ถามเรื่อง(หมี)แพนด้า
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
ถามเรื่อง(หมี)แพนด้า
โพสต์ที่ 2
เห็นเฮียปัดยาบอกว่าผู้บริหารไม่ค่อยจะน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ครับ แต่ผมก็มีอยู่จึ๋งหนึ่ง รู้งี้ขายไปตั้งแต่ปันผลยังไม่ออกดีกว่า :lol: :lol: :lol:
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
http://tyakon.multiply.com
-
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
ถามเรื่อง(หมี)แพนด้า
โพสต์ที่ 3
เป็นส่วนหนึ่งของคอลัมภ์ ถนนลงทุน ในBIZ WEEK ของสัปดาห์นี้
ส่วนตัวผมก็มีครับ ประมาณ25%ของพอร์ต(พอร์ตเล็กๆ) ถือมา1ปีกว่าๆแล้ว ลองดูปีนี้อีกปีถ้าไม่ดี ก็แยกทาง เพราะมีหุ้นแปลงเข้ามาอีกเยอะเหมือนกัน ทำให้EPSลดลง ส่วนปันผลดี ก็มาจากสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีของ BOI ซึ่งเหลืออีก2ปีครับ (2550) ผมซื้อตัวนี้ก็เพราะปันผล แต่มาลองคิดดูปันผลไม่ใช่เหตุผลหลักของการลงทุนครับ มันเป็นน้ำจิ้ม ที่เป็นค่าตอบแทนในการถือหุ้นนาน ผมว่าเป็นโบนัสมากกว่า ส่วนเนื้อๆ ต้องcapital gain ครับ
อาการติดดอยนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investor อาจจะตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกันได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะนักลงทุนที่มุ่งเน้นในการหาหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลในระดับสูงๆ
มีนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหลายท่านให้ความสำคัญกับอัตราการจ่ายปันผล หรือ Dividend Yield ของหุ้นที่จะลงทุนเป็นหลัก เพื่อหาทางทำผลตอบแทนจากเงินปันผลให้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร โดยพิจารณาจากอัตราการจ่ายปันผลของบริษัทที่ได้มากกว่าผลตอบแทนอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยธนาคารให้ผลตอบแทนปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ หรือพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนปีละ 4 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหาหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลได้สัก 6-7 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าดีกว่านำเงินไปฝากธนาคาร หรือ ซื้อพันธบัตร
เช่น ซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งที่มีกำไรต่อหุ้นต่อปีเท่ากับ 10 บาท บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล 60 เปอร์เซ็นต์ของกำไร หรือ 6 บาทต่อหุ้น ขณะที่ราคาหุ้นอยู่ที่ P/E เท่ากับ 10 เท่า ราคาต่อหุ้นคือ 100 บาท ดังนั้น ผลตอบแทนจากเงินปันผลจะเท่ากับ 6 เปอร์เซ็นต์ และนักลงทุนก็คาดหวังว่าตนเองจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลนี้ไปหลายๆ ปี
แต่ในสภาพความเป็นจริง ธุรกิจของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนกับพันธบัตรหรือเงินฝากในธนาคารที่เงินต้นไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ถ้าในปีถัดมา บริษัทมีผลประกอบการที่แย่ลง อาจจะเนื่องมาจากวัฏจักรของธุรกิจเองถึงช่วงขาลง หรือเกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หรือมีคู่แข่งเข้ามาแย่งลูกค้ามากขึ้น สมมติว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กำไรของบริษัทลดลงจาก 10 บาทต่อหุ้นเหลือเพียง 7 บาทต่อหุ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ ตลาดหุ้นจะตอบรับกับยอดขายหรือกำไรที่ลดลงด้วยราคาหุ้นที่ปรับลดลง ถ้าสมมติว่าค่า P/E ยังเท่าเดิมที่ 10 เท่า ราคาหุ้นจะลดลงจาก 100 บาทเหลือ ราคาต่อหุ้นที่ 70 บาท นักลงทุนขาดทุนจากส่วนต่างราคาหุ้นถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันปันผลของบริษัทก็ลดลงจาก 6 บาทเหลือ 4.2 บาทต่อหุ้น (7 X 60%) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลจากต้นทุนเดิมที่ 100 บาท เพียง 4.2 เปอร์เซ็นต์ นักลงทุนที่ลงทุนหุ้นบริษัทดังกล่าวเพื่อหวังในอัตราเงินปันผลที่สูง กลับต้องขาดทุนทั้งจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่ลดลง และอัตราเงินปันผลที่ลดลง ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นและนักลงทุนยังคงถือหุ้นนั้นอยู่ ก็จะตกอยู่ในสภาพ "ติดดอย"เช่นเดียวกัน
จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใดก็ตามก็มีสิทธิตกอยู่ในสภาพติดดอย ได้เหมือนกัน ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนในหุ้นบริษัทใดก็ตาม ควรจะพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ มิฉะนั้นท่านจะหนาวเพราะ ยิ่งสูงยิ่งหนาวเหมือนอย่างที่โบราณท่านว่าเอาไว้
ส่วนตัวผมก็มีครับ ประมาณ25%ของพอร์ต(พอร์ตเล็กๆ) ถือมา1ปีกว่าๆแล้ว ลองดูปีนี้อีกปีถ้าไม่ดี ก็แยกทาง เพราะมีหุ้นแปลงเข้ามาอีกเยอะเหมือนกัน ทำให้EPSลดลง ส่วนปันผลดี ก็มาจากสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีของ BOI ซึ่งเหลืออีก2ปีครับ (2550) ผมซื้อตัวนี้ก็เพราะปันผล แต่มาลองคิดดูปันผลไม่ใช่เหตุผลหลักของการลงทุนครับ มันเป็นน้ำจิ้ม ที่เป็นค่าตอบแทนในการถือหุ้นนาน ผมว่าเป็นโบนัสมากกว่า ส่วนเนื้อๆ ต้องcapital gain ครับ
อาการติดดอยนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investor อาจจะตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกันได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะนักลงทุนที่มุ่งเน้นในการหาหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลในระดับสูงๆ
มีนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหลายท่านให้ความสำคัญกับอัตราการจ่ายปันผล หรือ Dividend Yield ของหุ้นที่จะลงทุนเป็นหลัก เพื่อหาทางทำผลตอบแทนจากเงินปันผลให้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร โดยพิจารณาจากอัตราการจ่ายปันผลของบริษัทที่ได้มากกว่าผลตอบแทนอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยธนาคารให้ผลตอบแทนปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ หรือพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนปีละ 4 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหาหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลได้สัก 6-7 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าดีกว่านำเงินไปฝากธนาคาร หรือ ซื้อพันธบัตร
เช่น ซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งที่มีกำไรต่อหุ้นต่อปีเท่ากับ 10 บาท บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล 60 เปอร์เซ็นต์ของกำไร หรือ 6 บาทต่อหุ้น ขณะที่ราคาหุ้นอยู่ที่ P/E เท่ากับ 10 เท่า ราคาต่อหุ้นคือ 100 บาท ดังนั้น ผลตอบแทนจากเงินปันผลจะเท่ากับ 6 เปอร์เซ็นต์ และนักลงทุนก็คาดหวังว่าตนเองจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลนี้ไปหลายๆ ปี
แต่ในสภาพความเป็นจริง ธุรกิจของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนกับพันธบัตรหรือเงินฝากในธนาคารที่เงินต้นไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ถ้าในปีถัดมา บริษัทมีผลประกอบการที่แย่ลง อาจจะเนื่องมาจากวัฏจักรของธุรกิจเองถึงช่วงขาลง หรือเกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หรือมีคู่แข่งเข้ามาแย่งลูกค้ามากขึ้น สมมติว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กำไรของบริษัทลดลงจาก 10 บาทต่อหุ้นเหลือเพียง 7 บาทต่อหุ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ ตลาดหุ้นจะตอบรับกับยอดขายหรือกำไรที่ลดลงด้วยราคาหุ้นที่ปรับลดลง ถ้าสมมติว่าค่า P/E ยังเท่าเดิมที่ 10 เท่า ราคาหุ้นจะลดลงจาก 100 บาทเหลือ ราคาต่อหุ้นที่ 70 บาท นักลงทุนขาดทุนจากส่วนต่างราคาหุ้นถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันปันผลของบริษัทก็ลดลงจาก 6 บาทเหลือ 4.2 บาทต่อหุ้น (7 X 60%) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลจากต้นทุนเดิมที่ 100 บาท เพียง 4.2 เปอร์เซ็นต์ นักลงทุนที่ลงทุนหุ้นบริษัทดังกล่าวเพื่อหวังในอัตราเงินปันผลที่สูง กลับต้องขาดทุนทั้งจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่ลดลง และอัตราเงินปันผลที่ลดลง ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นและนักลงทุนยังคงถือหุ้นนั้นอยู่ ก็จะตกอยู่ในสภาพ "ติดดอย"เช่นเดียวกัน
จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใดก็ตามก็มีสิทธิตกอยู่ในสภาพติดดอย ได้เหมือนกัน ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนในหุ้นบริษัทใดก็ตาม ควรจะพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ มิฉะนั้นท่านจะหนาวเพราะ ยิ่งสูงยิ่งหนาวเหมือนอย่างที่โบราณท่านว่าเอาไว้
-
- Verified User
- โพสต์: 118
- ผู้ติดตาม: 0
ถามเรื่อง(หมี)แพนด้า
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณข้อคิดดีๆของคุณvisanuuครับ
saveเก็บไว้อ่านเตือนใจตัวเองแล้วครับ
saveเก็บไว้อ่านเตือนใจตัวเองแล้วครับ

ที่สุดสำคัญที่ใจ