stpi มีนโยบายปันผลเท่าไรคับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 07, 2006 10:47 am
เอาบทวิเคราะห์มาฝากครับ
บล.ธนชาต : STPI แนะนำขาย ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 3.7 บาท
ราคาหุ้นสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ ขาย: จากการที่ราคาหุ้นของ STPI ปรับเพิ่มขึ้น
45% ในราว 1 เดือนที่ผ่านมานั้น เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานใน 3Q06 ที่ออกมาดีกว่า
ที่เราและตลาดฯ คาดการณ์ไว้ เนื่องจาก ใน 3Q06 มีการปิดงานโครงการที่เหลืออยู่ใน
ประเทศออสเตรเลียจึงทำให้มีการบันทึกกำไรส่วนที่เหลือเข้ามาในไตรมาส 3 รวมถึงมีการ
reverse รายการภาษีเงินได้ของโครงการดังกล่าวกลับมาเป็นรายได้อีก 46 ล้านบาท ใน
ไตรมาสดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เรามองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้ผ่านจุด peak
ไปแล้ว เนื่องจาก โครงการพิเศษขนาดใหญ่ในประเทศออสเตรเลียได้จบไปแล้ว และน่าจะ
เริ่มกลับมารับรู้รายได้ และ gross margin ในระดับปกติตั้งแต่ 4Q06 เป็นต้นไป ซึ่งเรามอง
ว่าจะปรับลดลง
เราได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของ STPI เพิ่มขึ้น 32%,
13%และ 11% ในปี 2006-08 ซึ่งส่งผลให้ราคาเป้าหมายตามวิธี DCF ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.70
บาท จากเดิมที่ 2.92 บาท โดยเรามีการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานที่สำคัญ คือ
1) ปรับเพิ่ม gross margin ขึ้นจาก 19.5% เป็น 25.0% ในปี 2006, 10.1% เป็น
13.5% และ 9.2% เป็น 12.3% ทั้งนี้เพื่อสะท้อนถึงผลการรับรู้ในการปิดโครงการใน 3Q06
และการควบคุมต้นทุนในการผลิตที่ดีขึ้นกว่าที่คาด
2) ปรับลดประมาณการยอดขายลง 13%, 22% และ 21% ในปี 2006-08 เนื่องจาก
ความคืบหน้าในการประมูลโครงการใหม่ช้ากว่าที่คาด
3) ปรับลดภาษีเงินได้ที่ต้องจ่ายในปี 2006 ลง เนื่องจากมีการ reverse รายการภาษีเงิน
ได้ของโครงการที่ออสเตรเลียกลับมาเป็นรายได้ 46 ล้านบาท ใน 3Q06
เราเชื่อว่าปัจจัยบวกจากผลการดำเนินงานที่ดีมากในช่วง 2Q06-3Q06 ได้สะท้อน
เข้าไปในราคาหุ้นแล้ว ประกอบกับเราคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของบริษัทฯ จะลดลงราว 51%
ในปี2007 เนื่องจาก รายได้และ gross margin ลดลง เพราะงานเดิมที่มีมูลค่าสูง และมี
gross margin ดีมาก ได้รับรู้รายได้หมดไปแล้ว และยังไม่สามารถหาโครงการอื่นมาทดแทน
ได้ ดังนั้น การที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นมากในปีนี้ เราเห็น
ว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะขายทำกำไร เราจึงยังแนะนำ ขาย ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 3.7 บาท
ที่ผ่านมา STPI ไม่ได้ทำการจ่ายเงินปันผลมาเป็นเวลานานแล้ว และบริษัทฯ ก็ยังไม่มี
นโยบายที่ชัดเจนว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในปี 2006 หรือไม่ โดย
บริษัทฯ ให้เหตุผลว่าอาจจะสำรองเงินสดไว้เพื่อใช้รองรับโครงการประมูลใหม่ที่อาจมีขึ้นใน
อนาคต และเพื่อชำระหนี้
ผลการดำเนินงานผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และน่าจะปรับตัวลงใน 4Q06: จากการที่ STPI
ได้งานประมูลโครงการถลุงแร่อลูมิเนียมจากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นงานที่ sub-contract มาจาก
บริษัท คลัฟ ชิโนไทย (STPI ถือหุ้นอยู่ 50%) งานดังกล่าวมีมูลค่ารวมสูงราว 3 พันล้านบาท
โดยเป็นส่วนที่คลัฟ ซิโนไทย ประมูลได้ราว 2 พันล้านบาท และงานดังกล่าวเป็นงานที่มี
gross margin ดี นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ ทำการเคลียร์รายได้และรายจ่ายของโครงการ
ดังกล่าวในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ จึงส่งผลให้ 2 ไตรมาสที่ผ่านมามีผลการดำเนินงาน
โดดเด่นมาก โดยมี gross margin สูงถึง 35-36%
แต่จากการที่บริษัทฯ ยังไม่สามารถประมูลงานใหม่ได้ทัน จึงทำให้เราคาดว่ารายได้ใน
4Q06จะอยู่ที่ราว 318 บาท และมี gross margin ปรับลดลงมาอยู่ที่ราว 18% รวมถึงผู้บริหาร
แจ้งว่าจะไม่มีการรายการพิเศษเข้ามาใน 4Q06 ดังนั้น เราจึงคาดว่าใน 4Q06 กำไรสุทธิจาก
การดำเนินงานปกติของบริษัทฯ น่าจะอยู่ที่ราว 42 ล้านบาท ปรับลดลง 69% q-q แต่เพิ่มขึ้น
30% y-y
ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับงานประมูลใหม่ และมีแนวโน้มลดลง: ผู้บริหารของ
STPIแจ้งว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างยื่นเสนองานประมูลในต่างประเทศและในประเทศหลาย
โครงการมูลค่ารวมราว 1 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวผลการประมูลโครงการ
ต่างๆดังกล่าว ในขณะที่บางโครงการที่เคยคาดว่าจะทราบผลใน 1-2 เดือนที่ผ่านมา ก็มีการ
เลื่อนการพิจารณาออกไป สำหรับ backlog ที่คงเหลืออยู่ในปัจจุบันที่ราว 500-600 ล้านบาท
จะทยอยรับรู้ไปในแต่ละไตรมาส
ฝ่ายกลยุทธ์มองว่าจากปริมาณงานประมูลใหม่ที่มีขนาดต่ำกว่างานประมูลเก่าที่จบไป
จะทำให้รายได้ของบริษัทฯ ปรับลดลง ถึงแม้ว่าเรามองว่าการกลับมาของวัฏจักรการลงทุนใน
ประเทศ ที่จะเริ่มเกิดขึ้นในกลางปีหน้า จะช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้บ้าง โดยเราประเมินว่า
รายได้ของ STPI จะปรับลดลงราว 7% ในปีหน้า เหลือ 1.85 พันล้านบาท แต่กลับมา
เพิ่มขึ้น 17% เป็น 2.2 พันล้านบาท ในปี 2008 เนื่องจาก การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่น่า
จะมีมากขึ้นในปี 2008
นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ มี exposure ของรายได้เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศในปัจจุบัน
ที่ราว 50:50 ก็จะส่งผลให้เกิด downside risk ทางด้านรายได้ หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก
แต่อย่างไรก็ตาม เรามองว่าค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นมามากแล้วในปัจจุบัน ดังนั้น โอกาส
ที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอีกอย่างมีนัยสำคัญจึงมีความเป็นไปได้น้อย
Gross margin กลับมาสู่ระดับปกติ หลังจบโครงการพิเศษ: จากผลการดำเนินงาน
ใน9M06 ที่ผ่านมา พบว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติสูงถึง 327 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้น 179% y-y เนื่องจาก บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้จากโครงการพิเศษใน
ต่างประเทศเข้ามามาก ประกอบกับงานโครงการดังกล่าวมี gross margin ที่ดี จึงทำให้
gross margin เฉลี่ยในช่วง 9M06 สูงถึง 26%
แต่เนื่องจากโครงการพิเศษดังกล่าวได้จบไปแล้ว และได้มีการเคลียร์รายได้และกำไร
จากโครงการดังกล่าวไปแล้วใน 3Q06 ดังนั้น เราจึงคาดว่า gross margin ตั้งแต่ 4Q06 จะลด
ลงนอกจากนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้เราเชื่อว่าโครงการประมูลใหม่ๆ น่าจะมี
margin ที่ลดลง โดยเราประมาณการว่า gross margin เฉลี่ยในปี 2006 จะอยู่ที่ราว 25%
และปรับลดลงเป็น 13.5% ในปี 2007 และ 12.3% ในปี 2008 ขณะที่บริษัทฯ ตั้งเป้า gross
margin ไม่ให้ต่ำกว่า 2 หลัก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า gross margin ที่เกิดขึ้นจริงในปี 2005
อยู่ที่ 8.4% และ gross margin เฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 5% ซึ่งมีความผันผวน
มาก
บล.ธนชาต : STPI แนะนำขาย ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 3.7 บาท
ราคาหุ้นสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ ขาย: จากการที่ราคาหุ้นของ STPI ปรับเพิ่มขึ้น
45% ในราว 1 เดือนที่ผ่านมานั้น เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานใน 3Q06 ที่ออกมาดีกว่า
ที่เราและตลาดฯ คาดการณ์ไว้ เนื่องจาก ใน 3Q06 มีการปิดงานโครงการที่เหลืออยู่ใน
ประเทศออสเตรเลียจึงทำให้มีการบันทึกกำไรส่วนที่เหลือเข้ามาในไตรมาส 3 รวมถึงมีการ
reverse รายการภาษีเงินได้ของโครงการดังกล่าวกลับมาเป็นรายได้อีก 46 ล้านบาท ใน
ไตรมาสดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เรามองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้ผ่านจุด peak
ไปแล้ว เนื่องจาก โครงการพิเศษขนาดใหญ่ในประเทศออสเตรเลียได้จบไปแล้ว และน่าจะ
เริ่มกลับมารับรู้รายได้ และ gross margin ในระดับปกติตั้งแต่ 4Q06 เป็นต้นไป ซึ่งเรามอง
ว่าจะปรับลดลง
เราได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของ STPI เพิ่มขึ้น 32%,
13%และ 11% ในปี 2006-08 ซึ่งส่งผลให้ราคาเป้าหมายตามวิธี DCF ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.70
บาท จากเดิมที่ 2.92 บาท โดยเรามีการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานที่สำคัญ คือ
1) ปรับเพิ่ม gross margin ขึ้นจาก 19.5% เป็น 25.0% ในปี 2006, 10.1% เป็น
13.5% และ 9.2% เป็น 12.3% ทั้งนี้เพื่อสะท้อนถึงผลการรับรู้ในการปิดโครงการใน 3Q06
และการควบคุมต้นทุนในการผลิตที่ดีขึ้นกว่าที่คาด
2) ปรับลดประมาณการยอดขายลง 13%, 22% และ 21% ในปี 2006-08 เนื่องจาก
ความคืบหน้าในการประมูลโครงการใหม่ช้ากว่าที่คาด
3) ปรับลดภาษีเงินได้ที่ต้องจ่ายในปี 2006 ลง เนื่องจากมีการ reverse รายการภาษีเงิน
ได้ของโครงการที่ออสเตรเลียกลับมาเป็นรายได้ 46 ล้านบาท ใน 3Q06
เราเชื่อว่าปัจจัยบวกจากผลการดำเนินงานที่ดีมากในช่วง 2Q06-3Q06 ได้สะท้อน
เข้าไปในราคาหุ้นแล้ว ประกอบกับเราคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของบริษัทฯ จะลดลงราว 51%
ในปี2007 เนื่องจาก รายได้และ gross margin ลดลง เพราะงานเดิมที่มีมูลค่าสูง และมี
gross margin ดีมาก ได้รับรู้รายได้หมดไปแล้ว และยังไม่สามารถหาโครงการอื่นมาทดแทน
ได้ ดังนั้น การที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นมากในปีนี้ เราเห็น
ว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะขายทำกำไร เราจึงยังแนะนำ ขาย ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 3.7 บาท
ที่ผ่านมา STPI ไม่ได้ทำการจ่ายเงินปันผลมาเป็นเวลานานแล้ว และบริษัทฯ ก็ยังไม่มี
นโยบายที่ชัดเจนว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในปี 2006 หรือไม่ โดย
บริษัทฯ ให้เหตุผลว่าอาจจะสำรองเงินสดไว้เพื่อใช้รองรับโครงการประมูลใหม่ที่อาจมีขึ้นใน
อนาคต และเพื่อชำระหนี้
ผลการดำเนินงานผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และน่าจะปรับตัวลงใน 4Q06: จากการที่ STPI
ได้งานประมูลโครงการถลุงแร่อลูมิเนียมจากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นงานที่ sub-contract มาจาก
บริษัท คลัฟ ชิโนไทย (STPI ถือหุ้นอยู่ 50%) งานดังกล่าวมีมูลค่ารวมสูงราว 3 พันล้านบาท
โดยเป็นส่วนที่คลัฟ ซิโนไทย ประมูลได้ราว 2 พันล้านบาท และงานดังกล่าวเป็นงานที่มี
gross margin ดี นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ ทำการเคลียร์รายได้และรายจ่ายของโครงการ
ดังกล่าวในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ จึงส่งผลให้ 2 ไตรมาสที่ผ่านมามีผลการดำเนินงาน
โดดเด่นมาก โดยมี gross margin สูงถึง 35-36%
แต่จากการที่บริษัทฯ ยังไม่สามารถประมูลงานใหม่ได้ทัน จึงทำให้เราคาดว่ารายได้ใน
4Q06จะอยู่ที่ราว 318 บาท และมี gross margin ปรับลดลงมาอยู่ที่ราว 18% รวมถึงผู้บริหาร
แจ้งว่าจะไม่มีการรายการพิเศษเข้ามาใน 4Q06 ดังนั้น เราจึงคาดว่าใน 4Q06 กำไรสุทธิจาก
การดำเนินงานปกติของบริษัทฯ น่าจะอยู่ที่ราว 42 ล้านบาท ปรับลดลง 69% q-q แต่เพิ่มขึ้น
30% y-y
ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับงานประมูลใหม่ และมีแนวโน้มลดลง: ผู้บริหารของ
STPIแจ้งว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างยื่นเสนองานประมูลในต่างประเทศและในประเทศหลาย
โครงการมูลค่ารวมราว 1 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวผลการประมูลโครงการ
ต่างๆดังกล่าว ในขณะที่บางโครงการที่เคยคาดว่าจะทราบผลใน 1-2 เดือนที่ผ่านมา ก็มีการ
เลื่อนการพิจารณาออกไป สำหรับ backlog ที่คงเหลืออยู่ในปัจจุบันที่ราว 500-600 ล้านบาท
จะทยอยรับรู้ไปในแต่ละไตรมาส
ฝ่ายกลยุทธ์มองว่าจากปริมาณงานประมูลใหม่ที่มีขนาดต่ำกว่างานประมูลเก่าที่จบไป
จะทำให้รายได้ของบริษัทฯ ปรับลดลง ถึงแม้ว่าเรามองว่าการกลับมาของวัฏจักรการลงทุนใน
ประเทศ ที่จะเริ่มเกิดขึ้นในกลางปีหน้า จะช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้บ้าง โดยเราประเมินว่า
รายได้ของ STPI จะปรับลดลงราว 7% ในปีหน้า เหลือ 1.85 พันล้านบาท แต่กลับมา
เพิ่มขึ้น 17% เป็น 2.2 พันล้านบาท ในปี 2008 เนื่องจาก การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่น่า
จะมีมากขึ้นในปี 2008
นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ มี exposure ของรายได้เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศในปัจจุบัน
ที่ราว 50:50 ก็จะส่งผลให้เกิด downside risk ทางด้านรายได้ หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก
แต่อย่างไรก็ตาม เรามองว่าค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นมามากแล้วในปัจจุบัน ดังนั้น โอกาส
ที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอีกอย่างมีนัยสำคัญจึงมีความเป็นไปได้น้อย
Gross margin กลับมาสู่ระดับปกติ หลังจบโครงการพิเศษ: จากผลการดำเนินงาน
ใน9M06 ที่ผ่านมา พบว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติสูงถึง 327 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้น 179% y-y เนื่องจาก บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้จากโครงการพิเศษใน
ต่างประเทศเข้ามามาก ประกอบกับงานโครงการดังกล่าวมี gross margin ที่ดี จึงทำให้
gross margin เฉลี่ยในช่วง 9M06 สูงถึง 26%
แต่เนื่องจากโครงการพิเศษดังกล่าวได้จบไปแล้ว และได้มีการเคลียร์รายได้และกำไร
จากโครงการดังกล่าวไปแล้วใน 3Q06 ดังนั้น เราจึงคาดว่า gross margin ตั้งแต่ 4Q06 จะลด
ลงนอกจากนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้เราเชื่อว่าโครงการประมูลใหม่ๆ น่าจะมี
margin ที่ลดลง โดยเราประมาณการว่า gross margin เฉลี่ยในปี 2006 จะอยู่ที่ราว 25%
และปรับลดลงเป็น 13.5% ในปี 2007 และ 12.3% ในปี 2008 ขณะที่บริษัทฯ ตั้งเป้า gross
margin ไม่ให้ต่ำกว่า 2 หลัก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า gross margin ที่เกิดขึ้นจริงในปี 2005
อยู่ที่ 8.4% และ gross margin เฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 5% ซึ่งมีความผันผวน
มาก