|0 คอมเมนต์
คนไทย"จมไม่ลง"หนี้ครัวเรือนแตะ2.4ล้านล้าน
Source - เว็บไซต์ข่าวสด (Th)
Friday, May 27, 2005 09:51
29705 XTHAI XECON ECO V%NETNEWS P%WKS
ธปท.ไม่กำหนดเงินชำระขั้นต่ำสินเชื่อบุคคล-เตรียมคุมเข้มอี-มันนี่
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในปี 2547 ในการสัมมนาวิชาการประจำปีของคณะเศรษฐศาสตร์ว่า ปัจจุบันครัวเรือนไทยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.4% ต่อปี โดยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะและค่าบริการสื่อสารขยับขึ้นเป็นอันดับสองแทนที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ในบ้าน นอกจากนี้ ยังพบว่าค่าใช้จ่ายในการบริโภคแอลกอฮอล์ยังมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับพฤติกรรมการบริโภคนั้น พบว่าคนไทยมีพฤติกรรมเลียนแบบการบริโภค แม้รายได้คนแต่ละกลุ่มจะไม่เท่ากัน และแม้ว่ารายได้จะลดลงแต่ยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค เป็นเพราะความเคยชิน จนบางทีต้องนำเงินออมออกมาใช้ ถือเป็นพฤติกรรม"จมไม่ลง" ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ครัวเรือนไทยปี 2547 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 12,115 บาทครัวเรือนเดือน คิดเป็น 82.9% ของรายได้ แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายการบริโภคอุปโภค 88.7% ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค 11.3% ค่าใช้จ่ายด้านยานพาหนะและการสื่อสาร 21.1% เพิ่มขึ้นจากปี 2543 อยู่ที่ 14.9% ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากภาวะราคาน้ำมันแพง และความต้องการใช้โทรศัพท์มือถือที่เพิ่มสูงขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2547 คิดเป็น 7.1 เท่าของรายได้เฉลี่ยครัวเรือนต่อเดือน หรือมียอดรวมทั้งหมด 1.9-2.4 ล้านล้านบาท หรือ 37.8% ของจีดีพี โดยพบว่ามีครัวเรือนประมาณ 62.6% มีหนี้สิน ดังนั้น ถือว่าน่าเป็นห่วงและส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจได้ถ้าไม่มีการบริหารจัดการที่ดี
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับหนี้บัตรเครดิต แม้ว่าที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้นมากแต่ยังไม่น่าเป็นห่วงเพราะเอ็นพีแอลบัตรเครดิตลดลงต่อเนื่อง โดยปี 2547 ลดลงเหลือ 2.9% ขณะที่พฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตเบิกเงินสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยปี 2547 อยู่ในระดับ 18.9% ขณะที่ปี 2548 คาดว่าจะสูงขึ้นอยู่ในระดับ 32.4% ของยอดการใช้บัตรเครดิต
นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค ผู้อำนวยการอาวุโส สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยถึงเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อบุคคลของผู้ประกอบการว่า ขณะนี้ธปท.ได้เสนอให้กระทรวงการคลังแล้ว เกณฑ์ที่เสนอไปนั้น ไม่ได้กำหนดวงเงินขั้นต่ำการผ่อนชำระหนี้ว่าจะต้องเป็นเท่าไหร่ เหมือนกับสินเชื่อบัตรเครดิตที่กำหนดชำระหนี้ขั้นต่ำอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 10% แต่กำหนดวงเงินอนุมัติไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือนของผู้กู้ เนื่องจากหากธปท.กำหนดวงเงินชำระขั้นต่ำเหมือนเช่นสินเชื่อบัตรเครดิตจะทำให้ผู้ที่ขอสินเชื่อจะต้องนำเงินเดือนทั้งเดือนชำระเงินกู้ทั้งบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล หากบุคคลนั้นใช้สินเชื่อทั้ง 2 ประเภท
เหตุผลที่ธปท.ต้องออกเกณฑ์เข้ามาควบคุมสินเชื่อบุคคลนั้น เนื่องจากที่ผ่านมามีประชาชนที่ใช้สินเชื่อบุคคลดังกล่าวมาร้องเรียนจำนวนมากถึงการถูกขูดรีดจากผู้ประกอบการทั้งจากการคิดอัตราดอกเบี้ยที่แพง หรือการคิดค่าใช้จ่ายในการขอสินเชื่อจำนวนมากในรูปแบบของค่าธรรมเนียม หากเกณฑ์ดังกล่าวไม่ออกมาจะทำให้ธปท.ไม่สามารถดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน หรือคนจนที่ขอสินเชื่อได้เลย
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ธปท.มีความเป็นห่วงการให้บริการอี-มันนี่ ที่เป็นลักษณะการใชบัตรแทนเงินสดคล้ายๆ บัตรรถไฟฟ้า บัตรเติมเงิน เวลาเงินหมดไปเติมเงินเพื่อให้บัตรใช้จ่ายได้ บริการนี้เป็นที่นิยมในฮ่องกงอย่างมาก ปัจจุบันในไทยมีผู้ให้บริการ 2 ราย ที่น่าเป็นห่วงเพราะหากบริการนี้ได้รับความนิยมในไทยจะส่งผลให้เม็ดเงินไปอยู่กับบริษัทเอกชนที่ให้บริการจำนวนมาก และเงินออมจะหายไปจากระบบ ที่สำคัญถ้าบริษัทดังกล่าวล้มขึ้นมา ประชาชนก็จะได้รับความเสียหาย เพราะในส่วนนี้ธปท.ไม่มีการประกันความเสี่ยงให้ ดังนั้น จึงต้องติดตามบริการอย่างใกล้ชิดนอกเหนือจากสินเชื่อบุคคล- ข่าวสด หน้า 8--จบ--
ที่มา:
http://www.matichon.co.th/khaosod