สองเซียนหุ้นพันล้านหมอฟันยรรยง-เสี่ยปู่เปิดใจ 'ผมไม่ได้ปั่น'
- tossaporn
- Verified User
- โพสต์: 88
- ผู้ติดตาม: 0
สองเซียนหุ้นพันล้านหมอฟันยรรยง-เสี่ยปู่เปิดใจ 'ผมไม่ได้ปั่น'
โพสต์ที่ 1
สองเซียนหุ้นพันล้านหมอฟันยรรยง-เสี่ยปู่เปิดใจ 'ผมไม่ได้ปั่น'
--------------------------------------------------------------------------------
เชื่อได้ว่าแมลงเม่าทุกพันธุ์ ทั้งหน้าเก่าและรายใหม่ที่เพิ่งย่างกรายเข้ามาในตลาดหุ้นยุคกระทิงจะต้องรู้จักนักลงทุนรายใหญ่รุ่นเก๋า 2 รายนี้ ทันตแพทย์ยรรยง พันธุ์วงษ์กล่อม และนายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือฉายา "เสี่ยปู่"
การซื้อ-ขายของเซียนหุ้นทั้ง 2 คน มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมาก เพราะไม่ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง หุ้นตัวไหนวิ่งแรง และตัวไหนโดนถล่มขายก็จะต้องมีชื่อของเสี่ยปู่และหมอฟันยรรยงเข้าไปเกี่ยวข้อง
แม้กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งตลาดหุ้นไทยอยู่ในอาการ "กระทิงบ้าคลั่ง" โดยมูลค่า การซื้อ-ขายพุ่งเป็นปรอทแตกถึง 5.9 หมื่นล้านบาท ทำ สถิติสูงสุดในรอบ 28 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็มีกระแสข่าวลืออีกเช่นเคยว่าเขา 2 คน ได้ร่วมวงปั่นหุ้นด้วย และ "ฐานเศรษฐกิจ" มีโอกาสได้สัม-ภาษณ์นักลงทุนทั้ง 2 ราย
ทันตแพทย์ยรรยง พันธุ์วงษ์กล่อม กับข่าวลือว่าคุณหมอเป็นนักปั่นหุ้น
"ข่าวลือก็คือข่าวลือ และการที่ผมเข้ามาในตลาดหุ้นก็ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะรับจ้างปั่นหุ้น และก็ทำใจได้แล้ว กับการที่เช้าขึ้นมาก็มีคนเอาชื่อผมไปอ้างว่าเข้าไปปั่นหุ้นตัวนั้นตัวนี้"
บางครั้งผู้สื่อข่าวก็เขียนไปต่างๆ นานา ผมว่าการปั่นหุ้นสมัยนี้ไม่ง่ายหรอกทั้งก.ล.ต.(สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) และตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาเข้มเรื่องการกำกับดูแลมาก ใครที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ ผมว่าหนีไม่รอดหรอก โดนจับได้แน่นอน
นอกจากนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว การลงทุนในหุ้นปัจจุบันนักลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลมากขึ้น ประกอบกับคนสมัยนี้ความรู้เขาเยอะอยู่แล้ว จะไปหลอกเขาไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก
-ในฐานะที่เป็นนักลงทุนเนื้อหอมทำไมไม่ให้ความรู้กับนักลงทุนในงานสัมมนาต่างๆ บ้าง
"ตอนนี้ผมอยากอยู่เงียบๆ อย่างเป็นสุข" ไม่อยากปรากฏตามสื่อ ผมก็เคยได้รับเชิญจากตลาดหลักทรัพย์ให้ไปงานตลาดฯสัญจรที่จ.ชลบุรี เมื่อหลายเดือนก่อน ก็มีนักลงทุนสนใจฟังจำนวนมาก
"แต่งานนี้ผมโดนโจมตีจากสื่อสิ่งพิมพ์ (พร้อมเอ่ยชื่อเจ้าของสิ่งพิมพ์ฉบับนั้น) ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ควรเชิญผมไปพูด เพราะภาพลักษณ์ของผมคือ นักเล่นหุ้นเก็งกำไร ยิ่งให้ผมไปให้ความรู้และแนะนำกลยุทธการลงทุนก็จะทำให้นักลงทุนที่ฟังเดินตามรอยผม แม้แต่ผมแจ้งรายงานการถือครองหุ้นหรือขายหุ้นกับสำนักงานก.ล.ต. ผมก็โดนสื่อโจมตี ตอนหลังก็เลยใช้ชื่อพี่ชายแจ้งตลอด "
พอร์ตลงทุนของคุณหมอ
"ผมขอไม่พูดถึงตัวเลข เดี๋ยวจะตกใจ" แต่หุ้นในพอร์ตก็คละกันไปทั้งหุ้นที่ซื้อเพื่อการลงทุนและหุ้นที่ซื้อเพื่อเก็งกำไร"
และเมื่อถูกถามถึงเรื่องกำไรที่ได้รับในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะกระทิงในปัจจุบัน นักลงทุนที่มีดีกรีถึงหมอฟันรายนี้ก็พูดประโยคเดิมว่า "ผมขอไม่เปิดเผยตัวเลข เดี๋ยวจะตกใจกัน" แต่เขาก็ให้หลักในการคิดง่ายๆ ว่า สำหรับการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ที่จ่ายปันผล ก็จะสนใจลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในอัตรา 4-5% ซึ่งถือว่าให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน
"ผมเล่นหุ้นมา 10 ปี ผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและร้าย ตอนนี้ผมเข้าถึง"สัจจธรรม "ของการลงทุนในหุ้นแล้ว ว่ามีทั้งขาดทุนและกำไร และถ้าเทียบตลาดหุ้นตอนนี้ที่วอลุ่มทะลัก 5.9 หมื่นล้านบาท ผมว่าช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไป 1,700 จุด ก่อนฟองสบู่แตก ตอนนั้นน่ากลัวกว่าเยอะ แต่ช่วงวิกฤติผมไม่ขาดทุนแถมได้กำไรดีกว่าช่วงนี้เสียอีก เพราะผม"ทำการบ้าน "และเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิดก็เลยไหวตัวทัน
มุมมองเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น
ภาพโดยรวมของตลาดผมว่ายังเล่นได้ ดีมานด์ก็เข้ามาเยอะ เพราะดอกเบี้ยถูก และถ้าตลาดปรับตัวลงก็จะลงไม่เยอะ เพราะจะมีแรงรับเข้ามา ดังนั้นตลาดหุ้นตอนนี้ถือว่าแข็งแรงพอสมควร
กับการที่ตลาดหุ้นบ้านเรามีนักลงทุนประเภทเก็งกำไรมากกว่านักลงทุนระยะยาวนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติของตลาดเกิดใหม่ ที่จะมีสภาพอย่างนี้แหละ และผมว่าตลาดหลักทรัพย์ฯควรจะจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการลงทุนมากกว่านี้ การจัดงานตลาดหลักทรัพย์สัญจรอย่างเดียวน้อยไป
สำหรับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นกลุ่มดาวรุ่งที่มีปัจจัยโดดเด่นจากการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามองในแง่ของการซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวนักลงทุนก็ต้องระมัดระวัง แต่ถ้ามองในแง่ของการเก็งกำไรระยะสั้นก็จัดว่าเป็นหุ้นที่ยังน่าสนใจ
"สำหรับผมแล้วบริษัทที่ทำอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมบางรายก็ยังน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้น LPN (บมจ.เแอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์) นอกจากนี้ยังมีบริษัทอสังหาฯอีกหลายรายที่จะมีการรับรู้รายได้จำนวนมากในไตรมาส 3และไตรมาส 4 นี้ ส่วนหุ้น N-PARK (บมจ.แนเชอรัล ปาร์ค) ขณะนี้ยังเห็นภาพการทำธุรกิจไม่ค่อยชัดเจน"
ปีหน้าเล็งหุ้นกลุ่มไหน
ถ้าเศรษฐกิจปี 47 มีการขยายตัวในอัตรา 7-8%ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ ผมว่าหุ้นไฟแนนซ์บางตัวก็น่าสนใจ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุน ธนชาติ ที่เขาเป็นผู้นำธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ถ้าจำไม่ผิดปัจจุบันเขามีพอร์ตเช่าซื้อรถยนต์ทั้งรถใหม่และรถมือสองประมาณ 5 หมื่นกว่าล้านบาท นอกจากนี้มีแนวโน้มว่าเขาจะซื้อหนี้เสียของบสท.มาบริหาร
ดังนั้นผมมองว่าปีหน้าหุ้นธนชาติ จะไปได้ดี ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าพื้นฐานอยู่ เทียบกับหุ้นบง.เกียรตินาคินที่ขณะนี้ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นไป 2 เท่าของบุ๊คแวรูแล้ว ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ราคาก็สูงเกินปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว
"นอกจากนี้ผมมองว่าปีหน้านักลงทุนจะกลับมาเล่นหุ้นกลุ่มแบงก์ เพราะเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวจะทำให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น "
ด้านนายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือเสี่ยปู่ ได้ให้สัมภาษณ์ "ฐานเศรษฐกิจ"ในประเด็นเดียวกันดังต่อไปนี้
ใครๆ ก็ว่าเสี่ยปู่เป็นนักปั่นหุ้นและนักเก็งกำไรรายใหญ่
(อึ้งก่อนตอบ) "คนพวกนั้นไม่ไหว บางคนก็เอาชื่อผมไปอ้าง ผมไม่ได้เข้าไปผลักดันราคาหุ้น ผมไม่มีแรงไปดัน ผมไม่มีรูม(ช่องว่าง) จะไปปั่นหุ้น"
และจริงๆ แล้วการปั่นหุ้น หรือดันราคาหุ้นตัวเล็กใช้เงินไม่มากหรอก แค่นักลงทุนรายย่อยผสมโรงเข้าไปมากๆ ก็ดันราคาหุ้นพวกนี้ได้แล้ว
ปัจจุบันพอร์ตของผม 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งคิดเป็น 70% ของพอร์ตเป็นหุ้น ส่วนอีก 30%ก็จะกระจายไปยังวอแรนต์มากที่สุด รองลงมาก็เป็นหุ้นจอง ที่เหลืออีกนิดหน่อยก็ยอมรับว่ามีหุ้นเก็งกำไรอยู่บ้าง แต่หุ้นพวกนี้ผมจะรอจังหวะซื้อตอนที่ราคาปรับตัวลงเท่านั้น แต่ถ้าราคาปรับตัวขึ้นผมก็จะขายออกทันที
คุณหมอฟันยรรยงเล่าให้ฟังว่าเสี่ยปู่ยึดทฤษฎีการลงทุนของวอเรนต์ บัพเฟตต์
"ใช่ ผมกับหมอฟันยรรยงเป็นเพื่อนนักลงทุนด้วยกัน แต่ผมไม่รู้หรอกว่าพอร์ตเขามีเท่าไหร่"
ส่วนกรณีที่ผมใช้กลยุทธการลงทุนตามแนวทางของวอเรนต์ บัพเฟตต์ (นักลงทุนชื่อดังชาวสหรัฐอเมริกา)นั้น ผมยอมรับว่าทำมา 2 ปีแล้ว และก็ใช้ได้ผล
" ผมเคยเป็นนักเก็งกำไรเหมือนกัน และพบว่า"ได้ไม่คุ้มเสีย"
ผมเล่นหุ้นมา 16 ปี โดย 14 ปีแรกผมเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรรายวัน โดยไม่ดูพื้นฐานของหุ้นว่าตัวไหนดี ตัวไหนไม่ดี เล่นตามแรงเชียร์ของมาร์เก็ตติ้งเสียมากกว่า ซึ่งมักจะแนะนำให้เราซื้อ-ขายวันละหลายรอบ เพราะจะเขาได้ค่าคอมมิชชั่นเยอะๆ หรือหุ้นบางตัวเขาก็แนะนำให้ขายเร็วเกินไป ทั้งๆ ที่ใจเราก็ยังอยากถืออยู่
แต่เมื่อผมเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนเป็นนักลงทุนระยะยาวในช่วง 2 ปีหลัง โดยอ่านหนังสือของวอเรนต์ บัพเฟตต์ ก็ได้ผลดี ทำให้ผมมีกำไรจากการลงทุนมากกว่าตอนที่เป็นนักเก็งกำไร
"สำหรับการลงทุนในปีนี้ ผมได้กำไร 200 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว ส่วนจะเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลเท่าไหร่และเป็นกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นเท่าไหร่นั้น จำไม่ได้ "
ทำไมถึงชอบเล่นวอแรนต์
"ช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น การลงทุนในวอแรนต์จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้น" แต่การลงทุนในวอแรนต์ของผมส่วนใหญ่ก็เป็นการลงทุนระยะยาวเฉลี่ย 1- 2 ปี เช่น วอแรนต์ของแอล.พี.เอ็นฯ เปิดตลาดที่ 5-6 บาท แต่ขณะนี้ราคาขึ้นไปที่ 30 กว่าบาทแล้ว นอกจากนี้ผมยังลงทุนในวอแรนต์ของ เอสแอนด์พี ซึ่งผมมีอยู่ 1 ล้านกว่าหน่วย โดยผมมีต้นทุนเฉลี่ยไม่เกิน 4 บาท ต่อหน่วย แต่ขณะนี้ราคาได้ปรับตัวขึ้นไปที่ 11 บาท ขณะที่จะมีการแปลงสภาพในอีก 4 ปี ที่ราคาแปลงสภาพ 18 บาท แต่ผมคาดว่าเมื่อถึงเวลานั้น ราคาหุ้นแม่น่าจะอยู่ที่ 30 กว่าบาทต่อหุ้น เพราะผมมองว่าหุ้นเอสแอนด์พีเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและมีศักยภาพเติบโตได้อีก "ลองคิดว่าผมจะได้กำไรเท่าไหร่"
ถึงขั้นทำ Company Visit เอง
หลักในการลงทุนของผม ผมจะไม่พึงพาหรือเชื่อคำแนะนำของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และมาร์เก็ตติ้งทั้งหมด และก่อนการซื้อ-ขายหุ้นแต่ละตัวผมจะศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด โดยผมจะให้ความสำคัญกับพื้นฐานของหุ้นเป็นหลักมากกว่าการดูปัจจัยทางเทคนิค หุ้นบางตัวที่ผมสนใจมากๆ ผมจะขอเข้าพบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเองเลยเพื่อสอบถามข้อมูล ถ้ากิจการดีจริงผมก็จะเข้าไปลงทุน
"แม้ผมจะเป็นนักลงทุนรายบุคคล แต่การขอเยี่ยมชมกิจการและสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน หรือ Company Visit ผมจะได้รับการต้อนรับอย่างดีเสมอ และล่าสุดเมื่อ 2-3 วันก่อน ผมไปทำ Company Visit หุ้นยูคอมมา จากข้อมูลที่ได้รับ ก็จัดว่าเป็นบริษัทที่ดี
มีกลยุทธการลงทุนในหุ้น IPO อย่างไร
ถ้าเป็นหุ้นจองตอนนี้ผมชอบหุ้นบมจ.เอ็ม เอฟ อี ซี หรือ MFEC (เปิดให้จองซื้อ 1-3 ต.ค.) ผมว่าถ้าเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในธุรกิจเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ไอที ซิตี้ หรือ ไออาร์ซีพี ผมว่าในแง่ของอนาคตธุรกิจ และลักษณะของธุรกิจ ผมว่าเอ็ม เอฟ อี ซี เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีกว่า ดังนั้นราคาจองของหุ้นตัวนี้ที่ 4.75 บาท ต่อหุ้นจึงไม่แพง และเข้าซื้อขายในตลาดวันแรกราคาน่าจะปรับตัวขึ้นไปยืนที่ระดับ 6-7 บาท
"กลยุทธการลงทุนในหุ้นIPO ของผม ถ้าหุ้นตัวไหนที่ผมชอบ (หมายถึงพื้นฐานดี) ผมก็ลงทุนยาว แต่ถ้าตัวไหนที่ไม่ชอบผมก็ขายวันแรกเลย "
ยกตัวอย่างผมซื้อหุ้นจองของบมจ.แมทชิ่ง สตูดิโอ และตอนนี้ผมก็ยังถืออยู่ และก็ได้ซื้อเพิ่มตลอด 8 เดือนกว่าที่หุ้นเข้าจดทะเบียน จนตอนนี้ผมซื้อครบ 2 ล้านหุ้นตามเป้าหมายแล้ว และขณะนี้ผมมีต้นทุนหุ้นตัวนี้ที่ต่ำกว่า 6 บาท ต่อหุ้น แต่ราคาในกระดานปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 16 บาท และผมก็ยังไม่ขายทำกำไร" ล้อมกรอบ ปูม 2 นักลงทุนรายใหญ่
หมอฟันยรรยง เมื่อ 10 ปีก่อนเขาตัดสินใจทิ้งเครื่องมือหมอฟัน มาสู่อาชีพนักลงทุนในตลาดหุ้นด้วยการหอบเงินเก็บที่ได้จากค่าทำฟัน 4-5 แสนบาท มาเปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้นกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.)เจ้าพระยา จำกัด ซึ่งปัจจุบันได้ปิดกิจการไปแล้ว จนปัจจุบันเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดที่โบรกเกอร์ไหนได้เขาไปเป็นลูกค้าแล้วมาร์เก็ตแชร์จะต้องพุ่งกระฉูด ด้วยเพราะเขามีพอร์ตลงทุนที่ใหญ่จนเจ้าตัวไม่อยากเปิดเผย เพราะกลัวสังคมชาวหุ้นตะลึง
เขาให้เหตุผลที่เปลี่ยนอาชีพว่า " ผมเป็นคนชอบคิด ชอบวางแผน และการมีอาชีพเป็นนักลงทุนผมว่ามันถูกกับบุคลิกผม ซึ่งในโลกของการลงทุนระบบความคิดมันกว้างกว่าในโลกของอาชีพหมอที่ผมเคยอยู่"
ด้านเสี่ยปู่ ปัจจุบันอายุ 50 ปี ซึ่งเขาย้อนประวัติตัวเองให้ฟังว่า เมื่อ 16 ปีก่อน เขาตัดสินใจลาจากสภาพัฒน์ฯโดยมีตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน แล้วผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น เปิดพอร์ตครั้งแรกด้วยเงินออม 2 แสนบาท ขณะที่ปัจจุบันพอร์ตโตระดับพันล้านบาทแล้ว และเมื่อวัดจากกำไรที่ได้รับจากการลงทุน 200 กว่าเปอร์เซ็นในปัจจุบัน เขาบอกว่าเขาประสบความสำเร็จกับอาชีพ "นักลงทุน
--------------------------------------------------------------------------------
เชื่อได้ว่าแมลงเม่าทุกพันธุ์ ทั้งหน้าเก่าและรายใหม่ที่เพิ่งย่างกรายเข้ามาในตลาดหุ้นยุคกระทิงจะต้องรู้จักนักลงทุนรายใหญ่รุ่นเก๋า 2 รายนี้ ทันตแพทย์ยรรยง พันธุ์วงษ์กล่อม และนายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือฉายา "เสี่ยปู่"
การซื้อ-ขายของเซียนหุ้นทั้ง 2 คน มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมาก เพราะไม่ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง หุ้นตัวไหนวิ่งแรง และตัวไหนโดนถล่มขายก็จะต้องมีชื่อของเสี่ยปู่และหมอฟันยรรยงเข้าไปเกี่ยวข้อง
แม้กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งตลาดหุ้นไทยอยู่ในอาการ "กระทิงบ้าคลั่ง" โดยมูลค่า การซื้อ-ขายพุ่งเป็นปรอทแตกถึง 5.9 หมื่นล้านบาท ทำ สถิติสูงสุดในรอบ 28 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็มีกระแสข่าวลืออีกเช่นเคยว่าเขา 2 คน ได้ร่วมวงปั่นหุ้นด้วย และ "ฐานเศรษฐกิจ" มีโอกาสได้สัม-ภาษณ์นักลงทุนทั้ง 2 ราย
ทันตแพทย์ยรรยง พันธุ์วงษ์กล่อม กับข่าวลือว่าคุณหมอเป็นนักปั่นหุ้น
"ข่าวลือก็คือข่าวลือ และการที่ผมเข้ามาในตลาดหุ้นก็ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะรับจ้างปั่นหุ้น และก็ทำใจได้แล้ว กับการที่เช้าขึ้นมาก็มีคนเอาชื่อผมไปอ้างว่าเข้าไปปั่นหุ้นตัวนั้นตัวนี้"
บางครั้งผู้สื่อข่าวก็เขียนไปต่างๆ นานา ผมว่าการปั่นหุ้นสมัยนี้ไม่ง่ายหรอกทั้งก.ล.ต.(สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) และตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาเข้มเรื่องการกำกับดูแลมาก ใครที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ ผมว่าหนีไม่รอดหรอก โดนจับได้แน่นอน
นอกจากนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว การลงทุนในหุ้นปัจจุบันนักลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลมากขึ้น ประกอบกับคนสมัยนี้ความรู้เขาเยอะอยู่แล้ว จะไปหลอกเขาไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก
-ในฐานะที่เป็นนักลงทุนเนื้อหอมทำไมไม่ให้ความรู้กับนักลงทุนในงานสัมมนาต่างๆ บ้าง
"ตอนนี้ผมอยากอยู่เงียบๆ อย่างเป็นสุข" ไม่อยากปรากฏตามสื่อ ผมก็เคยได้รับเชิญจากตลาดหลักทรัพย์ให้ไปงานตลาดฯสัญจรที่จ.ชลบุรี เมื่อหลายเดือนก่อน ก็มีนักลงทุนสนใจฟังจำนวนมาก
"แต่งานนี้ผมโดนโจมตีจากสื่อสิ่งพิมพ์ (พร้อมเอ่ยชื่อเจ้าของสิ่งพิมพ์ฉบับนั้น) ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ควรเชิญผมไปพูด เพราะภาพลักษณ์ของผมคือ นักเล่นหุ้นเก็งกำไร ยิ่งให้ผมไปให้ความรู้และแนะนำกลยุทธการลงทุนก็จะทำให้นักลงทุนที่ฟังเดินตามรอยผม แม้แต่ผมแจ้งรายงานการถือครองหุ้นหรือขายหุ้นกับสำนักงานก.ล.ต. ผมก็โดนสื่อโจมตี ตอนหลังก็เลยใช้ชื่อพี่ชายแจ้งตลอด "
พอร์ตลงทุนของคุณหมอ
"ผมขอไม่พูดถึงตัวเลข เดี๋ยวจะตกใจ" แต่หุ้นในพอร์ตก็คละกันไปทั้งหุ้นที่ซื้อเพื่อการลงทุนและหุ้นที่ซื้อเพื่อเก็งกำไร"
และเมื่อถูกถามถึงเรื่องกำไรที่ได้รับในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะกระทิงในปัจจุบัน นักลงทุนที่มีดีกรีถึงหมอฟันรายนี้ก็พูดประโยคเดิมว่า "ผมขอไม่เปิดเผยตัวเลข เดี๋ยวจะตกใจกัน" แต่เขาก็ให้หลักในการคิดง่ายๆ ว่า สำหรับการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ที่จ่ายปันผล ก็จะสนใจลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในอัตรา 4-5% ซึ่งถือว่าให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน
"ผมเล่นหุ้นมา 10 ปี ผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและร้าย ตอนนี้ผมเข้าถึง"สัจจธรรม "ของการลงทุนในหุ้นแล้ว ว่ามีทั้งขาดทุนและกำไร และถ้าเทียบตลาดหุ้นตอนนี้ที่วอลุ่มทะลัก 5.9 หมื่นล้านบาท ผมว่าช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไป 1,700 จุด ก่อนฟองสบู่แตก ตอนนั้นน่ากลัวกว่าเยอะ แต่ช่วงวิกฤติผมไม่ขาดทุนแถมได้กำไรดีกว่าช่วงนี้เสียอีก เพราะผม"ทำการบ้าน "และเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิดก็เลยไหวตัวทัน
มุมมองเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น
ภาพโดยรวมของตลาดผมว่ายังเล่นได้ ดีมานด์ก็เข้ามาเยอะ เพราะดอกเบี้ยถูก และถ้าตลาดปรับตัวลงก็จะลงไม่เยอะ เพราะจะมีแรงรับเข้ามา ดังนั้นตลาดหุ้นตอนนี้ถือว่าแข็งแรงพอสมควร
กับการที่ตลาดหุ้นบ้านเรามีนักลงทุนประเภทเก็งกำไรมากกว่านักลงทุนระยะยาวนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติของตลาดเกิดใหม่ ที่จะมีสภาพอย่างนี้แหละ และผมว่าตลาดหลักทรัพย์ฯควรจะจัดอบรมให้ความรู้เรื่องการลงทุนมากกว่านี้ การจัดงานตลาดหลักทรัพย์สัญจรอย่างเดียวน้อยไป
สำหรับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นกลุ่มดาวรุ่งที่มีปัจจัยโดดเด่นจากการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามองในแง่ของการซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวนักลงทุนก็ต้องระมัดระวัง แต่ถ้ามองในแง่ของการเก็งกำไรระยะสั้นก็จัดว่าเป็นหุ้นที่ยังน่าสนใจ
"สำหรับผมแล้วบริษัทที่ทำอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมบางรายก็ยังน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้น LPN (บมจ.เแอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์) นอกจากนี้ยังมีบริษัทอสังหาฯอีกหลายรายที่จะมีการรับรู้รายได้จำนวนมากในไตรมาส 3และไตรมาส 4 นี้ ส่วนหุ้น N-PARK (บมจ.แนเชอรัล ปาร์ค) ขณะนี้ยังเห็นภาพการทำธุรกิจไม่ค่อยชัดเจน"
ปีหน้าเล็งหุ้นกลุ่มไหน
ถ้าเศรษฐกิจปี 47 มีการขยายตัวในอัตรา 7-8%ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ ผมว่าหุ้นไฟแนนซ์บางตัวก็น่าสนใจ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุน ธนชาติ ที่เขาเป็นผู้นำธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ถ้าจำไม่ผิดปัจจุบันเขามีพอร์ตเช่าซื้อรถยนต์ทั้งรถใหม่และรถมือสองประมาณ 5 หมื่นกว่าล้านบาท นอกจากนี้มีแนวโน้มว่าเขาจะซื้อหนี้เสียของบสท.มาบริหาร
ดังนั้นผมมองว่าปีหน้าหุ้นธนชาติ จะไปได้ดี ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าพื้นฐานอยู่ เทียบกับหุ้นบง.เกียรตินาคินที่ขณะนี้ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นไป 2 เท่าของบุ๊คแวรูแล้ว ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ราคาก็สูงเกินปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว
"นอกจากนี้ผมมองว่าปีหน้านักลงทุนจะกลับมาเล่นหุ้นกลุ่มแบงก์ เพราะเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวจะทำให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น "
ด้านนายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือเสี่ยปู่ ได้ให้สัมภาษณ์ "ฐานเศรษฐกิจ"ในประเด็นเดียวกันดังต่อไปนี้
ใครๆ ก็ว่าเสี่ยปู่เป็นนักปั่นหุ้นและนักเก็งกำไรรายใหญ่
(อึ้งก่อนตอบ) "คนพวกนั้นไม่ไหว บางคนก็เอาชื่อผมไปอ้าง ผมไม่ได้เข้าไปผลักดันราคาหุ้น ผมไม่มีแรงไปดัน ผมไม่มีรูม(ช่องว่าง) จะไปปั่นหุ้น"
และจริงๆ แล้วการปั่นหุ้น หรือดันราคาหุ้นตัวเล็กใช้เงินไม่มากหรอก แค่นักลงทุนรายย่อยผสมโรงเข้าไปมากๆ ก็ดันราคาหุ้นพวกนี้ได้แล้ว
ปัจจุบันพอร์ตของผม 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนระยะยาวในหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งคิดเป็น 70% ของพอร์ตเป็นหุ้น ส่วนอีก 30%ก็จะกระจายไปยังวอแรนต์มากที่สุด รองลงมาก็เป็นหุ้นจอง ที่เหลืออีกนิดหน่อยก็ยอมรับว่ามีหุ้นเก็งกำไรอยู่บ้าง แต่หุ้นพวกนี้ผมจะรอจังหวะซื้อตอนที่ราคาปรับตัวลงเท่านั้น แต่ถ้าราคาปรับตัวขึ้นผมก็จะขายออกทันที
คุณหมอฟันยรรยงเล่าให้ฟังว่าเสี่ยปู่ยึดทฤษฎีการลงทุนของวอเรนต์ บัพเฟตต์
"ใช่ ผมกับหมอฟันยรรยงเป็นเพื่อนนักลงทุนด้วยกัน แต่ผมไม่รู้หรอกว่าพอร์ตเขามีเท่าไหร่"
ส่วนกรณีที่ผมใช้กลยุทธการลงทุนตามแนวทางของวอเรนต์ บัพเฟตต์ (นักลงทุนชื่อดังชาวสหรัฐอเมริกา)นั้น ผมยอมรับว่าทำมา 2 ปีแล้ว และก็ใช้ได้ผล
" ผมเคยเป็นนักเก็งกำไรเหมือนกัน และพบว่า"ได้ไม่คุ้มเสีย"
ผมเล่นหุ้นมา 16 ปี โดย 14 ปีแรกผมเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรรายวัน โดยไม่ดูพื้นฐานของหุ้นว่าตัวไหนดี ตัวไหนไม่ดี เล่นตามแรงเชียร์ของมาร์เก็ตติ้งเสียมากกว่า ซึ่งมักจะแนะนำให้เราซื้อ-ขายวันละหลายรอบ เพราะจะเขาได้ค่าคอมมิชชั่นเยอะๆ หรือหุ้นบางตัวเขาก็แนะนำให้ขายเร็วเกินไป ทั้งๆ ที่ใจเราก็ยังอยากถืออยู่
แต่เมื่อผมเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนเป็นนักลงทุนระยะยาวในช่วง 2 ปีหลัง โดยอ่านหนังสือของวอเรนต์ บัพเฟตต์ ก็ได้ผลดี ทำให้ผมมีกำไรจากการลงทุนมากกว่าตอนที่เป็นนักเก็งกำไร
"สำหรับการลงทุนในปีนี้ ผมได้กำไร 200 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว ส่วนจะเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลเท่าไหร่และเป็นกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นเท่าไหร่นั้น จำไม่ได้ "
ทำไมถึงชอบเล่นวอแรนต์
"ช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น การลงทุนในวอแรนต์จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้น" แต่การลงทุนในวอแรนต์ของผมส่วนใหญ่ก็เป็นการลงทุนระยะยาวเฉลี่ย 1- 2 ปี เช่น วอแรนต์ของแอล.พี.เอ็นฯ เปิดตลาดที่ 5-6 บาท แต่ขณะนี้ราคาขึ้นไปที่ 30 กว่าบาทแล้ว นอกจากนี้ผมยังลงทุนในวอแรนต์ของ เอสแอนด์พี ซึ่งผมมีอยู่ 1 ล้านกว่าหน่วย โดยผมมีต้นทุนเฉลี่ยไม่เกิน 4 บาท ต่อหน่วย แต่ขณะนี้ราคาได้ปรับตัวขึ้นไปที่ 11 บาท ขณะที่จะมีการแปลงสภาพในอีก 4 ปี ที่ราคาแปลงสภาพ 18 บาท แต่ผมคาดว่าเมื่อถึงเวลานั้น ราคาหุ้นแม่น่าจะอยู่ที่ 30 กว่าบาทต่อหุ้น เพราะผมมองว่าหุ้นเอสแอนด์พีเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและมีศักยภาพเติบโตได้อีก "ลองคิดว่าผมจะได้กำไรเท่าไหร่"
ถึงขั้นทำ Company Visit เอง
หลักในการลงทุนของผม ผมจะไม่พึงพาหรือเชื่อคำแนะนำของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และมาร์เก็ตติ้งทั้งหมด และก่อนการซื้อ-ขายหุ้นแต่ละตัวผมจะศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด โดยผมจะให้ความสำคัญกับพื้นฐานของหุ้นเป็นหลักมากกว่าการดูปัจจัยทางเทคนิค หุ้นบางตัวที่ผมสนใจมากๆ ผมจะขอเข้าพบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเองเลยเพื่อสอบถามข้อมูล ถ้ากิจการดีจริงผมก็จะเข้าไปลงทุน
"แม้ผมจะเป็นนักลงทุนรายบุคคล แต่การขอเยี่ยมชมกิจการและสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน หรือ Company Visit ผมจะได้รับการต้อนรับอย่างดีเสมอ และล่าสุดเมื่อ 2-3 วันก่อน ผมไปทำ Company Visit หุ้นยูคอมมา จากข้อมูลที่ได้รับ ก็จัดว่าเป็นบริษัทที่ดี
มีกลยุทธการลงทุนในหุ้น IPO อย่างไร
ถ้าเป็นหุ้นจองตอนนี้ผมชอบหุ้นบมจ.เอ็ม เอฟ อี ซี หรือ MFEC (เปิดให้จองซื้อ 1-3 ต.ค.) ผมว่าถ้าเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในธุรกิจเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ไอที ซิตี้ หรือ ไออาร์ซีพี ผมว่าในแง่ของอนาคตธุรกิจ และลักษณะของธุรกิจ ผมว่าเอ็ม เอฟ อี ซี เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีกว่า ดังนั้นราคาจองของหุ้นตัวนี้ที่ 4.75 บาท ต่อหุ้นจึงไม่แพง และเข้าซื้อขายในตลาดวันแรกราคาน่าจะปรับตัวขึ้นไปยืนที่ระดับ 6-7 บาท
"กลยุทธการลงทุนในหุ้นIPO ของผม ถ้าหุ้นตัวไหนที่ผมชอบ (หมายถึงพื้นฐานดี) ผมก็ลงทุนยาว แต่ถ้าตัวไหนที่ไม่ชอบผมก็ขายวันแรกเลย "
ยกตัวอย่างผมซื้อหุ้นจองของบมจ.แมทชิ่ง สตูดิโอ และตอนนี้ผมก็ยังถืออยู่ และก็ได้ซื้อเพิ่มตลอด 8 เดือนกว่าที่หุ้นเข้าจดทะเบียน จนตอนนี้ผมซื้อครบ 2 ล้านหุ้นตามเป้าหมายแล้ว และขณะนี้ผมมีต้นทุนหุ้นตัวนี้ที่ต่ำกว่า 6 บาท ต่อหุ้น แต่ราคาในกระดานปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 16 บาท และผมก็ยังไม่ขายทำกำไร" ล้อมกรอบ ปูม 2 นักลงทุนรายใหญ่
หมอฟันยรรยง เมื่อ 10 ปีก่อนเขาตัดสินใจทิ้งเครื่องมือหมอฟัน มาสู่อาชีพนักลงทุนในตลาดหุ้นด้วยการหอบเงินเก็บที่ได้จากค่าทำฟัน 4-5 แสนบาท มาเปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้นกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.)เจ้าพระยา จำกัด ซึ่งปัจจุบันได้ปิดกิจการไปแล้ว จนปัจจุบันเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดที่โบรกเกอร์ไหนได้เขาไปเป็นลูกค้าแล้วมาร์เก็ตแชร์จะต้องพุ่งกระฉูด ด้วยเพราะเขามีพอร์ตลงทุนที่ใหญ่จนเจ้าตัวไม่อยากเปิดเผย เพราะกลัวสังคมชาวหุ้นตะลึง
เขาให้เหตุผลที่เปลี่ยนอาชีพว่า " ผมเป็นคนชอบคิด ชอบวางแผน และการมีอาชีพเป็นนักลงทุนผมว่ามันถูกกับบุคลิกผม ซึ่งในโลกของการลงทุนระบบความคิดมันกว้างกว่าในโลกของอาชีพหมอที่ผมเคยอยู่"
ด้านเสี่ยปู่ ปัจจุบันอายุ 50 ปี ซึ่งเขาย้อนประวัติตัวเองให้ฟังว่า เมื่อ 16 ปีก่อน เขาตัดสินใจลาจากสภาพัฒน์ฯโดยมีตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน แล้วผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น เปิดพอร์ตครั้งแรกด้วยเงินออม 2 แสนบาท ขณะที่ปัจจุบันพอร์ตโตระดับพันล้านบาทแล้ว และเมื่อวัดจากกำไรที่ได้รับจากการลงทุน 200 กว่าเปอร์เซ็นในปัจจุบัน เขาบอกว่าเขาประสบความสำเร็จกับอาชีพ "นักลงทุน
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
สองเซียนหุ้นพันล้านหมอฟันยรรยง-เสี่ยปู่เปิดใจ 'ผมไม่ได้ปั่น'
โพสต์ที่ 3
8) อย่างสองท่านไม่ต้องปั่นหรอก(เพราะมีคนช่วย=ซื้อ=อยู่แล้ว)
ซื้อหุ้นแค่จำนวน30% หรือมากๆหุ้นไทยตลาดมันเล็ก-
หุ้นก็ทุนจดทะเบียนน้อย
เจ้าของก็ต้องถือมากกว่า50% สำหรับการบริหาร
เมื่อซื้อมากๆปริมาณหุ้นเหลือน้อย หุ้นก็ขึ้นราคาเองแหละ 55
ซื้อหุ้นแค่จำนวน30% หรือมากๆหุ้นไทยตลาดมันเล็ก-
หุ้นก็ทุนจดทะเบียนน้อย
เจ้าของก็ต้องถือมากกว่า50% สำหรับการบริหาร
เมื่อซื้อมากๆปริมาณหุ้นเหลือน้อย หุ้นก็ขึ้นราคาเองแหละ 55
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
สองเซียนหุ้นพันล้านหมอฟันยรรยง-เสี่ยปู่เปิดใจ 'ผมไม่ได้ปั่น'
โพสต์ที่ 5
ชอบทั้งคู่เลยครับ ...
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com