จับจังหวะตลาด VS ไม่จับจังหวะตลาด

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
draco
Verified User
โพสต์: 230
ผู้ติดตาม: 0

จับจังหวะตลาด VS ไม่จับจังหวะตลาด

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ธาตุไฟจะแตกครับ ตามหลัก value investment จะบอกว่าอย่าจับจังหวะตลาด เพราะคาดเดาไม่ได้ แต่อีกฝั่งก็บอกว่าอย่าลงทุนสวนกระแสเพราะจะเจ็บตัว ให้ออกมารอก่อนแล้วค่อยเข้าเมื่อตลาดแย่แล้ว แต่แม้ในฝั่งจับจังหวะตลาด ผมว่าความคิดเห็นก็เป็นสองทาง ว่าเศรษฐกิจจะแย่ ตลาดหุ้นจะลง แมลงสาบไม่ได้มีตัวเดียว เดี๋ยวข่าวร้ายจะโผล่มาเต็มไปหมด ส่วนอีกฝั่งก็บอกว่า เอเซียจะเป็นสวรรค์ของนักลงทุน เมื่อตลาดหุ้นที่อื่น crash แล้ว ตลาดหุ้นทางฝั่งเอเซียก็จะได้รับประโยชน์ เพื่อนๆคิดว่าอย่างไรครับ สำหรับผม หลังจากคิดมาหลายอาทิตย์ เมื่อวานตุนหุ้นเข้าไปเต็มปอดแล้วครับ
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

Re: จับจังหวะตลาด VS ไม่จับจังหวะตลาด

โพสต์ที่ 2

โพสต์

555

ผมว่า ถ้าบรรลุการซื้อหุ้นที่ถูกมากๆ ไม่ว่าสถานการณ์ไหนก็ไม่สะเทือน ก็ไม่ต้องดูตลาดมากนัก

แต่อย่างไรก็ตาม ในหนังสือ marry buffet

ได้เขียนจังหวะในการซื้อไว้ 4 แบบ

ถ้า marry รู้จักวอเรน บัพเฟตจริง และเขียนตามที่ได้รู้มาจริงๆ

แสดงว่า วอเรนก็ดูจังหวะในการซื้อเหมือนกันครับ

4 แบบนั้นคือ

1. recession 2. techinical correction 3.บริษัทเกิดปัญหาแก้ได้ 4.อุตสาหกรรมนั้นๆมีปัญหา

ส่วนใหญ่วอเรนจะซื้อ(โลภ)ตอนที่คนอื่นเขากลัว

อย่างไรก็ตาม วอเรน น่าจะตีราคาบริษัทที่จะซื้อได้เก่งมากๆ มีเงื่อนไขในการซื้อที่ดีมากๆ เขาก็เลยไม่ต้องกลัวครับ
o-bo-ja-ma
Verified User
โพสต์: 1601
ผู้ติดตาม: 0

Re: จับจังหวะตลาด VS ไม่จับจังหวะตลาด

โพสต์ที่ 3

โพสต์

มองท่ี valuation ของธุรกิจแทนที่จะมองราคา ฉะนั้นเราไม่สามารถจับจังหวะตลาดได้ แต่เราสามารถเทียบราคากับ valuation ได้ ต่ำกว่าโดยมี mos เท่าท่ีพอใจซื้อ มากกว่าก็เลือกทางอื่น
pakhakorn
Verified User
โพสต์: 957
ผู้ติดตาม: 0

Re: จับจังหวะตลาด VS ไม่จับจังหวะตลาด

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ผมคนมีนิสัย...อาจเสียและดื้อรั้น เวลาเรียนรู้อะไรมา แล้วจะเอาไปลองใช้ ไม่กล้าทุ่มทั้งตัว

ตัดสินใจลงมือทำอะไรแล้ว ก็ต้องตรวจสอบความพร้อมทาง...ปัจจัยแวดล้อม + เป้าหมาย + ความพร้อมทางความรู้ + และจิตใจของตัวเอง เพื่อกำหนด...จะทุ่มสัก กี่% ในครั้งนั้น

แล้ว.....หากผิดพลาดมา..ตัวเรายังไม่ทุกข์ใจจนอยู่ไม่ติด....ไปฉีกตำรา...หรือไล่ล่าคนสอน

และยังเหลือทุนหรือเวลาไว้ทดลองทำอีกสักครั้งสองครั้งดู....ว่ามันเหมาะใช้ได้หรือไม่ได้กับตัวเรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: จับจังหวะตลาด VS ไม่จับจังหวะตลาด

โพสต์ที่ 5

โพสต์

Jeng เขียน:555

ผมว่า ถ้าบรรลุการซื้อหุ้นที่ถูกมากๆ ไม่ว่าสถานการณ์ไหนก็ไม่สะเทือน ก็ไม่ต้องดูตลาดมากนัก

แต่อย่างไรก็ตาม ในหนังสือ marry buffet

ได้เขียนจังหวะในการซื้อไว้ 4 แบบ

ถ้า marry รู้จักวอเรน บัพเฟตจริง และเขียนตามที่ได้รู้มาจริงๆ

แสดงว่า วอเรนก็ดูจังหวะในการซื้อเหมือนกันครับ

4 แบบนั้นคือ

1. recession 2. techinical correction 3.บริษัทเกิดปัญหาแก้ได้ 4.อุตสาหกรรมนั้นๆมีปัญหา

ส่วนใหญ่วอเรนจะซื้อ(โลภ)ตอนที่คนอื่นเขากลัว

อย่างไรก็ตาม วอเรน น่าจะตีราคาบริษัทที่จะซื้อได้เก่งมากๆ มีเงื่อนไขในการซื้อที่ดีมากๆ เขาก็เลยไม่ต้องกลัวครับ


จริงครับ
อย่างหุ้นในตำนานคือ Coca-Cola จะซื้อในราคาแพง เพราะเป็นหุ้นที่ไม่เคยถูก แต่ได้ราคามาต่ำสุดช่วงนั้น แกลงมือซื้อในช่วง Black Monday 1987
รูปที่เห็น สังเกตว่ากราฟราคาเป็น Log นะครับ ถ้าเป็น Linear จะดูน่าตกใจสำหรับการเติบโตของ Coca-Cola มากกว่านี้
Coca_Cola_1962_2.JPG

ดาวโจรช่วงนั้น
Black_Monday_Dow_Jones.GIF
ฟุ๊ตสีตอนนั้น
Black_Monday_FTSE.GIF


เกิดอะไรขึ้น? ถึงเกิดจังหวะให้ปู่แก "โลภ" ได้
S&P_500_index_around_the_time_of_the_crash.png
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: จับจังหวะตลาด VS ไม่จับจังหวะตลาด

โพสต์ที่ 6

โพสต์

Link หาย ที่มาของ Black Monday http://en.wikipedia.org/wiki/Black_Monday_(1987)
โพสต์โพสต์