทแข็งโดยสั่งเร่งจ่ายคืนหนี้ต่างประเทศของภาครัฐ 7โครงการรวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่าแสนล้านบาท ทั้งจี้รัฐวิสาหกิจต่างๆ รีบ คืนหนี้ต่างประเทศด้วยเช่นกัน เพื่อผลักดันเงินดอลลาร์ที่ท่วมไทยออกไป ลดแรงกดดันค่าบาท เป็นแนวทางที่ได้รับการขานรับจากอดีตรัฐมนตรีคลังไม่ว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี สอดรับกับแนวคิดของผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลังในปัจจุบัน ทั้งนายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.)ที่เห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว

++บี้เจ้ากระทรวงกำชับรสก.เร่งคืนหนี้

นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การคืนหนี้ก่อนกำหนดของรัฐวิสาหกิจนั้น ได้มีการนำเสนอแผนงานการบริหารหนี้ดังกล่าวเข้ารายงานให้คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมรับทราบแล้ว เมื่อวันจันทร์ที่23กรกฏาคม 2550ที่ผ่านมา หนี้ส่วนใหญ่ที่สามารถดำเนินการได้ จะเป็นการแปลงหนี้ในส่วนของธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) ส่วนหนี้ที่กู้จากธนาคารโลก กับธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) นั้น ติดปัญหาที่ไม่สามารถนำไปบริหารตามแนวทางดังกล่าวได้ แต่เนื่องจากหนี้ในส่วนนี้มีจำนวนน้อยมาก จึงไม่น่าเป็นห่วง
ขอย้ำว่าทางกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่มีหนี้ต่างประเทศอยู่ในแผนที่จะดำเนินการ จะต้องช่วยกำชับให้รัฐวิสาหกิจนั้นๆดำเนินการอย่างเคร่งครัดด้วย เพราะถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะเอาจริงในเรื่องนี้ ซึ่งตามแผนการชำระหนี้ต่างประเทศ ต้องให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งไปดำเนินการกันเอาเอง และได้มีการหารือในระดับนโยบายไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าต้องถือเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ถ้าใครไม่ทำ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของกระทรวงเจ้าสังกัดที่ต้องไปไล่บี้กันให้ได้ เพราะเรื่องนี้ต้องคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ระยะต่อไปหากรัฐวิสาหกิจใดต้องการจะระดมทุนด้วยการกู้เงินจากตลาดการเงิน ก็ให้พิจารณากู้ยืมเป็นเงินบาทในประเทศเป็นหลัก เช่น โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์(ซีเคียวรีไทเซซั่น)ของธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ซึ่งในครั้งแรกจะมีการเสนอขายให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ จำนวน 30,000 ล้านบาท และขายให้นักลงทุนในประเทศ 10,000 ล้านบาท ก็ให้เปลี่ยนเป็นการเสนอขายให้กับนักลงทุนภายในประเทศทั้งหมดแทน หรือกรณีของการซื้อสินค้าของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจต่างๆ ก็ให้พิจารณาสินค้าภายในประเทศเป็นหลัก ยกเว้นเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศจริงๆเท่านั้น
ทั้งนี้จากที่ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้ติดต่อไปยังสำนักงานของเจบิกประจำประเทศไทยในประเด็นดังกล่าวข้างต้น เพื่อสอบถามจากนายฮิโตชิ โทจิม่า ตัวแทนเจบิก แต่ทราบว่านายฮิโตชิอยู่ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ 1 สัปดาห์ โดยจะกลับมาในวันที่ 31 กรกฏาคมนี้ และมีนัดจะหารือกับกระทรวงการคลังในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยเจ้าหน้าที่เจบิกรายหนึ่ง กล่าวถึง กรณีที่กระทรวงการคลังจะมาเจรจาเรื่องการแปลงเงินกู้ของเจบิกในส่วนที่เป็นเงินกู้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจว่า ขณะนี้ทางเจบิกยังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลจากแนวทางของรัฐบาลไทย ซึ่งประเด็นเงินกู้ในแต่ละโครงการนั้น มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป และยังไม่ได้มีการดำเนินการใดๆกับเงินกู้ดังกล่าวในขณะนี้
ก่อนหน้านี้นายสมหมาย ภาษี รมช.คลังได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เห็นชอบให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) กระทรวงการคลัง ดำเนินการชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ภายในปี 2550 มีวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,183 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ดูตารางประกอบแผรเร่งชำระคืนหนี้ต่างประเทศ) เพื่อเป็นการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยคาดว่าจะดำเนินการได้ 80% ภายในปีงบประมาณ 2550(ก.ย.50) และสามารถดำเนินการในส่วนที่เหลืออีก 20% ได้ภายในสิ้นปี 2550 นี้นั้น

++กฟผ.ออกตัวจ่ายคืนได้แค่จิ๊บจ่อย

"ฐานเศรษฐกิจ" ได้สำรวจความเห็นไปยังบริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่แต่ละแห่ง ถึงแนวทางการเร่งชำระหนื้ต่างประเทศก่อนกำหนด ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่านั้น พบว่ารัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่มีแนวทางการบริหารความเสี่ยงจากหนี้เงินกู้ที่กู้จากต่างประเทศอยู่แล้ว และยังไม่มีความจำเป็นต้องเร่งคืนหนี้ต่างประเทศในขณะนี้ โดยหากรัฐบาลเร่งให้คืนหนี้ก็สามารถคืนก่อนกำหนดได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น

นางสุรางค์ บุญตานนท์ รองผู้ว่าการบัญชีและการเงิน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) รัฐวิสาหากิจในสังกัดกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการเร่งคืนหนี้ต่างประเทศว่า ขณะนี้ได้รายงานให้กระทรวงพลังงานทราบแล้วว่า ทางกฟผ.ยินดีที่จะตอบสนองนโยบายของรัฐบาล หลังจากที่ได้หารือกับกระทรวงการคลังและธปท.เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยหนี้ต่างประเทศของกฟผ. มีประมาณ 8,500 ล้านบาทหรือ 10 % ของหนี้ทั้งหมดเท่านั้น เนื่องจากช่วงก่อนที่กฟผ.จะทำแผนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อปี 2548 ได้ทำการสวอปเงินกู้ไปจำนวนมากแล้ว ประกอบกับกฟผ.มีเงินกู้ที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐประมาณ 113 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 3,842ล้านบาท (คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ที่เหลือเป็นเงินสกุลต่างๆ และพันธบัตร

ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเร่งชำระคืนหนี้ ประกอบกับพันธบัตรมีอายุการไถ่ถอน และบางสัญญาไม่สามารถไถ่ถอนได้ หากชำระหนี้ก่อนเกรงว่าจะเกิดผลกระทบได้ ประกอบกับเงินที่กู้มาบางโครงการมีอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือไม่มีเลย การจะไปชำหนี้หนี้ก่อน จะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ดำเนินการไป

"กฟผ.กำลังหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อจะพิจารณาว่าจะมีส่วนใดเข้าไปช่วยเหลือในนโยบายดังกล่าวได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งขณะนี้มองว่ามีเงินกู้เพียงประมาณ 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 429 ล้านบาท ที่จะดำเนินการช่วยได้ แต่จะขึ้นอยู่กับวิธีไหนให้ประเทศได้ประโยชน์สูงสุด จะขอพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง"

++ปตท.ติดเงื่อนไขชำระหนี้ก่อนกำหนด

นางสาวเพ็ญจันทร์ จริเกษม ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการใหญ่ การเงินองค์กร บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(บมจ.) กล่าวว่า จากการหารือกับกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ชี้แจงไปแล้วว่า ทางบมจ.ปตท.จะใช้วิธีอย่างอื่นที่มีความเหมาะสมมากกว่าจะเร่งใช้หนี้คืนที่มีอยู่ประมาณ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 54,400 ล้านบาท( คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากหนี้ที่มีอยู่นั้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้ต่างประเทศที่มีระยะเวลาการคืนหนี้ที่แน่นอน ทั้งระยะสั้นตั้งแต่ 5 ปี และระยะยาวถึง 30 ปี และได้มีการประกันความเสี่ยงไว้หมดแล้ว ที่สำคัญเงื่อนไขการกู้เงินมาไม่เอื้อต่อการชำระหนี้ก่อนกำหนดได้ ถึงแม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นก็ตาม เพราะอาจจะเสียค่าปรับได้
ส่วนวิธีการบริหารความเสี่ยงนั้น ทางบมจ.ปตท.จะเลือกใช้ที่ปฏิบัติกันในตลาดตราสาร เช่น
การสวอปดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเงินบาท เป็นต้น ซึ่งจะทำให้มีเงินมาหมุนเวียนเป็นเงินบาทได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการมองว่าเงินบาที่แข็งค่าขึ้น จะทำให้รายได้ในการส่งออกผลิตภัณฑ์ของบมจ.ปตท.ลดน้อยลง แต่ในผลทางบัญชีแล้วก็ทำให้หนี้ในต่างประเทศลดน้อยลงด้วย

++ทอท.โยนคลังช่วยเจรจากับเจบิก

นางกัลยา ผกากรอง รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ขณะนี้ ทอท.มีภาระหนี้กับเจบิกอยู่เกือบ 50,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ โดยเพิ่งเริ่มทยอยชำระหนี้ไปเพียง 1,000-2,000 ล้านบาท ตามกำหนดเมื่อปีที่ผ่านมา โดยหากรัฐบาลมีนโยบายให้ทอท.ชำระคืนหนี้ก่อนกำหนด กระทรวงการคลังต้องเจรจากับทางเจบิกเอง เนื่องจากการกู้เงินดังกล่าวเป็นเรื่องการตกลงระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล

"ทอท.ต้องรอดูนโยบายในเรื่องนี้ก่อน เพราะการจะชำระหนี้คืนก่อนครบกำหนด ต้องศึกษาด้วยว่าจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทหรือไม่ และหากหาแหล่งเงินกู้ใหม่เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรีไฟแนนซ์หรือการออกบอนด์ในประเทศ ทอท.ต้องเสียอัตราดอกเบี้ย 6% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่กู้เจบิกอยู่ที่ 1% กว่าเท่านั้น ซึ่งหากพิจารณาแล้วไม่คุ้มก็ต้องชี้แจงให้รัฐบาลรับทราบ"

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) บมจ. เผยว่า กำลังเร่งศึกษารายละเอียดในการชำระหนี้เงินกู้จากต่างประเทศ เนื่องจากเห็นว่าบมจ.การบินไทย น่าจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งต้องแยกรายละเอียดมาศึกษาดูเป็นสัญญาๆไป คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะสามารถนำเสนอต่อบอร์ดได้

ทางด้านบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด วิเคราะห์มาตรการทางการเพื่อแก้ไขการแข็งค่าของเงินบาท โดยระบุว่า ในส่วนของมาตรการเร่งรัดการชำระหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนการปรับโครงสร้างและแปลงหนี้ต่างประเทศมาเป็นหนี้สกุลเงินบาทนั้น จะสามารถเพิ่มความต้องการเงินตราต่างประเทศและลดแรงกดดันต่อช่วงขาขึ้นของเงินบาทได้อย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องดูวงเงินที่สามารถทำได้จริงว่ามีมูลค่ามาก-น้อยเพียงไร และติดเงื่อนไขอื่นๆ หรือไม่ ในขณะที่ในส่วนของการแปลงหนี้ต่างประเทศกลับมาเป็นสกุลเงินบาทนั้น จะต้องมีเงื่อนไขที่ว่าต้นทุนของการกลับมาก่อหนี้ในรูปเงินบาทจะต้องน้อยกว่าต้นทุนของการก่อหนี้ในรูปเงินตราต่างประเทศ

ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจบางแห่งอาจมีข้อจำกัดในการเร่งคืนหนี้ต่างประเทศ เช่น รัฐวิสาหกิจในสังกัดปตท.และกฟผ.เนื่องจากติดเงื่อนไขบางประการ และได้มีการทยอยคืนหนี้ในช่วงก่อนหน้านี้ไปแล้ว โดยในส่วนของปตท.หนี้ต่างประเทศส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของการออกหุ้นกู้ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งติดเงื่อนไขการไถ่ถอนคืนก่อนกำหนด ขณะที่ ในส่วนของกฟผ.จะต้องมีการเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (ไอพีพี) ซึ่งขายไฟฟ้าเข้าระบบปัจจุบันว่าสามารถคืนหนี้ในรูปเงินดอลลาร์ฯ ก่อนกำหนดได้หรือไม่

++สบน.นัดหารือรัฐวิสาหกิจ25ก.ค.นี้

นายจักรกฤศฏ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักเงินกู้ตลาดเงินทุนต่างประเทศ สำนักบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2550 นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ที่มีดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เป็นประธาน ซึ่งจะมีการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการพรีเพย์เมนท์ หรือการรีไฟแนนซ์ รวมถึงผลการบริหารหนี้สาธารณะและสถานะหนี้สาธารณะในปีงบประมาณ 2550 เข้าสู่ที่ประชุมด้วย


อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2550(1 ต.ค. 49) จนถึงปัจจุบัน สบน.ได้มีการบริหารหนี้ต่างประเทศไปแล้ว จำนวน 1,326 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 45,084 ล้านบาท คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) และบริหารเพื่อปิดความเสี่ยงเงินกู้ต่างประเทศในส่วนของรัฐบาล จำนวน 706 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 2,032 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 69,088 ล้านบาท) โดยสามารถลดยอดหนี้คงค้างลงได้ จำนวน 28,890 ล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 2,702 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว สามารถช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อค่าเงินบาท ให้สามารถอ่อนค่าลงได้ระดับหนึ่ง


ทั้งนี้เมื่อแยกพิจารณาเป็นการบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล ประกอบด้วย 1.เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 มีการออกพันธบัตรสกุลเงินบาท จำนวน 6,700 ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้ตั๋วสัญญาใช้เงินสกุลยูโร(อีซียู) วงเงิน 184 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2.วันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 ใช้เงินงบประมาณชำระคืนหนี้เงินกู้อีซีพี วงเงิน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3.วันที่ 23 มีนาคม 2550 ออกพันธบัตรสกุลเงินบาท วงเงิน 10,500 ล้านบาท ชำระคืนหนี้เงินกู้ให้กับธนาคารโลก(ไอบีอาร์ดี) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) วงเงิน 348 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 4.วันที่ 29 มิถุนายน 2550 ใช้เงินงบประมาณ จำนวน 10,183 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(เจบิก) จำนวน 294 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


สำหรับการบริหารเพื่อปิดความเสี่ยงหนี้ต่างประเทศนั้น ประกอบด้วย 1.ในเดือนมกราคม 2550 ทำการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า(ฟอร์เวิอร์ด) วงเงิน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อชำระคืนหนี้คูปองเงินกู้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว(เอฟอาร์เอ็น) ที่จะครบกำหนดชำระคืนในวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 และ 2.ในเดือนเมษายน 2550 ทำฟอร์เวิร์ด วงเงิน 406 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อชำระเงินกู้พันธบัตรเงินกู้ญี่ปุ่น(ซามูไรบอนด์) รุ่นที่ 21 ที่จะครบกำหนดชำระคืนในวันที่ 30 มิถุนายน 2551 นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ยังได้อนุมัติตามที่การกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ปรับวงเงินกู้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ 2550 เพิ่มขึ้นอีก จำนวน 806.65 ล้านบาท จากเดิม 240,351.60 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 241,158.25 ล้านบาท


ส่วนหนี้ต่างประเทศคงค้าง เมื่อแยกตามแหล่งเงินผู้ให้กู้แบ่งเป็น หนี้รัฐบาลกลางทั้งสิ้น จำนวน 1,702.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 57,893.16 ล้านบาท คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) โดยเป็นการกู้จาก 1. เอดีบีจำนวน 29.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (International Bank for Reconstruction and Development: ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา , ธนาคารโลก) (คิดเป็น 1,002.66 ล้านบาท) 2.เจบิก 1,039.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 35,349.46 ล้านบาท) 3.ไอบีอาร์ดี ( 66.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( คิดเป็น 2,249.44 ล้านบาท) และ 4.แหล่งเงินกู้อื่นๆ 567.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 19,291.6 ล้านบาท)

ในส่วนของหนี้ของรัฐวิสาหกิจรวมทั้งสิ้น 5,260.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 178,852.92 ล้านบาท) โดยเป็นการกู้จาก 1.เอดีบี มีจำนวน 23.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 787.78 ล้านบาท) 2.เจบิก 3,227.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 109,739.08 ล้านบาท ) และ 3.แหล่งเงินกู้อื่นๆ 2,009.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 68,326.4 ล้านบาท)
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2238

news30/07/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 30, 2007 7:31 pm
โดย chartchai madman
ต่างชาติใส่เกียร์ลุย ดันหุ้นไทยเป็น'กระทิงไฟ' รายย่อยใจร้อนชิง'ขายหมู'  
กระแสการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างชาติที่ทะลักเข้าหุ้นไทยอีกระลอก ทำให้วันที่ 24 กรกฏาคม ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นรุนแรงอีกครั้งหลังพักฐานมาหลายวัน โดยดัชนีปิดบวก 2.12% แตะระดับสูงสุดใหม่(นิวไฮ)ในรอบ 10 ปี 7 เดือน โดยปิดที่ 880.95 จุด บวก 18.33 จุด และถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ระดับปิดที่ 885.86 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2539

- 2 วันต่างชาติลุยซื้อ 4 พันล./มาร์เก็ตแคปพุ่ง 6.79 ล้านล.

ส่วนมูลค่าซื้อขายในวันดังกล่าวหนาแน่นที่ 43,880.04 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ นับตั้งแต่ 46,927.77 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 กรกฏาคมที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเดินหน้าลุยต่อ ทำให้พบว่าในช่วง 2 วัน ( 23-24 ก.ค.)ต่างชาติซื้อสุทธิถึง 4,016.12 ล้านบาท
จากกระแสเงินทุนไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่องทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมหรือมาร์เก็ตแคป หุ้นไทยปรับขึ้นมาอยู่ที่ 6.79 ล้านล้านบาทแล้ว เมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าทะลุเป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่คาดว่าสิ้นปี 2550 มาร์เก็ตแคปจะอยู่ที่ 6 ล้านล้านบาท

-คลายกังวล"สงครามบาทแข็ง"

จากการประมวลความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ต่างระบุว่า เงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้า ช่วยทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นมาแรง ประกอบกับมาตรการแก้ปัญหาค่าเงินบาท ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนที่ไหลเข้า จึงทำให้นักลงทุนไม่กังวลที่จะเข้ามาลงทุน

โดยนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นปรับขึ้นมาค่อนข้างเร็ว เนื่องจากนักลงทุนสบายใจ ที่มาตรการของธปท.ไม่ได้สร้างความกังวลต่อกระแสเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามา นอกจากนี้การที่มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเริ่มหันมามองพื้นฐานตลาดหุ้นไทย ซึ่งปัจจุบันมีอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี เรโช )ประมาณ 13 เท่า ยังต่ำกว่าตลาดภูมิภาค และยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับ 3%
นายเทิดศักดิ์กล่าวอีกว่า หากพี/อี เรโช ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาอยู่ที่ 14 เท่าซึ่งใกล้เคียงกับตลาดหุ้นภูมิภาค ถ้าพิจารณาจากดัชนีปีนี้จะอยู่ที่ 914 จุด ซึ่งโอกาสที่จะได้เห็นดัชนีขึ้นมาที่ระดับดังกล่าว ก็มีความเป็นไปได้ เพราะขณะนี้กระแสเงินทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก

-รายย่อย-กองทุนหุ้นขายหมู

ขณะที่จากการรวบรวมของ "ฐานเศรษฐกิจ"ถึงการซื้อขายของนักลงทุนแยกตามกลุ่มผู้ลงทุนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันพบว่า ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสะสมแสนกว่าล้านบาทนั้น (ดูตารางประกอบการซื้อขายแยกตามกลุ่มผู้ลงทุน )พบว่าในส่วนของนักลงทุนสถาบันซึ่งมีกองทุนรวมด้วยนั้น ได้มียอดขายสุทธิถึง 25,168.60 ล้านบาท
อีกทั้งพบว่าข้อมูลกองทุนรวมหุ้นทั้งระบบ ณ เดือน มิถุนายน 2550 มีขนาดสินทรัพย์สุทธิ(เอ็นเอวี) 99,510.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2549 ที่มีเอ็นเอวี 83,434.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,075.7 ล้านบาท คิดเป็น 19.26 % เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นที่น้อยกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯที่เพิ่มขึ้นประมาณ 30 % จากต้นปีถึงปัจจุบัน

จากเอ็นเอวีกองทุนหุ้นที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดนั้น ผู้จัดการกองทุนต่างยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากการไถ่ถอนหน่วยลงทุนของนักลงทุนเพื่อทำกำไรระยะสั้นและถือว่าเป็นการขายที่ราคาถูก(ขายหมู)หากเทียบกับคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯที่สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองว่าปี 2551 หุ้นไทยจะปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,000 จุด

-บลจ.ทหารไทยเงินไหลออก 2 พันล.

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ทหารไทย จำกัด ยอมรับว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มีนักลงทุนไถ่ถอนหน่วยลงทุนกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัทประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการไถ่ถอนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับ บลจ.อื่นๆ โดยช่วงที่ลูกค้าไถ่ถอนหน่วยลงทุนมากที่สุดจะเป็นช่วงที่หุ้นปรับตัวขึ้นหลังวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ส่วนสาเหตุที่นักลงทุนซึ่งลงทุนผ่านกองทุนหุ้นทำกำไรด้วยการไถ่ถอนหน่วยลงทุนคืน เพราะส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบลงทุนในกองทุนหุ้นที่มีนโยบายการลงทุนแบบระมัดระวัง เพราะเอ็นเอวีกองทุนไม่ได้ปรับตัวตามภาวะตลาด จึงทำให้นักลงทุนบางส่วนไถ่ถอนเงินลงทุนเพื่อบริหารพอร์ตเองมากกว่าให้กองทุนบริหาร ขณะที่อีกกลุ่ม เป็นนักลงทุนที่ได้เข้าลงทุนในกองทุนหุ้นช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคักในปี 2546 และต่อมาตลาดหุ้นได้ปรับลดลงจนส่งผลให้เอ็นเอวีปรับตัวลงตาม กระทั่งปัจจุบันหุ้นกลับมาคึกคักจากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย จึงทำให้นักลงทุนที่ติดหุ้นก่อนหน้านี้ได้โอกาสไถ่ถอนหน่วยลงทุนคืนเพื่อทำกำไร

-โชว์ลูกค้ากองทุนหุ้นฟันกำไร 30 %

นางโชติกา ยกตัวอย่างผลตอบแทนกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบลจ.ทหารไทยว่าให้ผลตอบแทนชนะตลาด โดยกองทุนเปิดทหารไทยเซ็ต 50 ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต้ต้นปี จนถึง ณ วันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในอัตรา 31.69 % และกองทุนจัมโบ้ 25 ( JUMBO 25) ให้ผลตอบแทน 33.48 %

นางโชติกากล่าวต่อว่า หากมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะ 1 ปีข้างหน้า ถือว่ายังเติบโตได้อีก แต่อยู่ภายใต้สมมติฐานว่าไม่มีความรุนแรงทางการเมืองและมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่ยอมรับว่าขณะนี้ซึ่งตลาดหุ้นอยู่ในภาวะกระทิง(ตลาดขาขึ้น) การจะเข้าลงทุนถือว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะตลาดได้ปรับขึ้นไปมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นการซื้อเพื่อทำกำไรระยะสั้นจึงไม่เหมาะสม

"ภาวะตลาดหุ้นแบบนี้ นักลงทุนควรแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศบ้าง โดยหากเป็นการจัดพอร์ตการลงทุนแนะนำให้แบ่งเงิน 90 % ลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนอีก 10 % ลงทุนในหุ้นแบ่งเป็นหุ้นในประเทศ 5 % และหุ้นต่างประเทศ 5 % โดยเฉพาะหุ้นในแถบภูมิภาคเอเชีย ที่ถือว่ามีโอกาสเติบโตดี เช่น ตลาดหุ้นเกาหลี จีน และญี่ปุ่น เป็นต้น" นางโชติกา กล่าว

-บลจ.ธนชาตลูกค้าถอนกองทุนหุ้นพันล.

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ธนชาต ยอมรับว่ากองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัทฯตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีเงินไหลออกมากกว่าไหลเข้า โดยไหลออกคิดเป็นไม่เกิน 1 % ของมูลค่ากองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัทซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือไหลออกไม่เกิน 1 พันล้านบาท
ส่วนสาเหตุที่เงินไหลออกจากกองทุนหุ้น เนื่องจากนักลงทุนเห็นว่ามีกำไรที่น่าพอใจแล้วเมื่อดูจากดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นถึงระดับ 20 %นักลงทุนก็จะเทขายหุ้นออกมารวมถึงได้ขายหน่วยลงทุนกองทุนหุ้นออกมาด้วย เนื่องจากนักลงทุนความกังวลว่าหุ้นไทยได้ปรับขึ้นไปแรงแล้ว
"ผู้จัดการกองทุนยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังถูก โดยเมื่อเทียบพี/อี เรโช ของหุ้นไทยอยู่ที่ ระดับ 12-13 เท่า ขณะที่พี/อี เรโช ตลาดหุ้นภูมิภาคอยู่ที่ระดับ 16-18 เท่า และมีโอกาสที่พี/อี เรโช หุ้นไทยจะปรับขึ้นไปที่ระดับ 14-15 เท่า หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงเม็ดเงินของต่างชาติยังจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกแน่นอน"

นายบุญชัย กล่าวว่า ดังนั้นนโยบายการลงทุนของกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบลจ.ธนชาต จึงยังคงสัดส่วนลงทุนในหุ้นถึง 90 % ของพอร์ต แต่ก็อาจมีการเปลี่ยนตัวลงทุนบ้างหากมีราคาปรับขึ้นไปเกินปัจจัยพื้นฐานแล้ว

-แนะรายย่อยควรถือหุ้นยาว 2-3 ปี

ขณะที่นายณสุ จันทร์สม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อยุธยา กล่าวว่า ลูกค้าของบริษัทฯ ไถ่ถอนหน่วยลงทุนที่ลงทุนในหุ้นคืนเฉลี่ยประมาณ 5-10 % ของแต่ละกองทุน
อย่างไรก็ตามนายณสุ กล่าวว่าถือเป็นการไถ่ถอนหน่วยลงทุนเพื่อทำกำไรไม่ใช่เพื่อขายขาดทุน แต่มองว่านักลงทุนควรจะลงทุนยาวมากกว่าการเข้าๆออกๆ เพราะการมีพฤติกรรมลงทุนแบบนี้ อาจทำให้นักลงทุนมีต้นทุนที่สูงขึ้นก็ได้ โดยควรเน้นลงทุนระยะยาว 2-3 ปีขึ้นไปจะดีกว่า ซึ่งหากเทียบดูตั้งแต่ปี 2546 ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นอยู่ที่อัตราเฉลี่ย 30 % ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีอยู่  
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2238

news31/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 31, 2007 11:05 am
โดย chartchai madman
หนี้ครัวเรือนใกล้ทะลัก
รากหญ้าอ่วม ธปท.จับตาหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจซบเซา


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับล่าสุดของเดือน ก.ค. โดยระบุความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจว่า ให้ ธปท.ติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เกิดใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2549

ทั้งนี้ สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษของธนาคารพาณิชย์เร่งตัวขึ้น ในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำมาก กว่ากลุ่มที่มีรายได้สูง สะท้อนว่าเสถียรภาพทางด้านการเงินของภาคครัวเรือนในกลุ่มรายได้ต่ำมีความเปราะบางเพิ่มมากขึ้นกว่ากลุ่มอื่นๆ แต่ในภาพรวมยังไม่น่าห่วง

สำหรับหนี้ครัวเรือนนั้น จาก ตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) พบว่าหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 116,585 บาทต่อครัวเรือน สูงขึ้น 12,014 บาทต่อครัวเรือน หรือ 11.48% ด้านมหาวิทยาลัย หอการค้าไทย ได้สำรวจภาวะหนี้ครัวเรือนปี 2550 พบว่าหนี้ต่อครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 134,190 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14.85%

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาสินเชื่อภายใต้กำกับของ ธปท. ข้อมูลเบื้องต้นของไตรมาส 2 พบว่า ในส่วนของบัตรเครดิตยอดคงค้างของสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ หรือค้างชำระ 1-3 เดือน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และ ธปท. กำหนดให้ลูกหนี้ต้องชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำ 10%
อย่างไรก็ตาม ภาวะหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นสะท้อนได้จากข้อมูลเอ็นพีแอลไตรมาส 2 ปีนี้ ที่ ธปท.รายงานว่าสูงขึ้น 1.41 หมื่นล้านบาท จาก 2.4 แสนล้านบาทในไตรมาสแรก เป็น 2.54 แสนล้านบาทในไตรมาส 2 เนื่องจากเกิดหนี้เสียย้อนกลับ และความเข้มงวดในการ เข้าตรวจสอบของ ธปท.
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 948&ch=227

news31/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 31, 2007 11:08 am
โดย chartchai madman
บจ.ไทยแกร่งสู้วิกฤตบาท

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงภาวะและแนวโน้มการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ภาพรวมบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ยังมีศักยภาพการลงทุนที่ดี ทั้งในแง่ความสามารถในการทำกำไร และประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ แม้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นจะปรับลดลงบ้าง แต่ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี เมื่อเทียบกับช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจที่อัตราผลตอบแทนติดลบ ขณะที่อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ ก็ปรับสูงขึ้น สะท้อนถึงการใช้สินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมทางการเงินในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนเหมือนในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี40 โดยปัจจุบันต้นทุนทางการเงินอยู่ต่ำกว่าเมื่อช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจค่อนข้างมาก และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกตามนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี50 ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจก็มีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็ง สะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ลดลงและอัตราส่วนรายได้ต่อดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง แสดงให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนมีความพร้อมทางการเงินที่จะรองรับการขยายการลงทุนได้ต่อไป
http://news.sanook.com/economic/economic_163417.php

news31/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 31, 2007 11:13 am
โดย chartchai madman
ไทยช็อปกระจายสินค้าฟุ่มเฟือย2แสนล.  

โดย ข่าวสด
วัน อังคาร ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 09:51 น.

ครึ่งปีนำเข้าพุ่ง18%รับบาทแข็ง

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งถึงสถิติการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยจำนวนทั้งสิ้น 28 รายการของไทยช่วง 6 เดือนแรกของปี50 (ม.ค.-มิ.ย.) ว่ามีมูลค่าทั้งสิ้น 5,406 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 18.24% หรือ 191,425 ล้านบาท ขยายตัว 6.87%
สำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าสูงสุด อาทิ 1.เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 1,360 ล้านเหรียญ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 30.4%2. เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด 1,043 ล้านเหรียญ ขยายตัว 9.69% 3.ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม 812 ล้านเหรียญ ขยายตัว 13.72% 4.ผักผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผลไม้ 205 ล้านเหรียญ ขยายตัว 18.60% 5.นมและผลิตภัณฑ์นม 195 ล้านเหรียญ ขยายตัว 3.73% 6.นาฬิกาและส่วนประกอบ 181 ล้านเหรียญ ขยายตัว 5.58% 7.สบู่ ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง 164 ล้านเหรียญ ขยายตัว 1.85% 8.ผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ 144 ล้านเหรียญ ขยายตัว 5.06% 9.เครื่องใช้ และเครื่องตกแต่งภายในบ้านเรือน 126 ล้านเหรียญ ขยายตัวลดลง 20.62% 10.วัสดุและอุปกรณ์สำนักงาน 116 ล้านเหรียญ ขยายตัวลดลง 9.63%

11.เสื้อผ้าสำเร็จรูป 116 ล้านเหรียญ ขยายตัว 48.78% 12.เครื่องประดับอัญมณี 113 ล้านเหรียญ ขยายตัว 1.77% 13.เครื่องดนตรี ของเล่น เครื่องกีฬาและเครื่องเล่น 94.5 ล้านเหรียญ ขยายตัว 7.11% 14.เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา 92.3 ล้านเหรียญ ขยายตัว 17.57% 15.ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและอื่นๆ 84.7ล้านเหรียญ ขยายตัวลดลง1.99% 16.สิ่งพิมพ์ 80.7 ล้านเหรียญ ขยายตัว 22.12% 17.รองเท้า 73.1 ล้านเหรียญ ขยายตัว 40.48%

เห็นชัดเจนว่าหลังจากค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่องมาเป็นเวลา 6-7 เดือนเป็นแรงจูงใจให้มีการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุราช่วง 5 เดือนนำเข้ายังขยายตัวติดลบ 3.60% แต่พอช่วง 6 เดือนยอดนำเข้ากลับมาเป็นบวกพุ่งสูงกว่า 17% รองเท้าก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 38% เป็นกว่า 40% สิ่งพิมพ์ขยายตัวเพิ่มจาก 8% เป็น22% เป็นปัญหาที่น่าห่วงมาก รายงานข่าวระบุ
http://news.sanook.com/economic/economic_163420.php

news31/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 31, 2007 12:57 pm
โดย chartchai madman
ธปท.หวั่นเลิกกันสำรอง30% ทุนนอกทะลักทำค่าบาทแข็ง  

แบงก์ชาติระบุหากยกเลิกมาตรการกันสำรอง30%เงินทุนต่างชาติจะทะลักเข้าไทยมากขึ้นกดดันบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก มั่นใจ 6 มาตรการที่นำมาใช้จะช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ในที่สุด

นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน และสินเชื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่มีการเสนอให้ยกเลิกมาตรการกันสำรอง30% เนื่องจากเห็นว่าเป็นอุปสรรคให้เงินทุนต่างชาติที่ทำกำไรได้มากเพียงพอแล้วและต้องการจะออกจากประเทศไม่สามารถออกไปได้ส่งผลให้เงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องว่า ขณะนี้เงินทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้เมื่อปีที่แล้วจำนวนมากได้ทยอยไหลออกจากประเทศไปแล้วเพราะอัตราดอกเบี้ยอ่อนค่าลงทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการอยู่ต่อไม่ใช่ว่าเงินทุนต่างชาติไม่สามารถไหลออกได้อย่างที่เป็นห่วงกัน

อย่างไรก็ตามเงินทุนดังกล่าวได้ย้อนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งเพราะมองว่าหุ้นไทยยังอยู่ในระดับราคาที่ต่ำกว่าตลาดในภูมิภาคสามารถทำกำไรได้โดยไม่ติดต้องกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้น ตามมาตาการ30%ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่องเป็นผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ดังนั้นหากยกเลิกมาตรการ30%เงินต่างประเทศที่รอเข้ามาทำกำไรในประเทศน่าจะทะลักเข้ามามากกว่าเงินที่จะไหลออกไปเพราะยิ่งทำให้เกิดแรงเก็งกำไรว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตามนายสุชาติกล่าวว่าหลังจากการออกมาตรการใหม่6 มาตรการแล้วเชื่อว่า ความต้องการเงินบาทจะลดลงและส่งผลดีต่อค่าเงินบาทในระยะต่อไปซึ่งในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้นในการพิจารณาการยกเลิกการใช้มาตรการ 30% ในวันที่ 19ธันวาคม 2549 นั้นได้พิจารณาว่า เมื่อเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามายังตลาดหุ้นจนดันดัชนีให้สูงขึ้นไปจนถึงระดับที่ทำกำไรได้ยาก

ราคาหุ้นไทยแพงแล้วและไม่สามารถโยกเงินไปลงทุนในตลาดอื่นหรือฝากเงินพักไว้ได้จะมีการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆอย่างที่เป็นอยู่ซึ่งในขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ขยับขึ้นมาสูงมากแล้วจากต้นปี 2550มากแล้ว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=69666

news31/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 31, 2007 12:59 pm
โดย chartchai madman
บาทแข็งทำรัฐกระเป๋าแฟบ เหตุบริษัทเจ๊งไม่มีเงินจ่ายภาษี  

บาทแข็งทำรัฐกระเป๋าแฟบ
เหตุบริษัทเจ๊งไม่มีเงินจ่ายภาษี
กรมสรรพากรมือรีดผลงานตก
10เดือนรายได้วืดเป้า8.7พันล.


ปัญหาบาทแข็งทำรายได้รัฐบาลทรุดตามไปด้วย เพราะบริษัทบางแห่งขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน บางรายสาหัสถึงขั้นปิดกิจการ ทำให้การจัดเก็บรายได้เดือนกรกฎาคมแย่ โดยเฉพาะกรมสรรพากรเจอหนักสุด

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่าการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือนกรกฎาคมนี้ คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ทำให้บริษัทปิดกิจการไปหลายแห่ง และบางแห่งประสบปัญหาขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีเดือนกรกฎาคมจะต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าจากการนำเข้าที่ลดลง จากภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมามาก โดยกรมฯคาดว่าจะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าประมาณ 1.5 พันล้านบาทจากเป้าที่วางไว้ 7.2 หมื่นล้านบาทอย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในเดือนสิงหาคมนี้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้จากภาษีนิติบุคคลครึ่งปี โดยเฉพาะธุรกิจกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตามรายได้รวมในรอบ 9 เดือนยังคงต่ำกว่าเป้า 7.2 พันล้านบาท หากรวมเดือนนี้เป็นเดือนที่ 10 คาดว่าจะต่ำกว่าเป้า 8.7 พันล้านบาท ขณะที่เป้าทั้งปีอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านบาท

นายชวลิต เศรษฐเมธีกุล อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งมาก ทำให้มูลค่านำเข้าต่ำมากส่งผลให้การเก็บภาษีเดือนกรกฎาคมต่ำกว่าเป้า หลายร้อยล้านบาท อย่างไรก็ตามเชื่อว่าทั้งปีจะเกินเป้าประมาณ 2 พันล้านบาท โดยในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมากรมศุลกากรจัดเก็บรายได้ เกินเป้า 1.2 พันล้านบาท เป้าทั้งปีอยู่ที่ 8.8 หมื่นล้านบาท

แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิต กล่าวในทำนองเดียวกันว่าการจัดเก็บภาษีของกรมเดือนกรกฎาคม คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย จากเป้าที่ตั้งไว้ 2.4 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะจากภาษีเหล้าและบุหรี่ อย่างไรก็ตามการเก็บภาษีในรอบ 9 เดือนของกรมสรรพสามิต ยังคงเกินเป้าอยู่กว่า 2.9 พันล้านบาท โดยเป้าจัดเก็บรายได้ทั้งปีตั้งไว้ 2.8 แสนล้านบาท

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจในเดือนกรกฎาคมจะต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย นำส่งรวม 6.3 พันล้านบาทจากเป้า 6.7 พันล้านบาท ประกอบด้วย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำนวน 1.8 พันล้านบาท การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 210 ล้านบาท องค์การสุรา จำนวน 19 ล้านบาท โรงงานยาสูบ นำส่งรายได้ 19 ล้านบาท

นอกจากนี้การประปานครหลวง (กปน.) นำส่งรายได้ 377 ล้านบาท สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นำส่งรายได้ 1 พันล้านบาท สาเหตุที่ทำรายได้นำส่งไม่เข้าเป้า เนื่องจากการประปานครหลวงขอแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด โดยเริ่มจากเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน ที่เหลืออีก 2 เดือนจะจ่ายเดือนละ 350 ล้านบาท  
http://www.naewna.com/news.asp?ID=69669

news31/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 31, 2007 1:01 pm
โดย chartchai madman
บสท.ปรับกลยุทธ์ ขายหนี้ในสต๊อก หลังศก.ซบทำสะดุด  

บสท.เตรียมเสนอบอร์ดพิจารณาปรับแผนการขายหนี้ โดยเน้นความยืดหยุ่น หลังประสบปัญหาขายไม่ออกเพราะปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ยืนยันต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนยุบองค์กรในปี2554


นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะกรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.)เปิดเผยว่าเนื่องจากสภาะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ขายหนี้ที่มีอยู่ได้ยาก โดยมีหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วกลับมาเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)อีก ดังนั้นจึงต้องปรับแผนการดำเนินงานในปี 2550 ใหม่ โดยในเร็ว ๆ นี้คณะกรรมการบริหารจะต้องพิจารณาแผนดำเนินงานใหม่ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบสท.พิจารณาอีกครั้ง
สำหรับการปรับแผนดำเนินงานของบสท.จากนี้ไปควรปรับเกณฑ์การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การบริหารจัดการหนี้ เช่น การขายหนี้คืนให้เจ้าหนี้สถาบันการเงินเดิม การขายหนี้ให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็มซี) บริหารจัดการเพื่อเป็นการจัดการหนี้ให้มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะให้หมดไปในเดือนมิถุนายน2554 ให้ได้

"คณะกรรมการบริหารคงต้องพิจารณาอีกครั้งเพราะแผนเดิมที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับการบริหารงานในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวดังนั้นก็ต้องมาปรับเปลี่ยนกันใหม่โดยดูจากปัจจัยแวดล้อมที่เป็นอยู่ว่าจะสามารถบริหารหนี้ได้ตามที่ตั้งไว้หรือไม่"นางพรรณีกล่าว

อย่างไรก็ตามการปรับโครงสร้างหนี้ของบสท.ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจโดยเหลือสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีเอ)อยู่อีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่สามารถขายได้ ดังนั้นแผนการดำเนินงานต่อไปของบสท.จะเน้นที่การขายเอ็นพีเอออกให้หมดซึ่งจะต้องเร่งจัดการให้แล้วเสร็จภายในปี 2554 เพราะจะถึงกำหนดยุบเลิกองค์กรตามกฎหมายจัดตั้ง
http://www.naewna.com/news.asp?ID=69665

news31/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 31, 2007 1:11 pm
โดย chartchai madman
เปิดหุ้นเด่นmaiราคาวิ่งแรง

เปิดตัว 5 หุ้นจิ๋วตลาดmaiเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเดือนกรกฎาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด
TRCฮอตติดเบอร์ 1 ด้วยเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงสูงถึง 47% เซียนหุ้นทำนายกำไรสุทธิอยู่ที่ 136 ล้านบาท
ตามติดด้วยUMSราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง 41.46% โบรกคาดปีนี้กำไรโต 274 ล้านบาท
ขณะที่UBISราคาวิ่งแรงเปลี่ยนแปลงถึง 35.91% นักวิเคราะห์ประมาณการกำไรปี 2550 ที่ 46 ล้านบาท  
ด้านS2Yราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง 31.73%
ขณะที่UECเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลง 30.14% โบรกมองกำไรขยายตัว 7.8%  
    จากการสำรวจหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) ที่มีเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นสูงสุด 5 อันดับแรกในรอบเดือนกรกฎาคม 2550  พบว่าหลักทรัพย์ที่มีเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นสูงสุดได้แก่ บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น  จำกัด(มหาชน) หรือ TRC ที่มีเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นอยู่ที่ 47.85% โดยโบรกเกอร์คาดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2550 อยู่ที่ประมาณ 136 ล้านบาท หรือคิดเป็นEPS เท่ากับ 0.53 บาทต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 5.90% เนื่องจาก
TRC มีศักยภาพที่จะเติบโตสูงในอนาคต ทั้งงานด้านรับเหมาก่อสร้างและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
    รองลงมาคือบริษัท ยูนิค ไมนิ่งเซอร์วิสเซส จำกัด(มหาชน)หรือ UMS มีเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นสูงสุดถึง 41.46%  โบรกเกอร์ประเมินผลการดำเนินงานกำไรสุทธิปี 2550 เพิ่มขึ้น 17% เป็น 274 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น(EPS) 1.96 บาท และประเมินอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 5.70% เนื่องจากคาดว่าราคาขายถ่านหินเฉลี่ยจะปรับขึ้น 8% ขณะที่ปริมาณการขายถ่านหินคาดปรับขึ้น6%  โดยได้รวมเอาปริมาณการขยายจากโครงการถ่านหินก้อนจำนวน 60,000 ตันในปี 2550 เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 เป็นต้นไป และอีก 180,000 ตันในปีหน้า
     อันดับ 3 บริษัท ยูบิส(เอเชีย) จำกัด(มหาชน) หรือ UBIS มีเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นอยู่ที่ 35.91% โดยโบรกเกอร์คาดว่าปีนี้ UBIS จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ EPS คาดว่าจะอยู่ที่ 0.24 บาทต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 5.70% เนื่องจากใช้กำลังการผลิตได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น จากการเติบโตของรายได้จากการขายในประเทศจีน ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 8-10% ต่อปี หลังจากที่UBIS ได้เข้าถือหุ้นในบริษัทย่อยในประเทศจีนเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายและดำเนินการด้านการตลาดด้วยตัวเอง
    ส่วนอันดับที่ 4 บริษัท สยามทูยู จำกัด(มหาชน) หรือ S2Yเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นอยู่ที่ 31.73%  และอันดับสุดท้ายคือ บริษัท ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) หรือ UEC มีเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นอยู่ที่ 30.14 % โดยโบรกเกอร์คาดว่ากำไรสุทธิจะขยายตัว 7.8%  ส่วน EPS คาดอยู่ที่ 2.17 บาทต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 5.8% จากปริมาณงานที่มีอยู่ในมือ(Backlogs)ที่มีอยู่ในมือจำนวนมาก ซึ่งช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า UEC จะประมูลงานใหม่อีก โดยทั้งปีคาดว่าบริษัทจะประมูลงานใหม่ได้ประมาณ 1.3 พันล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 2549 มี Backlogs อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท
http://www.thunhoon.com/home/default.asp

news31/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 31, 2007 1:55 pm
โดย chartchai madman
เอกชนไทยมองยังมีช่องทางลงทุนในเวียดนามได้อีกมาก ข่าว 12.00 น.

Posted on Tuesday, July 31, 2007
นายสันติ ศักดิ์กำจร รองกรรมการผู้จัดการบริษัทศรีไทย ซูปเปอร์แวร์ เวียดนาม บอกว่า ปัจจุบันบริษัทของไทยที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามมีเงินลงทุนรวมกันประมาณ 6,700 ล้านดอลลาร์ โดยล่าสุดบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ได้ขยายการลงทุนในบริษัทสยามคราฟ มูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ได้เพิ่มทุนให้กับบริษัทลูกในเวียดนามด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับการขยายกิจการให้มากขึ้น

ส่วนบริษัทศรีไทย ในปีนี้จะลงทุนเพิ่มอีก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อที่ดินและเครื่องจักร รองรับการขยายโรงงานอีก 3,000 ตารางเมตร เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าประเภทเมลามีน จากปัจจุบันที่มีเงินทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 15 ล้านดอลลาร์

นายสันติ บอกด้วยว่า ประเทศเวียดนามยังเป็นโอกาสที่ไทยจะเข้าไปลงทุนได้อีกมาก โดยอุตสาหกรรมที่ไทยควรเข้าไปลงทุน ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรมพลาสติก เพราะประเทศไทยยังมีศักยภาพในอุตสาหกรรมประเภทนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากถึง 7% ขณะที่ค่าเงินของเวียดนามแข็งค่าขึ้นเพียง 1 - 2%
สำหรับปัญหาและอุปสรรของนักลงทุนที่เข้าไป เช่น บุคลากรที่ยังขาดแคลน ค่าเช่าสำนักงานที่สูงเกินความเป็นจริง ปัญหาการนำเข้าสินค้า การแข่งขันของนักลงทุนต่างชาติในประเทศ การคมนาคมขนส่งที่ไม่สะดวก และปัญหาการหยุดจ่ายกระแสไฟฟ้า รวมทั้งผู้ประกอบการจะต้องศึกษาเรื่องกฎหมายแรงงานกฎหมายสรรพสามิต  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news31/07/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 31, 2007 2:53 pm
โดย chartchai madman
"ก.ล.ต.อ้อน ธปท." ปลดล็อกต่างชาติลงทุน "อีทีเอฟ"  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
31 กรกฎาคม 2550 09:21 น.

      ก.ล.ต.เตรียมหารือ ธปท. ภายใน 2 สัปดาห์ หวังปลดล็อกต่างชาติลงทุน "กองทุนอีทีเอฟ" ไม่ต้องกันสำรอง 30% คาดไฟเขียวเนื่องจากเห็นชอบในหลักการเบื้องต้นแล้ว
     
      นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.เตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อขอยกเว้นการใช้มาตรการกันสำรอง 30% ของเงินทุนนำเข้าระยะสั้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนอีทีเอฟ
     
      โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้เข้าหารือกับ ธปท. และได้รับความเห็นชอบในหลักการแล้ว
     
      ดังนั้นการหารือครั้งนี้ก็น่าจะมีแนวโน้มที่ดี และคาดว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะมีข้อสรุปได้ก่อนที่ อีทีเอฟจะซื้อขายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งหากมีข้อสรุปให้ยกเว้นมาตรการสำหรับการซื้อขายในอีทีเอฟ ได้จริง ก็จะเป็นการช่วยพัฒนาตลาดทุนไทย ให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
     
      กองทุนอีทีเอฟ เป็นหนึ่งในสินค้าใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแผนออกมาเพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนในปีนี้ โดยกองทุนจะมีมูลค่ากองทุนในช่วงแรกประมาณ 1 พันล้านบาท มูลค่าหน่วยลงทุนเบื้องต้นราคา 5 บาท
     
      "อีทีเอฟ" เป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นโดยตรง โดยมีลักษณะเป็นกองทุนเปิดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และซื้อขายสะดวกเหมือนหุ้น แต่กระจายความเสี่ยงเหมือนกองทุนอินเด็กซ์
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000088991

news01/08/07

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 01, 2007 12:39 pm
โดย chartchai madman
กองทุนสหรัฐ-ญี่ปุ่นควานซื้อหุ้นนอกตลาด

โพสต์ทูเดย์ กองทุนจากญี่ปุ่นและสหรัฐฉวยจังหวะแบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อ เล็งหาหุ้นนอกตลาด ลงทุน 3 ปี หวัง ผลตอบแทนปีละ 20-25%


นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร กรรมการ และผู้อำนวยการฝ่าย บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ (APM) ดำเนินธุรกิจเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ขณะนี้มีกองทุนต่างประเทศจากสหรัฐอเมริกา 1 กองและญี่ปุ่นอีก 3 กอง แสดงความสนใจเข้าลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาดหุ้นไทย

ขณะนี้กองทุนโนมูระแสดงความสนใจซื้อหุ้นบริษัท ซันพาราเทค ผู้จัดจำหน่ายธุรกิจไม้พื้นสำเร็จรูป เพราะหลังปรับโครงสร้างทุนแล้วเสร็จจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท และมียอดขายต่อปี 1.2 พันล้านบาท

สำหรับกองทุนเหล่านี้ตั้งเป้าหมายจะใช้เงินลงทุนบริษัทละ 1-5 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือหุ้นไม่เกิน 25% ของทุน ชำระแล้ว โดยเน้นกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีศักยภาพ เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ดำเนินธุรกิจขนส่ง บันเทิง และสื่อ

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่าเป็นจังหวะดีในการเข้ามาลงทุนหุ้น นอกตลาด เพราะบริษัทเหล่านี้ได้รับ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อทำให้ขาดสภาพคล่อง ในการทำธุรกิจและการซื้อหุ้นนอกตลาดยังมีต้นทุนถูกกว่าการเข้าลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

กองทุนเหล่านี้จะถือหุ้นประมาณ 3 ปี หวังจะสร้างผลตอบแทนประมาณ 20-25% ต่อปี และเมื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) จะอาศัยจังหวะนี้ถอนเงินลงทุนทั้งหมดออกมา นายสมศักดิ์ กล่าว

ปัจจุบัน APM มีลูกค้า 17 ราย แบ่งเป็น 10 บริษัทเป็นที่ปรึกษาใน การหาผู้ร่วมทุนและปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนอีก 7 บริษัทเป็นที่ปรึกษาในการขายหุ้นไอพีโอทั้งในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายในปี 2552 มูลค่าระดมทุนรวมประมาณ 1-1.5 พันล้านบาท

ทั้งนี้ 7 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท เฟรมโพสต์ บริษัท มีนาทรานสปอร์ต บริษัท ไทยเฮง บริษัท กระปุก ดอทคอม บริษัท พร้อมมิตร บริษัท วัทเทิล ไดเมท และบริษัท บิวเดอ สมาร์ท ดิสทริบิวชั่น เซนเตอร์
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182236

news01/08/07

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 01, 2007 1:01 pm
โดย chartchai madman
ฉลองภพบี้แจงเงินลงทุนหุ้น
โพสต์ทูเดย์ ฉลองภพ สั่งเก็บข้อมูลเงินไหลเข้าตลาดหุ้น หวั่นทุนนอกป่วนซ้ำรอยวิกฤตปี 2540


นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มีการเก็บข้อมูลของเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นระบบ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงควรดำเนินการ เพราะแม้ว่าวันนี้ยังไม่เป็นปัญหา แต่ในอีก 2-3 ปี ก็อาจจะเกิดผลกระทบหนักเหมือนช่วงเงินทุนไหลออกเมื่อปี 2540

นายฉลองภพ กล่าวว่า หากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมากๆ เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้อ่อนลง อาจจะทำให้ต่างชาติโยกเงินลงทุนจากตลาดพันธบัตรมาในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น

เมื่อมีกำไรก็จะเทขายหุ้นเพื่อนำเงินออกนอกประเทศ ซึ่งก็จะเป็นความเสี่ยงของประเทศได้เหมือนในอดีตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ โดยข้อมูลในส่วนนี้ยังไม่มีการเก็บอย่างเป็นระบบ นายฉลองภพ กล่าว

นายฉลองภพ กล่าวว่า ภาครัฐควรจะพิจารณามาตรการอย่างรอบคอบ และหานโยบายที่เป็นชุดหรือแพ็กเกจ ในการดูแลค่าเงินบาท

นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ ธปท. กล่าวว่า ตลาดหุ้นและโบรกเกอร์มีการส่งรายงานปริมาณเงินเข้าลงทุนในตลาดหุ้นตามแบบฟอร์มที่ ธปท.กำหนดอยู่แล้ว ซึ่งปริมาณเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นสอดคล้องกับเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศซึ่งไม่มีภาวะผิดปกติ

จะไปหาว่าตลาดหุ้นได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งแล้วทำเงียบ ไม่พูด คงไม่ถูกต้อง เพราะตาม ข้อตกลงที่ให้ยกเว้นหักสำรอง 30% แล้วให้โบรกเกอร์ส่งรายงานเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศมาให้ตาม ที่ธปท.สั่งการ ก็ส่งรายงานให้ตลอด ไม่ได้ทำผิดกติกาอะไร นายสุชาติ กล่าว

นายอัมมาร สยามวาลา นัก วิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวคิดที่จะให้ ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งละมากๆ เพราะถือเป็นมาตรการที่เบาและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด รวมถึงควรคงมาตรการกันสำรอง 30% ต่อไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182222

news01/08/07

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 01, 2007 1:54 pm
โดย chartchai madman
ธปท.ยันไตรมาสสองสัญญาณศก.ฟื้นตัวชัด ธาริษาเกาะติดค่าบาททุกวินาที  
โดย ข่าวสด
วัน พุธ ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2550 07:50 น.

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงผลการติดตามมาตรการที่ออกมาแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท 6 มาตรการ ว่า หลังจากได้ประกาศมาตรการไป 1 สัปดาห์ ในวันที่ 2 ส.ค. นี้ ธปท.จะประมวลความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการที่ประกาศไปแล้ว โดยจะรวบรวมจากศูนย์ฮอตไลน์ ผ่านเว็บไซต์ของ ธปท. www.bot.or.th ภายใต้หัวข้อ เรื่องเด่น และโทรศัพท์ 0-2283-6000 ทั้งนี้ยืนยันว่า ในการติดตามค่าเงินบาท ธปท.มีเครื่องมือในการดูแลที่ดีกว่าตลาด สามารถติดตามค่าเงินบาทได้แบบวินาทีต่อวินาที รวมถึงภาวะเงินไหลเข้าและไหลออกทุนระหว่างประเทศด้วย และค่าเงินบาทวันนี้ถือว่าค่อนข้างนิ่งแล้ว
 นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าในวันที่ 6 ส.ค. คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) จะหารือเพื่อหาข้อสรุปการจัดตั้งกองทุนเอสเอ็มอี มูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาจากเงินบาทแข็งค่า โดยจะแบ่งเป็น 2 กองทุน คือ กองทุนแรก 4,500 ล้านบาท ซึ่งธนาคารพาณิชย์คิดอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ ลบ 2.5% แต่ผู้ประกอบการยังเห็นว่าสูงไป ต้องการขอลดดอกเบี้ยให้เฉลี่ยอยู่ที่ 3% สวนกองทุนส่วนที่ 2 จำนวน 500 ล้านบาท เตรียมไว้สำหรับผู้ส่งออกเอสเอ็มอีที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทั้งนี้ คาดว่า เมื่อ กกร.เห็นชอบแล้ว จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและครม.ต่อไป มั่นใจขั้นตอนทั้งหมดจะใช้เวลาไม่ถึง 1 เดือน เงินจะถึงมือเอสเอ็มอีได้อย่างแน่นอน

นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินช่วงไตรมาสที่ 2/50 ว่า ในเดือนมิ.ย.นี้ อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้น ซึ่งยืนยันสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี50-51 ชัดเจนมากขึ้น โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 0.7% จากระยะเดียวกันปีก่อน และขยายตัว 1.6% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน เป็นผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไตรมาส 2/50 มีการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก เห็นได้จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภค และปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งปรับตัวขึ้น ในส่วนของดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนขยายตัว 1.0% แม้ว่าจะหดตัว 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนก็ตาม แต่เป็นการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่หดตัว 3.9% http://news.sanook.com/economic/economic_163740.php

news01/08/07

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 01, 2007 3:00 pm
โดย chartchai madman
ขีดความสามารถการแข่งขันไทยในเวทีโลกถูกลดอันดับ ข่าว 12.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, August 01, 2007
นายดำริ สุโขธนัง รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า จากการสำรวจขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกปี 2550 พบว่าไทยอยู่ที่อันดับ 33 ตกอันดับจากอันดับที่ 29 ในปีก่อน เนื่องจากไทยประสบปัญหาการเมือง เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ รองเท้า ที่แม้ว่าจะมีการส่งออกขยายตัว แต่ส่วนแบ่งการตลาดกลับลดลง เพราะประเทศคู่แข่งอย่างจีนและเวียดนาม มีค่าแรงงานถูกกว่าของไทย ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องเร่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในอนาคต เพราะหากไม่ดำเนินการใด ๆ เลยก็จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงไปอีกในอนาคต

ทั้งนี้อุตสาหกรรมไทยจะต้องเน้นเรื่องประสิทธิภาพ และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต เพราะไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มศักยภาพการผลิตได้อีก

ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกว่าภาคอุตสาหกรรมไทยยังสามารถขยายตัวต่อไปได้ โดยในครึ่งปีแรกการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมขยายตัวถึง 6% และคาดว่าทั้งปีน่าจะเติบโตที่ 6 %

ทั้งนี้มองว่าในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้การลงทุนจะดีขึ้น ซึ่งจะทำให้การบริโภคฟื้นตัวตามไปด้วย เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปี และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ จึงมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยคาดว่าทั้งปี จีดีพีของไทยจะขยายตัวประมาณ 4%

ส่วนทิศทางค่าเงินบาทยอมรับว่าภาคเอกชนยังกังวลว่าเงินบาทอาจจะปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปอีก เนื่องจากเงินทุนไหลเข้าที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง แต่การออกมาตรการของแบงก์ชาติในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงและลดความผันผวนที่เกิดขึ้นได้บ้าง  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news02/08/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 02, 2007 1:04 pm
โดย chartchai madman
ต่างชาติทิ้งบอมบ์ขายหุ้น4พันล.
โพสต์ทูเดย์ ต่างชาติทิ้งบอมบ์ หุ้นไทย กระหน่ำขาย 4 พันล้าน ดัชนีรูด 26 จุด นักวิเคราะห์มองปรับฐานเป็นเดือน


ตลาดหุ้นไทยดิ่งตามตลาดเมืองนอก ดัชนีปิดที่ 833.47 จุด ลดลง 26.29 จุด หรือ 3.06% มูลค่าการซื้อขาย 25,939.18 ล้านบาท โดยนักลงทุน ต่างชาติทิ้งหนัก 4,259 ล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิ 677 ล้านบาท และรายย่อยซื้อ 4,937 ล้านบาท

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการ ผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรงเกิดจากนักลงทุนต่างชาติตื่นตระหนกเทขายหุ้น หลัง มีปัญหาในตลาดสินเชื่อ (ซับไพรม์) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่เกี่ยวกับพื้นฐานของประเทศไทย จึงไม่น่ากลัว และหากดัชนีปรับตัวลงไปมาก ต่างชาติที่ยัง ไม่ได้เข้ามาซื้อหุ้นไทยก็น่าจะเข้ามาซื้อ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่แน่ใจสถานการณ์ความตื่นตระหนกเรื่อง ซับไพรม์ และการขาดทุนของกองทุนบริหารความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) จะลามไปแค่ไหน

หุ้นไทยตกรอบนี้ไม่ใช่เพราะของเราแพง แต่เพิ่งฟื้นมาเอง หากลงไปอีก ก็จะเป็นโอกาสของคนตกรถเข้ามาซื้อ ดังนั้นไม่น่ากลัว และหุ้นจะปรับตัวเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น นักลงทุนในประเทศอย่าตกใจ พวกที่ติดแถว 850-860 จุด ก็มีโอกาสหลุดในไม่ช้านี้ เพราะแนวโน้มระยะยาวยังดีอยู่ นายไพบูลย์ กล่าว

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม เอ็มเอฟซี (MFC) กล่าวว่า หุ้นลงแรงเป็นการปรับฐานระยะสั้นของต่างชาติ โดยหยิบยกผลกระทบจากตลาดปล่อยเงินกู้ให้แก่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์โลน) เป็นข้ออ้างในการขายทำกำไร

รอบ 1 เดือนที่ผ่านมา หุ้นขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ต่างชาติรอจังหวะขาย ทำกำไร โดยใช้เหตุผลซับไพรม์เป็น ข้ออ้าง เพราะส่วนตัวได้ยินมานานแล้ว และเท่าที่คุยกับนักลงทุนมองหุ้นจะใช้เวลาพักฐาน 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน

ในระยะกลางคือ ขณะนี้จนถึงสิ้นปีแนวโน้มยังดีอยู่ เพราะมีความมั่นคงทางการเมือง การเลือกตั้งมีความแน่นอน สิ้นปีนี้หลายคนมองว่าจะเกิน 900 จุด และสิ้นปีหน้าเกิน 1,000 จุด

สำหรับการลงทุนกองทุนหุ้น ของเอ็มเอฟซีได้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนอย่างมาก เพราะมองว่าหุ้นขึ้นแรงมีความเปราะบางสูง

สำหรับภาวะการซื้อขายตลาดอนุพันธ์ (TFEX) เมื่อวันที่ 1 ส.ค. นักลงทุนเข้าลงทุนรวมกัน 10,538 สัญญา ทำสถิติสูงสุดตั้งแต่เปิดซื้อ ขายใน TFEX โดยต่างชาติขายสุทธิ 1,799.43 ล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิ 104.56 ล้านบาท และรายย่อยซื้อสุทธิ 1,903.98 ล้านบาท

อย่างไร ก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณขายของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. ระหว่างวันที่ 16-31 ก.ค. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิถึง 4,580 สัญญา คิดเป็นมูลค่า 2,816 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182481

news02/08/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 02, 2007 1:06 pm
โดย chartchai madman
ลางร้ายบจ.เข้าไอซียูเพิ่ม
โพสต์ทูเดย์ ตลาดหลักทรัพย์หวั่นคุณภาพบริษัทจดทะเบียนเสื่อมลง ต้องย้ายหุ้นเข้ากลุ่ม NPG เพิ่ม หลังยูเนี่ยนฟุทแวร์ปิดกิจการ


นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ กล่าวถึงกรณีบริษัท ยูเนี่ยนฟุทแวร์ (UF) เพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ว่าเป็นเรื่องเฉพาะบริษัทที่เลิกกิจการ เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจไม่ดี ดังนั้นจึง ไม่ใช่เป็นสัญญาณว่าจะมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แห่งอื่นขอถอนตัวจากตลาดหลักทรัพย์ตาม
อย่างไรก็ตาม มองว่าภาวะธุรกิจ ในปัจจุบันนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้บริษัทจดทะเบียนบางแห่งประสบปัญหาทางธุรกิจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลือกวิธีการเพิกถอนออกจากตลาดหลัก ทรัพย์ เนื่องจากแต่ละบริษัทก็จะมีการปรับตัวที่ไม่เหมือนกัน บ้างก็อาจจะ แก้ปัญหาด้วยการหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ หรือหาธุรกิจใหม่เข้ามา
นอกจากนี้ อาจเลือกที่จะหยุดธุรกิจ หรือหากประกอบธุรกิจไม่ได้ ก็อาจจะต้องใช้เวลาแก้ปัญหา โดยการเข้าไปอยู่ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียน ที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตาม กำหนด (Non-Performing Group : NPG) ซึ่งจะทำให้มีบริษัทเข้ามาอยู่ ในกลุ่มนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีบริษัทออกจากกลุ่ม NPG ที่แก้ปัญหาเสร็จแล้วเช่นกัน
มีผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในบางธุรกิจอาจจะแย่ลงและลดลงเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกแห่งจะเลือกการเพิกถอนออกจากตลาดเหมือนกับยูเนี่ยนฟุทแวร์ เพราะมีทางเลือกในการแก้ปัญหาหลายวิธี นายศักรินทร์ กล่าว
สำหรับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องการเป็นบริษัทจดทะเบียน โดยกำหนดจากทุนจดทะเบียนโดยขั้นต่ำ 5 หมื่นบาทต่อปี มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกเล็กน้อย
นางศิรินันท์ ศันสนาคม กรรมการ บริษัท ยูเนี่ยนฟุทแวร์ (UF) กล่าวว่า ขอถอนบริษัทออกจากตลาด เพราะธุรกิจไม่ดีซึ่งไม่ใช่ เพิ่งเป็นในช่วงนี้ แต่ดูจากผลดำเนินงานที่ผ่านมาจะรู้ว่าอยู่ไม่ได้ จึงเลือกปิดกิจการ

สำหรับราคาเสนอซื้อคืนจากผู้ถือหุ้นที่ราคาหุ้นละ 3.29 บาทนั้น มีบริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเป็นผู้ดูแลให้ และวันที่ 28 ส.ค.นี้จะเปิดชี้แจงข้อมูลในการเพิกถอนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้รับทราบ

ทั้งนี้ ผลดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2550 UF ขาดทุนสุทธิ 44.53 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนกำไร 12.17 ล้านบาท

ด้านบริษัท เอ็มดีเอ็กซ์ (MDX) เริ่มเข้าซื้อขายวันแรกหลังจากหลุดจากกลุ่ม NPG ราคาหุ้นสวิงสูง โดยเปิดที่ราคา 2 บาท และขึ้นสูงสุดที่ 9.15 บาท ก่อนที่จะปิด 5.30 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 194.44% มูลค่าซื้อขาย 248.94 ล้านบาท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า นอกจากธุรกิจผลิตรองเท้าที่ประสบปัญหาการขาดทุนและต้องปิดกิจการแล้ว บริษัทในกลุ่มสิ่งทอก็ยังมีความเสี่ยง เนื่องจากว่าบริษัทของไทยไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งเป็นธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาลงมานานหลายปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดปัญหาในขณะนี้

ทั้งนี้ ปัจจุบันแม้ว่าบริษัท ยูเนี่ยนฟุทแวร์ ถอนตัวออกจากตลาด แต่ยังมีบริษัทในกลุ่มของยูเนี่ยนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่ง เช่น สหยูเนี่ยน (SUC) เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยและไม่ใช้ประโยชน์จากการเป็นบริษัทจดทะเบียนมากนัก

สำหรับหุ้น SUC ปิดตลาดที่ 20.80 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 1.42% มูลค่าซื้อขาย 4.33 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182483

news02/08/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 02, 2007 2:42 pm
โดย chartchai madman
หุ้นดิ่งศก.สหรัฐฯวูบ จับตาเงินไหลออก

ดัชนีดิ่งเหวกว่า 26 จุด ตามตลาดหุ้นโลก นักลงทุนต่างชาติตระหนก ขายถล่มหุ้นตัวใหญ่ วิตกฟองสบู่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นปรับขึ้นดอกเบี้ย ก้องเกียรติ หวั่นมีเงินไหลออก โดยเฉพาะจากกองทุน นักวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มดัชนีมีโอกาสปรับลงต่อ แต่สถานการณ์ไม่น่าจะเลวร้ายจากสัญญาณเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บรรยากาศการซื้อขายหุ้น วานนี้ (1 ส.ค.) ดัชนีหุ้นรูดลงอย่างหนัก ตามตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ จากความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทำให้มีแรงเทขายอย่างหนักจากนักลงทุนต่างประเทศ ในหุ้นขนาดใหญ่ กลุ่มพลังงาน และ ธนาคารพาณิชย์ ดัชนีดิ่งลงลึก ปิดที่ระดับ 833.47 จุด ลดลง 26.29 จุด คิดเป็น 3.06% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 25,938.82 ล้านบาท

ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,259.93 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 677.82 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,937.75 ล้านบาท

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด(มหาชน) (ASP) และนายกสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ช่วงนี้นักลงทุนทั่วโลกตื่นตระหนกเกี่ยวกับปัญหาในตลาดสินเชื่อ (ซับไพร์ม) อีกครั้งหลังจากบริษัทอเมริกัน โฮม มอร์ทเกจ อินเวสท์เมนท์ คอร์ป แถลงว่าบริษัทอาจจำเป็นต้องขายทอดกิจการหลังประสบความเสียหายอย่างมากจากการปล่อยกู้จำนอง รวมทั้งกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ อาจส่งผลให้เงินทุนไหลกลับเข้าญี่ปุ่น ดังนั้นมองว่าดัชนีตลาดหุ้น จะปรับตวลดลงอีกสักระยะ แต่คาดว่าครั้งนี้เงินจะไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไม่มาก เพราะที่ผ่านมาถือว่าเงินไหลเข้ามาเยอะมาก

เวลานี้นักลงทุนต่างประเทศมีการปรับพอร์ตการลงทุน หุ้นที่ปรับตัวลดลงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตลาดหุ้นไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นการปรับตัวตามปกติ เอาฟองสบู่ออกจากอเมริกา นายก้องเกียรติกล่าว

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับลดลดอย่างแรงมาจากปัจจัยจากต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่มีการปรับตัวลดลง เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3-4 โดยเป็นการปรับลงจากปัญหาในตลาดสินเชื่อ (ซับไพร์ม) ที่มีข่าวในเชิงลบมากขึ้น ส่งผลให้มีการถอนเงินออกมาจากกองทุนทั่วโลก ซึ่งไม่เว้นตลาดทองคำ สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้น (2 ส.ค.)คาดว่าน่าจะมีการปรับตัวลงต่อ เนื่องจากเชื่อว่าจะยังมีแรงขายอย่างต่อเนื่อง
หวังปัจจัย ศก.ในประเทศปลุกแรงซื้อ

นายพิเชฐ ชุณหเสวี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) (US) ประเมินทิศทางตลาด (2 ส.ค.) คาดดัชนีจะมีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยตลาดยังคงอิงกับตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นอเมริกาที่สินเชื่ออเมริกามีหนี้เสียเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามปัจจัยภายในประเทศยังมองว่าเป็นตัวสนับสนุนตลาดอยู่ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวเล็กน้อย ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกรกฏาคมออกมาค่อนข้างต่ำ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ทั้งนี้ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติมองว่าน่าจะเริ่มขาย ประเมินแนวรับที่ 830 จุด แนวต้านที่ 850 จุด

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บีที จำกัด ประเมินแนวโน้มตลาด (2 ส.ค.) คาดดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น โดยมีแนวต้านที่ 850 จุด ทั้งนี้ประเด็นที่ยังคงให้จับตา คือ เรื่องของตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นอเมริกา เนื่องจากสภาพคล่องของอเมริกาอาจหายไปจากเรื่องของหนี้เสียที่อยู่อาศัย ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารในอเมริกาต้องเพิ่มความเข้มงวดขึ้น

นอกจากนี้ค่าเงินเยนได้แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เม็ดเงินที่ลงทุนในตลาดหุ้นอาจได้รับผลกระทบ อาจจะทำให้มีการเทขายหุ้นออกมาจากนักลงทุนที่กู้ยืมเงินเยนมาลงทุน ประเมินแนวรับที่ 835-836 แนวรับสำคัญ
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16

news03/08/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 03, 2007 12:25 pm
โดย chartchai madman
สุดยอดหุ้นเด่น5โบรก พี่เบิ้มPTTหัวหน้าทีม
เปิดโพลล์หุ้นเด่น  5 โบรกดังคัดสรรหุ้นน่าซื้อสะสมเข้าพอร์ต ช่วงตลาดผันผวน ชูพลังงานยังหอมหวาน เลือกหุ้นเบต้า-ค่าพี/อี ต่ำ

พร้อมกระแสเงินสดแข็งแกร่ง นำทีมโดย  PTT ,  TOP ,  RRC ตามติดด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แบงก์ยังเข้าตารีบเก็บ KBANK  ,  BAY  , AP และ ROJANA

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  หากพิจารณาราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาในช่วงที่ตลาดหุ้นยังคงผันผวนตามตลาดหุ้นต่างประเทศนั้นมองว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานก็ยังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจที่จะเข้ามาทยอยสะสมในระดับดัชนีที่ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 820 จุด

ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้คงจะผันผวนตามตลาดหุ้นภูมิภาคเป็นหลัก เพราะปัจจัยการเมืองบ้านเราก็ถือว่าตลาดรับรู้ไปแล้วโดยหุ้นในกลุ่มพลังงานถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาสูงแล้วแต่ช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัวลงก็ถือเป็นโอกาสที่จะเข้ามาสะสมได้ นักวิเคราะห์กล่าว

สำหรับหุ้นในกลุ่มพลังงานยังมีหลายตัวที่ยังมีค่าเบต้าและค่าพี/อี  และกระแสเงินสดที่ค่อนข้างมั่นคง และแข็งแกร่งในอนาคต จึงยังคงแนะนำเข้าทยอยสะสมเมื่อราคาหุ้นลดต่ำลง เช่น PTT ที่ฝ่ายวิจัยเตรียมปรับประมาณการผลประกอบการและราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับตลาดในภูมิภาคแล้วประเมินว่าราคาเหมาะสมของ PTT น่าจะอยู่ที่ระดับ 400 บาท
   
นอกจากนี้รวมถึงหุ้น TOP,  RRC และEGCO ก็ถือเป็นหุ้นที่มีค่าพี/อี  ต่ำ และมีกระแสเงินสดที่จะเติบโตแข็งแกร่งในอนาคตจึงยังคงเป็นหุ้นที่น่าจับตามอง

เอเซียพลัสแนะ ATC-TOP-PTT
   
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุท์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนปรับตัวลดลงมาต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นที่มีการปรับตัวลงแรงและรอจังหวะรีบราวส์ช่วงสั้นซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้านี้จึงน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้น ATC และ TOP ที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างแรง
   
หุ้นที่น่าสนใจช่วงนี้คงต้องจับตาดูหุ้นที่ลงไปแรงและเตรียมที่จะรีบราวส์ช่วงสั้นซึ่งสัปดาห์หน้าเราคงได้เห็นเช่น TOP ที่ปรับตัวลงไปแล้วถึง 20.50% และATC ที่ปรับตัวลงไป 13.80% ส่วน PTT ปรับตัวลงไปประมาณ 11.90% นายภูวดลกล่าว
   
ทั้งนี้จึงยังคงแนะนำซื้อ TOP และ ATC เพื่อรอขายทำกำไรช่วงสั้นในช่วงที่หุ้นมีการรีบราวส์ขึ้นมาขณะที่ปัจจัยพื้นฐานก็ยังแข็งแกร่งจากแนวโน้มค่าการกลั่นและราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับสูง โดย TOP ให้ราคาเหมาะสมที่ 76.10 บาท ส่วน ATC ให้ราคาเหมาสะมที่ 76 บาท ขณะที่ PTT ให้ราคราเหมาะสมที่ 388 บาท

แอ๊ดคินซันชู KBANK-RATCH
   
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ แอ็ดคินซัน จำกัด กล่าวว่า  สำหรับหุ้นที่ยังคงแนะนำซื้อและคาดว่าจะปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นโดยรวมที่ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลักรวมถึงราคาหุ้นก็ยังมีอัพไซต์จากราคาเหมาะสม โดยแนะนำ KBANK  ให้ราคาเหมาะสม 93.00 บาท
   
เรามอง KBANK โดดเด่นเพราะเป็นธนาคารเดียวที่มีเอ็นพีแอล ลดลงเหลือประมาณ 5% แสดงให้เห็นถึงคุณภาพในการปล่อยสินเชื่อและการควบคุมความเสี่ยงของการเกิดเอ็นพีแอลที่ดีที่สุดในกลุ่ม และคาดว่าการตั้งสำรองในครึ่งปีหลังจะเป็นการตั้งสำรองตามปกติ ขณะที่การขยายสินเชื่อก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยด้วย นายรณกฤตกล่าว
   
นอกจากนี้ยังมีหุ้น RATCH ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาจนน่าสนใจ และยังมีเรื่องของเงินปันผลที่คาดว่าจะออกมาโดดเด่นเช่นกันจึงยังคงแนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสมที่ 47.50 บาท

SCIBS เชียร์AP-ROJANA
   
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับหุ้นเด่นและยังคงแนะนำซื้อจากปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่งและคาดว่าครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานจะออกมาโดดเด่นคือ AP โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 8.20 บาท ROJANA ให้ราคาเหมาะสมที่ 20 บาท และBAY ให้ราคาเหมาะสมที่ 31.00 บาท
   
ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด แนะนำซื้อหุ้น BAFS โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 13.00 บาท และRATCH ให้ราคาเหมาะสมที่ 51.00 บาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 030&ch=213

news03/08/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 03, 2007 12:39 pm
โดย chartchai madman
ธปท.ปลื้ม 6 มาตรการเห็นผล
แบงก์ชาติพอใจออกมาตรการดูแลบาทครบ 7 วัน บาทอ่อนเห็นผลทันตา  นักค้าเงินชี้เงินบาทเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบ  แต่มีทิศทางอ่อนค่า
 

ส่วนผู้ที่มีหนี้สกุลดอลลาร์ และผู้ส่งออกเริ่มตุนดอลลาร์เพื่อเร่งชำระคืนหนี้บ้างแล้ว   ส่วนนักวิเคราะห์ระบุหุ้นส่งออกเริ่มฟื้น ทั้งกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอาหาร แต่ไม่หวือหวาเพราะตลาดกดดันการลงทุน
   
นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ธปท.ได้ออก 6 มาตรการเพื่อดูแลเงินบาท ปรากฏว่า เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งจากการสอบถามผ่านศูนย์ฮอตไลน์พบว่าประชาชนมีความสนใจการให้บริการบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศมากที่สุด
   
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่พร้อมให้บริการบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศจำนวน 12 แห่ง เช่น ธนาคารกรุงไทย กสิกรไทย นครหลวงไทย ฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ ซิตี้แบงก์ เป็นต้น ซึ่งบางแห่งมีลูกค้ามาใช้บริการแล้ว ส่วนธนาคารพาณิชย์อีก 19 แห่ง ยังไม่พร้อม เนื่องจากอยู่ระหว่างวางระบบภายในเพื่อควบคุมบัญชีประเภทต่าง ๆ โดยบางรายจะพร้อมให้บริการภายใน 1-2 สัปดาห์นี้
   
ทั้งนี้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3-4%  กำหนดยอดเงินฝากขั้นต่ำ 2,000-10,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยคิดค่าธรรมเนียมการฝาก 0.25% ค่าธรรมเนียมการถอนไปต่างประเทศ  0.25-0.50% บวกค่าธรรมเนียมการโอนประมาณ 400-500 บาท
   
นอกจากนี้ ธปท.ยังได้อนุมัติวงเงินเพิ่มให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการจัดสรรให้เอกชนไปลงทุนในต่างประเทศ จากวงเงินเดิม 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยให้ ก.ล.ต. เป็นผู้จัดสรร ซึ่งจะอนุญาตให้กองทุนส่วนบุคคลสามารถไปลงทุนในต่างประเทศได้ จากเดิมอนุญาตเพียงกองทุนรวม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
 
อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ได้ขยายระยะเวลาการแปลงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ จาก 15 วัน เป็น 30 วัน หลังจากที่มีมาตรการขยายจาก 15 วันเป็นไม่มีกำหนด  ซึ่งช่วยขยายระยะเวลาให้กับผู้ส่งออกมากขึ้น และเป็นระยะเวลาที่ผู้ส่งออกส่วนใหญ่พอใจ ส่วนความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอีจำนวน 5 พันล้านบาทนั้น คาดว่าในวันนี้ (3 ส.ค.)จะได้ข้อสรุปในเรื่องอัตราดอกเบี้ย

ด้านนักค้าเงินธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วันนี้(3 ส.ค.)ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบใกล้เคียงกับวานนี้ เพราะยังรอดูทิศทางว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าได้อีกหรือไม่  ซึ่งวานนี้(2 ส.ค.) ค่าเงินบาทปิดตลาดที่ 33.81 /33.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  ใกล้เคียงกับช่วงเช้าที่เปิดตลาด 33.82/33.84 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ที่มีหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐเริ่มซื้อดอลลาร์เพื่อชำระคืนหนี้แล้ว และผู้ส่งออกเริ่มซื้อดอลลาร์เช่นกัน เพราะมาตรการของธปท.ทำให้คาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าได้อีก

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันค่าเงินบาทไม่ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อตลาดหุ้นแล้ว เพราะตลาดหุ้นในภูมิภาคเข้ามามีบทบาทมากในช่วงนี้  อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ถือว่าส่งผลดีต่อหุ้นส่งออก เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  โดยราคาหุ้นของ CCET และ SVI เริ่มมีการดีดกลับ  ส่วนกลุ่มอาหาร เช่น CPF เริ่มทรงตัวดีขึ้น  อย่างไรก็ตามหุ้นในกลุ่ม
ส่งออกจะยังไม่สะท้อนปัจจัยบวกจากค่าเงินมากเพราะแนวโน้มตลาดหุ้นที่ปรับลดลงยังกดดันอยู่
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 045&ch=225

news03/08/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 03, 2007 12:42 pm
โดย chartchai madman
หุ้นกลุ่มส่งออกยังมีอนาคต
UFทำหุ้นส่งออกขยาดหลังประกาศปิดกิจการและขอเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แบบไม่มีปรี่มีขลุ่ยเพราะทนพิษค่าบาทไม่ไหว

โบรกออกโรงเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนระบุนักลงทุนอย่าตื่นตระหนกควรโยกเงินลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีจริง ชู SVI  CCET  CPF HANA  DELTA  และ TUF ปลอดภัยสุด    
นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมหุ้นส่งออกทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มสิ่งทอรวมถึงกลุ่มอาหารเกษตรยังคงได้รับแรงกดดันจากภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและอาหารเกษตรที่ค่อนข้างได้รับผลกระทบมากสุด เพราะรายรับของหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะออกมาในรูปของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ
   
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด บริษัท ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตรองเท้ายี่ห้อไนกี้ ทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 200 ล้านบาท ได้แจ้งมติที่ประชุมกรรมการบริษัทวานนี้ ( 1 ส.ค.50 ) ขอปิดกิจการและขอเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ เพราะทนพิษของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่ไหว ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการบริหารก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
   
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากรณีดังกล่าวไม่ส่งผลด้านลบต่อหุ้นในกลุ่มส่งออกมากนักเนื่องจากประเมินว่าบริษัทผู้ส่งออกได้ปรับตัวและป้องกันรับความเสี่ยงค่าเงินบางมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง
   
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ค่าเงินบาทกับนโยบายการกำกับดูแลนั้น เชื่อว่าในระยะสั้นยังไม่เห็นผลทำให้ค่าเงินอ่อนตัว และประเมินว่าค่าเงินบาทน่าจะทรงตัวที่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งระดับดังกล่าวไม่ได้ทำให้หุ้นส่งออกมีความน่าสนใจลดลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีและน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นของ  CCET  SVI และ HANA เนื่องจากบริษัทได้มีการกระจายความเสี่ยงจากค่าเงิน ด้วยการย้ายฐานการผลิตในต่างประเทศ หรือการเพิ่มราคาขายสินค้าขึ้น รวมทั้งการกู้เงินสกุลเงินต่างประเทศเป็นต้นทุนการดำเนินงาน เป็นต้น
   
สำหรับหุ้นส่งออกในกลุ่มอาหารการเกษตรที่น่าสนใจ ซื้อ หรือ ถือลงทุน คงแนะนำหุ้น CPF เนื่องจากมองว่าธุรกิจในตุรกีเริ่มฟื้นตัวและราคาไก่ในประเทศเริ่มปรับตัวที่ดีขึ้น ดังนั้นคาดว่ารายได้ของ CPF ทั้งปีจะเติบโตที่ 131,884 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,458 ล้านบาท ราคาเหมาะสมปี 2551 ที่ 5.75 บาท

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ประเด็นผลกระทบจากค่าเงินบาทต่อหุ้นส่งออกนั้น อาจต้องดูให้ดีว่าผลกระทบที่แท้จริงนั้นเกิดจากค่าเงินหรือความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นส่งออกยังคงแนะนำซื้อลงทุนหุ้นหลักที่มีปัจจัยพื้นฐานดีได้แก่ หุ้นของ DELTA  HANA  CPF  TUF และ SAM จากยอดสั่งซื้อสินค้าที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
 
ด้านนักวิเคราะห์เทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สัญญาณการเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังคงพยายามดีดกลับแต่ถูกกดดันจากภาวะตลาดหุ้นโดยรวม ดังนั้นระยะสั้นประเมินแนวรับของหุ้น SVI ไว้ที่ 1.44 บาท แนวรับถัดไป 1.42 บาท ส่วนแนวต้านแรก 1.53 - 1.57 บาท แนวต้านถัดไป 1.76 บาทแนะนำ ซื้อ

ขณะที่ CCET ฝ่ายวิจัยแนะนำรอจังหวะ ซื้อ เนื่องจากมีลุ้นราคาปรับขึ้นทดสอบ 7.50-7.70 บาทได้ โดยให้แนวรับแรก 6.25 บาท แนวรับถัดไป 6.00 บาท ส่วนแนวต้าน 6.90 บาท สำหรับ CPF แนะนำซื้อเช่นเดียวกันเพราะราคาหุ้นมีลุ้นปรับขึ้นทดสอบระดับ 5.50-5.70 บาท โดยให้แนวรับแรก 5.00 บาท แนวรับถัดไป 4.78 บาท ส่วนแนวต้าน 5.30 บาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 021&ch=213