เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
- kongkam1
- Verified User
- โพสต์: 116
- ผู้ติดตาม: 0
เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 1
เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง ถ้าถามคนที่ลงทุนแบบ vi มักจะบอกว่าเราลงทุนในกิจการไม่ใช่หุ้น ผมสงสัยจริงๆครับว่าเราจะทำใจใด้หรือปล่าว ในเมื่อในมือเราถือเม้าท์ และตาเราจ้องอยู่หน้าจอคอมตลอด เราไม่ใด้เข้าไปบริหารบริษัทที่เราถือหุ้นนะครับ เราไม่เคยเห็นหน้าพนักงาน เราไม่เคยเข้าโรงงานเพราะเราเป็นรายย่อย เราไม่เคยไปสำผัสวัตถุดิบหรือเครื่องไม้เครื่องมือของบริษัทที่เราเป็นหุ้นส่วนอยู่เลย แล้วเราส่วนไหญ่ก็มักจะพูดกันตามๆกันมาว่า เราต้องลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยม เราต้องเข้าใจกิจการที่เราจะลงทุนเป็นอย่างดี ใอ้ผมละก็คนเบี้ยน้อยหอยน้อย เงินลงทุนสู้รายไหญ่ก้ไม่ใด้ จะยากสุดๆก็ใด้การทำใจไห้เป็นเจ้าของกิจการนี่แหละ ทำยากเพราะด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมานี่แหละ
- densin
- Verified User
- โพสต์: 1073
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 2
อะไรที่ไม่เข้าใจ ก็ลดความเสี่ยงได้
เพราะตลาดหลักทรัพย์ให้โอกาสเราเสมอ
1.ซื้อยามถูก ตลาดตกต่ำ
2.กระจายการลงทุน ลดความเสี่ยง
3. อะไรไม่แน่ใจ ข้อมูลไม่ชัด มีคำครหา ก็ไม่ต้องลงทุน
4. คิดผิดยอมรับ cut loss
ต่างจากการทำธุรกิจแบบเป็นเจ้าของบริษัทนอกตลาด ที่ไม่ให้โอกาสแบบนี้
เพราะตลาดหลักทรัพย์ให้โอกาสเราเสมอ
1.ซื้อยามถูก ตลาดตกต่ำ
2.กระจายการลงทุน ลดความเสี่ยง
3. อะไรไม่แน่ใจ ข้อมูลไม่ชัด มีคำครหา ก็ไม่ต้องลงทุน
4. คิดผิดยอมรับ cut loss
ต่างจากการทำธุรกิจแบบเป็นเจ้าของบริษัทนอกตลาด ที่ไม่ให้โอกาสแบบนี้
VI สายมืด = VI หน้ามืดซื้อตัวฮอทๆอย่าไม่ลืมหูลืมตา
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 3
เสมือนเจ้าของได้เพราะเราสามารถออกเสียงได้ตามสิทธิ์และมูลค่าหุ้นที่เราถืออยู่ สามารถเสนอแนะความคิดเห็นการบริหารและบริการหรือแนวทางของบริษัทได้
ลองหาบริษัทที่เราเข้าใจผลิตภัณฑ์และได้ใช้บริการ จะได้เข้าใจยิ่งขึ้น
เราเข้าใจธุรกิจเช่นสต็อกสินค้า ยอดขายกำไร กระแสเงินสด ผ่านงบของบริษัท
ลองละมือจากเมาส์และสายตาจากหน้าจอ มาทำความเข้าใจกับวิธีการทำธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และศึกษางบการเงินดูครับ
มันมีอะไรซ่อนอยู่มากมาย
ไม่ต้องลงมือบริหารเองให้เหนื่อย แค่ลงมือค้นหาหุ้นของบริษัทดีๆ และเอาเวลาที่เหลือไปทำอย่างอื่น สนุกกว่าเยอะครับ
-------------------------------------------------------------------
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งและการลงทุน วิธีการสอนลูกให้มั่งคั่ง
เชิญได้ที่...
http://www.wealththailand.blogspot.com/
ลองหาบริษัทที่เราเข้าใจผลิตภัณฑ์และได้ใช้บริการ จะได้เข้าใจยิ่งขึ้น
เราเข้าใจธุรกิจเช่นสต็อกสินค้า ยอดขายกำไร กระแสเงินสด ผ่านงบของบริษัท
ลองละมือจากเมาส์และสายตาจากหน้าจอ มาทำความเข้าใจกับวิธีการทำธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และศึกษางบการเงินดูครับ
มันมีอะไรซ่อนอยู่มากมาย
ไม่ต้องลงมือบริหารเองให้เหนื่อย แค่ลงมือค้นหาหุ้นของบริษัทดีๆ และเอาเวลาที่เหลือไปทำอย่างอื่น สนุกกว่าเยอะครับ
-------------------------------------------------------------------
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งและการลงทุน วิธีการสอนลูกให้มั่งคั่ง
เชิญได้ที่...
http://www.wealththailand.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 4
ปัญหาน่าจะเกิดจากทัศนะคติมากกว่า
เหมือนคุณเดินไปดูรถมือสอง
ราคาสองแสน คุณก็จ่ายเงินชื้อมา
วันรุ่นขึ้นมีคนมาขอซื้อต่อจากคุณ
เขาให้ราคาสองแสนสอง
คุณก็ขายออกไปโดยไม่รู้ว่า
รถที่คุณเพิ่งซื้อมามันทำอะไรได้มั่ง
เช่น แปลงเป็นหุ่นยนต์พิทักษ์โลก
ประเด็นคือคุณต้องมองให้ออก
ว่าการเป็นผู้ถือหุ้น เราเป็นเจ้าของอะไร
เครื่องผลิตเงินสดใช่หรือเปล่า ?
เหมือนคุณเดินไปดูรถมือสอง
ราคาสองแสน คุณก็จ่ายเงินชื้อมา
วันรุ่นขึ้นมีคนมาขอซื้อต่อจากคุณ
เขาให้ราคาสองแสนสอง
คุณก็ขายออกไปโดยไม่รู้ว่า
รถที่คุณเพิ่งซื้อมามันทำอะไรได้มั่ง
เช่น แปลงเป็นหุ่นยนต์พิทักษ์โลก
ประเด็นคือคุณต้องมองให้ออก
ว่าการเป็นผู้ถือหุ้น เราเป็นเจ้าของอะไร
เครื่องผลิตเงินสดใช่หรือเปล่า ?
-
- Verified User
- โพสต์: 157
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 5
สมัยนี้การหาข้อมูลเกี่ยวกับกิจการที่เราสนใจลงทุนทำได้ไม่ยากเลย เพียงแค่ปลายนิ้วคลิกข้อมูลก็หลั่งไหลมาเต็มไปหมด ถ้ายังไม่เข้าใจกิจการดีพอ หลาย ๆ บริษัทก็เปิดโอกาสให้รายย่อย Company Visit หลาย ๆ บริษัทก็มาออก Opp Day พบนักลงทุนให้สามารถซักถามข้อข้องใจได้
หลายครั้งที่ผมสนใจในกิจการแล้วถ้ากิจการนั้น ๆ มีหน้าร้านหรือสาขา ผมก็จะทำตัวเป็นลูกค้าไปลองใช้บริการ ไปพูดคุยกับพนักงานเพื่อสังเกตว่าพนักงานให้บริการได้ดีมากน้อยแค่ไหน ไปลองจับดูตัวสินค้า ตลอดจนการตกแต่งร้านและบรรยากาศภายในร้าน จำนวนลูกค้าภายในร้านมากน้อยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งสังเกตอัตราการชำระเงินที่แคชเชียร์ว่ามีความถี่มากน้อยแค่ไหน ยอดเฉลี่ยต่อบิลเป็นเท่าไร
ด้วยการสังเกตง่าย ๆ แค่นี้เราก็สามารถประเมินกิจการที่เราสนใจได้แล้วว่าควรจะลงทุนหรือไม่ เมื่อมั่นใจแล้วผมก็จะลงทุนและพยายามละออกจากหน้าจอให้ได้ เพราะการเฝ้าหน้าจอมันช่างยั่วยวนใจให้เราตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งโดยขาดสติ เช่นขายทำกำไรเมื่อเห็นว่าราคาสูงขึ้นแทนที่จะปล่อยให้ let profit run หรือขายทิ้งเมื่อเห็นว่าราคาลงมาแรง ทั้ง ๆ ที่กิจการก็ยังเติบโตดีขึ้นเรื่อย ๆ
หลายครั้งที่ผมสนใจในกิจการแล้วถ้ากิจการนั้น ๆ มีหน้าร้านหรือสาขา ผมก็จะทำตัวเป็นลูกค้าไปลองใช้บริการ ไปพูดคุยกับพนักงานเพื่อสังเกตว่าพนักงานให้บริการได้ดีมากน้อยแค่ไหน ไปลองจับดูตัวสินค้า ตลอดจนการตกแต่งร้านและบรรยากาศภายในร้าน จำนวนลูกค้าภายในร้านมากน้อยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งสังเกตอัตราการชำระเงินที่แคชเชียร์ว่ามีความถี่มากน้อยแค่ไหน ยอดเฉลี่ยต่อบิลเป็นเท่าไร
ด้วยการสังเกตง่าย ๆ แค่นี้เราก็สามารถประเมินกิจการที่เราสนใจได้แล้วว่าควรจะลงทุนหรือไม่ เมื่อมั่นใจแล้วผมก็จะลงทุนและพยายามละออกจากหน้าจอให้ได้ เพราะการเฝ้าหน้าจอมันช่างยั่วยวนใจให้เราตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งโดยขาดสติ เช่นขายทำกำไรเมื่อเห็นว่าราคาสูงขึ้นแทนที่จะปล่อยให้ let profit run หรือขายทิ้งเมื่อเห็นว่าราคาลงมาแรง ทั้ง ๆ ที่กิจการก็ยังเติบโตดีขึ้นเรื่อย ๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 6
kongkam1 เขียน:เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง ถ้าถามคนที่ลงทุนแบบ vi มักจะบอกว่าเราลงทุนในกิจการไม่ใช่หุ้น ผมสงสัยจริงๆครับว่าเราจะทำใจใด้หรือปล่าว ในเมื่อในมือเราถือเม้าท์ และตาเราจ้องอยู่หน้าจอคอมตลอด เราไม่ใด้เข้าไปบริหารบริษัทที่เราถือหุ้นนะครับ เราไม่เคยเห็นหน้าพนักงาน เราไม่เคยเข้าโรงงานเพราะเราเป็นรายย่อย เราไม่เคยไปสำผัสวัตถุดิบหรือเครื่องไม้เครื่องมือของบริษัทที่เราเป็นหุ้นส่วนอยู่เลย แล้วเราส่วนไหญ่ก็มักจะพูดกันตามๆกันมาว่า เราต้องลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยม เราต้องเข้าใจกิจการที่เราจะลงทุนเป็นอย่างดี ใอ้ผมละก็คนเบี้ยน้อยหอยน้อย เงินลงทุนสู้รายไหญ่ก้ไม่ใด้ จะยากสุดๆก็ใด้การทำใจไห้เป็นเจ้าของกิจการนี่แหละ ทำยากเพราะด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมานี่แหละ
ทำไมผมถึงสนใจในหุ้น ก็เพราะอยากจะเป็นเจ้าของกิจการดีๆ แต่ผมไม่มีความสามารถในการบริหารและเงินลงทุนน้อย
ผมจึงค้นหากิจการที่ดี ที่ผมอยากจะเป็นเจ้าของกิจการ โดยหวังผลตอบแทนจากการดำเนินงานที่ดีของบริษัท
แต่คนส่วนใหญ่ที่คิดจะซื้อหุ้น หวังแต่เพียงว่าจะขายหุ้นให้คนอื่นในราคาที่สูงกว่า ผลการดำเนินงานที่ดีก็เป็นเพียงตัวล่อให้คนอื่นมาซื้อหุ้นต่อในราคาแพงๆเท่านั้น
แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถที่จะรู้รายละเอียดปลีกย่อยต่างๆของกิจการ แต่ผมคิดว่าถ้าเราเข้าใจกิจการในจุดที่สำคัญๆก็น่าจะเพียงพอ เพราะเราไม่ใช่ผู้บริหาร
ก่อนซื้อหุ้นบริษัทไหน ลองถามใจตัวเองซะก่อนว่าเราอยากเป็นเจ้าของกิจการนั้นหรือไม่
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 7
วกกลับมาที่ทัศนคติหรือความเชื่อส่วนตัวนี่แหละครับที่สำคัญที่สุด อย่างผมก็มีความเชื่อว่าซื้อกิจการดีๆ ราคาถูก เติบโตไปเรื่อยๆ และปันผลสูงคุ้มค่ากว่าการฝากเงินธนาคารมาก เช่น สมมติปันผล 10%ต่อปี อย่างนี้ผมก็ว่าคุ้มแล้ว
ที่เหลือมันจะอยากทำการบ้านเองครับถ้าอยากรวย ไม่ว่าจะเป็นงบการเงิน เดินสำรวจตลาดดูกิจการ และ ค้นหาหุ้นอย่างที่ว่าไปเรื่อยๆกับรอคอยโอกาสซื้อเมื่อหุ้นถูก เป็นต้น
ผมว่า แค่นี้มันไม่เหนื่อยเลยนะเทียบกับผลลัพธ์หรือความรำรวยที่เราจะได้ตอบแทนกลับมา และ เจ้าของบริษัทที่เราไปซื้อหุ้น เขาต้องดูแลกิจการมากกว่าเราไม่รู้ตั้งกี่เท่า
และสุดท้าย เจ้าของบริษัทเองเขาก็ไม่จำเป็นต้อง เคยเห็นหน้าพนักงานทุกคน หรือมาเฝ้าว่าใครทำงานดีไม่ดี (เช่น ขี้เกียจหรือเปล่า เปิดไฟบริษํททิ้งไว้ไม่ประหยัดกันหรือเปล่า) หรือ เฝ้าโรงงาน หรือ สัมผัสวัตถุดิบหรือเครื่องไม้เครื่องมือของบริษัท ตลอดเวลานะครับ เขาใช้สมองบริหารและจัดการมากกว่าว่าจะคุมอย่างไร
พยายามคิดแบบเจ้าของกิจการ ใหม่ๆกว่าจะเก่ง ผู้บริหารทุกคนคงต้องเคยทำงานหนักมาก่อน ตอนนี้ผมว่าผู้บริหารเขาแค่เดินผ่านเขาก็รู้แล้วครับว่าลูกน้องทำงานดีหรือไม่ดี ไม่งั้นเจ้าสัวทั้งหลายเขาจะมีกิจการเป็นพันล้านหมื่นล้านได้อย่างไรครับ เขาจะมีเวลาไปดูแลกิจการทั้งหมดได้ทั่วถึงอย่างไร นี่แหละครับหัวใจของเรื่อง คิดแบบเจ้าของกิจการก่อนจะซื้อหุ้นทุกครั้งครับ ถ้าคิดได้คุณรวยแน่ๆ
ที่เหลือมันจะอยากทำการบ้านเองครับถ้าอยากรวย ไม่ว่าจะเป็นงบการเงิน เดินสำรวจตลาดดูกิจการ และ ค้นหาหุ้นอย่างที่ว่าไปเรื่อยๆกับรอคอยโอกาสซื้อเมื่อหุ้นถูก เป็นต้น
ผมว่า แค่นี้มันไม่เหนื่อยเลยนะเทียบกับผลลัพธ์หรือความรำรวยที่เราจะได้ตอบแทนกลับมา และ เจ้าของบริษัทที่เราไปซื้อหุ้น เขาต้องดูแลกิจการมากกว่าเราไม่รู้ตั้งกี่เท่า
และสุดท้าย เจ้าของบริษัทเองเขาก็ไม่จำเป็นต้อง เคยเห็นหน้าพนักงานทุกคน หรือมาเฝ้าว่าใครทำงานดีไม่ดี (เช่น ขี้เกียจหรือเปล่า เปิดไฟบริษํททิ้งไว้ไม่ประหยัดกันหรือเปล่า) หรือ เฝ้าโรงงาน หรือ สัมผัสวัตถุดิบหรือเครื่องไม้เครื่องมือของบริษัท ตลอดเวลานะครับ เขาใช้สมองบริหารและจัดการมากกว่าว่าจะคุมอย่างไร
พยายามคิดแบบเจ้าของกิจการ ใหม่ๆกว่าจะเก่ง ผู้บริหารทุกคนคงต้องเคยทำงานหนักมาก่อน ตอนนี้ผมว่าผู้บริหารเขาแค่เดินผ่านเขาก็รู้แล้วครับว่าลูกน้องทำงานดีหรือไม่ดี ไม่งั้นเจ้าสัวทั้งหลายเขาจะมีกิจการเป็นพันล้านหมื่นล้านได้อย่างไรครับ เขาจะมีเวลาไปดูแลกิจการทั้งหมดได้ทั่วถึงอย่างไร นี่แหละครับหัวใจของเรื่อง คิดแบบเจ้าของกิจการก่อนจะซื้อหุ้นทุกครั้งครับ ถ้าคิดได้คุณรวยแน่ๆ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- luangrit
- Verified User
- โพสต์: 376
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 9
ต้องใช้ทัศนคติครับ...
เพราะคำว่าหุ้นมันก็มาจาก "หุ้นส่วนธุรกิจ"
ดังนั้นผลตอบแทนที่เราคาดหวังและจับต้องได้ก็คือเงินปันผล...
ทีนี้เราก็ต้องรู้ว่าเงินปันผลมาจากไหน
แน่นอนว่ามันก็ย่อมมาจากการดำเนินงานของบริษัท
ถ้ากิจการดีกำไรเติบโตสุดท้ายเราก็จะได้ปันผลตามมาเอง
ในฐานะที่ถือหุ้นอยู่ เราก็ย่อมอยากได้เงินปันผลที่สูงขึ้นทุกปีๆ ใช่มั้ยครับ
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องคิดแบบเจ้าของว่ากิจการในอนาคตจะเป็นอย่างไร ผู้บริหารชุดนี้ดีแค่ไหน
โปรเจคใหม่ของบริษัทจะทำกำไรให้พวกเราได้อย่างไร และอื่นๆ
เห็นมั้ยครับว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เลย ถ้าเรามองอย่างนี้
ราคาหุ้นในตลาดเป็นแค่ตัวสะท้อนความพอใจของคนซื้อคนขายเท่านั้นเอง
ซึ่งถ้าเราอยากเป็นเจ้าของบริษัทใด เราก็อยากได้มันในราคาต่ำๆใช่มั้ยล่ะครับ
เพราะคำว่าหุ้นมันก็มาจาก "หุ้นส่วนธุรกิจ"
ดังนั้นผลตอบแทนที่เราคาดหวังและจับต้องได้ก็คือเงินปันผล...
ทีนี้เราก็ต้องรู้ว่าเงินปันผลมาจากไหน
แน่นอนว่ามันก็ย่อมมาจากการดำเนินงานของบริษัท
ถ้ากิจการดีกำไรเติบโตสุดท้ายเราก็จะได้ปันผลตามมาเอง
ในฐานะที่ถือหุ้นอยู่ เราก็ย่อมอยากได้เงินปันผลที่สูงขึ้นทุกปีๆ ใช่มั้ยครับ
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องคิดแบบเจ้าของว่ากิจการในอนาคตจะเป็นอย่างไร ผู้บริหารชุดนี้ดีแค่ไหน
โปรเจคใหม่ของบริษัทจะทำกำไรให้พวกเราได้อย่างไร และอื่นๆ
เห็นมั้ยครับว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เลย ถ้าเรามองอย่างนี้
ราคาหุ้นในตลาดเป็นแค่ตัวสะท้อนความพอใจของคนซื้อคนขายเท่านั้นเอง
ซึ่งถ้าเราอยากเป็นเจ้าของบริษัทใด เราก็อยากได้มันในราคาต่ำๆใช่มั้ยล่ะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 11
ส่วนตัวผมอินกับการลงทุนแบบเจ้าของกิจการ นะครับ
เพราะว่า ผมอยากเป็นเจ้าของกิจการนั้นๆจริงๆมั้งครับ
เวลาไปซื้อของหรือบริการ ก็มองหาแต่ของที่เรามีหุ้นอยู่อ่ะครับ
เวลามีข่าวบริษัทก็สนใจอ่านนะครับ วิเคราะห์นั่น นู่น นี่
สรุปคือ แค่ความอยากที่เป็นเจ้าของ นั่นแหละครับ
แต่ที่สำคัญจะต้องซื้อในราคาที่น่าสนใจด้วยครับ
เพราะว่า ผมอยากเป็นเจ้าของกิจการนั้นๆจริงๆมั้งครับ
เวลาไปซื้อของหรือบริการ ก็มองหาแต่ของที่เรามีหุ้นอยู่อ่ะครับ
เวลามีข่าวบริษัทก็สนใจอ่านนะครับ วิเคราะห์นั่น นู่น นี่
สรุปคือ แค่ความอยากที่เป็นเจ้าของ นั่นแหละครับ
แต่ที่สำคัญจะต้องซื้อในราคาที่น่าสนใจด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 12
kongkam1 เขียน:เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง ถ้าถามคนที่ลงทุนแบบ vi มักจะบอกว่าเราลงทุนในกิจการไม่ใช่หุ้น ผมสงสัยจริงๆครับว่าเราจะทำใจใด้หรือปล่าว ในเมื่อในมือเราถือเม้าท์ก็อย่าถือดิ และตาเราจ้องอยู่หน้าจอคอมตลอดก็อย่าดูดิ [/color]เราไม่ใด้เข้าไปบริหารบริษัทที่เราถือหุ้นนะครับ เราไม่เคยเห็นหน้าพนักงาน เราไม่เคยเข้าโรงงานเพราะเราเป็นรายย่อย เราไม่เคยไปสำผัสวัตถุดิบหรือเครื่องไม้เครื่องมือของบริษัทที่เราเป็นหุ้นส่วนอยู่เลยก็ทำซะสิ แล้วเราส่วนไหญ่ก็มักจะพูดกันตามๆกันมาว่า เราต้องลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยม เราต้องเข้าใจกิจการที่เราจะลงทุนเป็นอย่างดี ใอ้ผมละก็คนเบี้ยน้อยหอยน้อย เงินลงทุนสู้รายไหญ่ก้ไม่ใด้ จะยากสุดๆก็ใด้การทำใจไห้เป็นเจ้าของกิจการนี่แหละ ทำยากเพราะด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมานี่แหละ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- Verified User
- โพสต์: 469
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 14
ง่ายๆนะครับ
เจ้าของกิจการที่ดีเขามีหุ้นแล้วเขาทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น
ประชุมผู้ถือหุ้น ติดตามและตรวจสอบการดำเนินกิจการ ประมาณนี้ครับ
แล้วจะย้อนกลับไปคำถามพื้นฐานว่า "แล้วเราอยากเป็นเจ้าของกิจการไหน"
เจ้าของกิจการที่ดีเขามีหุ้นแล้วเขาทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น
ประชุมผู้ถือหุ้น ติดตามและตรวจสอบการดำเนินกิจการ ประมาณนี้ครับ
แล้วจะย้อนกลับไปคำถามพื้นฐานว่า "แล้วเราอยากเป็นเจ้าของกิจการไหน"
Sixth Sense Investor
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 15
ใช่ครับส.สลึง เขียน:อะไรที่ทำไม่ได้ตั้งแต่เกิด
ต้องฝึก...
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 16
ผมยังจำตาราง Excel เมื่อสองปีที่แล้วของผมได้ดีครับ
ด้วยเงินเริ่มต้นในการลงทุนจำนวน 300,000 บาท เป็นเงินสะสมในสหกรณ์ของผม ตลอดการทำงาน 15 ปีที่ผ่านมา
ผมไปลาออกจากสหกรณ์และกำเงินก้อนนี้ออกมา (มีคนเคยแซวผมว่า "อะไรฟร่ะ ทำงานมาตั้ง 15 ปี ดันมีเงินเก็บแค่ 3 แสน!!!" 555+)
ในตาราง Excel นั้น แต่ละ Row หมายถึงแต่ละเดือน
โดยในแต่ละเดือน ผมตั้งใจว่าผมจะประหยัด และเอาเงินมาลงทุนในหุ้นหรือกิจการที่ผมรักและเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี
และในทุกๆต้นปี ผมจะใส่ประมาณการ เงินโบนัส เพื่อนำมาลงทุนในหุ้นด้วย
จากผลลัพธ์การคำนวณใน Excel Sheet มันบอกผมว่า...
"อีก 3 ปีนับจากวันแรกที่ผมวางแผน...ผมจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทฯจดทะเบียนแห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์
กล่าวคือ มีหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 0.5%
แม้ว่าจะเป็นบริษัทฯเล็กๆก็ตาม แต่มันก็คือ จุดเริ่มต้นความฝันของผม
หลังจากลงทุนไม่นาน ผมไปขอเงินเก็บอีกส่วนหนึ่งของผมจากคุณแม่ ขายแหวนเพชร ขายทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป
จนได้เงินมาเพิ่มอีก 7 แสนบาท รวมเป็น 1.0 ล้านบาท
ใช่ครับ ผมมีความฝันนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ผมบอกคุณแม่ผมไว้ว่า "3 ปี นับจากนี้ ลูกชายของแม่คนนี้ จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่(หรือ Major Shareholder) ในบริษัทฯเล็กๆแต่ทว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย"
ผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เรียนไปรู้ไป และได้รับคำปรึกษาดีๆมากมายจากพี่ๆที่มีประสบการณ์ในเว็บไทวีไอแห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็น คุณลูกอิสาน, คุณกูรูขอบสนาม, คุณ OMAC, คุณ Thirdwave, พี่ฉัตร และอีกมากมายที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ทั้งความรู้ และกำลังใจ พร่างพรูมาตลอดเวลาครับ
ผมเป็นผู้รวบรวมข้อมูลที่บ้าบิ่นที่สุดคนหนึ่ง
ผมตั้งใจไว้ว่า "ผมจะต้องรู้ไม่น้อยไปกว่าใครในตลาดแห่งนี้ฯ" หรือ "ต้องไม่มีอะไรที่ผมควรรู้ แต่ไม่รู้!!!"
ทุกแหล่ง ทุกๆการพูดคุย ผมสะสมข้อมูลตลอดเวลา
ทั้งสื่อต่างๆ จากคนรู้จัก จาก นสพ. จากนิตยสาร จากเว็บไซต์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตัวบริษัทฯ, ผู้บริหาร, ผถห.ใหญ่, Suplier, Customer...ผมต้องไม่รู้น้อยไปกว่าคนอื่น
ทุกๆงาน Opp Day หรือการประชุมสามัญประจำปี ผมจะเป็นคนที่ทำการบ้าน และถามคำถามที่ผมไม่รู้อยู่เสมอ
โดยเฉพาะ Strategic Question ที่เราต้องการฟังคำตอบจากปากผู้บริหารเท่านั้น
ผมรวบรวมข้อมูลและเปิด Roadshow ให้คนรอบข้างฟังอยู่เสมอ
ไม่ใช่เพื่อเชียร์(หุ้น) แต่เพื่อ แชร์(ข้อมูล) ครับ
หลายครั้งหลังจากผมพูดจบ คนฟังมักจะให้ข้อมูลที่ผมเองไม่เคยรู้มาเสมอๆ
นี่คือกำไร หรือที่มาของคำว่า "ยิ่งให้...จะยิ่งได้มา"
แต่ด้วยความฟลุ๊ค หรือสภาพตลาดที่อำนวยไม่ทราบได้
วันนี้ผมเป็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯแห่งหนึ่งจำนวน 1.0% ภายในต้นปีหน้า เนื่องจากต้องเอาเงินโบนัสมาซื้อเพิ่มอีกเล็กน้อย
(เดิมผมแยกเป็น ผถห.รายใหญ่อยู่ 3 บริษัทฯ แต่ปัจจุบันรวมก้อนใหญ่มาที่เพียงบริษัทฯเดียวนะครับ)
กับบริษัทฯที่ผมรัก และผมเชื่อว่า ผมมีข้อมูลไม่น้อยกว่าใครในตลาดแห่งนี้
หากบริษัทฯที่ผมรักเจ๊งไป ผมจะไม่โทษใครเลย เพราะผมได้เลือกที่จะรัก และไว้ใจผู้บริหารไปหมดแล้ว
บริษัทฯที่ผมคอยเป็นห่วงเป็นใย เฉกเช่นเดียวกับเป็นบริษัทฯของตนเอง
บริษัทฯที่ผมคอยส่ง ข้อเสนอแนะ เข้าไปที่ e-mail ของบริษัทฯ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าเค้าเคยอ่านบ้างไหม?
บริษัทฯที่ผมสามารถเล่าความเป็นมา และ Story ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตให้คนอื่นได้ฟัง ได้ยาวกว่า 1 ชม.
บริษัทฯที่ผมเชื่อว่า ผู้บริหารก็ให้ความเอ็นดูผม (ผมดูจากสายตาเวลาท่านตอบคำถามผม ในวันประชุม AGM)
บริษัทฯที่ผมตั้งใจว่า นี่จะเป็นชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลผม
มากกว่ารัก ยิ่งกว่าไว้ใจ
และไม่เพียงแต่บริษัทฯที่ผมถือหุ้นเท่านั้น
แม้แต่บริษัทฯที่ผมเคยลงทุนในลักษณะนี้มา ผมเองก็รู้สึกรัก และผูกพันไม่แพ้กัน แม้ว่าเราจะไม่มีหุ้นของเค้าแล้วก็ตาม
BATA คือ ตัวอย่างหนึ่งในนั้น
ผมเชื่อว่า ถ้าวันนึงที่ผมมีเงินมากพอ ผมอาจจะกลับมาลงทุนในบริษัทฯเก่าๆเหล่านี้
นั่นเป็นเพราะความผูกพันครับ
หุ้น Turnaround...กลายเป็นแบรนด์ของ Login ที่ชื่อว่า pak ไปเสียแล้ว
เพราะผมบอกเสมอว่า "ผมคือนักลงทุนระยะยาว!!!"
ผมไม่มีเป้าหมายราคา หากแต่ผมมีเป้าหมายเวลา ว่าผมควรจะซื้อและขายหุ้นในห้วงเวลาใด
นั่นเพราะ ผมมีข้อมูลมากพอ ที่จะ Forecast การเติบโตของ Business ได้พอสมควร
ผมไม่ต้องการ เชียร์หุ้น ให้คนอื่นมาซื้อ
เพราะถ้าเค้าซื้อ แล้วเค้าไม่รัก วันนึงเค้าก็ต้องขาย
ถ้าเค้าซื้อมาก เวลาขาย ก็เท่ากับกำลังทุบหุ้นผม!!!
ผมจึงไม่ชอบแนะนำใคร ยกเว้นให้ข้อมูลเท่านั้น
ส่วนเรื่องการลงทุน ควรเป็นการตัดสินใจของเค้าเอง
ผมพูดเสมอว่า...
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ"
ฝันให้ใหญ่และไปให้ถึง ในขณะเดียวกันก็ต้องเผื่อใจไว้เจ็บบ้าง
เพราะในการสงคราม ย่อมมีทั้งแพ้และชนะ
แต่ถ้าเรามั่นใจแม่ทัพ และเลือกข้างแล้ว ก็ไม่มีอะไรนอกจากเดินหน้าครับ
มนุษย์จะหลงเหลือสิ่งใดให้เชื่อ หากปราศจากแล้วซึ่ง "ศรัทธา"
แม้ใครจะดูถูกผมว่า ราชาหุ้นเน่า ราชาหุ้นปั่น!!!
แต่ผมพร้อมจะกลืนเลือดครับ
เพราะหุ้นของผมมันห่วยในสายตาคนอื่น แต่มันมีค่ายิ่งในสายตาของผม
Pricing Strategy ย่อมเกิดจาก Demand และ Supply
ในห้วงเวลาที่หุ้นขึ้น มันมีอยู่ 2 ประการเท่านั้น คือ...
1) ปั่นจริงๆ โดยไม่มีพื้นฐานรองรับ
2) ปั่นเหมือนกัน แต่มีพื้นฐานรองรับ (เพราะมันมีคนที่รู้มูลค่าที่แท้จริงของมันในอนาคตแล้ว แต่ก็ปั่นเล่นรอบเพื่อกำไร)
ปัญหาจึงมีว่า...
"ไม่ใช่ให้เราหนีหุ้นปั่น แต่ให้เราหามูลค่าที่แท้จริงให้เจอ...ก็เท่านั้นเอง"
เพราะเราไปห้ามให้เค้าปั่นหุ้นของเราไม่ได้
เวลาเราเห็นของรักของเรา เค้าเอาไปปั่น เอาไปทำปู้ยี้ปู้ยำจนเสียงชื่อเสียง
เราก็เจ็บเหมือนกันนะครับ
แต่ผมพยายามทำใจว่า เราเป็นเพียงผู้ถือหุ้นใหญ่รายเล็กๆ
ดังนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับต้นๆ ย่อมต้องเจ็บมากกว่า
ผมคิดเสมอว่า...
ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 เค้ารู้สึกอย่างไร? ผมจะพยายามรู้สึกให้ได้เช่นนั้น
นั่นคือ "มั่นใจ" และ "มั่นคง" ครับ
ถ้าคิดใหญ่กว่านั้น...
เราแอบฝันได้ไหมว่า "วันหนึ่ง บริษัทฯนี้อาจจะเชิญเราเข้าไปนั่งเป็นกรรมการอิสระคนหนึ่งด้วย!!!"
แม้มันจะเป็นความฝันที่ริบหรี่ แต่ความฝันไม่ไม่ต้องเสียเงินซื้อมาซักหน่อย...จริงไหมครับ?
ขอบคุณที่นั่งอ่านตัวตนและความฝันของผม
ด้วยความเคารพ
pak
ปล.
พิมพ์ผ่านหัวใจ โดยไม่ได้ตรวจทานนะขอรับ
(^_^)
ด้วยเงินเริ่มต้นในการลงทุนจำนวน 300,000 บาท เป็นเงินสะสมในสหกรณ์ของผม ตลอดการทำงาน 15 ปีที่ผ่านมา
ผมไปลาออกจากสหกรณ์และกำเงินก้อนนี้ออกมา (มีคนเคยแซวผมว่า "อะไรฟร่ะ ทำงานมาตั้ง 15 ปี ดันมีเงินเก็บแค่ 3 แสน!!!" 555+)
ในตาราง Excel นั้น แต่ละ Row หมายถึงแต่ละเดือน
โดยในแต่ละเดือน ผมตั้งใจว่าผมจะประหยัด และเอาเงินมาลงทุนในหุ้นหรือกิจการที่ผมรักและเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี
และในทุกๆต้นปี ผมจะใส่ประมาณการ เงินโบนัส เพื่อนำมาลงทุนในหุ้นด้วย
จากผลลัพธ์การคำนวณใน Excel Sheet มันบอกผมว่า...
"อีก 3 ปีนับจากวันแรกที่ผมวางแผน...ผมจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทฯจดทะเบียนแห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์
กล่าวคือ มีหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 0.5%
แม้ว่าจะเป็นบริษัทฯเล็กๆก็ตาม แต่มันก็คือ จุดเริ่มต้นความฝันของผม
หลังจากลงทุนไม่นาน ผมไปขอเงินเก็บอีกส่วนหนึ่งของผมจากคุณแม่ ขายแหวนเพชร ขายทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป
จนได้เงินมาเพิ่มอีก 7 แสนบาท รวมเป็น 1.0 ล้านบาท
ใช่ครับ ผมมีความฝันนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ผมบอกคุณแม่ผมไว้ว่า "3 ปี นับจากนี้ ลูกชายของแม่คนนี้ จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่(หรือ Major Shareholder) ในบริษัทฯเล็กๆแต่ทว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย"
ผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เรียนไปรู้ไป และได้รับคำปรึกษาดีๆมากมายจากพี่ๆที่มีประสบการณ์ในเว็บไทวีไอแห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็น คุณลูกอิสาน, คุณกูรูขอบสนาม, คุณ OMAC, คุณ Thirdwave, พี่ฉัตร และอีกมากมายที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ทั้งความรู้ และกำลังใจ พร่างพรูมาตลอดเวลาครับ
ผมเป็นผู้รวบรวมข้อมูลที่บ้าบิ่นที่สุดคนหนึ่ง
ผมตั้งใจไว้ว่า "ผมจะต้องรู้ไม่น้อยไปกว่าใครในตลาดแห่งนี้ฯ" หรือ "ต้องไม่มีอะไรที่ผมควรรู้ แต่ไม่รู้!!!"
ทุกแหล่ง ทุกๆการพูดคุย ผมสะสมข้อมูลตลอดเวลา
ทั้งสื่อต่างๆ จากคนรู้จัก จาก นสพ. จากนิตยสาร จากเว็บไซต์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตัวบริษัทฯ, ผู้บริหาร, ผถห.ใหญ่, Suplier, Customer...ผมต้องไม่รู้น้อยไปกว่าคนอื่น
ทุกๆงาน Opp Day หรือการประชุมสามัญประจำปี ผมจะเป็นคนที่ทำการบ้าน และถามคำถามที่ผมไม่รู้อยู่เสมอ
โดยเฉพาะ Strategic Question ที่เราต้องการฟังคำตอบจากปากผู้บริหารเท่านั้น
ผมรวบรวมข้อมูลและเปิด Roadshow ให้คนรอบข้างฟังอยู่เสมอ
ไม่ใช่เพื่อเชียร์(หุ้น) แต่เพื่อ แชร์(ข้อมูล) ครับ
หลายครั้งหลังจากผมพูดจบ คนฟังมักจะให้ข้อมูลที่ผมเองไม่เคยรู้มาเสมอๆ
นี่คือกำไร หรือที่มาของคำว่า "ยิ่งให้...จะยิ่งได้มา"
แต่ด้วยความฟลุ๊ค หรือสภาพตลาดที่อำนวยไม่ทราบได้
วันนี้ผมเป็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯแห่งหนึ่งจำนวน 1.0% ภายในต้นปีหน้า เนื่องจากต้องเอาเงินโบนัสมาซื้อเพิ่มอีกเล็กน้อย
(เดิมผมแยกเป็น ผถห.รายใหญ่อยู่ 3 บริษัทฯ แต่ปัจจุบันรวมก้อนใหญ่มาที่เพียงบริษัทฯเดียวนะครับ)
กับบริษัทฯที่ผมรัก และผมเชื่อว่า ผมมีข้อมูลไม่น้อยกว่าใครในตลาดแห่งนี้
หากบริษัทฯที่ผมรักเจ๊งไป ผมจะไม่โทษใครเลย เพราะผมได้เลือกที่จะรัก และไว้ใจผู้บริหารไปหมดแล้ว
บริษัทฯที่ผมคอยเป็นห่วงเป็นใย เฉกเช่นเดียวกับเป็นบริษัทฯของตนเอง
บริษัทฯที่ผมคอยส่ง ข้อเสนอแนะ เข้าไปที่ e-mail ของบริษัทฯ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าเค้าเคยอ่านบ้างไหม?
บริษัทฯที่ผมสามารถเล่าความเป็นมา และ Story ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตให้คนอื่นได้ฟัง ได้ยาวกว่า 1 ชม.
บริษัทฯที่ผมเชื่อว่า ผู้บริหารก็ให้ความเอ็นดูผม (ผมดูจากสายตาเวลาท่านตอบคำถามผม ในวันประชุม AGM)
บริษัทฯที่ผมตั้งใจว่า นี่จะเป็นชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลผม
มากกว่ารัก ยิ่งกว่าไว้ใจ
และไม่เพียงแต่บริษัทฯที่ผมถือหุ้นเท่านั้น
แม้แต่บริษัทฯที่ผมเคยลงทุนในลักษณะนี้มา ผมเองก็รู้สึกรัก และผูกพันไม่แพ้กัน แม้ว่าเราจะไม่มีหุ้นของเค้าแล้วก็ตาม
BATA คือ ตัวอย่างหนึ่งในนั้น
ผมเชื่อว่า ถ้าวันนึงที่ผมมีเงินมากพอ ผมอาจจะกลับมาลงทุนในบริษัทฯเก่าๆเหล่านี้
นั่นเป็นเพราะความผูกพันครับ
หุ้น Turnaround...กลายเป็นแบรนด์ของ Login ที่ชื่อว่า pak ไปเสียแล้ว
เพราะผมบอกเสมอว่า "ผมคือนักลงทุนระยะยาว!!!"
ผมไม่มีเป้าหมายราคา หากแต่ผมมีเป้าหมายเวลา ว่าผมควรจะซื้อและขายหุ้นในห้วงเวลาใด
นั่นเพราะ ผมมีข้อมูลมากพอ ที่จะ Forecast การเติบโตของ Business ได้พอสมควร
ผมไม่ต้องการ เชียร์หุ้น ให้คนอื่นมาซื้อ
เพราะถ้าเค้าซื้อ แล้วเค้าไม่รัก วันนึงเค้าก็ต้องขาย
ถ้าเค้าซื้อมาก เวลาขาย ก็เท่ากับกำลังทุบหุ้นผม!!!
ผมจึงไม่ชอบแนะนำใคร ยกเว้นให้ข้อมูลเท่านั้น
ส่วนเรื่องการลงทุน ควรเป็นการตัดสินใจของเค้าเอง
ผมพูดเสมอว่า...
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ"
ฝันให้ใหญ่และไปให้ถึง ในขณะเดียวกันก็ต้องเผื่อใจไว้เจ็บบ้าง
เพราะในการสงคราม ย่อมมีทั้งแพ้และชนะ
แต่ถ้าเรามั่นใจแม่ทัพ และเลือกข้างแล้ว ก็ไม่มีอะไรนอกจากเดินหน้าครับ
มนุษย์จะหลงเหลือสิ่งใดให้เชื่อ หากปราศจากแล้วซึ่ง "ศรัทธา"
แม้ใครจะดูถูกผมว่า ราชาหุ้นเน่า ราชาหุ้นปั่น!!!
แต่ผมพร้อมจะกลืนเลือดครับ
เพราะหุ้นของผมมันห่วยในสายตาคนอื่น แต่มันมีค่ายิ่งในสายตาของผม
Pricing Strategy ย่อมเกิดจาก Demand และ Supply
ในห้วงเวลาที่หุ้นขึ้น มันมีอยู่ 2 ประการเท่านั้น คือ...
1) ปั่นจริงๆ โดยไม่มีพื้นฐานรองรับ
2) ปั่นเหมือนกัน แต่มีพื้นฐานรองรับ (เพราะมันมีคนที่รู้มูลค่าที่แท้จริงของมันในอนาคตแล้ว แต่ก็ปั่นเล่นรอบเพื่อกำไร)
ปัญหาจึงมีว่า...
"ไม่ใช่ให้เราหนีหุ้นปั่น แต่ให้เราหามูลค่าที่แท้จริงให้เจอ...ก็เท่านั้นเอง"
เพราะเราไปห้ามให้เค้าปั่นหุ้นของเราไม่ได้
เวลาเราเห็นของรักของเรา เค้าเอาไปปั่น เอาไปทำปู้ยี้ปู้ยำจนเสียงชื่อเสียง
เราก็เจ็บเหมือนกันนะครับ
แต่ผมพยายามทำใจว่า เราเป็นเพียงผู้ถือหุ้นใหญ่รายเล็กๆ
ดังนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับต้นๆ ย่อมต้องเจ็บมากกว่า
ผมคิดเสมอว่า...
ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 เค้ารู้สึกอย่างไร? ผมจะพยายามรู้สึกให้ได้เช่นนั้น
นั่นคือ "มั่นใจ" และ "มั่นคง" ครับ
ถ้าคิดใหญ่กว่านั้น...
เราแอบฝันได้ไหมว่า "วันหนึ่ง บริษัทฯนี้อาจจะเชิญเราเข้าไปนั่งเป็นกรรมการอิสระคนหนึ่งด้วย!!!"
แม้มันจะเป็นความฝันที่ริบหรี่ แต่ความฝันไม่ไม่ต้องเสียเงินซื้อมาซักหน่อย...จริงไหมครับ?
ขอบคุณที่นั่งอ่านตัวตนและความฝันของผม
ด้วยความเคารพ
pak
ปล.
พิมพ์ผ่านหัวใจ โดยไม่ได้ตรวจทานนะขอรับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 18
คนส่วนใหญ่...มักจะมองแต่ "Market Price" และ "Unrealized P/L"
นั่นเป็นเพราะ เค้ายังไม่รู้ "มูลค่าที่แท้จริง" ของบริษัทฯของเค้าเอง จึงต้องคอยให้คนภายนอกมาเป็นผู้ตัดสินให้!!!
แต่คนส่วนน้อย...เค้าจะเฝ้ามองแต่ "Actual Vol." ในพอร์ตของตนเอง และไม่สนใจราคาที่ผู้อื่นเป็นผู้ตั้งให้
นั่นเป็นเพราะ "ราคาที่แท้จริง" มันอยู่ในหัวใจของเค้าอยู่แล้ว
By pak
นั่นเป็นเพราะ เค้ายังไม่รู้ "มูลค่าที่แท้จริง" ของบริษัทฯของเค้าเอง จึงต้องคอยให้คนภายนอกมาเป็นผู้ตัดสินให้!!!
แต่คนส่วนน้อย...เค้าจะเฝ้ามองแต่ "Actual Vol." ในพอร์ตของตนเอง และไม่สนใจราคาที่ผู้อื่นเป็นผู้ตั้งให้
นั่นเป็นเพราะ "ราคาที่แท้จริง" มันอยู่ในหัวใจของเค้าอยู่แล้ว
By pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 20
มองหุ้นแบบ “นักลงทุน”
โดย ประภาคาร ภราดรภิบาล
“เบนจามิน เกรแฮม” ปรมาจารย์แห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า กล่าวไว้ว่า การลงทุนที่ชาญฉลาดคือลงทุนเสมือนเข้าร่วมทำธุรกิจ
เคยไหมครับที่คุณรู้สึกชอบสินค้าหรือชอบบริการของบริษัทบางแห่ง แล้วอยากร่วมเป็นหุ้นส่วน หรือพบเห็นกิจการที่ขายดี มีกำไร แล้วอยากมีส่วนเป็นเจ้าของด้วย
ถ้าคุณคิดอย่างนี้ ถือว่ามาถูกทางแล้วสำหรับการเป็น “นักลงทุน” ในตลาดหุ้น เพราะนี่คือทัศนคติที่เป็นพื้นฐานของการลงทุน
“วอร์เรน บัฟเฟตต์” สุดยอดนักลงทุนระดับโลก กล่าวว่า “นักลงทุน” นั้นจะให้ความสนใจกับตัวธุรกิจว่าเป็นอย่างไร ต่างไปจาก “นักเก็งกำไร” ที่จะหมกมุ่นอยู่กับการคาดเดาราคาหุ้นโดยไม่สนใจตัวธุรกิจ คำแนะนำที่ “บัฟเฟตต์” ให้ไว้สำหรับ “นักลงทุน” ก็คือ ควรคิดว่า การซื้อหุ้นคือการร่วมเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่คิดว่าเป็นเจ้าของแผ่นกระดาษที่มีราคาแกว่งขึ้นแกว่งลงทุกวัน
“ในขณะที่ผมซื้อหุ้น ผมจะคิดเหมือนว่าผมกำลังจะซื้อบริษัทนั้นทั้งบริษัท เหมือนกับการที่ผมจะซื้อร้านขายของชำข้างถนนสักร้านหนึ่ง” ดังนั้นทุกครั้งที่ “บัฟเฟตต์” ตัดสินใจจะนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทหรือกิจการใดกิจการหนึ่ง เขาจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบด้าน กิจการที่เขาอยากเป็นเจ้าของจะต้องเป็นกิจการที่แข็งแกร่ง มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน มีผู้บริหารที่ซื่อสัตย์มีความสามารถ และมีราคาที่สมเหตุสมผลในการลงทุน
เซียนหุ้นชื่อดังอย่าง “ปีเตอร์ ลินซ์” ก็มองว่า หุ้นไม่ใช่สลากกินแบ่ง หรือชิปเล่นเกม แต่หุ้นคือความเป็นเจ้าของในบริษัทซึ่งมีคนจริงๆทำงานอยู่
“ลินซ์” เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า “มีบริษัทเชื่อมโยงอยู่กับหุ้นทุกตัว ถ้าบริษัทดำเนินธุรกิจได้แย่กว่าที่เคยหุ้นก็จะตก หากบริษัททำได้ดีขึ้นหุ้นก็จะขึ้น ถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัทดีที่สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะได้รับผลดีตามไปด้วย”
ผลดีจากการเป็นเจ้าของบริษัทที่ดีก็คือ ในระหว่างที่ถือหุ้นอยู่ นักลงทุนจะได้รับ “เงินปันผล” ที่จัดสรรจากกำไรในการดำเนินงานของบริษัท และถ้าบริษัทมีการเติบโตและมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “มูลค่าของหุ้น” ก็มักจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้ “กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น” อีกทางหนึ่ง
“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” Value Investor แนวหน้าของเมืองไทยก็ย้ำว่าแนวคิด “ซื้อหุ้นเหมือนการลงทุนทำธุรกิจ” เป็น “เข็มทิศการลงทุน” ที่สำคัญที่สุด “เวลาซื้อหุ้น ให้ทำเหมือนกับว่าเรากำลังลงทุนทำธุรกิจหรือเข้าหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน นี่เป็น “เข็มทิศ” ที่สำคัญที่สุด หุ้นไม่ใช่กระดาษแผ่นเล็กๆที่ราคาขึ้นๆลงๆ เบื้องหลังของหุ้นนั้นมีโรงงาน มีสำนักงาน มีร้านค้า มีพนักงาน มียี่ห้อ มีระบบการบริหาร มีลูกค้า และมีสิ่งต่างๆที่จำเป็นในการสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างกำไร และจ่ายปันผลให้เราซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น ถ้าเรายึดแนวทางนี้อย่างมั่นคง การลงทุนของเราก็จะ “ไม่หลง” โอกาสผิดพลาดมีน้อย”
จะเห็นได้ว่า ในมุมมองของ “นักลงทุน” ที่ประสบความสำเร็จ หุ้นไม่ได้เป็นแค่สินค้าที่มีราคาผันผวนขึ้นลงให้ซื้อขายเพื่อเก็งกำไรหรือเสี่ยงโชค แต่หุ้นคือส่วนหนึ่งของธุรกิจ และตลาดหุ้นก็คือแหล่งระดมทุนของธุรกิจประเภทต่างๆ
หากไล่เรียงดูรายชื่อของบริษัทต่างๆที่อยู่ในตลาดหุ้น คุณจะพบว่ามีกิจการหลากประเภทหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นกิจการเสื้อผ้า, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องใช้, ค่ายโทรศัพท์มือถือ, โรงแรม, โรงพยาบาล, ธนาคาร-สถาบันการเงิน, ร้านสะดวกซื้อ, ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง, บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆอีกมากมายกว่า 500 บริษัทให้เลือกลงทุน
อาจมีกิจการใดกิจการหนึ่งที่สามารถสร้างผลตอบแทนยอดเยี่ยมให้กับ “ผู้ร่วมเป็นเจ้าของกิจการ” อย่างคุณก็ได้ ถ้าลองใช้สายตาของ “นักลงทุน” ค้นหาดูให้ดี
ที่มา : http://www.facebook.com/permalink.php?s ... 9756976768
โดย ประภาคาร ภราดรภิบาล
“เบนจามิน เกรแฮม” ปรมาจารย์แห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า กล่าวไว้ว่า การลงทุนที่ชาญฉลาดคือลงทุนเสมือนเข้าร่วมทำธุรกิจ
เคยไหมครับที่คุณรู้สึกชอบสินค้าหรือชอบบริการของบริษัทบางแห่ง แล้วอยากร่วมเป็นหุ้นส่วน หรือพบเห็นกิจการที่ขายดี มีกำไร แล้วอยากมีส่วนเป็นเจ้าของด้วย
ถ้าคุณคิดอย่างนี้ ถือว่ามาถูกทางแล้วสำหรับการเป็น “นักลงทุน” ในตลาดหุ้น เพราะนี่คือทัศนคติที่เป็นพื้นฐานของการลงทุน
“วอร์เรน บัฟเฟตต์” สุดยอดนักลงทุนระดับโลก กล่าวว่า “นักลงทุน” นั้นจะให้ความสนใจกับตัวธุรกิจว่าเป็นอย่างไร ต่างไปจาก “นักเก็งกำไร” ที่จะหมกมุ่นอยู่กับการคาดเดาราคาหุ้นโดยไม่สนใจตัวธุรกิจ คำแนะนำที่ “บัฟเฟตต์” ให้ไว้สำหรับ “นักลงทุน” ก็คือ ควรคิดว่า การซื้อหุ้นคือการร่วมเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่คิดว่าเป็นเจ้าของแผ่นกระดาษที่มีราคาแกว่งขึ้นแกว่งลงทุกวัน
“ในขณะที่ผมซื้อหุ้น ผมจะคิดเหมือนว่าผมกำลังจะซื้อบริษัทนั้นทั้งบริษัท เหมือนกับการที่ผมจะซื้อร้านขายของชำข้างถนนสักร้านหนึ่ง” ดังนั้นทุกครั้งที่ “บัฟเฟตต์” ตัดสินใจจะนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทหรือกิจการใดกิจการหนึ่ง เขาจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบด้าน กิจการที่เขาอยากเป็นเจ้าของจะต้องเป็นกิจการที่แข็งแกร่ง มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน มีผู้บริหารที่ซื่อสัตย์มีความสามารถ และมีราคาที่สมเหตุสมผลในการลงทุน
เซียนหุ้นชื่อดังอย่าง “ปีเตอร์ ลินซ์” ก็มองว่า หุ้นไม่ใช่สลากกินแบ่ง หรือชิปเล่นเกม แต่หุ้นคือความเป็นเจ้าของในบริษัทซึ่งมีคนจริงๆทำงานอยู่
“ลินซ์” เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า “มีบริษัทเชื่อมโยงอยู่กับหุ้นทุกตัว ถ้าบริษัทดำเนินธุรกิจได้แย่กว่าที่เคยหุ้นก็จะตก หากบริษัททำได้ดีขึ้นหุ้นก็จะขึ้น ถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัทดีที่สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะได้รับผลดีตามไปด้วย”
ผลดีจากการเป็นเจ้าของบริษัทที่ดีก็คือ ในระหว่างที่ถือหุ้นอยู่ นักลงทุนจะได้รับ “เงินปันผล” ที่จัดสรรจากกำไรในการดำเนินงานของบริษัท และถ้าบริษัทมีการเติบโตและมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “มูลค่าของหุ้น” ก็มักจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้ “กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น” อีกทางหนึ่ง
“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” Value Investor แนวหน้าของเมืองไทยก็ย้ำว่าแนวคิด “ซื้อหุ้นเหมือนการลงทุนทำธุรกิจ” เป็น “เข็มทิศการลงทุน” ที่สำคัญที่สุด “เวลาซื้อหุ้น ให้ทำเหมือนกับว่าเรากำลังลงทุนทำธุรกิจหรือเข้าหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน นี่เป็น “เข็มทิศ” ที่สำคัญที่สุด หุ้นไม่ใช่กระดาษแผ่นเล็กๆที่ราคาขึ้นๆลงๆ เบื้องหลังของหุ้นนั้นมีโรงงาน มีสำนักงาน มีร้านค้า มีพนักงาน มียี่ห้อ มีระบบการบริหาร มีลูกค้า และมีสิ่งต่างๆที่จำเป็นในการสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างกำไร และจ่ายปันผลให้เราซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น ถ้าเรายึดแนวทางนี้อย่างมั่นคง การลงทุนของเราก็จะ “ไม่หลง” โอกาสผิดพลาดมีน้อย”
จะเห็นได้ว่า ในมุมมองของ “นักลงทุน” ที่ประสบความสำเร็จ หุ้นไม่ได้เป็นแค่สินค้าที่มีราคาผันผวนขึ้นลงให้ซื้อขายเพื่อเก็งกำไรหรือเสี่ยงโชค แต่หุ้นคือส่วนหนึ่งของธุรกิจ และตลาดหุ้นก็คือแหล่งระดมทุนของธุรกิจประเภทต่างๆ
หากไล่เรียงดูรายชื่อของบริษัทต่างๆที่อยู่ในตลาดหุ้น คุณจะพบว่ามีกิจการหลากประเภทหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นกิจการเสื้อผ้า, อาหาร, เครื่องดื่ม, เครื่องใช้, ค่ายโทรศัพท์มือถือ, โรงแรม, โรงพยาบาล, ธนาคาร-สถาบันการเงิน, ร้านสะดวกซื้อ, ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง, บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆอีกมากมายกว่า 500 บริษัทให้เลือกลงทุน
อาจมีกิจการใดกิจการหนึ่งที่สามารถสร้างผลตอบแทนยอดเยี่ยมให้กับ “ผู้ร่วมเป็นเจ้าของกิจการ” อย่างคุณก็ได้ ถ้าลองใช้สายตาของ “นักลงทุน” ค้นหาดูให้ดี
ที่มา : http://www.facebook.com/permalink.php?s ... 9756976768
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: เราจะลงทุนในหุ้นแบบเจ้าของกิจการใด้ยังไง
โพสต์ที่ 21
อยากบอกว่า พี่ pak เป็น idol ในใจหลายๆ คน รวมทั้งผมด้วยครับpak เขียน:คนส่วนใหญ่...มักจะมองแต่ "Market Price" และ "Unrealized P/L"
นั่นเป็นเพราะ เค้ายังไม่รู้ "มูลค่าที่แท้จริง" ของบริษัทฯของเค้าเอง จึงต้องคอยให้คนภายนอกมาเป็นผู้ตัดสินให้!!!
แต่คนส่วนน้อย...เค้าจะเฝ้ามองแต่ "Actual Vol." ในพอร์ตของตนเอง และไม่สนใจราคาที่ผู้อื่นเป็นผู้ตั้งให้
นั่นเป็นเพราะ "ราคาที่แท้จริง" มันอยู่ในหัวใจของเค้าอยู่แล้ว
By pak
ปล. คำที่ผมชอบมาก สำหรับการลงทุนแบบเจ้าของกิจการ คือ "Chairsholder" ครับ (by...พี่ครรชิต)
ท่านใดสนใจอ่านต่อได้ที่
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=886
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530