ชาว VI กับการทำประกัน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 1
อ่านเจอในห้อง bla ถึงคดีฟ้องร้อง AIA
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 66627.html
อยากทราบว่าเพื่อนๆพี่ๆนักลงทุน มีใครทำประกันบ้างมั้ยครับ ประกันชีวิต ประกันภัย ประกันรถยนต์หรืออะไรก็แล้วแต่
ผมเคยจะตั้งกระทู้นานแล้ว เนื่องจากเจอเหตุการณ์ที่ไม่พอใจพวกประกันหลายอย่าง ทำให้คิดเลยว่า ถ้าเป็นไปได้ ผมจะไม่ทำประกัน
ถ้ามองในแง่นึง การทำประกัน เป็นเหมือนการลงทุน โดยแลกกับการที่ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงในระดับนึงตามสัญญาประกันที่ทำไว้
และแน่นอน พวกบริษัทประกันรู้ดีว่า จะทำสัญญาอย่างไร เพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ และเป็นฝ่ายได้มากกว่าเสีย โดยคำนวณจากสถิติ ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง ตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย
หมายความว่า บริษัทประกันที่อยู่รอดได้ หรือแม้กระทั่งโตเอาๆ เค้าคำนวณอย่างดีแล้วว่า ไอสัญญาที่เค้ายื่นให้เราเนี่ย ความเป็นไปได้ที่เราจะใช้คุ้ม มันต่ำ
และในความเป็นจริงที่ผมพบเจอ มันก็เป็นเช่นนั้นจริงซะด้วย โอกาสที่เราจะใช้คุ้ม มันต่ำจริงๆ เหมือนโยนเงินไปให้พวกบริษัทประกันได้เงิน float ไปลงทุนรวยเอาๆ ส่วนเงินที่เราจ่ายเบี้ยประกันทุกปี จ่ายทีก็รู้สึกละเหี่ยใจ
เพื่อนๆพี่ๆ คิดอย่างไรบ้างครับ เคยพบเจอประสบการณ์อะไรทั้งด้านดีและด้านไม่ดีบ้างครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 66627.html
อยากทราบว่าเพื่อนๆพี่ๆนักลงทุน มีใครทำประกันบ้างมั้ยครับ ประกันชีวิต ประกันภัย ประกันรถยนต์หรืออะไรก็แล้วแต่
ผมเคยจะตั้งกระทู้นานแล้ว เนื่องจากเจอเหตุการณ์ที่ไม่พอใจพวกประกันหลายอย่าง ทำให้คิดเลยว่า ถ้าเป็นไปได้ ผมจะไม่ทำประกัน
ถ้ามองในแง่นึง การทำประกัน เป็นเหมือนการลงทุน โดยแลกกับการที่ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงในระดับนึงตามสัญญาประกันที่ทำไว้
และแน่นอน พวกบริษัทประกันรู้ดีว่า จะทำสัญญาอย่างไร เพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ และเป็นฝ่ายได้มากกว่าเสีย โดยคำนวณจากสถิติ ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง ตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย
หมายความว่า บริษัทประกันที่อยู่รอดได้ หรือแม้กระทั่งโตเอาๆ เค้าคำนวณอย่างดีแล้วว่า ไอสัญญาที่เค้ายื่นให้เราเนี่ย ความเป็นไปได้ที่เราจะใช้คุ้ม มันต่ำ
และในความเป็นจริงที่ผมพบเจอ มันก็เป็นเช่นนั้นจริงซะด้วย โอกาสที่เราจะใช้คุ้ม มันต่ำจริงๆ เหมือนโยนเงินไปให้พวกบริษัทประกันได้เงิน float ไปลงทุนรวยเอาๆ ส่วนเงินที่เราจ่ายเบี้ยประกันทุกปี จ่ายทีก็รู้สึกละเหี่ยใจ
เพื่อนๆพี่ๆ คิดอย่างไรบ้างครับ เคยพบเจอประสบการณ์อะไรทั้งด้านดีและด้านไม่ดีบ้างครับ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
- rabbitz
- Verified User
- โพสต์: 61
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 2
ประกันภัย ก็มีทั้งแบบ สะสมทรัพย์และแบบที่เน้นค่ารักษาพยาบาล
เราก็เลือกเฉพาะเน้นไปที่ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชย อุบัติเหตุ
ส่วนสะสมทรัพย์เราหาผลตอบแทนเองได้มากกว่าครับ
(ทำประกันภัยต้องตายเท่านั้นครับถึงคุ้ม...ยิ่งตายหลังจากทำประกัน 1 ปียิ่งคุ้มครับ...แต่ผมไม่อยากคุ้มเลย )
เราก็เลือกเฉพาะเน้นไปที่ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชย อุบัติเหตุ
ส่วนสะสมทรัพย์เราหาผลตอบแทนเองได้มากกว่าครับ
(ทำประกันภัยต้องตายเท่านั้นครับถึงคุ้ม...ยิ่งตายหลังจากทำประกัน 1 ปียิ่งคุ้มครับ...แต่ผมไม่อยากคุ้มเลย )
"Stay Hungry Stay Foolish"
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 3
เคยได้ยินเรื่องการทำประกันภัยรถยนต์
รถยนต์มีหลายประเภท ผู้ใช้ก็มีหลายประเภท ถ้าเป็นรถยนต์บ้าน ผู้ใช้คนเดียว ขับเพียงไปกลับที่ทำงาน ไปเที่ยวตามศูนย์การค้าบ้างในวันหยุด ความเสี่ยงก็น้อยกว่ารถยนต์ที่ทำธุรกิจ ใช้งานทั้งวัน เดินทางระยะไกลๆ
ถ้าเราพิจารณาให้ครอบคลุมเฉพาะ ค่าเบี้ยก็ควรจะถูกกว่า
รถยนต์มีหลายประเภท ผู้ใช้ก็มีหลายประเภท ถ้าเป็นรถยนต์บ้าน ผู้ใช้คนเดียว ขับเพียงไปกลับที่ทำงาน ไปเที่ยวตามศูนย์การค้าบ้างในวันหยุด ความเสี่ยงก็น้อยกว่ารถยนต์ที่ทำธุรกิจ ใช้งานทั้งวัน เดินทางระยะไกลๆ
ถ้าเราพิจารณาให้ครอบคลุมเฉพาะ ค่าเบี้ยก็ควรจะถูกกว่า
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 4
ผมว่าการทำประกันก็มีข้อดีระดับหนึ่ง สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนมากนักครับ
(พูดเฉพาะส่วนของประกันชีวิต/ประกันสุขภาพแล้วกันน๊ะครับ)
เพราะเมื่อครบระยะเวลาทำประกันเราจะได้รับเงินคืนพร้อมผลตอบแทนนิดหน่อยถือว่าเป็นการออมรูปแบบหนึ่งครับ
อีกอย่าง หากเกิดอะไรที่คาดไม่ถึง เราก็อุ่นใจได้พอสมควรหากทำประกันไว้
แต่สำหรับผมเอง ผมไม่ได้ทำประกันชีวิต และคิดว่าจะไม่ทำครับ
(ขออภัยสำหรับคนมีหุ้นกลุ่มนี้น๊ะครับ)
ผมเคยเอาผลตอบแทนที่จะได้จากการทำประกัน(ส่งเงินประมาณปีละ 2.2หมื่นเป็นเวลา 16 ปี)
ปีที่4เป็นต้นไปมีดอกเบี้ยให้ปีละ 4,000 บาท ส่งเงินแค่16ปีคุ้มครอง20ปี แต่จะรับเงินต้นคืนได้เมื่อครบ20ปีแล้ว
เงินต้นและผลตอบแทนรวม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะได้เงินคืนรวมประมาณ 5 แสนบาทครับ
จากนั้นผมก็ลองทำตารางผลตอบแทนอีกครั้ง โดยเอาเงินก้อนเดียวกันมาลงทุนในหุ้นเป็นเวลา20ปี
โดยประเมินว่าสามารถทำผลตอบแทนได้ปีละ 10 เปอร์เซ็นต์
ผมเห็นยอดเงินแล้วค่อนข้างทึ่งกับความมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้น
เพราะเมื่อครบปีที่20 เราจะมีเงินประมาณ 2 ล้านบาท
ผมจำตัวเลขแป๊ะๆไม่ได้ แต่ผลต่างของเงินที่จะได้รับ ต่างกันค่อนข้างมาก
ทำให้ผมเลือกที่จะเอาเงินที่จะต้องส่งประกันชีวิตมาลงทุนเองแทน
สำหรับผม แม้ระยะเวลาจะยังไม่ถึง 20 ปี แต่ผลมันก็มาทางเดียวกับที่เราคิดจริงๆครับ
(พูดเฉพาะส่วนของประกันชีวิต/ประกันสุขภาพแล้วกันน๊ะครับ)
เพราะเมื่อครบระยะเวลาทำประกันเราจะได้รับเงินคืนพร้อมผลตอบแทนนิดหน่อยถือว่าเป็นการออมรูปแบบหนึ่งครับ
อีกอย่าง หากเกิดอะไรที่คาดไม่ถึง เราก็อุ่นใจได้พอสมควรหากทำประกันไว้
แต่สำหรับผมเอง ผมไม่ได้ทำประกันชีวิต และคิดว่าจะไม่ทำครับ
(ขออภัยสำหรับคนมีหุ้นกลุ่มนี้น๊ะครับ)
ผมเคยเอาผลตอบแทนที่จะได้จากการทำประกัน(ส่งเงินประมาณปีละ 2.2หมื่นเป็นเวลา 16 ปี)
ปีที่4เป็นต้นไปมีดอกเบี้ยให้ปีละ 4,000 บาท ส่งเงินแค่16ปีคุ้มครอง20ปี แต่จะรับเงินต้นคืนได้เมื่อครบ20ปีแล้ว
เงินต้นและผลตอบแทนรวม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะได้เงินคืนรวมประมาณ 5 แสนบาทครับ
จากนั้นผมก็ลองทำตารางผลตอบแทนอีกครั้ง โดยเอาเงินก้อนเดียวกันมาลงทุนในหุ้นเป็นเวลา20ปี
โดยประเมินว่าสามารถทำผลตอบแทนได้ปีละ 10 เปอร์เซ็นต์
ผมเห็นยอดเงินแล้วค่อนข้างทึ่งกับความมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้น
เพราะเมื่อครบปีที่20 เราจะมีเงินประมาณ 2 ล้านบาท
ผมจำตัวเลขแป๊ะๆไม่ได้ แต่ผลต่างของเงินที่จะได้รับ ต่างกันค่อนข้างมาก
ทำให้ผมเลือกที่จะเอาเงินที่จะต้องส่งประกันชีวิตมาลงทุนเองแทน
สำหรับผม แม้ระยะเวลาจะยังไม่ถึง 20 ปี แต่ผลมันก็มาทางเดียวกับที่เราคิดจริงๆครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 5
ผมทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ ครับ ค่าเบี้ยถูกกว่าก็จริง แต่ปรากฏว่า มีครั้งหนึ่งขับไปเที่ยวทางไกล แล้วถนนมันมีเศษหินหรือเศษเหล็กอะไรสักอย่างไม่แน่ใจ ไม่ทันเห็นครับ ขับไปปุ๊ปมันกระเด็นมาเกี่ยวที่ขอบประตูรถ แล้วประตูรถมันง้างออก ประตูเสียเลยครับข้างนั้น พอจะไปเบิกประกัน แน่นอน ชั้น2+ เบิกไม่ได้ เพราะไม่มีคู่กรณี T_Tchatchai เขียน:เคยได้ยินเรื่องการทำประกันภัยรถยนต์
รถยนต์มีหลายประเภท ผู้ใช้ก็มีหลายประเภท ถ้าเป็นรถยนต์บ้าน ผู้ใช้คนเดียว ขับเพียงไปกลับที่ทำงาน ไปเที่ยวตามศูนย์การค้าบ้างในวันหยุด ความเสี่ยงก็น้อยกว่ารถยนต์ที่ทำธุรกิจ ใช้งานทั้งวัน เดินทางระยะไกลๆ
ถ้าเราพิจารณาให้ครอบคลุมเฉพาะ ค่าเบี้ยก็ควรจะถูกกว่า
ก่อนหน้านี้ ทำประกันชั้น 1 มา มีเฉี่ยวชนบ้างเล็กน้อย เบี้ย 2หมื่น แต่คิดรวมค่าใช้จ่ายที่เฉี่ยวชนแล้ว ถ้าซ่อมเอง ถูกกว่าเยอะ T_T
กรณีประกันชั้น 1 ถ้าไม่ชนหนักๆจริงๆ ก็คงไม่ค่อยคุ้ม ถ้าเป็นคนขับรถระวังหน่อย มันก็โอกาสเกิดยาก พอลดมาทำประกันชั้น 2 ก็ไม่คุ้มอีก เพราะติดconstraint ว่าบางเคสเบิกไม่ได้ ทำประกันไป ก็ต้องซ่อมเองอีกซะงั้น
ไม่อยากทำประกันอีกแล้วครับบบ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 6
ลืมบอกไป ในส่วนประกันสุขภาพ ผมเคยลองทำดู เป็นประกันที่จ่ายเดือนละ 325 บาท ดูราคาถูกดีเลยลองทำดู ปรากฏว่า สัญญาในประกัน คือ จะเบิกได้ก็ต่อเมื่อadmitนอนในโรงพยาบาลไม่ต่ำกว่า 6 ชม. ซึ่งผมมาดูความเป็นไปได้ดู ผมไม่ได้ป่วยถึงขั้นนั้นมาเป็น10ปีแล้ว และยังอยู่ในวัย24กำลังแข็งแรง ถึงป่วยก็ป่วยแบบไปหาหมอแล้วออกมาได้ สรุป ทำไปก็ไม่ได้ใช้เลยยกเลิกไปแล้ว
ส่วนที่คุณsaichon บอกว่า เหมือนการออมสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ด้านลงทุน อืมม ก็เห็นด้วยนะครับ แต่สำหรับผู้ที่มีความรู้ด้านลงทุนอย่างเราๆนี่ ผมก็เห็นด้วยเหมือนกันครับว่า ผมรู้สึกของผมเองนะครับ ว่า เอาเงินไปจ่ายประกันแล้ว สูญเปล่าจริงๆ ผมเอาเงินมาลงทุนดีกว่า
เมื่อก่อนผมเคยซื้อหุ้นกลุ่มประกัน แต่หลังๆนี่ขายไปหมดแล้ว และไม่อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจพวกนี้อีก ผมรู้สึกไม่ถูกโรคกับประกันจริงๆ
ส่วนที่คุณsaichon บอกว่า เหมือนการออมสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ด้านลงทุน อืมม ก็เห็นด้วยนะครับ แต่สำหรับผู้ที่มีความรู้ด้านลงทุนอย่างเราๆนี่ ผมก็เห็นด้วยเหมือนกันครับว่า ผมรู้สึกของผมเองนะครับ ว่า เอาเงินไปจ่ายประกันแล้ว สูญเปล่าจริงๆ ผมเอาเงินมาลงทุนดีกว่า
เมื่อก่อนผมเคยซื้อหุ้นกลุ่มประกัน แต่หลังๆนี่ขายไปหมดแล้ว และไม่อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจพวกนี้อีก ผมรู้สึกไม่ถูกโรคกับประกันจริงๆ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 7
เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยชอบคนขายประกันสักเท่าไหร่ เพราะจู่ๆก็เดินเข้ามาที่บ้านแล้วบอกว่า
ช่วยซื้อหน่อย ไม่ได้อธิบายประโยชน์ของการมีประกันให้ฟังเลย นั่นอาจเป็นเพราะความไม่รู้
หรือการไม่เข้าในการการประกอบอาชีพของตน
ยิ่งผลตอบแทนที่มักมีการโฆษณาว่าได้ผลตอบแทน 200% หรือ 300% บ้าง ก็เป็นเรื่องของ
การตลาดทั้งสิ้น ทั้งที่ผลตอบแทนจริงๆหากคิดออกมาต่อปีก็น่าจะประมาณ 2-3% แค่นั้น
ทุกวันนี้ประเภทและความหลากหลายของประกันมีมาก แทบกล่าวได้ว่าเกือบครอบคลุม
ในทรัพย์สินเกือบทุกอย่างของเราก็ว่าได้ หากพิจารณาดูแล้ว ก็จะพบว่าเป็นอีกหนึ่งการ
ลงทุนที่ช่วยลดความเสี่ยงให้กับเรา ในกรณีที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
สำหรับผมทำประกันชีวิตไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้เน้นการออม เพราะอย่างที่กล่าวมา
ผลตอบแทนไม่ได้จูงใจในการลงทุน ผมจึงซื้อประกันชีวิต50% บวกกับประกันสุขภาพ50%
ซึ่งสาเหตุของการทำประกัน ก็มาจากอยากจะได้ประกันสุขภาพ
เพราะต้องการประหยัดเงินตัวเองในกรณีที่มีการเจ็บป่วยอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับตัวเรา
ซึ่งหากซื้อแต่ประกันสุขภาพอย่างเดียวจะแพงมาก จึงจำเป็นต้องซื้อประกันชีวิตด้วย
เมื่อปีที่แล้วจู่ๆก็เกิดใส้ติ่งอักเสบ ทั้งๆที่ไม่ได้มีอาการแสดงให้เห็นว่าจะมีโรคนี้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
จึงได้อาศัยค่ารักษาพยาบาล จากการที่ทำประกันสุขภาพไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ครอบคลุมทั้งหมดจาก
ค่ารักษาก็ตาม แต่ก็ทำให้เราไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเองสักบาท และก็ยังได้เงินชดเชยรายได้จากการ
นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นรายวันอีก จำได้ว่าไปผ่าที่โรงพยาบาลเอกชน หมดไปประมาณ หกหมื่นกว่าๆ
ประกันจ่ายสี่หมื่นกว่าๆ และบริษัทของผมจ่ายให้สองหมื่นบาท (บริษัทที่ผมทำงาน มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล
ต่อปีจำนวนหนึ่ง แต่หากเกินวงเงินที่ให้ สามารถเบิกได้ไม่จำกัดครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่เกิน)
ข้อจำกัดของการทำประกันชีวิตนั้นต้องยอมรับว่ามี แต่ประโยชน์อีกมุมหนึ่งก็มีดีเหมือนกันครับ
หากเรารู้จักเลือกใช้เพื่อจำกัดความเสี่ยงบนความไม่แน่นอนของชีวิต
ช่วยซื้อหน่อย ไม่ได้อธิบายประโยชน์ของการมีประกันให้ฟังเลย นั่นอาจเป็นเพราะความไม่รู้
หรือการไม่เข้าในการการประกอบอาชีพของตน
ยิ่งผลตอบแทนที่มักมีการโฆษณาว่าได้ผลตอบแทน 200% หรือ 300% บ้าง ก็เป็นเรื่องของ
การตลาดทั้งสิ้น ทั้งที่ผลตอบแทนจริงๆหากคิดออกมาต่อปีก็น่าจะประมาณ 2-3% แค่นั้น
ทุกวันนี้ประเภทและความหลากหลายของประกันมีมาก แทบกล่าวได้ว่าเกือบครอบคลุม
ในทรัพย์สินเกือบทุกอย่างของเราก็ว่าได้ หากพิจารณาดูแล้ว ก็จะพบว่าเป็นอีกหนึ่งการ
ลงทุนที่ช่วยลดความเสี่ยงให้กับเรา ในกรณีที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
สำหรับผมทำประกันชีวิตไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้เน้นการออม เพราะอย่างที่กล่าวมา
ผลตอบแทนไม่ได้จูงใจในการลงทุน ผมจึงซื้อประกันชีวิต50% บวกกับประกันสุขภาพ50%
ซึ่งสาเหตุของการทำประกัน ก็มาจากอยากจะได้ประกันสุขภาพ
เพราะต้องการประหยัดเงินตัวเองในกรณีที่มีการเจ็บป่วยอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับตัวเรา
ซึ่งหากซื้อแต่ประกันสุขภาพอย่างเดียวจะแพงมาก จึงจำเป็นต้องซื้อประกันชีวิตด้วย
เมื่อปีที่แล้วจู่ๆก็เกิดใส้ติ่งอักเสบ ทั้งๆที่ไม่ได้มีอาการแสดงให้เห็นว่าจะมีโรคนี้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
จึงได้อาศัยค่ารักษาพยาบาล จากการที่ทำประกันสุขภาพไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ครอบคลุมทั้งหมดจาก
ค่ารักษาก็ตาม แต่ก็ทำให้เราไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเองสักบาท และก็ยังได้เงินชดเชยรายได้จากการ
นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นรายวันอีก จำได้ว่าไปผ่าที่โรงพยาบาลเอกชน หมดไปประมาณ หกหมื่นกว่าๆ
ประกันจ่ายสี่หมื่นกว่าๆ และบริษัทของผมจ่ายให้สองหมื่นบาท (บริษัทที่ผมทำงาน มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล
ต่อปีจำนวนหนึ่ง แต่หากเกินวงเงินที่ให้ สามารถเบิกได้ไม่จำกัดครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่เกิน)
ข้อจำกัดของการทำประกันชีวิตนั้นต้องยอมรับว่ามี แต่ประโยชน์อีกมุมหนึ่งก็มีดีเหมือนกันครับ
หากเรารู้จักเลือกใช้เพื่อจำกัดความเสี่ยงบนความไม่แน่นอนของชีวิต
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 8
ในความเห็นของผม
"การทำประกัน ไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการป้องกันความเสี่ยง"
ดังนั้น เมื่อพิจารณาการทำประกัน ผมแทบไม่เคยนึกถึง "ผลตอบแทน" เลยครับ
ผมชอบวาดภาพคล้ายๆนักฟุตบอลครับ
ฟุตบอลมีกองหน้า กองกลาง กองหลัง
การยิงประตูฝั่งตรงข้ามคือการสร้างความมั่งคั่ง
การถูกฝ่ายตรงข้ามยิงประตูก็เหมือนความเสี่ยงทั้งหลายในชีวิต เช่น การขาดทุนหนัก / เจ็บป่วย / ตาย / ล้มละลาย
กองหน้า คงเปรียบเหมือนหุ้นเอาไว้ยิงประตู เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน
กองกลาง น่าจะเป็นพวกกองทุนรวมต่างๆ และก็ธุรกิจที่ทำอยู่ คือคอยสนับสนุนให้กองหน้ายิงประตูได้ดีขึ้น
กองหลัง คือเงินฝากทั้งหลาย ที่มีไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
ส่วนประกัน ผมยกให้เป็นผู้รักษาประตูครับ
โอกาสน้อยมากๆที่ผู้รักษาประตูจะบุกขึ้นไปยิงประตูฝ่ายตรงข้ามได้ และผมก็ไม่หวังให้มันทิ้งโกล์ไปยิงประตูด้วย
แต่ถ้ายามใดที่ความเสี่ยงเคาะประตู บุกมาถึงหน้าปากประตูแล้ว ผู้รักษามีความได้เปรียบ คือ "ใช้มือได้"
ผมจำได้ว่าเคยแชร์ให้ฟังที่นี่ครั้งหนึ่ง เรื่องที่เพื่อนผมเป็นมะเร็งตอนอายุยังน้อย ประมาณ 25 ปี
เพื่อนผมคนนี้ไม่มีประกันชีวิต ไม่มีประกันสุขภาพ โชคดีที่พ่อแม่มีฐานะระดับมหาเศรษฐี หมดเงินค่ารักษาทั้งหมดกว่า 8 หลัก
แสดงว่ากองหลังเขาแข็งแกร่งมากๆ
ย้อนกลับมาดูตัวเอง ตัวเลข 8 หลักเกือบจะเป็นความมั่งคั่งทั้งหมดที่ครอบครัวผมมี หมายความว่า ถ้ากองหน้าฝ่ายตรงข้ามมีฝีมือฉกาจขนาดนั้น กองหลังผมคงเอาไม่อยู่แน่
ผมจึงต้องซื้อผู้รักษาประตูมาเฝ้าโกล์ไว้ครับ
แบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังนะครับ สถานการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความจำเป็นในการวางแผนการเงินย่อมไม่เหมือนกันครับ
"การทำประกัน ไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการป้องกันความเสี่ยง"
ดังนั้น เมื่อพิจารณาการทำประกัน ผมแทบไม่เคยนึกถึง "ผลตอบแทน" เลยครับ
ผมชอบวาดภาพคล้ายๆนักฟุตบอลครับ
ฟุตบอลมีกองหน้า กองกลาง กองหลัง
การยิงประตูฝั่งตรงข้ามคือการสร้างความมั่งคั่ง
การถูกฝ่ายตรงข้ามยิงประตูก็เหมือนความเสี่ยงทั้งหลายในชีวิต เช่น การขาดทุนหนัก / เจ็บป่วย / ตาย / ล้มละลาย
กองหน้า คงเปรียบเหมือนหุ้นเอาไว้ยิงประตู เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน
กองกลาง น่าจะเป็นพวกกองทุนรวมต่างๆ และก็ธุรกิจที่ทำอยู่ คือคอยสนับสนุนให้กองหน้ายิงประตูได้ดีขึ้น
กองหลัง คือเงินฝากทั้งหลาย ที่มีไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
ส่วนประกัน ผมยกให้เป็นผู้รักษาประตูครับ
โอกาสน้อยมากๆที่ผู้รักษาประตูจะบุกขึ้นไปยิงประตูฝ่ายตรงข้ามได้ และผมก็ไม่หวังให้มันทิ้งโกล์ไปยิงประตูด้วย
แต่ถ้ายามใดที่ความเสี่ยงเคาะประตู บุกมาถึงหน้าปากประตูแล้ว ผู้รักษามีความได้เปรียบ คือ "ใช้มือได้"
ผมจำได้ว่าเคยแชร์ให้ฟังที่นี่ครั้งหนึ่ง เรื่องที่เพื่อนผมเป็นมะเร็งตอนอายุยังน้อย ประมาณ 25 ปี
เพื่อนผมคนนี้ไม่มีประกันชีวิต ไม่มีประกันสุขภาพ โชคดีที่พ่อแม่มีฐานะระดับมหาเศรษฐี หมดเงินค่ารักษาทั้งหมดกว่า 8 หลัก
แสดงว่ากองหลังเขาแข็งแกร่งมากๆ
ย้อนกลับมาดูตัวเอง ตัวเลข 8 หลักเกือบจะเป็นความมั่งคั่งทั้งหมดที่ครอบครัวผมมี หมายความว่า ถ้ากองหน้าฝ่ายตรงข้ามมีฝีมือฉกาจขนาดนั้น กองหลังผมคงเอาไม่อยู่แน่
ผมจึงต้องซื้อผู้รักษาประตูมาเฝ้าโกล์ไว้ครับ
แบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังนะครับ สถานการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความจำเป็นในการวางแผนการเงินย่อมไม่เหมือนกันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 9
"การทำประกัน ไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการป้องกันความเสี่ยง" กด Like
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 10
ครับ ได้ฟังข้อดีของประกันบ้าง อาจจะทำให้มุมมองต่อประกันของผมดีขึ้นมาบ้าง
ผมอาจจะพูดว่า ประกันเป็นการลงทุน ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดไปบ้าง จริงๆแล้ว ที่ผมหมายถึงก็คือ ผมเป็นคนที่ ซื้ออะไร ก็คิดถึงความคุ้ม เสมอ น่ะครับ ดังนั้น เม็ดเงินที่ออกจากตัวเราไป ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น หรือซื้อของใช้ต่างๆ ผมก็ศึกษาว่ามันใช้ได้นาน มันทน มันคุ้ม ดูจากฟังชั่นการใช้งาน เทียบกับราคา อะไรเช่นนี้ ของใช้ของผมจึงมักเป็นของระดับกลางๆไม่ดูหรูหรา แต่เทียบระหว่างการใช้งานกับเม็ดเงินแล้วคุ้ม พูดง่ายๆคือ ผม optimize ในการซื้อของไปซะทุกอย่าง... แฟนผมก็บ่นเหมือนกัน ไม่รู้ดีหรือไม่ดี-_-'
การประกันก็เช่นกัน ผมมองว่าเม็ดเงินที่เราจ่ายไปให้ประกันนั้น แลกกับสิ่งที่ได้คือ "การไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในความเสี่ยงเมื่อความเสี่ยงเกิดขึ้นแล้ว" ตรงนี้ผมเห็นต่างนะครับ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็น "การป้องกันความเสี่ยง" ครับ..เพราะสำหรับผม การป้องกันความเสี่ยง เกิดจากตัวพวกเราเองครับ เช่น กินแต่อาหารดีๆ หลีกเลี่ยงของมัน ของย่าง อาหารขยะ อาหารตามรถเข็นตามถนน ไม่กินเหล้า สูบบุหรี่ เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วย .... ถ้าเป็นรถยนต์ ก็เป็นคนขับรถระมัดระวังถูกกฏ เป็นต้น
ซึ่งผมมองว่าเราต่างหากที่ต้องป้องกันความเสี่ยงเอง แต่ยังไงๆก็แล้วแต่ มันก็เกิดaccident ขึ้นได้ทั้งที่ป้องกันไว้แล้ว ซึ่งก็คงเหมือนปราการสุดท้ายอย่างที่คุณbelfet ว่า
แต่ทีนี้เนี่ย ถ้าติดนิสัยอย่างผม คือ คิดถึงความคุ้มเสมอ ปรากฏว่า ผมป้องกันของผมเองตลอดอยู่แล้ว ดังนั้น เจ็บป่วยหนัก ไม่มี รถชนหนักๆไม่เกิด กลายเป็นว่า ผมก็ไม่เคยใช้ประกันได้คุ้มเลย
แน่นอน ถ้าเกิดว่าเราเป็นคนที่ชอบทำลายสุขภาพตัวเอง คงใช้ประกันสุขภาพคุ้ม เป็นคนขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ เหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งเคยนั่งรถเค้า โหขับได้แบบ ชนๆไปเหอะ ขับรถชนบ่อยมาก ชนหนักด้วย...เค้าก็ใช้คุ้ม....
ผมว่ามันคงเป็นนิสัยเสียของผมอะครับ ที่คิดถึงความ "คุ้ม" เสมอ คิดว่าหากอนาคตเกิด accidentขึ้นกับผมทั้งๆที่ผมพยายามป้องกันมาตลอดแล้ว ผมคงรู้ซึ้งถึงประโยชน์ของประกันมากกว่านี้
ผมอาจจะพูดว่า ประกันเป็นการลงทุน ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดไปบ้าง จริงๆแล้ว ที่ผมหมายถึงก็คือ ผมเป็นคนที่ ซื้ออะไร ก็คิดถึงความคุ้ม เสมอ น่ะครับ ดังนั้น เม็ดเงินที่ออกจากตัวเราไป ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น หรือซื้อของใช้ต่างๆ ผมก็ศึกษาว่ามันใช้ได้นาน มันทน มันคุ้ม ดูจากฟังชั่นการใช้งาน เทียบกับราคา อะไรเช่นนี้ ของใช้ของผมจึงมักเป็นของระดับกลางๆไม่ดูหรูหรา แต่เทียบระหว่างการใช้งานกับเม็ดเงินแล้วคุ้ม พูดง่ายๆคือ ผม optimize ในการซื้อของไปซะทุกอย่าง... แฟนผมก็บ่นเหมือนกัน ไม่รู้ดีหรือไม่ดี-_-'
การประกันก็เช่นกัน ผมมองว่าเม็ดเงินที่เราจ่ายไปให้ประกันนั้น แลกกับสิ่งที่ได้คือ "การไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในความเสี่ยงเมื่อความเสี่ยงเกิดขึ้นแล้ว" ตรงนี้ผมเห็นต่างนะครับ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็น "การป้องกันความเสี่ยง" ครับ..เพราะสำหรับผม การป้องกันความเสี่ยง เกิดจากตัวพวกเราเองครับ เช่น กินแต่อาหารดีๆ หลีกเลี่ยงของมัน ของย่าง อาหารขยะ อาหารตามรถเข็นตามถนน ไม่กินเหล้า สูบบุหรี่ เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วย .... ถ้าเป็นรถยนต์ ก็เป็นคนขับรถระมัดระวังถูกกฏ เป็นต้น
ซึ่งผมมองว่าเราต่างหากที่ต้องป้องกันความเสี่ยงเอง แต่ยังไงๆก็แล้วแต่ มันก็เกิดaccident ขึ้นได้ทั้งที่ป้องกันไว้แล้ว ซึ่งก็คงเหมือนปราการสุดท้ายอย่างที่คุณbelfet ว่า
แต่ทีนี้เนี่ย ถ้าติดนิสัยอย่างผม คือ คิดถึงความคุ้มเสมอ ปรากฏว่า ผมป้องกันของผมเองตลอดอยู่แล้ว ดังนั้น เจ็บป่วยหนัก ไม่มี รถชนหนักๆไม่เกิด กลายเป็นว่า ผมก็ไม่เคยใช้ประกันได้คุ้มเลย
แน่นอน ถ้าเกิดว่าเราเป็นคนที่ชอบทำลายสุขภาพตัวเอง คงใช้ประกันสุขภาพคุ้ม เป็นคนขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ เหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งเคยนั่งรถเค้า โหขับได้แบบ ชนๆไปเหอะ ขับรถชนบ่อยมาก ชนหนักด้วย...เค้าก็ใช้คุ้ม....
ผมว่ามันคงเป็นนิสัยเสียของผมอะครับ ที่คิดถึงความ "คุ้ม" เสมอ คิดว่าหากอนาคตเกิด accidentขึ้นกับผมทั้งๆที่ผมพยายามป้องกันมาตลอดแล้ว ผมคงรู้ซึ้งถึงประโยชน์ของประกันมากกว่านี้
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 11
ผมว่าการที่คุณ sakkhaphan คำนึงถึงความคุ้มค่าเสมอเป็นสิ่งที่ดีครับ
อย่างไรก็ตาม เรื่องของการซื้อประกันมันเป็นการซื้อที่ "ไม่มีใครอยากจะคุ้ม" เลยนะครับ
อันนี้ผมพูดจริงๆนะครับ ผมไม่ได้เล่นคำแต่อย่างใดครับ
ตัวอย่างนะครับ สมมติผมทำประกันอัคคีภัยให้บ้านผม ซึ่งผมซื้อมาถูกมาก ราคาล้านเดียว แต่เวลาผมซื้อประกัน ผมได้ทุนประกันตั้ง 1.5 ล้านแน่ะ
แต่ตอนซื้อประกัน ผมไม่คิดเลยนะครับว่าอยากให้บ้านไฟไหม้ให้หมด เราจะได้เงินตั้ง 1.5 ล้าน ทั้งๆที่เราซื้อมาล้านเดียว
หรือถ้าซื้อประกันชีวิตพ่วงประกันสุขภาพโรคมะเร็ง ทุนประกันตั้ง 10 ล้าน หลังจากนั้นปีเดียวเราตรวจเจอมะเร็งระยะเริ่มต้นพอดีเลย ผมคงไม่คิดว่า "ดีจังซื้อปีเดียวเป็นมะเร็งเลย คุ้มๆ" แบบนั้นแน่ๆเลยครับ
ประกันมันจึงเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่แปลกมาก เพราะคนที่ซื้อไม่ได้คิดอยากจะใช้เลยครับ
อย่างไรก็ตาม เรื่องของการซื้อประกันมันเป็นการซื้อที่ "ไม่มีใครอยากจะคุ้ม" เลยนะครับ
อันนี้ผมพูดจริงๆนะครับ ผมไม่ได้เล่นคำแต่อย่างใดครับ
ตัวอย่างนะครับ สมมติผมทำประกันอัคคีภัยให้บ้านผม ซึ่งผมซื้อมาถูกมาก ราคาล้านเดียว แต่เวลาผมซื้อประกัน ผมได้ทุนประกันตั้ง 1.5 ล้านแน่ะ
แต่ตอนซื้อประกัน ผมไม่คิดเลยนะครับว่าอยากให้บ้านไฟไหม้ให้หมด เราจะได้เงินตั้ง 1.5 ล้าน ทั้งๆที่เราซื้อมาล้านเดียว
หรือถ้าซื้อประกันชีวิตพ่วงประกันสุขภาพโรคมะเร็ง ทุนประกันตั้ง 10 ล้าน หลังจากนั้นปีเดียวเราตรวจเจอมะเร็งระยะเริ่มต้นพอดีเลย ผมคงไม่คิดว่า "ดีจังซื้อปีเดียวเป็นมะเร็งเลย คุ้มๆ" แบบนั้นแน่ๆเลยครับ
ประกันมันจึงเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่แปลกมาก เพราะคนที่ซื้อไม่ได้คิดอยากจะใช้เลยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชาว VI กับการทำประกัน
โพสต์ที่ 12
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ จริงด้วย อ่านไปอมยิ้มไป เห็นภาพเลยครับBelffet เขียน:ผมว่าการที่คุณ sakkhaphan คำนึงถึงความคุ้มค่าเสมอเป็นสิ่งที่ดีครับ
อย่างไรก็ตาม เรื่องของการซื้อประกันมันเป็นการซื้อที่ "ไม่มีใครอยากจะคุ้ม" เลยนะครับ
อันนี้ผมพูดจริงๆนะครับ ผมไม่ได้เล่นคำแต่อย่างใดครับ
ตัวอย่างนะครับ สมมติผมทำประกันอัคคีภัยให้บ้านผม ซึ่งผมซื้อมาถูกมาก ราคาล้านเดียว แต่เวลาผมซื้อประกัน ผมได้ทุนประกันตั้ง 1.5 ล้านแน่ะ
แต่ตอนซื้อประกัน ผมไม่คิดเลยนะครับว่าอยากให้บ้านไฟไหม้ให้หมด เราจะได้เงินตั้ง 1.5 ล้าน ทั้งๆที่เราซื้อมาล้านเดียว
หรือถ้าซื้อประกันชีวิตพ่วงประกันสุขภาพโรคมะเร็ง ทุนประกันตั้ง 10 ล้าน หลังจากนั้นปีเดียวเราตรวจเจอมะเร็งระยะเริ่มต้นพอดีเลย ผมคงไม่คิดว่า "ดีจังซื้อปีเดียวเป็นมะเร็งเลย คุ้มๆ" แบบนั้นแน่ๆเลยครับ
ประกันมันจึงเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่แปลกมาก เพราะคนที่ซื้อไม่ได้คิดอยากจะใช้เลยครับ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง